ฌานในศาสนาพุทธ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Dragon new, 15 เมษายน 2016.

  1. liqht working

    liqht working สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +3
    เคยนั่ง เห็นแสงจุดเล็กๆ ที่กระจัดกระจายในดวงตา รวมกันจนมันเป็นภาพ สิ่งที่เห็นคือ ถนน2แลน มีฝนตก มีต้นไม้ มีรถสิบล้อ พอคิดเรื่องอื่น แสงที่รวมตัวกันเป็นภาพก็สลายไปไม่เห็นอีกเลย
     
  2. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,863
    https://th.m.wikipedia.org/wiki/วิชา
    https://th.m.wikipedia.org/wiki/ญาณ

    ฝึกได้โดยใช้สมาธิและวิปัสสนาเพื่อให้เกิดปัญญาค่ะ....ทุกอย่างไม่สามารถลัดขั้นตอนได้...เมื่อปฏิบัติได้เต็มแล้วจะรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างที่สุด เมื่อนั้นอะไรมันก็ไม่อยากแล้ว ถึงมีฤทธิ์หรืออภิญญามันก็ไม่มีความหมายใดๆทั้งสิ้นค่ะ
     
  3. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    มาติดตามค่ะ ประสบการณ์ของแต่ละท่าน ถึงจะคนละแบบ แต่ก็ล้วนปลายเดียวกัน กราบสวัสดีคุณแม่พรหมณีด้วยค่ะ
    ปล.พึ่งเห็นคุณกลิ่นราตรี ยอมโพสสนทนาในกระทู้อื่น แถมน่าจะแนวเดียวกับคุณพรหมณี สาธุค่ะ..
     
  4. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,863
    อันนี้คือผลของการนั่งสมาธิถึงขั้นขณิกสมาธิ หลายท่านจะมีอาการต่างๆกันไป บางคนมองเห็นนั่นเห็นนี่ (หลับตาเห็น) ถ้าเป็นวิชา3 ข้อทิพจักขุฯ.....พวกนี้จะลืมตาเห็นค่ะ แต่กว่าจะได้ทิพจักขุฯ ( มันก็มีความเบื่อหน่าย ไม่น่าสนใจแล้ว)

    ข้อแนะนำพี่ก็คือเมื่อถึงขั้นขณิกสมาธิ ให้พิจารณาขั้นธ์ 5 ต่อไปเลย แล้วก้าวข้ามออกมา จะไม่เห็นอะไรอีกเลย....ถึงตรงนี้จะก้าวเข้าสู่ปฐมฌาณหรือฌาณที่ 1 จิตจะเริ่มละเอียดขึ้น แล้วเราจะได้รับรู้รสชาดแห่งฌาณนั้น...เราชื่นชมฌาณที่ 1 จนชำนาญก็ต้องพิจารณาขันธ์ 5 อีกเพื่อละวาง...คราวนี้จิตจะก้าวข้ามขึ้นฌาณที่ 2 3 4 ตามลำดับ......เราชื่นชมฌาณจิตจะรับรู้ได้เอง.....เมื่อเข้าสมาธิครั้งต่อไปจิตจะจดจำได้ก็จะเข้าได้รวดเร็วหรือว่าเป็นวสี

    ข้อสำคัญคือระหว่างเข้าฌาณจะไม่เห็นภาพใดๆทั้งสิ้น ถ้าจะเห็นอะไรจะลืมตาเห็นค่ะ คือเห็นด้วยตาเนื้อ....แต่การเข้าฌาณสมาธิจะได้นานเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับพลังหรือกำลังของจิตเราเท่านั้น...ว่าสามารถดำรงฌาณได้นานเท่าใดขึ้นอยู่กับการฝึกสติปัฏฐาน 4 เป็นสำคัญ โดยเฉพาะข้อกายานุปัสสนาฯ เพราะจะพ่วงไปกับข้อเวทนานุปัสนาฯ ขึ้นอยู่กับการทนความเวทนาของกายสังขารได้เท่าใด

    เพราะตรงนี้ต้องฝึกพิจารณาปล่อยวางสังขาร อย่างที่พี่แนะนำคือให้พิจารณาอสุภกรรมฐานจะไปได้เร็ว แต่หดหู่ เบื่อหน่าย จิตจะตามเกาะไปสติเราจะไล่ตามจิตไม่ทันปัญญาจะไม่เกิด พวกนี้ไม่ว่าจะเข้าฌาณระดับใด ล้วนต้องเลี้ยววกกลับมาพิจารณาสติปัฏฐาน 4 ทุกครั้ง เพราะร่างกายเราเป็นขันธ์ 5

    ถ้าเราได้ฌาณ 4 แล้วถึงจะขึ้นเดินธาตุกัมมัฏฐาน คือพิจารณากายหยาบเรา คือธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ....อันนี้แหล่ะคือเรื่องยากสุดๆ เพราะมันมีความเจ็บปวดรวดร้าวและทรมานอย่างที่สุด....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2016
  5. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,863
    แต่ในโลกนี้ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามย่อมมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาดั่งที่พุทธพจน์ของพระพุทธองค์กล่าวไว้.....แม้กระทั่งได้ฌาณ 4 แล้วก็มีความเสื่อมได้เพราะมีความเป็นอนิจจัง...ทุกขัง...อนัตตา คือความไม่เที่ยง

    ผู้ทีฝึกแล้วได้ฌาณ 4 แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งมีกิเลสมาเกาะกุมจิตเมื่อใด แล้วสติไม่สามารถตามติดจิตได้ทันในวาระหนึ่งฌาณ 4 ก็เสื่อมทันที จิตก็ตกลงมา จึงเห็นว่ามีพระบางรูปสามารถที่จะมีอภิญญาได้ ปลุกเสกเครื่องรางได้เป็นที่น่าอัศจรรย์ รวมถึงฆราวาสบางคน...พอมีลาภ ยศ สรรเสริญตามมา จิตก็แสดงความยินดีเกินความสงบระงับ เมื่อนั้นอวิชชาก็จะวิ่งมาเกาะจิตอีก....ถ้ารู้ไม่เท่าทันลด ละ วางกิเลสซึ่งต้องทำทุกขณะจิต เมื่อจิตพลั้งเผลอไปรับความยินดีนั้น ตัวกิเลสจะเข้าไปหุ้มและพอกหนาขึ้นอีกทุกวัน ต้องมาเริ่มต้นนับ 1 ใหม่ทุกครั้ง....เพราะตัวพี่เองสติปัฏฐาน 4 ตั้งแต่อายุ 23 คือครั้งแรกที่ได้ จนบัดนี้ 54 ปีแล้วก็ยังต้องวนไปพิจารณาสติปัฏฐาน 4 แบบนับ 1 ใหม่ทุกครั้ง....แล้วก็ยังไม่เข็ดกับกิเลส คือเผลอเมื่อไหร่กิเลสมันกระโดดเกาะทุกที เลยไปไม่ค่อยถึงไหน....เพราะเรายังจำเป็นต้องครองเพศฆราวาส ต้องทำมาหากิน ถึงจะประคองจิตด้วยมรรค 8 เมื่อมีอะไรมากระทบก็อดไม่ได้ที่จะยินดียินร้ายในทุกเรื่องราวไปเพราะจิตเรามันไว....แต่ข้อดีที่ปฏิบัติมายาวนานคือฟอกจิตชำระใจ ทำให้มีสติรู้เท่าทันจิต...แต่บางครั้งก็ไล่ไม่ทันเหมือนกันนะ กิเลสนี่มันตัวร้ายจริงๆ

    จึงไม่แปลกใจที่พระปฏิบัติหลายรูปที่ปลีกวิเวกในที่รโหฐาน บางรูปไม่ยินดีที่จะรับแขกหรือสนทนาธรรมด้วย เพราะท่านรู้ว่าเมื่อกิเลสมันตามมา กว่าจะชำระจิตต้องเสียเวลาทุกครั้งและมันน่าเสียดายเวลาที่ปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง...เว้นแต่พระบางรูปที่มีเมตตาท่านออกมาจากป่าโปรดญาติโยม ถึงวาระท่านก็ต้องปลีกวิเวกอีกเพื่อไปชำระจิต....อันนี้เล่าสู่กันฟังนะคะ

    ส่วนตัวพี่ทุกครั้งที่มีโอกาสหยุดเสาร์ อาทิตย์ พี่มักจะไปนั่งสมาธิที่ถ้ำแห่งหนึ่งแบบเช้าไปเย็นกลับ เป็นเพราะชอบความสงัด สถานที่เหมาะสม การพิจารณาธรรมก็ง่ายตามไปด้วยค่ะ เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งไปเจอวิศวกรที่ลาออกจากงานมาปฏิบัติธรรมก็ได้พูดคุยกัน ก็อารมณ์ประมาณนี้ คือเบื่อหน่ายแต่ไม่รู้จะทำไง ทิ้งทุกอย่างมาปฏิบัติจิตชำระใจก่อนที่จะออกบวชจริง

    สรุปเรื่องฌาณคิดว่าบางคนอาจจะไม่รู้ว่าได้แล้วเพราะเดี๋ยวนี้การปฏิบัติมักจะเป็นหมู่มาก เลยไม่มีการสอบวาระจิตไม่เหมือนสมัยก่อน....แต่บางคนก็ได้แบบแว๊บๆก็มีแล้วก็เสื่อมไป พอปฏิบัติอีกก็ไม่ได้แล้ว.....บางคนได้ครั้งหนึ่งก็ไปยึดติดมัน พอมันไม่อยู่แล้วก็ทึกทักเอาว่ามันยังคงอยู่ตลอดไป จึงมีแต่ความหลงผิด ยิ่งปฏิบัติยิ่งไปกันใหญ่ เอามาเล่ามาอวดกัน คนที่ไม่รู้แล้วตามอ่านก็หลงผิดตามๆกันไปเป็นพวง....ยิ่งถ้าเป็นพระภิกษุหลงผิดมาสอนฆราวาส พาลเข้ารกเข้าพงไปเลย แถมบางครั้งสอนญาติโยมแบบพายเรือในอ่างทำให้ปฏิบัติแล้วไม่เห็นผล...

    แต่คนที่ปฏิบัติแล้วเห็นผลก็มีเป็นจำนวนมากขึ้นอยู่กับว่าคนที่ปฏิบัติจะโชคดีได้อ่านและศึกษาตาม เห็นในนี้ก็มีหลายท่านค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2016
  6. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,863
    การปฏิบัติแบบพุทธกับพราหมณ์ที่มีความเหลื่อมซ้อนกัน

    ในความหมายแห่งจิตที่ถอดความมายาวนานนับ 1,000 ปี...คือวิถีของมนุษย์ในยุดนั้นๆจนถึงความเหมาะสมแห่งระดับสติปัญญาของมนุษย์ในสังคมย่อมมีความไม่เท่ากัน...จะเห็นได้ว่าในยุคอดีตหรือสมัยพรามหณ์มักจะมีพิธีกรรมเข้ามาร่วมด้วยเพื่อให้เกิดความศรัทธา...จะมีการบวงสรวง ระบำบำบวงเพื่อให้มนุษย์น้อมนำเข้าสู่วิถีแห่งจิต เมื่อปฏิบัติมายาวนานและสืบทอดมาเป็นวัฒนธรรมเปลี่ยนถ่าย เดินทางโยคย้ายมาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิ....ศาสนาพรามหณ์จึงมีการเดินทางมาสู่สุวรรณภูมิด้วย

    เมื่อศาสนาพุทธได้ก่อกำเนิดขึ้นมาและมีวิถีขนานกับพรามหณ์ ในบางยุคอาจมีการเหลื่อมซ้อนขึ้นมาเป็นวัฒนธรรมใหม่ เกิดการครอบหรือเปลือก ทำให้จิตแห่งพุทธะมีอาภรณ์ห่อหุ้มไปด้วย แต่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเมื่อกระเทาะเปลือกสิ่งที่ห่อหุ้มออกมาก็จะพบกับจิตแท้ของมนุษย์หรือจิตดั้งเดิมขึ้นมานั่นเอง

    ที่จะมาเล่าให้ฟังโดยการเปรียบเทียบก็คือศาสนากับพิธีกรรมที่ดำรงอยู่ในสังคมสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันก็เพื่อน้อมนำให้คนเราเข้าศึกษาวิถีแห่งพุทธะ...คือการน้อมนำเข้าสู่ภายในโดยการสลัดกิเลสตัณหาสิ่งที่ห่อหุ้มจิตให้หมดเพื่อให้จิตอิสระหลุดพ้นสังสารวัฎ

    พุทธกับพราหมณ์ก็มีวิถีเดียวกัน เพียงแต่มีเครื่องมือแตกต่างกัน...ทางพุทธที่ปฏิบัติจิตเพียงถ่ายเดียวก็มีฝ่ายเถรวาทหรือพระป่าอย่างสายหลวงปู่มั่น ถือครองผ้า 3 ผืน ฉันวัตรปฏิบัติฉันอาหารเพียงมือเดียว ปลงอสุภกรรมฐาน....ส่วนฝ่ายมหายานก็มีภาคพิธีกรรมที่มีภาคอภินิหารเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อเรียกจริตและความศรัทธาเฉกเช่นศาสนาพรามหณ์ที่แฝงอยู่....เราไม่อาจปฏิเสธได้เพราะมนุษย์เราพระพุทธองค์ยังทรงแบ่งไว้ 5 ประเภทเช่นบัวใต้น้ำ บัวปริ่มน้ำ บัวพ้นน้ำ...ฉนั้นมหายานจึงเหมาะกับบัวบางประเภท...

    แต่การปฏิบัติทางจิตสมาธิภาวนาครูบาอาจารย์เล่าสู่กันฟังว่า...ท้ายสุดการปฏิบัติแห่งจิตนั้นเฉกเช่นอย่างเดียวกัน...คือศาสนาพุทธได้เดินทับซ้อนไปในวิถีแห่งพรามหณ์...แต่มาสิ้นสุดที่อรูปฌาณ 4...ขึ้นอรูปพรหม 16 แล้วติดอยู่ตรงนั้น...ทางศาสนาพุทธครูบาอาจารย์ก็ขึ้นชั้นอรูปฌาณ 4 เข้าชันอรูปพรหม 16 เช่นกัน...ตัวอย่างที่เห็นมีครูบาอาจารย์หลายท่านอย่างหลวงปู่ฝั้น ที่เข้านิโรธสมาบัติก็อยู่ในชั้นนั้นๆ....

    แต่ศาสนาพุทธจะไปได้อีก 4 ชั้นคือสิ้นสุดอาสวะแห่งกิเลสและเข้าสู่พระนิพพานสำเร็จพระอรหันต์คือพ้นจากภาะการเกิดดับต่อไป...

    ทียกตัวอย่างมาเล่าให้ฟังก็เพื่อจะบอกว่าจะปฏิบัติแบบไหนก็ได้เช่นกัน...ขอให้เข้าสู่อรูปฌาณ 4หรือสำเร็จฌาณ 8...ที่เหลือก็ปฏิบัติให้หลุดพ้นสังสารวัฏเท่านั้นเอง...แต่เป็นการยากมากเพราะกิเลสรอบตัวมันเยอะมาก....ส่วนใครจะปฏิบัติเช่นไร แตกต่างกันอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับจริตของคนๆนั้นเท่านั้นเองค่ะ

    ส่วนอภิญญา 1-5 ล้วนทำให้เกิดฤทธิ์อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาของพระอริยเจ้า ถึงตอนนั้นท่านก็ไม่ได้สำแดงอภินิหารอะไรเพราะมันยึดมั่นถือมั่นไม่ได้แต่บางครั้งก็จำเป็นตัวอย่างเช่นพระโมคคัลลานะปราบพญานาคนันโทปะนันทะซึ่งมาแสดงฤทธิ์ พระรูปอื่นๆก็ไม่สามารถปราบพญานาคตนนี้ได้เนื่องด้วยวาระจิตของพญานาคนั้นไวมากพระเถระอื่นๆไม่สามารถตามจิตได้ทันเว้นแต่พระโมคคัลลานะเพียงรูปเดียวซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตามมา...อันนี้ยกตัวอย่างให้เห็นว่าอภิญญานั้นเกิดขึ้นได้จริง...แต่นำมาใช้ประโยชน์ได้จริงๆไม่ใช่นำมาอวดฤทธิ์กันซึ่งพระพุทธองค์ทรงห้ามและติเตียนพระภิกษุในเรื่องแสดงฤทธิ์แต่จริงๆเมื่อได้อภิญญาแล้วก็สามารถทำได้ทั้งสิ้น

    ส่วนอภิญญา 6 คือสิ้นอาสวะกิเลสก็คือพระอริยเจ้านั่นเอง...คือไม่หวนกลับมาเกิดแล้วนั่นเองค่ะ

    แค่เล่าสู่กันฟัง
     
  7. กลิ่นราตรี

    กลิ่นราตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +5,152
    (eek) ขอขอบคุณคำตอบจากคุณพี่พรหมณีมากนะคะ แม้สิ่งติดค้างสงสัยจะยังไม่คลี่คลาย

    จึงขอยกตัวอย่างความเป็นไปของสองท่านมาเล่าสู่กันค่ะ
    ท่านแรกเป็นพระภิกษุที่ยังคงมีกายเนื้อเช่นเราๆนี่แหละนะคะ แต่จะกล่าวเอ่ยพาดถึงท่านให้น้อยที่สุด และไม่ขอเอ่ยนามถึงท่านชัดเจน

    ท่านที่สองเป็นบุคคลธรรมดาที่ครองเรือนตามปกติวิสัยมนุษย์ผู้หนึ่งค่ะ

    เริ่มที่ท่านหลังนะคะ

    คุณคนนี้มีความผิดปกติทางการเจ็บป่วยค่ะ คือทางการตรวจรักษากับแพทย์แผนปัจจุบันนั้น ผลคืออวัยวะหลักสำคัญเสื่อมสภาพก่อนถึงวัยอันควร
    หัวใจเต้นช้าผิดจังหวะ ชีพจรเบาบางจนแทบจับไม่ได้ และช้ามากค่ะ ระบบเลือดก็แย่ ทุกระบบอ่อนแรงค่ะ
    การทำงานของตับ ไต อะไรต่างๆก็เชื่องช้าอืดอาดกว่าวัยจริงของเขาค่ะ ร่างกายอ่อนแอรับเชื้อโรคได้ง่าย ภูมิคุ้มกันต่ำ

    คุณคนนี้ไม่นิยมกรรมฐานมาก่อน แต่อยู่มาวันหนึ่งก็ลุกขึ้นมากรรมฐานทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อนนะคะ
    สิ่งที่พบในครั้งแรกก็คือ คนคุ้นเคยเก่าๆแต่หนไหนไม่ทราบมาปรากฏ และสั่งการกำกับให้ทำเช่นนั้น เช่นนี้ คุณเขาก็ทำตามไปค่ะ

    จากวันนั้นในยามหลับคุณคนนี้ก็นอนหลับ แต่เหมือนไม่หลับ คุณเขาจะมีสภาพเสมือนตื่นและเดินอยู่ในสถานที่อีกส่วนหนึ่งที่เงียบสงัด
    ที่แห่งนั้นก็จะมีแต่พระกับพระค่ะ และท่านก็นำพาให้คุณเขาได้รู้ว่า ได้เคยมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรต่อกันมาบ้าง
    นี่คือยามร่างกายหลับนะคะ ยามตื่นคุณเขาก็ปกติดี แต่ยังมองเห็นในสถานที่แห่งนั้นเหมือนตอนหลับซ้อนกับภาพในชีวิตประจำวัน

    จากนั้นมากรรมฐานของคุณเขามีแต่ดวงดาวกับท้องฟ้าที่มืดครึ้มก่อนนำพาสู่เรื่องราวอื่นๆ

    ที่น่าประหลาดคือ พระที่คุณเขาพบในสถานที่แห่งนั้นก็จะช่วยรักษาอาการป่วยให้ค่ะ ท่านจะเริ่มสอนคุณเขาเข้ากรรมฐานและทำตามคำท่านสั่งไปเรื่อยๆค่ะ
    อาการเจ็บป่วยของคุณคนนี้หายวันหายคืนโดยไม่ได้เข้ารับการรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบันอีกต่อไป
    แต่ผลตรวจร่างกายยังฟ้องเจ็บป่วยนะคะ โดยคุณเขาไม่มีอาการทางด้านความรู้สึกค่ะ
    เช่นผลเลือดจาง แต่คุณเขาจะไม่มีอาการป่วยของคนเลือดจาง และหายเจ็บกระเสาะกระแสะ

    คือจะรู้ว่าตนเองกำลังป่วยก็ในเวลาตรวจเลือดติดตามผลเท่านั้น และแพทย์ก็จะไม่ให้ยามาปรับประครองสภาวะต่างๆของร่างกายเช่นก่อนๆ นะคะ
    แค่นัดตรวดเลือดเป็นระยะตามกำหนดเวลา

    คุณเขาก็งงกับเรื่องของตัวเองมากมาย จึงหาทางพูดคุยกับผู้รู้กรรมฐานค่ะ
    ท่านผู้นี้ก็ตามดูรายละเอียดของคุณคนนี้และบอกแก่เขาว่า ทุกอย่างที่เกิดกับเขานั้นเหมือนกับพระภิกษุรูปหนึ่งทุกอย่าง จึงเล่าให้เขาฟังถึงท่าน

    พระภิกษุท่านนี้ก็มีอาการเช่นคุณคนนี้ เมื่อสมัยท่านบวชใหม่ๆ คือ ป่วยเรื้อรังแบบหาเหตุไม่พบ และได้รับการรักษาจากใครบางคน(ขอไม่กล่าวถึง)
    ทางภาพฝัน ภาพนิมิต ด้วยการดึงเอาพลังงานภายนอกเข้ามาผนึกแทนที่พลังงานที่เกิดจากภายในแทนที่
    เนื่องจากจุดกำเนิดพลังวัตร(กำลังภายใน)เสื่อมถอยลงจากสภาพสังขารที่ร่วงโรยก่อนวัย

    หมอกรรมฐานได้บอกล่าวว่า พระภิกษุท่านนี้ถูกรักษาด้วยกระบวนการแปรธาตุจากครูอาจารย์ของท่านน่ะค่ะ
     
  8. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,863
    อ่อ...พอเข้าใจแล้วค่ะ..

    คือการนำสมาธิน้อมนำเข้าสู่กาย...หรือการพิจารณาธาตุขันธ์-อายาตนะสัมพันธ์...ก็คือการที่นั่งสมาธิพอถึงจิตระดับหนึ่งแล้วถอยจิตมาพิจารณากายโดยละเอียด...ตรงไหนที่มีจุดเปราะหรือมีปัญหาจิตเราก็เริ่มคว้านเซลหรือ revise cell และเริ่มต้นปรับเปลี่ยนให้เซลนั้นกลับมาทำงานดีขึ้น...

    จะเห็นว่ามีพระภิกษุหรือแม่ชีที่ปฏิบัติส่วนมากจะผิวพรรณดีผ่องใสอย่างที่เราเห็นๆกัน...พระบางรูปเมื่อเข้าไปบวชและปฏิบัตสมาธิแบบจริงๆจังโรคภัยไข้เจ็บก็หายไปจากพลังแห่งจิตตานุภาพนั้น...มีน้องที่ทำงานป่วยเป็นเนื้องอกในมดลูกขนาด 8 cm....เมื่อนั่งสมาธิบำบัดไประยะหนึ่งผ่านไป 6 เดือนไปอัลตราซาวด์ไม่พบเนื้องอกนั้นแล้ว อันนี้ถือว่าสมาธิรักษาโรคได้จริงค่ะ

    ส่วนประสบการณ์ของพี่โดยตรงคือพี่อายุ 54 ปีแล้วหมดประจำเดือนไปตั้งแต่ปี 2546 ก็ป่วยกระเสาะกระแสะ เป็นลมบ้าง ไม่สบายตัวบ้าง...มีอยู่วันหนึ่งพี่ไปนั่งสมาธิที่ถ้ำเพราะหลับตาปุ๊บร่างกายก็หายไปเพราะเป็นวสี...ก็มีเสียงมาบอกทางจิตบอกให้ถอยจิตกลับไปครองสังขาร ผลก็คือร่างกายเจ็บปวดรวดร้าวมาก...ทั้งเหน็บชา ทั้งร้อน ทั้งปวดเมื่อยมาครบ...หลังจากนั้นครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าวันนี้จะมาสอนเรื่องธาตุขันธ์-อายาตนะสัมพันธ์...ให้เราเดินจิตไล่ตั้งแต่หน้าผากลงไปที่ข้อต่อต้นคอและไล่ไปตามกระดูก...ต่อมาไล่ไปตามเส้นเอ็น ต่อมาไล่ไปตามเส้นเลือด ในความหมายคือทั่วร่างกายนะคะ...ต่อมาไล่ไปตามเนื้อเยื่อ ไล่ไปตามโพรงอากาศ ใช้จิตอย่างเดียวไล่ไปตามทุกเซลทั่วร่างกาย...ส่วนตัวสังขารขันธ์ร่างกายนั้นรู้ตัวทั่วพร้อมทุกอย่าง...ผลก็คือเหงื่อผุดไปทุกรูขุมขน...ต่อมาก็ไล่ไปสู่ปลายมือปลายเท้าปลายนิ้ว...รวมถึงไล่ไปตามทุกรูขุมขน...ทั้งร้อนทั้งเจ็บปวดผ่านไป 2 ชั่วโมงออกจากสมาธิ...ผลก็คือประจำเดือนสีดำๆคล้ำๆออกมาเยอะมาทั้งที่หมดประจำเดือนไป 6 ปีแล้ว...หลังจากนั้นประจำเดือนก็มาอีก 6-7 วันถึงหมดไป....ความรู้สึกเป็นลมบ่อย ป่วยกระเสาะกระแสะก็ดีขึ้นค่ะ

    อันนี้ถ้าใครสามารถทำได้นำไปทำได้เลยค่ะ ไม่มีลิขสิทธิ์ ถือว่าเป็นการเผยแพร่ประสบการณ์...อันนี้เป็นเรื่องของจิตล้วนๆ ไม่ใช่อภินิหารแต่ประการใด...

    ส่วนเรื่องเสียงที่ผ่านเข้ามาในจิตแล้วสอนสั่งอันนี้เป็นเรื่องของบุญพาวาสนาส่ง...ซึ่งแต่ละบุคคลอาจมีครูบาอาจารย์มาแล้วแต่ใครจะโชคดีมีวาสนาค่ะ...

    ส่วนเรื่องการดึงพลังงานภายนอกมาใช้ หรือการเชื่อมต่อภายนอกและภายในยังมีภาคต่อค่ะ เอาไว้ว่างๆจะมาเล่าสู่กันฟังค่ะ ว่าทุกคนก็สามารถกระทำได้ถ้ามีคนแนะนำค่ะ
     
  9. กลิ่นราตรี

    กลิ่นราตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +5,152
    (ping-love

    ยังอยากจะเขียนเล่าต่อถึงขั้นกระบวนการที่ได้รู้มาคร่าวๆจากคุณเขาให้พี่พรหมณีอ่านนะคะ
    เผื่อใจว่าพี่จะได้ช่วยแปลไทยเป็นไทยขยายให้เข้าใจมากขึ้นกว่านี้

    แต่...คนแถวี้หน้างอ(หงิกด้วย)
    บอกมาเสียงอู้อี้หิวข้าวแล้วล่ะค่ะ
    งั้นไปก่อน จะมาเขียนเล่าอีกทีตอนมีเวลาว่างมากพอนะคะ

    ต้องขอรบกวนพี่พรหมณีด้วยค่ะ ช่วยแวะมาอ่านหน่อยนึง
     
  10. liqht working

    liqht working สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +3
    แต่มันสนุกดีนะ อยากจะเห็นอีก แต่ก็ไม่เห็นอีกเลย หลังจากนั้น
     
  11. กลิ่นราตรี

    กลิ่นราตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +5,152
    (ping) มาถึงเรื่องราวส่วนต่อไปของคุณคนนั้นค่ะ

    ในส่วนการฝึกปรือพระกรรมฐานของคุณคนนั้นจะไม่ขอกล่าวถึงแล้วกันนะคะ ด้วยเพราะว่าเหมือนกับที่คุณพี่พรหมณีเขียนเล่าไว้ ตามนั้นเลยค่ะ

    ความต่างของคุณคนนั้นกับพี่พรหมณีต่างกันตรงที่ คุณเขาไม่เคยรู้เรื่องราวใดๆของกรรมฐานมาก่อนเลย แม้กำหนดใจตามลมหายใจเข้าออกยังไม่คุ้นเคย
    การนำของผู้ที่ปรากฏบอกสั่งไม่อธิบายความให้มากเรื่อง ทำให้ดู แล้วให้ทำตามไปพร้อมช่วยประคับประครองให้พ้นผ่านเท่านั้นค่ะ

    คุณเขาถูกนำพาให้พบกับจุดแสงเปล่งสีที่กำเนิดขึ้นทีละจุดจากการฝึกผ่านตามแนวแกนสันหลังยาวตั้งแต่ตำแหน่งก้นกบจนเลยถึงกลางกระหม่อม
    จุดสุดท้ายที่ยอดศรีษะหรือกระหม่อมนั้น ผู้นำสอนได้ช่วยขับดันเปิดทะลวงพลังงานให้จนสามารถเชื่อมต่อรับเข้าและผลักออกพลังงานทั้งภายในและภายนอกร่างกาย

    นับจากนั้นมาการเดินธาตุภายในที่ถูกพร่ำสอนไว้ได้เสมือนดั่งไร้ซึ่งขีดจำกัด

    เดิมทีคุณเขาถูกสอนและมองเห็นร่างกายตนเองในลักษณะที่ไม่งาม
    มองเห็นละเอียดทุกอนูเนื้อ เส้นเลือด กล้ามเนื้อ มัดเอ็น ชั้นไขมัน โครงกระดูก น้ำในกระดูก ฯลฯ เห็นเป็นเช่นภาพอสุภะนั่นเอง
    คุณเขาถูกพระภิกษุผู้นำสอนพาเจาะลงมองดูความผิดปกติที่เกิดขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ
    คือ พระภิกษุจะแสดงให้เห็นในอวัยวะที่กำลังทำงานจากภาพแสดงตัวของท่าน และให้เปรียบดูที่ของเขาน่ะค่ะ

    จากนั้นท่านจะนำพาพลังวัตรในกายที่ก่อกำเนิดขึ้นจากการหมุนวนของกลุ่มพลังงานรอบจุดแสงเปล่งสีที่อยู่ในตำแหน่งแกนสันหลัง(จักระ)
    ผนวกเข้ากับการเดินปราณที่พร่ำสอนสั่งให้ปฏิบัติ
    และเรียกนำธาตุในกายปรับแต่งลงตามจุดพร่องของอวัยวะทีละส่วน ใช้เวลาเพียงเสี้ยวอึดใจเท่านั้น

    และหลังจากเมื่อจุดแสงกลางกระหม่อมเปิดออก ซึ่งทุกจุดจักระเหล่านี้จะมีลักษณะหมุนเหวี่ยงวนๆรอบดั่งดาราจักร
    ภิกษุท่านได้มีคำสั่งให้คุณเขาใช้พลังงานภายนอก ฟ้า-ดิน
    ท่านกำชับให้ดึงพลังงานภายนอกที่ตรงกันข้ามเข้าใช้ได้ทุกชนิดเพื่อผนวกเสริมเข้ากับกำลังในกายที่พอมี โดยต้องเรียกเข้าทั้งสองทางพร้อมกัน
    คือจักระ๑(ฝีเย็บ) และจักระ๗(กลางกระหม่อม) นำพลังงานเข้าปรับแต่งตามขั้นกระบวนการที่ท่านนำสอนไว้ เดินกำลังไปตามสายปราณในร่างกาย
    ส่วนที่เกินให้ขับออกตามทางที่เข้ามา

    หากเมื่อใดที่ละเลย พระท่านจะมาเรียกสั่งให้เร่งทำค่ะ หยิน-หยาง และ เต๋า คือเสียงที่ฟังถนัดชัดเด่นในโสตคุณคนนี้

    และเพราะความเกียจคร้านของคุณเขาที่มีเยอะ เขาจึงได้พบกับภาวะที่ร่างกายทรุดกระทันหันเข้าบ่อยๆ
    คือ หัวใจเต้นกระตุกและวูบดับไปเฉยๆ เป็นเหตุจ้าละหวั่นทั่วทั้งบ้าน
    เมื่อเดินทางไปพบแพทย์ ผลการตรวจร่างกายคือ ภาวะเสื่อมขยับเพิ่มขึ้น แต่แพทย์ยังแปลกใจที่เขาควรมีอาการเจ็บป่วยมากกว่าที่เห็นด้วยตา
    เขามองดูเหมือนคนปกติมากค่ะ เพียงผิวขาวซีด แต่สีหน้าสดชื่นกระชุ่มกระชวยดีมาก

    และตรงนี้เองค่ะ เป็นที่มาของการแปรธาตุที่กำลังจะเขียนถึงคุยกับพี่พรหมณี

    :'( :'( :'( แต่..ว๊า...ต้องไปอีกแล้ว ท่านพี่เรียกไปหากับข้าวเตรียมมื้อเย็นค่ะ เสียดายจริง ไว้มาเขียนต่อเพิ่มเติมนะคะ ต้องไปก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2016
  12. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,863
    ดูเหมือนจะเป็นเหมือนพี่เลยค่ะที่เล่ามา แต่ของพี่ครูบาอาจารย์ในสมาธิเข้ามาสอนโดยไม่ได้กางตำราหรืออ่านตำราจากที่ใดๆ มักมีศัพท์แปลกๆที่เราไม่คุ้นเคยมาเสมอ...

    ส่วนหนึ่งที่เหมือนกันคือการเดินปราณภายในออกแนวกระดูกสันหลังแล้วพุ่งออกกลางกระหม่อม...อันนี้พี่ฝึกมานานแล้วค่ะ จู่ๆวันหนึ่งนั่งเล่นที่สนามหญ้าสบายอารมณ์ จักระก็เปิดขึ้นมาเอง หลังจากนั้นก็จะมีซี่ลงมาจากฟ้าลงเข้าสู่กลางหระหม่อมเกิดการหมุนวนภายในร่างกาย...เมื่อเกินก็ถ่ายออกภายนอกทางผิวหนัง ฝ่ามือฝ่าเท้า ปลายนิ้วมือนิ้วเท้า...

    อย่างที่เคยเอารูมาลงให้ดูหน้าก่อนคือการถ่ายธาตุส่วนเกินลงในลูกแก้วเกลียวมะเฟือง เกลียวมะเฟืองละลาย...ลูกแก้วเปลี่ยนสีปริแตกบิดเบี้ยว

    หลังจากนั้นรู้สึกลูกแก้วมันเล็กไปเลยถ่ายธาตุลงในลูกแก้วคว็อทซ์ ผลคือเส้นใยในคว็อทซ์แตกกระจาย...เอารูปมาให้ชมว่าความร้อนภายในมันสูงแค่ไหน ขนาดเส้นใยคว็อทซ์ยังแตกกระจาย...คือกำลังจิตไม่พอจะทนความร้อนไม่ไหวค่ะ

    <a href="http://picture.in.th/id/f855afb43df5fe9da3dd70bd9646c5c5" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/ix/160424024947.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>

    <a href="http://picture.in.th/id/18dc214c3f2eaed636276c7c6e6338a9" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/iu/160424025138.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2016
  13. กลิ่นราตรี

    กลิ่นราตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +5,152
    (kiss) ลักษณะการรับเข้าและผันออกของพลังงานส่วนเกินที่ได้จากแหล่งพลังงานนอกร่างกายของพี่พรหมณีเหมือนกับหมอกรรมฐานท่านหนึ่งที่เคยพูดคุยด้วยเลยค่ะ

    โดยส่วนตัวเมื่อเทียบกับกรณีของคุณคนนั้นตามที่เขียนเล่าไป น้องคิดเองว่า เกิดเนื่องมาจากท่วงท่าในการเดินปราณภายใน ผิดถูกอย่างไรขออภัยด้วยค่ะ
    เท่าที่เคยได้พูดคุยกับหมอกรรมฐานท่านนั้น ท่านไม่ได้เดินปราณด้วย หยิน-หยาง อย่างเช่นที่คุณคนนั้นรับคำสั่งจากคุรุผู้มานำสอนเขา

    หลังที่คุณคนนั้นได้พูดคุยเรื่องการรับเข้าและผันออกของพลังงานนี้แล้ว เขาได้ลองกระทำอย่างเช่นที่หมอกรรมฐานท่านนั้นปฏิบัติดูสักรอบหนึ่ง
    ผลปรากกที่ได้สัมผัสกันชัดๆคือ พลังงานต่างๆจากภายนอกร่างกายยังคงวิ่งเข้าสู่กายทิพย์ที่ซ้อนทับกายเนื้อมนุษย์ที่จักระ๑ และ๗ อย่างต่อเนื่องเป็นสายหลัก
    และมีเพิ่มเติมในส่วนรอบร่างที่พุ่งเข้าทั่วสารทิศเป็นดั่งที่เกิดขึ้นกับพี่พรหมณีตามเล่ามาค่ะ

    ในการผันออกก็เช่นกันกับการรับเข้ามาค่ะ เป็นแบบเดียวกัน

    และจากการที่ได้พูดคุยกับหลายท่านนั้น น้องได้ผลที่ต่างและเหมือนกันบ้างในแต่ละท่านค่ะ
    หมอกรรมฐานนั้นท่านถ่ายเทพลังงานลงในยาเพื่อนำรักษาโรคแก่บุคคลทั่วไป
    เช่นเดียวกับพี่พรหมณีที่ถ่ายเทพลังงานลงในสิ่งของหลากหลายชนิด

    แต่คุณคนนั้นเขาไม่ถ่ายเทอะไรออกไปไหนเลยค่ะ
    คุณเขาใช้กระบวนการแปรรูปพลังงานเป็นกุศลทานแล้วอธิษฐานจิตมุ่งสู่ผู้ด้อยกว่าตนในทุกวรรณะทางกายและจิต
    เขาใช้การผลักพลังงานที่ถูกแปรรูปพร้อมแล้วออกทางจักระ๗
    ให้กลุ่มพลังงานที่กลายเป็นแรงกุศลทานล่องลอยในห้วงจักรวาล รออยู่เช่นนั้น ว่าสุดแต่ใครจะผ่านมารับไปค่ะ

    คุณเขาได้รับการสอนให้เป็นเช่นนี้จากภิกษุผู้มาสอนเรื่องกรรมฐานแก่เขาผ่านภาพฝัน ภาพนิมิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2016
  14. กลิ่นราตรี

    กลิ่นราตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +5,152
    (ping)

    และในเรื่องของการตัดต่อดัดแปลงวิญญาณธาตุที่เดิมหมายใจว่าจะชวนพี่พรหมณีคุยหาความรู้นั้น
    มาถึงขณะนี้คิดว่าสมควรแก่การเบรกหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้พอจะเป็นการดีค่ะ
    ด้วยเหตุได้รับคำอธิบายให้คลายสงสัยจากคุณคนนั้นเขาเรียบร้อยแล้ว หมดคำถามค่ะ แม้จะยังติดใจสงสัยอยู่บ้าง
    แต่ก็พร้อมใจปล่อยผ่านในเรื่องสงสัยไว้แต่เพียงเท่านี้

    นานมาแล้วได้เคยอ่านบทความหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ทางเว็ปบล็อกแห่งหนึ่ง ซึ่งอาจารย์กรรมฐานผู้นั้นท่านเดินกรรมฐานวัชระยาน ท่านเองได้กำชับหนักหนาถึงการไม่ควร
    ดังนั้นการพูดคุยอย่างเปิดเผยในสถานที่แห่งนี้อาจนำมาซึ่งการทดลองลอกเลียนโดยขาดความระมัดระวัง ขาดการเฝ้าระวังประกบติดของครูอาจารย์
    จะนำมาซึ่งผลที่เป็นลบในบุคคลนั้นได้ น้องจึงเห็นสมควรที่ต้องหยุดค่ะ ขออภัยแก่พี่พรหมณีไว้ด้วยในที่แห่งนี้

    แต่จากการพูดคุยที่ผ่านๆมาในคนที่ผ่านกระบวนวิธีการนี้นั้น แต่ละท่านล้วนเดินกรรมฐานในหนทางแห่งตนเองทั้งสิ้น
    ไม่ได้เกิดเป็นเฉพาะทางใดทางหนึ่งเท่านั้นจำเพาะเจาะจงลงไปว่า หลักการกรรมฐานเช่นใด ศาสนาใด

    มาเล่าต่อถึงเรื่องของคุณคนนั้นเป็นส่วนท้ายสุดค่ะ

    สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณเขานั้นเกิดขึ้นเมื่ออาการทางกายของเขาเดินหน้าไปมากโข อวัยวะหลักภายในเสื่อมทรุดลงตามภาวะเจ็บป่วย
    แต่ด้วยเหตุที่คุณเขาไม่รู้สึกรู้สากับความเจ็บป่วยนั้ เขาจึงปล่อยปละละเลยการเฝ้าระวังร่างกาย เพียงไปตามนัดตรวจของแพทย์เท่านั้น
    และไปแล้วก็กลับมาด้วยผลการตรวจเดิมๆ คือ ไม่มีสัญญาณร้ายกร่ำกราย อาการยังคงทรงๆ
    กระทั่งภัยร้ายของความเจ็บป่วยเข้าคุมคามในวันหนึ่งอย่างฉุกละหุกกระทันหัน คุณเขาอยู่บ้านเพียงลำพังคนเดียวค่ะ
    อาการเจ็บที่ตรงหัวใจเตือนเป็นระยะ แต่ยังวางใจคิดเอาเองว่ามันจะหายไปได้เหมือนทุกๆครั้งที่ทำตามคำพระสอน
    (ท่านสอนเขาให้แยกจิตออกจากกาย)

    ใช่ค่ะ แยกจิตออกจากกายก็ไม่รู้สึกเจ็บแล้ว คุณเขาก็ทำตามวิธีการนี้ไป ซึ่งเขาก็ใช้วิธีการนี้กับความเจ็บทรมานทุกๆอย่างที่เกิดกับร่างกายเขานะคะ
    แต่คราวนี้ไม่ใช่ค่ะ ในขณะที่ทรงจิตนั้น ความรุนแรงเคาะเรียกเขาทุกวินาที การทรงฝืนสภาพจิตจึงหลุดขาดในช่วงหนึ่ง
    คุณเขาพบว่าตนเองไร้เรี่ยวแรง แขนขาขยับไม่ไหว และเขาหายใจรวยรินใกล้สิ้นลมลงในไม่กี่อึดใจ เขาเข้าสู่ภาวะคล้ายหลับฝันไปทันที

    ขณะนั้นพระภิกษุผู้นำสอนใทุกสิ่งผ่านภาพฝันได้ปรากฏให้เขาได้พบ
    ท่านไม่ได้มาคนเดียวเหมือนทุกๆครั้งที่จะเดินทางมาพร้อมหน้าพร้อมตาในคุรุทุกๆท่านของเขา
    แต่คราวนี้พิเศษกว่าครั้งอื่นใด มีสิงสาราสัตว์เล็กใหญ่ รวมทั้งผู้คนที่รักใคร่เกลียดชังเดินทางมามากมายจากหลายทิศทางมุ่งสู่เขาที่นอนขดตัวอยู่กับพื้น
    ภาพที่เห็นตัดสลับไปมาระหว่างกลุ่มคนและสัตว์ที่ตายจากไปแล้ว และกลุ่มที่ยังมีลมหายใจเหลืออยู่
    ในกลุ่มที่ได้ตายจากไปแล้ว ต่างก็พร่ำว่า จะมาดูเขาตายบ้าง บ้างก็ว่าจะมาช่วยลุ้นให้เขากลับไปก่อน ก็มีทั้งคนรักคนชังเขานะคะเป็นเรื่องธรรมดา

    ส่วนในกลุ่มที่ยังมีลมหายใจนั้น ต่างมาเว้าวอนถึงสิ่งต่างๆที่ติดค้างกันในทุกเรื่อง
    ทั้งข้าวของที่เคยสัญญาวาจาจะยกให้ จะซื้อให้ จะพาเที่ยว จะนั่นนี่มากมาย และบ้างก็มาสาปแช่งในเรื่องแค้นใจ หักอกใครไว้แต่นานมา ประมาณนั้น
    ระหว่างนั้นคุณเขาก็รู้ตัวแล้วว่าจะตายเร็วๆนี้แหละ พระภิกษุเป็นคุรุหลักท่านก็เอ่ยวาจาขอแก่ท่านทั้งหลายที่มารุมล้อม
    (พระท่านมาหลายรูปนะคะ คุรุที่มาสอนเขา)

    อ่อ..มีคนพิเศษสุดมาด้วยค่ะ เหล่ายมฑูตมารอรับเขาเรียบร้อย มาด้วยกันประมาณหกท่าน ท่านหน้าสุดเป็นหัวหน้าชุด แต่งกายบ่งบอกชั้นยศเด่นชัด

    คุณเขาก็กล่าวเสียงสั่นระส่ำระส่ายด้วยความเจ็บจุกที่ขั้วหัวใจ เขากล่าวขอร้องที่จะขอชดใช้หนี้กรรมต่อคนผู้หนึ่งให้สิ้นชาติก่อน
    ยังไม่ขอตายในวันนั้น เพื่อที่จะไม่ต้องเวียนมาชดใช้ซึ่งกันและกันอีกต่อไป
    เพียงเท่านั้นเหล่าพรอาจารย์ของเขาได้เจรจาความกันนิดๆหน่อยก่อนจะพยักหน้าลงพร้อมๆกัน พร้อมกับที่ท่านหันไปเจรจาบางสิ่งกับเหล่าท่านทั้งหลาย
    ที่มาล้อมมุงเขาไว้ ทุกท่านอำลาและจากไปโดยง่าย เหลือเพียงเหล่าพระอาจารย์ของเขาที่เหลืออยู่ข้างๆให้มองเห็น

    จากนั้นพวกท่านได้กระทำในบางสิ่งกับร่างกายของเขาในภาพฝันสลึมสะลือนั้น(ไม่อาจเขียนเล่าได้ต้องขออภัยอย่างสูง)
    ความซ่านแสบวิ่งปล๊าบทั่วร่างกายเขาหลังภิกษุท่านได้จัดการบางสิ่งที่หัวใจ ปอด ตับ ไต และไขสันหลังแหล่งผลิตเม็ดเลือด
    ท่านได้กำชับวาจาบางอย่างกับเขา(ไม่สามารถเขียนเล่าได้ในที่นี้)
    แต่เป็นการเตือนให้ระวังการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อไปของเขา ซึ่งมันมีผลพาดเกี่ยวเนื่องไปถึงพวกท่านได้

    เมื่อสิ้นการรับวาจาจากคุณเขากับเหล่าคุรุท่าน เพียงเสี้ยววินาทีคุณเขาก็ลืมตาขึ้นและรู้สึกว่าตนเองอยากอาเจียน มีของเหลวรสแปลกมาจ่อรอที่คอหอย
    เขาจึงวิ่งพรวดพราดเข้าห้องน้ำในทันที เกิดอาการร้อนหนาวขึ้นดั่งว่าจับไข้สูงกับเขา
    คุณเขาทรุดลงในห้องน้ำ นอนกองที่พื้น ในโสตได้ยินเสียงสั่งให้กระทำเช่นนั้นเช่นนี้ตามสั่ง เขาฝืนกายทรงยืนขึ้นและทำตามสั่งทุกประการ

    กระบวนการปรับและหลอมรวมธาตุภายในและนอกเกิดขึ้นไปพร้อมๆกับที่เหล่าคุรุนำทางให้ จากนั้นจึงมีคำสั่งให้เขาดำเนินการปรับธาตุภายในกาย
    การปรับที่ยากเย็นกว่าทุกครั้งจึงเริ่มต้นขึ้นเป้นการปรับธาตุครั้งใหญ่ และยาวนานต่อเนื่องเป็นครึ่งค่อนชั่วโมงขณะที่ร่างนั่งลงทับบนฝาโถชำระที่ปิดไว้

    สุดท้ายน้ำที่จ่อรอในคอหอยก็ทะลักออกมา มันคือน้ำเหลืองๆเขียวๆใสๆจำนวนมากระดับหนึ่ง
    และติดตามมาด้วยเลือดแดงสีดำคล้ำประมาณชาช้อนเห็นจะได้ มีเลือดเข้มสีดำไหลออกจากช่องจมูกคุณเขาในปริมาณน้อยกว่าช้อนชาเล็กน้อย
    ส่วนที่หู และหัวตามีเลือดออกมาเช่นกัน แต่ในขนาดเพียงเท่าหยดน้ำตา ช่องทวารด้านล่างของร่างกายก็เช่นกัน
    พบเลือดหยดแหมะลงพื้นแดงเข้มจนดำเปรอะเปื้อนพื้นห้องน้ำ

    คุณเขากลับไปนอนพักตามคำสั่งในโสตที่ให้พักสักครึ่งชั่วโมงแล้วลืมตาขึ้นจะพ้นจากทุกสิ่ง

    จากวันนั้นมาคุณเขาหายขาดจากอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ ปอดพองขยายได้มากขึ้นจนเป็นปกติ และเลือดก็ไม่จางอีกต่อไป
    กว่าห้าปีที่คุณเขาไม่ต้องได้รับการตรวจเลือดเช็คอัพร่างกายตามระยะเวลากำหนดของแพทย์ที่เคยกระชั้นถี่
    เดี๋ยวนี้ก็ปีละครั้งที่ตรวจร่างกายเหมือนคนอื่นๆทั่วไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2016
  15. กลิ่นราตรี

    กลิ่นราตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +5,152
    (smile)(smile)(smile)(smile)(smile)

    สุดท้ายขอขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่แบ่งปันพื้นที่ให้ได้พูดคุยทำความรู้จักกับคุณพรหมณี
    ขอจิตที่เป็นกุศลได้สมในปรารถนาตามต้องการค่ะ

    กลิ่นราตรี
     
  16. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    .
    เขียน ๒๑.๒๕

    ซุ่มอ่านซะหลายวัน ด้วยความเบื่อโลก ไม่อยากจะโม้อะไร
    แต่ตะกี้ ตอนดูข่าวพระราชสำนัก เห็นฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
    ยืนถ่ายรูปคู่กะใคร ที่เมืองนอก ที่สวนปลูกกุหลาบ
    ดูแล้วท่าทางไม่ค่อยแข็งแรงเลย ยืนไม่มั่นคง
    ไม่ทราบว่า ท่านพรหมณีกะท่านกลิ่นราตรี
    มีทางทำไรให้ท่านดีขึ้นได้บ้างไม๊ครับ
    เคล็ดวิชาที่่คุยกัน ประยุกต์ใช้ได้ไม๊
    ต้องมีทางลับซักที่สิน่า ที่ใช้ได้น่ะ



    เรื่องตัดต่อดัดแปลงวิญญานธาตุ ดูแปลกดีนะ
    มีคนทำได้จริงหรือครับ นึกว่ามีแต่ในนิทาน
    เคยอ่านเจอใน "นักรบแสง.." เค้าโม้ไว้
    ในกลอนมนตรา ยกมาบางส่วนนะ ว่า

    ...ยามนั้น มันบ่ายแก่ ฉันหวังจะแก้ เมฆแก่สีดำ
    แผ่คลุม ทำฟ้าคล้ำ เมฆฝนครึ้มดำ น้ำใกล้ไหลนอง
    เราร้อง เรียกมังกร ที่เคยฝึกสอน ต่อกรก้อนฝน
    โบยบิน สู่เบื้องบน สู้พายุฝน ที่ใกล้รับเชิญ

    ...บังเอิญ เกิดเห็นนิมิตร รวมธาตุสิทิด นิมิตรสะท้อน
    รวมยักษ์ ก๊ะมังกร สมการยอกย้อน คลอด..มังกรยักษ์
    ตัวใหญ่ หลายสิบโล ชั้นร้องโอ้โฮ โม้ป่าววะนั่น
    จะใหญ่ ถึงไหนกัน สองตาจิตฉัน หนาวสั่นยินดี


    ในนิทานตอนนั้น เนื้อเรื่องถึงตอนที่นักรบแสงจะห้ามพายุฝน
    เพราะช่วงนั้นน้ำมามากมาย จะท่วมเมืองอยู่แล้ว ล้นหลามเลยอ่ะ
    เค้าเลยเรียกมังกรฟ้าออกมา ซึ่งเค้าเล่าว่า ได้มาจากศาลเจ้ามังกรฟ้า
    ใต้สะพานกรุงเทพ ตรงที่ฮวงจุ้ยเป็นท้องมังกรพอดีเป๊ะ บังเอิญซะไม่มีอ่ะ

    แบบนี้หรือเปล่าครับ ที่ท่านกลิ่นราตรีบอกว่าดัดแปลงวิญญานธาตุ
    นอกจากในนิทานเรื่องนั้นแล้ว เราก็ไม่เคยพบเจอหรืออ่านเจอที่ไหน
    ว่ามีใครทำได้ เคยทำได้ หรือน่าจะมีใครทำได้เช่นนี้ นอกจากในนิทาน
    สต็อบ.จะสี่ทุ่มแล้ว ต้องออกจากวัดนี้ ไปทำธุระที่วัดโน้น เดี๋ยวจะเข้ามาไม๊


    กระต่ายป่า ข้างวัด / ดร.ดิเรก ผัวประภาพี่ประไพ

    .
     
  17. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,863
    โอ้...ดิฉันยังไม่เก่งถึงขนาดช่วยใครได้หรอกค่ะ ทุกวันนี้ปฏิบัติก็ได้แค่เฉพาะตัว และเพื่อไม่ให้หลงลืมตนประการหนึ่ง....อีกประการหนึ่งก็เพื่อเป็นการชำระตนเพียงเท่านั้น มิได้ยิ่งใหญ่แต่ประการใด

    ทุกวันนี้ศึกษาธรรมะของพระพุทธองค์เพื่อเตือนตนเองในเรื่องความนอบน้อมถ่อมตน....ที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรื่องการปฏิบัติก็เพียงแค่เล่าสู่กันฟังเพียงเท่านั้นค่ะ

    ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของท่านผู้นั้นโดยชอบธรรม....ใครจะมีความคิดเห็นอย่างไรก็จะขอน้อมรับไว้ค่ะ
     
  18. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    เขียน ๒๒.๔๑

    จากเคล็ดวิชาด้านบน ที่ตัดต่อมาเฉพาะเนื้อๆ นั่นน่ะนะ
    นอกจากกระทำด้วยตัวเองแล้ว จะทำผ่านจิตได้ไหม
    แบบว่า ทำเอง แต่เชื่อมต่อกับเป้าหมายไว้ก่อน
    และมโน ว่ากระทำไปให้ถึงกายทิพย์ผู้ป่วย
    อ้างอิงถึงเคล็ดวิชาควอนตัม ผสมด้วย
    เห็นเค้าว่า จิตมันสื่อถึงกันได้นี่หน่า

    เราเคยลองแล้ว แต่เหมือนว่าผลจะไม่ได้ดั่งใจเท่าไหร่เลย
    อาจจะได้แค่นั้น หรือวาระกรรมขวางไว้ หรือวิชายังไม่สมบูรณ์
    ก็เลยช่วยได้แค่นั้น แค่ให้พ้นวิกฤติ หรือเรามโนไปเอง ก็ไม่ทราบได้


    "หรือ" อย่างที่เคยเอารูปมาลงให้ดูหน้าก่อน
    คือการถ่ายธาตุส่วนเกินลงในลูกแก้วเกลียวมะเฟือง
    เกลียวมะเฟืองละลาย...ลูกแก้วเปลี่ยนสีปริแตกบิดเบี้ยว


    การถ่ายเทพลังงานของท่าน เคยลองส่งระยะไกลบ้างไหมครับ
    อย่างเช่น มือห่างจากลูกแก้ว คืบนึง ศอกนึง ห้าเมตร สิบเมตร
    ชั้นบนกะชั้นล่าง หน้าบ้านกะในห้อง ปากซอยหรือจากที่ทำงาน


    แกนสำคัญของธรรมะอีกหนึ่ง
    คือการช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
    มิใช่เพียงมุ่งปฏิบัติตัวเอง
    ไม่ต้องรอให้สำเร็จก่อน
    ใครฝากมาไม่ทราบ


    กระต่ายป่า แห่งเกาะนาฬิเกร์ / ชาวหมู่บ้านในนิทาน

    .
     
  19. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,863
    อืมมม....อ่านของท่าน grathypa และพยายามใคร่ครวญว่าท่านกำลังสื่อถึงอะไร....กำลังสอบถามวิธีปฏิบัติของดิฉันหรือกำลังหาวิธีทดสอบทางจิตของท่าน...

    เอาเป็นว่าดิฉันขอเป็นยกตัวอย่างให้ฟังละกันค่ะว่าวิธีการช่วยคนอื่นไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตาแล้วใช้กำลังภายใน..เอาเป็นว่าลืมตาตื่นก็สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้เช่นกันค่ะ

    ดิฉันทำงานเป็นพยาบาลห้องผ่าตัดที่ รพ.ต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง ก็ผ่าตัดตั้งแต่เช้าจรดเย็น...มีหลายครั้งที่ตัวเองอยู่เวรผ่าตัด 24 ชั่วโมง....คือตัวเองผ่าตัดตั้งแต่เช้า พอมาถึงเวรจะเหลือทีมผ่าตัดเพียงทีมเดียว....คราวนี้มีคนไข้มาผ่าตัดตลอดคือเคสต่อเคส เราก็ผ่าตัดทุกเคสที่มี คือผ่าตัดคนไข้ขาหัก พอเย็บแผลปิดแผลเสร็จก็ผ่าคนไข้คลอดลูกไม่ได้...พอเสร็จก็ผ่าไส้ติ่ง ต่อมาก็ผ่าตัดคนไข้กระเพาะทะลุ พอเสร็จก็มีคนไข้อุบัติเหตุมาก็ผ่าตัดตัดม้ามออกเพราะม้ามแตก พอผ่าเสร็จก็มีคนไข้ถูกสายพานบ่อน้ำตัดแขนขาดต้องมาต่อแขน..ตอนนั้นตี 1 กว่าแล้วก็เริ่มต่อแขนโดยใส่เหล็กต่อเส้นเลือดต่อเส้นเอ็นจนผ่านมารุ่งเช้าอีกวันนึงจน 8 โมงเช้าของอีกวันนึงก็ยังผ่าไม่เสร็จเรียกว่าเต็ม 24 ชั่วโมงพอดี

    คุณคิดว่ามันเหนื่อยไหม..ขอบอกว่าไม่รู้สึกเหนื่อยหรือง่วงเลย เป็นเพราะเราฝึกจิตมาดี จิตมีกำลังเข้มแข็ง....มีพรหมวิหาร 4 มีความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา...เห็นญาติคนไข้นั่งร้องไห้อยู่หน้าห้องผ่าตัดก็สงสารอยากช่วยให้ญาติเขาหายทรมาน

    สิ่งนี้ไม่ใช่หรือที่เรียกว่าช่วยเหลือคนอื่น เป็นรูปธรรมจับต้องได้ ไม่ต้องมโน...เพราะทุกสัมผัสทำด้วยความรู้ ความสามารถและสติอย่างเต็มเปี่ยมหรือเต็ม 100 ก็ว่าได้ค่ะ

    ส่วนเรื่องส่งพลังจิตทางไกลนั้นจะเป็นศาสตร์อีกศาสตร์หนึ่ง อย่าเอามาปนเปกันค่ะเดี๋ยวจะงง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2016
  20. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,863
    ส่วนเรื่องการช่วยเหลือผู้ป่วยโดยใช้พลังสัมผัส หรือเรียกว่า therapeutic touch อันนี้ทำบ่อยค่ะ คือช่วยโดยการแผ่พลังจากฝ่ามือลงบริเวณแผลหลังผ่าตัด ผู้ป่วยจะลดอาการปวดแผลหลังผ่าตัดได้....ไม่ใช่ว่าดิฉันจะทำได้เพียงคนเดียว คนอื่นถ้าฝึกและเข้าใจหลักการก็สามารถทำได้เช่นกัน มี score วัดระดับความเจ็บปวด

    เรื่องนี้เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ค่ะแต่ก็อิงพื้นฐานจากพลังจิตล้วนๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2016

แชร์หน้านี้

Loading...