ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,533
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แฉ White Helmet (ตอน2) – ร่องรอย NATO และเครือข่าย “ผู้มีอิทธิพลตะวันตก” ในวิฤติซีเรีย! โดย Ummul Shuhada - 29 พฤศจิกายน 2017

    bc6ac6a60580ff10a1b3fea94787437bf9db5581-696x392.jpg

    “ผมไม่ได้เป็นเพียงผู้อำนวยการของหน่วยป้องกันพลเรือนซีเรีย (Syria Civil Defence)เท่านั้นแต่ของกลุ่มคนที่กล้าหาญ อาสาสมัครที่เสี่ยงชีวิตของพวกเขาเพื่อรักษาความปลอดภัยให้ซีเรีย ท่ามกลางกลุ่มก่อการร้ายที่บุกรุกซีเรีย

    ผมขอขอบคุณจากใจของผม สำหรับความกล้าหาญของคนของผม ผู้ที่ได้สูญเสียสหายของพวกเขาในการโจมตีของผู้ก่อการร้าย แต่ยังคงทำงานต่อ แม้ในภาวะที่มีความเสี่ยง พวกเขาเป็นทหารที่แท้จริง อุปกรณ์ที่มีและจิตวิญญาณของพวกเขาเป็นอาวุธเพียงอย่างเดียวของพวกเขา “ – ผู้อำนวยการหน่วยป้องกันพลเรือนซีเรีย “ที่แท้จริง”ประจำ Tartous

    หน่วยป้องกันพลเรือนซีเรีย “ที่แท้จริง” งั้นหรือ? มิใช่ว่า กลุ่ม White Helmets (หมวกกันน็อกขาว) ที่โด่งดังในสื่อตะวันตก เป็นกลุ่มเดียว ที่เข้ามาทำหน้าที่กู้ชีพในสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้นในซีเรียหรือ?

    ในซีเรีย เรามีหมายเลข 113 สำหรับโทรศัพท์แจ้งไปยังหน่วยป้องกันพลเรือนซีเรีย อย่างไรก็ดี เรากลับไม่มีหมายเลขสาธารณะสำหรับใช้โทรศัพท์แจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายไปยังกลุ่ม White Helmets (หมวกกันน็อกขาว) ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? เหตุใดหน่วยกู้ชีพภาคเอกชน (NGO) แห่งแรก ที่ได้รับการสนับสนุนกว่าหลายล้านเหรียญสหรัฐฯ จากสหรัฐฯและ NATO ด้วยกับอุปกรณ์ที่ทันสมัยจากสหรัฐฯและสหภาพยุโรปผ่านทางตุรกี จึงไม่มีหมายเลขฉุกเฉิน สำหรับให้พลเรือนติดต่อ เมื่อเกิดเหตุปะทะ หรือ เหตุระเบิด?

    ดังนั้น ก่อนที่เราจะแนะนำให้ผู้อ่านรู้จักหน่วยป้องกันพลเรือนซีเรียตัวจริง (Civil Civil Defense)ในตอนต่อไป ซึ่งเป็นองค์กรอัคคีภัยและกู้ภัยที่ได้รับการรับรองจาก ICDO ของซีเรียจริงๆ เราจะมาทำความรู้จักกับหน่วยกู้ชีพ “จอมปลอม”กันก่อน – นั่นก็คือ ผู้ก่อการร้ายภายใต้หมวกกันน็อกสีขาว ที่เป็น “ตัวแทน” ของสงคราม – องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรภาคเอกชนจอมปลอมที่ถูกสร้างขึ้นโดย NATO เพื่อให้ฝังตัว เป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายของซีเรียอย่างแนบเนียน…

    เรามักได้รับแจ้งจากข่าวสารที่ถูกนำเสนอโดยสื่อมวลชนตะวันตกว่า กลุ่ม White Helmets (หมวกกันน็อกขาว) มีกิจวัตรในการไต่ไปตามผนังอาคารที่พังทหลายลงมา และลุยเข้าไปในเศษซากของตึกที่ถูกระเบิดถล่ม เพื่อค้นหาและช่วยเหลือเด็กๆ ให้ออกมาได้ด้วยมือเปล่า แน่นอนว่า ทุกๆการช่วยเหลือ ได้รับการอัดบันทึกโดยทีมงานผ่านกล้องถ่ายวิดิโอ และโทรศัพทมือถือที่ติดตามเข้าไปด้วยอย่างทุลักทุเล

    white-helmet-camersss-768x429.jpg
    ภาพหน้าจอ จากหนึ่งในหลากหลายรูปแบบของวิดิโอโปรโมทกลุ่ม White Helmets ในเครือNATO – ในภาพแสดงให้เห็นสมาชิกหน่วยกู้ภัย ร่วมกับกองเชียร์และทีมงานถ่ายทำ พร้อมปฏิบัติหน้าที่
    แล้วใคร หรือ อะไรกันแน่ คือ กลุ่มWhite Helmets?
    “ก่อตั้งขึ้นในปี 2013 White Helmets หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า หน่วยป้องกันพลเรือนซีเรีย มักเป็นหน่วยกู้ภัยฉุกเฉินเพียงหนึ่งเดียว ที่ปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ที่ถูกยึกครองโดยกบฏของซีเรีย และอ้างว่าได้ช่วยชีวิตผู้คนแล้วมากกว่า 58,000 ชีวิต” ~ The Slate

    Netflix-still2-768x548.jpg
    ภาพ “ทีมงาน” White Helmets: ภาพจากภาพยนตร์สารคดีของ Netflix ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากจอร์จ โซรอส
    ขณะที่สื่อตะวันตกมักจะกล่าวขานถึง ‘ตำนาน’ ของพวกเขาไว้ประมาณนี้:

    “พวกเขารวมตัวกันจาก อดีตคนทำขนมปัง กรรมกร คนขับรถแท็กซี่ นักเรียน ครูอาจารย์ ส่วนมากแล้วพวกเขามาจากอาชีพอื่นๆที่นอกเหนือจากพนักงานกู้ภัย”

    นี่เป็นประโยคยอดฮิตที่มักถูกใช้เพื่ออธิบายถึงพวกเขาซ้ำไปซ้ำมา โดยผู้ฝึกอบรมของพวกเขา นาย James Le Mesurier ที่เชี่ยวชาญด้านการจัดจ้างคนภายนอกในการสงคราม – ประเภทของปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยเอกชน ที่คล้ายคลึงกับของบริษัท Blackwater (ปัจจุบันเป็น Academi) บริษัทDynCorp และผู้จัดจ้าง (supplier)ทหารรับจ้างและผู้เชี่ยวชาญด้านการลอบสังหารของ CIA ทั่วโลกอื่นๆ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี

    “การดำเนินปฏิบัติการต่างๆผ่านบริษัท Blackwater ทำให้ซีไอเอมีอำนาจในการลักพาตัว หรือสังหารได้ โดยไม่ต้องมีผู้ใดในรัฐบาลออกมาแสดงความรับผิดชอบ” ~ The Atlantic, 2012

    ผู้ก่อตั้ง White Helmets (กลุ่มหมวกกันน็อกขาว) นาย Le Mesurier ผู้ซึ่งจบการศึกษาจากสถาบันของชนชั้นสูง โรงเรียนนายร้อยทหารบก แซนด์เฮิสต์ ประเทศอังกฤษ (Royal Military Academy Sandhurst) – กล่าวกันว่า เขาเป็น “อดีต” เจ้าหน้าที่ข่าวกรองทหารอังกฤษ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามผ่านโรงละครว่าด้วย “การแทรกแทรงด้านมนุษยชน” หลายครั้งของ NATO ซึ่งเกิดขึ้นในบอสเนีย โคโซโว และอิรัก เช่นเดียวกับในเลบานอน และปาเลสไตน์

    JLM.jpg
    เจ้าหน้าที่ทหารอังกฤษ James Le Mesurier
    นอกจากนี้เขายังมีโปรไฟล์ที่สูงมาก เคยดำรงตำแหน่งที่สำคัญ และมีชื่อเสียงหลากหลายในองค์การสหประชาชาติ สหภาพยุโรป และสำนักงานต่างประเทศและเครือจักรภพ (กระทรวงหนึ่งของรัฐบาลสหราชอาณาจักร) นี่เรายังไม่ต้องพูดถึง เครือข่ายของเขากับบริษัทจัดจ้างทหารรับจ้างและมือสังหาร Blackwater (Academi) ที่มีชื่อเสียงฉ่าวโฉ่

    white-helmet-infographic-2.jpg
    เครือข่าย White Helmet แสดงให้เห็นแหล่งเงินทุนหลัก และเส้นสายของ James Le Mesurier กลับสู่รัฐบาลเงาของสหรัฐฯ (Image: UK Column)
    นอกจากนี้ บริษัท สตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่ Netflix ยังได้เปิดตัวสารคดี เพื่อยกระดับ กลุ่ม White Helmets ขึ้นสู่ระดับของการฉวยโอกาสทางการเมือง ตามสไตล์ Madison Avenue ของวงการฮอลลีวูด ทั้งนี้สิ่งที่น่าสนใจก็คือ: ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Netflix คือ นักลงทุนรายใหญ่ระดับโลกหลายราย (Capital Research Global Investors) ที่เป็นเจ้าภาพ ในการเป็นผู้ทรงคุณวุฒิของอุตสาหกรรมทางทหาร อาทิเช่น บริษัท Lockheed Martin และ Boeing

    ในปี 2015 George Soros (จอร์จ โซรอส) มหาเศรษฐี ผู้จัดการกองทุนป้องกันความเสี่ยงอาชญากร ซื้อหุ้นมากถึง 317,534 หุ้น ใน Netflix กล่าวกันว่า มีมูลค่ามากถึง 32.79 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ในปี 2016 เขาก็ได้สลายหุ้นเหล่านั้นอย่างน่าสงสัย

    Netflix-final-1.jpg
    โปสเตอร์โฆษณาของ Netflix สำหรับสารคดีเกี่ยวกับกลุ่ม White Helmet สังกัด NATO (โปสเตอร์โดย: Cory Morningstar จาก WrongKindofGreen)
    ด้วยเงินกว่า 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในกระเป๋าของกลุ่ม White Helmet ที่ได้รับความอนุเคราะห์จาก USAID สำนักงานต่างประเทศสหราชอาณาจักร และประเทศต่างๆในสหภาพยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ กลุ่มนี้อาจเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุน และได้รับทุนสนับสนุนมากที่สุดในเครือข่ายองค์กรพัฒนาที่ไม่ขึ้นกับภาครัฐ (NGO) จากบรรดา NGO ที่ต่อต้านรัฐบาลซีเรียของตะวันตก

    เช่นเดียวกับ ‘NGOs’ อื่น ๆ White Helmets ได้ถูกนำมาใช้โดยฝั่งตะวันตก เพื่อทำให้สถานะของรัฐบาลซีเรียต้องหยุดชะงัก โดยการบ่อนทำลายโครงสร้างของเมืองที่มีอยู่เดิม และเผยแพร่ข้อมูล งานประชาสัมพันธ์ (PR) ที่จัดทำขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ผ่านทางสื่อตะวันตกและสื่อของรัฐในอ่าว

    แม้ว่าข้อเท็จจริงก็คือ พวกเขาเริ่มต้นและยังคงได้รับการสนับสนุนทางการเงินอย่างมากจากประเทศสมาชิก NATO โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสหรัฐฯ และอังกฤษ อย่างไรก็ตาม White Helmets ก็ยังกล่าวในแถลงการณ์อย่างเป็นทางการของกลุ่ม โดยอ้างว่า พวกเขาเป็นองค์กร “อิสระที่ดุดัน” และ “ไม่ยอมรับเงินจากรัฐบาล บริษัท หรือบุคคลใดๆก็ตามที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความขัดแย้งในซีเรีย” – นี่เป็นเรื่องน่าขัน และเป็นความเท็จอย่างไม่น่าให้อภัยได้

    White Helmets อ้างว่า พวกเขาไม่ได้ “ผูกติดกับกลุ่มการเมืองใด ๆ ในประเทศซีเรียหรือที่อื่นๆ ” ทั้งๆที่ความเป็นจริง พวกเขากลับฝังตัวอยู่กับกลุ่มแนวหน้า อัลนุศรอ (Al Nusra Front), กลุ่มก่อการร้าย ISIS และเข้าร่วมกับกองพันก่อการร้ายที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ ซึ่งกำลังก่อการร้ายในซีเรีย

    ในความเป็นจริง ในระหว่างเดินทางไปซีเรียเมื่อไม่นานมานี้ เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่ดิฉันได้รับคำตอบที่น่าประหลาดใจจากผู้คนส่วนใหญ่ของซีเรีย เมื่อถามว่า พวกเขารู้ไหมว่ากลุ่ม White Helmets คือใคร ? คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของพวกเขา ขณะที่คนที่ติดตามสื่อตะวันตกกล่าวว่า พวกเขาเป็น “งานสร้างของ NATO เพื่อใช้ในการแทรกซึมประเทศซีเรีย ในฐานะผู้เล่นรายใหญ่ของเครือข่ายผู้สนับสนุนผู้ก่อการร้าย”

    _______________
    โปรดติดตามตอนต่อไป

    Source: นักข่าวอิสระ Vanessa Beeley

    อ่านเพิ่ม: แฉ White Helmet (ตอน 1)- อังกฤษใช้เงินผู้เสียภาษี“£200 ล้าน”หนุนกลุ่มต่อต้านซีเรีย!


    http://www.abnewstoday.com/12281
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,533
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    ซาอุดิอาระเบีย "สายกลาง" ปราบคอรัปชั่นด้วยการคอรัปชั่น สั่งตัดคอนักโทษกลางที่สาธารณะวันเดียว 7 คนรวด แยกไม่ออกจริงๆระหว่างสายสุดโต่งอย่างพวกไอซิสแยะแพะ อัลเคด้านักฆ่าหันคอเด็ก กับโมเดอร์เรตซาอุดิอาระเบีย
    -------------

    1.) วันที่ 29 พ.ย.60 RT พาดหัวข่าวว่า "เจ้าชายซาอุดิอาระเบียได้รับการปล่อยตัวจากคุก Ritz-Carlton หลังจากยอมจ่ายเงินจำนวน $1,000 ล้านให้กับทางการ" (Saudi prince freed from Ritz-Carlton 'prison' after $1bn settlement with authorities)

    เจ้าชาย Miteb bin Abdullah หนึ่งในผู้มีชื่อเสียงและอิทธิพลแห่งซาอุดิอาระเบียได้รับการปล่อยตัวในกรุงริยาดห์ หลังตากถูกคุมขังเป็นเวลา 3 สัปดาห์ เป็นหนึ่งในเจ้าชาย 200 พระองค์ บรรดารัฐมนตรี และนักธุรกิจที่ถูกทางการจับกุมในราชอาณาจักรภายใต้สิ่งที่รัฐบาลซาอุดิเรียกว่า "การกวาดล้างต่อต้านการคอรัปชั่น" (anti-corruption purge)

    เจ้าชาย Miteb อดีตผู้บัญชาการกองกำลัง National Guard ซึ่งครั้่งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับราชบัลลังก์ ได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันอังคารนี้หลังจากที่ยอม "ชำระเงินที่ยอมความกันได้" (acceptable settlement) ให้กับทางการเป็นจำนวนเงินถึง $1,000 กว่าล้านเหรียญ (หรือประมาณ 32,740,000,000 บาท)

    เจ้าชายองค์นี้มีอายุ 65 ปี เป็นชาชนิกูลที่มีอิทธิพลทางการเมืองมาก ถูกคุมขังภายใต้คำสั่งของคณะกรรมการต่อต้านการคอรัปชั่นซึ่งเพิ่งจะแต่งตั้งขึ้นมาใหม่ๆโดยมกุฏราชกุมาร Mohammed bin Salman อายุ 32 ปี แห่งซาอุดิอาระเบีย

    รอยเตอร์สรายงานว่า เจ้าชาย Miteb ต้องสงสัยว่ายกยอกเงิน และจ้างพนักงานผี และทำให้บริษัทของตนเองชนะการแข่งขันในการทำสัญญาซื้อขายวิทยุวอร์กี้-ทอล์กี้ และอุปกรณ์กันกระสุนที่มีมูลค่าถึง $10,000 ล้าน มีการสันนิษฐานว่าการจับคุมและคุมขังเจ้าชาย Miteb ในครั้งนี้ เนื่องมาจากการพยายามรวบอำนาจของมกุฏราชกุมาร แต่พระองค์ก็ปฏิเสธข้อกล่าวหา

    เจ้าชาย Miteb เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยส่วนใหญ่ที่ได้รับการปล่อยตัวหลังจากตกลงกับทางการว่าจะยอมจ่ายเงินบางส่วนจากการทุจริตคือให้รัฐบาล เพื่อแลกเปลี่ยนกับเสรีภาพของตนเอง (และการไม่ถูกหั่นคอ จากนั้นก็คงจะกลับไปโกงใหม่?)

    บรรดาผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศหลายคนต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ว่า การล้างบางของกรุงริยาดห์ต่อพวกมหาเศรษฐีมั่งคั่ง เป็นหนึ่งในวิธีการเพื่อปิดช่องโหว่ด้านงบประมาณขนาดใหญ่ซึ่งมีสาเหตุมากจากราคาน้ำมันตกต่ำ ปีที่แล้วราชอาณาจักรขาดดุลการค้าถึง $79,000 ล้าน เพื่อลดการขาดดุลการค้า กรุงริยาดห์จึงพยายามดำเนินมาตรการทางการเงินบางอย่าง ซึ่งรวมทั้งการตัดลดงบประมาณค่าใช้จ่าย การขึ้นภาษี การขายพันธบัตร และพยายามชักชวนให้เอกชนเข้าถือหุ้นในบริษัท Aramco ยักใหญ่ด้านปิโตเลี่ยมของรัฐบาลซาอุดิอาระเบียที่ต้องการจะแปรรูป

    [แต่หลายประเทศมองว่า บริษัทนี้ดำเนินการไม่โปร่งใส จึงยังไม่กล้าเข้าไปร่วมกิจการด้วย คงจะพากันกลัวว่าจะถูกปล้นกลางวันแบบบรรดาเจ้าชาย คณะรัฐมนตรี และนักธุรกิจเหล่านั้นหละมั๊ง? รายงานข่าวก่อนหน้านี้เปิดเผยว่า จากมาตรการปล้นกลางวันสไตล์อดีตโจรทะเลทราย (โจรปล้นโจร) ในรอบนี้ รัฐบาลซาอุดิอาระเบียโกยเงินมาได้ถึง $800,000 ล้านเป็นอย่างน้อย จากนั้นก็เอาไปเผาทิ้งในสงครามรุกรานเยเมนและเข่นฆ่าประชาชนชาวเยเมนต่อไป - ผู้แปล]

    2.) วันที่ 29 พ.ย. 60 AMN ของเลบานอนพาดหัวข่าวว่า "ถูกตัดหัวเจ็ดคนในซาอุดิอาระเบีย ยอดทั้งหมดในปีนี้ 137" (Seven more people beheaded in Saudi Arabia, 137 total this year)

    [ว้าววววว! "พี่น้องกัน เรือนร่างเดียวกัน" โช๊ะ! มีใครกล้าประณามว่าซาอุดิอาระเบียสังหารหมู่หรือฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์เหมือนกับที่เคยกล่าวหาพม่าบ้างไหมครับ? - ผู้แปล]

    สื่ออาหรับรายงานว่า มีผู้ถูกลงโทษประหารชีวิตเมื่อวันอังคารนี้จำนวน 7 คนหลังถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีก่ออาชญากรรม ลักขโมย และลักลอบค้าขายเสพติด ซึ่งมีแก๊งค้าขาชาวเยเมนอีก 6 คนรวมอยู่ด้วย อีกคนหนึ่งเป็นชาวซาอุดิอาระเบีย

    วันที่ 24 ตุลาคม 2017 สื่อกระแสหลักทั่วโลกพากันรายงานว่า เจ้าชาย Mohammed bin Salman มกุฏราชกุมารแห่งซาอุดิอาระเบียทรงประกาศว่าจะทำให้ซาอุดิอาระเบียเป็น "อิสลามสายกลาง" (moderate Islam) และขอให้ทั่วโลกสนับสนุนการเปลี่ยนถ่ายราชอาณาจักรสายแข็ง (hardline พวกสุดโต่ง) ให้เป็นสังคมเปิด ที่ให้อำนาจแก่ประชาชน และล่อใจบรรดานักลงทุนชาวต่างชาติทั้งหลาย

    [ใครจะเป็นเหยื่อรายต่อไป รัฐบาลสหรัฐสมัยโอบามาก็เรียกพวกผู้ก่อการร้ายอัลนุสราฟรอนท์ (อัลเคด้า) ในซีเรียว่า "กบฏฝ่ายค้านสายกลางซีเรีย" แบบนี้แหละ และได้สนับสนุนทั้งเงินทุนและอาวุธ พร้อมกับช่วยฝึกกำลังพลให้กับกลุ่มที่รัฐบาลสหรัฐเรียกว่า "กบฏฝ่ายค้านสายกลางซีเรีย" ด้วย ต่อมาพอพวกมันเมายาเสพติด พวกมันก็จับเด็กชาวปาเลสไตน์ (มุสลิม) มาทรมาณและฆ่าตัดคออย่างโหดเหี้ยม พร้อมกับถ่ายคลิปโชว์ในโซเชียลมีเดียด้วย

    รัฐบาลสหรัฐรีบออกมาแก้ตัวแทนลูกน้องตัวเองว่า เป็นเรื่องส่วนบุคคล สั่งให้ผู้บัญชาการกองกำลัง FSA จัดการแล้ว ส่วนพวกไอซิสผัวแพะก็นิยมการทรมานนักโทษ ฆ่าตัด คอตัดมือมนุษย์กลางที่สาธารณะท่ามกลางสายตาของประชาชนทั่วไปรวมทั้งเด็กๆด้วย ก็ใช้วิธีเดียวกับที่ทางการซาอุดิอาระเบียใช้อยู่ในขณะนี้ด้วยเช่นกัน อีกหน่อยทางการซาอุดิอาระเบียและสหรัฐก็คงจะประกาศว่า "ไอซิสผัวแพะคือพวกสายกลาง" สินะ? - ผู้แปล]

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    30/11/2560
    ----------
    https://www.rt.com/business/411317-saudi-prince-released-settlement/
    https://www.rt.com/business/410153-saudi-arabia-ransom-purge-salman/
    https://www.almasdarnews.com/article/seven-people-beheaded-saudi-arabia-137-total-year/
    https://www.theguardian.com/world/2017/oct/24/i-will-return-saudi-arabia-moderate-islam-crown-prince
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,533
    ค่าพลัง:
    +97,150
    tnews_1476079566_2367.jpg
    กระชากหน้ากาก!! "แก๊งหมวกกันน็อกขาวซีเรีย" (White Helmets) ฮีโร่หรือซาตานในคราบนักบุญ? Publish 2016-10-10 13:06:07

    เมื่อวานนี้ (9 ต.ค.) ในเพจเฟซบุ๊กชื่อ "ปอกเปลือก ทรราช" ได้มีการโพสต์ข้อความถึงกรณี แก๊งหมวกกันน็อกขาวซีเรีย ซึ่งมีการระบุข้อความไว้ว่า...

    ใครคือไวท์เฮลเมทส์? ข้อมูลจากวิกิพีเดียบอกว่า องค์กรหมวกกันน็อกขาว (White Helmets) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "องค์กรปกป้องพลเรือนซีเรีย" (Syria Civil Defense) หรือเรียกชื่อย่อว่า "SCD" เป็นองค์กรปกป้องคุ้มครองพลเรือนอาสาสมัครที่ปฏิบัติการในพื้นที่การยึดครองของพวกกบฏซีเรีย (และผู้ก่อการร้ายอัลนุสราฟรอนท์) ในสงครามกลางเมืองซีเรีย มูลนิธิ Mayday Rescue ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ให้การสนับสนุน SCD การสนับสนุนหลักทางการเงินได้จากกลุ่มประเทศตะวันตก
    ประเทศที่ให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่ SCD หรือ WH ก็คือรัฐบาลเดนมาร์ก เยอรมัน ญี่ปุ่น สหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์


    7(977).jpg

    4(1927).jpg

    5(1638).jpg


    วันที่ 7 ต.ค.59 RT พาดหัวข่าวว่า "องค์กรหมวกกันน็อกขาวซีเรียได้รับการสนับสนุนด้านการเงินหลายล้านเหรียญ ไม่เป็นอิสระ" (Syria’s White Helmets are multi-million funded, ‘can’t be independent’)
    สำนักข่าว MSM ของสหรัฐรายงานว่า องค์กร White Helmets ได้รับการพาดหัวข่าวว่าเป็น "เหล่าฮีโร่เพื่อสันติภาพ" (Heroes of Peace) เหล่านักการเมืองและดาราฮอลลิวูดต่างก็พากันกล่าวว่ากลุ่มกู้ภัยควรค่าแก่รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ (Nobel Peace Prize) พวกหมวกกันน็อกขาวบอกว่าตนเองเป็นองค์กรอิสระ (independent) ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (เป็นกลาง) และไม่ด่างพร้อยจากเงินของตะวันตก
    การรณรงค์เพื่อสนับสนุนให้องค์กร White Helmets ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 2016 มีผู้ร่วมลงชื่อถือ 300,000 คน แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้กลุ่มนี้นำถ้วยรางวัลที่ละโมภกลับบ้านได้ [แสดงว่าโลกนี้ยังมีคนโง่ไม่ต่ำกว่า 300,000 คนที่เชื่อว่ากลุ่ม White Helmets เป็นคนดีทำเพื่อสังคมจริงๆโดยไม่มีนัยแอบแฝง
    White Helmets ทำหน้าที่กู้ภัยช่วยเหลือพลเรือนที่เป็นเหยื่อจากการทิ้งระเบิด ส่วนใหญ่ปฏิบัติการในเขตการยึดครองของพวกกบฏซีเรีย [และในเขตยึดครองของกลุ่มก่อการร้ายอัลนุสราฟรอนท์ เพราะว่าสหรัฐยอมรับแล้วว่าไม่สามารถแยกพวกกบฏสายกลางซีเรียออกจากพวกผู้ก่อการร้ายอัลนุสราฟรอนท์ในซีเรียได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดอะเลปโป
    กลุ่มดังกล่าวได้เขียนในเอกสารเสนอขอรับรางวัลโนเบลว่า "กลุ่มไวท์เฮลเมทส์ตื่นขึ้นทุกวันเพื่อช่วยเหลือชีวิตผู้คนที่กำลังได้รับความยากลำบาก คนงานกู้ภัยอาสาสมัครเหล่านี้ได้ช่วยชีวิตผู้คนได้ถึง 62,000 คนในซีเรีย และเพื่อสิ่งนั้น พวกเขาก็อยู่ภายใต้การโจมตีอย่างต่อเนื่อง ไม่มีอาวุธและเป็นกลาง" [ถ้าดูภาพประกอบในโพสต์นี้ก็จะรู้ว่าพวกนี้โกหกตอแหลหน้าตาเฉยอย่างไรบ้าง เดี๋ยวจะแฉให้เห็นในตอนต่อไป
    กลุ่มนี้อ้างว่าตนเองเป็นฝ่ายที่เข้าถึงที่เกิดเหตุเป็นคนแรก มีทั้งนักผจญเพลิง บุคคลากรทางการแพทย์ หน่วยกู้ภัย ปฏิบัติการอยู่ในเขตของพวกกบฏซีเรียและกลุ่มก่อการร้ายไอซิส (ไม่ปรากฏในเขตของฝ่ายรัฐบาลซีเรีย เป็นกลางมาก! )
    "พวกเขามีความกล้าหาญอย่างน่าอัศจรรย์ พวกหมวกกันน็อกขาวเหล่านี้ ผมภูมิใจที่จะพูดว่าพวกเรากำลังมอบเงินผมคิดว่า 32 ล้านปอนด์ (39.78 ล้านเหรียญสหรัฐ ประมาณ 1,376,690,000 บาท) เพื่อเป็นการสนับสนุนทางการเงินในแพ็กเก็จ 65 ล้านปอนด์ สำหรับความช่วยเหลือที่ไม่ใช่ด้านมนุษยธรรม" นาย Boris Johnson รมว.ต่างประเทศของอังกฤษกล่าว
    (ก่อนหน้านี้ WH พูดว่าอย่างไรนะ? "ตนเองเป็นองค์กรอิสระ (independent) ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (เป็นกลาง) และไม่ด่างพร้อยจากเงินของตะวันตก" อ้าวนายบอริส จอหน์สันไม่ใช่ชาวตะวันตกหรอกหรือ? อังกฤษก็ไม่ได้อยู่ในตะวันตกด้วยสินะ แล้วที่บอกว่าจะจ่ายให้อีก 32 ล้านปอนด์...สำหรับความช่วยเหลือที่ไม่ใช่ด้านมนุษยธรรม มันคืออะไร? อาวุธสงคราม? เงินกินเปล่าแบ่งกันระหว่างนายบอริสกับพวกหมวกกันน็อกขาว? )

    องค์กรดังกล่าวอ้างว่าเป็นเครือข่ายการปกป้องพลเรือนซีเรีย ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ "พวกหมวกกันน็อกขาวไม่ได้ปกป้องแม้แต่พลเรือนอย่างเป็นรูปธรรม พวกเราต่างหากที่กำลังทำงานในภาคสนาม และทำงานร่วมกับรัฐบาลที่เป็นทางการเท่านั้น... ไม่ใช่พวกหมวกกันน็อกขาว" องค์กรปกป้องพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Defense Organization - ICDO) ในเจนีวากล่าวในแถลงการณ์
    รายงานข่าวกล่าวต่ออีกว่า แม้ว่ากลุ่มดังกล่าวจะได้รับความนิยมมาก แต่ผู้นำขององค์กรนี้ (WH) กลับถูกห้ามไม่ให้เดินทางเข้าไปในสหรัฐอเมริกาเมื่อต้นปีนี้ ซึ่งได้ก่อให้เกิดความสงสัยเกี่ยวกับชื่อของเขาที่ปรากฏขึ้นมาในฐานข้อมูลเกี่ยวกับผู้ก่อการร้าย กระทรวงต่างประเทศสหรัฐประสบความยุ่งยากในการอธิบายการเนรเทศบุคคลดังกล่าว นายมาร์ค โทเนอร์ รองโฆษกก.ต่างประเทศสหรัฐกล่าวว่า ตนเองไม่สามารถพูดอย่างเจาะจงเกี่ยวกับกรณีนี้ได้ (ฮ่าๆ… มาร์คก็รู้ว่าหัวหน้าแก๊งหมวกกันน็อกขาวเป็นผู้ก่อการร้าย ขืนให้เดินทางเข้าประเทศสหรัฐก็บรรลัยกันพอดีสิ)
    สมาชิกของพวกหมวกกันน็อกขาวมักจะเข้าไปถ่ายรูปและบันทึกคลิปวีดีโอในสถานที่เกิดเหตุเป็นกลุ่มแรก "บ่อยครั้งที่พวกเขาถ่ายรูปและถ่ายวีดีโอในขณะที่ประชาชนกำลังจะตาย แทนที่เขาจะทำ A B C" Dr. Bassem Hayak จากสมาคมการแพทย์อะเลปโปกล่าวกับสำนักข่าว RT "เมื่อมีหายนภัย ใครจะเข้าไปถ่ายรูปในซีเรีย?"
    ไม่ใช่ว่าทุกคนในตะวันตกจะมองกิจกรรมของกลุ่มกู้ภัยกลุ่มนี้ด้วยความชื่นชมยินดี (through rose-tinted glasses)
    "กลุ่มให้การช่วยเหลือนี้ พวกหมวกกันน็อกขาว เป็นองค์กรที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากอังกฤษและสหรัฐ ซึ่งทำงานที่ดีหลายอย่างในซีเรีย พวกเขาทำงานในพื้นที่ยึดครองของพวกกบฏ และในพื้นที่ยึดครองของกลุ่มก่อการร้ายอัลนุสราฟร้อนท์เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังมีหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง - หรือหลายคนอาจจะแย้งว่า - เป็นหน้าที่หลักก็ได้ซึ่งก็คือคอยแสดงความคิดเห็นต่อต้านอัสซาดอย่างต่อเนื่อง" Daniel McAdams กรรมการผู้จัดการสถานบัน Ron Paul (ของสหรัฐ) กล่าวกับสำนักข่าว RT เมื่อเดือนที่แล้ว
    กลุ่มกู้ภัยกลุ่มนี้ได้กล่าวอ้างอยู่เรื่อยๆว่าเป็นองค์กรอิสระจากเหล่าสปอนเซอร์ รากเหง้า และพวกเจ้านายที่ต่อต้านปธน.อัสซาด โดยกล่าวว่าพวกเขาไม่ได้เปรอะเปื้อนด้วยเงินจากตะวันตก
    "พวกเขาอ้างว่าพวกเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือทางการจากรัฐบาลใดๆที่มีส่วนได้ส่วนเสียในความขัดแย้งในซีเรียทั้งนั้น" Vanessa Beeley นักวิจัยอิสระและนักข่าวกล่าวกับสำนักข่าว RT "แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาก็ได้รับการสนับสนุนทางการเงินหลายล้านเหรียญ พูดแบบภาษาชาวบ้านก็คือหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ 23 ล้านเหรียญสหรัฐจากเงิน USAID (ปี 2013) ประมาณ 65 ล้านจากอังกฤษ (อังกฤษเคยจ่ายให้ WH จำนวน 15 ล้านปอนด์ระหว่างปี 2012-2015) ฝรั่งเศสให้การสนับสนุนด้านอุปกรณ์..."
    Dr. Bassem Hayak กล่าวว่าองค์กรหมวกกันน็อกขาวไม่ได้เป็นองค์กรอิสระตามคำนิยาม "องค์กร NGO ใดๆ ไม่สามารถเป็นอิสระได้เด็ดขาด เพราะว่าคนที่เป็นอิสระย่อมจะสามารถกระทำการตัดสินใจ (ด้วยตัวเองได้) และไม่มีใครสามารถทำการตัดสินใจแทนได้ ยกเว้นพวกอัลนุสราฟรอนท์ เพราะว่าพวกเขามีมีอาวุธ"
    (คราวนี้ก็มีโชเชียลมีเดียและทวีตเตอร์ที่ใช้ชื่อว่า https://twitter.com/hashtag/WhiteHelmets (ไม่ใช่ทวีตเตอร์อของพวกหมวกกันน็อกขาวที่เป็นทางการ แต่เป็นภาคสังคมที่แฉการโกหกหลอกลวงของพวกหมวกกันน็อกขาว) ได้ลงภาพบุคคลต่างๆที่บางครั้งปรากฏว่าสวมหมวกกันน็อกขาว แสดงตนว่าเป็นสมาชิกของหน่วยกู้ภัย White Helmets ซีเรีย บางครั้งก็ถืออาวุธปืนถ่ายรูปร่วมกับกลุ่มก่อการร้ายในซีเรีย บางคนบอกว่าตัวเองเป็นคุณหมอประจำโรงพยาบาล แต่ก็มีภาพที่คุณหมอคนดังกล่าวแบกจรวดต่อต้านอากาศยานแบบประทับบ่า (MANPADS) ก็มี โซเชียลมีเดียก็เลยเรียกหมอนั่นว่า "คุณหมอแมนแพ็ท" (Dr. MANPAD)

    1(3192).jpg

    จำหน้าตาชายรูปร่างท้วมสวมเสื้อยืดสีน้ำเงินมีโลโก้แก๊งหมวกกันน็อกขาวและสวมหมวกกันน็อกขาวได้ไหมครับ? นายคนนี้ปรากฎหน้าตามสื่อฯกระแสหลักของตะวันตกครั้งแรกตอนที่มีข่าวกล่าวหาว่ารัสเซียโจมตีคอนวอยขนสิ่งของบรรเทาทุกข์ของยูเอ็นและโกดังเก็บสิ่งของบรรเทาทุกข์ของยูเอ็นและองค์กรเสี้ยวจันทร์แดงในอะเลปโป เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ในคลิปนายคนนี้ (Ammar al-Selmo) บอกว่าเฮลิค็อปเตอร์ของรัสเซียทิ้งระเบิดใส่คลังเก็บอาหารและสิ่งของบรรเทาทุกข์โดยมีฉากหลังเป็นเหตุการณ์ไฟไหม้ สื่อฯกระแสหลักของตะวันตกและพวกนักการเมืองสหรัฐและตะวันตกต่างก็บอกว่านาย Ammar al-Selmo เป็นพยานในที่เกิดเหตุ
    แต่โซเชียลมีเดียก็ตรวจพบว่ามีบุคคลหน้าตาคล้ายนาย Ammar al-Selmo เป็นสไนเปอร์ถือปืนยาวถ่ายรูปหมู่ร่วมกับพวกกบฏติดอาวุธเมื่อปี 2014 นั่นไง! NGO กู้ภัยกบฏซีเรียนักบุญและฮีโร่สงครามซีเรียลูกกระเป๋งของสหรัฐและอังกฤษเขาหละ

    ส่วนภาพนี้เป็นการถ่ายภาพจัดฉากการทำงานของแก๊งหมวกกันน็อกขาว โดยถ้าดูเฉพาะสามภาพจากบนลงล่างด้านขวามือก็จะพบว่าพวกเจ้าหน้าที่ของแก๊งหมวกกันน็อกขาวกำลังช่วยกันเก็บศพบนพื้นถนน แต่ถ้าดูภาพทางซ้ายประกอบ ก็จะเห็นว่าชายสวมชุดรายพลางคนหนึ่งเป็นคนยิงชายที่สวมชุดดำที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นถนน อยู่ในสถานที่และเวลาเดียวกัน
    ส่วนภาพอื่นๆก็คล้ายกัน กล่าวคือบางฉากสมาชิกแก๊งหมวกกันน็อกขาวก็แสดงบทบาทเป็นนักบุญหน่วยกู้ภัย บางฉากก็ควงอาวุธปืนถือมีดไม่ต่างจากนักฆ่าตัดหัวเด็กในซีเรีย นั่นแหละฮีโร่ซีเรียในสายตาของสหรัฐและตะวันตกหละ )
    The Eyes

    อ้างอิง
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    09/10/2559
    ------------
    https://www.rt.com/…/361938-white-helmets-syria-independant/
    http://www.icdo.org/en/about-icdo/
    https://en.wikipedia.org/wiki/Civil_defense
    http://linkis.com/21stcenturywire.com/3rPlt
    https://sputniknews.com/…/white-helmets-nobel-ambitions-com


    http://www.tnews.co.th/contents/207898
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,533
    ค่าพลัง:
    +97,150
    IMG_20171130_183741_778.jpg 633187.global.thumb.jpg 633187.regional.thumb.jpg 633187.local.thumb.jpg

    เกิดแผ่นดินไหว ขนาด 6.5 ภูมิภาค CENTRAL MID-ATLANTIC RIDGE ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 เวลา 13:32:50.6 น. เวลาประเทศไทย สถานที่ 1.06 S ; 23.39 W ความลึก 10 กิโลเมตร

    Magnitude Mw 6.5
    Region CENTRAL MID-ATLANTIC RIDGE
    Date time 2017-11-30 06:32:50.6 UTC
    Location 1.06 S ; 23.39 W
    Depth 10 km
    Distances 1544 km SW of Freetown, Sierra Leone / pop: 803,000 / local time: 06:32:50.6 2017-11-30
    1591 km SW of Conakry, Guinea / pop: 1,768,000 / local time: 06:32:50.6 2017-11-30
    1619 km SW of Monrovia, Liberia / pop: 940,000 / local time: 06:32:50.6 2017-11-30
    Global view
    Source parameters reviewed by a seismologist

    https://www.emsc-csem.org/Earthquake/earthquake.php?id=633187#summary
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,533
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทั่วโลกจับตา ภูเขาไฟอากุงอาจระเบิดครั้งใหญ่ ทำอุณหภูมิโลกลดลง วันพฤหัส 30 พฤศจิกายน 2017 7:31 pm



    โลกกำลังจับตาสถานการณ์ในอินโดนีเซีย จากการที่ภูเขาไฟอากุงบนเกาะบาหลีกำลังปะทุ ทางการอินโดนีเซียยังคงตรวจพบธารลาวาภายในปล่องภูเขาไฟอากุงเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯหรือนาซ่าที่กำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งนาซ่าระบุด้วยว่า หากภูเขาไฟอากุงระเบิด อาจทำให้อุณหภูมิโลกลดลง 0.2 องศาเซลเซียส

    03-101.jpg

    ย้อนกลับไปปี ค.ศ. 1963 ปีที่ภูเขาไฟอากุงระเบิด ครั้งนั้นคร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 1,600 คน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เป็นเพียงการปะทุในระดับปานกลางเท่านั้น แต่ถ้าหากการปะทุของภูเขาไฟอากุงครั้งนี้ ตามมาด้วยการระเบิดครั้งใหญ่และรุนแรง ก็จะเกิดความเสียหายถึงขั้นหายนะ เกิดภัยคุกคามที่ส่งผลต่อประชากรทั่วโลก กระทบต่อสภาพอากาศของโลก กระทบไกลไปไกลถึงระบบสุริยะ ติดตามรายละเอียดได้จากรายงานพิเศษ

    http://www.springnews.co.th/th/2017/11/151221/
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,533
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Hubris Syndrome : โรคโอหังของผู้นำคลั่งอำนาจ
    July 9, 2017 by tomorn
    dscf8327.jpg

    1
    วินสตัน เชอร์ชิล ถือเป็นผู้นำที่โชคดี เพราะมี ‘คนเตือน’ อยู่ข้างกาย

    ตอนที่เขากำลังเรืองอำนาจสู้รบปรบมือกับฮิตเลอร์และเป็นขวัญใจฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง วันหนึ่ง คลีเมนไทน์ ภรรยาของเขาส่งจดหมายน้อยเขียนมาถึง – ความว่า,

    วินสตันที่รัก ฉันต้องขอสารภาพว่า ฉันได้สังเกตเห็นความเสื่อมในกิริยามารยาทของเธอ และเธอก็ไม่ได้เมตตาใจดีเหมือนที่เคยเป็นด้วย
    ผมไม่รู้หรอกว่า เหล่าผู้นำบ้าอำนาจปากเสียมารยาททรามทั้งหลายแหล่ที่เห็นกันบ่อยๆ ในโลก จะมี ‘คนเตือน’ ที่ดีแบบนี้อยู่ข้างกายหรือเปล่า เพราะนั่นไม่ใช่ประเด็นที่น่าสนใจมากเท่ากับคำถามที่ว่า – เกิดอะไรกับผู้นำทรงอำนาจเหล่านี้ ถึงได้ทำให้พวกเขามี ‘กิริยามารยาท’ ที่เปลี่ยนแปลงไป

    พวกเขามีอาการ ‘ป่วย’ อะไรหรือเปล่า?

    มันเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องราวใน ‘หัวสมอง’ ของพวกเขาไหม?

    คำตอบที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนให้ไว้ในระยะหลังก็คือ – เกี่ยว, และเกี่ยวมากเสียด้วย!

    2
    กิริยามารยาทหรือการสังเกตและเข้าอกเข้าใจคนอื่น เป็นกุญแจหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้คนคนหนึ่งได้รับการยอมรับนับถือจนกระทั่งมี ‘อำนาจ’ ขึ้นมาได้ แต่ก็น่าตลกทีเดียว ที่เมื่อมีอำนาจขึ้นมาระยะหนึ่ง หลายคนกลับสูญเสียความสามารถในความเป็น ‘ผู้นำ’ เหล่านี้ไป

    นักพฤติกรรมศาสตร์ที่ศึกษาพฤติกรรมของพวกผู้นำนิสัยแย่ปากเสียเหล่านี้ขนานนามปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ว่า Power Paradox หรือ ‘ปฏิทรรศน์แห่งอำนาจ’ คือเมื่อเรามีอำนาจขึ้นมาแล้ว เรากลับสูญเสียความสามารถที่จำเป็นในการขึ้นสู่อำนาจไป

    คำถามก็คือ – ทำไม?

    ก่อนจะตอบคำถามนี้ ต้องถามกลับเสียก่อนว่า เวลาคุณเห็นใครสักคนทำ (หรือถูกกระทำ) อะไรบางอย่าง คุณเคยเกิดความรู้สึกแบบเดียวกับเขาบ้างไหม เช่น คุณเดินๆ ไปบนถนน แล้วเจอคนถูกรถชน คุณนิ่วหน้าหวาดเสียวและรู้สึกแปลบปลาบเจ็บปวดราวกับคุณถูกรถชนเสียเอง หรือคุณเห็นคนกินของเปรี้ยวจี๊ดหรือเผ็ดจัด แล้วทำปากซู้ดซ้าดต่างๆ นานา เพราะคุณก็รู้สึกเปรี้ยวหรือเผ็ดแบบนั้นด้วยเหมือนกัน

    การรู้สึกเหมือนกับคนอื่น โดยที่คุณไม่ได้ประสบกับเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเอง (แต่เคยมีประสบการณ์แบบนั้นมาก่อน) ไม่ว่าจะสะอิดสะเอียน ขำ เจ็บปวดรวดร้าว ฯลฯ เป็นปรากฏการณ์ที่นักประสาทวิทยาเรียกว่า Mirroring คือเหมือนกับตัวคุณเป็น ‘กระจก’ ส่องสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ภายใน มันคือการที่สมองของคุณเกิดการ ‘เลียนแบบ’ พฤติกรรมต่างๆ ของคนอื่น

    นักประสาทวิทยาบอกว่า ตัวการที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์แบบนี้ คือเซลล์ประสาทที่เรียกว่า ‘เซลล์ประสาทกระจก’ (Mirror Neurons) เมื่อเรารับรู้อะไรบางอย่างขึ้น มันจะจำลองการตอบสนองแบบเดียวกันขึ้นในหัวของเรา ทำให้เราเกิด ‘ความรู้สึกร่วม’ กับมนุษย์คนอื่น

    ‘ความรู้สึกร่วม’ ที่ว่านี้ คือกลไกสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้การเสพกิจกรรมเชิงศิลปะอย่างการอ่านภาพยนตร์ การดูภาพเขียนภาพถ่าย หรือการอ่านหนังสือ มีรสมีชาติขึ้นมา เพราะเราซาบซึ้งลึกลงไปในสมองราวกับเราเป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเอง

    เมื่อเรารู้สึกเหมือนเป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านั้นเอง ‘ความรู้สึกร่วม’ นี้ จึงเป็นปัจจัยสำคัญยิ่ง ที่ทำให้เราเกิดความเห็นอกเห็นใจหรือเข้าอกเข้าใจ (เรียกว่ามี Empathy) ในตัวคนอื่น

    ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วทำไมคนที่มีอำนาจ (เช่นพวกเผด็จการต่างๆ) ถึงเกิด ‘ความเสื่อม’ ในกิริยามารยาทและความเข้าใจคนอื่นขึ้นมาได้เล่า

    คำตอบที่นักประสาทวิทยาค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ก็คือ ตัว ‘อำนาจ’ นั้น มันทำให้กระบวนการ Mirorring หรือเซลล์ประสาทกระจกในตัวคนที่เป็นผู้ครอบครองอำนาจเสียไปนั่นเอง

    ฟังดูราวกับอำนาจเป็นเชื้อโรคอะไรสักอย่างที่เข้าไปติดเชื้อในสมองได้ ราวกับนิยายวิทยาศาสตร์หรือเรื่องสั้นเสียดสีเผด็จการ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นหรือเรื่องแต่งนะครับ เพราะมีการศึกษากันจริงจังในหลายด้าน เช่นนักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์ ชื่อ ดาเชอร์ เคลต์เนอร์ (Dacher Keltner) ได้ศึกษาพฤติกรรมของคนจำนวนมากเป็นเวลานานราวสองทศวรรษ โดยเปรียบเทียบคนที่ ‘ตกอยู่ใต้อำนาจของอำนาจ’ (Under the Influence of Power) กับคนทั่วไป เขาพบว่าคนที่ตกอยู่ใต้อำนาจของอำนาจนั้น จะมีพฤติกรรมในการแสดงออกต่างๆ เหมือนกับผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บทางสมองร้ายแรงในระดับ Traumatic Injury

    ลักษณะสำคัญของคนที่ตกอยู่ใต้อำนาจของอำนาจ เป็นไปคล้ายๆ กับวินสตัน เชอร์ชิล ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง (ตอนที่ถูกเมียเตือน) เลย นั่นคือจะหุนหันพลันแล่นมากขึ้น ตระหนักถึง ‘ความเสี่ยง’ ต่างๆ น้อยลง แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ จะมีความสามารถในการมองโลกจากมุมมองของคนอื่นๆ น้อยลงอย่างมาก พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางโลก และเข้าใจคนอื่นน้อยลง

    การศึกษาของเคลต์เนอร์ ได้รับการยืนยันด้วยการศึกษาของนักประสาทวิทยาชื่อ ซุควินเดอร์ โอบิ (Sukhvinder Obhi) แห่งมหาวิทยาลัย McMaster ในออนตาริโอ ซึ่งแม้จะศึกษาเรื่องเดียวกันกับเคลต์เนอร์ ทว่ามีจุดเน้นต่างกัน คือเป็นการดูการทำงานของสมอง ว่าสมองของคนที่มีอำนาจและคนที่ไม่มีอำนาจนั้น เมื่อถูกกระตุ้นแล้วจะทำงานต่างกันอย่างไร

    โอบิพบว่า ตัว ‘อำนาจ’ นั้น มันไปทำลายกระบวนการกระจก (Mirorring) ที่เราว่ากันไปข้างต้นนั่นแหละครับ กระบวนการนี้้ค้นพบกันในยุคแปดศูนย์ถึงเก้าศูนย์ โดยนักประสาทวิทยาหลายคน เชื่อกันว่าเป็นกระบวนการทางสมองที่ทำให้มนุษย์ (และสัตว์ฝูงอื่นๆ) มีพัฒนาการร่วมทางสังคม และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราดำรงเผ่าพันธุ์มาได้จนถึงปัจจุบัน เพราะความรู้สึกร่วมทำให้เกิดความเป็นกลุ่มก้อน เป็นหนึ่งเดียวกัน เกิดอัตลักษณ์ร่วม โดยเซลล์ประสาทกระจกนั้นพบได้ในพื้นที่สมองหลายบริเวณ เรียกว่าเป็นการทำงานร่วมกันของทั้งสมองเลยก็ว่าได้

    แต่ในคนที่มีอำนาจ (หรือคิดว่าตัวเองมีอำนาจ) กระบวนการทำงานของสมองแบบนี้จะลดน้อยลง ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกร่วมกับคนอื่น เข้าใจคนอื่นได้น้อยลง และดังนั้นจึงนำพาคนที่อยู่ใต้อำนาจของตัวเองเข้าสู่ ‘ความเสี่ยง’ มากขึ้นเรื่อยๆ

    การทดลองที่แสดงให้เห็นว่าคนมีอำนาจสูญเสียความเข้าใจในคนอื่นยังมีอีกหลายการทดลองนะครับ การทดลองที่ดังมากอันหนึ่ง คือให้คนลองเขียนตัวอักษร E ลงไปบนหน้าผากของตัวเองเพื่อให้คนอื่นอ่าน เขาพบว่า ถ้าเป็นคนที่รู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจ จะเขียนตัว E ในแบบธรรมดา คือเป็นมุมมองของตัว E ที่มองออกไปจากตัวเอง ทำให้คนอื่นๆ ที่มองเข้ามาเห็นเป็นตัว E กลับข้าง ในขณะที่คนที่รู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจน้อย จะเขียนตัว E ด้วยมุมมองจากภายนอก จึงได้ตัว E ที่คนอื่นๆ เห็นว่าเป็นตัว E ปกติ

    ข้อสรุปจากการทดลองนี้ก็คือ คนที่รู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจน้อย จะ ‘เห็นใจ’ คนอื่นๆ มากกว่าคนที่รู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจมาก จึงเขียนตัว E ในแบบที่คนอื่นอ่านได้รู้เรื่อง

    นอกจากนี้ ยังมีการทดลองอื่นอีกหลายอย่าง เช่น การให้คนมีอำนาจกับไร้อำนาจดูภาพคนอื่น แล้วประเมินความรู้สึกของคนในภาพออกมา ปรากฏว่าคนที่มีอำนาจจะประเมินความรู้สึกของคนในภาพผิดมากกว่าคนที่ไร้อำนาจ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า คนที่มีอำนาจเข้าใจคนอื่นน้อยกว่าคนที่ด้อยอำนาจ

    เขาบอกว่า ‘ความรู้สึกร่วม’ ที่คนไร้อำนาจมีเหมือนๆ กัน และถ่ายทอดถ่ายเทระหว่างกันผ่านการทำงานของเซลล์ประสาทกระจกนั้น ทำให้คนทั่วๆ เกิดการ ‘เลียนแบบ’ (mimicking) กันและกันได้ คนทั่วไปจะหัวเราะไปกับเสียงหัวเราะของคนอื่น ร้องไห้ไปกับเรื่องเศร้าของคนอื่น เจ็บปวดไปกับเรื่องเจ็บปวดของคนอื่น เพราะเซลล์ประสาทกระจกจะกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกเดียวกัน พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ – มันเตือนให้เรารู้สึกถึง ‘ความเป็นมนุษย์’ ระหว่างกัน

    แต่ผู้มีอำนาจหรือคิดว่าตัวเองมีอำนาจมักสูญเสียความสามารถนี้ไป คนเหล่านี้มักจะไม่หัวเราะกับเรื่องขำขันของคนอื่น ไม่ร้องไห้ไปกับเรื่องเศร้าของคนอื่น เพราะการรับรู้ความรู้สึกที่ว่าเสียไปแล้ว ผู้นำที่คลั่งอำนาจหรือเป็นเผด็จการส่วนใหญ่จึงมักมีพฤติกรรม ความคิด และความเชื่อที่ไม่เหมือนคนทั่วไป ซึ่งในที่สุดก็นำไปสู่สภาวะขาดแคลนความเห็นอกเห็นใจหรือเข้าอกเข้าใจผู้อื่น (เคตล์เนอร์เรียกว่ามีอาการ Empathy Deficit) ขึ้น

    ด้วยเหตุนี้ คำพูดที่ว่า ‘อำนาจทำให้เสื่อม’ จึงไม่ใช่แค่คำพูดเปรียบเปรย แต่ความ ‘เสื่อม’ ที่ว่า คือความเสื่อมที่มีข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์มารองรับเลยทีเดียว

    ในหนังสือ In Sickness and in Power ที่เขียนโดย ลอร์ดเดวิด โอเวน (David Owen) เขาถึงกับบอกว่า การเปลี่ยนบุคลิกภาพของคนที่มีอำนาจแบบนี้ ถือเป็น ‘อาการป่วย’ อย่างหนึ่ง เขาตั้งชื่ออาการป่วยนี้ว่า Hubris Syndrome ซึ่งถ้าจะแปลเป็นไทย – อาจแปลได้ว่าเป็น, โรคโอหังของคนคลั่งอำนาจ

    คำถามก็คือ – โรคนี้มีหนทางรักษาให้หาย หรือป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้หรือเปล่า?



    3
    นักวิทยาศาสตร์บอกว่า การหยุดหรือการป้องกันไม่ให้อำนาจเข้าไปส่งผลต่อสมองนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะเมื่ออำนาจมาถึงตัวแล้ว คนเรามักพึงพอใจกับมัน อำนาจจึงเข้าไปเปลี่ยนแปลงสมองของเราทีละน้อย แช่มช้า แต่หนักแน่นมั่นคง สิ่งที่อาจช่วยผู้มีอำนาจได้มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือคนที่มีอำนาจ ต้อง ‘หยุดรู้สึก’ ว่าตัวเองมีอำนาจบ้างเป็นครั้งคราว

    แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

    มีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Journal of Finance ชื่อ What Doesn’t Kill You Will Only Make You More Risk-Loving : Early-Life Disasters and CEO Behavior เป็นการศึกษาซีอีโอของบริษัทต่างๆ พบว่าซีอีโอที่ในวัยเด็กเคยผ่านพบกับภัยธรรมชาติแบบโหดๆ ถึงขนาดที่มีคนตายจำนวนมาก (หรือมีคนใกล้ตัวตาย) เช่น แผ่นดินไหว สึนามิ ทอร์นาโดฯลฯ เมื่อได้เป็นซีอีโอแล้ว จะมีการทำงานในแบบที่พาบริษัทไปเผชิญกับความเสี่ยงต่างๆ ‘น้อย’ กว่าซีอีโอที่ไม่เคยผ่านพบประสบการณ์เหล่านี้ (เรียกว่ามีความเป็น Risk-Seekers น้อยกว่า) แต่ที่น่าประหลาดใจกว่านั้นก็คือ ซีอีโอที่ตอนเด็กๆ เคยเผชิญหน้ากับภัยธรรมชาติใหญ่ๆ แต่เป็นภัยที่ไม่ได้มีคนใกล้ตัวตาย หรือมีผู้เสียชีวิตไม่มากนัก กลับมีแนวโน้มทำงานแบบพาบริษัทไปเสี่ยงหรือเป็น Risk-Seekers มากที่สุด

    พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนที่เคยเจอกับเหตุการณ์เลวร้ายจริงๆ ถึงระดับความเป็นความตาย จะไม่ค่อยอยากพาคนอื่นไปเสี่ยงหรือไปตายด้วย เพราะมีฐานแห่ง ‘ความรู้สึกร่วม’ ที่ทำให้เกิด Empathy อยู่ลึกๆ ภายใน แต่คนที่นึกว่าตัวเองเก่ง นึกว่าตัวเองเคยเสี่ยงภัยมาแล้ว แต่ไม่ได้เผชิญหน้ากับความเป็นความตายที่แท้จริง จะมีแนวโน้มพาความเสี่ยงมาสู่กลุ่มคนที่อยู่ใต้อำนาจของตัวเองได้มากกว่า

    น่าเศร้า, ที่ในประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยของไทย เราพบปรากฏการณ์แบบนี้มาแล้วหลายครั้ง แม้กระทั่งในปัจจุบัน

    ความเสื่อมของสมอง ความเสื่อมของความสามารถในการเข้าอกเข้าใจคนอื่น รวมถึงการพาคนที่อยู่ใต้อำนาจไปเผชิญหน้ากับความเสี่ยงต่างๆ โดยคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำเป็นเรื่องถูกต้องนั้น ถือเป็นอาการหลักของ ‘โรคโอหังคลั่งอำนาจ’ หรือ Hubris Syndrome ลอร์ดโอเวนบอกว่า โรคนี้เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นเมื่อได้ครอบครองอำนาจ โดยเฉพาะอำนาจที่เชื่อมโยงกับความสำเร็จแบบล้นเกิน เป็นอำนาจที่ต่อเนื่องยาวนานหลายๆ ปี และมีการต่อต้านขัดขืนผู้นำที่ว่านี้เพียงเล็กน้อย

    โรคโอหังคลั่งอำนาจมีอาการทางคลีนิก (Clinical Features) อยู่ถึง 14 ประการด้วยกัน เช่น ชอบเหยียดหยามคนอื่นว่าโง่กว่าตัวเอง สูญเสียความสามารถในการมองเห็นความเป็นจริง ขยันทำงานไม่หยุดหย่อน แต่ผลงานที่ออกมาไร้ประสิทธิภาพและสมรรถภาพ ฯลฯ

    วิธีป้องกันและรักษาโรคโอหังคลั่งอำนาจนั้น เคลต์เนอร์บอกว่าทำได้ด้วยการฝึกให้มี Empathy ด้วยวิธีต่างๆ เช่น พยายาม ‘ฟัง’ และทำความเข้าใจคนอื่น รู้จักขอโทษ รวมไปถึงการฝึกความรู้สึกสำนึกบุญคุณคนอื่นๆ โดยเฉพาะคนที่มีอำนาจน้อยกว่ามากๆ ซึ่งฟังดูเหมือนคำสอนของครูอนุบาล แต่แท้จริงแล้ว สมองของคนที่ป่วยเป็นโรคโอหังคลั่งอำนาจ ก็ต้องการการ ‘ฝึก’ แบบเด็กอนุบาลด้วยเหมือนกัน เพราะการฝึกเหล่านี้จะทำให้กระบวนการ Mirroring ในสมองกลับมาทำงานได้ดีขึ้น

    อันที่จริง ตัวลอร์ดเดวิด โอเวน เองก็ยอมรับนะครับว่าเขาเคยเป็นโรคโอหังที่ว่านี้ด้วย นั่นทำให้เขาสนับสนุนให้เกิดการค้นคว้าในเรื่องนี้ เพราะเขารู้ดีว่าเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบทางลบต่อคนทั่วไปในวงกว้าง แต่ถึงกระนั้น ลอร์ดโอเวนก็ยังเล็งเห็นผลกระทบเรื่องนี้เฉพาะในด้านธุรกิจเท่านั้น เขาคิดว่าผู้นำคลั่งอำนาจที่ไม่มีความสามารถในการเห็น ‘โลกจริง’ อาจนำพาธุรกิจต่างๆ ไปสู่หายนะได้ เขาเลยตั้งกองทุนเดดาลุสทรัสต์ (Daedalus Trust) ข้ึน เพื่อสร้างความตระหนักรู้ต่อโรคโอหังคลั่งอำนาจที่ว่านี้ จะได้ก่อให้เกิดความเข้าใจโรคนี้ได้มากขึ้น

    ผมไม่แน่ใจนัก ว่าลอร์ดโอเวนมองโรคโอหังนี้ในมิติอื่นๆ นอกเหนือจากมิติทางธุรกิจด้วยหรือเปล่า เพราะเอาเข้าจริงแล้ว โรคโอหังคลั่งอำนาจในด้านอื่นๆ บางด้าน อย่างเช่นด้านการเมืองนั้น – อาจก่อให้เกิดผลร้ายในวงกว้างมากกว่าทางธุรกิจก็ได้ ดังที่เราเห็นกันอยู่บ่อยครั้งในปัจจุบันกับผู้นำหลายคนในโลกที่เราอาศัยอยู่

    อย่างไรก็ดี ถ้ามองในอีกด้านหนึ่ง มนุษย์ทั่วไปอย่างเราๆ ที่ไม่ได้มีอำนาจบาตรใหญ่อะไร ก็อาจต้องเมตตาผู้คลั่งอำนาจโดยไม่รู้ตัวเหล่านั้น ด้วยการมอบความเห็นอกเห็นใจ (หรือมี Empathy) ให้กับผู้นำคลั่งอำนาจที่มักมีบุคลิกภาพแปรปรวน ปากเสีย มองไม่เห็นโลกอย่างที่มันเป็นจริง มองไม่เห็นความเดือดร้อนที่เกิดจากการกระทำของตัวเองและพวกพ้อง มีความคิดที่บิดเบี้ยว เห็นความโง่เป็นความฉลาด และมีวิธีคิดวิธีแสดงออกกลับหัวกลับหาง

    เพราะพวกเขาไม่ใช่คนธรรมดา แต่ตามนิยามของลอร์ดโอเวนแล้ว – คือผู้ป่วยที่ไม่รู้ตัวเองว่าป่วย แถมยังอาจเป็นวินสตัน เชอร์ชิล ในเวอร์ชั่นที่ไม่มีใคร – แม้แต่เมีย, ที่รักเขามากพอจนกล้าเอ่ยปากเตือนด้วย

    คนป่วยเช่นนี้ไม่น่าเห็นอกเห็นใจหรอกหรือ


    https://tomorn.co/2017/07/09/hubris-syndrome-โรคโอหังของผู้นำคลั/
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,533
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ดาวเคราะห์น้อยขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 กม. เคลื่อนผ่านโลกในระดับอันตราย 16 ธค.นี้
    วันพฤหัส 30 พฤศจิกายน 2017 5:18 pmข่าว, ต่างประเทศ, ทันเหตุการณ์

    02-106.jpg

    iflscience.com เว็ปไซต์ด้านวิทยาศาสตร์ระดับโลกรวมถึง time.com รายงานการยืนยันจากองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติหรือนาซ่าว่า ดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 3 ไมล์หรือราวๆ 5 กิโลเมตร จะเคลื่อนที่ผ่านโลกในวันที่ 16 ธันวาคมนี้ ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้จึงถูกจัดอยู่ในขั้น“เป็นอันตรายต่อโลก”

    01-110.jpg

    ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ชื่อ “3200 เฟทอน / 3200 Phaethon” จะเคลื่อนผ่านโลกใกล้ที่สุดที่ระยะ 6.4 ล้านไมล์หรือราว 10 ล้านกิโลเมตร หรือประมาณ 27 เท่าของระยะห่างระหว่างโลกกับดวงจันทร์ ซึ่งในช่วงเวลาที่ดาวเคราะห์น้อยเคลื่อนผ่านโลกนั้น นาซ่าจะทำการเก็บภาพรายละเอียดต่างๆของดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ไว้ด้วยเพื่อใช้ในการศึกษา


    04-92.jpg

    นาซ่าระบุว่า ดาวเคราะห์น้อย 3200 เฟทอนนั้นเคยเคลื่อนผ่านโลกมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1974 หรือเมื่อ 43 ปีที่แล้ว ครั้งนั้นเคลื่อนผ่านโลกโดยห่างจากโลกราว 5 ล้านไมล์ และนาซ่าคาดการณ์ว่า หลังการเคลื่อนผ่านโลก 16 ธันวาคมปีนี้แล้ว จะเคลื่อนผ่านโลกอีกครั้งในปี ค.ศ. 2093 หรืออีก 76 ปีข้างหน้า

    05-75.jpg

    ด้านผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยอิมมานูเอล คานต์ บอลติก ในเมืองโคนิกส์เบิร์ก ของรัสเซีย เผยแพร่วิดีโอการติดตามเส้นทางโคจรของดาวเคราะห์น้อย 3200 เฟทอนซึ่งพบว่า มีวงโคจรที่ไม่ปกติและสร้างความสับสนให้แก่บรรดานักวิทยาศาสตร์ เพราะมันมีลักษณะเข้าข่ายทั้งดาวเคราะห์น้อยและดางหางอยู่ในดวงเดียวกัน

    07-40.jpg

    ที่มา :

    iflscience.com/space/an-asteroid-is-going-to-swing-past-earth-on-december-16/

    time.com/5039623/3-mile-wide-asteroid-3200-phaethon/

    http://www.springnews.co.th/th/2017/11/151006/
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,533
    ค่าพลัง:
    +97,150
    859757-750x430.jpg

    เจ้าชายมุตอิบ บิน อับดุลเลาะห์ อดีตมกุฎราชกุมารซาอุฯถูกปล่อยตัวแล้วหลังยอมจ่ายกว่า 1 พันล้านดอลลาร์..!
    Last updated พ.ย. 30, 2017

    sputniknews / เจ้าชายมุตอิบ บิน อับดุลเลาะห์ วัย 65 ปี อดีตผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความปลอดภัยแห่งซาอุดิอาระเบีย ได้รับการปล่อยตัวแล้วเมื่อวันที่ 28 พ.ย. ที่ผ่านมา หลังจากที่เจ้าชาย มูฮัมหมัด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารซาอุฯ ได้ประกาศกวาดล้างทุจริตคอร์รัปชั่นเมื่อต้นเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา เขาจึงถูกควบคุมตัวเป็นเวลากว่า 3 สัปดาห์ ร่วมกับสมาชิกราชวงศ์อีก 10 พระองค์ และเจ้าหน้าที่ รัฐมนตรี และนักธุรกิจมากกว่า 200 คน เมื่อวันที่ 4 พ.ย. ที่ผ่านมา

    สำหรับการรับอิสรภาพในครั้งนี้ ได้มีกระแสข่าวออกมาว่า เขายอมจ่ายเงินจำนวนมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (มากกว่า 3 หมื่นล้านบาท) ตามข้อตกลงเพื่อแลกกับการถูกปล่อยตัว นอกจากเจ้าชายมุตอิบ บิน อับดุลเลาะห์ ที่ได้รับอิสรภาพแล้ว ยังมีผู้ที่ถูกคุมตัวอีก 3 ราย ที่ยอมจ่ายเงินเพื่อออกมารับอิสรภาพด้วยเช่นกัน

    ทั้งนี้ เจ้าชายมุตอิบ บิน อับดุลเลาะห์ เคยเป็นอดีตมกุฎราชกุมารในการสืบทอดราชบัลลังก์ เขายังถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมยักยอกทรัพย์ จ้างพนักงานที่ไม่มีตัวตนจริง และให้สัมปทานแก่บริษัทของตัวเอง รวมถึงโครงการจัดซื้อวิทยุสื่อสารและเสื้อเกราะกันกระสุนมูลค่าราว 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทางด้านเจ้าชาย มูฮัมหมัด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารซาอุฯ ได้ประกาศที่จะส่งเสริมอิสลามสายกลาง และปฏิรูปซาอุดิอาระเบียให้ทันสมัยในทุกๆด้าน โดยยืนยันว่า จะต้องกวาดล้างการทุจริตคอร์รัปชั่นต่างๆให้หมดไปในไม่ช้านี้


    http://www.immjournal.com/8024
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,533
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์

    IMG_20171130_230021_525.jpg

    วาเนซซ่า บีลีย์แฉหน้ากากของ *กลุ่มหมวกกันน็อคสีขาว* (The White Helmets):

    วันนี้ เป็นวันแรกที่กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์จัดประชุมเพื่อหาทางยุติสงครามในซีเรีย รัสเซีย ตุรกี อิหร่านและซีเรียคงมีรายละเอียดมาแฉในที่ประชุมกันมาก ขณะเดียวกัน ฝั่งอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส อิสราเอลและแก๊งนาโต้อื่นๆ ก็คงหาทางให้อเมริกาอยู่ในซีเรียนานที่สุดเพื่อเป็นก้างขวางคอ

    แต่เมื่อวานนี้ สโมสรผู้สื่อข่าวสวิสส์ (The Swiss Press Club) ได้เปิดโอกาสให้สื่อน้ำดีซึ่งหนึ่งในนั้นคือวาเนซซ่า บีลีย์แฉกลุ่มมนุษยธรรมสากลที่ใช้ชื่อว่า *กลุ่มหมวกกันน็อคสีขาว* (The White Helmets) อย่างละเอียด สรุปก็คือคนเหล่านี้ทำงานร่วมกับกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ (กลุ่มนุสรา) มีภาพเป็นหลักฐานชัดเจน รายงานใดๆ ของกลุ่มนี้จึงเชื่อถือไม่ได้ บทความที่ผมแนบมาด้วยนี้ มี Links ต่างๆ ซึ่งให้รายละเอียดมากครับ เหมาะที่นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและฝ่ายข้อมูลสื่อต่างๆ จะเก็บไปศึกษาเพิ่มเติมครับ

    ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
    หมายเหตุ: ๑.ถ้าจะแชร์ ไม่ต้องขออนุญาตแต่ปรดอ้างที่มาให้ชัดเจน ๒.หากจะวิจารณ์โปรดใช้คำสุภาพ สองข้อนี้สำคัญเพื่อป้องกันมิให้ผิดพรบ.คอมพิวเตอร์ โปรดสะกดใช้คำให้ถูกต้องตาม *หลักภาษาไทย* ด้วย ข้อความวิจารณ์ที่ *หยาบ* และ *สะกดผิด* จะลบออกทุกครั้งที่เห็นครับเห็น ๓.ถ้าอยากติดตามข่าวต่างประเทศมากกว่าเพจนี้ ติดตามได้ที่ https://vk.com/bodhinanda แต่ว่าต้องระบุชื่อ นามสกุลจริง รูปจริงในโปรไฟล์ของสมาชิกด้วย
    http://21stcenturywire.com/2017/11/...te-helmets-expose-to-swiss-press-club-geneva/

    https://www.facebook.com/bodhinand007/?fref=ts
    .

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,533
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การปะทุครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่มีความสามารถในการเปลี่ยนเส้นทางประวัติศาสตร์ได้ใกล้กว่าที่คาดไว้ มีการเปิดเผยให้เห็นการศึกษาใหม่ที่น่าตกใจ นำเสนอด้วย เสียงแปลก ๆ - 30 พ.ย. 2017

    IMG_7260.PNG

    นี้ไม่ได้เป็นจินตนาการ! การระเบิดของภูเขาไฟขนาดใหญ่อาจเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของประวัติศาสตร์ได้ดังที่ได้มีการระบุไว้ในประวัติศาสตร์ทางธรณีวิทยาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่าการประมาณการก่อนหน้านี้ชี้ให้เห็นว่าการปะทุของซุปเปอร์ภูเขาไฟเกิดขึ้นทุกๆ 45,000 ถึง 714,000 ปี แต่การศึกษาใหม่ ที่น่าตกใจ พบว่าพวกเขาสามารถปะทุได้บ่อยมากขึ้น เช่น ทุก 17,000 ปีหรือมากกว่านั้น นี่เป็นเรื่องที่เลยกำหนดสำหรับการปะทุอย่างรุนแรง เช่นเดียวกับการระเบิดที่เกิดขึ้นระหว่าง 20 ถึง 30 พันปีก่อนหน้านี้

    @ ภาพ supervolcanoes ทั่วโลก

    Jonathan Rougier ศาสตราจารย์วิชาสถิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบริสตอลกล่าวว่า "เรามีความโชคดีเล็กน้อยที่ไม่ได้รับประสบการณ์จากการปล่อยออกมาของซุปเปอร์ภูเขาไฟ ในปีพ. ศ. 2547 เพื่อนร่วมงานของเราได้ตีพิมพ์ผลการประเมินครั้งแรกของชนิดนี้ซึ่งจะเกิดขึ้นในทุกๆ 45-700 พันปีซึ่งมากกว่าอายุขัยของอารยธรรมของเรา การคำนวณของเราแสดงให้เห็นว่าเกิดขึ้นเฉลี่ยประมาณ 17,000 ปี นี่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีโชคดีอย่างเหลือเชื่อ (เพิ่มเอง ทีาจะได้มีส่วนร่วมในการประทุของซุปเปอร์
    ภูเขาไฟ) ภูเขาไฟของโลกถือเป็นหนึ่งใน "ตัวนำ" ที่สำคัญของสภาพภูมิอากาศของดาวเคราะห์ของเรา พวกเขาสามารถเพิ่มอุณหภูมิบนพื้นผิวของมัน - เหตุการณ์สุดท้ายที่เกิดขึ้นเมื่อ 30,000 ปีที่แล้ว "

    Next cataclysmic super-eruption capable of altering the course of history is closer than expected, reveals new shocking study By Strange Sounds - Nov 30, 2017

    This is no fantasy! A super volcanic explosion could alter the course of history as already shown in past recent geological history. Previous estimates suggested that super-eruptions happen roughly every 45,000 to 714,000 years, but a new SCHOKING study found that they could be much more frequent… like every 17,000 years or so. This we are overdue for such a cataclysmic eruption since the most recent super-eruptions occurred between 20 and 30 thousand years ago.

    supervolcanoes around the world, list of supervolcanoes around the world
    List of supervolcanoes around the world. via Wikipedia
    Jonathan Rougier, professor of statistical science at Bristol University, said: “On balance, we have been slightly lucky not to experience any super-eruptions since then. In 2004, our colleagues published the first evaluation of this kind, in which super-eruptions should take place every 45-700 thousand years, which exceeds the lifetime of our civilization. Our calculations show that they occur on average once in 17 thousand years. This suggests that mankind was incredibly lucky – the last such event happened 30 thousand years ago.”

    Earth’s volcanoes are now considered one of the key “conductors” of our planet’s climate. They can raise the temperature on its surface, throwing huge masses of carbon dioxide and other greenhouse gases and to reduce it, filling the atmosphere with particles of ash and aerosols microcephaly reflecting the rays and heat of the Sun.

    http://strangesounds.org/2017/11/next-super-eruption-closer-than-thought.html
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,533
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Wudhichai Maitreesophone

    IMG_7262.JPG

    ในสงครามซีเรีย มีชาวอุยกูร์ จากมณฑลซินเจียง ของจีนราว 2,500 คน เข้ามาทำการรบร่วมกับกลุ่มชาวเติร์ก Turkistan Islamic Party (TIP)ที่ทำการรบกับทหารรัฐบาลซีเรียอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ เพราะอุกูร์ กับเติร์ก เขาเชื้อสายเดียวกัน กลุ่มก่อการร้ายชาวเติร์ก เป็นกลุ่มก่อการร้ายใหญ่ระดับต้นๆ ของผู้ก่อการร้ายในซีเรียได้รับการสนับสนุนจากตุรกี และเขาเป็นพันธมิตรที่สำคัญของ Hay'at Tahrir Al-Sham


    ชาวเติร์ก หรืออุยกูร์ ในจีน ที่อยู่ในมณฑลซินเจียง จากข้อมูลของอุยกู Uyghur American Association บอกไว้ว่าใน China (Xinjiang) มีชาวอุยกูร์ ระหว่าง 11,303,355 - 15,000,000 คน และชาวอุยกูร์ประกาศตนเป็นศัตรูของคนจีน ของเราที่วางระเบิดพระพรห์ม นั่นก็เป็นฝีมืออุยกูร์ทำการทดสอบฝีมือก่อนเข้าสู่สงครามในซีเรีย


    ทางการจีนจึงตัดสินใจ ที่จะส่งทหารรบพิเศษของจีน จำนวน 2 กองพล รวมถึงกองพลรบพิเศษชื่อดังของจีน Tigers of Siberia ไปช่วยซีเรียทำการปราบปรามเฉพาะอุยกูร์ เพื่อแสดงความรับผิดชอบ ที่ประชาชนในประเทศจีนได้ไปก่อกวนสร้างความเดือดร้อนให้แก่ ชาวบ้านเขา เจ้าของบ้าน ก็ต้องไปจัดการขั้นเด็ดขาดกับเหล่าคนเกเรเหล่านั้น เพื่อไม่ให้คนรุ่นหลังได้ทำตาม


    https://mobile.almasdarnews.com/article/china-will-send-troops-syria-fight-chinese-jihadists-report/
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,533
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Wudhichai Maitreesophone

    IMG_7264.JPG

    ซูดาน แม้ว่าจะอยู่ทวีปแอฟริกา แต่ก็อยู่ริมทะเลแดง ฝั่งตรงกันข้ามกับซาอุดิอาระเบีย มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ หากมีสงครามใหญ่ ได้เรียกร้องให้รัสเซียไปตั้งฐานทัพถาวรในประเทศของเขา ซีเรียเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย แต่ชายฝั่งทะเลของซีเรียมีแต่เมดิเตอร์เรเนียน ไม่มีทางชายฝั่งทะเลแดง ที่จะควบคุมคลองสุเอช ถ้าได้ซูดานมา ก็เป็นสุดยอด


    https://southfront.org/sudan-offers-russia-to-establish-military-base-on-its-red-sea-shore/
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,533
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    The WAR must go on: ส.ว.สหรัฐคลั่งขู่จะทำสงครามกับเกาหลีเหนือ ไม่สนว่าใครจะเจ็บหรือตายเท่าไร แค้นที่คิมน้อยประสบความสำเร็จในการพัฒนาขีปนาวุธ Hwasong-15 ยิงออกนอกโลกแล้วย้อนกลับเข้ามาพุ่งใส่เป้าหมายในทะเลได้อีก

    FB_IMG_1512092487543.jpg

    -------------

    1.) วันที่ 29 พ.ย.60 RT พาดหัวข่าวว่า "สหรัฐกำลังมุ่งหน้าสู่การทำสงครามกับเกาหลีเหนือ 'ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง' - ส.ว.เกร์แฮมคำราม (เอ๋ง)" (US heading to war with N. Korea 'if things don't change' - Sen. Graham)

    วุฒิสมาชิก Lindsay Graham กล่าวว่า "สหรัฐจะทำสงครามกับเกาหลีเหนือแน่ ถ้ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง" และยอมรับว่า "จะมีประชาชนเป็นจำนวนมากได้รับบาดเจ็บและถูกฆ่า" จีนและรัสเซียได้เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายอดทนอดกลั้นและหันหน้าเจรจากัน

    "ถ้าพวกเราจะเข้าสู่การทำสงครามเพื่อที่จะหยุดเรื่องนี้ ถ้ามีสงครามกับเกาหลีเหนือ มันก็จะเป็นเพราะว่าเกาหลีเหนือนำมันไปสู่ตนเอง และพวกเราก็จะมุ่งหน้าเข้าทำสงคราม ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ" วุฒิสมาชิก Lindsay Graham จากพรรครีพับลิกันกล่าวกับนาย Wolf Blitzer แห่ง CNN เมื่อวันอังคารนี้

    Graham กล่าวว่า ทั้งตนเองและประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐต่างก็ไม่ได้ปรารถนาสงคราม (แล้วทำไมถึงไม่ถอนกองทัพสหรัฐออกจากตะวันออกกลางหละ?) แต่ก็ได้เน้นย้ำว่า "เราจะไม่ปล่อยให้ผู้ชายบ้าคนนี้ในเกาหลีเหนือมีศักยภาพที่จะโจมตีแผ่นดินใหญ่ได้เด็ดขาด"

    [แฮมไม่ยอม แฮมรับไม่ได้ ที่คิมน้อยพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีปแข่งและเท่าเทียมกับสหรัฐ โลกนี้จะต้องอยู่ใต้อุ้งบาทาของสหรัฐแต่เพียงผู้เดียว ถึงจะเรียกว่า "ยุติธรรมและเท่าเทียมกัน" เกาหลีเหนือมีสิทธิ์อะไรที่จะมามีเสรีภาพในการพัฒนาขีปนาวุธและประเทศของตนเอง ทั้งๆที่ถูกสหรัฐและเหล่าสมุนกดหัวอย่างหนักมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว? แบบนี้ มาทำสงครามกันเลยดีกว่านะคิม! ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้คงเยี่ยวปริแล้ว พวกเรายังไม่พร้อมที่จะรับนุกของคิมน้อยแทนสหรัฐนะคร้าบบบบเจ้านาย

    เกาหลีเหนือพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และมิสไซล์ทีหลังสหรัฐ และมีอาวุธร้ายแรงเหล่านี้และขนาดของกองทัพไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งของสหรัฐ สหรัฐบอกว่าผู้นำเกาหลีเหนือ "บ้า" คนดีเขาต้องใช้ระเบิดนิวเคลียร์สังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์เหมือนกับที่สหรัฐทำมาแล้วในญี่ปุ่นสองลูกใช่ไหม?

    เอ๊ะหรือว่าไอ้หมอนี่กำลังด่าตัวเองว่าเป็นคนบ้า? ลองดูตรรกะนี้นะครับ...

    - ประเทศ A พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และมิสไซล์
    - ประเทศ B บอกว่า ประเทศ A "บ้า"

    ถ้าเราแทนเราแทนที่ประเทศ A ด้วย "สหรัฐอเมริกา" และแทนที่ B ด้วย "เกาหลีเหนือ" หรือประเทศอื่นๆ สหรัฐก็เข้าข่่าย "บ้า" เช่นกัน ไปพบจิตแพทย์ด่วนเลย ใครปล่อยเขาออกมาจากสถานบำบัดจิตหละนี่? - ผู้แปล]

    เมื่อพิธีกรถามถึงยอดการเสียชีวิตของพลเรือนซึ่งจะเกิดขึ้นในการทำสงครามเกาหลีเหนือ รวมทั้งในกรุงโซลเมืองหลวงของเกาหลีใต้ที่มีประชากรหนาแน่น

    นาย Gramham ตอบว่า "มันไม่ได้สูญเสีย (ตาย) เพราะผมกับสงครามที่อาจจะดูเหมือนว่าทำกับเกาหลีเหนือนี่ครับ ฝ่ายหนึ่งอาจจะชนะสงคราม แต่ก็จะมีประชาชนจำนวนมากได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต..."

    [สหรัฐไม่เคยเอาชนะเกาหลีเหนือได้เลยในสงครามเกาหลีปี 1950-1953 แม้จะยกพวกรุมกินโต๊ะเกาหลีเหนือก็ตาม ในสงครามเวียตนาม สหรัฐก็แพ้อย่างยับเยิน แต่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้นั้น - ผู้แปล]

    อย่างไรก็ตาม ส.ว. Graham ได้เน้นย้ำว่า "ประธานาธิบดีจะต้องเลือกระหว่างความปลอดภัยของแผ่นดินใหญ่กับเสถียรภาพในภูมิภาค" (ซวยแล้วเกาหลีใต้และญี่ปุ่น) วุฒิสมาชิกของสหรัฐยังกล่าวเพิ่มอีกว่า "เมื่อมันมาถึงการที่จะต้องตัดสินใจ ประธานาธิบดีจะต้องเลือกอเมริกาก่อนภูมิภาคนั้น (คาบสมทุรเกาหลี) และผมก็หวังว่าภูมิภาคนั้นจะช่วยพวกเราค้นหาทางออกด้วยวิธีทางการทูต"

    [แปลว่า ถ้าไม่อยากให้เกิดสงครามในคาบสมุทรเกาหลีอีกรอบ ก็รีบๆควักกระเป๋าซื้ออาวุธอเมริกันเพิ่มอีกสิ ยกที่ดิน และทรัพย์สินให้อเมริกันเพิ่มอีก นี่แหละคือวิธีทางการทูตที่สหรัฐพูดถึง อย่างนั้นหรือเปล่า? - ผู้แปล]

    "เขา (ทรัมป์) พร้อมแล้ว ถ้าจำเป็นนะ ในการทำลายระบอบนี้ (this regime) เพื่อปกป้องอเมริกา และผมก็หวังว่ารัฐบาลนั้นจะเข้าใจว่า ถ้าประธานาธิบดีทรัมป์ต้องเลือกระหว่างการทำลายรัฐบาลเกาหลีเหนือและมาตุภูมิของอเมริกาแล้วหละก้อ เขากจะทำลายรัฐบาลนั้น ผมหวังว่าจีนจะเข้าใจเช่นกันนะครับ" Graham กล่าว [นี่กำลังขู่จีนทางอ้อมใช่ไหม? - ผู้แปล]

    ส.ว.สหรัฐท่านนี้ออกมาแสดงความคิดเห็นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่เกาหลีเหนือได้ปล่อยขีปนาวุธลูกหนึ่ง (Hwasong-15) ขึ้นสู่อวกาศ และก็ย้อนกลับมายังโลกได้ และแตกกระจายเพียงไม่กี่นาทีก่อนจะตกถึงเป้าหมายในทะเลญี่ปุ่น นาย Itsunori Onodera รมว.กลาโหมของญี่ปุ่นกล่าวว่า แม้ว่าขีปนาวุธ (ข้ามทวีป) ของเกาหลีเหนือจะสามารถกลับเข้ามายังชั้นบรรยากาศของโลกได้ แต่ขีปนาวุธก็ได้แตกออกอย่างน้อยสามชิ้นก่อนที่จะตกลงในน้ำ Skynews รายงาน

    [ญี่ปุ่นกำลังหลอกตัวเอง หารู้ไม่ เกาหลีเหนือเขาตั้งใจกดปุ่มหรือติดตั้งระบบทำลายตัวเองไว้ที่ขีปนาวุธลูกนั้น ก่อนถึงเป้าหมายในช่วงระยะเวลาอันใกล้ ทางเกาหลีเหนือประกาศว่าประสบความสำเร็จในการทดลอง ICBM ครั้งนี้

    สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ ขีปนาวุธข้ามทวีป Hwasong-15 รุ่นใหม่ป้ายแดงของเกาหลีเหนือลูกนี้พุ่งออกจากฐานปล่อยบนพื้นโลกที่เกาหลีเหนือผ่านชั้นบรรยากาศของโลก และหลุดออกจากแรงดึงดูดของโลกไปแล้ว เนื่องจากมันได้พุ่งสูงถึง 4,475 กิโลเมตร อยู่ในอวกาศเรียบร้อย แต่มันก็สามารถเลี้ยวกลับมายังพื้นโลกได้ และก็มุ่งตรงไปยังพิกัดเป้าหมายในทะเลญี่ปุ่นในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของญีปุ่่นได้อย่างแม่นยำด้วย ในขณะที่ลูกกำลังหมุนไปเรื่อยๆ ติ๊ก…ติ๊ก…ติ๊ก… เหมือนเข็มนาฬิกา

    แสดงว่าเกาหลีเหนือมีเทคโนโลยีที่สามารถบังคับทิศทางหรือระบบนำวิถีของบอลลิสติกมิสไซล์ของตนเองได้เหมือนกับการบังคับขีปนาวุธนำวิถี (cruise missile) ทั่วไป โอกาสที่จะสกัดขีปนาวุธแบบนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ยกเว้นการยิงสกัดตอนที่มันกำลังพุ่งออกไปจากฐานปล่อยใหม่ ซึ่งก็ต้องเข้าไปใกล้พื้นที่ในน่านน้ำหรือน่านฟ้าของเกาหลีเหนือที่มีการคุ้มกันอย่างหนาแน่น นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญส่วนมากยอมรับว่าขีปนาวุธ Hwasong-15 ของเกาหลีเหนือลูกนี้มีพิสัยทำการ 13,000 กิโลเมตรขึ้นไป

    แปลว่าทุกตารางนิ้วบนแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐต่างก็มีสิทธิ์ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของขีปนาวุธรุ่นนี้ทั้งนั้น นั่นคือเหตุผลหลักที่สหรัฐกำลังโกรธ คุ้มคลั่ง เหงื่อตก และฟาดงวงฟาดงาอยู่ในขณะนี้ รัศมีทำการขนาดนี้เทียบเท่า ICBM LGM-30 Minuteman III ของสหรัฐได้เลย

    แต่บรรดานักวิชการก็ยังตั้งข้อสงสัยว่า เกาหลีเหนือสามารถย่อส่วนหัวรบนิวเตลียร์ (H-bomb) ของตนเองให้สามารถติดตั้งเข้ากับจรวดได้แล้วหรือ? วิธีเดียวที่จะพิสูจน์ได้ ต้องทดลองของจริง แต่จะใช้จุดไหนบนแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐเป็นเป้าหมายสำหรับการพิสูจน์หละ? มีข้อแม้ว่าห้ามยิงสกัดกั้นและห้ามเอาผิดกับเกาหลีเหนือนะ สหรัฐกล้าหรือเปล่า? จะได้หายสงสัยกันซักที

    เพราะว่าเกาหลีเหนือเคยพูดอย่างชัดเจนต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่ยูเอ็นแล้วว่า ขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือจะทำให้มหาสมุทรแปซิฟิกสว่างจ้าด้วยดอกเห็ดยักษ์ขนาดใหญ่ที่ทั้งโลกจะต้องตกตะลึง ต่อไปก็จะไม่มีใครตั้งคำถามอีกว่า เกาหลีเหนือประสบความสำเร็จในการย่อส่วน H-bomb สำหรับติดตั้งบนขีปนาวุธได้แล้วจริงหรือไม่ - ผู้แปล]

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    30/11/2560
    ----------
    https://www.rt.com/usa/411294-us-war-north-korea/
    https://www.rt.com/news/411298-north-korea-warhead-launch-vehicle/
    http://edition.cnn.com/2017/11/28/politics/lindsey-graham-north-korea/index.html
    http://edition.cnn.com/2017/07/29/a...continental-ballistic-missile-test/index.html
    http://edition.cnn.com/2017/11/29/politics/donald-trump-north-korea-strategy/index.html


    http://www.independent.co.uk/news/w...r-kim-jong-un-lindsey-graham-us-a8081346.html
    https://www.vox.com/world/2017/8/1/16075198/trump-lindsey-graham-north-korea-war
    http://www.skynews.com.au/news/top-...ic-missile--south.amp.html;pvc95edd324df06866
    https://en.wikipedia.org/wiki/Intercontinental_ballistic_missile
    https://en.wikipedia.org/wiki/Hwasong-15
    http://www.army-technology.com/feat...nge-intercontinental-ballistic-missiles-icbm/
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,533
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    มาแล้ว...ภาพถ่ายจากสถานที่จริง: คิมน้อยเผยแพร่ภาพขีปนาวุธข้ามทวีป Hwasong-15 เป็นครั้งแรก หลังประสบความสำเร็จในการทดลอง สหรัฐและเหล่าลูกสมุนพากันดิ้นทุรนทุราย

    IMG_7266.JPG IMG_7267.JPG IMG_7268.JPG IMG_7269.JPG IMG_7270.JPG IMG_7271.JPG IMG_7272.JPG IMG_7273.JPG IMG_7274.JPG IMG_7275.JPG

    -------------

    วันที่ 30 พ.ย.60 สำนักข่าว KCNA ของเกาหลีเหนือได้เผยแพร่ภาพถ่ายปฏิบัติการยิงทดลองขีปนาวุธข้ามทวีป ICBM Hwasong-15 โดยมีประธานาธิบดีคิม จอง-อึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือคอยกำกับดูแลขั้นตอนต่างๆอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ต้นจนเสร็จสิ้นภารกิจ

    KCNA รายงานว่า การยิงทดลอง (test-fire) จรวดวิถีโค้งข้ามทวีป Hwasong-15 หนึ่งลูกซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้ ภายใต้การให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดด้วยตัวเองของประธานาธิบดีคิม จอง-อึน ได้ประสบความสำเร็จแล้ว

    ผู้นำเกาหลีเหนือระบุว่า ปฐมฤกษ์ของการพัฒนาจรวดชนิดใหม่นี้ซึ่งสามารถทำให้ประเทศได้รับชัยชนะในการประจันหน้าดวลกับพวกจักรวรรดิสหรัฐ และได้ให้คำแนะนำอย่างละเอียดต่อสถาบันการศึกษาป้องกันประเทศทุกวัน สำหรับการทำงานเพื่อให้มั่นใจว่าระบบอาวุธ Hwasong-15 จะประสบความสำเร็จด้วยดี

    หลังจากที่ได้รับรายงานในวันที่ 28 พศจิกายนว่า กองทัพพร้อมที่จะทำการยิงทดลอง ICBM ชนิดใหม่นี้แล้ว ท่านผู้นำก็ได้เดินทางไปยังสถานที่ที่ได้มีการเตรียมการด้านเทคนิคเอาไว้สำหรับการปล่อยจรวดในกลางดึก เพื่อไปดูพาหนะสำหรับบรรทุกและปล่อยจรวดอัตราจร 9 เพลา (รถบรรทุก 18 ล้อ) ซึ่งผลิตโดยคนงานจากอุตสาหกรรมยุทโธปกรณ์ (ของเกาหลีเหนือ)

    คิม จอง-อึน ได้ชมเชยเจ้าหน้าที่และคนงานเหล่านั้นที่ทำให้พาหนะคันนี้กระหึ่มได้อย่างไรที่ติ และมีความประทับใจเป็นอย่างมากกับข้อเท็จจริงที่ว่า ขณะนี้ เกาหลเหนือสามารถจะผลิตพาหนะเหล่านี้ในระดับโรงงานให้ได้มากเท่าที่ประเทศต้องการ ซึ่งอุตสาหกรรมยุทโธปกรณ์จะเริ่มกระบวนการผลิตอะไหล่ทั้งหมดของพาหนะภายในประเทศและตามหลักปรัชญาจูเช่ 100 เปอร์เซ็นต์

    ขีปนาวุธ ICBM Hwasong-15 ของเกาหลีเหนือได้ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าไต่ระดับความสูงซึ่งสูงที่สุดถึง 4,475 กม. (ออกนอกโลก นอกแรงดึงดูดของโลก ลอยเคว้งอยู่ในอวกาศ ไม่ชนกับลูกอุกาบาตและยานของมนุษย์ต่างดาวด้วย) จากนั้นก็บินกลับมาตกบนโลกห่างจากจุดปล่อย 950 กม. ใช้เวลาในการเดินทางทั้งสิ้น 53 นาที ก่อนจะแลนดิ้งเขัาสู่เป้าหมายได้อย่างแม่นยำซึ่งกำหนดพิกัดไว้ในน้ำในทะเลเปิด ในทะเลตะวันออกของเกาหลี (ทะเลญี่ปุ่น)

    [รัฐบาลญี่ปุ่นบอกว่าตกในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของญี่ปุ่น ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการทดลองในครั้งนี้ แต่ดาดว่ามีหลายคนขวัญผวา ถึงกับเตรียมจะก่อสงครามกับเกาหลีเหนืออีกรอบ เพราะอิจฉาในความสำเร็จและความก้าวหน้าของเกาหลีเหนือมั๊ง?

    สิ่งที่เห็นและเกาหลีเหนือประกาศให้โลกได้รับรู้ในครั้งนี้ก็คือ...
    1. เกาหลีเหนือประสบความสำเร็จในการพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ได้แล้ว ซึ่งมีพิสัยทำการที่สามารถโจมตีได้ทุกพื้นที่บนโลกใบนี้ รวมทั้งเทคโนโลยีดาวเทียมที่พัฒนาขึ้นเองในการติดตามขีปนาวุธของตนเองด้วย และยังมีความก้าวหน้าในการพัฒนาเครื่องยนต์จรวดที่มีประสิทธิภาพสูงอีกด้วย ลูกค้าตรึมแน่ ในขณะที่สหรัฐเองยังต้องพึ่งพาเครื่องยนต์จรวดขนาดใหญ่จากรัสเซียอยู่

    2. เกาหลีเหนือสามารถพัฒนารถบรรทุกขนาดใหญ่สำหรับบรรทุกจรวดและใช้ในภารกิจอื่นๆในกองทัพเกาหลีเหนือได้ด้วยตนเอง รถบรรทุกรุ่นที่ใช้สำหรับขนขีปนาวุธ Hwasong-15 มี 9 เพลา (18 ล้อ), ส่วนรุ่นที่ใช้บรรทุกขีปนาวุธ Hwasong-14 (ICBM เช่นกันแต่รัศมีทำการใกล้กว่า Hwasong-15) มี 8 เพลา (16 ล้อ), และรุ่นที่บรรทุกขีปนาวุธ Hwasong-12 (IRBM พิสัยปานกลาง/เกือบไกล) มี 6 เพลา (12 ล้อ

    ไทยเราทำอย่างนี้ไม่ได้ เพราะว่าพวกลิเบอร่านขึ้ข้าอเมริกาจะกล่าวหาและรุมด่าทันทีว่าเราเป็นพวกเผด็จการ ไม่เป็นประชาธิไตย และอาจจะกำลังเป็นคอมมิวนิสต์แบบเกาหลีเหนือ ห้ามพัฒนาเองเด็ดขาด ต้องซื้อของต่างชาติใช้อย่างเดียวเท่านั้น โดยอ้างว่าการพัฒนาเองต้องลงทุนสูง ประชาชนจะมีงานทำมากขึ้น อัตราการว่างงานจะลดลง ของที่ผลิตเองอาจจะไม่ได้มาตรฐานตะวันตกก็ได้ ผลิตแล้วจะขายให้ใคร ฯลฯ นั่นคือข้ออ้างเบื้องต้นของพวกถ่วงความเจริญของชาติ - ผู้แปล]

    คราวนี้มาดูความเคลื่อนไหวจากฝั่งอเมริกากันต่อนะครับ ล่าสุดนางนิกกี้ เฮลี่ย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำยูเอ็นออกมาแว๊ดๆ กับในที่ประชุมฉุกเฉินของสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติว่า "ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้คุยกับประธานาธิบดีสี (จิ้นผิง) เมื่อเช้านี้ และได้บอกกับผู้นำจีนว่า เราได้มาถึงจุดที่จีนจะต้องตัดขาดน้ำมันจกาเกาหลีเหนือแล้วนะ นั่นเป็นก้าวที่สำคัญในความพยายามของโลกที่จะหยุดพวกชั้นต่ำนอกคอก (pariah) ต่างชาตินี้"

    [ว้าววววว! มรรยาทผู้ดีหายไปไหนหมดหละนี่หล่อนเอ๋ย ในที่สุดก็แสดงสันดานดิบของตนเองออกมาให้บรรดาทูตต่างประเทศได้รับรู้แล้วสินะ ตอนที่ตนเองและเกาหลีใต้ทดลอง ไม่เห็นบอกว่าสหรัฐและเกาหลีใต้เป็นพวก pariah เลยนี่? ประเทศไหนนะที่ไม่ยอมขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ อ้างกฎหมายของสหรัฐไม่อนุมัติ? เป็นพวก pariah หรือเปล่า? - ผู้แปล]

    ต่อมากระทรวงต่างประเทศของอังกฤษได้เรียกตัวเอกอัครราชทูตของเกาหลีเหนือประจำกรุงลอนดอนเข้าไปพบ หลังจากที่สถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลเกาหลีเหนือประกาศความสำเร็จในการทดลอง ICBM Hwasong-15 เมื่อวานนี้

    นาย Mark Field รัฐมนตรีฝ่ายเอเซียและแปซิฟิกของอังกฤษกล่าวว่า "ผมได้เรียกเอกอัครราชทูตของเกาหลีเหนือมาพบที่กระทรวงต่างประเทศเพื่อแสดงให้เห็นถึงการประณามของพวกเรากรณีการทดลองขีปนาวุธวิถีโค้งครั้งล่าสุด ต่อเขาอย่างชัดเจน" อ้างคำพูดโดย Radio Free Asia

    [ปีที่แล้ว (ถ้าจำไม่ผิด) มีรายงานข่าวว่า กองทัพเรืออังกฤษก็ทำการทดลองปล่อยขีปนาวุธข้ามทวีปจากเรือดำน้ำพลังงานของตนเองแถวชายฝั่งของสหรัฐ และล้มเหลวหลายครั้ง โดยรัฐบาลโอบามาช่วยปิดข่าวให้ไม่ใช่หรือ? รัฐบาลอังกฤษไม่คิดจะประณามการกระทำแบบนั้นของ ทร. อังกฤษบ้างรึ? ไอ้พวกสองมาตรฐาน! ตัวเองทำได้ แต่คนอื่นห้ามทำ วันที่ 29 เกาหลีใต้ก็ปล่อยบอลลิสติกมิสไซล์ของตนเองเช่นกัน และยังปล่อยขีปนาวุนำวิถีจากเครื่องบินรบ KF-16 ด้วย อ้างซ้อมรบเพื่อตอบโต้เกาหลีเหนือ มีหน้าไหนกล้าด่าหรือประณามเกาหลีใต้บ้างไหม? (ยกเว้นเกาหลีเหนือ)

    ส่วนจีนกับรัสเซียก็ออกมาร่วมเล่นละครกับเกาหลีเหนือด้วยการ "แสดงความกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง" และขอประณามการทดลองในครั้งนี้ (พอเป็นพิธี) และได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายอดทนอดกลั้น หันหน้าเจรจากัน เน้นย้ำถึงการหยุดทั้งสองฝ่าย (ฝ่ายสหรัฐและเกาหลีใต้ก็หยุดซ้อมรบยั่วยุเกาหลีเหนือ ฝ่ายเกาหลีเหนือก็หยุดการทดลองขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ของตนเอง) เพราะว่าตอนที่เกาหลีเหนือทดลอง ICBM คณะผู้แทนจากสภา Duma ของรัสเซียหลายคนก็ยังอยู่ในเกาหลีเหนืออยู่เลย - ผู้แปล]

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    30/11/2560
    ----------
    http://uriminzokkiri.com/index.php?lang=eng&ftype=songun&no=7596
    http://english.yonhapnews.co.kr/northkorea/2017/11/30/34/0401000000AEN20171130001852315F.html
    http://english.yonhapnews.co.kr/northkorea/2017/11/30/59/0401000000AEN20171130004300315F.html
    http://english.yonhapnews.co.kr/northkorea/2017/11/30/20/0401000000AEN20171130004000315F.html
    http://english.yonhapnews.co.kr/national/2017/11/30/0301000000AEN20171130001352315.html
    http://uriminzokkiri.com/index.php?ptype=great&who=4&categ1=1&categ2=2&index=1&pagenum=1&no=6053#pos
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,533
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    ลูกค้าของคิมน้อยมาแล้วครับ... ทั้งอินเดียและปากีสถานคู่อริกัน ต่างก็ส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงทางการทูตของตนเองไปเยือนเกาหลีเหนือ ในช่วงที่เกาหลีเหนือทำลองขีปนาวุธข้ามทวีป Hwasong-15 ฉากหน้าก็ทำเหมือนไปดูงานต่างประเทศ ไปดูการพัฒนาด้านต่างของเกาหลีเหนือ อาจจะตามด้วยการเจรจาลับกันก็ได้ ทั้งอินเดียและปากีสถานต่างก็มีอาวุธนิวเตลียร์ไว้ในครอบครองเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าเทคโนโลยีเครื่องยนต์จรวดสำหรับขีปนาวุธและรถบรรทุกขีปนาวุธนั้น เกาหลีเหนือจะไปไกลและทันสมัยกว่าอินเดียและปากีสถาน รัสเซียก็ส่งคณะทูตจากสภาผู้แทนราษฎรไปเยือนเกาหลีเหนือเช่นกัน ไปทีเดียวพร้อมกัน 3 ประเทศ (ช่างบังเอิญอะไรอย่างนี้) แต่รัสเซียคงไม่ได้ไปช็อปปิ้งนุกและรถบรรทุกของเกาหลีเหนือแน่นอน น่าจะไปธุรอย่างอื่นมากกว่า
    -----------
    http://uriminzokkiri.com/index.php?ptype=photo&pagenum=&no=5458
    http://uriminzokkiri.com/index.php?ptype=photo&pagenum=&no=5470
    http://uriminzokkiri.com/index.php?ptype=photo&pagenum=&no=5467
    http://uriminzokkiri.com/index.php?ptype=photo&pagenum=&no=5456
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,533
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช

    IMG_7288.JPG IMG_7289.JPG IMG_7290.JPG IMG_7291.JPG

    ถ้าพวกลิเบอร่านโปร-อเมริกาเห็นภาพเหล่านี่ที่ประชาชนและนักศึกษาชาวเกาหลีเหนือแสดงความดีใจหลังจากที่ได้รับทราบข่าวกองทัพและรัฐบาลของตนเองประสบความสำเร็จในการทดลองขีปนาวุธข้ามทวีป Hwasong-15 ที่มีรัศมีทำการถึง 13,000 กว่ากิโลเมตรสามารถโจมตีที่ไหนก็ได้บนแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐ ก็คงจะแซะว่า "รัฐบาลเผด็จการเกาลีเหนือจัดฉาก" หรือไม่ก็คงจะบอกว่าคิมน้อยเอาปืนจี้ห้วให้ประชาชนไปแสดงละครหละมั๊ง ที่นั่นจะเป็นแบบนี้ประจำครับ ถ้าเห็นหน้ายัยป้ามิสไซล์ (ชื่ออะไรจำไม่ได้แล้ว) ในชุดประจำชาติสีชมพูปรากฎในหน้าจอทีวีทั่วประเทศ จะต้องมีเหตุการณ์บางอย่างที่ตื่นเต้นตามมาแน่นอน
    -----------
    http://uriminzokkiri.com/index.php?ptype=photo&pagenum=&no=5466
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,533
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    แร้งเห่า ขู่ "จะทำลายรัฐบาลเกาหลีเหนือไม่ให้เหลือซาก", หมีขาวตะปบแร้ง "พูดมาให้ชัดเจนเลยดีกว่า แล้วจะรู้ว่าเราจะตอบโต้อย่างไร" เอาแล้วไง!

    IMG_7292.JPG IMG_7293.JPG

    -------------

    วันที่ 30 พ.ย.60 RT พาดหัวข่าวว่า "เฮลี่ย์ ทูตสหรัฐประจำยูเอ็น เตือนว 'รัฐบาล ก.เหนือจะถูกทำลายไม่เหลือซาก' หากสงครามปะทุขึ้น" (UN Amb. Haley warns ‘N. Korean regime will be utterly destroyed’ if war breaks out)

    นาง Nikki Haley เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติได้หมุนฟันเฟืองการทำสงครามกับเกาหลีเหนือในการตอบโต้ต่อการทดลองขีปนาวุธข้ามทวีปครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือ พร้อมกับได้เตือนรัฐบาลกรุงเปียงยางของคิม จอง-อึนว่ากำลังมุ่งไปสู่ถนนแห่งการพังทะลาย

    ในการประชุมฉุกเฉินของสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เมื่อวันพุธนี้ (เกี่ยวกับการทดลองขีปนาวุธ Hwasong-15 ของเกาหลีเหนือ) นางเฮลี่ย์ได้ขอให้สมาชิกคณะกรรมการเพิ่มการคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนืออีก และให้ดำเนินการลงโทษต่างๆ ตามที่สภาฯ ได้มีมติเมื่อต้นปีนี้ The Hill รายงาน

    นางเฮลี่ย์ยังได้เตือน ("ข่มขู่" มากกว่ามั๊ง?) คณะกรรมการว่า การทดลองขีปนาวุธครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือได้นำกรุงเปียงยางและกรุงวอชิงตัน "เข้าใกล้สงคราม" [นึกว่าจะฟ้อง UNSC ว่า ขีปนาวุธของคิมน้อยทำให้หล่อนเยี่ยวเล็ดซะอีก - ผู้แปล]

    "ถ้าเกิดสงครามขึ้นมา เชื่อเถอะว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือจะถูกทำลายไม่เหลือซากแน่" (If war comes, make no mistake, the North Korean regime will be utterly destroyed.) นางเฮลี่ย์จอมขู่ขู่ชาวบ้านกล่าวในที่ประชุม UNSC

    ทูตสหรัฐกล่าวต่ออีกว่า "ไอ้เผด็จเกรียนเกาหลีเหนือได้ทำตัวเลือกเมื่อวานนี้ึ่งจะนำโลกนี้เข้าใกล้สงครามมากขึ้น ไม่ใช่ออกห่างจากสงคราม"

    [แหม… แล้วที่รัฐบาลของคุณเธอส่งกองทัพเข้าไปในซีเรีย อิรัค ลิเบีย เยเมน อัฟกานิสถาน ทุกวันนี้นั่นคืออะไรครับคุณเฮลี่ย์ มันคือการเล่น "จ้ำจี้มะเขือเปราะ" กันหรือไง?

    ทุกครั้งที่เกาหลีเหนือทำการทดลองขีปนาวุธ นางเฮลี่ย์และพวกนักการเมืองของสหรัฐ รวมทั้งสื่อกระแสหลักก็จะออกมาเล่นบทดราม่าด่าเกาหลีเหนือแบบนี้อยู่เสมอ แต่จากสถิติย้อนหลังเมื่อเร็วๆนี้พบว่ากองทัพสหรัฐได้ทำการทดลองขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) "Minuteman III" ของตนเองดังต่อไปนี้ (อ้างวันที่จากการรายงานข่าวของสื่อ)…

    - 2 ส.ค. 60 กองทัพอากาศของสหรัฐได้ทำการทดลองปล่อยขีปนาวุธ Minuteman III ในเวลา 2:10 am. ตามเวลาท้องถิ่น จากฐานทัพ North Vandenberg กองทัพอากาศสหรัฐ ในลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย RT รายงาน

    - 3 พ.ค. 60 ทอ. สหรัฐปล่อยขีปนาวุธ Minuteman III ครั้งที่สอง จากฐานปล่อยที่กองทัพอากาศสหรัฐในแคลิฟอร์เนีย ห่างกันเพียงแค่ 7 วันหลังจากการปล่อยครั้งแรก ขีปนาวุธเดินทางเป็นระยะทาง 6,759 กม.(4,200 ไมล์) ไปตกในเขตทดลองใกล้เกาะ Kwajalein Atoll ในหมู่เกาะ Marshall ในมหาสมุทรแปซิฟิก RT รายงาน

    - 26 เม.ย. 60 ทอ. สหรัฐปล่อยขีปนาวุธข้ามทวีป Minuteman III จากฐานปล่อยที่แคลิฟอร์เนีย ไปยังหมู่เกาะ Marshall ที่เดิม อ้างเพื่อรับประกันประสิทธิภาพ ความพร้อม และความแม่นยำ RT รายงาน

    - 22 ก.พ. 59 ทอ.สหรัฐปล่อยขีปนาวุธ Minuteman III จากฐานปล่อยที่แคลิฟอร์เนียไปยังหมู่เกาะ Marshall

    - 23 มี.ค. 58 ทอ.สหรัฐปล่อยขีปนาวุธ Minuteman III จากฐานปล่อยที่แคลิฟอร์เนียไปยังหมู่เกาะ Marshall

    เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนปีนี้ สำนักงบประมาณแห่งสภาคองเกรสสหรัฐได้เปิดเผยข้อมูลว่า กองทัพนิวเคลียร์ของสหรัฐได้ตั้งงบประมาณสำหรับการอัพเกรดอาวุธนิวเคลียร์ของตนเองระหว่างปี 2017-2046 เอาไว้ที่ $1.2 ล้านล้าน (ประมาณ 40,000,000,000,000 บาท)

    ในขณะที่ประชาชนชาวอเมริกันอีกหลายแสนคนยังคงเป็นผู้ไร้ที่พักอาศัยคุ้ยหาอาหารกินจากถังขยะจนบางรัฐถึงกับต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินมาแล้ว นางนิกกี้จะอธิบายเหตุการณ์เหล่านี้ว่าอย่างไร? กล้าพูดไหมว่า "สหรัฐกำลังก้าวเข้าใกล้สงคราม รัฐบาลสหรัฐกำลังพาตนเองมุ่งไปสู่หนทางที่แห่งการพังทะลาย"? กล้าพูดไหมว่า "ถ้าเกิดสงครามขึ้นมา เชื่อเถอะว่ารัฐบาลสหรัฐจะถูกทำลายไม่เหลือซากแน่"? - ผู้แปล]

    คราวนี้มาฟังเสียงตอบรับจากปลายสายกันบ้างนะครับ วันเดียวกันนี้ RT รายงานว่า นายเซอร์เก ลาฟรอฟ (Sergey Lavrov) รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของรัสเซียได้แสดงความคิดเห็นต่อกรณีทูตสหรัฐ "แหลกลางเวทียูเอ็น" ว่า สหรัฐจงใจที่จะยั่วยุให้เกาหลีเหนือต้องลงมือเอง หลังจากการทดลองขีปนาวุธข้ามทวีปครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือ กรุงมอสโคสงสัยว่าสหรัฐต้องการที่จะใช้เป็นข้ออ้างในการโจมตีเกาหลีเหนือมากกว่า

    "การกระทำครั้งล่าสุดของสหรัฐนั่นแหละที่ดูเหมือนว่ามุ่งตรงไปที่การยั่วยุกรุงเปียงยางให้ต้องลงมือแบบห่ามๆ (/หุนหัน) อย่างนี้" รมว. ต่างประเทศรัสเซียกล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันพฤหัสบดีนี้ กระทรวงต่างประเทศ (ของรัสเซีย) ได้เรียกการทดลองขีปนาวุธครั้งนี้ว่า "เป็นการผจญภัยแบบหนึ่ง" (an adventure) และกล่าวอีกว่า เห็นได้ชัดว่ากรุงวอชิงตันได้พยายามที่จะกระตุ้นคิม จอง-อึน ผู้นำของเกาหลีเหนือให้ไปสู่จุดนั้นเอง

    "พวกอเมริกันควรจะเริ่มด้วยการอธิบายเจตนาของตนเองต่อพวกเราทุกคน ถ้าพวกเขากำลังพากันมองหาข้อแก้ตัวเพื่อทำลายเกาหลีเหนือ ตามที่ทูตของสหรัฐประจำยูเอ็นได้พูดในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคง ถ้าอย่างนั้นก็ให้พวกเขาพูดให้ชัดเจนแจ่มแจ้งออกมาเลย และก็ให้ผู้นำของสหรัฐยืนยันด้วยนะครับ จากนั้น พวกเราก็จะกระทำการตัดสินใจว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร" นายลาฟรอฟกล่าว

    [Yesssss! ต้องอย่างนี้สิครับลุงลาฟที่น่ารัก ตบหล่อนให้คว่ำกลางเวทียูเอ็นเลยครับ ตบด้วยคำพูดนะครับท่าน เราไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง เราไม่บ้าสงครามเหมือนกับสหรัฐ คิมน้อยอยากจะทดลองยิงขีปนาวุธก็ยิงไปสิ ประเทศอื่นๆที่พวกเขามีต่างก็พากันทดลองด้วยกันทั้งนั้น แม้กระทั่งเกาหลีใต้ก็ยิงด้วย บ่อยกว่าเกาหลีเหนือซะอีก ทั้งทางบก ทางทะเล และอาอากศ และที่สำคัญสถานที่ทดลองมิสไซล์ของกองทัพเกาหลีใต้ สหรัฐ และญี่ปุ่น ในเกาหลีใต้ อยู่ห่างจากชายแดนเกาหลีเหนือไม่กี่สิบกิโลเมตรด้วย พอเกาหลีเหนือบอกให้หยุดทำอย่างนั้น พวกคุณก็ไม่หยุด แล้วจะมาโวยวายทำไม? - ผู้แปล]

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    30/11/2560
    ----------
    https://www.rt.com/news/411394-us-provoked-nkorea-lavrov/
    https://www.rt.com/usa/411382-haley-north-korea-utterly-destroyed/
    https://www.rt.com/news/398286-us-launch-minuteman-icbm/
    https://www.rt.com/in-motion/387109-us-missile-test-california/
    https://www.rt.com/usa/386963-second-minuteman-icbm-launch/
    https://www.rt.com/usa/386175-minuteman-iii-test-launch/
    https://www.rt.com/usa/333285-air-force-minuteman-missile/
    https://www.rt.com/usa/243353-usaf-nuclear-icbm-test/
    https://www.rt.com/usa/408607-nuclear-forces-modernization-trillions/
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,533
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    กองทัพสหรัฐและพันธมิตรยอมรับโจมตีทางอากาศในอิรัคและซีเรียสังหารพลเรือน 800+ ณ สิ้นเดือน ตุลาคม 2017 (CNN & BBC เงียบกริ๊บ!)

    IMG_7294.JPG IMG_7295.JPG IMG_7296.JPG IMG_7297.JPG

    ----------

    วันที่ 30 พ.ย.60 RT พาดหัวข่าวว่า "พันธมิตรนำโดยสหรัฐยอมรับว่าได้สังหารพลเรือนถึง 800 กว่าคนจากการโจมตีทางอากาศในอิรัคและซีเรีย" (US-led coalition acknowledges killing 800+ civilians in Iraq & Syria airstrikes)

    [ผลงานพระเอกหนังฮอลลีวูดเขาหละ แล้วใครเป็น "ผู้ร้าย"? "เกาหลีเหนือ" นะสิ เพราะว่าขีปนาวุธ Hwasong-15 ของคิมน้อยไม่ได้ทำให้ใครเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บแม้แต่คนเดียว สู้อเมริกันไม่ได้ ตายเพียบ! - ผู้แปล]

    รายงานของกองกำลังพันธมิตรนำโดยสหรัฐระบุว่า มีพลเรือนอย่างน้อย 800 กว่าคนถูกฆ่าตายโดยการโจมตีทางอากาศของกำลังพันธมิตรนำโดยสหรัฐในประเทศอิรัคและประเทศซีเรียตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา (ยอดมันน้อยเกินไปหรือเปล่า?) พันธมิตรขอแสดงความรับผิดชอบ (ยังไง?) สำหรับ "การได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตโดยไม่ได้ตั้งใจ (unintentional) ต่อพลเรือนเหล่านั้น" (พูดง่ายจัง?)

    "จนถึงวันนี้ จากข้อมูลที่มีอยู่ [กองกำลังพันธมิตร] ได้ประเมินว่ามีพลเรือนจำนวน 801 คนถูกสังหารโดยไม่ได้ตั้งใจโดยการโจมตีทางอากาศของกองกำลังพันธมิตร ตั้งแต่เริ่มยุทธการแก้ไขปัญหาแบบถาวร (Operation Inherent Resolve) [ในปี 2014 เป็นต้นมา]" Combined Joint Task Force Operation Inherent Resolve (CJTF–OIR) กล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันพฤหัสบดีนี้

    พันธมิตรกล่าวว่า "แม้ว่าจะประสบความสำเร็จอย่างมีนัยสำคัญต่อบวนการก่อการร้ายรัฐอิสลาม (Islamic State (IS, formerly ISIS)) แต่การสู้รบนี้ก็ทำให้ประชากรจำนวนมากต้องประสบความยากลำบากภายใต้ (การปกครองของ) พวกผู้ก่อการร้ายหัวรุนแรงสุดโต่ง"

    "เราจะเดินหน้ายอมรับความรับผิดชอบด้วยตัวเองสำหรับการกระทำเหล่านั้นที่อาจจะทำให้การได้รับบาดเจ็บหรือการตายของพลเรือนโดยไม่ได้ตั้งใจ"

    จากข้อมูลที่ระบุในรายงานฉบับนี้เปิดเผยว่า กองทัพนำโดยสหรัฐในอิรัคและซีเรียได้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเป็นจำนวนทั้งสิ้น "28,198 ครั้ง" และปฏิบัติการย่อยอีก 56,976 ครั้งระหว่างเดือนสิงหาคม 2014 ถึงเดือนตุลาคม 2017… ระหว่างช่วงเวลานี้ ตัวเลขทั้งหมดในรายงานซึ่งเป็นการเสียชีวิตของพลเรือน คาดว่าอยู่ที่ 1,790 (แต่พันธมิตรยอมรับแค่ครึ่งเดียวของตัวเลขนี้)

    ในเดือนมิถุนายนปีนี้ องค์กรนิรโทษกรรมสากล รายงานว่า ยอดการเสียชีวิตของพลเรือนที่ถูกสังหารโดยการโจมตีทางอากาศโดยสหรัฐทั้งในอิรัคและซีเรียอย่างน้อยอยู่ที่ 5,805 คน มีประชาชนพลัดที่อยู่อาศัยเฉพาะในอิรัคถึง 3 ล้านคน

    [ส่วน Human Rights Watch ก็ออกมาบอกว่า เรากำลังจับตาดูการโจมตีทางอากาศของพันธมิตรนำโดยสหรัฐที่สังหารพลเรือนในซีเรียและอิรัคอยู่ค่ะ (สะใจจริงๆค่ะ?) แต่ทั้งสององค์นี้กลับไม่กล้าประณามสหรัฐและบรรดาลูกกระเป๋งแม้แต่น้อย ขืนทำแบบนั้นก็อาจจะถูกหักเงินเดือนหรือตกงานด้วยนะครับ มีความเสี่ยงสูง จะประณามลูกพี่ใหญ่ได้อย่างไร โน่น! ต้องประณาม รัสเซีย อัสซาด และเกาหลีเหนือโน่น

    เกี่ยวกับกรณีนี้ ยูเอ็นว่าไงบ้างครับ? ตอนนี้ยูเอ็นไม่ว่างครับ กำลัง "ดูเอ็น" กันอยู่มั๊ง? หรือไม่กำลังวุ่นอยู่กับการหาทางเล่นงานคิมน้อยจากที่เกาหลีเหนือประสบความสำเร็จในการทดลองขีปนาวุธ Hwasong-15 เมื่อเข้ามืดวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้ - ผู้แปล]

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    01/12/2560
    ----------
    https://www.rt.com/news/411426-us-coalition-civilians-killed/
    http://www.inherentresolve.mil/News...86/cjtf-oir-monthly-civilian-casualty-report/
    https://www.amnesty.org/en/latest/c...cost-civilian-catastrophe-in-west-mosul-iraq/
    https://www.theguardian.com/world/2017/nov/30/us-coalition-airstrikes-iraqi-syrian-civilians
    https://www.dailysabah.com/mideast/...-killed-in-us-coalition-strikes-in-iraq-syria
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,533
    ค่าพลัง:
    +97,150
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,533
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Visudhi Punya
    ภูเขาไฟที่เกาะบาหลี
    กำลังพ่นควันเขม่าลาว่าออกมาอย่างต่อเนื่อง
    อาการน่าเป็นห่วง

     

แชร์หน้านี้

Loading...