"จิต"นี้ "ไม่เกิดไม่ตาย"

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xtrem, 12 มีนาคม 2016.

  1. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ตรงคำว่า. อวิชชา บังไม่ให้เหน


    อันนี้ ไม่ต้องทะลึ่ง พยักหน้าหงึกๆ. จุ๊กกรู้ เข้าใจ. ด้วยตรรกกะ ด้วยบัญญัต นะฮับ

    ทำไม่ได้หรอก. ถ้าไมถอนด้วยการปฏิบัติเข้าไปเหน

    เดี๋ยวก้ทนไม่ได้ ต้องไปหาธรรมโงโง. มายอนแย้ง. บังเงา อยู่ดี


    ยกตัวอย่างสุดยอดคนดี ต้าวสวรรคิ์ชั้นหก. ทำดี ทำฌาณคล่อง. แต่บัญญัติการไม่ยึด
    โน้น......ชืออีกชื่อของสวรรคิ์เลยมี มาร. ระบุโต้งๆไปเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2016
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    น้องๆ. หนูๆ. ลองใคร่ครวญตามดูเนาะ

    ลองกระดิกนิ้ว

    ปุถุชนไม่เคยสดับเลย. จะเกิดคำถาม ขยับทำแปะอะไร

    ปุถุชนเคยสดับ. จะกระดิกนิ้ว แล้วระลึกได้ว่า เส้นเอนตึงกะหย่อน

    ทวนกระแสได้หน่อน. ก้เหนกล้ามเนื้อ

    ทวนกระไปอีก. ก้เหนกระแสไฟฟ้าบางอย่างตรงเซล

    ทวนไปอีก. ก้เหนที่บริเวนลิ้นปี่มีพลังงานบางอย่างจี๋ๆอยู่ก่อนแล้ว
    แล้วมันเคลื่อนออกไปจากตรงนี้

    ทวนไปอีก ที่มันจี๋หมุนติ้วตรงนี้ แค่เสสะบางส่วนเท่านั้น ที่หมาย ที่ครอง
    เพื่อการกระดิก. เพื่อการเปรียะปะในเซลกล้ามเนื้อ ที่เหลือคือ มืดแปดด้าน
    เว้นแต่ จยกอะไรมาเปนตัวพิจารณา. แลนดอมแสมปิ้ง. กายในกาย


    สรุป. นิ้วเปลี่ยนแปลงอริยาบท. เพราะ. เหตุอะไรเกิดดับ
    ดวงหนึ่งเกิด. ดวงหนึ่งดับ. ทั้งคืน. ทั้งวัน. จี๋ๆ. ตามปัจจัยการ
    อิทัปปัจจัยตา หรือ กฏแห่งกรรม. ขนหัวตั้ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2016
  3. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ทีแรกก็นึกว่าอะไร จะมัวมานั่งนับวิถีจิตกันเหรอ
    จริงๆ ผมเข้าใจผิดไปเอง วิถีจิตมันอีกเรื่องนึง
    มันไวนะความคิด ถ้าประกอบด้วยการถือทิฏฐิสุด
    โต่ง อาจจะเฉลียวกลับใจไม่ทัน หน้ามืดไม่ฟังเลย
    ก็ได้ อันนี้คือข้อนึงที่คนฟังธรรมเสวนาธรรมจะต้อง
    มองปรากฎการณ์ให้ออก ทัน และข้ามอกุศลมลทิน
    อินในอารมณ์ให้เป็นครับ
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ฮี้ ฮี้ ฮี้

    อันนี้สำหรับ. หัวข้อกระทู้ เอาไว้แก้ จิตเที่ยง



    "มัน. ไม่แน่"




    จบ
     
  5. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    แต่พอลองกระดิกนิ้วตาม เออจริงแฮะ จิตมันสั่งไปที่
    กาย ละเอียดยิบ ธรรมชาติเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง
    เกิดดับไปตามเหตุปัจจัย อ้ออย่างนี้นี่เองเขาถึงว่าจิตเกิดดับแสนโกฏขณะ รับรู้แล้วจบ

    แต่ความเกิดดับคงเห็นได้หลายลักษณะ ผมไม่เห็นละเอียดขนาดนั้น เหมือนเคยเห็นลักษณะนี้ไปแล้ว
    และไม่ได้ไปติดใจกับมันแล้ว แต่เห็นอารมณ์เกิดดับ
    แทน เกิดแล้วถ้าไม่ทันก็โง่งมโข่งตะกุยตะกายกันไป
    พอดับก็จบ ย้อนระลึกได้ อันนี้โง่งมโข่งไปตามเหตุ
    ปัจจัย ความยึดมั่นถือมั่นพอมันมี มันก็เป็นทุกข์ทุกที
    ไป เล่าให้ฟังแต่ไม่ได้ให้ก็อปปี้หรอก แต่ธรรมชาติ
    มันจะก็อปปี้เองอัตโนมัติ ตามรู้ทันก็พอ ทุกปรากฎการณ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2016
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ก็แล้วแต่ฮับ

    บางท่านก็ว่า จี๋ๆ อะไรนั่น เห็นเป็นคราวๆ ไม่ได้เห็นทุกวัน บางที
    หลายปี กลับมาเห็นทีหนึ่ง

    บางคนเห็นทั้งวัน บางคนเห็นทั้งคืนด้วย

    อย่างกรณี หลวงพ่อเยื้อน อันนั้น เทศนาท่านอ้างจาก
    หลวงปู่ดูลย์อีกทีว่า ถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ ตรงนี้จะไม่หายไป
    ทำให้หายไม่ได้ [ ท่านเลยเน้นกลืนน้ำเย็นเพื่อพาไปตะล่อมๆเห็น ]

    พระที่ท่านเรียนกับหลวงปู่ฝากไว้ ท่านก็บอกอีกทีว่า มันจะหาย
    มันก็หายเอง ไม่ได้อยู่ตลอด เพียงแต่ว่า คนที่ผ่านไปแล้ว
    เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน สิ่งนี้จะปรากฏเป็นดั่งของเล่น เหมือนคู้
    แขนเข้า เหยียดแขนออก ......

    ดังนั้น จี๋ๆ คืออะไร ท่านก็บอกว่า มันไม่ต่างจาก ธรรมอื่นๆ หน้าที่
    มันคือ มาแสดงการไป การมา ยังมีไป มีมา มีเข้า มีออก เป็นจุด
    เป็นต่อม เป็นดวง เป็นวงจักรมืดบ้าง ขาว สว่างประกายพฤกติบ้าง
    ไม่เกี่ยวอะไรกับ รู้ธรรม แจ้งธรรม รู้ว่าพ้น

    .....อ่านดีๆ จะเห็นว่า ยังเป็นคนละเรื่องล้วนๆ



    ปล.ลิง : กรณีที่ ไม่เห็นจี๋ๆ แต่เห็นกว้างๆ ไร้ขอบ อันนั้น ลองกำหนด
    รู้ เมตตา กรุณา เจตสิกมีในสมัย เน้นว่า เจตสิกนะฮับ ไม่ใช่ อารมณ์
    เมตตากรุณา ที่เป็นดุสิต สุขาวดี เป็นบ้าน เป็นเมือง ไม่เอา โหลยโถ้ย

    ถ้าเมตตา กรุณาเจตสิก มีในสมัย......ติดแหงกหน่าฮับ อย่าสำคัญว่า
    ไร้ขอบไร้เขต ไปโดนมันหลอก [ พวกเป็นครู ติวเต้อ เมนเตอร์ เสร็จหมด ฮี้ ฮี้ ฮี้ ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2016
  7. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    สายตาเฉียบคมนะครับ
    ความสนใจในการเข้าไปวิจัยผมไม่ค่อยเกิด
    เว้นแต่จะปรากฎเอง รวม ๆ ก็คือเรื่องของสังขาร
    สังขารเกิดดับ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ..
    กราบพระมหากรุณาธิคุณกันเถอะครับ..
     
  8. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    ***ขอเสริมเรื่องจิต และความวิจิตรของจิต ๖ ประการ***

    จิต....คืออะไร?

    จิตฺตีกโรตีติ - จิตฺตํ แปลความว่า ธรรมชาติใด ทำความเป็นไปของสัตว์ทั้งหลายให้วิจิตร ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า "จิต"

    ฉะนั้น จิตจึงมีอำนาจทำให้ธรรมชาติทั้งหลายเป็นไปโดยวิจิตร ประมวลความวิจิตรของจิตไว้ ๖ ประการ คือ....

    ๑. วิจิตรโดยการกระทำ หมายความว่า วัตถุสิ่งของทั้งหลาย ที่ปรากฏอยู่ในโลก และความประพฤติเป็นไปของสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้น ย่อมมีทั้งงดงาม แปลกประหลาด น่าพิศวง และน่าสยดสยองนั้น ล้วนสำเร็จได้ด้วย จิต

    ๒. วิจิตรด้วยตนเอง หมายถึงสภาพของจิตนั้น มีความเป็นไปอย่างน่าพิศวงนานาประการ มีทั้งจิตที่เป็นอกุศล กุศล วิบาก อภิญญา และกิริยา เช่นจิตที่มีราคะ จิตมีโทสะ และจิตที่มีศรัทธา อภิญญา ปัญญา และจิตที่สงบ เป็นต้น

    ๓. วิจิตรในการสั่งสมกรรม และกิเลส หมายถึง กรรม คือการกระทำ และกิเลส เครื่องทำให้จิตเศร้าหมอง ที่ปรากฏขึ้นแก่สัตว์ทั้งหลาย อยู่เป็นประจำนั้น เพราะมีการสั่งสมไว้ในจิตมาแล้วแต่อดีต ครั้นมาได้รับอารมณ์ใหม่ในปัจจุบัน ก็สนับสนุนกรรมและกิเลสให้ปรากฏขึ้นมาใหม่ และจะเก็บสั่งสมไว้ต่อไปอีก

    ๔. วิจิตรในการรักษาวิบากที่กรรมและกิเลสได้สั่งสมไว้ หมายถึงกรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรมที่จิตก่อให้เกิดขึ้น ผลของกรรมคือ วิบาก ย่อมไม่สูญหายไปใหน แม้กรรมนั้นจะเล็กน้อย หรือได้กระทำมาแล้วช้านานปานใดก็ตาม ผลแห่งกรรมคือ วิบากนั้น จะติดตามไปให้ต้องได้รับผล เมื่อถึงโอกาศ

    ๕. วิจิตรในการสั่งสมสันดานตนเอง หมายถึงจิตที่ก่อให้เกิดการกระทำอย่างใดขึ้นก็ตาม เมื่อได้กระทำอยู่เสมอๆเป็นนิตย์แล้ว ย่อมจะติดเป็นนิสัยสันดาน ทำให้เกิดความชำนาญในการกระทำอย่างนั้นเรื่อยๆไป จิตดวงเก่าที่ดับไปนั้น ย่อมส่งมอบกิจการงาน ให้จิตดวงใหม่โดยไม่ขาดสาย ในลักษณะที่เป็น อนันตรปัจจัย และอาเสวนปัจจัย (ปัจจัยที่เกิดขึ้นอุปการะติดต่อกันโดยไม่มีระหว่างคั่น) เป็นต้น

    ๖. วิจิตรด้วยอารมณ์ต่างๆ หมายถึง จิตย่อมรับอารมณ์ต่างๆอยู่เสมอ คือประเดี๋ยวเห็น ประเดี๋ยวได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส เป็นต้น สับเปลี่ยนเวียนวนอยู่ในอารมณ์ทั้ง ๖ มีรูปารมณ์บ้าง สัททารมณ์บ้าง คันธารมณ์บ้าง เป็นต้น..
     
  9. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    - คุณ นิวรณ์ คุณ TBoon คุณ Xtrem คุณ ยอดคน้า
    คุณ kenny2 ทุกท่านล้วน ค้านในสิ่งที่ผมกล่าวว่า ตัวผู้รู้มีสองตัว

    .....ผมมีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็น แล้วท่านผู้อ่านมีสิทธิ์แย้งได้ตามสบายไม่ว่ากัน

    ...ทุกท่านล้วน กล่าวว่า ตัวผู้รู้มีแค่ตัวเดียวคือจิต ส่วนนิพพาน บางท่านกล่าวว่าเป็นดินแดนแห่งหนึ่งที่จิตเข้าไปตั้งอยู่เมื่อนิพานแล้ว

    ...บางท่านกล่าวว่า เมื่อจิตถูกพัฒนาไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง ขจัดกิเลสหมดสิ้น ก็จะได้จิตเดิมแท้

    ...ก็ว่ากันไปครับ ส่วนผมก็จะบอกอย่างที่ผมเข้าใจ

    ....จิต อยู่ในขันธ์ห้า

    ...สัมปชัญญะคือการรู่สึกตัวของนามธรรม ที่ไม่อยู่ในขันธ์ห้า สัมปชัญญะคือการรู้สึกตัว การรู้สึกตัวก็คือการรู้ ของตัวผู้รู้อีกตัว

    ...ถ้าเราเคยอ่านคำสอนที่ว่า ไม่มีขันธ์ห้าในตน ไม่มีตนในขันธ์ห้า
    ...แสดงว่าตนกับขันธ์ห้าก็คือคนละส่วนกันแยกออกจากกัน

    ...ไม่เคยมีคำกล่าวว่า ไม่มีตนในตน เพราะแย้งในตรรกศาสตร์ แล้วตนในที่นี่้ก็คือนามธรรมคงที่อันหนึ่ง

    ...เวลาท่านตอบคำตอบผม ทำไมท่านไม่เอาสิ่งที่ท่านเข้าใจ และตำราที่ไม่ยาวนักมาแย้ง มีแต่ เอาสิ่งที่ท่านไปปฏิบัติ เกิดสิ่งโน้นสิ่งนี้ แล้วนำมาตอบผม ท่านคิดว่าสิ่งที่ท่านรู้ มันเป็นแค่วิปัสสนูปกิเลส มันเป็นแค่วิปาลาส ทางจิตเท่านั้นหรือเปล่า

    ...ถ้าท่านคิดว่า ตัวผู้รู้มีตัวเดียว เราก็ไม่ว่ากันเป็นสิทธิ์ของท่าน แล้วท่านแน่ใจนะว่าท่านคิดและเข้าใจถูก

    ...อันนี้ลองนะครับ สติ กับสัมปชัญญะ เป็นตัวผู้รู้สองตัว หรือตัวเดียวกัน ลองนั่งทำดูแล้วแยกให้ออก ว่ามีตัวผู้รู้กี่ตัว
     
  10. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    นิพพานสำหรับผมที่เข้าใจ
    คือกิเลสตัณหาสิ้นไปที่ใด นิพพานปรากฎที่นั่น
    เป็นความเข้าใจนะครับ เพราะอ่านจากพระไตรปิฎก

    และจิตเดิม บางคนเรียกจิตเดิมแท้
    ตามความเข้าใจสำหรับผม เป็นเพียงจิตปภัสสร
    ยังไม่ใช่ จิตสำเร็จบรรลุพระนิพพาน


    ส่วนจิตอยู่ในขันธ์ห้า
    สำหรับผมแล้ว ขันธ์ 5 อยู่ที่จิต

    มีจิตที่ไหน ขันธ์ 5 มันจะปรากฎ
    ขันธ์5 มันออกมาจากจิต


    คุยกับคุณประสิทธิ์ ก็ไม่รู้ว่า ยอมรับตำราพระไตรปิฎกหรือเปล่า
    เห็นเคยบอกว่า ชอบพระไตรปิฎก
    ก้พยายามยกจากพระไตรปิฎกมาให้อ่าน
    ไม่รู้อ่านหรือเปล่า

    หากไม่ได้อ่านมาบ้างหรือ ไม่เอาพระไตรปิฎกเป็นต้นทุน
    ก็ไม่รู้เหมือนกันครับจะเอาอะไรมาคุย

    แม้จะเอาการปฏิบัติมาคุยตามโอกาส ก็ต้องเอาอ้างอิงคำและภาษา
    จากพระไตรปิฎกมาอ้างอิงเหมือนกัน

    อย่างคำว่า สติ สัมปชัญญะ ก็มีอธิบายในพระไตรปิฎกอยู่แล้ว
    ไม่ได้เกี่ยวว่า จะคิดถูกหรือคิดผิด
    เพราะไม่ได้คิดเอง พระพุทธเจ้าคิดมาให้แล้ว

    แต่เราอ่านเอาพอเข้าใจในพระไตรปิฎก
    และก็ลงมือทำเอา


    เว้นแต่เพียงว่า จะไม่ยอมรับพระไตรปิฎก
    ก็คงคุยกันไม่รู้เรื่องครับ
     
  11. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    คุณ Prasit5000 อาจยังไม่เข้าใจในเรื่องของ สติ กับ สัมปชัญญะ ดีพอ ผมขอ อธิบายแบบนี้ สติ คือ ความระลึกได้ ทุกคนย่อมมีสติ หมาแมว หรือ สัตว์ต่างๆทั้งหลายในโลกมันก็มีสติ หรือจะเรียกอีกอย่าง ว่า สัญชาติญานก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น คุณกำลังเดินอยู่แล้วเกิดเหยียบหรือไปสดุดอะไรล้ม ถ้าไม่ได้เหม่อลอย มีสติประคองอยู่ คุณก็จะต้องเอามือมายันพื้นไว้โดยอัตโนมัติ อันนี้เรียกว่า สติ ส่วน สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัว ว่าขณะนี้เรากำลังทำไร เช่น กำลังพูด คิด ทำงาน อ่านหนังสือ หรือ เดินเล่น ทั้งสติ และ สัมปชัญญะ ยังไม่ใช่ตัวผู้รู้ที่แท้จริง เป็นเพียงเครื่องมือของ สังขาร หรือ ขันธ์ 5 เท่านั้น ผู้รู้นี้ จะต้องรู้แจ้งโลก รู้อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จึงจะเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอย่างแท้จริง ส่วนที่คุณ Prasit5000 อยากจะบัญญัติว่า สติ กับ สัมปชัญญะ คือ ผู้รู้ 2 ตัว ก็ไม่ว่ากัน ประเด็นอยู่ที่ว่า จะมีผู้รู้กี่ตัวก็แล้วแต่ รู้แล้วดับอวิชชา พ้นทุกข์ได้หรือไม่ . :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2016
  12. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ...............คำตอบของ ปุถุชน เราท่าน คงเป็นคำตอบที่โหลยโถ้ย จริงจริง.....แต่ถ้า เอาความเข้าใจ ตามหลักการของพระศาสนา คือ ความ สิ้นทุกข์ ทั้งหลาย ก็ คงพอแก่ความเข้าใจ เบื้องต้น....แต่จะเอาคำตอบ ที่เป็น จินตนาการล้วนล้วน (มิจฉาทิฐฐิ) ทำไมถึงบอกว่า มิจฉาทฐฐิ เพราะ เราท่าน ยังไม่ มี สัมมาทิฐฐิ ที่บริบูรณ์ ยังมีความวิปลาสธรรม ไม่รู้เห็นตามความเป็นจริงเต็มเปี่ยม.... คำถามที่ว่า พระอรหันต์ดับขันธิ์แล้วเหลือ นามธรรมอันใดหรือ ไม่....จริงจริงแล้ว ควร เอาความสิ้นทุกข์ เป็นหลักของความเข้าใจเบื้องต้น ก่อน เพียงสิ้น ทุกข์ ก็...:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2016
  13. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี มองเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยน่ะครับ
    ถ้าไปสำคัญมั่นหมายมาก มันยิ่งมากเรื่อง ก่อภพก่อชาติ ก่อทุกข์ก่อโทษไปไม่มีที่สิ้นสุดเปล่าๆ
    เห็นความหลงมีตัวมีตนประเสริฐกว่า เพราะทำให้เห็นทุกข์ได้ครับ
     
  14. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ......คุณยอดคะน้าบอกว่า นิพพานอยู่ที่ใจ

    ......และบอกว่า จิตอยู่ในขันธ์ห้า

    .....อันนี้ ก็ถูกนะ ถ้าให้ผมว่า จิตก็คือมโนวิญญาณ เป็นอันหนึ่งในขันธ์ของ วิญญาณขันธ์ มีคุณสมบัติเป็นไตรลักษณ์ ถ้ามีใครไม่เข้าใจอย่างนี้ คิดว่า ขั้นต่อไปถ้าเราคุยกันก็จะทะเลาะกันเสียเปล่า เลิกคุยกันยังจะดีกว่าจะได้เป็นเพื่อนกันตลอดไป

    .....ส่วนนิพาน อยู่ที่ใหน มันก็อยู่เกาะเกี่ยวกับขันธ์ห้านี้แหละด้วยกิเลสสังโยชน์ จิต เจตสิค รูป นิพพาน ล้วนเป็นธาตุ ที่เป็นรูปธรรม และนามธรรม นิพพานธาตุมันไม่ได้อยู่ที่ใจ มันยึดเอาใจว่าเป็นตัวมันต่างหาก

    ....ผมบอกว่าชอบฟังพระไตรปิฏกมากว่าอ่าน เพราะ ท่านออกบแบบมาเพื่อฟังมิได้ออกแบบมาให้อ่าน เมื่ออ่านจะเข้าใจอย่างไรก็ต้องสรูปได้ ถ้าสรูปไม่ได้จะเรียกว่า ยังไม่เข้าใจ แต่ละคนก็เข้าใจไม่เหมือนกันถ้าชี้ให้ผมมาอ่าน ยกมาเลยครับ บนนี้เลย อย่างผมยกมาก็ยกที่พออ่านแล้วไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เราคุยกัน มิได้ตัดตอนพระพุทธพจน์เพราะยังเหลือให้ไปอ่านต่อในเวบ 48000 ได้
     
  15. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228

    ......ผมอ่านข้อความของท่าน ผมสรูปดังนี้ถูกหรือเปล่า

    ....ท่านpaetrixบอกว่า ไม่ต้องไปรู้ว่า พระอรหันตุตายแล้วเหลืออะไรหรือเปล่า ให้เข้าใจอย่างเดียวว่าสิ้นทุกข์เท่านั้น

    ....ห้ามนึกคิดว่าจะเหลืออะไรหรือไม่เพราะจะเป็นมิจฉาทิฏฐิ ดังนี้ใช่หรือไม่ครับ

    .....ถ้าผมพบพระพุทธองค์ผมก็จะถามว่า พระอรหันต์ตายแล้ว เหลืออะไร
    ....ผมศึกษาศาสนาพุทธผมต้องการศึกษาแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาผมไม่ต้องการแค่บอกว่า ภาวนาไปเถอะถึงเวลาก็จะรู้เอง
    ....ผมอยากรู้เป้าหมาย ผมอยากคุยกับนักปราชทางศาสนาที่เขามีภูมิปัญญาบอกผมว่าเหลืออะไร ถ้ากลัวเป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็ยกพระพุทธพจน์มาก็ได้

    ....ทำไมพบแต่ผู้ไม่รู้ อ้างโน้นอ้างนี้ กลัวสติจะล้ำหน้าปัญญาบ้าง สารพัด กลัวเป็นมิจฉาทิฏฐิบ้าง ห้ามคิดห้ามเข้าใจ
     
  16. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228

    ....ผมขอสรูปคำที่ท่านกล่าวดังนี้นะ
    ....สติคือการระลึกได้ มีในสัตว์ทั้ง มนุษย์ และสัตว์
    ....สัมปชัญญะ คือ ยังไม่ใช่ตัวผู้รู้ เป็นเครื่องมือของสังขาร หรือขันธ์ห้าเท่านั้น
    ....ตัวผู้รู้ จะต้องรู้แจ้งโลก อริยสัจ....
    ...บอกว่าการบัญญัติว่ามีตัวผู้รู้สองตัวแล้ว พ้นทุกข์ได้หรือไม่


    ...ท่านบอกว่าสัตว์มีสติ ด้วย แล้วสัตว์มีสัมปชัญญะได้หรือเปล่า แล้วสัตว์ทำสติปัฏฐานสี่ได้หรือเปล่า

    ...ส่วนผมเข้าใจว่าน่าจะมีแต่มนุษย์ และพวกพรหม สามารถเจริญสติปัฏฐานสี่ได้ อย่างช้างปาลิไลยที่ได้รักษาอุปฐากพระพุทธองค์ในป่าครั้งหนึ่ง ก็ไม่สามารถบรรลุธรรมได้เพราะไม่สามารถเจริญสติปัฏฐานได้

    .....สติ คือการระลึกได้ ท่านคิดว่า อะไรเป็นตัวระลึก จิตใช่ใหมละ จิตระลึกได้ว่าสิ่งนี้เคยเกิดขึ้น .เช่น ความโกรธ ลมหายใจเข้า หายใจออก เขาเรียกว่าผัสสะ การที่รู้ว่านั้นสีแดง นั้นสีเขียว นี้แบงค์ร้อย นี้มันเป็นสัญญาอันหนึ่ง

    ....สติต้องฝึก เคยฝึกดูจิตใหม จะเข้าใจง่าย เช่นฝึกดูจิตหลง ถ้าใจลอยเขาให้พยายามสภาวะสิ่งนี้ พอเกิดอีกครั้ง มันจะมีสติขึ้นมา แม้แต่ฝึกดูลมเข้าออก สติจะเกิดขึ้นอย่างมีระเบียบต้องมีการฝึก มิใช่สติทั่วไป
    ....ท่านบอกว่า สัมปชัญญะเป็นแค่เครื่องมือของขันธ์ห้า ทำไมท่านดูถูกสัมปชัญญะเช่นนี้ ท่านลองไปดูคำว่าสติใน เวบ 84000 คำว่าสติจะตามด้วยสัมปชัญญะเสมอ
    ... ทำใมสัมปชัญญะทางบาลีเขาแปลว่าการรู้สึกตัว รู้สึกตัว ของใคร ตัวของใคร ก็ตัวของตนนั้นไง
    ....เคยได้ยินหรือเปล่าที่ว่า ไม่มีขันธ์ห้าในตน ไม่มีตนในขันธ์ห้า จิตก็อยู่ในขันธ์ห้า แต่ตนไม่ได้อยู่ในขันธ์ห้า แล้วตนคือใคร ก็คือนามธรรมอันคงที่อันหนึ่งนั้นเอง

    ....ที่ท่านว่าตัวผู้รู้ จะต้องรู้แจ้งโลก ท่านคิดว่าตัวผู้รู้คือนามธาตุอันใหนในสี่อันนี้ จิต. เจตสิค. รูป. นิพพาน

    ....ที่ท่านว่า การบัญญัติว่ามีผู้รู้สองตัว แล้วพ้นทุกข์ได้หรือไม่ ท่านเข้าใจคำว่า จินตามยปัญญา กับภาวนามยปัญญาหรือไม่ จินตามยปัญญาคือรู้ด้วยใจ ก็มาจากสุตมยปัญญาการฟังการตรึกนึกคิด ประมวณผลด้วยใจ ส่วนภาวนามยปัญญาก็คือการทำการภาวนาเช่นการเจริญสติปัฏฐานสี่จนเกิด วิปัสสนาญาณ รู้แจ้งด้วยญาณ ถ้ายังไม่รู้ด้วยใจ จะไปภาวนาให้รู้ด้วยญาณ ยากครับ

    ....พระพุทธองค์ สอนมรรคแปดก็ยกสัมมาทิฏฐิขึ้นมาก่อนนั้นแหละให้รู้เข้าใจคำสอนก่อนถึงให้ลงมือ มิใช่คนรุ่นหลังบอกว่า ให้เอาสตินำปัญญา เลยนั่งหลับตาทำสติอย่างเดียวโดยไม่เข้าใจหลักแก่นแท้ โดยคิดว่าจะตรัสรู้เหมือนพระพุทธเจ้า

    ...ภาษาผมถ้าแรงไปของอภัยด้วยนะครับ
     
  17. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    พระอรหันต์ตายแล้ว เหลืออะไร? ขันธ์ ๕ รูปนาม ท่านดับหมดแล้ว ท่านคิดว่าพระอรหันต์ยังจะเหลือสิ่งใดอีกหรือ ท่านเข้าสู่พระนิพพานอันบรมสุขแล้ว ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดใน วัฎสงสารอีกแล้ว หรือท่าน คิดว่า ยังเหลือ จิต ผู้รู้ หรือ อะไรๆ ก็ล้วนแต่เป็นนามธรรมทั้งสิ้น มันไม่ได้มีตัวตนอยู่แล้ว หรือว่าท่านยังเห็นว่าจิตนี้เป็นตัวเป็นตนอยู่หรือ หน้าตารูปร่างมันเป็นอย่างไรล่ะ ถ้าเกิดเห็นจิตเป็นตัวขึ้นมาเมื่อไรก็เจ้ง อุปทานเอาไปกินหมด รูปนาม มันเป็นของๆๆโลก เป็นเครื่องพาเวียนว่ายตายเกิด ท่านไม่ได้เอาไปนิพพานหรอก คิดเห็นอย่างนั้น มันเป็น มิจฉาทิฐฐิ ไม่ต้องสงสัยเลย.
     
  18. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ....ท่านบอกว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เกิดขึ้นตามปัจจัย

    ....เปรียบเหมือนผมไปสำคัญมั่นหมาย เรื่องตัวผู้รู้มีกี่ตัว เพราะจะทำให้สำคัญมั้นหมายว่ามีตัวตนจนก่อภพก่อชาติ..

    ....ผมนะก็ไปตามท่านนั้นแหละ อย่างคำว่าผู้รู้ ผมก็ฟังมาจากพวกท่านนั้นแหละ ผมก็เลยเอามาพูดตามท่าน เพียงแต่ผมว่า มันมีการรับรู้ สองแบบ คือรู้ของจิต และรู้ของสัมปชัญญะ คือความรู้สึกตัว ความรุ้สึกตัวของตน ส่วนสติคือความระลึกรู้ของจิต เท่านั้น

    ....ผมถามจริงๆ นะส่วนตัวๆเลย สัมปชัญญะ ท่านคิดว่ามันมีลักษณะอย่างไร หรือไม่จำเป็นต้องเข้าใจ
    ....สมัยก่อนผมไม่่เข้าใจคำสอนที่ว่า รู้ลมหายใจ รู้สั้น รู้ยาว รู้กองลมทั้งปวง รู้ตัวทั่วพร้อม โอ้ ที่แท้ก็ท่านให้มีสติรู้ลมเข้าออก แล้วตามด้วยสัมปชัญญะ ก็คือรู้สั้น รู้ยาว .... นั้นเอง ไม่ได้ให้รู้แค่ลมเข้าลมออก
    ...ท่านเคยฝึกเพ่งกสิณหรือเปล่า อันนี้ เป็นการระลึกรู้ภาพกลมๆในตัวสัญญาแท้ๆ ไม่เกี่ยวกับสัมปชัญญะเลย

    ...สัมปชัญญะคือสิ่งที่ต้องการให้เกิด การสร้างสติก็เพื่อให้เกิดสัมปชัญญะ สัมปชัญญะจะเกิดไม่ได้เลยถ้าาไม่มีสติ
    ...ถ้าไม่มีสัมปชัญญะ จะทำให้เกิดวิปัสนาญาณได้อย่างไร เพราะสัมปชัญญะที่ต่อเนื่อง จะพัฒนาไปเป็นญาณ

    ...ผม
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    สัมปชัญญะ คุณห้าพัน บอกเองว่า เกิดจากการเจริญสติ

    ก้แปลว่า มันเปน สังขตธรรม

    กระจายคำบาลี สังขต จะได้คำว่า สังขาร

    สัมปชัญญะ จึงเปนสิ่งปรุงแต่ง ต้องมีอาหาร มีปัจจัย

    ซึ่งแปลว่า เกิด แล้ว ก้ต้องดับไป ค้างเปนอดีต อ้างว่า
    มีอยู่ไม่ได้ จะว่าไม่มีก้ไม่ได้ เพราะหากมีเหตุใกล้ สัมปชัญญะก้เกิดของมันเอง

    การเมาขนาดหนักเท่านั้น ที่จะไปยก สัมปขัญญะ คือ ผุ้รู้

    จิตผุ้รุ้จะเหนือกว่า สติ เหนือกว่า สัมปชัญญะ

    พูดอีกแง่ สติ สัมแชัญญะ เปนเพียงจิตลูกกระจ๊อก เปนบริขาร เปนสังขารรอบๆ ผุ้รุ้ ไม่สามารถสะเออะไปเปนผุ้รุ้ได้
    ยังห่างไกลหลายขุม

    นกแขกเต้า ชื่อ รักขิตะ สามารถเจริญ สติปัฏฐานสี่ได้ แต่
    ผลของการเจริญได้ ทำให้ตัดภพเดรัจฉาน เมาธรรม ไปเกิด
    เปนเทวบุตรในสวรรคิ์

    ช้างปาลลิไลยะ เปน หน่อพุทธภูมิ แปลว่า มีญาณโคตรภูประกอบห้อมล้อมจิต

    แปลว่าอะไร

    แปลว่า ท้าวเธอ เจริญไดยิ่งกว่าสติปัฏฐานสี่หลายขุม
    เจริญวิปัสสนาญานเก้า ได้นานนนนนนนนแล้ว ไม่มีสาวก
    ท่านใดจะหยั่งถึงได้ หากไปคิด ไปคาดเดาปรามาส จะเสียสติ
    สูญเสียสัมปชัญญะ ตัดมรรคผลนิพพานเอาได้ วิปลาสอยู่ก้เตือนสติไม่ได้

    จะแปร๋นๆๆๆๆๆ เสียยิ่งกว่าช้าง
     
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    พุดถึงเรื่อง อรหันต์แล้วเหลืออะไร

    นึกถึง กระทู้ นักงับเงา โพส แอน ล๊อค

    ได้โชวการดริฟ ธรรมเห็บหมา วัดบากน้ำเกิดภัย
    วัดจางบินเกิดภัย วัดสกทำกายารัม แสดงธรรมเห็บหมา

    ยกทันที การถวายข้าวเปนความหลง เปนภัย ตกนรก

    ยกทางตนใช่ ด้วยคำว่า สิทธิเฉียบขาด แต่ไม่รุ้ว่าต้องทำอะไร แค่เข้าพวกเปนใช่

    เรียกว่า ยอมรับอรหันต์ละขันธ์แล้วไม่เหลืออะไรให้เหนอีกแล้ว

    แต่ยังเมาหนทาง ได้แต่ร้องการ เข้าพวก อุปทานหมู่ จึง มีสิทธิเฉียบขาด อย่างฮาเฮีย
     

แชร์หน้านี้

Loading...