จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. thummakaya

    thummakaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +634
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=EVjnptmlprM]คำทำนาย2013 แผ่นดินไหว สึนามิ 2556 - YouTube[/ame]
     
  2. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    เราจะสวดมนต์บทไหนอะไรก็ตาม เราก็กำหนดขึ้น แล้วก็สวดด้วยกายวาจาจิตนั่นแหละ คือไม่มีเสียงออกมานอก บางคนไม่เข้าใจเรื่องความสงบ เรื่องการทำวัตรในจิต ก็ทำไม่เป็น บางทีก็สวดดัง ๆ ถ้ามีพวกปฏิบัติอยู่ใกล้กัน คนหนึ่งนั่งทำสมาธิ ทำวัตรจิต ทำความสงบก็กระทบกับเสียง ก็ไม่ดี ก็เป็นความรำคาญ ก็เลยไม่เป็นบุญทีนี้


    สวดมนต์ทำวัตรปฏิบัติบูชา
    หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร
    ที่มา fb วัดป่าหมู่ใหม่ เชียงใหม่
     
  3. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    “ทุกคน ที่ เกิดมา ไม่ได้ไปติด คือ ยึดมั่น ที่อื่น หรอก โดยเฉพาะ
    ก็มา ยึดมั่น ถือมั่น ที่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี้เอง
    ให้ พยายาม พิจารณา ให้ตาม ความเป็นจริง แก่ การยึดถือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็น สิ่งสวยงาม
    ด้วย สามารถแห่งกำลังสมาธิ ก็จะ เป็นทางไปสู่ ความเป็น อริยเจ้า ได้”

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
    ที่มา fbสมาธิ จิต ​
     
  4. ไผ่มรกต

    ไผ่มรกต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,896
    โอวาทหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน การที่เราจะได้ดี หรือไม่ได้ดี มันอยู่ที่ความจริงใจของเราเท่านั้น การเจริญพระกรรมฐานที่บอกว่าทำแล้วไม่ได้ดี ก็เพราะคนเราหาความจริงไม่ได้นั่นเอง ไม่ใช่มีอะไรยากลำบากที่ไหน เป็นของธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงหาอะไรมาสอนเรา นอกจากนำกฎธรรมดาที่เรามีอยู่ ให้เรามาใช้ปฏิบัติให้ถูกทางเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาธิจิต เราใช้กันอยู่เป็นปกติ แต่ว่าองค์สมเด็จพระชินศรีเห็นว่า สมาธิแบบนั้นเป็นโลกียสมาธิไม่เป็นทางหมดทุกข์ องค์สมเด็จพระบรมครูต้องการให้เรามีความสุข จึงให้ใช้สมาธิด้านกุศลจิตคิดหากุศลเข้าใส่ใจไว้ประจำ ให้จิตมันจำไว้เฉพาะด้านกุศลอย่างเดียวจนเป็นเอกัคตารมณ์ เมื่อจิตทรงสมาธิได้ดีแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็สอนวิปัสนาญาณ มีอริยสัจ เป็นต้น ให้พิจารณาเห็นทุกข์ เหตุเเห่งทุกข์ ที่มันจะพึงมีขึ้นมาได้ ก็เพราะอาศัยตัณหา มีความผูกพันในร่างกาย ซึ่งมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราก็วางร่างกายเสีย เพื่อพระนิพพาน
     
  5. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=4rMk6b0CRC4&feature=player_detailpage#t=265s]ทรายกับทะเล - นันทิดา แก้วบัวสาย - YouTube[/ame]
    (ธรรมะดูแลเรา)​

    ธรรมะเป็นของกลาง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ มีอยู่เป็นธรรมชาติ ทุกคนมีสิทธิ์ใช้
    ควรรีบเร่งหาสิ่งล้ำค่าเหล่านี้ ก่อนชีวิตจะจบสิ้นไป
    คติธรรม สำหรับฆราวาส​
     
  6. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,084
    ค่าพลัง:
    +10,246
    พระองคุลิมาลอุทาน

    พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ ๑๕๐

    [๕๓๔] ครั้งนั้น ท่านพระองคุลิมาลไปในที่ลับเร้นอยู่ เสวยวิมุตติสุข
    เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

    ผู้ใด เมื่อก่อนประมาท ภายหลัง
    ผู้นั้นไม่ประมาท เขาย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง
    ดังพระจันทร์ซึ่งพ้นแล้วจากเมฆ ฉะนั้น

    ผู้ใดทำกรรมอันเป็นบาปแล้ว ย่อมปิดเสีย
    ได้ด้วยกุศล ผู้นั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง
    ดุจพระจันทร์ซึ่งพ้นแล้วจากเมฆ ฉะนั้น

    ภิกษุใดแล ยังเป็นหนุ่ม ย่อมขวนขวาย
    ในพระพุทธศาสนา ภิกษุนั้นย่อมยังโลกนี้
    ให้สว่าง ดุจพระจันทร์ซึ่งพ้นแล้วจากเมฆ ฉะนั้น.
     
  7. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,084
    ค่าพลัง:
    +10,246
    พระองคุลิมาลอุทาน (ต่อ)

    ขอศัตรูทั้งหลายของเราจงฟังธรรมกถาเถิด
    ขอศัตรูทั้งหลายของเราจงขวนขวายในพระพุทธศาสนาเถิด
    อมนุษย์ทั้งหลายที่เป็นศัตรูของเรา
    จงคบสัตบุรุษผู้ชวนให้ถือธรรมเถิด.

    ขอจงคบความผ่องแผ้ว คือ ขันติ ความสรรเสริญ คือ เมตตาเถิด
    ขอจงฟังธรรมตามกาล และจงกระทำตามธรรมนั้นเถิด
    ผู้ที่เป็นศัตรูนั้น ไม่พึงเบียดเบียนเราหรือใคร ๆ อื่นนั้นเลย
    ผู้ถึงความสงบอย่างยิ่งแล้วพึงรักษาไว้ซึ่งสัตว์ที่สะดุ้งและที่มั่นคง
    คนทดน้ำย่อมชักน้ำไปได้ ช่างศรย่อมดัดลูกศรได้
    ช่างถากย่อมถากไม้ได้ฉันใด
    บัณฑิตทั้งหลายย่อมทรมานตนได้ฉันนั้น
     
  8. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,084
    ค่าพลัง:
    +10,246
    พระองคุลิมาลอุทาน (ต่อ)

    คนบางพวกย่อมฝึกสัตว์ ด้วยท่อนไม้บ้าง
    ด้วยขอบ้าง ด้วยแส้บ้าง เราเป็น
    ผู้ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงฝึกแล้วโดยไม่
    ต้องใช้อาชญาไม่ต้องใช้ศาสตรา เมื่อก่อน
    เรามีชื่อว่าอหิงสกะ แต่ยังเบียดเบียนสัตว์
    อยู่ วันนี้เรามีชื่อตรงความจริงเราไม่เบียด
    เบียนใคร ๆ เลย เมื่อก่อน เราเป็นโจร
    ปรากฏชื่อว่าองคุลิมาล ถูกกิเลสดุจห้วงน้ำใหญ่พัดไป
    มาถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว
    เมื่อก่อนเรามีมือเปื้อนเลือดปรากฏชื่อว่า องคุลิมาล
    ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ จึงถอนตัณหาอันจะนำไปสู่ภพเสียได้
    เรากระทำกรรมที่จะให้ถึงทุคติเช่นนั้นไว้มาก
    อันวิบากของกรรมถูกต้องแล้ว
    เป็นผู้ไม่มีหนี้ บริโภคโภชนะ
     
  9. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,084
    ค่าพลัง:
    +10,246
    พระองคุลิมาลอุทาน (ต่อ)

    พวกชนที่เป็นพาลทรามปัญญา
    ย่อมประกอบตามซึ่งความประมาท
    ส่วนนักปราชญ์ทั้งหลาย ย่อมรักษาความไม่ประมาทไว้
    เหมือนทรัพย์อันประเสริฐ ฉะนั้น
    ท่านทั้งหลายจงอย่าประกอบตามซึ่งความประมาท
    อย่าประกอบตามความชิดชมด้วยสามารถความยินดีในกาม
    เพราะว่าผู้ไม่ประมาทแล้ว เพ่งอยู่ ย่อมถึงความสุขอันไพบูลย์
    การที่เรามาสู่พระพุทธศาสนานี้นั้นเป็นการมาดีแล้ว
    ไม่ปราศจากประโยชน์ ไม่เป็นการคิดผิด
    บรรดาธรรมทิ่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำแนกไว้ดีแล้ว
    เราก็ได้เข้าถึงธรรมอันประเสริฐสุดแล้ว (นิพพาน)
    การที่เราได้เข้าถึงธรรมอันประเสริฐสุดนี้
    นั้น เป็นการถึงดีแล้ว ไม่ปราศจากประโยชน์
    ไม่เป็นการคิดผิด วิชชา ๓ เราบรรลุแล้ว
    คำสอนของพระพุทธเจ้าเรากระทำแล้วดังนี้.

    จบ อังคุลิมาลสูตรที่ ๖
     
  10. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ควร "ฝึกใจ" ให้สักแต่ว่ารู้
    รู้ทันกาย เวทนาจิต และ ธรรม
    แล้วก็ ปล่อยวาง รู้ว่าธรรม ว่าฝ่ายไหน
    กำลัง แสดงตัวอยู่

    "ทุกข์-และ-สมุทัย" กำลังแสดงตัวอยู่
    หรือ "นิโรธ-และ-มรรค" กำลังแสดงตัวอยู่
    ให้รู้อย่างนี้ ถ้าสมุทัย แสดงตัว
    ก็ต้อง เจริญมรรคให้มาก เอามรรคเข้ามาดับ

    มรรคกับสมุทัย จะเป็นคู่ต่อสู้กัน
    ในใจของพวกเรา ส่วนใหญ่สมุทัย
    จะมีกำลังมากกว่ามรรค เพราะพวกเรา
    ไม่ค่อย เจริญมรรค
    ไม่เจริญทาน-ศีล-ภาวนากัน

    มรรค ก็เลย มีกำลังน้อย
    ไม่สามารถต่อต้าน สมุทัยได้
    จึงมีความทุกข์ ความวุ่นวายใจต่างๆ
    อยู่ตลอดเวลา นี่คือ
    การดูธรรม ดูธรรมดูอย่างนี้


    พระธรรมคำสอน…หลวงพ่อสุชาติ อภิชาโต
    fb Lotus Postman​
     
  11. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การปฏิบัติธรรมนั้นจะเป็นขั้นๆตามแต่จริตนิสัยและความเพียรที่เรามี คือ มีความศรัทธา เกิดขึ้น มีการให้ทานก่อนเริ่มแรกๆ เพราะคนที่มีการสละออก เป็นคนที่เริ่มจะมีการปล่อยว่าง จากสมบัติภายนอกก่อน แล้วจากนั้น ก็จะมีความละอายต่อบาป จึงอยากมีศีล คือไม่อยากผิดศีลนั้นเอง และพอมีศีลแล้ว ก็อยากภาวนานี้ คือ ขั้นตอนของคนที่จะเริ่มปฏิบัติธรรม และส่วนใหญ่จะเริ่มจากการสละสิ่งหยาบเพื่อได้มาซึ่งสิ่งอะเอียด คือการเข้าถึงซึ้ง "การภาวนา"และการภาวนานี่แหล่ะคือ การรู้เท่าทัน กิเลสที่เกิดขึ้นกับเราคือเปรียบเทียบเหมือนเราจะสร้างบ้านต้องอาศัยเครื่องมือการก่อสร้างนั้นจึงจะสําเร็จ ก็เหมือนกันกับทางธรรมถ้าไม่ได้ลงมือ "ปฏิบัติด้านภาวนา" ก็เหมือนการออกแบบบ้านไว้แต่ยังไม่ได้ลงมือสร้างบ้านนั้นเอง บ้านก็ไม่มีวันที่จะเสร็จสิ้นลงได้เพราะมีแต่แบบแผนเฉยๆ ยังไม่ได้ลงมือทํา ด้านภาวนาก็เหมือนกันถ้ายังไม่ได้ลงมือปฏิบัติก็ไม่เห็นผลเช่นนั้น เพราะทานเป็นแค่บันไดที่ใช้ก้าวเดินขึ้น และศีล ก็คือมีหิริโอตัปปะต้องมีคู่กัน แต่ภาวนานี่คือ "ตัวปัญญา"ที่จะออกก้าวเดินถึงมรรคผลนิพพาน เพราะตัวนี้เป็นตัวฆ่ากิเลสให้สิ้นซากลงได้ ด้วย"มหาสติ มหาปัญญา"ผู้ที่จะหลุดพ้นจะหนี้จากนี้เป็นไม่ได้ อย่างอื่นไม่มี จึงขอนํามากล่าวยํ้าๆเพราะการภาวนาคือ "การฆ่ากิเลส"แต่ก็ต้องอาศัยแบบแป้นแผนฝัง ก็คือ มี "ทาน ศีล ภาวนา" เป็นทางก้าวเดินเพื่อความหลุดพ้นจริงๆ.
     
  12. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ขณะใดที่กาย วาจา และจิต ของเราเป็นปกติ

    มิก่อทุกข์โทษเบียดเบียน

    ทำร้ายทำลายผู้อื่นและตัวเอง

    ให้ได้รับความทุกข์ เดือดร้อนแล้ว

    ขณะนั้นความเป็นศีลก็เกิดขึ้นแล้วในจิตใจ

    เป็นไปตามธรรมชาติของมันเอง

    และเป็นศีลแท้ศีลจริงด้วย

    มันจะผิดปกติต่อเมื่อจิตเกิด

    ความโลภความโกรธความหลงเท่านั้นที่คอยจะผลุดจะโผล่

    ต้องมั่นดูแลศีลของเราอย่าให้มัวหมอง.

    ตราบใดที่เรายังมีศีลประจำใจ ตราบนั้นเราจะครองสติไว้ได้

    และเราจะเป็นผู้ไม่ประมาท ตลอดกาล

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มกราคม 2013
  13. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขออนุญาตินำการบ้านของลูกศิษย์ มาเป็นธรรมทานอีกสักฉบับ เพื่อให้ทุกท่านได้โมทนาบุญกันถ้วนหน้าค่ะ สาธุ๊:cool:

    สวัสดีค่ะครูลูกพลัง ครูพี่เกษ

    วันนี้ขอส่งการบ้านนะคะ หลังจากพยญามารมาทดสอบจิต พอมาวันนี้หนูต้อง ขอบคุณสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ตัวเองได้รู้แจ้ง เห็นจริง ในสัจธรรม ขันธ์ 5 กฏไตรลักษณ์ ที่จริงรู้จักตั้งแต่ประถม มัธยมที่เรียนวิชาพุทธศาสนาแล้วค่ะ สามารถท่องได้ จำได้ ฝึกจิตมา 2 เดือน ก็ฟังธรรม ครูก็ให้หัดแยกขันธ์ แต่ตัวเองยังใช้ความรู้ ใช้สมอง ความจำ แต่มันไม่ได้รู้แจ้ง เห็นจริงถึงจิต เพราะความโง่เขลา กิเลสมันบดบัง ไม่สามารถใช้ปัญญาพิจารณา เพราะเราไม่เห็นทุกข์ เมื่อมันไม่เห็นทุกข์มันก็เลยไม่รู้แจ้งค่ะ มันต้องรู้ กระทบด้วยตนเอง จริงๆๆ
    ตัวเองก็รู้จากการฝึก การอ่าน ฟังมา ครูก็บอกว่าทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนตัวเองแบกก้อนหินหนักบนบ่า มีคนมาบอกว่าต้องวางลงมันจะเบา แต่ตัวเองก็วางไม่เป็น วางไม่ลง เหมือนบ่าติดกาวไว้กับก้อนหิน เผอิญมีคนวิ่งผ่านมากระแทกชนปุ้ย เมล์ที่ครูพลังส่งมามันเป็นเหมือนคนที่วิ่งผ่านมากระแทกชนปุ้ยในขณะที่แบกก้อนหินเลยค่ะ ให้ล้มลง แล้ว ก้อนหินกระเด็นจากบ่า ปุ้ยลุกขึ้นยืนอย่างงงๆ เฮ้ยๆๆ ทำไมตัว(กู) เบา สบายแบบนี้(วะ)
    จากนั้น จิตมัน เบา สบาย โปร่งโล่ง มันไม่มีอะไรค้างคาจิตเลยค่ะ ใจตัวเองรู้สึกใสมากๆๆ มหัศจรรย์จริงๆ จนปุ้ยต้องร้องไห้แบบสะอึกสะอื้น ปล่อยโฮ ร้องไห้เสียงดังมาก คือ มันเหมือนกับปลดปล่อย ความยึดมั่น ถือมั่นอุปทานต่างๆ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทิฐิ ความเป็นตัวกู ของกู กูดี คนอื่นเลว ซึ่งพออ่านจบมันเหมือนตัวเองรู้แล้ว เห็นแล้วค่ะ เห็นตัวตนที่แท้จริง เห็นความเลว กิเลสของตัวเอง ที่ผ่านมาเหมือนเราไปยึดติด ใส่ใจ ให้ความสนใจกับคนอื่น ทุกข้อที่ครูลูกพลังเขียนมามันเหมือนตัวเองรู้แจ้ง เห็นจริงในตัวตนของตนเอง หลังจากนั้นปุ้ยก็รู้สึกตัวเองเปลี่ยนไปมาก ไม่มีความรู้สึกยึดติด ไม่มีความรู้สึกว่า พี่อ๊อด “เป็นสามีกู เป็นเจ้าชายที่กูเพ้อฝัน เป็น everything สำหรับกู” จิตมันเห็น เพียงแค่พี่เค้าเป็นแค่คนๆนึง เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพี่เค้าที่เรารับรู้มา มันเหมือนเราได้ไปรับรู้ รับฟังเรื่องของคนทั่วไปที่เกิดขึ้น มันรู้สึกเฉยๆแล้วปล่อยวาง ไม่ปรุงแต่ง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเค้ามันเป็นเรื่องของเค้า กรรมของเค้า ไม่รู้สึกเดือดร้อนแทน
    ตอนกลางคืนนอนก็หลับสบายตื่นเช้ามามันไม่มีอะไรค้างคา ทำไมใจมันโปร่ง สบายแบบนี้ รู้จักตัวเองมากขึ้น เพราะจิตมันไม่ได้ส่งออกนอก ส่งจิตออกนอกน้อยลง เกิดความรู้สึกรักคนอื่นมากขึ้น ทั้งเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า เห็นเค้าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
    ตอนนั่งสมาธิจิตสงบ สบายมากขึ้นกว่าเดิม มันว่าง เบา สบาย มันไม่ปรุงแต่งค่ะ ขณะที่นั่งแล้วมันก็ไปพิจารณาว่า "อ๋อ ทุกข์ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะเราไปหลงยึด หลงแบกขันธ์ 5 ตอนนี้เหมือนจิตมันไม่ไปยึดค่ะ ทั้งของแม่ แฟน คนอื่นๆ ที่ผ่านเข้ามา มันรู้แล้วว่าทุกคนเกิดมาก็มีกรรมเป็นของตนเอง เราต้องเอาตัวเองให้รอดก่อนที่จะห่วงคนอื่น เหมือนตัวเองรู้แจ้ง เห็นจริงในสรรพสิ่งทุกอย่างค่ะ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 มกราคม 2013
  14. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    กิเลสเป็นของเหนียวแน่น ถ้าไม่เหนียวแน่นพระพุทธเจ้าท่านคงจะไม่สลบถึง ๓ หน เพราะกิเลสได้ครองหัวใจของสัตว์โลกมานานแสนนาน และก็มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ได้เป็น ผู้คุ้นพบและได้ฆ่ากิเลสบนหัวใจของท่าน จนท่านได้เป็นครูสอนโลก คือ ผู้ชี้แนะแนวทางไว้ให้เราๆท่านๆดําเนิดรอยตาม และปฏิบัติตามคําสั่งสอนของท่านจะต้องได้ต่อสู้กับ "กิเลส"ที่อยู่บนหัวใจของแต่ละท่าน โดยต้องทําอย่างเอาเป็นเอาตาย เข้าว่าเลย เพราะธรรมแท้อยู่ฟากตายเลยก็ว่าได้ อย่างเราได้เคยได้ยินได้ฟังครูบาอาจารย์ท่านกล่าวไว้ แต่นั้นก็คือ ความจริงเพราะถ้ากิเลสมันเหนียวแน่น แต่เราจะทําแค่เล่นๆ มันก็มีแต่จะหัวเราะเราเพราะมันยังสามารถครองหัวใจเราได้อยู่แบบสบายๆนั้นเอง จึงต้องเอาจริงเข้าว่า อย่างประสบการณ์ของผู้เขียนจะเล่า ตอนเริ่มนั่งสมาธิใหม่ๆ พอนั่งไปได้หน่อยก็จะเริ่มปวดขา แบบสุดๆคือเหมือนกิเลสมันมาทดสอบเราว่าจะเอาจริงไหม? เราก็สู้มันไม่ไหวเพราะเราก็กลัวขาเราจะเจ็บปวดมากไปกว่านี้ก็ต้องลุกขึ้นเราก็ยังไม่รู้นั้นคือกลของกิเลสมัน พอเรานั่งอีกก็เป็นอีกอยู่อย่างนี้จนเราเกิดอาการโมโหให้กิเลส คราวนี้ผู้เขียนบอกกับตนเองว่าต้องไม่ยอมแพ้มันเพราะเราจะต้องเอาเป็นเอาตายแล้วทําเล่นๆไม่ได้ คราวนี้ปวดมาอีกแทบตายเราก็ไม่ยอมแพ้เราบอกกับใจตนเองว่าขาขาด ก็ขาดไปคนที่ขาเขาขาดเขายังไม่ตายผู้เขียนรวบรวมสติจ่ออยู่ที่ใจและไม่ได้สนใจกับความเจ็บปวดนั้นเลยและสักพักใหญ่ๆขณะต่อสู้กับเวทนาอยู่นั้นแทบตายโดยไม่สนใจความเจ็บปวดผู้เขียนได้พบเหตุการณ์ไม่คาดคิด คือมันแยกออกจากกัน โดยกาย กับใจอยู่คนละส่วนกัน อ้าว...คราวนี้เราเห็นชัดๆว่าความเจ็บก็คนละส่วนกันและใจก็คนละส่วนกันจึงไม่ได้สนใจมันอีกและความปวดนั้นก็ได้หายไปเป็นปิดทิ้งเลย ตั้งแต่นั้นมาผู้เขียนก็จะรู้ว่าการได้ต่อสู้กับทุกข์เวทนาซึ้งก็ได้เห็นผลมาจากการที่เราไม่ยอมแพ้นั้นเอง ก็เลยนึกถึงคําสอนของหลวงปู่หลวงตาท่านกล่าวว่าธรรมอยู่ฟากตาย นั้นก็ใช่เลย! จึงนํามาแชร์หวังว่าทุกท่านคงได้ผ่านประสบการณ์นี่มากันทุกๆคนขอให้ท่านได้ต่อสู้กับกิเลสที่มาทดสอบท่านให้ผ่านพ้นไปได้ทุกๆครั้งไปด้วยกันทุกๆคนค่ะ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2013
  15. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    สติปัฏฐาน ๔ คืออะไร

    สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายกลางที่ตรงที่สุด ลัดที่สุด และบริสุทธิ์หมดจดที่สุด ซึ่งบุคคลใด

    ตั้งใจปฏิบัติจริงๆ แล้วย่อมพ้นจากการเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นแน่นอน อันจะมุ่งสู่

    มรรค ผล นิพพาน คือ ดับทุกข์ได้จริง เฉพาะ ผู้ทำจริง เท่านั้น.

    สติปัฏฐาน ๔ มีกายและใจเป็นหลัก อันจะเรียกชื่อว่า รูปและนาม ก็ได้ ซึ่งภาษา

    ทางธรรมจะแยกเรียกให้เข้าใจว่าเพราะเหตุ ๔ อย่าง นี่แหละที่เป็นตัวเชื่อมให้เกิดทุกข์

    อันมี รูป เวทนา จิต ธรรม. รูปในที่นี้หมายถึงร่างกายนี้แหละ เวทนาหมายถึงความรู้

    ที่เกิดขึ้นทางกาย เช่น สุขกายทุกข์กายหรือความปกติเฉยๆก็ได้ จิต หมายถึงความรู้สึก

    อันเรียกว่าใจ นาม หรือ ธาตุรู้ก็ได้ มันคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตใจนั่นแหละเรียกว่าจิต

    ธรรม ในที่นี้หมายถึงธรรมารมณ์ คืออารมณ์ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของตน อันเป็น

    อารมณ์ สุข ทุกข์ หรือ เฉยๆ ก็ได้. ธรรมารมณ์นั้น คืออารมณ์ยินดียินร้าย เช่น ดีใจ

    เสียใจ น้อยใจ ขุ่นโกรธ พยาบาท ชอบใจ ไม่ชอบใจ เอา ไม่เอา ดี ไม่ดี เดี๋ยวสุข เดี๋ยว

    ทุกข์ อันเป็นอารมณ์ดูดรั้ง และผลักต้านของใจนี่แหละ ที่เป็นเหตุให้เกิดอุปทาน คือ ความ

    หลงยึดในจิตต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น แล้วขยายวงกว้างออกมายึดรูปกายและสิ่งต่างๆ ที่อยู่

    ทางภายนอก ว่าเป็นตัว เป็นตน เป็นบุคคล เรา เขา ของเรา ของเขา ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

    จนเป็นทุกข์รุ่มร้อนไปหมด พอสมหวังก็เป็นสุข ผิดหวังก็เป็นทุกข์ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์

    เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องให้ สลับกันไปไม่สิ้นสุด เพราะจิตตกเป็นทาส

    ของอารมณ์ อันเกิดมาจากความไม่รู้จริงนั่นเอง. สรุปแล้ว สติปัฏฐาน ๔ ก็คือ ให้คอยเฝ้า

    สังเกตุดูกาย และดูทุกข์ ของกายใจและทุกข์ของใจในตนเอง ว่าเป็นอย่างไรในความจริง

    แท้เท่านั้นเอง ปกติ ธรรมชาติของรูปร่างกายแท้ๆ นั้น มันจะไม่มีความรู้สึึึึกสุขหรือทุกข์ใดๆ

    เลยเพราะมันคือธาตุ ๔ อันมี ดิน น้ำ ลม ไฟมารวมกันขึ้นเป็นรูปร่างชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น

    แต่ที่มันเกิดความรู้สึกสุขทุกข์ทางร่างกายขึ้นได้ เพราะมันมีใจคือ ธาตุรู้ มาอาศัยในนั้นเ่ท่า

    นั้นเอง. ขอฝากไว้เพื่อความเข้าใจในสติปัฏฐาน ๔ ค่ะสาธุ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2013
  16. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    อย่าละความเพียร และห้ามบ่นท้อแท้ด้วย กิเลสมันไหลออกมาทางวาจา ยิ่งบ่นยิ่งเพิ่มอารมณ์ จักมีประโยชน์อันใด เลิกจริยานี้เสียที

    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
    รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
     
  17. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ::: สถานที่แห่งบุญ และ ผลของการตำหนิติอาหารที่ผู้อื่นนำมาทำบุญ :::

    “คำว่าบุญเป็นเครื่องหมายของความสุข เป็นความร่าเริงบันเทิงใจ แก่ผู้ที่ได้ทำบุญ เพราะบุญนี้เป็นของจรรโลงใจแก่บรรดาสัตว์โลกทั้งหลาย และบุญนี้ก็เป็นเสบียงแก่บรรดาสัตว์โลกทั้งหลายที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด บุญคือความร่าเริงบันเทิงใจ เมื่อมนุษย์ทั้งหลายได้กระทำบุญกุศลอยู่ เหล่าชาวเทพและเทวดาเมื่อได้ทัศนาการเห็นก็ได้เกิดความบันเทิงร่าเริงใจ ร้องรำทำเพลงด้วยความแช่มชื่นเบิกบานใจ เพราะเหตุแห่งว่าบุญที่ได้บังเกิด ณ สถานที่ใด สถานที่แห่งนั้นมักเป็นสิริมงคล คำว่าสถานที่นี้มีด้วยกัน 2 อย่าง

    อย่างแรกคือภายนอกได้แก่อาคารบ้านเรือนสถานที่ที่จัดงานบุญนั้น อย่างที่สองได้แก่จิต จิตนี้ก็เป็นสถานที่ ที่ประกอบบุญศล และเป็นสถานที่สำคัญมากกว่าสถานที่ๆ เรียกว่า บ้านหรืออาณาบริเวณที่จัดงานบุญนั้น วันนี้ก็เช่นเดียวกัน นี่ก็จัดว่าเป็นบุญใหญ่ เป็นอานิสงส์ใหญ่ จัดเป็นมหาอานิสงส์ก็ว่าได้ เพราะมีการร่วมจิตร่วมใจกันประกอบการบุญการกุศล ได้แก่การจัดตระเตรียมอาหารการรับทานมาถวายจังหันแก่พระภิกษุ และการได้ประกอบอาหารจังหันนั้น ก็ต้องอาศัยความพิถีพิถัน ละเอียดละออ ความพยายามที่จะกระทำให้อาหารเหล่านั้นดูน่ารับประทาน รสชาติก็ดูน่าลิ้มลอง ประกอบไปกับการเสียสละเวร่ำเวลา ในการที่จะประกอบปรุงอาหารนั้น และด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในการทำอาหารด้วย รวมไปถึงทรัพย์ที่จะต้องเสียสละไปซื้อสิ่งของมาปรุงเป็นอาหารอีก บางท่านก็ต้องเดินทางมาไกล เพื่อจะมาถวายจังหัน สิ่งเหล่านี้เกิดได้ยากกับคนที่ตระหนี่ถี่เหนียว เกิดได้ยากกับบุคคลที่มีบาปมากกว่ามีบุญ ฉะนั้นคนที่ทำบุญประเภทนี้มักเป็นคนบุญมากกว่าคนบาป ถึงได้มีความขวนขวายในการประกอบการจัดตระเตรียมอาหาร การประดิษฐ์ประดอยอาหารต่างๆ ให้ดูสวยงามตา สิ่งเหล่านี้ท่านทั้งหลายทำเพื่อพระ แม้เพื่อพระองค์เดียวก็ตาม แต่ก็เพื่อเพื่อท่านทุกคน ... แม้ทุกคนทำเพื่อพระองค์นี้องค์เดียวก็ตาม แต่บุญกุศลนั้นไม่ใช่เพื่อพระองค์เดียว แต่เพื่อเราทุกภพทุกชาติ เพื่อตัวของเราเอง เพื่อความสุขของเราเอง เพื่อความเจริญในภพชาติทั้งหลายที่เราจะต้องเวียนตายเวียนเกิด สิ่งเหล่านี้ไม่มีหมด ไม่มีจบ ไม่มีสิ้น เป็นบุญเป็นกุศลที่เกิดจากน้ำจิตน้ำใจที่ประกอบไปด้วยความเลื่อมใสความศรัทธา และความเลื่อมใสความศรัทธานี้ไม่ได้มาด้วยการบังคับ การขู่เข็น หรือการบีบคั้นแต่ประการใด แต่มาด้วยความเต็มอกเต็มใจ เหมือนฝนที่ตกลงมามิใด้มีใครสั่ง ตกลงมาตามความธรรมชาติ ฝนที่ตกลงสู่ดินง่ายอย่างไร น้ำจิตน้ำใจความเลื่อมใส ก็ตกลงสู่ความปรารถนาที่จะกระทำบุญกุศลง่ายประหนึ่งฉันนั้น

    ความเป็นที่ผู้ประกอบไปด้วยความตั้งอกตั้งใจ ความทำความรู้สึกในบุญกุศลของตนเองนี้ จัดว่าเป็นการตามระลึกถึงความดีที่เราได้กระทำแล้ว แม้เพียงครั้งเดียวก็ตาม เมื่อเราได้ระลึกถึงบุญเหล่านั้นเป็นประจำ ย่อมเกิดความแช่มชื่นเบิกบานใจ บุญได้มีการขยายผล ขยายอานิสงส์ต่อเนื่องไปๆ เป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง เมื่อเรานึกถึงคราวใด นี่เรียกว่าบุญครั้งเดียวที่เราได้กระทำ กุศลอันนี้ และอีกเช่นเดียวกัน ข้าวน้ำทั้งหลายที่บรรดาญาติโยมนำมาถวายแก่พระผู้รับจังหันนี้ เมื่ออาหารนี้ได้ลำเลียงออกไป ท่านทั้งหลายได้รับทานอาหารแล้วก็ตาม อย่าพึงตำหนิอาหารเหล่านั้นว่า เค็มจัด ว่าจืดจัด ว่าเปรี้ยวจัด ว่าไม่อร่อย ว่าไม่ดีอย่างนี้อย่างนั้นเป็นต้น เพราะการตำหนิอาหารที่คนนำมาถวายแก่พระแล้วนั้น อาหารเหล่านั้นย่อมเป็นทิพย์เป็นกุศลของบุคคลที่ถวาย และเป็นสิ่งที่เรียกว่าเกิดแต่ศรัทธา เมื่อเราไปตำหนิอาหารของเขา ได้ชื่อว่าทำลายศรัทธาของเขา บุคคลที่ตำหนิอาหารที่เขานำมาถวายทานแล้ว บุคคลนั้นเมื่อเกิดชาติใดก็ย่อมมีกรรมตรงกันข้ามกับกุศลนั่นเอง ก็คือต้องเกิดเป็นขอทาน ห้าร้อย ห้าพัน ห้าแสนชาติ และต้องขอเศษอาหารที่เหลือเขากิน กินอาหารบูด กินอาหารที่ตกพื้นนั่นเอง ถ้าเราเห็นใครที่มีชะตากรรมในโลกปัจจุบันนี้ มีลักษณะอย่างนั้นจงเข้าใจเถิดว่าคนเหล่านั้นเป็นได้ 3 ประการ หนึ่ง เป็นคนอยู่วัด สอง เป็นพระผู้ตำหนิรสชาติอาหารของคนอื่นเขา สาม เป็นคนร่วมบุญและมารับทานอาหารแล้วตำหนิอาหารสิ่งเหล่านั้น เป็นได้สามประการ ... ฉะนั้น ท่านทั้งหลายอย่าพึงตำหนิอาหารที่เขานำมาร่วมบุญร่วมกุศลไม่ว่าจะเป็นงานใดก็ตาม งานบุญ งานศพ งานถวายทาน งานทำบุญบ้าน งานกินเลี้ยง หรืองานอะไรก็ตามที่ประกอบไปด้วยบุญกุศลนั้น ไม่ควรตำหนิ

    และวันนี้ก็เป็นวันที่เป็นบุญเพราะว่าไม่มีอาหารเป็นโทษเช่น คือการฆ่าสัตว์มาปรุงอาหาร และก็ไม่มีอาหารที่ได้จากทรัพย์ที่มาด้วยการผิด คือการลักขโมยเขามา และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ทุกคนเป็นบุคคลที่มีกำลังใจปราราถนาจะได้ทำทานนั่นเอง ฉะนั้นขอให้ท่านจงตั้งกุศลของท่าน อย่าได้เสื่อมอย่าได้หายไปจากจิตจากใจ คือคอยตามระลึกถึงบุญประเภทนี้อยู่ตลอด บุญประเภทนี้เป็นกรรมฐาน พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า จาคานุสติกรรมฐาน คือกรรมฐานแห่งการให้ทานนั่นเอง และเมื่อเราระลึกถึงอยู่บ่อยๆ ใจจะสงบเป็นสมาธิ เกิดความอิ่มอกอิ่มใจในที่สุดนี้ ฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ตามคอยระลึกถึงบุญนั้นเทอญ ต่อแต่นี้ขอให้ท่านทั้งหลายพึงตั้งใจกรวดน้ำรับพรโดยพร้อมเพรียงกัน”

    ที่มา fb ธรรมคำสอน หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน
     
  18. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    เทคนิคทำให้หายโกรธของหลวงพ่อบุดดา ถาวโร

    ความโกรธ คืออารมณ์เดือดพล่านที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในยามที่เราต้องเกี่ยวข้องผู้อื่น อ่านเทคนิควิธีทำให้หายโกรธแบบง่าย ๆท่านสามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตครอบครัวและการทำงาน

    วิธีที่ ๑.

    ยามใดเมื่อเราโกรธ เราต้องรู้ตัวของเราเองว่า เรากำลังได้รับพิษร้ายเข้าไปแล้ว ควรสร้างความรู้สึก"สะดุ้งกลัว"ขึ้นมาทันที และ พยายามระงับความโกรธนั้นไว้ ไม่ให้พิษโกรธกำเริบแสดงเป็นกริยาอาการอะไรออกมาอย่างเด็ดขาด ด้วยการพิจารณาโทษของความโกรธให้มากที่สุด
    ตัวอย่างวิธีคิด

    "หากเราโง่เขลาคิดตอบโต้ผู้อื่นด้วยความโกรธเมื่อใด พิษร้ายของความโกรธก็จะเพิ่มขึ้นและหมักหมมอยู่ในใจมากขึ้นทุกที มันจะคอยออกมาเผาลนจิตใจของเราไปชั่วกาลนาน เสมือนหนึ่งเราได้สร้างนรกให้เกิดขึ้นในใจของตัวเอง "

    (เป็นการนำคุณธรรมข้อ "โอตตัปปะ"หรือ "ความสะดุ้งกลัว" มาอธิบาย ให้ตัวเองเห็นถึงผลร้ายของความโกรธ / สุตตันต.เล่ม ๑๓ ข้อ ๑๑ หน้า ๑๔ )

    วิธีที่ ๒.

    มองเห็นผลดีของการระงับความโกรธด้วยเมตตา ว่าทำให้เรานอนหลับฝันดี มีเพื่อนเยอะแยะ ใครเห็นใครก็รักไคร่ มีสุขภาพจิตดี มีความสุขตลอดเวลา โห..คุ้มค่าจริง ๆ เลย

    (ดูอานิสงส์เมตตา ๑๑ ประการ / สุตตันต.เล่ม ๑๖ ข้อ ๒๒๒ หน้า ๓๖๑ )

    วิธีที่ ๓.

    เมื่อรู้สึกโกรธ หรือ เคืองใจใครก็ตาม ให้ตั้งสติระลึกนึกถึงความดีของคน ๆ นั้นไว้ในใจ เช่นเขาเคยทำดีอะไรให้แก่เราบ้างไหม หรือ เขามีส่วนดีอื่นๆ ที่น่าประทับใจอะไรบ้าง นึก
    อย่างนี้มาแทนความคิดไม่ชอบใจ ความโกรธก็จะหายไปเอง

    ตัวอย่าง

    "นายมีโกรธนายแดงที่พูดจาดูถูกตน แต่พอนายมีนึกถึงเมื่อครั้งนายแดงเคยช่วยมา ทาสีบ้านให้ทั้งวันเมื่อปีที่แล้ว นายมีก็หายโกรธนายแดง"

    "คุณเจ ไม่ชอบหน้าคุณจอนเลย เพราะคุณจอนชอบพูดจากวนประสาท แต่คุณเจก็ พยายามคิดว่าคุณจอนถึงแกจะชอบพูดกวนประสาท แต่แกก็ยังดีที่ไม่กินเหล้าสูบบุหรี่ คิดได้ดังนี้คุณเจ ก็เกิดความรู้สึกที่ดีต่อคุณจอนขึ้นมาบ้าง "

    (ดู วิธีระงับความอาฆาต ด้วยการมองเห็นความดีของเขา /สุตตันต.เล่ม๑๔ ข้อ ๑๖๑-๑๖๒ )

    วิธีที่ ๔.

    เมื่อโกรธคนใกล้ตัว เช่น แฟน , พี่น้อง , เพื่อนร่วมงาน หรือ โกรธคนไกลตัวเช่น นักการเมือง ฯลฯ ให้ลองนึกมโนภาพหน้าตาของเขาให้เป็นเด็กเล็ก ๆ อายุสัก 1-2 ขวบ โดยให้คิดเหมือนกับ ว่าเขาเป็นลูกของเรา สร้างความรู้สึกเอ็นดูเมตตาเหมือนพ่อแม่รักลูก ความโกรธจะหายไปเป็น ปลิดทิ้ง วิธีนี้แม้ดูง่าย ๆ และ น่าขำ แต่ก็สามารถทำให้หายโกรธได้ผลเป็นอย่างดีเลยทีเดียว

    ( ดูคำสอนเรื่องให้รักผู้อื่นเหมือนมารดารักบุตร /สุตตันต เล่ม๑๗ ข้อ ๑๐ หน้า ๑๑ )

    วิธีที่ ๕.

    คิดตั้งหลายวิธีแล้วก็ยังไม่หายโกรธ มาลองใช้วิธี "ไม่คิด" ดูก็ได้ ด้วยการ หายใจเข้าปอดลึก ๆ ยาว ๆ ทำลมหายใจให้ละเอียด (นึกจินตนาการว่าลมหายใจ ของเราเป็นอะไรบางอย่างที่ละเอียด อ่อน บางเบา ในขณะที่หายใจ ) หายใจเข้า ออกติดต่อกันสัก ๑๐ ครั้ง ความโกรธก็จะสลายหมดไป กลายเป็นความสบายใจมาแทนที่

    (ดูอานิสงส์อานาปาสติ ทำให้เกิดปีติ สุข จิตใจสงบระงับ ร่าเริง / สุตตันต.เล่ม ๖ ข้อ ๒๘๘ ข้อ ๑๗๐)
    ที่มา fb พุทธธรรมนำใจ
     
  19. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154

    ผู้ใดไม่เห็นการเสื่อมไปของสังขาร ผู้นั้นย่อมไม่รู้จักภัย นำมาใคร่ครวญ

    ตราบใดที่ยังครอบครองขันธ์5 ย่อมเจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อมๆ...

    <IMG src='http://www.weloveshopping.com/shop/client/000049/payanakarat/naka12.jpg' width=150>

     
  20. เ่ต่าโบราณ

    เ่ต่าโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    713
    ค่าพลัง:
    +3,624
    ขอบคุณ ครูที่สอนโดยตรงทุกท่าน (ครูเกษ ครูลูกพลัง ครูดาว ครูเพ็ญ ครูดัช ครูอัญมณี)
    ขอบคุณ ครูที่สอนโดยอ้อมทุกท่าน...
    ขอบคุณ เพื่อนๆ น้องๆ ที่เป็นกำลังใจให้ ลุ้นให้...

    ขอความดีนั้น บุญนั้น กลับไปหาทุกท่าน เช่นกันค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...