ตัวอย่างทดสอบการแอบอ้างว่าเชื่อมจิต( CONNECT, telepathy) ทำได้จริงหรือไม่

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 28 ธันวาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +69,978
    1.ให้บุคคลที่อ้างว่าเชื่อมจิต สื่อสารกันได้ด้วยจิต สองคน หรือสองกลุ่ม อยู่คนละห้อง
    ปิดกั้นการมองเห็นระหว่างทั้งสอง

    ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มเขียนบางอย่างบนกระดาน

    ถ้าอีกฝ่ายเขียนตามบนกระดาน ของตนได้คล้ายหรือเหมือน ก็พอเป็นไปได้

    ***

    หมายเหตุ อาจเปลี่ยนเป็นการหยิบไพ่ ภาพวาดต่างๆ หรือวัตถุต่างๆ
     
  2. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +69,978
    2.ให้บุคคลที่อ้างว่า ตนเป็นตัวผ่านสารไปยังผู้ที่ถูกสื่อสารทางจิตหลายๆคน อยู่ในห้องที่ปิดกั้นการรับรู้ทุกทาง

    แล้วให้คนที่อ้างว่า ได้รับการเชื่อมจิตแล้ว มาอยู่ในห้องปิดกั้นการสื่อสารทุกชนิด

    ในเวลาเดียวกันและใกล้เคียงกัน ให้คนที่อ้างว่าเป็นตัวผ่านสาร
    ส่งสารทางจิตไปหาทุกๆคนพร้อมกัน

    แล้วให้ผู้พิสูจน์สอบถามดูว่า หลังเวลานั้น แต่ละคนได้รับการสื่อสารที่ตรงกันหรือคล้ายกันมากขนาดไหน
    ละเอียดขนาดไหน
     
  3. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +69,978
  4. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +69,978
    3.ถ้าบุคคลที่มาทดสอบ คนหนึ่งมีอานุภาพจิตอ่อนกว่า จะไม่สามารถสื่อสารทางจิต2ทางไปกลับหรือไม่สามารถบังคับให้อีกฝ่ายรับสารทางจิตได้
    ส่วนอีกคน มีอานุภาพจิตสูงกว่า สามารถสื่อสารทางจิตได้2ทางคือ รับรู้ได้และส่งสารไปให้อีกฝ่ายทราบได้

    กรณีนี้ ยกตัวอย่างเช่นฝ่ายหนึ่งคือพระอภิญญา แต่อีกฝ่ายแค่ร่างทรง(ทรงผีทีมีแค่อำนาจสัมภเวสีพื้นๆ)

    สามารถทดสอบได้ตามข้างต้น
    หรือ ส่งข้อความให้พระอภิญญาท่านอ่าน แล้วอาราธนาท่านส่งภาพข้อความไปให้อีกฝ่ายทราบหรือเห็นตามได้
    แต่ส่งภาพหรือข้อความให้ร่างทรงอ่าน ร่างทรงจะไม่สามารถส่งภาพข้อความไปให้ท่านได้

    แต่ถ้าเราอาราธนาพระอภิญญาท่านส่งกระแสออกไปดูว่า ร่างทรงเห็นภาพอะไรอีกห้อง ท่านสามารถรับรู้ได้
     
  5. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +69,978


    ที่มา
    รู้ไว้นะธรรมะซื้อขายไม่ได้!!! สังคมสงสัย "เชื่อม..." มีในพระไตรปิฎกหรือไม่ ? l EP.1657 l 26 เม.ย.67

    https://www.youtube.com/@honekrasaeofficial
     
  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +69,978
    ?temp_hash=8d9b6497f80fd7859f9cc0a4b16ccc70.jpg

    ?temp_hash=8d9b6497f80fd7859f9cc0a4b16ccc70.jpg


    วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตา ช่วยโลกไว้ได้จากภัยแห่งเซล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +69,978
    ?temp_hash=af780bda64e869390d0ee85970b2892d.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +69,978


    ที่มา https://www.youtube.com/@watsanfran

    **********************

    ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเทอญ

    อย่ายึดการ์ตูนมาเป็นที่พึ่งเลย
     
  9. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +69,978


    ใช้ความพิเศษที่มีให้ถูกเรื่อง จะมีประโยชน์มหาศาลต่อตนและชีวิตอื่น

    ขอบคุณรายการ https://www.youtube.com/@SuperjeewOfficial
     
  10. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +69,978
    การพิสูจน์ ต่อหน้า ผู้ได้ฌาณ ได้สมาบัติ ผู้มีญาณวิถีทางจิต ( เอาแบบไม่ต้องอ้างคัมภีร์ใดๆ )


    เชิญผู้ทรงคุณวุฒิทางจิตของจริง หลายๆท่าน นั่งแยกห้องจากผู้ถูกทดสอบและผู้ทรงคุณวุฒิท่านอื่น
    ให้ผู้ที่แอบอ้างว่าเชื่อม....ได้ ทำการเชื่อม.... สื่อสารถึงทุกท่านพร้อมกัน ด้วยเรื่องเดียวกัน

    แล้วตรวจคำตอบ
     
  11. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +69,978
    ถ้า ฝ่ายที่แอบอ้าง ดึงพระพุทธองค์และพระโพธิสัตว์ ฯลฯ มาแปดเปื้อนด้วยคำพูดที่จะยกตน
    สร้างเครดิตให้ตนที่จะเผยแผ่ลัทธิมิจฉาทิฐิ ไม่พอใจที่สื่อพยายามให้ข้อมูลสังคมในการดึงสติประชาชน
    โดยการฟ้อง การใช้กฎหมาย ก็ขอให้ฟ้องต่อศาลสถิตยุติธรรมเลยครับ

    เพราะว่า เมื่อมีทนายฝ่ายสื่อที่หวังดีต่อสังคม เป็นผู้เข้าใจลึกซึ้งในพระศาสนาและกฎหมายทางโลก
    คุณจะถูกถามค้าน และผู้แอบอ้างว่าทำได้ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการด้วยเพื่อพิสูจน์ความจริงในกระบวนการเชื่อม.... การแอบอ้างที่อุปโลกเอาเอง ฯลฯ ไปถึงการพิสูจน์ต่อหน้าศาล

    ....แล้วความจริงจะปรากฏ...



    ---------

    พระพุทธศาสนา ถือเป็นสถาบันความมั่นคงของชาติ


    *************

    นำเรื่องเท็จไม่จริงออกเผยแพร่สู่สาธารณะ การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐
    มาตรา ๑๔ ผู้ใดกระทําความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
    (๑) โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชน อันมิใช่การกระทําความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา
    (๒) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิด ความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
    ……….
    (๕) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (๑) (๒) (๓) หรือ (๔)
    ถ้าการกระทําความผิดตามวรรคหนึ่ง (๑) มิได้กระทําต่อประชาชนแต่เป็นการกระทําต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ผู้กระทํา ผู้เผยแพร่ หรือส่งต่อ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้เป็นความผิดอันยอมความได้
     
  12. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +69,978
    ขอเรียกร้องให้หน่ว่ยงานรัฐหรือผู้ที่มีอำนาจตั้งคณะกรรมการและอนุกรรมการผู้ทรงพระไตรปิฏกเพื่อตรวจสอบการเผยแพร่คำสอนพุทธศาสนาที่บิดเบือนอันเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนา และให้มีบทลงโทษผู้กระทำผิดดังกล่าว
    เนื่องจากมีกรณีผู้อ้างตนเป็นลูกพระพุทธเจ้า ได้รับบัญชาจากพระพุทธเจ้าถือธรรมลงมา ได้แสงสีทองจากพระพุทธเจ้าลงมาเชื่อมจิตนั้น เรื่องราวความเป็นมา บิดเบือนไปจากหลักพระพุทธศาสนาเถรวาท
    ดังมีความบิดเบือนดังต่อไปนี้

    ๑. อ้างรับบัญชาจากพระพุทธเจ้า
    เด็กอ้างว่าเป็นลูกพระพุทธเจ้ามาเกิด ได้รับบัญชาจากพระพุทธเจ้า เป็นผู้ถือธรรมลงมา ได้แสงสีทองจากพระพุทธเจ้ามาเชื่อมจิต
    ข้อนี้ไม่ถูกต้อง เนื่องจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วจะไม่มีใครสามารถพบเห็นพระองค์ได้อีก และก่อนปรินิพพานพระองค์ก็มิได้แต่งตั้งใครมาทำหน้าที่อะไร หลังจากปัจฉิมโอวาทแล้ว จะไม่มีโอวาทใดหลังจากนี้อีก
    และเมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว วัสสการพราหมณ์ถามพระอานนท์ว่า. “ข้าแต่ท่านพระอานนท์ มีภิกษุสักรูปหนึ่งบ้างไหมหนอ อันท่านพระโคดมพระองค์นั้นทรงแต่งตั้งไว้ว่าเมื่อเราล่วงลับไปแล้วภิกษุรูปนี้จักเป็นที่พึ่งอาศัยของท่านทั้งหลาย” พระอานนท์ตอบว่า. “ดูก่อนพราหมณ์ ไม่มีเลยแม้สักรูปหนึ่ง” .
    >>ดังนั้นจะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าไม่มีพระประสงค์จะให้ใครแทนพระองค์หรือทำหน้าที่อะไรต่อจากพระองค์ ทรงให้ธรรมวินัยแทนพระองค์เท่านั้น.
    >>หลักฐานมาใน : มหาปรินิพพานสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒,และ โคปกโมคคัลลานสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๖

    ๒. อ้างพระพุทธเจ้ายังอยู่บนสวรรค์
    ข้อนี้ไม่ถูกต้อง ตามหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนานั้นภาวะนิพพานเป็นภาวะที่สิ้นกิเลส หรือภาวะที่จิตไม่มีตัณหาเครื่องร้อยรัด หรือออกไปแล้วจากตัณหาที่เป็นเครื่องร้อยติดไว้กับภพ โดยที่ภาวะของพระนิพพานนั้นพระพุทธองค์ทรงอธิบายเอาไว้ว่า "ภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติที่ไม่เกิดแล้ว ไม่มีแล้ว อันปัจจัยสร้างไม่ได้แล้วปรุงแต่งไม่ได้แล้วมีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ถ้าหากธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่มีแล้ว อันปัจจัยสร้างไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว ไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว มีแล้วอันปัจจัยสร้างแล้ว ปรุงแต่งแล้ว ก็คงไม่ปรากฏในโลกนี้เลย ภิกษุทั้งหลาย เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่มีแล้วอันปัจจัยสร้างไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว มีแล้วอันปัจจัยสร้างแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จึงปราฎ"(ขุ.อุ. (ไทย) ๒๕/๑๖๐/๒๐๗.)
    จากพระพุทธพจน์ดังกล่าวพระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้ชัดเจนว่าภาวะของการนิพพานหรือพุทธปรินิพพานของพระพุทธองค์นั้นเป็นภาวะที่ไม่มีการปรุงแต่ง ไม่มีห่วงหรือกังวลใดๆเป็นภาวะที่ไร้กิเลสคือ โลภ โกรธ และหลงใดๆ ดังนั้น จึงไม่มีทางเป็นไปได้ที่พระพุทธเจ้าจะมีพระบัญชาให้ใครกลับมาเกิดใหม่ เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงอยู่ในสถานะของเทพเจ้าที่จะมีกิเลสมีรับสั่งให้ใครมาเกิดหรือไม่มาเกิดได้ เหตุเพราะทรงหมดกรรม กิเลส และวิบากแล้วนั่นเอง และในพระไตรปิฎกก็ไม่เคยระบุว่าพระพุทธองค์ทรงมีบัญชาให้ใครไปเกิดหรือไม่ให้ใครไปเกิด ซึ่งการมาเกิดหรือการได้ได้มาเกิดของสรรพสัตว์นั้นเป็นสิ่งที่เกิดมาจากอำนาจของกรรม ดังปรากฏในพระพุทธพจน์ที่ว่า “มาณพ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยกรรมย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลายให้เลวและดีต่างกัน”(ม.อุ.(ไทย)๑๔/๒๘๙/๓๕๐) ดังนั้น สถานะของพระพุทธเจ้าจึงไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะ "มีพระบัญชา"ให้ใครมาเกิดหรือไม่มาเกิดไม่ได้เพราะพระพุทธเจ้าไม่ใช่เทพเจ้า ส่วนใครก็ตามที่ไปอุปโลกป์คิดเองเออเองว่า "พระศากยมุนีทรงมีพระบัญชาให้มาเกิดเพื่อช่วยสัตว์โลก"จึงถือว่าเป็นพวก "มโนนิยม" คืออ้างเรื่องหรือสร้างเรื่องขึ้นมาโดยมีการ "กล่าวตู่พระพุทธเจ้า"ว่าทรงมีพระบัญชาให้ใครมาเกิด ซึ่งการกล่าวตู่พระพุทธเจ้านั้นถือว่าเป็น"กรรมหนัก"

    ๓. อ้างเป็นอนาคามี
    อ้างว่าเป็นอนาคามีมาเกิด โดยมาเกิดเป็นพญานาคก่อนแล้วมาเกิดเป็นมนุษย์
    ข้อนี้ไม่ถูกต้อง เพราะอนาคามี แปลตามตัวว่า ผู้ไม่กลับมา เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป จักปรินิพพานในภพนั้นมีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา คือ ไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์ดิรัจฉาน.
    ท่านจะฝึกสมาธิปัญญาต่อจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธปรินิพพานในพรหมโลกนั้นเลย นี่คือธรรมดาของพระอนาคามี ดังนั้น การกล่าวอ้างจึงผิดหลักการในคำสอนของเถรวาท
    >>หลักฐานมาใน : เสขสูตรที่ ๒ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๒

    ๔. ไม่มีคุณสมบัติของพระอนาคามี

    พระอนาคามีเป็นผู้บริบูรณ์ในศีลและในสมาธิ มีศีล ๘ เป็นปกติ ดังมีหลักฐานปรากฏในเรื่องฉัตตปาณิอุบาสกว่า อุโบสถกรรม หามีแก่อริยสาวกผู้เป็นอนาคามีทั้งหลาย ด้วยการสมาทานไม่ พรหมจรรย์และการบริโภคภัตครั้งเดียวของอริยสาวก ผู้เป็นอนาคามีเหล่านั้น มาแล้วโดยมรรคนั่นแหละ เพราะเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "มหาบพิตร นายช่างหม้อชื่อฆฏิการแล เป็นผู้บริโภคภัตครั้งเดียว มีปกติประพฤติพรหมจรรย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม." โดยปกติทีเดียว ท่านอนาคามีทั้งหลายเป็นผู้บริโภคภัตครั้งเดียว และมีปกติประพฤติพรหมจรรย์อย่างนั้น. ฉัตตปาณิอุบาสกแม้นั้น ก็เป็นผู้รักษาอุโบสถอย่างนั้นเหมือนกัน พระศาสดาตรัสว่า ฉัตตปาณิอุบาสก และ ฆฏิการช่างหม้อ เป็นอนาคามีศีล๘ เป็นปกติเป็นผู้บริโภคภัตครั้งเดียว.

    ดังนั้นผู้แอบอ้างยังวิ่งเล่น เต้นอยู่ ทานอาหารเย็น ไม่มีคุณสมบัติของพระอนาคามีเลยแม้แต่น้อย

    >>หลักฐานมาใน : เรื่องฉัตตปาณิอุบาสก อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ ๔ , และ ฆฏการสูตร ม.ม. ๑๓/๓๗๕.

    ๕. อ้างว่าเชื่อมจิต คือการสอนในสมาธิ เพราะสมัยก่อนไม่มีไมโครโฟน พระพุทธเจ้าพูดปกติจะไม่ได้ยินจึงใช้วิธีเชื่อมจิตสอนในสมาธิ

    ข้อนี้ไม่ถูกต้อง เนื่องจากพระพุทธเจ้าเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก สามารถให้คนได้ยินพระสุรเสียงได้แสนโกฏิจักรวาล ดังมีปรากกฎในจูฬนีสูตรว่า
    เมื่อพระอานนท์ได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสว่า อัครสาวกของพระพุทธเจ้าสิขี ยืนอยู่บนพรหมโลกแสดงธรรมให้เทวดาและมนุษย์ได้ยินเสียง พระอานนท์เกิดความสงสัยจึงถามพระพุทธเจ้าว่า พระสาวกมีอานุภาพขนาดนี้ แล้วพระพุทธเจ้าจะเปล่งพระสุรเสียงไปได้ไกลเท่าไร? พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า “ดูกรอานนท์ ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ”
    พระพุทธเจ้าทรงสอนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยพระสุรเสียง ไม่ใช่การเอานิ้วจิ้ม ไม่ใช่การสอนในสมาธิ
    84000 พระธรรมขันธ์ เกิดจากพระสุรเสียง ถ้าใช้การเชื่อมจิตคงจะไม่มีคำสอนสืบต่อศาสนาต่อไปได้
    >>หลักฐานมาใน : จูฬนีสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๒ ข้อที่ ๕๒๐

    ๖. ใช้วิธีจิ้มหน้าผากเป็นการเชื่อมจิต เพื่อกระตุ้นให้การปฏิบัติธรรมให้ดีขึ้น
    ข้อนี้ไม่ถูกต้อง เนื่องจากพระพุทธเจ้าทรงใช้วิธีเทศนาธรรม และไม่มีการกระตุ้นให้การปฏิบัติธรรมดีขึ้น นอกจากผู้ปฏิบัติต้องเพียรด้วยตัวเอง ดังมีตัวอย่างเช่นพระโสณโกฬิวิสเถระ ท่านบำเพ็ญเพียรเดินจงกรมอย่างหนักจนฝ่าเท้าแตก เลือดไหล เมื่อเดินด้วยเท้าไม่ได้ ท่านจึงใช้วิธีคลานด้วยเข่าและฝ่ามือทั้งสอง จนกระทั่งเข่าและฝ่ามือทั้งสองแตกอีกแม้กระนั้น ท่านก็ยังไม่บรรลุมรรคผลอันใด ท่านจึงเกิดความท้อแท้น้อยใจในวาสนาบารมีของตนว่า “บรรดาสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้บำเพ็ญเพียรอย่างหนักนั้น เราก็เป็นผู้หนึ่งที่มิได้ย่อหย่อนกว่าผู้อื่น ๆ ถ้ากระไรเราควรลาสิกขาออกไปครองเพศฆราวาสทำบุญสร้างกุศลตามสมควรแก่ฆราวาสวิสัยจะดีกว่า” พระบรมศาสดา ทรงทราบดำริขอท่านเช่นนั้น จึงเสด็จมาตรัสสอนให้บำเพ็ญเพียรแต่พอปานกลาง อย่าให้ตึงเกินไปหรือหย่อนเกินไปแล้วทรงยกพิณสามสายซึ่งท่านมีความชำนาญในการดีดพิณอยู่ก่อนแล้ว ขึ้นมาแสดงเป็นเครื่องเปรียบเทียบให้เห็นว่า “พิณที่สายตึงเกินไป เมื่อดีดแล้วสายก็จะขาด พิณที่สายหย่อนเกินไป เมื่อดีดแล้วเสียงก็ไม่ไพเราะ ต้องสายที่ตึงพอปานกลางจึงจะไม่ขาดและมีเสียงเพาะ” ท่านโสณโกฬิวิสะ ปฏิบัติตามพระดำรัสที่ทรงแนะนำ ไม่ตึงเกินไป หรือไม่หย่อนเกินไป ปรับอินทรีย์ให้เสมอกันได้แล้ว ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา ณ ป่าสีตะวันนั้น
    ดังนั้นจะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าไม่มีวิธีอื่นช่วยให้การปฏิบัติธรรมได้ผลดีขึ้น นอกจากการแสดงธรรมให้แนวทางเท่านั้น นอกนั้นก็เป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติเอง.
    >>หลักฐานมาใน : โสณสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ ข้อที่ ๓๒๖

    ๗. อ้างว่าเป็นบุตรบุญธรรมเจ้าแม่กวนอิม
    เจ้าแม่กวนอิมเป็นเทพพระโพธิสัตว์ในคติความเชื่อของมหายาน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพุทธเถรวาทเลย เอามาปะปนมั่วไปหมด

    ๘. อ้างว่าพระพุทธเจ้าและเทพเกลียดดอกไม้สีเหลือง ห้ามนำดอกไม้สีเหลืองไปบูชา
    ข้อนี้ไม่ถูกต้อง พระพุทธเจ้าปราศจากกิเลสไม่มีความชอบและชังใดๆ และไม่เลือกว่าดอกไม้สีอะไรชนิดใดห้ามบูชา ดังมีปรากฏในปีตวิมานว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระเจ้าอชาตศัตรุนำพระบรมสารีริกธาตุที่พระองค์ได้รับส่วนแบ่ง มาสร้างพระสถูปและทำการฉลอง. ครั้งนั้นมีอุบาสิกาชาวราชคฤห์คนหนึ่ง ถือดอกบวบขม ๔ ดอก (ดอกสีเหลือง) ตั้งใจจะนำไปบูชาสถูป แต่ระหว่างทางถูกโคแม่ลูกอ่อนขวิดตาย นางตายในขณะนั้นเอง บังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นุ่งผ้าเหลือง มีธงเหลือง ประดับด้วยอลังการเหลือง มีกายลูบไล้ด้วยจันทน์เหลือง ทัดทรงดอกอุบลเหลือง มีปราสาทเหลือง มีที่นอนที่นั่งเหลือง มีภาชนะเหลือง มีฉัตรเหลือง มีรถเหลือง มีม้าเหลือง มีพัดเหลือง ท้าวสักกเทวราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้น มีพระทัยพิศวง เกิดอัศจรรย์ไม่เคยเป็น ทรงดำริว่า ด้วยกรรมอันยิ่งใหญ่เช่นไรหนอ เทพธิดาผู้นี้จึงได้เทพฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้แล้ว จึงตรัสถามเทพธิดานั้นว่า “ดูราเทพธิดาผู้เจริญ ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน เจ้าได้ทำกรรมอะไรไว้ นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร.” นางได้ตอบกรรมนั้นแล้ว ท้าวสักกะจึงตรัสว่า “พระตถาคตยังทรงพระชนม์อยู่ก็ตาม เสด็จปรินิพพานแล้วก็ตาม เมื่อจิตสม่ำเสมอ ผลบุญก็ย่อมสม่ำเสมอกัน”
    >>หลักฐานมาใน : ปีตวิมาน พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ ข้อที่ ๔๗

    ๙. อ้างว่าเชื่อมจิตมีในพระไตรปิฏกตรงกับคำว่าอาเนญฺชสมาธิ
    ข้อนี้ไม่ถูกต้อง เนื่องจากอาเนญฺชสมาธินั้นเป็นสมาธิที่แนบแน่นไม่หวั่นไหวด้วยอำนาจกิเลส ของพระอรหันต์ เป็นสมาบัติวิหารธรรมอันเป็นของพระอเสขะ
    ดังมีปรากฏในยโสชสูตร ว่า ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป
    อยู่ด้วยธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขอันเกิดแต่สมาบัติ คือ อาเนญฺชสมาธิ สมาธิอันสัมปยุตด้วยอรหัตผลอันมีจตุตถฌานเป็นบาท หรือมีอรูปฌานเป็นบาท
    ไม่ใช่การเชื่อมจิตหรือสื่อสารกันแต่อย่างใด เด็กได้กล่าวอ้างคุณธรรมเบื้องสูงอันไม่มีอยู่ในตน
    >>หลักฐานมาใน : ยโสชสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ ข้อที่ ๗๑

    ๑๐. อ้างว่ายังมีสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน ที่สอนเป็นเพียงใบไม้ในกำมือ
    วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๗ หลังจบรายการโหนกระแส ที่คุณหนุ่มกรรชัยได้เชิญพระมหาวัฒนา ปัญญาทีโป ดร.ป.ธ๙ อาจารย์ประจำหลักสูตรบาลีพุทธศาสตร์ มจร. และทนายมูลนิธิทนายกองทัพธรรมไปออกรายการ เพื่อให้ความรู้ด้านพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องแก่ประชาชน หลังจบรายการทีมงานเด็กได้โพสคลิปเด็กที่พูดในคลิปว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสสอนไว้ทั้งหมด มีเพียงใบไม้ในกำมือเท่านั้นที่ตรัสสอน ยังมีอีกมากที่ไม่สอน ดั้งที่เด็กกล่าวมานี้เป็นการอ้างถึงสิ่งที่ตนเองกำลังเผยแพร่สอนอยู่นั้นไม่อยู่ในคำสอน เป็นส่วนที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน
    ซึ่งข้อนี้ไม่ถูกต้อง เนื่องจากพระพุทธเจ้าตรัสว่าสิ่งที่พระองค์สอนเทียบเท่าใบไม้ในกำมือเพราะเป็นธรรมที่ประกอบด้วยประโยชน์เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ เพื่อพระนิพพาน ส่วนใบไม้บนต้นนั้นมีมากกว่า คือสิ่งที่พระองค์ไม่สอนเพราะไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ พระองค์จึงไม่ตรัสสอน
    ดังนั้นเด็กกำลังกล่าวอ้างถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่สอนซึ่งไม่มีประโยชน์
    >> หลักฐานมาใน : สีสปาสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ ข้อที่ ๑๗๑๒

    ๑๑. อ้างคำสอนถูก (บางส่วน)
    ทางทีมงานของเด็กได้อ้างว่าน้องสอนธรรมตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน เช่นอริยสัจ ๔ เป็นต้น ซึ่งการอ้างแบบนี้ไม่ถูกต้อง เนื่องจากว่าการหยิบพระธรรมที่ถูกบางส่วนมาแสดงแล้วบิดเบือนส่วนอื่นๆเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ดังมีปรากฏมาแล้วในอดีต เช่น พระกปิลเถระ เป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก เพราะท่านเป็นผู้ทรงความรู้ด้านปริยัติ ลาภสักการะและบริวารเกิดแก่ท่านมากมาย ท่านเป็นผู้สำคัญตนว่าฉลาดยิ่ง กล่าวธรรมบิดเบือนไปตามชอบใจ ทำให้ศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะอันตธานไปโดยเร็ว
    ดังนั้นแม้พระเถระในอดีตรู้พระธรรมคำสอนเป็นอย่างดี ก็นำธรรมมากล่าวบิดเบือนได้ โดยอาศัยธรรมอันเป็นที่น่าเลื่อมใสบางส่วน แล้วกล่าวส่วนอื่นบิดเบือนไป
    ดังนั้นเด็กอาจมีพูดถูกบางส่วน แต่ส่วนใหญ่ถือว่าผิดบิดเบือนจึงเป็นสัทธรรมปฏิรูป คำสอนปลอมปะปนเข้ามา เป็นภัยต่อพระพุทธศาสนา.
    >> หลักฐานมาใน : เรื่องปลาชื่อกปิละ อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ตัณหาวรรคที่ ๒๔

    ๑๒. สัทธรรมปฏิรูป
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสเหตุเสื่อมของศาสนาไว้ว่า ทองคำปลอมยังไม่เกิดขึ้นในโลกตราบใด ตราบนั้นทองคำแท้ก็ยังไม่หายไป และเมื่อใดทองคำปลอมเกิดขึ้นในโลก เมื่อนั้นทองคำแท้จึงหายไปฉันใด สัทธรรมปฏิรูปยังไม่เกิดขึ้นในโลกตราบใด ตราบนั้นสัทธรรมก็ยังไม่เสื่อมสูญไป แต่เมื่อใดสัทธรรมปฏิรูปเกิดขึ้นในโลก เมื่อนั้นสัทธรรมย่อมเสื่อมสูญไป ฉันนั้นเหมือนกัน ปฐวีธาตุ(ธาตุดิน)ทำสัทธรรมให้เสื่อมสูญไปไม่ได้ อาโปธาตุ(ธาตุน้ำ) เตโชธาตุ (ธาตุไฟ) วาโยธาตุ(ธาตุลม) ก็ทำสัทธรรมให้เสื่อมสูญไปไม่ได้ ที่แท้โมฆบุรุษในโลกนี้ต่างหากเกิดขึ้นมาย่อมทำให้สัทธรรมเสื่อมสูญไป เปรียบเหมือนเรือจะอับปางก็เพราะต้นหนเท่านั้น สัทธรรมย่อมไม่เสื่อมสูญไป ด้วยประการฉะนี้”
    ดังนั้นการที่เด็กกล่าวถูกบางส่วน แต่มีส่วนที่บิดเบือนปนอยู่ด้วยจึงเป็น พระสัทธรรมปลอม เป็นเหตุเสื่อมพุทธศาสนา
    >> หลักฐานมาใน : สัทธัมมัปปฏิรูปกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๘

    ขอให้หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้โปรดดำเนินการดังนี้
    จัดตั้งคณะกรรมการและอนุกรรมการผู้เชี่ยวชาญพระไตรปิฏก ให้ตรวจสอบคำสอนที่บิดเบือนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และออกกฏหมายหรือข้อบังคับไม่ให้ใครหรือผู้ใดมาบิดเบือนพระธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นการป้องกันเหตุการณ์แบบนี้อันจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต.
     
  13. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +69,978
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...