จิตส่งใน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ไกล้ธรรม, 14 มกราคม 2011.

  1. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อันนี้ ถือว่า แลกเปลี่ยนมุมมอง การบัญญัติเรียกกันนะ อย่าได้ฟังแล้วเอาไป
    คลำๆ หรือควานหา คุณภาวนาดีอยู่แล้ว แต่อยากจะเรียกชื่อมันเท่านั้น

    การจะนิยามลงไปว่า กิเลสกัด อันนี้ ให้ดู กาย วจี และ มโน หากสามตัวนี้เคลื่อน
    ไหวจนเป็นเรื่องราว ก็ให้นิยามอาการแล่นไปนั้นว่า เป็น กิเลส ทีนี้ เป็นกิเลส
    ก็จริงๆ แต่ก็ต้องดูอีกหน่อยว่า ตำหนิได้ด้วยศีลหรือเปล่า หากเราเป็นฆารวาส
    แหมหยิบนู้นนี้นี่เข้าปากตุ้ยๆ ก็พอทำเนา แต่เป็นพระก็จะอีกเรื่องหนึ่ง

    ทีนี้ หากดูไปบ่อยๆ ไม่เกลียดการเห็นสิ่งเหล่านี้จนไปสร้าง ฟอร์มนักภาวนาแสนดี
    ขึ้นมาอย่างผิดฐานะ กาลเทศะ ดูไปเรื่อยๆ เราจะไม่เกิด กายกรรม วจีกรรม หรือ
    มโนกรรม มันจะแค่ขยับหลอกอ่อยเหยื่อเท่านั้น พอเรากระโดดเข้าจับมันถึงจะ
    แล่นไป แต่หากเราไม่ขยับ (ไม่ดำริไปก็เรียก) ตรงนี้จะเห็นเป็น นิวรณ์ก่อน
    (เรียกอีกอย่างว่า จิตไม่ตั้งมั่นอยู่ที่รู้ จิตไม่อยู่ที่ฐาน ไม่มีกำลังก็เรียก ไม่มีสัมมาสมาธิก็เรียก)

    แต่ก็ไม่แน่ว่า บางคนเห็นพฤติกรรมเคยชินนั้นขยับนิดเดียวเป็นลักษณะ ภวะสวะ
    (อาศัยผัสสะกระทบ) อาสสวะ(อาศัยธรรมารมณ์ภายในกาลก่อนๆมากระทบ) กันไปเลย ซึ่งก็
    ต้องทนเห็นไปก่อน มันจะทุกข์แล้วหละ เพราะไม่รู้ว่ามันมาจากไหน จะรื้อค้นอยู่พัก
    ใหญ่อย่างคนบ้าสมบัติ บ้างาน บ้ากรรมฐานแก้กัน กว่าจะรู้ตัวว่า เอ้า ก็ความบ้าสมบัติ
    คิดว่ามีสมบัตินั้นแหละ มันออกมาจากไหน......จากไหนก็รู้ไม่รู้เนาะ..อีกยาวเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2011
  2. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ขอบคุณ คุณ เอกวีร์ มากครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เอ่อ พักหลัง คุณสุภพถามอะไร ดูน่าจะย้อนภูมิธรรมไปหน่อย

    แบบนี้ ขออนุญาติ ถามถึง "มรณะสติ" หน่อยนะครับ

    หากทำอยู่ก็ยิ้มหวาน เนาะ
     
  4. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    แหะแหะ........บางอย่างผมแค่สงสัยในคำที่ใช้เรียกหน่ะครับ (เอาไว้สอนเณรด้วยครับ)

    และผมก็ชอบทวนผลการปฏิบัติอยู่เสมอ เพื่อให้มันมีความละเอียดมากยิ่งๆขึ้นไป จนกระทั่งทุกอย่างมาจบเป็นเรื่องเดียวกัน แล้วไม่มีที่ให้ไปต่อ นั่นแหละครับ

    เรื่องมรณะสติ ผมพิจารณาอยู่เสมอครับ เพื่อไม่ให้หลงไปในทางโลก

    ผมพิจารณาอสุภะอยู่เป็นประจำ รวมทั้งความตายที่มีความน่าสลดสังเวช และเจ็บปวดทรมานต่างๆ (อันหลังนี้ผมใช้พิจารณาร่วมกับ เมตตาด้วย คือดูเขาดูเรา)

    อนุโมทนาครับ
     
  5. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    แต่ช่วงนี้ผมกังวลอยู่อย่างหนึ่ง

    แม่ไม่ให้ผมทำสมาธิหน้าร้านแล้วหน่ะครับ

    เพราะความที่ผมแค่เริ่มจะทำสมาธิก็เกิดปิติสุขขึ้นมาเลย แล้วมันมาออกทางสีหน้า คือ ผมจะยิ้มหน่ะครับ ยิ้มอยู่ตลอด (แค่กำหนดสติก็ยิ้ม) ตอนนี้ก็เป็นมาได้ประมาณ 2 ปีแล้ว

    แม่กลัวคนอื่นไม่เข้าใจ จะหาว่าบ้า แถวบ้านคนเข้าถึงธรรมมีน้อยซะด้วย

    เวลาปฏิบัติเลยน้อยลงไปอีก ยิ่งมีน้อยอยู่แล้วด้วย
     
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    น้าน!! มีเณรซ่อนเอาไว้ นี่เอง ก็ว่ากันไปเนาะ

    * * * *

    แหม เรื่องยิ้มหวานนี่ ช่วงแรกๆมันจะเอาไม่อยู่ หากหลุดฐานกายมันก็ยิ้มเด๋อไป
    ไม่ว่ากัน จะให้เนียนก็ต้องหมั่นเอาใจพ่อแม่แบบว่า "ชวนป๋วย" ไว้ก็จะไม่มีปัญหา

    ดีไม่ดี จะชวนกันมายิ้มหวานได้อีกคน หมดหนี้ได้ไวนี่...ท่านเร่งใส่พานประเคน
    พระกันหละคราวนี้

    อ้อ ถ้ายังยิ้มไม่เลิก เอาคาถาไปครับ จิตยิ้มมีเฉพาะในพระอรหันต์เท่านั้น

    นอกนั้นเป็นความปลื้มที่ไปๆมาๆ เหตุเพราะ เห็นทางรอดรำไรๆ ไม่ว่ามัน แต่
    จังหวะนี้นะแนะนำว่า ให้ลองทำพุทธานุสติ สังฆานุสติ ธรรมานุสติ ดู
    ตัวจะเบาใจเบาหวิวๆไปหมด แต่แปลกนะว่า จะเป็นปิติสุขแบบว่า...เลิกให้
    เวลากับยิ้ม อันนี้ไปผลิกดูเอาเองว่าทำไม

    ขออนุญาติกวนอารมณ์

    [music]http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=22684[/music]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2011
  7. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ขอบคุณครับ

    ช่วงนี้ผมเริ่มวางกำลังใจที่พุทธานุสติแล้วครับ

    เอ...จะว่าไป เหมือนผมจะออกตัวว่าทำก่อนคุณเอกวีร์แนะนำซะเกือบทุกทีเลยนะครับ

    แต่ผมทำอยู่จริงๆครับ มันไปของมันเองหน่ะครับ

    เหมือนเราเห็นปมมัดของตัวเอง แล้วรู้ว่าเราจะต้องไปแก้มัดมันยังไงหน่ะแหละครับ

    เรื่องยิ้มนี่ ผมพิจารณาดูแล้ว พอจะรู้เหตุอยู่บ้างหน่ะครับ

    มันเป็นเพราะว่า การที่ผมดับอารมณ์เป็นเรื่องๆไปนั้น พอจิตที่มันสงบจากอารมณ์แล้วนั้น เมื่อมันเกิดปิติสุขขึ้นมา มันไม่ใช่สุขเพราะความสงบจากอารมณ์เพียงเท่านั้น แต่มันเจือความยินดีด้วย และเมื่ออารมณ์สุขยินดีต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ไปจนถึงเมื่อปฏิบัติสมาธิ ตอนนี้มันเลยเป็นความสุขยินดีในธรรมครับ (ขอบอกไว้ก่อนนะครับ ว่าผมไม่ได้ติดในสุขนี้ แต่มันเป็นของมันเองครับ)

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  8. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ขอเจริญในธรรมครับ..รักษาอารมณ์นี้ไว้ให้ดีครับ ตอนนี้สังเกตุให้ดีอย่าเพิ่งปฏิเสธว่าคุณไม่ติดสุข..
    สังเกตุนะครับ..คุณเริ่มแยกตัวไม่ค่อยอยากยุ่งกับใครนอกจากงานประจำที่หลีกไม่ได้รึยังครับ.. ในจิตใจคุณคิดแต่สิ่งดีๆไม่เคยโกรธหรือเกลียดใครเลยใช่ไหมขณะนี้..มองออกไปในสังคมนอกบ้านคุณเริ่มกลัวภัยต่างๆนอกบ้านรึไม่..โลกนี้มีแต่ทุกข์รึยัง เวลาอยู่คนเดียวอยากวิปัสสนา หรือไม่ก็นั่งสมาธิหรือทรงสมาธิทั้งวันรึไม่..
    สุดท้าย การเล่นอินเตอร์เนต จะดูดพลังจิตความตั้งใจที่คุณส่งลงมายังตัวอักษรความรู้มาก คุณจะเสียพลัง ฉนั้นต้องเพิ่มพลังการทำสมาธิทุกวัน ..อยากปลีกวิเวกรึยังครับ หากคุณมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นนั่นแหละรีบดำเนินการขั้นต่อไปเลยครับ..!
     
  9. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    สาธุ คุณสับสนครับ

    จะว่าติดก็ไม่เชิง แต่ผมใช้เป็นเครื่องระลึกรู้อยู่หน่ะครับ

    ทุกสิ่งที่คุณกล่าวมา ผมเป็นเช่นนั้นครับ ทุกอย่างผมเห็นเป็นธรรมดาเสียแล้วครับ และไม่เห็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตทางโลกแล้ว

    เป็นมานานแล้ว และผมก็ดูจิตดูอารมณ์นี้ของผมอยู่ ตั้งใจจะบวชนานแล้ว แต่มีเหตุให้เคลื่อนมาเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ก็ใกล้แล้ว ของทุกอย่างแม่ผมเตรียมไว้หมดแล้วครับ

    เรื่องปลีกวิเวก ผมตั้งใจว่า ถ้าบวชแล้ว จิตมีกำลังพร้อมแล้ว ผมก็จะออกธุดงค์ จะไม่อยู่ประจำที่ใด

    และช่วงนี้ผมก็เริ่มจะห่างๆจากการเข้าเน็ทแล้ว แต่ยังต้องเข้ามาที่นี่อยู่ เพื่อมาหาความรู้เก็บไว้อ่านตอนบวชนั่นแหละครับ และเพื่อแก้ความสงสัยในบางอย่างด้วยครับ

    อ้อ!....อารมณ์ต่างๆยังมีเกิดขึ้นอยู่ แต่ผมไม่หลงไปตามอารมณ์ เมื่อเกิดก็พิจารณาในอารมณ์จนสงบได้ และไม่มีการติดค้างในอารมณ์ครับ

    ปล. อีกอย่างครับ คาดว่าจะมีเพื่อนผมบวชตามผมไปอีก 2 คน ตามเหตุและวาระข้างหน้าครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ก็ว่าอยู่ ว่าผมต้องเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน ก่อนจะทักก็เลยต้องขออนุญาติไว้ก่อน
    สงสัยข้อความสุดท้ายติดพัน เลยลืม ปราวณา

    นี่แปลว่า รู้วิธีแก้จริงๆ พุทธานุสติที่ผมยิงแนะนำไป ก็เพราะว่า คุณปรารภเชิง"น้อยใจ"

    "เวลาปฏิบัติเลยน้อยลงไปอีก ยิ่งมีน้อยอยู่แล้วด้วย<!-- google_ad_section_end -->"

    เลยต้องให้กรรมฐานยาแรง กรรมฐานแรงดีๆ นี่ ระลึกแค่แว๊บเดียวเองครับ มันจะเต็ม
    ทันทีเลย ถ้ายังไม่เห็นก็ลองใหม่ แล้วจะเห็นว่า มันเต็มจริงๆ มันพร้อมสู้จริงๆ เรื่อง
    บ่นว่าเวลาน้อยนี่ ไม่จริงเลย

    เพราะหากทำถูก "แค่ชั่วช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น" นี่ได้ราตรีหนึ่งเจริญ แต่พอทำได้มากๆ
    ก็อย่างว่า หากลืมดูเวทนา ตำหนิด้วยศีลไม่ได้ก็จริง แต่ลืมดูยินดียินร้ายไปละก้อ ยุ่ง
    เหมือนกัน

    พระพุทธองค์จะถามผู้ภาวนาเสมอ เธอตำหนิตนได้ด้วยศีลหรือเปล่า ตำหนิไม่ได้แล้ว
    เธอยินดีในสิ่งที่ทำอยู่หรือเปล่า หากตำหนิไม่ได้ และไม่ปรากฏยินดียินร้าย แม้จะเป็น
    ธรรมแล้วก็ยึดไม่ได้นะ ต้องเอามาผลิกดูความไม่เที่ยงเหมือนกันหมด พอเราปฏิบัติได้
    ก็จะชัดว่า "แค่อาศัยระลึก" ก็ไม่ต้องสงสัยลังเลอะไร เกิดดับๆๆๆๆ ไปเรื่อย (แปลว่า
    ทำไปเรื่อยๆ เนืองๆ ต่อไป)

    อันนี้ ถือเสียว่า ผมปรารภผ่านๆ นะครับ เพราะเชื่อเหลือเกินว่า ภูมิจติภูมิการภาวนา
    ของคุณพบดี ปราณีตกว่าที่บรรยายออกมาเยอะแยะบานตะไท

    ถือเสียว่า พูดเผื่อเณร หรือ ตาเถรตกใต้ถุน ไปงั้นๆ
     
  11. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ผมอนุโมทนาด้วยครับ..หากคุณมองทุกอย่างเป็นธรรมดาได้ ก็แสดงว่าวิปัสสนาคุณเยี่ยม ปัญญาสมดุลย์กับสมาธิ..ผมคิดมากไปเองกลัวจิตคุณจะ..อ่อนแอ ในสภาวะสุข จะเป็นหมดหาก "เหตุผล" มาแก้ไม่ทันจะกลายเป็นอภัยหมดทุกอย่าง..ลืมมองอีกด้าน หรือส่วนรวมและฝ่ายที่เขาเสียหายควรจะได้รับการชดใช้ยังไง จะเสียหายรึไม่..
    การประนีประนอม ต้องเป็นตัวของตัวเองโดยไม่เสียจุดยืนของตัวเราเอง คือธรรมและความถูกต้อง คุณจะพบปัญหาประเภทนี้บ่อยระวังครับ..การเสียสละต้องนำหน้า ผมพลาดมามากครับ เล่าให้ฟังเผื่อคุณจะได้เตรียมใจรับมือกับปัญหานี้ คุณโชคดีที่ได้บวช สาธุครับ ผมก็รอเวลาอยู่เช่นกันครับ..!
     
  12. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    สาธุคุณ เอกวีร์ และ คุณสับสน ครับ

    อย่าได้เยินยอกันเกินไปเลยครับ

    ผมรู้อยู่ว่า ผมยังมีความหยาบอยู่มาก ไปเรื่อยๆแหละครับ ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้นครับ

    ขอให้ท่านได้สมดังหวัง และเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ
     
  13. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ดีครับ อนุโมทนาสาธุครับ

    หนทางนั้นแสนไกล ก้าวต่อไปอย่าย่อท้อ

    สักวันหนึ่งสิ่งที่รอ มีอยู่หนอหนทางไป

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  14. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
  15. ไม่ยึด

    ไม่ยึด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +263
    ลองพิจารณาเล่นๆกันดุ ครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่แนะนำให้พิจารณาภายในกายเพราะไม่ต้องการให้จิตรู้ส่งผ่านออกไปข้างนอกเพราะจิตที่ส่งออกไปรู้ข้างนอกจะต้องผ่านกิเลสอาสวะก่อนทุกครั้งทำให้สภาวะรู้ถูกบิดเบือนไป พิจารณากายกลับไม่มีอาการอย่างนั้นเพราะเหตุที่ว่ากิเลสอาสวะนั้นอยู่นอกกายออกมานิดๆนั่นเอง...............บลาๆๆๆ เขียนไปก็คงไม่เข้าใจกันอยู่ดี สาธุ เอาเป้นว่ามันเป้นอะไรก้ไม่รุ้แล้วกัน
     
  16. ไม่ยึด

    ไม่ยึด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +263
    สาธุ อนุดมทนาสมาธิครับ อันนี้ก้เห้นด้วยกับพี่เช่นกันครับ พอคลายจากนอกจากในได้ก้จะไม่รูปไม่มีดวงซะแล้ว สาธุ
     
  17. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ขออนุญาติ มะยึก นะ

    จะเห็นว่า จิตมันเข้าฐานได้ เพราะ มีเครื่องมือคือไตรลักษณ์ญาณ นั้นแหละเป็นเหตุ

    เราตามเห็นความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน(สุญญาตาสมาธิ) ตามเห็นความไม่เที่ยงเป็นประจำ
    (อนิมิตสมาธิ) ตามเห็นทุกขอยู่เนืองๆ(อัปณิหิตสมาธิ) จิตมันก็ปล่อยออกจากสิ่งที่ติดข้อง
    มันปล่อยของมันเองเพราะว่ามันระลึกได้ถึงความไม่เที่ยง แปรปรวน เป็นทุกข ในสิ่งเหล่านั้น

    * * *

    คราวนี้ พอมันปล่อยเรื่อยๆ จิตตั้งมั่นเราก็รู้ จิตไม่ตั้งมั่นเราก็รู้ จิตยังไปเกาะ
    ไปเกี่ยว ชักเย้อกันระหว่าง นิวรณ์กับสมถะ(ที่อบรมไว้ดีแล้ว) ก็รู้ แต่เพราะ
    เห็นความไม่เที่ยงของสิ่งไรๆ เหล่านั้น จึงไม่ยึดถือ ปล่อยให้มันผันแปรไป
    ตามแต่จะนำสุขมาให้

    แต่การที่มันไหลไป แปลว่า ยังติดอยู่ ก็ดุไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะไม่ส่ง
    ส่ายออกไปอีก ซึ่งส่วนมาก มันจะมาติดเป็น สิ่งระยิบระยับอยู่กลางอก

    สิ่งๆอื่นๆ อาจจะปรากฏ แต่ใจมันรู้แล้วว่ามีไตรลักษณ์ มันก็ไม่สนใจ มัน
    ข้ามของมัน ดังนั้น คำว่าดับไม่ได้แปลว่าหาย แต่มันไม่จับไม่ถือ

    การที่มันระยิบระยับอยู่กลางอกเล็กๆ นั้นก็เพราะว่ามันติดอยู่ แต่สิ่งที่ติด
    ไม่อาจระบุได้ว่าคืออะไร ยังแทงตลอดก็ไม่ได้ ยังไม่อิ่ม มันก็ดูไตรลักษณ์
    กับความระยิบระยับอย่างนั้นไปเรื่อยๆ ตรงนี้ จะเห็นว่า จะมาเห็นได้ก็
    เพราะไม่ได้เจตนาจะทำอะไร จิตที่อบรมไว้ดีแล้วจึงพามาเห็นได้ เห็นแล้ว
    แรกๆก็ไม่รู้ว่ามีประโยชน์อย่างไร ก็อาจจะปล่อยปละละเลยไป ต้องเริ่ม
    เอาใหม่จนกว่าจะมาเห็นจุดเดิมนี้อีก

    * * *

    ระหว่างนี้ พึงสังเกตด้วยว่า มันมีบางจังหวะที่จิตมันสะดุ้งต่อรูปนามแล้วพาไปทำสมถะ

    หากรูปนามที่เป็นผัสสะมันเป็นเหตุเป็นผลกับตัวสมถะจริง มันก็เป็นเรื่องอยู่สุข ไม่ว่ากัน

    แต่สังเกตเถอะว่า บางครั้งมันกระทบรูปนามที่ไม่ใช่เหตุ แต่มันเห็นเป็นเหตุแล้ววิ่งไป
    ทำสมถะไปนู้น นั้นแหละ เห็นตัวนี้นะ จะเข้าใจคำว่า "สัญญาวิปลาส" ได้ถึงอกถึงใจ

    อันนี้แนะให้ดูเล่นๆ

    ที่เหลือ หรือที่จริง ก็ดูไปตามสิ่งที่มันติดมันข้อง มันจับมาผลิกดูนั้นแหละ

    * * * *

    อันนี้จะให้แจ่มๆ ผมจำได้ว่า หลวงตามหาบัวก็เทศนไว้เหมือนกัน เรื่องการ
    ดูยิบๆยับๆ กรรมฐานเวลามันลงใจแล้วมันก็เห็นอยู่แค่นั้น แล้วจะเห็นเลยว่า
    ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะจงใจจะดู หากจงใจจะดูนั้นแหละติดข้องไม่เห็นไตรลักษณ์
    แล้ว จิตไม่ตั้งมั่นแล้ว

    คราวนี้มันจะชัดว่า พระ ทำไมบางท่านถึงพูดว่า "ไม่ต้องทำอะไร" แต่กว่า
    จะมาถึงตรงจุดไม่ต้องทำอะไรนี่นะ โห..........เว้นไว้เพราะของใครของมัน.....

    แต่ตรงนี้ อย่าพึ่งดีใจว่าเห็นอะไรนะ ตรงนี้แหละที่เขาเรียกว่า "พึ่งเริ่ม!!"

    และ ปัญญาความคิดความอ่านจะหมุนเพื่องานที่ถูกมากขึ้นอย่างเป็นลำดับไป

    สติปัฏฐานทำถูกเมื่อไหร่ สัมมัปธาน ก็พึ่งเริ่มนั้นเอง (สัมมาทิฏฐิมันเริ่มมี )

    จะต่างกับ พวกเอะอะ สัมมัปธาน เกิดแล้ว กูเก่งๆ ฟ้ากับเหวเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2011
  18. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ก่อนภาวนาเรื่องจิตควรทำความรู้จักใจก่อน พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งหลายสำเร็จได้ด้วยใจ มีใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน การฟอกจิตใจให้ขาวรอบก้ทำได้ด้วยการภาวนา มีกรรมฐาน 40 กองในแบบ เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เห้นสักแต่ว่าเป็นธาตุที่ห่อหุ้มร่างกาย สกปรก ไม่งามจริง มีตายอยู่ตลอดเวลา เพราะมันเป้นไปตามไตรลักษณ์ ภาวนาโดยการเดินจงกรมหรือภาควิปัสสนากรรมฐานก็ได้ ที่ว่าสมาธิติดสุขนะ สุขก้เสพไปซี่ เอานิโรธสมาบัติได้นี้ก้ดี ไม่เห้นว่ามันจะบ้าไปไหน สมาธิมี 3 ขั้น เหนือกว่านั้นคือรูปฌาณและอรูปฌาณ นักภาวนามักจะพอใจในจตุถถฌาณ เพราะจิตรวม(ใจว่างสงบสว่างและดี) เมื่อสมาธิตั้งมั่นก้ก้าวเข้าภาคปัญญา ดังตัวอย่างที่กล่าวมา ส่วนการเพ่งโครงกระดุกนั้นเป้นตัวหนุนสมถะ เพื่อคลายความหลงในกองสังขาร ว่ามันไม่สวยงามจริง เป้นแต่เพียงธาตุ ขนรักแร้ของหนุ่มหล่อๆนี้แหละกระชากดลกีย์ผุ้ปฏิบัติหล่อๆได้ เอ้าเจงๆ เพราะมันกำหนัดนัก เขาสั่งทำอะไรก้ทำ นี้แหละความวิปริต ลองพิจรณาดู ละได้ด้วยความเพียร ขยันหมั่นเพียรเอา เอาออกให้หมด สงบระงับ สำรวม ดับสนสนิท ดับสนิท การภาวนาก้ควรลงมาที่กายนี้แหละ กายเรากายเขาก้ได้ เอาให้ช่ำชอง ว่ามันไม่สวยงามไม่น่ากำหนัดยินดี มันเป้นอนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ,อนัตตาคือมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตน ว่าขั้นสูงก้คือว่างไม่มีตัวตน ว่างทั้งเราเขาและทุกอย่าง คือมันเป้นธาตุ และตุมันก้ว่างก้ว่างไง จะไปหลงไปยึดอะไรล่ะกับธาตุหล่อๆสวยๆ เหม็นๆ เน่าๆ จูบกันลมหายใจเหม็นๆมารดกันสูดเข้าจมุกไปทำไมอย่างนันเหรอ พยายามละออกและดำริไปนิพพาน ส่วนนิพพานนั้นดับกิเลสไม่เหลือเชื้อการเกิด ก้ดับภพได้ ก้ไม่มีวิญญาณปฏิสนธิอีกต่อไป การก้าวไปสู่การรวมกันของอสุจิหรือเสปิร์มกับไข่ก้ไม่มี ภพดับ ชาติก้ดับ กิเลสตัรหาความอยากได้อยากมีอยากเป็นและกามดับก็ไม่เกิดอีกต่อไป ก็นิพพาน.....
     

แชร์หน้านี้

Loading...