ติดตามสถานะการณ์ต่างๆในต่างประเทศ??? วันนี้ในต่างแดน เกิดอะไรขึ้นบ้าง

เกาะทางใต้ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเกิดจากภูเขาไฟใต้ทะเลระเบิดเมื่อปลายปีก่อน ขยายตัวขึ้นจนรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเกาะที่อยู่ใกล้เคียงแล้ว...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 8 เม.ย. ว่า เว็บไซต์ 'เอิร์ธ ออบเซอร์เวทอรี' (earth observatory) ขององค์การนาซา เปิดเผยว่า เกาะภูเขาไฟทางใต้ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเกิดจากภูเขาไฟใต้ทะเลระเบิดจนผุดพ้นผิวทะเลขึ้นมากลายเป็นเกาะใหม่เมื่อเดือน พ.ย. ปีก่อน และได้ชื่อว่าเกาะ 'นิอิจิมะ' ขยายตัวขึ้นจนรวมตัวกับเกาะใกล้เคียง ซึ่งเป็นเกาะที่เกิิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเช่นกันเมื่อราว 40 ปีก่อนแล้ว

เกาะนิอิจิมะ ผุดขึ้นมาใกล้กับเกาะ นิชิโนะชิมะ ทางใต้ของเกาะโองาซาวาระ (เกาะโบนิน) ราว 1,000 กม. เมื่อเดือนพ.ย. 2013 โดยมันมีขนาดเพียง 500 ม. แต่จากการเฝ้าสังเกตการณ์จนถึง 30 มี.ค.ที่ผ่านมา เกาะทั้งสองผสานรวมเป็นเกาะเดียวกันแล้ว มีขนาดประมาณ 1 กม. จุดที่สูงที่สุดของเกาะ สูงจากระดับน้ำทะเล 60 ม. เพิ่มขึ้นจากเมื่อเดือนธ.ค.ถึง 3 เท่า

ภูเขาไฟซึ่งเป็นต้นกำเนิดเกาะนิอิจิมะ ยังคงปะทุพ่นเถ้าถ่านและลาวาออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยนาย อีริค คลีเมตติ นักภูเขาไฟวิทยาและนักเขียนบล็อก เคยกล่าวเอาไว้เมื่อต้นปี 2014 ว่า เกาะแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ที่บอกให้รู้ว่าเกาะภูเขาไฟเหมือนเช่นเกาะโบนิน มีขนาดใหญ่ขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟหลายแสนครั้งได้อย่างไร


เกาะนิอิจิมะ ภาพถ่ายจาก เอิร์ธ ออบเซอร์เวทอรี เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2013


เกาะนิอิจิมะ ภาพถ่ายจาก เอิร์ธ ออบเซอร์เวทอรี เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 2013


เกาะนิอิจิมะ ภาพถ่ายจาก เอิร์ธ ออบเซอร์เวทอรี เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2014

ที่มา : ทึ่ง! เกาะภูเขาไฟยุ่นผุดพ้นทะเลปีก่อน ขยายตัวกลืนเกาะข้างเคียง - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

 

สมาคมดาราศาสตร์ชวนดูดาวอังคารใกล้โลก



สมาคมดาราศาสตร์ชวนดูดาวอังคารใกล้โลก คืน14 เมษายนนี้ เผยดูได้ด้วยตาเปล่า หากใช้กล้องโทรทรรศน์สามารถเห็นขั้วน้ำแข็งและพื้นผิวดาวอังคารได้ชัด

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชวนประชาชนส่องดาวอังคารดวงใหญ่ สวยสุกใส เข้าใกล้โลกมากสุด คืน 14 เมษายนนี้ เผยดูได้ด้วยตาเปล่า หากใช้กล้องโทรทรรศน์สามารถเห็นขั้วน้ำแข็งและพื้นผิวดาวอังคารได้ชัดเจน

ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เปิดเผยว่า “ในคืนวันที่ 14 เมษายน จนถึงเช้าวันที่ 15 เมษายน2557 จะมองเห็นดาวอังคารสุกสว่างส่องประกายสีส้มแดงบนท้องฟ้า มีความสว่างมากกว่าปกติ เนื่องจากดาวอังคารและโลกเข้าใกล้กันมากที่สุดในรอบ 7 ปี ที่ระยะห่าง 92.39 ล้านกิโลเมตร ประชาชนทั่วไปที่สนใจสามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า หากใช้กล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็กก็จะสามารถมองเห็นขั้วน้ำแข็งและลักษณะพื้นผิวดาวอังคารได้”

ตามปกติแล้วเราจะมองเห็นดาวอังคารส่องประกายสีส้มแดงบนท้องฟ้า เนื่องจากพื้นผิวของดาวอังคารมีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นเหล็กออกไซด์ เราจึงมักเรียกฉายาของดาวอังคารว่า "ดาวเคราะห์สีแดง" ดาวอังคารจะโคจรมาใกล้โลก ทุก ๆ ประมาณ 2 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ดาวอังคารมีคาบการโคจรเข้ามาอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ (opposition : ตำแหน่งที่ดาวอังคาร โลก และดวงอาทิตย์ เรียงอยู่ในเส้นตรงเดียวกันโดยมีโลกอยู่ตรงกลาง) ในวันที่ 9 เมษายน ดาวอังคารจะโคจรเข้ามาอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ และจะเข้าใกล้โลกที่สุดในวันที่ 14เมษายน 2557 เป็นผลให้เราสามารถสังเกตเห็นดาวอังคารมีความสว่างมากกว่าปกติ และจะปรากฏบนท้องฟ้าตลอดทั้งคืน สว่างมากกว่าดาวซิริอุสที่เป็นดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดบนท้องฟ้า ในค่ำคืนดังกล่าวดาวอังคารจะโผล่พ้นจากขอบฟ้า เวลา 18:02 น. ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ในกลุ่มดาวหญิงสาว จะเห็นดาวอังคารสุกสว่างอยู่เคียงด้านซ้ายของดวงจันทร์ หากสังเกตในช่วงเช้ามืดจะมองเห็นดาวอังคารปรากฏอยู่สูงจากขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ครั้งล่าสุดที่ดาวอังคารโคจรมาใกล้โลก คือวันที่ 5 มีนาคม 2555 และจะโคจรเข้าใกล้โลกที่สุดครั้งต่อไปในวันที่ 31 พฤษภาคม 2559

รศ.บุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาตร์แห่งชาติ กล่าวว่า ปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องที่ดี ที่คนไทยทุกคน ทุกพื้นที่ สามารถชมได้ด้วยตาเปล่า และชมได้โดยไม่ต้องเสียสตางค์ เพียงแค่ แหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ ที่เป็นพระจันทร์เต็มดวงพอดี โดยดวงดาวสีส้มแดง ที่สุกปลั่งอยู่ด้านซ้ายของดวงจันทร์ นั่นคือดาวอังคาร นั่นเอง



"ในคืนดังกล่าว หลายพื้นที่ท้องฟ้าน่าจะโปร่ง ทั้งในเมือง และชนบท ก็มองเห็นได้หมด สำหรับในเมืองที่มีฝุ่นค่อนข้างมาก เช่น กรุงเทพ หรือเชียงใหม่นั้นจะพิเศษกว่าพื้นที่อื่นๆ เพราะฝุ่นจะทำให้เห็นดาวอังคารมีแสงสีแดงออกมาชัดเจนมากกว่าพื้นที่ มีฝุ่นน้อย ซึ่งก็จะทำให้เห็นความสวยงามบนท้องฟ้าอีกรูปแบบหนึ่ง"รศ.บุญรักษา กล่าว

รศ.บุญรักษา กล่าวว่า นอกจาก ดาวอังคาร เข้าใกล้โลก ในช่วงเวลานี้แล้ว มีปรากฏการณ์ทางท้องฟ้าอื่นๆที่ คนไทย จะมีโอกาสเห็นอีก 2 ปรากฏการณ์คือ ช่วงวันที่ 12 สิงหาคม จะมีฝนดาวตก เปอร์เซอิด และ ช่วงเดือนธันวาคม ก็จะมีปรากฏการณ์ฝนดาวตก เจมินิคส์ เป็นปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ ปิดท้ายประจำปี 2557 นี้

��Ҥ������ʵ��ǹ�ٴ���ѧ�������š - ��ا෾��áԨ �͹�Ź�

สมาคมดาราศาสตร์ไทย : ตั้งกล้องดูดาวส่องดูขั้วน้ำแข็งดาวอังคารใกล้โลก

 

ไม่รอช้า ถึงแม้คืนนี้ฟ้าไม่ค่อยจะเปิดเสียเลย คว้ากล้องได้ จัดการ

ไม่มีฝีมือถ่ายภาพซะเรย ได้ภาพออกมาให้มวลหมู่สมาชิกได้ชมแบบนาวๆ ณ บัดนี้... ภาพนี้ถ่ายตอน สองทุ่มครึ่ง

(จริงๆแล้ว เสียดาย ดาวอังคาร เมื่อคืนวาน สดใสกว่านี้มาก )



ใครเก็บภาพได้สวยๆ เอามาแบ่งแชร์ ให้ดูเป็นบุญตาด้วยเน๊อ...

 

วันนี้รดน้ำดำหัวญาติผู้ใหญ่กว่าจะเสร็จ มาเห็นอีกทีแสงจันทร์จ้าเกินไป

ตะกี้ก้อเลยลองถ่ายดู (เบลอเพราะกดแชะๆจบ ยุงชุมมาก )





.

 

ถึงภาพจะเบลอไปหน่อย ยังไงก็ดาวอังคารดวงเดียวกัน
ขอบคุณมากค่ะท่านฮิที่ร่วมแชร์ สวยดี ทีเราถ่ายไม่เห็นสีเขียวสีแดงแบบนี้มั่ง

ท่านฮิกลับบ้านมาเนาสงกรานต์ติ๊ แหม่ๆ ถ้ารู้จะไปรดน้ำขอพร ให้โชกไปเรยย.. สุขสันต์รับวันสงกรานต์เด้อจ้า ^^

 

ผมใช้เลนส์ซูม 300 มม. ต่อกับเลนส์ขยาย 1.4 เท่า ตัวคูณกล้องอีก 1.6 เท่า = 672 มม. ครับ ไม่ได้ใช้สายลั่นชัตเตอร์ ไม่ได้ตั้งเวลา รีบๆกดเพราะยุงเยอะมาก

มาร้อยเอ็ดตั้งแต่วันที่ 10 เมย.ครับ ส่วนจะกลับวันไหน คงรอรถราบางตาก่อนจ้า
ขอบคุณครับ ขอให้มีความสุขวันสงกรานต์กันทั้งครอบครัวนะครับ เออ คุณน้ำใสเห็นผมแก่ขนาดจะมาขอพร กันเลยเชียวรึ hahaha

.

 

อ่อ เพิ่งรู้ นักดูนกเค้าใช้สารพัดเลนส์กันขนาดนี้ พวกเราถึงได้มีโอกาสชมรูปภาพนกสวยๆ จากบึง ทะเล บนแมกไม้เขาสูง ถึงแม้จะมียุงมาตอมบ้าง แช๊ะ! ทีเดียว ภาพก็ยังสวยแจ่มดังใจ

ต่างกับเราที่ใช้แค่กล้องธรรมดา ใช้โหมดออโต้เป็นส่วนมาก เล็งแล้วเล็งอีก สวยที่สุดก็ได้แค่นี้

.....................

แฮ่ๆ เรื่องแก่ แค่สะกิดเบาๆ ทำเอาจอมยุทธสะดุ้ง
รู้แล้วสินะว่า แก่ เป็นสิ่งไม่น่าปรารถนา
รูปัง สังขาร วิญญาน อนิจจา ดิฉันแอบท่องในใจทุกวัน อิอิ

ขอบคุณมากค่ะสำหรับคำอวยพร ^^

 

อีกแล้ว มาเลเซีย


ระทึกอีก! เครื่องบิน “มาเลเซีย แอร์ไลน์ส” มุ่งหน้าอินเดีย ต้องลงจอดฉุกเฉิน หลังฐานล้อไม่ทำงาน


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 เมษายน 2557 02:10 น.



รอยเตอร์/เอเจนซี/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-เกิดเหตุระทึก เมื่อเครื่องบินโดยสารของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส พร้อม 166 ชีวิตบนเครื่องต้องบินกลับมาลงจอดฉุกเฉินยังสนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ในวันจันทร์ (21) หลังไม่สามารถเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางที่เมืองบังกาลอร์ในอินเดียได้ เพราะเกิดปัญหากับ “ฐานล้อ”

คำแถลงของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์สระบุว่า เครื่องบินโดยสารแบบโบอิ้ง 737-800 เที่ยวบิน “MH192” พร้อมผู้โดยสาร 159 คนและลูกเรืออีก 7 คน ประสบปัญหาการทำงานผิดปกติของฐานล้อด้านขวา ระหว่างการทะยานขึ้นฟ้า เป็นเหตุให้นักบินต้องพยายามนำเครื่องกลับมาลงจอดฉุกเฉิน ณ สนามบินกัวลาลัมเปอร์

ขณะที่เว็บไซต์ “flightradar24” ซึ่งแสดงข้อมูลจราจรทางอากาศสด เผยให้เห็นเที่ยวบินดังกล่าวทำการบินวนซ้ำๆ เป็นวงกลมก่อนจะลงจอดฉุกเฉินที่สนามบินในเมืองหลวงของมาเลเซียได้ในที่สุด

ด้านฮิชามมุดดิน ฮุสเซน รัฐมนตรีกลาโหมและรักษาการรัฐมนตรีคมนาคมมาเลเซีย เผยผ่านทวิตเตอร์ในวันจันทร์ (21) โดยระบุ เที่ยวบิน “MH192” สามารถลงจอดได้อย่างปลอดภัยแล้ว และตัวเขากำลังเดินทางไปยังสนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์เพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ระทึกที่เกิดขึ้น

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนที่แล้ว เที่ยวบิน “MH370” ของมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ซึ่งมีจุดหมายที่กรุงปักกิ่งของจีน ได้หันหัวกลับและบินออกนอกเส้นทาง ก่อนจะหายไปอย่างเป็นปริศนาพร้อม 239 ชีวิตบนเครื่องและยังหาไม่พบจนถึงขณะนี้ ท่ามกลางความร่วมมือของหลายประเทศในการค้นหาร่องรอยของเที่ยวบินดังกล่าวทางตอนใต้ของมหาสมุทรอินเดีย ที่คาดว่าอาจเป็นจุดที่เครื่องดิ่งลงทะเล

 

ผวา! เหยื่อไวรัสมรณะ MERS ในซาอุดีอาระเบียพุ่งทะลุ 100 ศพ-คนแห่ซื้อหน้ากากอนามัย


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 เมษายน 2557 08:57 น.



เอเอฟพี - ยอดผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ตะวันออกกลาง (MERS) ในซาอุดีอาระเบียพุ่งทะลุ 100 ศพ เมื่อวานนี้ (27) ในขณะที่ทางการเร่งหามาตรการป้องกันเพื่อบรรเทาความตื่นตระหนกของประชาชน

กระแสหวาดกลัวเชื้อมรณะกำลังแผ่ลามไปทั่วซาอุดีอาระเบีย หลังพบผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีผู้เสียชีวิตถึง 39 รายในเดือนนี้ หรือกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด 102 รายที่ทางการซาอุฯ บันทึกไว้นับตั้งแต่ไวรัสชนิดนี้เริ่มแพร่ระบาดเมื่อเดือนเมษายน ปี 2012

กระทรวงสาธารณสุขซาอุดีอาระเบียแถลงวานนี้ (27) ว่า หนึ่งในผู้เสียชีวิต 8 รายที่ได้รับแจ้งล่าสุดเป็นเด็กทารกวัยเพียง 9 เดือน

ยอดผู้ติดเชื้อไวรัส MERS ทั้งประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 339 คน ในจำนวนนี้ยังรวมถึงเจ้าหน้าที่แพทย์ 4 คนที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองตะบูก ทางตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบีย, แพทย์ชาวอียิปต์ 1 คน, แพทย์ชาวซีเรีย 1 คน และพยาบาลชาวฟิลิปปินส์อีก 2 คน

ความหวาดกลัวเชื้อไวรัส MERS ในหมู่แพทย์และพยาบาลยังส่งผลให้โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองเจดดาห์ต้องสั่งปิดห้องฉุกเฉินชั่วคราว และมีแพทย์อย่างน้อย 4 รายจากโรงพยาบาลกษัตริย์ฟาฮัดในเมืองเจดดาห์ที่ยื่นจดหมายลาออกเมื่อต้นเดือนนี้ เพราะไม่ต้องการรักษาคนไข้ที่ติดเชื้อ MERS

นักวิทยาศาสตร์ยังอยู่ระหว่างศึกษาต้นตอและการแพร่กระจายของไวรัสชนิดนี้ ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน

MERS ถูกจัดอยู่ในตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจเฉียบพลัน (SARS) ซึ่งเคยแพร่ระบาดในเอเชียเมื่อปี 2003 โดยครั้งนั้นมีผู้ติดเชื้อไวรัสซาร์สมากถึง 8,273 คน และร้อยละ 9 เสียชีวิต

กรุงริยาดได้สั่งปลดรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขโดยไม่แจ้งเหตุผลที่ชัดเจน และให้รัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน อาเดล ฟาเกียะห์ มารับหน้าที่รักษาการรัฐมนตรีสาธารณสุขควบอีกตำแหน่ง ซึ่งเขาก็สัญญาว่าจะจัดการวิกฤตเชื้อ MERS อย่างโปร่งใสที่สุด

สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลเลาะห์แห่งซาอุดีอาระเบียได้เสด็จไปยังเมืองเจดดาห์ด้วยพระองค์เองเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว (24) เพื่อสร้างขวัญกำลังใจแก่ประชาชน และแสดงให้เห็นว่ากระแสข่าวลือเกี่ยวกับไวรัส MERS นั้น “เกินเหตุและไม่เป็นความจริง”



รัฐมนตรี ฟาเกียะห์ แถลงเมื่อวันเสาร์ (26) ว่าได้มีการเปิดศูนย์การแพทย์เฉพาะทางขึ้นอีก 3 แห่งในเมืองเจดดาห์, กรุงริยาด และจังหวัดตะวันออก

อย่างไรก็ดี ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงหวาดกลัว และไม่ต้องการเอาชีวิตคนในครอบครัวไปเสี่ยง

“ฉันตัดสินใจให้ลูกสาววัย 6 ขวบอยู่บ้าน และไม่ต้องไปโรงเรียน” อุมมุมุนตะฮา คุณแม่คนหนึ่งกล่าว

“การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา” เธอบอก

โรงเรียนในซาอุดีอาระเบียยังคงเปิดสอนนักเรียนตามปกติ แต่หลายแห่งแนะนำให้ผู้ปกครองหาหน้ากากอนามัยและน้ำยาฆ่าเชื้อไว้ให้บุตรหลานใช้ ขณะที่แหล่งข่าวเภสัชกรในเมืองเจดดาห์ยอมรับว่า หน้ากากอนามัยขายดิบขายดีจนขาดตลาดแล้ว

“ความต้องการซื้อหน้ากากอนามัยเพิ่มขึ้นประมาณ 10 เท่าในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา” เภสัชกรรายหนึ่งกล่าว

จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัส MERS เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่เดือนก่อนจะถึงพิธีฮัจญ์ ซึ่งจะมีชาวมุสลิมนับล้านๆ คนเดินทางมาแสวงบุญยังนครเมกกะและมะดีนะห์ โดยพิธีฮัจญ์ปีนี้จะตรงกับช่วงเดือนกันยายน

 

'กาซา' ลุกเป็นไฟ เมื่อ 'อิสราเอล' ตัดสินใจถล่ม 'ฮามาส'


อิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา กำลังมีส่วนร่วมในเหตุความรุนแรงที่ร้ายแรงที่สุดในรอบหลายเดือน โดยกลุ่มติดอาวุธระดมยิงจรวดนับพันลูกเข้าสู่อิสราเอล ขณะที่กาซาเองกำลังถูกถล่มด้วยการโจมตีทางอากาศระลอกแล้วระลอกเล่าของกองทัพยิว ตอกย้ำภาพความเป็นศัตรูระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ที่ปะทะกันมาหลายครั้งตั้งแต่อดีต

สาเหตุที่อิสราเอลและกาซาต่อสู้กันมาตลอดนั้น เนื่องจากฉนวนกาซาซึ่งเป็นดินแดนที่เชื่อมต่อกับอิสราเอลทางทิศตะวันออก และติดกับอียิปต์ทางตะวันตกเฉียงใต้ เป็นพื้นที่พิพาทระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์มานานหลายปี หลังจากอิสราเอลเข้ายึดกาซาในสงครามตะวันออกกลางเมื่อปี 1967 และเพิ่งถอนกำลังออกมาในปี 2005 ซึ่งอิสราเอลถือว่าพวกเขายุติการยึดครองกาซาแล้ว อย่างไรก็ตาม อิสราเอลยังคงควบคุมพื้นที่ชายแดนส่วนใหญ่ของกาซา รวมถึงน่านน้ำและน่านฟ้า ขณะที่อียิปต์ควบคุมชายแดนทางใต้ของกาซาเอาไว้


รถถังของอิสราเอลเคลื่อนประชิดชายแดนฉนวนกาซา

อิสราเอลยังตั้งกฎข้อบังคับที่เข้มงวดในด้านการขนย้ายสินค้าและคน เข้าหรือออกจากฉนวนกาซา โดยอ้างว่าจำเป็นอย่างมากต่อความมั่นคงของประเทศ แต่ชาวปาเลสไตน์ในกาซากลับรู้สึกเหมือนถูกจำกัดขอบเขต และต้องทนทุกข์กับสภาพความยากลำบากทางสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งกลุ่มเคลื่อนไหวชาวปาเลสไตน์มุสลิม 'ฮามาส' ซึ่งมีอิทธิพลมากและกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ มองว่าการจำกัดนี้เป็นเรื่องสุดจะทนได้

ฮามาสออกกฎบัตรเมื่อปี 1988 เพื่ออ้างความชอบธรรมในการทำลายล้างอิสราเอล แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาระบุว่าจะพิจารณาตกลงหยุดยิงระยะยาวกับอิสราเอล ถึงกระนั้น ฮามาสอ้างว่าอิสราเอลยังคงยึดครองเขตเวสต์แบงก์ และเยรูซาเลมตะวันออก เป็นเหตุผลในการโจมตีอิสราเอลตั้งแต่ก่อนและหลังปี 2005 ฮามาสอ้างด้วยว่า พวกเขาเคลื่อนไหวเพื่อป้องกันตนเองจากการโจมตีของกองทัพอิสราเอล

ขณะที่เหตุความรุนแรงล่าสุด ซึ่งอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธในกาซา ยกระดับการโจมตีทางอากาศและการยิงจรวดขึ้นอย่างมาก มีชนวนเหตุมาจากการลักพาตัวและฆาตกรรมวัยรุ่นชาวอิสราเอล 3 คน เมื่อเดือน มิ.ย. ซึ่งอิสราเอลกล่าวโทษกลุ่มฮามาสว่าเป็นผู้ก่อเหตุ ทำให้เกิดการจับกุมขนานใหญ่ในเวสต์แบงก์ ขณะที่ฮามาสปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมวัยรุ่นทั้งสาม ก่อนความตึงเครียดจะเพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อวัยรุ่นปาเลสไตน์ถูกอุ้มฆ่าด้วยการเผาทั้งเป็นเมื่อ 2 ก.ค. และชาวปาเลสไตน์ออกมาประท้วงอย่างรุนแรงเพราะสงสัยว่า วัยรุ่นรายนี้ถูกอิสราเอลฆ่าเพื่อแก้แค้น


กลุ่มติดอาวุธในกาซายิงจรวดใส่อิสราเอล

ต่อมาในวันที่ 7 ก.ค. กลุ่มฮามาสออกมายอมรับเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการยิงจรวดเข้าสู่พื้นที่ทางใต้ของอิสราเอลเป็นครั้งแรกในรอบ 20 เดือน หลังการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลทำให้สมาชิกของฝ่ายกลุ่มติดอาวุธของฮามาสเสียชีวิตไปหลายคน และในวันที่ 8 ก.ค. อิสราเอลก็ประกาศเริ่ม 'ปฏิบัติการปกป้องชายแดน' อ้างว่ามีเป้าหมายเพื่อหยุดการยิงจรวดและทำลายขีดความสามารถของกลุ่มฮามาส ซึ่งจากนั้นเป็นต้นมา อิสราเอลโจมตีทางอากาศใส่เป้าหมายในกาซากว่าพันจุด และฮามาสก็ตอบโต้ด้วยจรวดกว่าพันลูกเช่นกัน

เหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้นานาชาติออกมาเรียกร้อง และพยายามดำเนินการทางการทูตเพื่อให้อิสราเอลและกลุ่มฮามาสยอมทำข้อตกลงหยุดยิงซึ่งกันและกัน แต่ก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งการโจมตีของอิสราเอลดำเนินไปจนถึงวันที่ 7 อียิปต์ก็ยื่นข้อเสนอแผนหยุดยิง 48 ชั่วโมง ซึ่งต้องการให้อิสราเอลและฮามาสยุติการโจมตีก่อนตามด้วยการเจรจาที่กรุงไคโร เมืองหลวงของอียิปต์

ข้อเสนอของอียิปต์ทำท่าว่าจะไปได้สวย เมื่อคณะรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงของอิสราเอลมีมติยอมรับการหยุดยิง เพียงไม่กี่นาทีก่อนที่ข้อเสนอจะมีผลบังคับใช้ในเช้าวันที่ 15 ก.ค. แม้กลุ่มฮามาสยังไม่มีการตอบสนองที่ชัดเจน ด้านฝ่ายกลุ่มติดอาวุธของฮามาสออกมาปฏิเสธ ชี้ว่าการหยุดยิงคือการยอมแพ้ ขณะที่นายมุสซา อาบู มาร์ซูค รองหัวหน้าคณะกรรมการบริหารสูงสุดของฮามาส กล่าวว่า ทางกลุ่มกำลังพิจารณาข้อเสนอของอียิปต์อยู่

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา นายซามี อาบู ซูห์รี โฆษกของกลุ่มติดอาวุธของฮามาส ออกมากล่าวว่า พวกเขาไม่ได้รับร่างข้อเสนออย่างเป็นทางการ และขอปฏิเสธข้อเสนอหยุดยิงของอียิปต์ อ้างว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ จากนั้นกลุ่มฮามาสก็ยิงจรวดกว่า 50 ลูกเข้าใส่อิสราเอล ทำให้อิสราเอลที่หยุดยิงมานานกว่า 6 ชั่วโมง ตัดสินใจโจมตีทางอากาศตอบโต้กลุ่มฮามาส ความพยายามของอียิปต์จึงล้มไม่เป็นท่า


ชาวปาเลสไตน์แห่ศพประท้วงการโจมตีทางอากาศของอิสราเอล

จากสถานการณ์ในปัจจุบัน ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลยที่กลุ่มติดอาวุธของฮามาสจะยอมรับข้อเสนอหยุดยิงใดๆ หากปราศจากการเจรจากับอิสราเอล เพื่อให้ทำตามเงื่อนไขที่พวกเขาต้องการ โดยพวกเขายืนยันมาตลอดว่าจะยอมทำข้อตกลงหยุดยิงกับอิสราเอลก็ต่อเมื่อ อิสราเอลยุติการรุกรานในเขตเวสต์แบงก์, เยรูซาเลม และฉนวนกาซา รวมถึงให้อิสราเอลทำตามข้อตกลงหยุดยิงในปี 2012, เลิกบ่อนทำลายรัฐบาลร่วมระหว่างกลุ่มฮามาสและกลุ่มฟาตาห์ อีกหนึ่งกลุ่มการเมืองใหญ่ของปาเลสไตน์ ที่เพิ่งจัดตั้งเมื่อไม่นานมานี้ และปล่อยตัวนักโทษปาเลสไตน์ แลกตัวกับพลทหาร กิลัด ชาลิต

แต่ไม่ว่าเหตุความรุนแรงครั้งนี้จะยุติลงในรูปแบบใด ฝ่ายที่รับเคราะห์ไปเต็มๆ คือพลเมืองชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา ที่แม้จะเป็นดินแดนเล็กๆ แต่กลับมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น โดยอิสราเอลอ้างว่า บ้านเรือนที่ถูกทำลายไป เป็นของสมาชิกระดับสูงของกลุ่มติดอาวุธและถูกใช้เป็นศูนย์บัญชาการ รวมถึงกลุ่มติดอาวุธยังเก็บจรวดเอาไว้ในอาคารที่มีลักษณะเป็นบ้าน, โรงเรียนและโรงพยาบาล แต่รายงานจากหน่วยฉุกเฉินของปาเลสไตน์ระบุว่า จนถึงวันที่ 16 ก.ค. จำนวนชาวปาเลสไตน์ที่เสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลมีมากถึง 220 ราย และมีผู้บาดเจ็บมากกว่า 1,800 คน กว่า 80% ในจำนวนนี้เป็นพลเมืองธรรมดา


โดย ไทยรัฐออนไลน์ 18 ก.ค. 2557

 

ทหารอิสราเอลบุกฉนวนกาซาทำลายฐานจรวด
กองทัพอิสราเอลส่งทหารภาคพื้นดินบุกเข้าฉนวนกาซาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2552 เพื่อทำลายอุโมงค์ใต้ดิน และฐานยิงจรวดทั้งหมดของกลุ่มฮามาส ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตจากการสู้รบที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนอยู่ที่อย่างน้อย 230 ศพ


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ว่ากองกำลังป้องกันอิสราเอล ( ไอดีเอฟ ) ออกแถลงการณ์เมื่อวันพฤหัสบดี ระบุการส่งกำลังทหารภาคพื้นดินเข้าไปในฉนวนกาซาอย่างเป็นทางการ โดยมีเป้าหมายทำลายอุโมงค์ใต้ดิน และฐานยิงจรวดทั้งหมดของกลุ่มฮามาส ซึ่งยึดครองฉนวนกาซา ถือเป็นการใช้กำลังภาคพื้นดินในฉนวนกาซาครั้งแรกในรอบ 5 ปี นอกจากนี้ กองทัพอิสราเอลยังเรียกพลทหารกองหนุนเพิ่มอีก 18,000 นาย ส่งผลให้ในเวลานี้มีทหารกองหนุนประจำการเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 65,000 นายแล้ว

ทั้งนี้ นับตั้งแต่เป็นฝ่ายเปิดฉากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ "โพรเทคทีฟ เอจ" เมื่อวันที่ 8 ก.ค. เครื่งบินรบของกองทัพอิสราเอลสามารถทำลายเป้าหมายในฉนวนกาซาได้แล้วกว่า 2,000 แห่ง ขณะที่กลุ่มฮามาสยิงจรวดตอบโต้กลับมากว่า 1,500 ลำ ซึ่งส่วนใหญ่ระบบต่อต้านขีปนาวุธ "ไอเอิร์น โดม" สกัดเอาไว้ได้

ขณะที่ทำเนียบรัฐบาลอิสราเอลเผยแพร่แถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ระบยังไม่มีการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดภารกิจครั้งนี้ พร้อมกับประณามกลุ่มฮามาส ว่าเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงหยุดยิงเพื่อมนุษยธรรมเป็นเวลา 5 ชั่วโมงของสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) ที่มีขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดี เนื่องจากยังคงมีการยิงปืนใหญ่และจรวดข้ามฝั่งมาเป็นระยะ

สำหรับจำนวนผู้เสียชีวิตจาภารกิจครั้งนี้อยู่ที่อย่างน้อย 230 ศพ เป็นชาวปาเลสไตน์ทั้งหมด และได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 1,400 คน ด้านอิสราเอลเผยมีพลเมืองของตัวเองเสียชีวิตแล้ว 1 ศพ

ทหารอิสราเอลบุกฉนวนกาซาทำลายฐานจรวด | อ่านความจริงอ่านเดลินิวส์

 

บินมาเลย์โดนสอยที่ยูเครนฉุดหุ้นสหรัฐร่วงกราว
โศกนาฏกรรมเที่ยวบิน เอ็มเอช 17 ของมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ถูกยิงตกทางตะวันออกของยูเครน ฉุดหุ้นดาวโจนส์ของสหรัฐร่วงกรูด ส่วนหุ้นของมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ตก 13% ทันทีหลังเปิดตลาด

วันศุกร์ 18 กรกฎาคม 2557 เวลา 10:09 น.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 17 ก.ค. ว่าบรรยากาศการซื้อขายที่ตลาดหุ้นในสหรัฐผันผวนอย่างหนัก สืบเนื่องจากโศกนาฏกรรมเที่ยวบิน เอ็มเอช 17 ของมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ถูกยิงตกทางตะวันออกของยูเครน เมื่อวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้ผู้อยู่บนเครื่องทั้ง 298 คน เสียชีวิต ซึ่งเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับที่อิสราเอลเปิดฉากโจมตีภาคพื้นดินในฉนวนกาซา โดยดัชนีดาวโจนส์ติดลบถึง 161.39 จุด หรือ 0.94% มาปิดที่ 6,796.81 จุด ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 1,958.12 จุด ลดลง 23.45 จุด หรือ 1.18% และแนสแด็กติดลบ 62.52 จุด หรือ 1.41% มาอยู่ที่ 4,363.45 จุด

ส่วนหุ้นของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ตกถึง 13% เพียงไม่กี่นาทีหลังเปิดตลาดในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นอย่างหนัก หลังเครื่องบินของมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ประสบเหตุร้ายเป็นลำที่ 2 ในเวลาเพียง 4 เดือน หลังเที่ยวบินเอ็มเอช 370 หายสาบสูญไปอย่างลึกลับ ขณะเดินทางจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ไปยังกรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 8 มี.ค.

 

ซีอีโอสายการบิน “เอมิเรตส์” ย้ำ ยังไม่จำเป็นต้องติดระบบป้องกันขีปนาวุธบนเครื่องบินพาณิชย์ หลังเกิดโศกนาฏกรรม “MH17”


เซอร์ ทิโมธี คลาร์ก

รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-ผู้บริหารสายการบิน “เอมิเรตส์” สายการบินชื่อดังแห่งโลกอาหรับ ชี้ ยังไม่มีความจำเป็นต้องติดตั้ง “ระบบต่อต้านขีปนาวุธ” กับเครื่องบินพาณิชย์ หลังเกิดเหตุเครื่องบินโดยสารของมาเลเซีย แอร์ไลน์สเที่ยวบิน “MH17” ถูกสอยร่วงจากน่านฟ้าทางตะวันออกของยูเครน

เซอร์ ทิโมธี คลาร์ก ประธานและซีอีโอของสายการบินเอมิเรตส์ซึ่งมีฐานอยู่ที่นครดูไบในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ออกโรงให้สัมภาษณ์พิเศษกับสำนักข่าวรอยเตอร์ในวันจันทร์ (21) โดยระบุว่า ในขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับขีปนาวุธ หรือระบบต่อต้านขีปนาวุธกับเครื่องบินพาณิชย์แต่อย่างใด แม้จะเริ่มมีเสียงเรียกร้องจากบรรดาผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งสินค้าทางอากาศระหว่างประเทศ หลังจากที่เครื่องบินโดยสารเที่ยวบินเอ็มเอช17ของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ถูกยิงตกโดยขีปนาวุธที่เชื่อว่าเป็นแบบพื้นสู่อากาศ

“ในขณะนี้ เริ่มมีบางคนในอุตสาหกรรมการบินของเรา เสนอความคิดเรื่องการติดตั้งระบบดังกล่าวกับเครื่องบินพาณิชย์ ซึ่งผมเห็นว่ามันยังไม่สมควรจะเกิดขึ้น ผมยังเชื่อว่าสายการบินต่างๆ ต้องสามารถให้บริการขนส่งผู้โดยสารและสินค้า ได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องคอยกังวลว่าจะถูกสอยร่วงจากท้องฟ้า ประชาคมโลกควรต้องสร้างความมั่นใจให้กับเราในเรื่องนี้ มิใช่ปล่อยให้อุตสาหกรรมการบินเป็นผู้รับภาระนี้เพียงลำพัง” เซอร์ทิโมธี คลาร์ก ซึ่งเคยเป็นอดีตกรรมการผู้จัดการของสายการบินแห่งชาติศรีลังกามาก่อน กล่าวกับรอยเตอร์

อย่างไรก็ดี ซีอีโอของสายการบินเอมิเรตส์ย้ำว่า แม้โดยส่วนตัวแล้วจะยังเชื่อว่า ไม่มีความจำเป็นต้องติดตั้งระบบต่อต้านขีปนาวุธกับเครื่องบินพาณิชย์ แต่โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับเที่ยวบินเอ็มเอช17 ของมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนว่า ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบินระหว่างประเทศจำเป็นต้องแสดงจุดยืนร่วมกันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเอ็มเอช 17 นั้น เป็นเรื่องที่ “มิอาจยอมรับได้” และผู้ที่ก่อเหตุโจมตีสมควรถูก “ประณาม” รวมถึงต้องได้รับโทษขั้นสูงสุด

เซอร์ ทิโมธี คลาร์กยังให้ความเห็นว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ควรเร่งจัดการประชุมนานาชาติเพื่อหาทางรับมือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเครื่องบินพาณิชย์จากผลพวงของความขัดแย้งทางการเมืองและการสู้รบในพื้นที่ต่างๆของโลก

ขณะเดียวกัน ซีอีโอของเอมิเรตส์ย้ำว่า ความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับเอ็มเอช 17 เหนือน่านฟ้ายูเครนนั้น ไม่สมควรบดบังความพยายามของนานาชาติในการติดตามค้นหาเที่ยวบินเอ็มเอช 370 ของมาเลเซีย แอร์ไลน์สที่ยังคงสูญหายไปพร้อมกับ 239 ชีวิตบนเครื่อง ตั้งแต่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา

ทั้งนี้ แนวคิดเรื่องการติดตั้งระบบต่อต้านขีปนาวุธกับเครื่องบินพาณิชย์นั้น ถูกพูดถึงครั้งแรกตั้งแต่เมื่อปี 2003 หลังเกิดเหตุโจมตีเครื่องบินขนส่งสินค้าแบบแอร์บัส เอ300 ด้วยขีปนาวุธ หลังทะยานขึ้นจากสนามบินในกรุงแบกแดดของอิรัก ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯได้ทุ่มงบประมาณไม่ต่ำกว่า 239 ล้านดอลลาร์ (ราว 7,616 ล้านบาท) ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาในการค้นคว้าวิจัยเพื่อหาทางป้องกันเครื่องบินพาณิชย์จากการโจมตีจากภาคพื้นดิน

 

สลด! เครื่องบินไต้หวันตก เสียชีวิตหลายราย

เครื่องบินโดยสารของสายการบินทรานส์เอเชีย เที่ยวบิน GE222 ตกขณะพยายามร่อนลงจอดฉุกเฉิน เบื้องต้นผู้โดยสารและลูกเรือรวม 58 คน เสียชีวิตอย่างน้อย 51 ราย

สำนักข่าวซินหัวของประเทศจีน รายงาน เครื่องบินโดยสาร แบบ ATR-72 ของสายการบินทรานส์เอเชีย ที่เป็นสายการบินภายในประเทศของไต้หวัน เที่ยวบิน GE222 จาก เมืองเกาสง ไป เผิงฮู ตก ขณะพยายามร่อนลงจอดฉุกเฉิน เบื้องต้นมีรายงานว่าบนเครื่องมีผู้โดยสารและลูกเรือรวม 58 คน และมีรายงานว่าขณะนี้ มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 51 ราย


สำนักงานการบินพลเรือนไต้หวันเผยว่า เที่ยวบิน จีอี222 ประกอบด้วยผู้โดยสาร 54 คน แบ่งเป็น ผู้ใหญ่ 50 คน และเด็ก 4 คน และลูกเรืออีก 4 คน เดินทางออกจากเขตเทศบาลพิเศษ เกาสง บนเกาะหลักของไต้หวัน เมื่อเวลา 17:43 น.(16:43 น. ตามเวลาไทย) และขาดการติดต่อกับหอบังคับการการบินในเวลา 19:06 น.

เฉิน จี้ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนไต้หวันระบุว่า จีอี222 พยายามร่อนลงจอดฉุกเฉินที่สนามบินในเมืองหม่ากง เมืองเอกของเขตเปงฮู เนื่องจากสภาพอากาศเลวร้ายอันเกิดจากอิทธิพลของพายุไต้ฝุ่น 'แมตโม' ซึ่งพัดถล่มไต้หวันในวันพุธ แต่ประสบความล้มเหลวในการพยายามครั้งแรก และขอพยายามลงจอดครั้งที่ 2 ก่อนขาดการติดต่อแทบจะในทันที

เครื่องบินลำนี้ถูกพบว่าตกในพื้นที่ชุมชน ทำให้บ้านเรือนหลายหลังพังถล่ม แต่ไม่มีรายงานว่ามีผู้อยู่อาศัยเสียชีวิตหรือไม่ ขณะที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงดำเนินการดับไฟที่ลุกท่วมเครื่องบิน และค้นหาผู้รอดชีวิตและศพผู้เสียชีวิตใต้ซากปรักหักพัง

ทั้งนี้ ยังมีความสับสนเรื่องจำนวนผู้เสียชีวิต โดยสำนักงานการบินพลเรือนระบุตัวเลขผู้เสียชีวิตไว้ที่ 51 ราย ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของไต้หวันระบุตัวเลขไว้ที่ 47 ราย ส่วนที่เหลือได้รับบาดเจ็บ



โดย ไทยรัฐออนไลน์

 

ฮามาสยื่นคำขาดยิวเปิดทางเข้า-ออกกาซาแลกหยุดยิง


กลุ่มฮามาสยืนกราน ทางเดียวที่จะนำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซา คือการที่อิสราเอลต้องเลิกมาตรการปิดทางเข้า-ออกพื้นที่แห่งนี้เท่านั้น

วันพฤหัสบดี 24 กรกฎาคม 2557 เวลา 08:43 น.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ เมื่อวันที่ 24 ก.ค. ว่านายคาเหล็ด เมชาล ผู้นำกลุ่มฮามาส แถลงเมื่อวันพุธ ยกย่องสมาชิกของกลุ่มในฉนวนกาซาซึ่งเสียสละทั้งร่างกายและจิตใจ ต่อสู้เพื่อต้านทานการรุกรานของอิสราเอล พร้อมกับกล่าวชื่นชมการที่หลายประเทศระงับเที่ยวบินเข้า-ออกอิสราเอล ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง ว่าเป็นจุดเริ่มต้นแห่ง "ชัยชนะ" เหนืออิสราเอลของกลุ่มฮามาส

อย่างไรก็ตาม เมชาลยืนยันว่า กลุ่มฮามาสสนับสนุนข้อตกลงหยุดยิงตามข้อเรียกร้องของประชาคมโลก แต่มีเงื่อนไขสำคัญเพียงประการเดียว นั่นคืออิสราเอลต้องยุติการตั้งด่านควบคุมการเข้า-ออกฉนวนกาซาเท่านั้น กระนั้นในเวลานี้กลุ่มฮามาสพร้อมสำหรับการหยุดยิงชั่วคราวเพื่อมนุษยธรรม ซึ่งจะช่วยเปิดโอกาสให้มีการลำเลียงผู้บาดเจ็บออกจากพื้นที่เสี่ยง ขณะที่หน่วยบรรเทาทุกข์จะสามารถขนส่งอาหารและยารักษาโรคเข้าสู่พื้นที่ได้อย่างสะดวกขึ้นด้วย

ทั้งนี้ อิสราเอลออกมาตรการควบคุมฉนวนกาซาเมื่อปี 2549 หลังกลุ่มฮามาสลักพาตัวทหารนายหนึ่ง และยกระดับมาตรการในปีต่อมา โดยมีอียิปต์ให้ความสนับสนุน หลังกลุ่มฮามาสเอาชนะพรรคฟาตาห์ในการเลือกตั้งทั่วไปและสามารถยึดครองฉนวนกาซาเอาไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ

 

ทรานส์เอเชีย แถลงขอโทษ ชี้สภาพอากาศเลวร้ายต้นเหตุเครื่องบินตก

เจ้าหน้าที่หน่วยดับเพลิงกู้ภัย และพยาบาลของไต้หวัน ขณะระดมกำลังเข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ และลำเลียงผู้เสียชีวิตออกมาจากซากเครื่องบิน จีอี222 ที่บริเวณใกล้กับสนามบินหม่ากง (ภาพไต้หวันนิวส์)

เอเจนซี - ตัวแทนสายการบินทรานส์เอเชีย แถลงขอโทษและแสดงความเสียใจ กรณีเครื่องบินเที่ยวบิน จีอี 222 เผชิญทัศนวิสัยเลวร้าย และตกขณะเตรียมร่อนลงสนามบินปลายทางบริเวณเกาะเผิงหู ยืนยันเสียชีวิต 48 คน บาดเจ็บ 10 คน พร้อมให้คำมั่นความช่วยเหลือครอบครัวผู้โดยสารและพนักงานทุกคน พร้อมทั้งสืบหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุครั้งนี้

อีไต้หวันนิวส์ รายงาน (24 ก.ค.) คำแถลงขอโทษของบริษัทสายการบินทรานส์เอเชีย กรณีเครื่องบินเที่ยวบิน จีอี 222 ระเบิด บริเวณเกาะเผิงหู่เมื่อเย็นวันพุธ และให้คำมั่นว่าจะให้ความช่วยเหลือแก่ครอบครัวของผู้โดยสารทุกคน

รายงานข่าวกล่าวว่า เมื่อกลางดึกของคืนวันพุธที่ผ่านมา 23.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น สามชั่วโมงหลังเกิดอุบัติเหตุ นายชูว เยชุง ผู้จัดการทั่วไปของทรานส์เอเชีย ได้เป็นตัวแทนบริษัทฯ ออกมาขอโทษสำหรับเหตุการณ์เคราะห์ร้ายสุดวิสัยที่เกิดขึ้น โดยกล่าวกับสื่อมวลชนที่สนามบินนานาชาติไทเป (ซงชาน) ว่า บริษัทจะให้ความช่วยเหลือครอบครัวผู้โดยสารและพนักงานทุกคน พร้อมทั้งสืบหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุครั้งนี้

นายชูว กล่าวว่า บริษัทได้จัดตั้งศูนย์ฉุกเฉินเพื่อสถานการณ์ครั้งนี้ และได้นำส่งผู้บาดเจ็บไปยังโรงพยาบาลเผิงหู กับโรงพยาบาลทหารเพื่อรับการรักษาอย่างดีที่สุด

ด้านรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมของไต้หวัน นายเย่ว์ กวงจื่อห์ ได้แถลงยืนยันว่าเที่ยวบินดังกล่าวมีผู้โดยสาร 54 คน และกัปตันพร้อมลูกเรือ 4 คน เบื้องต้นยืนยันมีผู้เสียชีวิต 48 คน และบาดเจ็บ 10 คน โดยในจำนวนนั้น มีผู้โดยสารชาวฝรั่งเศส 2 คน

ทั้งนี้ สำนักงานป้องกันภัยของเผิงหู ไต้หวัน กล่าวว่า เที่ยวบิน จีอี222 ของสายการบินทรานส์เอเชีย มีกำหนดเดินทางจากเกาสง เวลา 16.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น แต่เลื่อนล่าช้าเป็นเวลา 17.42 น. เนื่องจากสภาพอากาศที่เลวร้าย ครั้นเมื่อเครื่องบินลำดังกล่าวออกเดินทางไปจนถึงที่หมายเตรียมนำเครื่องฯ ลงสู่พื้นดิน ปรากฏมีพายุฝนกระหน่ำรุนแรงที่สนามบินหม่ากง และจำต้องนำเครื่องบินวนด้วยไม่สามารถลงจอดได้เนื่องจากทัศนวิสัยเลวร้าย

ด้านประธานาธิบดีไต้หวัน นายหม่าอิงจิ่ว ก็ได้ออกมากล่าวแสดงความเสียใจกับทุกครอบครัวที่สูญเสียในเหตุการณ์นี้ พร้อมทั้งกำชับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้เร่งสืบหาต้นเหตุที่แท้จริงของอุบัติเหตุครั้งนี้ ซึ่งถือว่าเป็นอุบัติเหตุเครื่องบินตกที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งของไต้หวัน

เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดิน สนามบินฯ กล่าวว่า เมื่อเครื่องบินฯ เดินทางมาถึงจุดหมายคือสนามบินหม่ากง บนเกาะเผิงหู่ ไต้หวัน ในเวลา 19.06น. กัปตันของเครื่องจีอี 222 ได้ขอลงจอดทว่ากลับสูญเสียการติดต่อจากหอบังคับการบิน และในเสี้ยววินาทีที่นักบินอยู่ระหว่างพยายามจะนำเครื่องลงจอดครั้งที่สองนั้น ปรากฏว่าไม่อาจต้านพายุ เสียการทรงตัวและตกกระแทกพื้นที่บริเวณหมู่บ้านซีชุน ใกล้สนามบินหม่ากง

เจ้าหน้าที่จากกระทรวงคมนาคมของไต้หวันระบุว่า เครื่องบินลำดังกล่าวเกิดไฟลุกไหม้หลังจากลงจอดโดยกระแทกพื้น ขณะที่ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ระบุว่าได้ยินเสียงระเบิดดังมาจากเครื่องด้วย

 

พบซาก AH5017 ทางใต้ของมาลี-พยานยันเห็นร่วงจากฟ้า

รอยเตอร์/เอเอฟพี - ประธานาธิบดีมาลี เผยเมื่อวันพฤหัสบดี (24) ได้รับแจ้งว่าพบซากเครื่องบินของสายการบินแอร์แอลจีเรียแล้ว สอดคล้องกับข้อมูลของทีมสืบสวนของบูร์กินาฟาโซ ข่าวคราวที่ดับความหวังของผู้นำฝรั่งเศส ชาติของผู้โดยสารส่วนใหญ่ ซึ่งยอมรับว่ามีโอกาสสูงที่เที่ยวบิน AH5017 ลำนี้จะประสบอุบัติเหตุ

“ผมเพิ่งได้รับแจ้งว่าพบซากเครื่องบินระหว่างเมืองอเกลฮอคและกีดาล ทางเหนือสุดของประเทศมุ่งสู่แอลจีเรีย” ประธานาธิบดีมาลี อิบราฮิม โบอูบาการ์ เคตา กล่าวระหว่างร่วมประชุมกับเหล่าผู้นำทางการเมือง ศาสนา และประชาสังคม ในบามาโก โดยไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ เพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา สถานีโทรทัศน์แห่งรัฐของมาลี รายงานว่าพบซากของเที่ยวบินแอร์แอลจีเรียแล้ว ที่เมืองเกา ทางใต้ของประเทศ ติดกับชายแดนบูร์กินาฟาโซ พร้อมบอกต่อว่าประธานาธิบดี อิบราฮิม โบอูบาการ์ เคตา จะลงพื้นที่เกิดเหตุในวันศุกร์ (25)

สอดคลัองกับ พลเอก กิลเบิร์ต ไดเอนดิแอร์ หัวหน้าที่สืบสวนฉุกเฉินซึ่งจัดตั้งขึ้นมาในวากาดูกู เมืองหลวงของบูร์กินาฟาโซ เพื่อพยายามค้นหาเครื่องบินลำดังกล่าวที่บอกว่า ที่ได้รับแจ้งว่าพบเห็นเครื่องบินของสายการบินแอร์แอลจีเรีย ซึ่งบรรทุกลูกเรือและผู้โดยสาร 116 คน กำลังร่วงสู่พื้นในเมืองกอสซี ทางใต้ของมาลี ติดกับชายแดนทางเหนือของบูร์กินาฟาโซ

“มีผู้เห็นเหตุการณ์แจ้งกับเราว่าเห็นเครื่องบินกำลังตก เราอยู่ระหว่างติดต่อกับผู้เห็นเหตุการณ์คนนั้น เราตั้งใจจะเข้าไปสำรวจพื้นที่ดังกล่าวเพื่อตรวจสอบข้อมูล เราเชื่อว่าข้อมูลนี้ถูกต้อง โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับภาพจากเรดาร์ที่แสดงถึงเส้นทางการบินจนกระทั่งมันสูญหายไป” ไดเอนดิแอร์กล่าว “จากคำบอกเล่าของพยาน บ่งชี้ว่าเครื่องบินอาจประสบอุบติเหตุห่างจากเมืองกอสซี ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 80 กิโลเมตรและมันคือขอบเขตที่เราจะเข้าค้นหา”


สายการบินแอร์แอลจีเรีย เผยในวันพฤหัสบดี (24) ว่า ขาดการติดต่อกับเครื่องบินที่กำลังมุ่งหน้าจากกรุงวากาดูกู สู่แอลเจียร์ ราว 50 นาทีหลังขึ้นบินจากเมืองหลวงของบูร์กินาฟาโซ

ประธานาธิบดี ฟรังซัวส์ ออลลองด์ ยอมรับว่าเครื่องบินแอร์แอลจีเรีย ซึ่งบรรทุกผู้โดยสารและลูกเรือ 116 คน ในนั้นรวมถึงพลเมืองแดนน้ำหอมราว 50 คน บางทีอาจประสบอุบัติเหตุ “จากข้อมูลทุกๆ อย่าง ทำให้เราเชื่อว่าเครื่องบินประสบอุบัติเหตุ” เขาให้สัมภาษณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง

เขาบอกต่อว่าลูกเรือชาวสเปนของเครื่องบินลำดังกล่าวได้ส่งสัญญาณแจ้งว่าพวกเขากำลังเปลี่ยนเส้นทางการบินสืบเนื่องจากสภาพอากาศอันเลวร้าย พร้อมประกาศว่าจะใช้เครื่องมือทางทหารทุกอย่างที่มีของกองทัพฝรั่งเศสที่ประจำการอยู่ในมาลี เข้าตามหาซากเครื่องบินที่สูญหายลำนี้

อย่างไรก็ตาม นายโลร็องต์ ฟาบิอูส์ รัฐมนตรีต่างประเทศของฝรั่งเศส ยังไม่ยอมตัดใจ โดยบอกในวันพฤหัสบดี (24) เจ้าหน้าที่กำลังมองไปในทุกสมมติฐานที่อาจเป็นต้นตอของการสูญหายของเที่ยวบิน AH5017 “เรามิอาจ และต้องไม่ตัดสมมติฐานใดๆ ก่อนได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน” เขากล่าว พร้อมย้ำว่าเครื่องบินได้เปลี่ยนเส้นทางสืบเนื่องจากสภาพอากาศอันเลวร้ายท่ามกลางรายงานข่าวว่ามีพายุโหมกระหน่ำ

มีรายงานว่า บรรดาผู้โดยสารบนเที่ยวบินที่สูญหายไปลำนี้ เป็นชาวฝรั่งเศสราว 50 ราย, บูร์กินาฟาโซ 24 ราย, เลบานอน 8 ราย, แอลจีเรีย 6 ราย, ลักเซมเบิร์ก 2 ราย, เบลเยียม 1 ราย, สวิตเซอร์แลนด์ 1 ราย, ไนจีเรีย 1 ราย, แคเมอรูน 1 ราย, ยูเครน 1 ราย, โรมาเนีย 1 ราย ขณะที่ลูกเรือ 6 คนทั้งหมดเป็นชาวสเปน

 

น่าสะพรึง! พายุทรายถล่มเมืองมาลี คาดเกี่ยวกับโศกนาฏกรรม AH5017

บีบีซี/เอเอฟพี/ASTVผู้จัดการ - สื่อต่างประเทศเผยแพร่คลิปภาพพายุทรายลูกหนึ่งที่กำลังโถมกระหน่ำเมืองเกาของมาลี พื้นที่ค้นหาเครื่องบินของสายการบินแอร์แอลจีเรีย พร้อมผู้โดยสารและลูกเรือ 116 คน ที่ประสบอุบัติเหตุ ซึ่งเชื่อกันว่าสภาพอากาศอันเลวร้ายคือต้นตอสำคัญของโศกนาฏกรรมครั้งนี้

ประธานาธิบดี อิบราฮิม โบอูบาการ์ แห่งมาลี เผยเมื่อวันพฤหัสบดี (24) ได้รับแจ้งว่าพบซากเครื่องบินของสายการบินแอร์แอลจีเรีย ในดินแดนทะเลทรายทางใต้ของประเทศ หลังจากเที่ยวบิน AH5017 ที่กำลังมุ่งหน้าจากกรุงวากาดูกู สู่แอลเจียร์ ขาดการติดต่อราว 50 นาที หลังขึ้นบินจากเมืองหลวงของบูร์กินาฟาโซ มุ่งหน้าไปทางเหนือ

ในเวลาไล่เลี่ยกัน พลเอก กิลเบิร์ต ไดเอนดิแอร์ หัวหน้าที่สืบสวนฉุกเฉินซึ่งจัดตั้งขึ้นมาในวากาดูกู เมืองหลวงของบูร์กินาฟาโซ เพื่อพยายามค้นหาเครื่องบินลำดังกล่าวที่บอกว่า ที่ได้รับแจ้งว่าพบเห็นเครื่องบินของสายการบินแอร์แอลจีเรีย ซึ่งบรรทุกลูกเรือและผู้โดยสาร 116 คน กำลังร่วงสู่พื้นในเมืองกอสซี ทางใต้ของมาลี



“มีผู้เห็นเหตุการณ์แจ้งกับเราว่า เห็นเครื่องบินกำลังตก เราอยู่ระหว่างการติดต่อกับผู้เห็นเหตุการณ์คนนั้น เราตั้งใจจะเข้าไปสำรวจพื้นที่ดังกล่าวเพื่อตรวจสอบข้อมูล เราเชื่อว่าข้อมูลนี้ถูกต้อง โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับภาพจากเรดาร์ที่แสดงถึงเส้นทางการบินจนกระทั่งมันสูญหายไป” ไดเอนดิแอร์ กล่าว “จากคำบอกเล่าของพยาน บ่งชี้ว่าเครื่องบินอาจประสบอุบัติเหตุห่างจากเมืองกอสซี ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 80 กิโลเมตร และมันคือขอบเขตที่เราจะเข้าค้นหา”

ก่อนหน้านี้ สวิฟต์แอร์ บริษัทเอกชนผู้เป็นเจ้าของเครื่องบิน ยืนยันว่าขาดการติดต่อกับเครื่องบินของสายการบินแอร์แอลจีเรีย และบอกว่าเที่ยวบินนี้บรรทุกผู้โดยสาร 110 คน และลูกเรือ 6 คน ขณะที่ผู้แทนทูตคนหนึ่งในกรุงบามาโก เมืองหลวงของมาลี เผยว่า บริเวณทางใต้ของประเทศ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเส้นทางการบินของเครื่องบินลำดังกล่าว ถูกโหมกระหน่ำด้วยพายุทรายรุนแรงตลอดคืนที่ผ่านมา

จากข้อมูลของหลายฝ่ายทำให้เชื่อกันว่าต้นตออุบัติเหตุครั้งนี้ น่าจะมาจากสภาพอากาศอันเลวร้าย เมื่อเป็นดังนี้ทางสำนักข่าวบีบีซีจึงเผยแพร่คลิปเมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้ๆ จุดที่เครื่องบินตก ในเมืองเกา ของมาลี ที่กำลังถูกพายุทรายโหมกระหน่ำ ซึ่งอานุภาพและความน่าสะพรึงกลัวก็บ่งชี้ว่ามันมีอิทธิฤทธิ์มากพอที่จะก่อโศกนาฏกรรมได้

 

สลด! เจอซากเครื่องบินโดยสารแอลจีเรียแล้ว ไม่พบคนรอด


พบซากเครื่องบินโดยสารแอร์ แอลจีเรีย แล้ว ตกในทะเลทราย ทางตอนเหนือของประเทศมาลี ไม่พบผู้รอดชีวิต หลังนำผู้โดยสารและลูกเรือ 116 คน ออกจากกรุงวากาดูกู มุ่งสู่กรุงแอลเจียร์ แต่นักบินจำต้องเปลี่ยนเส้นทางบินเพราะทัศนวิสัยแย่มาก

เมื่อ 25 ก.ค. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้าอุบัติเหตุร้ายแรง เครื่องบินโดยสารสายการบิน "แอร์ แอลจีเรีย" เที่ยวบิน AH 5017 ประสบเหตุตกที่เมืองกอสซี ประเทศมาลี ขณะนำผู้โดยสารและลูกเรือรวม 116 ชีวิต ทะยานออกจากกรุงวากาดูกู เมืองหลวงของประเทศบูร์กินาฟาโซ ในแอฟริกาตะวันตก มุ่งสู่กรุงแอลเจียร์ส เมืองหลวงของประเทศแอลจีเรีย เมื่อ 24 ก.ค.ว่า ในที่สุด นายอามาร์ โกอูล รมว.คมนาคมของแอลจีเรีย เปิดแถลงข่าวในกรุงแอลเจียร์ ยืนยัน พบซากเครื่องบินโดยสารลำนี้แล้ว โดยพบว่าตกในทะเลทราย ทางตอนเหนือของประเทศมาลี ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนของประเทศบูร์กินาฟาโซ เพียง 50 กม. และไม่พบผู้รอดชีวิตแต่อย่างใด

ขณะที่สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นในมาลี ได้แพร่ภาพยืนยันพบซากเครื่องบินในหมู่บ้านบูลิเคสซี หลังจากเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบูร์กินาฟาโซ ได้บินข้ามชายแดนเข้ามาสำรวจในทะเลทรายทางตอนเหนือของประเทศมาลี โดย พล.อ.กิลเบิร์ต เดียนเดเร ผบ.กองทัพบกแห่งบูร์กินาฟาโซ เปิดเผยว่า ทางการประเทศมาลีได้อนุญาตให้เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบูร์กินาฟาโซ บินข้ามชายแดนเข้ามาค้นหาเครื่องบินได้ หลังมีชาวบ้านในเมืองกอสซี แจ้งว่า เห็นเครื่องบินตกทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง

ตารางเที่ยวบินที่ท่าอากาศยานในกรุงแอลเจียร์

ข่าวแจ้งว่า มีเครื่องบินรบไอพ่นของฝรั่งเศส 2 ลำ และเฮลิคอปเตอร์ของสหประชาชาติหลายลำมาร่วมช่วยในปฏิบัติการค้นหาเครื่องบิน บริเวณทะเลทราย ระหว่างเมืองกาโอและเทสซาลิต ทางตอนเหนือของมาลี โดยนายลอรองต์ ฟาเบียส รมว.ต่างประเทศของฝรั่งเศส กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เที่ยวบิน 5017 ได้หายไปจากจอเรดาร์ หลังจากนักบินได้แจ้งขอเปลี่ยนเส้นทางบิน เนื่องจากสภาพอากาศเลวร้าย

สำหรับในจำนวนผู้โดยสาร 110 คน บนเครื่องบินโดยลำนี้ ประกอบด้วยผู้โดยสารชาวฝรั่งเศส 51 ราย ชาวบูร์กินาฟาโซ 27 ราย ชาวเลบานอน 8 ราย ชาวแอลจีเรีย 6 ราย ชาวลักเซมเบิร์ก 2 ราย ชาวแคนาดา 5 ราย ชาวเยอรมนี 4 ราย ชาวแคเมอรูน 1 ราย ชาวเบลเยียม 1 ราย ชาวอียิปต์ 1 ราย ชาวสวิตเซอร์แลนด์ 1 ราย ชาวไนจีเรีย 1 ราย และชาวมาลี 1 ราย ส่วนลูกเรือทั้งหมด 6 ราย เป็นชาวสเปนทั้งหมด

ทั้งนี้ เครื่องบินโดยสารแมคดอนเนลล์ ดักลาส เอ็มดี -83 เที่ยวบิน AH 5017 ของแอร์ แอลจีเรีย ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติของประเทศแอลจีเรีย ได้ขาดการติดต่อกับหอควบคุมการบินเป็นเวลา 50 นาที หลังจากนำผู้โดยสาร 110 คน และลูกเรือ 6 คน ทะยานออกจากท่าอากาศยานกรุงวากาดูกู เมื่อเวลา 01.55 น. และมีกำหนดเดินทางถึงกรุงแอลเจียร์ ในเวลา 05.10 น. ตามเวลาท้องถิ่น ก่อนที่ต่อมาจะได้รับการยืนยันว่า เครื่องบินลำนี้ ซึ่งเป็นเครื่องบินเช่าเหมาลำจากสายการบิน สวิฟต์แอร์ ได้ประสบเหตุตกในเมืองกอสซี ประเทศมาลี ห่างจากกรุงแอลเจียร์ เมืองหลวงของแอลจีเรีย ราว 500 กม.


เครื่องบินโดยสารของสวิฟต์แอร์ ที่แอร์ แอลจีเรีย เช่ามา

แหล่งข่าวในบริษัทสายการบิน แอร์ แอลจีเรีย เปิดเผยว่า ก่อนเครื่องบินจะหายไปจากจอเรดาร์นั้น นักบินของเที่ยวบิน AH 5017 ได้แจ้งไปทางหอควบคุมการบินว่า จะมีการเปลี่ยนเส้นทางบิน โดยจะบินอ้อมจากเส้นทางเดิม เนื่องจากทัศนวิสัยในการมองเห็นต่ำมาก และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจจะชนกับเครื่องบินลำอื่น

สำหรับโศกนาฏกรรมเครื่องบินโดยสารของสายการบินแอร์ แอลจีเรีย ประสบเหตุตกนี้ นับเป็นโศกนาฏกรรมครั้งที่ 3 ที่เครื่องบินโดยสารตกภายในช่วงเวลาแค่สัปดาห์เดียว หลังเกิดเหตุช็อกโลกเครื่องบินโดยสารของ มาเลเซีย แอร์ไลน์ เที่ยวบินเอ็มเอช 17 โดนขีปนาวุธยิงตกทางตะวันออกของยูเครน ทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือเสียชีวิตทั้งหมด 298 ราย เมื่อวันที่ 17 ก.ค. และต่อมาเครื่องบินโดยสารของสายการบินทรานส์เอเชีย แอร์เวย์ส ประสบเหตุตกบนเกาะเผิงหู ทางตะวันตกของไต้หวัน เมื่อวันที่ 23 ก.ค. เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 48 ศพ และบาดเจ็บ 10 ราย.

 

ใครยิง MH17 ร่วง !?! โลกรุมยำ 'ปูติน' - 'หัวหน้าก่อการร้าย'


โศกนาฏกรรมเครื่องบินโดยสารโบอิ้ง 777-200 ของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส เที่ยวบิน MH17 โดนขีปนาวุธยิงตก ในแคว้นโดเนตสก์ ทางภาคตะวันออกของยูเครน เมื่อ 17 ก.ค. ถือเป็นหนึ่งในข่าวใหญ่สุดในรอบหลายปี และอาจเป็นข่าวช็อกโลกมากที่สุด หลังจากเกิดโศกนาฏกรรม 9/11 กลุ่มอัลกออิดะห์ ขับเครื่องบินโดยสารพุ่งชนตึกเวิลด์ เทรด ในมหานครนิวยอร์ก เมื่อ 13 ปีก่อน

เหตุการณ์นี้ เป็นยิ่งกว่าโศกนาฏกรรม... เพราะมันได้คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ ผู้โดยสารและลูกเรือรวมแล้ว 298 ชีวิต ที่ต้องจากไป โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว และไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย กับการสู้รบระหว่างกลุ่มกบฏยูเครนฝักฝ่ายรัสเซีย ที่พยายามจะแยกดินแดนทางภาคตะวันออก กับกองกำลังทหารของรัฐบาลยูเครน ที่ยืดเยื้อมาหลายเดือน อีกทั้งยังเป็นโศกนาฏกรรมซ้ำสองที่เกิดกับมาเลเซีย แอร์ไลน์ส หลังจาก MH 370 เพิ่งหายไปเพียง 4 เดือน



น่าเศร้าอย่างที่สุด เมื่อ โบอิ้งของมาเลเซีย แอร์ไลน์สลำนี้ ต้องถูกยิงตกและตกในพื้นที่ยึดครองของฝ่ายกบฏ ด้วยเหตุนี้กองกำลังที่โดนตั้งข้อสงสัยมากที่สุดว่าเป็นตัวการยิงเอ็มเอช 17 ร่วง! คือ กลุ่มกบฏยูเครน

ขณะที่ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ก็กำลังตกที่นั่งลำบากมากที่สุดเช่นกัน ในฐานะ ให้การสนับสนุนอาวุธยุทธโธปกรณ์ และความช่วยเหลือในทุกๆ ด้านแก่กลุ่มกบฏยูเครน ซึ่งโลกรู้ดีในเรื่องนี้ และเขาไม่มีทางปฏิเสธ

แต่แน่นอนว่า โศกนาฏกรรมร้ายแรงขนาดนี้ ยากจะหาใครมายอมรับผิดง่ายๆ หากไม่จนมุมด้วยหลักฐาน ชนิดดิ้นไม่หลุดจริงๆ



กลุ่มกบฏยูเครน ปฏิเสธว่า พวกตนไม่มีศักยภาพมากพอทางเทคนิคที่จะใช้ ขีปนาวุธบู๊ค ยิงเครื่องบินที่บินในระดับสูงถึง 10 กม.ตกได้หรอก! พร้อมกับอ้างว่า เป็นฝีมือของยูเครน นั่นแหละ อย่ามาทำตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ!

ขณะที่ ปูติน ก็เลี่ยงตอบแบบใช้วาทศิลป์ตามสไตล์ นักการเมืองระดับหนึ่งในผู้นำชาติมหาอำนาจ ว่า รัฐบาลประธานาธิบดีเปโตร โปโรเชนโก ของยูเครนนั่นแหละ ต้องรับผิดชอบ เนื่องจากเป็นต้นเหตุให้เกิดวิกฤติการณ์ขึ้นในยูเครน เพราะถ้าไม่มีวิกฤติการณ์ในยูเครน เครื่องบินโบอิ้งของมาเลเซีย ก็คงไม่ต้องมาเจอโศกนาฏกรรมซ้ำสองเช่นนี้หรอก

เรียกว่า ไม่มีใครยอมรับผิด...

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของพ่อแม่พี่น้อง คนในครอบครัวของผู้โดยสาร ที่มีชาวดัตช์ หรือเนเธอร์แลนด์ เสียชีวิตมากที่สุด 193 รายจาก 298 ราย และรองลงมาคือ ชาวมาเลเซีย 43 ราย (รวมถึงลูกเรือ 15 ราย) นั้น สำนักข่าวต่างประเทศ ซึ่งเกาะติดรายงานข่าวนี้ละเอียดยิบ รายงานว่า ได้มีหลักฐานมากมายหลายอย่างที่กำลังผูกมัด กบฏยูเครน และรัสเซีย แน่นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า เป็นตัวการยิงเอ็มเอช 17…



ไม่ว่าจะเป็น ภาพถ่ายจากดาวเทียม แสดงให้เห็นสถานที่ ซึ่งถูกกล่าวอ้างว่าถูกใช้เป็นที่ฝึกสอนด้านการทหาร แก่กบฏยูเครน ตั้งอยู่ใกล้เมืองรอสต็อฟ ของรัสเซีย และยังอยู่ใกล้ชายแดนยูเครนมาก โดย ต่อมา เรื่องนี้ ได้ ถูกทวีตข้อความในโลกออนไลน์ โดย นายจีออฟฟรีย์ ไพแอตต์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำยูเครน

นอกจากนั้น ยังมีภาพอื่นๆ แสดงให้เห็นว่า มีฐานยิงขีปนาวุธเคลื่อนที่ ของบู๊ค มิสไซล์ อยู่ในบริเวณยึดครองของกบฏ เพราะรัสเซียส่งมาให้

อีกทั้ง ยังมีรายงานจากฝั่งของรัฐบาลยูเครนว่าสามารถแอบดักฟังกลุ่มกบฏสนทนากันทางโทรศัพท์ รวมทั้งยังพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัสเซีย กบฏฝักฝ่ายรัสเซียยอมรับยิงเครื่องบินตก แต่ไม่คิดว่าเป็นเครื่องบินพลเรือน

ขณะเดียวกัน ก็มีภาพและข้อความมากมายในโซเชียลมีเดีย ที่ชี้ว่า กบฏยูเครน มีส่วนเกี่ยวข้องมากกว่าใครเพื่อน



เพียงแต่ หลักฐานที่ทางทีมสอบสวนพิเศษขององค์กรความร่วมมือและความมั่นคงในยุโรป (OSCE) ลงไปเก็บรวบรวมในบริเวณเครื่องบินตกนั้น กลับยังไม่พบชิ้นส่วนใดๆ ของขีปนาวุธ หรือวัตถุที่อาจบ่งชี้ว่าเอ็มเอช 17โดนขีปนาวุธยิงร่วงเลย

กระนั้นก็ดี หลังจากโศกนาฏกรรมเอ็มเอช 17 ตกเพียง 2-3 วัน ชาวยูเครนในออสเตรเลียได้ชุมนุมประท้วง และประณาม ประธานาธิบดีปูติน ว่าเป็น หัวหน้ากลุ่มก่อการร้าย!

เรียกว่า ถึงแม้ยังไม่มีหลักฐานอะไรชี้ชัดว่า กลุ่มกบฏยูเครน เป็นคนยิงเอ็มเอช 17 แต่สำหรับความเห็นของชาวโลก จำนวนไม่น้อย เชื่อกันไปเรียบร้อยแล้วว่า งานนี้ เป็นฝีมือของกบฏยูเครนแน่ และปูติน ก็ต้องรับผิดชอบในฐานะสนับสนุนทุกๆ ด้านแก่กลุ่มกบฏ ขณะที่ส่ิงที่รัฐบาลชาติตะวันตกและสหรัฐฯสามารถนำมาใช้ลงโทษรัฐบาลรัสเซียได้ ในตอนนี้ คือ การเพิ่มมาตราการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจให้หนักมากขึ้น ๆ



อย่างไรก็ตาม กลุ่มกบฏยูเครนพยายามจะแสดงความบริสุทธิ์ใจออกมาให้โลกเห็น ด้วยการยอมส่งมอบกล่องดำ จำนวน 2 กล่อง ให้แก่เจ้าหน้าที่มาเลเซียแล้ว และขณะนี้ ทางมาเลเซียได้มอบหมายให้ทีมผู้เชี่ยวชาญของอังกฤษ ทำหน้าที่ แกะข้อมูลจากกล่องดำ ว่า เกิดอะไรขึ้นกับเอ็มเอช 17!!

ฟิล กิลส์ อดีตเจ้าหน้าที่สืบสวน ซึ่งเคยทำงานในโศกนาฏกรรมสายการบินแพนแอม ถูกลอบวางระเบิด เหนือเมืองล็อกเกอร์บี ประเทศสกอตแลนด์ เมื่อปี 1988 มาแล้ว ชี้ว่า เสียงภายในห้องนักบินที่ถูกบันทึกไว้ในกล่องดำ มีความละเอียดเพียงพอที่จะบันทึกเสียงที่ดังแทรกขึ้นมาได้ และนี่ เป็นโอกาสที่ทำให้เราอาจได้ยินเสียงของสิ่งที่มาชนเครื่องบินได้แน่

ถือเป็นความหวังที่จะช่วยไขปริศนา ของเอ็มเอช17 ส่วนใครเป็นคนลั่นไกยิงนั้น ตอนนี้โลกได้รุมประณาม ‘ปูติน’ ว่า เป็น หัวหน้าก่อการร้าย กันหมดแล้ว...