ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ขอ 1 แชร์ช่วยลุงตามหาญาติหน่อย
    ลุงชื่อ สมศักดิ์ เขื่อนคำ ตอนนี้ลุงกำลังป่วยหนักไม่สามารถที่จะช่วยตัวเองได้เลย ถ้าคุณไม่แล้งน้ำใจช่วยกันแชร์ให้ญาติได้ทราบข่าวลุงบ้างหน่อยตอนนี้ลุงปวยหนัก
    พิกัด เชียงใหม่ บ้านเลขที่ 222 หมู่ 5 ตำบล ป่าไผ่อ.สันทราย
    #ช่วยกันแชร์หน่อยน่ะค่ะ
    Cr:Bee Bee

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์

    วาเนซซา บีลีย์แฉ: 'รัฐบาลอังกฤษให้เงินช่วยเหลือ ๓ องค์กรป่วนซีเรีย':

    IMG_7313.JPG

    วาเนซซา บีลีย์ นักข่าวน้ำดีของอังกฤษออกมาแฉเพิ่มเติมว่ารัฐบาลอังกฤษให้การสนับสนุน ๓ องค์กรเอกชน (NGOs) เพื่อป่วนซีเรียคือ กลุ่มหมวกกันน็อคขาว (The White Helmets), หน่วยตำรวจอิสระซีเรีย (the Free Syrian Police) และสภาท้องที่ในบริเวณที่กลุ่มก่อการร้ายยึดครองในซีเรีย (the Local Councils)

    องค์กรเอกชน (NGOs) ทั้ง ๓ องค์กรนี้บริหารงานอย่างอิสระ โดยไม่ให้รัฐบาลซีเรีย เข้ามาก้าวก่าย เป็นการจัดตั้งองค์กรเอกชนเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่กลุ่มก่อการร้ายในการครอบครองดินแดนซีเรียโดยเฉพาะ

    เห็นหรือยังครับ? ทั้งอเมริกา ทั้งอังกฤษ ทั้งฝรั่งเศสซึ่งในอดีตคือประเทศที่ล่าอาณานิคม ปล้นทรัพยากรจากต่างประเทศอยู่เนืองๆ ทุกวันนี้ก็ยังไม่ทิ้งสันดานเดิม เพียงแต่สามชาตินี้ อาจจะสุมหัวกันคิดวางแผนใช้วิธีการที่แตกต่างไปจากเดิมบ้าง อ่านข่าวต่างประเทศแล้ว ต้องหยิบส่วนที่จะเป็นประโยชน์มาปรับใช้กับสังคมไทยบ้างถึงจะดี

    ดังนั้น บริเวณที่ใดก็ตามซึ่งเป็นเขตสู้รบหรือขัดแย้งสูง รัฐบาลไทยควรจะออกกฎหมาย ห้าม NGOs ต่างชาติหรือกลุ่มสิทธิมนุษยชนจอมปลอมเข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่ แม้แต่ NGOs ของสหประชาชาติก็ไม่แน่ว่าจะน่าไว้ใจได้เสมอไป

    ๒ ธันวาคม ๒๕๖๐
    หมายเหตุ: ๑.ถ้าจะแชร์ ไม่ต้องขออนุญาตแต่โปรดอ้างที่มาให้ชัดเจน ๒.หากจะวิจารณ์โปรดใช้คำสุภาพ สองข้อนี้สำคัญเพื่อป้องกันมิให้ผิดพรบ.คอมพิวเตอร์ โปรดสะกดใช้คำให้ถูกต้องตาม *หลักภาษาไทย* ด้วย ข้อความวิจารณ์ที่ *หยาบ* และ *สะกดผิด* หรือ *ไร้สาระ* จะลบออกทุกครั้งที่เห็นครับเห็น ๓.ถ้าอยากติดตามข่าวต่างประเทศมากกว่าเพจนี้ ติดตามได้ที่ https://vk.com/bodhinanda แต่ว่าต้องระบุชื่อ นามสกุลจริง รูปจริงในโปรไฟล์ของสมาชิกด้วย
    http://21stcenturywire.com/2017/12/...fco-financing-terrorism-syria-taxpayer-funds/
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Widhichai Maitreesophone

    IMG_7316.JPG

    Muheisni นักเทศชาวซาอุดิอาระเบีย และเป็นผู้พิพากษาศาลอิสลาม ในกลุ่มก่อการร้าย Hay'at Tahrir Al-Sham ได้ออกจดหมายเรียกร้องให้กลุ่มก่อการร้ายต่างๆ ของมุสลิมสุหนี่ มาร่วมต่อสู้กับ Hay'at Tahrir Al-Sham ให้เหมือนกับเมื่อปี 2015 ที่กลุ่ม Jaish Al-Fateh ได้ถือกำเนิดขึ้นจากการรวมตัวกันของมุสลิมสุหนี่ 7 กลุ่ม ทำให้สามารถยึดครองเมือง Idlib ได้มาจนถึงวันนี้

    แต่วันนี้รัฐบาลซีเรียได้ส่งกำลังทหารจำนวนมาก ขึ้นมาด้วยความแข็งแกร่ง และฮึกเหิมในชัยชนะ ซึ่งหากพวกเรายังแยกกันต่อสู้ ก็จะไม่เป็นผลดี แก่พวกเราเองทั้งหมด

    นอกจากนั้นบรรดานักรบจีฮัดดิสของเราบางกลุ่มยังวางอาวุธ ไม่ยอมที่จะสู้รบกับทหารรัฐบาลซีเรีย บางกลุ่มก็กลับบ้านไปทำมาค้าขาย แถมบางส่วนก็หนีไปอยู่ในตุรกี ไม่มีใจที่จะต่อสู้อีกต่อไปแล้ว

    Muheisni ยังรำพึงรำพันว่า ตอนนี้ผู้สนับสนุนจากต่างประเทศบางรายก็ยุติการสนับสนุน บางรายก็ลดการสนับสนุนลง ทำให้ HTS อยู่ในฐานะที่ยากลำบาก ในขณะที่รัฐบาลซีเรีย กำลังฮึกเหิมสุดขีด ขอเรียกร้องให้นักรบจีฮัดดิสของมุสลิมสุหนี่ทุกกลุ่มมาร่วมกันสู้ให้เหมือนกับที่ Jaish Al-Fateh เคยทำสำเร็จมาแล้ว

    https://mobile.almasdarnews.com/art...able-jaish-al-fateh-project-muheisni-answers/
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ถึงความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลง แต่ได้ลงทุนไปกับถ่านหินไปแล้วจำนวนมหาศาลจะไม่นำมาใช้ก็คงไม่ได้ เพราะจะทำให้เงินที่ลงทุนไปสูญเปล่า

    รื้อแผนพีดีพีใหม่ ชี้ความต้องการใช้ไฟฟ้าลด

    750x422_783156_1511930699.jpg
    29 พฤศจิกายน 2560

    “พลังงาน” รื้อแผนพีดีพีใหม่ ชี้ความต้องการใช้ไฟฟ้าปลายแผนปี 2579 ลดลงกว่า 2 หมื่นล้านหน่วย หลังประชาชนหันติดรูฟท็อปผลิตไฟใช้เอง

    เมื่อวันที่ 29 พ.ย.60 นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) เปิดเผยในการสัมมนา “Load Forecast:ทิศทางการใช้ไฟฟ้าในอนาคต” จัดโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.)ร่วมกับ กรุงเทพธุรกิจว่า ปัจจุบันความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต เนื่องจากเทคโนโลยีและอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าได้พัฒนารูปบแบบใหม่ๆ ส่งผลให้พฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของประชาชน และสมมติฐานความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศเปลี่ยนแปลงไปจากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือ พีดีพี ฉบับปัจจุบัน(ปี2558-2579) ไทยจึงจำเป็นต้องทบทวนพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศใหม่ เพื่อจัดทำแผน พีดีพี ฉบับใหม่ ให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

    นายเทียนไชย จงพีร์เพียง ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวในหัวข้อ “การพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า และสมมุติฐานในการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าว่า การจัดทำพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าใหม่ พบว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพีล่าสุด ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช.ประเมินว่า จีดีพี เฉลี่ย 2560-2579 จะอยู่ที่ 3.78% ลดลงจากสมมุติฐานในแผนพีดีพีเดิมที่ คาดว่า จีพีดี จะเติบโต 4-5% ขณะเดียวกันยังมีกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าใช้เอง หรือ ไอพีเอส เพิ่มขึ้น ส่งผลให้พยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศ ในระบบของ 3 การไฟฟ้า ในช่วงปลายแผนปี 2579 จะ อยู่ที่ 372,440 ล้านหน่วย เทียบกับพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าตามแผนพีดีพี เดิม ลดลงประมาณ 20,000 ล้านหน่วย หรือเติบโต2.3 % ต่อปี ขณะที่พยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดหรือ พีค จะอยู่ที่ 54,771 เมกะวัตต์ ในปลายแผนปี 2579 ลดลงประมาณ 4,500 เมกะวัตต์ หรือเติบโต 2.2% ต่อปี แม้ว่าจะร่วมความต้องการใช้ไฟฟ้า จากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ คือ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี , การใช้ยายนต์ไฟฟ้า หรือ อีวี 1.2 ล้านคันในปี 2579 และโครงการรถไฟความเร็วสูง ที่คาดว่า จะมีความต้องการใช้ไฟฟ้ารวมอยู่ที่ 9.8 พันล้านหน่วย หรือคิดเป็นพีคไฟฟ้าอยู่ที่ 3,000 เมกะวัตต์แล้ว แต่ไม่ได้ส่งผลให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศสูงขึ้นมากนัก เพราะมีกลุ่มคนผลิตไฟฟ้าใช้เองมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป

    อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงแผนพีดีพีฉบับใหม่ครั้งนี้ ได้นำประเด็นการสร้างโรงงานไฟฟ้าในภาคใต้ที่ล่าช้า ทั้งโรงไฟฟ้ากระบี่ และโรงไฟฟเทพา จังหวัดสงขลา มาพิจารณาด้วยเพื่อวางแผนการสร้างโรงไฟฟ้าในอนาคตให้สอดรับกับความต้องการใช้ไฟฟ้าตามแผนพีดีพีใหม่ต่อไป


    http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/783156
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Wudhichai Maitreesophone

    IMG_20171202_234943_100.jpg

    อีนี้อาบังซาอุดี้ ชอบมากๆ นะนายจ๋า......
    แตกคอกันซะแล้ว ระหว่างฝ่ายของ Ali Abdallah Saleh อดีตประธานาธิบดีเยเมน กับเหล่านักรบนุ่งโสร่ง Houthi ฟัดกันเลือดนองกรุงซานา เมืองหลวงของเยเมนเลยทีเดียว

    ความขัดแย้งน่าจะมาจาก ซาอุดิอาระเบีย โดยมกุฎราชกุมาร ได้ทรงลั่นวาจาว่าจะเลิกลัทธิวาฮาบี ซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถปฏิบัติได้ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ในโลกของอิสลาม อดีตประธานาธิบดี Ali Abdallah Saleh ก็เลยวางแผนจะยุติการเผชิญหน้ากับซาอุดิอาระเบีย จึงนัดหมายพูดคุยกับทางซาอุดิอาระเบีย จึงสร้างความไม่พอใจให้แก่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมอย่าง Houthi ที่ซื่อสัตย์ต่อผู้มีพระคุณ คือถ้าอิหร่านไม่ช่วย มีหรือที่ Houthi และ Ali Abdallah Saleh จะสามารถขับไล่รัฐบาลนิยมซาอุดิอาระเบีย ออกจากอำนาจได้อย่างไร

    เหตุความรุนแรงเริ่มขึ้นเมื่อ 3 วันที่ผ่านมา โดยนักรบ Houthi ได้บุกเข้ายึดสุเหร่า Saleh mosque กลางกรุง Sanaa โดยสุเหร่าแห่งนี้ เป็นที่ตั้งกองบัญชาการของฝ่าย Ali Abdallah Saleh เมื่อถูกฝ่าย Houthi ใช้กำลังเข้ายึด ทางฝ่าย Ali Abdallah Saleh ก็เรียกระดมกำลังเข้ามาต่อสู้กับ Houthi และ Houthi ก็ต้องถอนกำลังออกมา ในไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ

    ทางซาอุดิอาระเบีย ก็ตอบรับฝ่าย Ali Abdallah Saleh และแสดงการขอบคุณที่จะช่วยกันนำพาเยเมนให้พ้นจากอิทธิพลของอิหร่าน

    คงไม่จบง่ายๆ ยังต้องฟาดกันอีกหลายตั้งแน่ๆ เพราะซาอุดิอาระเบีย กับอิหร่าน สองประเทศนี้ไม่มีใครยอมให้ใครใหญ่กว่าตนเองแน่นอน.....
    https://southfront.org/clashes-betw...erupt-in-yemeni-capital/#sthash.g80xPLz2.gbpl
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    ครื้นเครงกันใหญ่ กองทัพและประชาชนชาวเกาหลีเหนือจัดพิธีเฉลิมฉลองความสำเร็จในการพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีป Hwasong-15 ในกรุงเปียงยาง สหรัฐส่งเครื่องบินรบล่องหน F-22 หกลำไปแอบดูห่างแม้ไม่ได้รับการ์ดเชิญก็ตาม

    IMG_7331.JPG

    --------------

    วันที่ 1 ธ.ค. 60 กรุงเปียงยางจัดพิธีเฉลิมฉลองความสำเร็จในการพัฒนาและทดลองขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) รุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งมีชื่อว่า "Hwasong-15" ทั้งทหารจากหน่วยต่างๆและประชาชนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งในรัฐบาลเกาหลีเหนือและบรรดาบุคคลสำคัญในพรรคแรงงานของเกาหลีเหนือต่างก็เข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ที่จตุรัส Kim Il-sung ใจกลางกรุงเปียงยาง หนังสือพิมพ์ Rodong Sinmun และสื่ออื่นๆของเกาหลีเหนือรายงาน 2 ธันวาคม 2560

    ในพิธีการกล่าวสุนทรพจน์ชื่นชมความสำเร็จของประเทศในครั้งนี้ มีการจุดพลุไฟแสงสีสวยงามในพิธีด้วย และยังได้ร่วมกันแสดงความยินดีกับบรรดานักวิทยาศาสตร์ ฝ่ายเทคนิก คนงาน และเจ้าหน้าที่ต่างๆที่เกี่ยวข้องในศาสตร์การป้องกันประเทศ ซึ่งทำให้ประเทศเกาหลีเหนือก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจด้านนิวเคลียร์อีกหนึ่งประเทศ (แม้วา่จะยังไม่มีการยอมรับอย่างเป็นทางการจากสหรัฐและนานาชาติก็ตาม)

    วันเดียวกันนี้ Yonhap News ของเกาหลีใต้ก็รายงานว่า เครื่องบินรบสเตลท์ F-22 Raptor ของสหรัฐจำนวน 6 ลำได้เดินทางไปถึงเกาหลีใต้แล้วเมื่อวันเสาร์นี้ เพื่อเข้าร่วมการฝึกผสมระหว่างกรุงโซลกับกรุงวอชิงตันในสัปดาห์หน้า ให้การแสดงแสนยานุภาพทางทหารต่อเกาหลีเหนือ (ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "ฝึกกวนตีนเกาหลีเหนือ" จากนั้นก็บอกว่า "เกาหลีเหนือยั่วยุ")

    สื่อเกาหลีใต้รายงานอีกว่า สหรัฐจะส่งฝูงบินรบสเตลท์ F-35A, F-35B และเครื่องบินรบ F-16C และอากาศยานอื่นๆรวมทั้งเครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์ B-1B เข้าร่วมการฝึกใหญ่ในครั้งนี้ด้วย โดยจะมีเครื่องบินรบ F-15K, KF-16, F-5 และอากาศยานอื่นๆ ของกองทัพอากาศเกาหลีใต้เข้าร่วมฝึกด้วย จะมีอากาศยานของทั้งเกาหลีใต้และสหรัฐเข้าร่วมการฝึกในครั้งนี้ทั้งหมดประมาณ 230 ลำ

    การซ้อมรบยุทธเวหาในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เกาหลีเหนือได้ทำการทดลองขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ที่มีรัศมีทำการไม่ต่ำกว่า 13,000 กิโลเมตร พร้อมกับประกาศอย่างองอาจว่า "ได้ประสบความสำเร็จในการสร้างกองทัพนิวเคลียร์ของประเทศแล้ว"

    สื่อเกาหลีใต้รายงานปิดท้ายว่า เกาหลีเหนือประณามการฝึกทางทหารของ "บรรดาพันธมิตร" (ขี้ข้าสหรัฐสิไม่ว่า) ว่าเป็นการซ้อมทำสงครามครั้งใหญ่สำหรับรุกราน (เกาหลีเหนือ) และใช้เป็นข้ออ้างสำหรับการยั่วยุ ส่วนกรุงโซลและกรุงวอชิงตันก็กล่าวว่าการฝึกเหล่านี้เป็นการป้องปรามโดยปรกติ (แต่พอเกาหลีเหนือฝึกหรือทดลองอาวุธของเกาหลีเหนือบ้าง พวกนี้ก็จะโวยวายว่าเกาหลีเหนือยั่วยุเช่นกัน)

    IMG_7318.JPG IMG_7319.JPG IMG_7320.JPG IMG_7322.JPG IMG_7323.JPG IMG_7324.JPG IMG_7325.JPG IMG_7326.JPG IMG_7327.JPG IMG_7328.JPG IMG_7329.JPG IMG_7330.JPG

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    02/12/2560
    ----------
    https://sputniknews.com/asia/201712021059631554-korea-missile-launch-celebrations/
    https://kcnawatch.co/newstream/1512...ng-held-to-celebrate-test-fire-of-hwasong-15/
    https://kcnawatch.co/periodical/rodong-sinmun-647/
    http://uriminzokkiri.com/index.php?ptype=photo&pagenum=&no=5481
    http://uriminzokkiri.com/index.php?ptype=photo&pagenum=&no=5482
    http://english.yonhapnews.co.kr/northkorea/2017/12/02/0401000000AEN20171202004000315.html
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กลไกป้องกันจิตใจ ของคน 9 แบบในเอ็นเนียแกรม (Defense Mechanism)
    March 28, 2017



    xDFM-WideScreen.png.pagespeed.ic.8kpqVT9VJB.png


    ซิกมันด์ ฟรอยด์ ได้อธิบายว่า คนเราทุกคนไม่อาจหลีกหนีความกังวลและความเครียดต่างๆ ที่เกิดจากกระบวนการเป็นไปทางกาย ความคับข้องใจ (Frustrations) ความขัดแย้ง (Conflict) สิ่งสะเทือนขวัญ (Treats) จึงพยายามที่จะหาวิธีผ่อนคลายจากสภาวะนี้ ด้วยการใช้ “กลไกป้องกันจิตใจ” หลากหลายรูปแบบ ซึ่งเป็นกลไกในระดับจิตใต้สำนึก เพื่อเป็นการปฏิเสธ หรือปิดบังอำพรางความเป็นจริงที่เราไม่อาจยอมรับมันได้โดยง่าย

    สำหรับเอ็นเนียแกรมเอง เกอดจีฟ ก็ได้อธิบายถึงภาวะที่คนซ่อนลักษณะที่ไม่ดีของตนไว้ในจิตใจ ซึ่งเขาเรียกมันว่า “กันชน” (Psychological Buffer) เช่นกัน และในเวลาต่อมา ก็พบว่าสไตล์ของคนทั้ง 9 เบอร์ ก็มีความสัมพันธ์ การใช้กลไกป้องกันตัวเองดังนี้



    คนเบอร์ 1 – การแสดงออกในทางตรงกันข้าม (Reaction Formation)

    เป็นกลไกป้องกันตัวที่ที่เกิดขึ้นเพื่อพยายามลดหรือกำจัดความกังวลที่เกิดจากความคิด ความรู้สึก หรือพฤติกรรมส่วนตัวที่ตนเห็นว่ารับไม่ได้ โดยแสดงออกในทางตรงกันข้ามกับสิ่งนั้น คนเบอร์หนึ่งใช้ธรรมเนียมปฏิบัติ ความคาดหวังตามบทบาทและศีลธรรมเป็นสิ่งกำหนดว่าอะไรยอมรับได้ อะไรยอมรับไม่ได้ กลไกแบบนี้จึงช่วยให้เขารับมือกับสิ่งที่เขาไม่อาจยอมรับได่ว่าเกิดขึ้นในตัวเอง

    anonymous-657195_1920-300x200.jpg

    ตัวอย่าง

    เบอร์หนึ่งผู้หนึ่งโกรธหัวหน้าอย่างมากที่ไม่อธิบายคำสั่งให้ชัดเจน และไม่ให้ฟีดแบคที่เป็นรูปธรรม แต่เขาก็พูดคุยกับหัวหน้าด้วยความสุภาพอ่อนโยนและแสดงความเกรงใจ ทั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น หรือคุยกันแบบส่วนตัว และมักแสดงออกว่าชื่นชมผู้จัดการอยู่บ่อยๆ ถ้ามองจากสายตาภายนอก ทั้งสองคนนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หรืออาจกระทั่งเป็นเพื่อนสนิทกันก็ว่าได้

    คนเบอร์ 2 – การเก็บกด (Repression)

    เป็นกลไกที่ใช้เพื่อ ปิดบัง เรื่องต่างๆ ที่ตนเองยากที่จะยอมรับได้ เช่น ความรู้สึก ความปรารถนา ความหวัง ความเกลียดชัง ความกลัวและความต้องการ แต่สิ่งที่ถูกเก็บกดไว้ ไม่ได้หายไป แต่กลับส่งผลกับตัวเขาอยู่เสมอ เช่น ความกังวล ต้องการกำลังใจ แต่ก็ไม่รู้ตัว ดังนั้น แทนที่จะค้นหาว่า ตัวเองกังวลเรื่องอะไร หรือพยายามมองหากำลังใจ เขากลับหันไปให้กำลังในคนอื่นที่กำลังโศกเศร้าแทน

    strong-box-1429334_1920-300x216.jpg

    ตัวอย่าง

    คนเบอร์สองผู้หนึ่งทุ่มเททำงานเกินตัวให้กับทีม กลับบ้านดึกทุกคืนมาเป็นเดือนแล้ว ในใจกังวลว่า โปรเจ็คจะไปรอดหรือไม่ เพื่อนร่วมทีมทำงานหนักไปหรือเปล่า แม้จะเห็นได้ชัดว่า เขาเองก็เหนื่อยล้า และน่าจะหงุดหงิดและโมโหที่ตัวเองต้องทำงานหนักมากและเป็นตัวหลักให้ทุกคนร่วมมือกันทำงาน เพื่อไม่ให้โปรเจ็คล้มเหลว แต่เขาก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรเลย แต่กลับเป็นกังวลว่าสมาชิกในทีมที่ทำงานหนักเกินไป

    คนเบอร์ 3 – การยึดถือเป็นตัวตน (Identification)

    การยืดถือ (สิ่งหนึ่งสิ่งใด) เป็นตัวตน คือกลไกปกป้องตัวตัวแบบหนึ่งที่นำเอาลักษณะนิสัยและคุณสมบัติของคนอื่นมาเป็นบุคลิกภาพ หรือความรู้สึกถึงความมีตัวตนของตัวเอง การยืดถือเป็นตัวตนเป็นวิธีเพิ่มพูนความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง (self-esteem) ด้วยการเป็นพวกเดียวหรือจินตนาการว่าเป็นพวกเดียวกันกับบุคคลที่ตนชื่นชม แล้วเลียนแบบลักษณะนิสัยคนนั้น ปกติแล้ว คนเบอร์สามจะไม่รู้ตัวว่า กำลังเลียนแบบพฤติกรรมของคนอื่น หรือทำตามไอเดียของตนที่ว่าคนอื่นเป็นอย่างไร ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะแยกตัวตนที่แท้จริงออกมาจากภาพลักษณ์ที่เขากำลังเลียนแบบนั้น บุคคลที่คนเบอร์นี้ยึดถือเป็นตัวตนของตัวเองมากที่สุดคือ คนในบริบททางสังคมที่เขารู้สึกชื่นชมอย่างมาก นอกจากนี้ ภาพลักษณ์ที่เขามักยึดถือเป็นตัวตนนั้นก็มักปรับเปลี่ยนไปตามบริบทที่เขาอยู่

    clapper-2140602_1920-300x300.jpg

    ตัวอย่าง

    คนเบอร์สามผู้หนึ่งกังวลที่ต้องนำเสนองานในการประชุมสำคัญ แทนที่จะเปิดเผยความรู้สึกนี้ให้ใครรู้ เขากลับแสดงออกถึงความเชื่อมั่นในตนเอง จนไม่มีใครเห็นว่าเขากังวลเลย คนอื่นๆ อาจเชื่อโดยไม่สงสัยแม้แต่น้อยว่า เขามั่นอกมั่นใจ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่เป็นเช่นนั้นเลย ในสถานการณ์นี้ เขานึกภาพของคนที่นำเสนองานได้อย่างประสบความสำเร็จว่าเป็นอย่างไร หรือทำแบบไหน แล้วเขาก็แค่แสดงบทบาทตามนั้น

    คนเบอร์ 4 – การรับมาไว้ในตัว (Introjection)

    เป็นกลไกป้องกันตัวที่มีลักษณะขัดกับความรู้สึกของเรา คือ แทนที่จะปฏิเสธคำตำหนิหรือความรู้สึกทางลบซึ่งทำให้เราเสียใจหรือกังวล เรากลับนำสิ่งเหล่านั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกของตัวตนเต็มๆ ฟริตส์ เพิรลส์ (Fritz Perls) ผู้คิดค้น Gestalt therapy เปรียบเทียบกลไกนี้ว่า เหมือนกับกลืนกินเรื่องราวทุกอย่าง โดยไม่แยกแยะว่า สิ่งใดจริง สิ่งใดไม่จริง คนเบอร์สี่ซึมซับเรื่องราวทางลบเข้าไว้ในตัว และปฏิเสธเรื่องดีๆ ของตัวเองที่ได้ยินมา ทั้งนี้เพื่อจะรับมือกับเรื่องที่จะทำให้เสียใจและลดความรุนแรงของเรื่องคุกคามจิตใจจากภายนอก เขาอยากจัดการกับบาดแผลที่ทำตัวเอง มากกว่าต้องคอยรับมือกับคำตำหนิติว่า หรือการถูกปฏิเสธจากผู้อื่น

    sponge-1976828_1920-300x191.jpg

    ตัวอย่าง

    คนเบอร์สี่ไปงานสังคมแห่งหนึ่งแล้วเจอคนที่เขารู้จักชอบพอกัน แต่กลับไม่ได้รับความสนใจ แทนที่เขาจะรู้สึกเฉยๆ หรือสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เขากลับคิดไปว่าคนนั้นไม่ชอบหน้าเขา แล้วก็กลับมานั่งทุกข์ใจอีกหลายวัน

    คนเบอร์ 5 – การแยกใจ (Isolation)

    การแยกใจเกิดขึ้นในตัวคนเบอร์ห้าเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกถูกครอบงำและไม่ให้รู้สึกไร้สาระในชีวิต คนเบอร์ห้าแยกใจโดยหนีเข้าไปอยู่กับความคิดของตัวเอง ตัดความรู้สึกต่างๆ ทิ้งไป และจัดแบ่งแยกส่วน ซึ่งหมายถึงการแยกชีวิตของตัวเองออกเป็นส่วนๆ ทั้งจากชีวิตโดยรวม หรือจากส่วนที่เกี่ยวข้องกัน ตัวอย่างเช่น แยกความคิดจากความรู้สึก หรือแยกความรู้สึกออกจากการกระทำ เช่นเดียวกับแยกชีวิตส่วนตัวกับงานออกจากกัน คนบุคลิกนี้ยังอาจแยกตัวออกจากผู้อื่นและแบ่งแยกกลุ่มคนที่เขารู้จักแบบที่เพื่อนแต่ละกลุ่มไม่เคยพบกันเลย ที่จริงแล้ว บางคนถึงกับทำตัวลึกลับ

    scissor-1794088_1920-300x179.jpg

    ตัวอย่าง

    มีเพื่อนคนหนึ่งมาหาคนเบอร์ห้า เพื่อพูดคุยถึงปัญหาสำคัญระหว่างกันที่กระทบต่อความรู้สึกอย่างมาก แต่ในการสนทนานั้น ต้องอิงกับเรื่องความรู้สึกด้วย คนเบอร์ห้าคนนั้นกลับพูดว่าเขา “คิด” เห็นอย่างไรต่อเรื่องนั้น ไม่ใช่แค่เพียง ไม่รู้ถึงความรู้สึกใดๆ ของตัวเอง เขายังไม่เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย พูดอีกอย่างคือ เธอไม่ใช่แค่แยกตัวเองออกจากคู่สนทนาอย่างเด็ดขาด แต่ที่สำคัญกว่าคือ เธอแยกใจเธอออกจากตัวเธอเองอย่างสั้นเชิงด้วย

    คนเบอร์ 6– โปรเจคชั่น (Projection)

    โปรเจคชั่น คือกลไกป้องกัน ซึ่งคนเราใช้ปฏิเสธ อารมณ์ ความคิด แรงจูงใจ ลักษณะนิสัย หรือพฤติกรรมของตัวเองซึ่งยากที่จะยอมรับ แล้วโยนออกไปให้ผู้อื่น คือ คิดว่าคนอื่นเป็นแบบนั้นแบบนี้ สิ่งๆ นั้นอาจ ดี ไม่ดี หรือกลางๆ ก็ได้ แค่เพราะรู้สึกลำบากใจที่จะยอมรับ หรือไม่กล้ามองว่าตัวเองเป็นแบบนั้น คนเบอร์หกใช้กลไกนี้โดยไม่รู้ตัว จึงอาจคิดไปว่า คนอื่นเป็นเช่นนั้นจริงๆ ถึงแม้ว่าลึกๆ เขาก็ไม่มั่นใจนัก กลไกนี้ จึงมีเพื่อให้เขารู้สึกมั่นใจขึ้นบ้าง จะได้คลายความกังวลที่เกิดจากความสับสน ความไม่แน่นอน หรือสถานการณ์ที่อาจเป็นอันตราย แต่สุดท้ายการโปรเจคชั่นนี้ (โดยเฉพาะสิ่งที่ไม่ดี) กลับส่งผลให้เขากังวลหนักยิ่งขึ้น และทำให้เขาก็อยู่ในโลกลวงตาที่ตัวเองสร้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว

    movie-projector-55122_640-300x206.png

    ตัวอย่าง

    คนเบอร์หกผู้หนึ่งรู้สึกหวั่นเกรงเพื่อนร่วมงาน โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เขาเชื่อว่า คนๆนั้นอยากแข่งขันกับเขาเพื่อให้ได้เลื่อนตำแหน่ง และกำลังวางแผนร้ายเพื่อกำจัดเขา เขาจึงเริ่มวางแผนและคิดกลยุทธ์ที่จะจัดการเพื่อนร่วมงานคนนั้น โดยให้เหตุผลการกระทำจากความเชื่อนี้ว่า เขาจำเป็นต้องป้องกันตัวเอง

    คนเบอร์ 7 – หาเหตุผลแก้ต่าง (Rationalization)

    คือกลไกป้องกันตนในแบบที่เราหาเหตุผลมาอธิบายสิ่งที่ไม่เป็นที่ยอมรับ เช่น ความคิด ความรู้สึกหรือพฤติกรรม เพื่อหลีกเลี่ยงหรือปกปิดแรงจูงใจหรือเจตนาที่แท้จริง หรือผลที่เกิดจากพฤติกรรมของตัวเอง คนเบอร์เจ็ดหาเหตุผลมาอธิบายด้วยการปรับมุมมองให้เป็นบวกหาเหตุผลมาสนับสนุนพฤติกรรมของตัวเองโดยใช้ “คำที่ฟังดูดี” เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกด้านลบต่างๆ เช่น ความเจ็บปวดเสียใจ ความไม่สบายใจ ความเศร้า ความรู้สึกผิด ความกังวล และยังใช้เพื่อปัดความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย

    paintbrush-316697_1280-300x199.jpg

    ตัวอย่าง

    เวลาที่คนเบอร์เจ็ดได้ฟีดแบ็คด้านลบ เขาจะคิดถ้อยคำอธิบายว่า สิ่งที่เขาทำนั้นมีประโยชน์จริงๆ ต่อ เพื่อนร่วมงาน ต่อทีม หรือต่อองค์กร เช่น ถ้ามาประชุมสายครึ่งชั่วโมง เขาก็อาจบอกว่า “ฉันรู้ว่าฉันมาประชุมสาย แต่ระหว่างที่มานี้ ฉันได้คิดไอเดียเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ชิ้นหนึ่ง”

    คนเบอร์ 8 – การปฏิเสธ (Denial)

    การปฏิเสธเป็นกลไกป้องกันตัวจากสิ่งที่ทำให้รู้สึกกังวล ด้วยการไม่ยอมรับว่าสิ่งนั้นมีอยู่ อาจเป็นความคิด ความรู้สึก ความปรารถนา ความรู้สึกทางร่างกาย ความต้องการ หรือปัจจัยภายนอกอื่นๆ ซึ่งคนเบอร์แปดไม่อาจยอมรับได้ด้วยเหตุผลบางอย่าง การปฏิเสธนี้มีหลากหลายรูปแบบ เช่น การปฏิเสธข้อมูลหรือเรื่องราวทั้งหมดว่าไม่จริง อาจยอมรับบางสิ่งว่าจริง แต่ปฏิเสธหรือไม่ได้ให้ความสำคัญของสิ่งมากนัก หรือยอมรับทั้งเรื่องนั้นและความสำคัญของมัน แต่ปฏิเสธความรับผิดชอบของตัวเองต่อสิ่งนั้น

    denied-1936877_1920-300x191.png

    ตัวอย่าง

    คนเบอร์แปดอาจหักโหมทำงานติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 4 เดือน อาจกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และไม่ได้ออกกำลังกายเลย แต่ก็ยังฝืนตัวเองจนหมดแรง แต่เขาก็ยังไม่ได้รับรู้ถึงสภาวะทางร่างกายของเขาจนถึงจุดที่เขาล้มป่วย เขาต้องการความเชื่อมั่นว่า ไม่มีอะไรเอาชนะเขาได้ จึงไม่ยอมรับรู้ข้อจำกัดของตัวเอง ทั้งทางร่างกายและจิตใจ





    คนเบอร์ 9 – การทำให้มึน (Narcotization)

    คือ การทำให้ตัวเองไม่ต้องรับรู้ความรู้สึกใดๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอะไรบางอย่างที่ยุ่งยากซับซ้อน ภาระเกินตัว หรือไม่สบายใจที่จะรับมือ คนเบอร์นี้ทำตัวเองให้มึน และหันเหความสนใจของตัวเองไปทำสิ่งที่คุ้นเคย สบายใจ และไม่ต้องใช้สมาธินัก ตัวอย่างเช่น ล้างจาน ทำสวน อ่านหนังสือสนุกๆ หลายเล่มอย่างติดตาม ของนักเขียนคนเดียวกัน หรือหนังสือที่มีแนวเรื่องเหมือนเดิม ไปเดินเล่นหรือขี่จักรยาน คุยเรื่องสบายๆ บ่อยๆ นานๆ หรือดูทีวีแล้วเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ คนเบอร์นี้ทำสิ่งต่างๆ เป็นกิจวัตรประจำวันเพื่อจะได้ไม่ต้องตั้งสติให้มากนัก ถ้ามีอะไรมาขัดจังหวะการทำกิจกรรมเหล่านี้ เขาก็จะหงุดหงิด รำคาญ และไม่สบายใจ

    wineglass-1495861_1920-300x169.jpg

    ตัวอย่าง

    คนเบอร์เก้าผู้หนึ่งมีงานเร่งด่วนที่มีความยุ่งยากซับซ้อนซึ่งต้องทำให้เสร็จภายในวันนี้ แต่แทนที่จดจ่อทำงานชิ้นนี้ เขากลับหันไปทำความสะอาดห้องทำงาน จัดเก็บเอกสารเข้าแฟ้ม โทรศัพท์ไปคุยในเรื่องที่ไม่เร่งด่วน และทำงานอื่นไม่ค่อยสำคัญไม่เกี่ยวกับงานตรงหน้า และยังไม่ต้องรีบส่ง





    แม้ว่ากันชน หรือ กลไกการป้องกันตัวนี้ จะช่วยให้ชีวิตเรา”ดูเหมือน”ง่ายขึ้น จากการหลบเลี่ยงสิ่งที่ไม่พึงประสงค์โดยอัตโนมัติ แต่ผลที่ตามมาคือ มันกลับกล่อมให้คนแต่ละคนหลับไหล และไม่อาจสังเกตตัวเองได้ว่า จริงๆ แล้ว เราเป็นอย่างไรกันแน่? และการรับรู้โลกตามความเป็นจริงถูกบิดเบือนไปตามมุมมองของคนแต่ละเบอร์อย่างไร และนั่นเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งยวดในการเข้าถึงตัวตนเพื่อบรรลุถึงความสุขในจิตใจที่แท้จริง

    book-01-205x300.png
    คลิ้กเพื่อดูรายละเอียดหนังสือ



    Reference : ตัวอย่างการแสดงออกของ กลไกป้องกันตัว ข้างต้น มาจากหนังสือ “โค้ชชิ่ง ให้ถึงแก่น ด้วยเอ็นเนียแกรม”
    ในหนังสือ มีคำอธิบายกลไกแต่ละชนิด โดยละเอียด และการตั้งคำถาม ในการโค้ชชิ่ง เพื่อให้ โค้ชชี่ ตระหนักรู้ถึงการใช้กลไก ฯ เหล่านี้


    http://www.enneagram.co.th/archives/1061
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2017
  10. พราน4141

    พราน4141 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    492
    ค่าพลัง:
    +6,167
    ติดตามอยู่เรื่อยๆนะครับ ข้อมูลดีมากครับ;)
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Imm Journal

    FB_IMG_1512287158632.jpg

    เริ่มเข้มข้น…
    อิสราเอลโจมตีเมืองทางตอนใต้ของกรุงดามัสกัส ซีเรีย
    หนังสือพิมพ์อัลอัคบาร์ เลบานอน รายงานว่า เครื่องบินรบอิสราเอลใช้น่านฟ้าเลบานอน โจมตีเมืองทางตอนใต้ของกรุงดามัสกัส

    อ่านต่อ......
    http://www.immjournal.com/8043
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นิวยอร์กไทม์: ทำไมไทยถึงภูมิใจกับโศกนาฏกรรมสงครามเวียดนาม
    Published on Tue, 2017-11-14 00:49
    ริชาร์ด เอ รูธ ผู้ศึกษาเรื่องบทบาทของไทยในสงครามเวียดนาม ชี้ถึงการอ้างความชอบธรรมจากศาสนาพุทธที่มีผลต่อการมองว่าตัวเองเป็น 'ฝ่ายดี' ในสงครามเวียดนาม และการที่ไทยมักจะแสดงความภาคภูมิใจในการร่วมรบเนื่องจากได้รับผลประโยชน์หลายระดับจากการเป็นพันธมิตรสหรัฐฯ แต่ก็ยังมีกลุ่มคนตัวเล็กๆ บางกลุ่มรวมถึงการสูญเสียของทหารชั้นผู้น้อยที่มักจะไม่ค่อยถูกพูดถึงเวลาไทยรำลึกสงครามเวียดนาม

    38363479302_2b970f0c4e.jpg
    อนุสาวรีย์ทหารผ่านศึกเวียดนาม จังหวัดกาญจนบุรี
    ภาพจาก https://armytour.go.th/


    13 พ.ย. 2560 ซีรีส์บทความ "เวียดนาม '67" ของนิวยอร์กไทม์ รวบรวมบทความจากกลุ่มนักประวัติศาสตร์ นักข่าว และผู้ที่เคยผ่านศึกสงครามเวียดนามย้อนรำลึกว่า สงครามในครั้งนั้นเปลี่ยนแปลงสหรัฐฯ ไปอย่างไรบ้าง บทความหนึ่งระบุถึงบทบาทของประเทศไทยในสงครามเวียดนามว่า ขณะที่เวียดนามและสหรัฐฯ มองสงครามเวียดนามเป็นโศกนาฏกรรม แต่ทำไมไทยถึงดูจะภูมิใจในสงครามครั้งนี้นัก

    ริชาร์ด เอ รูธ ผู้ช่วยศาตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์จากโรงเรียนนายเรือสหรัฐฯ ผู้เคยเขียนหนังสือเกี่ยวกับบทบาทของทหารไทยในสงครามเวียดนามระบุถึงการที่ไทยเคยส่งหน่วยรบพิเศษไทยจำนวนมากไปร่วมรบที่เบียนฮหว่า ประเทศเวียดนาม ร่วมกับฝ่ายสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ไทยดูจะภาคภูมิใจในเรื่องนี้ขณะที่ทั้งสหรัฐฯ และเวียดนามมองว่ามันเป็นโศกนาฏกรรม

    รูธบอกว่า เขาเคยสัมภาษณ์ทหารไทยที่ผ่านศึกสงครามเวียดนามกว่า 60 คน พวกเขามักจะพูดเน้นถึงประสบการณ์และผลประโยชน์ทางวัตถุที่ได้รับและบอกว่าพวกเขาสกัดกั้นไม่ให้ลัทธิคอมมิวนิสต์แพร่มายังไทยได้สำเร็จ พวกเขาประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงของไทยในช่วงที่มีสงคราม และถึงแม้ว่าจะรับรู้เรื่องผลกระทบด้านแย่ๆ ของสงครามนี้ที่มีต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และกับเพื่อนทหารพวกเขาบางคน แต่ทหารผ่านศึกเหล่านี้ก็ยังบอกว่ามันเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาและต่อประเทศชาติอยู่ดี

    แต่สิ่งที่ทำให้รูธมองว่าโดดเด่นออกมาจากความคิดเห็นเหล่านี้คือการที่ทหารไทยซึ่งผ่านสงครามเวียดนามมีความภูมิใจมองภาพของตัวเองเป็น "ทหารชาวพุทธ" ทหารไทยในสงครามเวียดนามมักจะห้อยพระเครื่องหลายองค์ไปในการรบ และพูดถึงสรรพคุณการปกป้องคุ้มกันภัยให้ทหารอเมริกันฟัง และให้พวกเขายืมถ้ามีคนขอ บ้างก็รู้สึกว่ามันมีอิทธิฤทธิ์เหนือกว่าเครื่องรางไม้กางเขนแบบคริสต์ ทหารบางคนอ้างว่าพระเครื่องเหล่านี้ทำให้พวกเขาเพ่งสมาธิกับการสู้รบและสร้างขวัญในการสู้กับทหารฝ่ายตรงข้ามที่มองว่าเป็น "มาร" โดยไม่ตื่นกลัววิ่งหนีไปเสียก่อน

    รูธระบุว่าทหารไทยในตอนนั้นมีการใช้สัญลักษณ์ทางพุทธศาสนาผูกโยงด้วยในหลายๆ เรื่องทั้งในแง่พิธีกรรมทางศาสนาใหญ่โตช่วงก่อนออกไปรบ หรือในแง่การอ้างคำสอนเรื่อง "เมตตา" มาใช้กับภารกิจช่วงกลางวันของทหารไทยในเวียดนามที่จะทำความสะอาดและบูรณะซ่อมแซมวัดในเวียดนาม พวกเขามองตัวเองว่าเป็นนักรบชาวพุทธเถรวาทที่เข้าไปช่วยเหลือเพื่อนบ้านชาวพุทธนิกายมหายาน

    นอกจากนี้ ในแง่ทัศนคติจากสังคมในยุคสมัยนั้นระหว่างสหรัฐฯ กับไทยยังแตกต่างกันด้วย ในช่วงปี 2510-2512 ประชาชนชาวอเมริกันเริ่มต่อต้านสงครามมากขึ้นเรื่อยๆ ใขณะที่ไทยยังเน้นรายงานถึงความสำเร็จในการรบ รวมถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงประทานของกำนัลให้กับผู้บาดเจ็บจากสงคราม การรบที่เบียนฮหว่าในยุคนั้นก็ประสบความสำเร็จจนทหารผ่านศึกหลายคนเล่าว่าแม้แต่นายพลฝั่งสหรัฐฯ ก็ชื่นชมพวกเขา

    รูธมองว่าความภาคภูมิใจเป็นเรื่องทางวัฒนธรรม การที่ประเทศหนึ่งเข้าร่วมอะไรบางอย่างในเวทีโลกก็ทำให้พวกเขาเกิดความภาคภูมิใจเช่นที่เวลาทหารไทยพูดย้อนไปถึงสมัยสงครามเวียดนาม พวกเขาจะบอกว่ามันเป็นโอกาสที่จะได้สังเกตการบริโภคนิยมแบบอเมริกัน พวกเขาเริ่มรู้จักและสามารถเข้าถึงสินค้าต่างๆ ที่เป็นอเมริกันไม่ว่าจะเป็นกล้อง SLR โทรทัศน์ สเตอริโอ ตู้เย็น วิสกี้ นิตยสารเพลย์บอย แต่การที่ทหารไทยพยายามซื้อสินค้าเหล่านี้ถูกนำเสนออย่างลบๆ ในสื่อต่างประเทศ มีแม้กระทั่งเรื่องที่ทหารไทยนำของเหล่านี้ไปขายต่อในตลาดมืดของไซง่อน สื่อต่างประเทศในยุคนั้นยังขนานนามกองทัพไทยว่าเป็น "ทหารรับจ้างให้อเมริกา" ด้วย

    การกล่าวอ้างเรื่องนี้ไม่ได้ห่างไกลจากความเป็นจริงนัก เพราะไทยได้รับผลประโยชน์อย่างมากจากการร่วมมือกับสหรัฐฯ ในช่วงสงครามเวียดนาม ทำให้สหรัฐฯ ให้เงินช่วยเหลือ 1,100 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจและการทหารแก่ไทย องค์กรด้านการพัฒนานานาชาติของสหรัฐฯ ก็ให้เพิ่มอีก 530 ล้านดอลลาร์ ทั้งหมดนี้แลกกับการที่ไทยซึ่งการเมืองถูกครอบงำโดยกองทัพต้องเอื้อประโยชน์ส่วนหนึ่งต่อสหรัฐฯ เช่นการให้ที่ตั้งฐานทัพอากาศแก่สหรัฐฯ 7 แห่ง เพื่อปฏิบัติการในภูมิภาค

    ฝ่ายนายทุนไทยยุคสมัยนั้นที่มีสายสัมพันธ์กับรัฐบาลก็หาประโยชน์จากการสร้างธุรกิจรองรับทหารและคนที่ทำงานให้กองทัพสหรัฐฯ ราว 50,000 นาย ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร หรือบาร์ ซึ่งหน่วยจีไอก็สร้างเม็ดเงินให้กับเศรษฐกิจไทยไปด้วย ทำให้ประเทศราชอาณาจักรพุทธแห่งนี้ถูกทำให้เป็นสมัยใหม่อย่างรวดเร็ว

    การถูกสื่อต่างประเทศกล่าวหาเรื่องเป็น "ทหารรับจ้าง" ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับภาพลักษณ์ภายในประเทศยุคนั้นนัก พวกทหารผ่านศึกเวียดนามมีแต่จะสร้างอนุสาวรีย์อวดโอ่เกียรติภูมิจากสงคราม ไม่ว่าจะเป็นอนุสาวรีย์ทหารผ่านศึกเวียดนามที่กาญจนบุรี อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หรือการจัดแสดงที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ กองทัพไทยก็อ้างว่าสงครามเวียดนามเป็นสิ่งที่พวกเขาภาคภูมิใจที่สุดในยุคคริสตศตวรรษที่ 20 เช่นกัน

    ผลกระทบจากสงครามในครั้งนั้นยังส่งผลเลวร้ายต่อเวียดนามทำให้เกิดปัญหาผู้ลี้ภัย รวมถึงประสบปัญหาความยากจนและการถูกโดดเดี่ยว ในขณะที่ไทยมีการลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้นและสหรัฐฯ ก็เข้ามาช่วยสร้างทางหลวงเชื่อมชนบทกับกรุงเทพฯ และหัวเมืองในภูมิภาคต่างๆ ทำให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว กระนั้นก็ยากจะปฏิเสธว่าไทยเองมีราคาที่ต้องจ่ายให้กับการเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ ในยุคนั้นด้วย


    ราคาอันเจ็บปวดที่ต้องจ่ายให้สงครามเวียดนาม

    ทว่า สิ่งที่ไม่ค่อยถูกนำเสนอเกี่ยวกับแง่มุมของสงครามเวียดนามคือสิ่งที่ไทยต้องสูญเสียไป นอกจากทหารที่เสียชีวิตในสงคราม 351 นาย และบาดเจ็บอีก 1,351 นาย แล้ว ทหารอาสาที่ส่งไปที่ลาวในปฏิบัติการที่เรียกว่า "สงครามลับ" ก็เสียชีวิตในสภาพที่ย่ำแย่ สงครามเวียดนามและการมีอยู่ของกองกำลังสหรัฐฯ ยังมีบทบาทต่อความรุนแรงทางการเมืองอย่างเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516 และ 6 ตุลาฯ 2519 ด้วย

    นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ย่านโคมแดงในกรุงเทพฯ ที่รองรับนักท่องเที่ยวตะวันตกมีต้นกำเนิดมาจากการรองรับกองทัพสหรัฐฯ ในสงครามเวียดนาม มีทหารอเมริกันบางส่วนที่ทำผู้หญิงไทยท้องทิ้งไว้จากความสัมพันธ์แบบชั่วคราว เด็กหลายคนที่เกิดจากครอบครัวเหล่านี้เติบโตขึ้นมาในภาวะยากจนและถูกอัปเปหิออกจากสังคม แต่ความทรงจำส่วนนี้ก็ถูกมองข้ามจากการเขียนประวัติศาสตร์และรำลึกความทรงจำในแบบของทางการไทย



    เรียบเรียงจาก

    Why Thailand Takes Pride in the Vietnam War, RICHARD A. RUTH, New York Times, 07-11-2017

    https://prachatai.org/journal/2017/11/74101
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อินเดียเสนอจำคุกมุสลิมใช้วิธีบอกเลิก 3 ครั้งหย่าเมีย

    _99035438_8f20d8ac-60c8-4ef0-b062-1fb6025d0bed.jpg

    อินเดียประกาศให้การหย่าแบบบอกเลิก 3 ครั้งเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมา
    ทางการอินเดียเตรียมเสนอร่างกฎหมายซึ่งมีบทลงโทษจำคุก 3 ปี หากสามีเลิกรากับภรรยาด้วยวิธีกล่าวคำหย่า (ตอลัก) 3 ครั้ง ตามธรรมเนียมอิสลามที่มีปฏิบัติในบางประเทศ
    โฆษณา

    ร่างกฎหมายพิทักษ์สิทธิในการสมรสของสตรีมุสลิม กำลังอยู่ในขั้นขอคำปรึกษาจากทางการท้องถิ่นของรัฐต่าง ๆ ในอินเดีย ก่อนที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเพื่อออกเป็นกฎหมายในช่วงกลางเดือนนี้

    เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลฎีกาของอินเดียมีคำวินิจฉัยชี้ขาดให้วิธีการหย่าแบบดังกล่าวเป็นธรรมเนียมที่ไม่ใช่ของศาสนาอิสลามอย่างแท้จริง เป็นการกระทำตามอำเภอใจ และขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญของประเทศ อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่ายังคงมีผู้ปฏิบัติตามธรรมเนียมการหย่าร้างนี้จำนวนมาก ทำให้ทางการต้องออกข้อห้ามเป็นกฎหมายอย่างชัดเจนตามมา

    ก่อนหน้านี้พบว่ามีหญิงอินเดียผู้นับถือศาสนาอิสลามหลายพันคนถูกสามีทอดทิ้งด้วยวิธีการกล่าวคำหย่าเพียง 3 ครั้ง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้หญิงเหล่านี้ได้รับความไม่เป็นธรรม และต้องเผชิญความยากลำบากในการหาเลี้ยงชีพ

    หลายรายถูกสามีบอกหย่าร้างผ่านทางข้อความตัวอักษรทางโทรศัพท์ แอปพลิเคชันสนทนาต่าง ๆ รวมทั้งโปรแกรมสไกป์อย่างง่ายดายโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ซึ่งเนื้อหาในร่างกฎหมายใหม่ได้กำหนดให้การบอกเลิกผ่านช่องทางเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน

    ร่างกฎหมายนี้มุ่งให้ความคุ้มครองทางกฎหมายแก่หญิงที่ถูกสามีบอกเลิกและไล่ออกจากบ้าน รวมทั้งยังกำหนดให้สตรีที่สามีได้รับโทษ ได้รับเงินช่วยเหลือและความคุ้มครองดูแลจากรัฐด้วย
    อินเดียเป็นเพียงไม่กี่ประเทศที่สังคมมุสลิมมีการปฏิบัติตามธรรมเนียมการหย่าร้างดังกล่าว โดยในประเทศอิสลามหลายแห่ง เช่น ปากีสถานหรือบังกลาเทศ ทางการได้สั่งห้ามธรรมเนียมนี้ไปแล้ว โดยให้เหตุผลว่าเป็นธรรมเนียมที่ไม่ปรากฏอยู่ทั้งในกฎหมายชารีอะฮ์และในคัมภีร์อัลกุรอาน

    บรรดาผู้รอบรู้คำสอนศาสนาอิสลามของอินเดียบอกว่า คัมภีร์อัลกุรอานได้บัญญัติถึงวิธีการหย่าร้างที่ถูกต้องไว้แล้วอย่างชัดเจน โดยกระบวนการดังกล่าวต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือน เพื่อให้คู่สมรสได้ทบทวนไตร่ตรองและมีโอกาสประนีประนอมกัน รวมทั้งป้องกันการตั้งครรภ์หลังการหย่าร้างด้วย
    http://www.bbc.com/thai/international-42212986?ocid=socialflow_facebook
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โรครักเด็ก ที่มา ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ มิถุนายน 2551 ผู้เขียน ส.สีมา เผยแพร่ วันเสาร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ.2560
    1-10-696x487.jpg
    William Adolphe Bouguereau, Child at Bath. 1886. Oil on canvas. Henry Art Gallery, University of Washington, Seattle, Horace C. Henry Collection.
    โรครักเด็กหรือพีโดฟิเลีย-Pedophilia จัดว่าเป็นพฤติกรรมผิดปกติหรือวิตถารอีกแบบหนึ่ง กลุ่มเดียวกับซาดิสม์หรือพวกชอบแอบดู-วอยูริสม์ (voyeurism) เป็นต้น

    คำว่าพีโดส (pedos) หรือไพโดส (pidos) ในภาษากรีกแปลว่าเด็ก ส่วนคำว่าฟีเลีย แปลว่าชอบหรือรัก พีโดฟิเลียจึงแปลว่าชอบหรือรักเด็ก แต่รักเด็กมนที่นี้แตกต่างจากรักเด็กทั่วไปตรงที่ใช้เด็กเป็นของรัก (love object) เพื่อนำไปสู่การกระทำทางเพศของตน

    แฟนศิลปวัฒนธรรมคงได้พบข่าวเช่นนี้เสมอๆ จากสื่อที่ว่าผู้ใหญ่ใจร้ายข่มขืนเด็ก เหยื่อบางรายได้รับบาดเจ็บ บางรายถูกข่มขู่ไม่ให้นำความลับไปบอกผู้ใด เหยื่อบางรายถูกฆ่าเพราะเกรงว่าจะนำความลับนั้นไปเปิดเผย และบางรายถูกข่มขืนอยู่นานจนเหยื่ออายุย่างเข้าวัยรุ่น

    ผู้ใหญ่ที่ไม่ปกติเหล่านั้นเกือบทั้งหมดเป็นผู้ชาย แต่งงานแล้วหรือเคยแต่งงานมีภรรยาเป็นตัวตน บางคนมีบุตรแล้วด้วยซ้ำไป ผู้ใหญ่เหล่านี้ส่วนใหญ่มิใช่คนแปลกหน้าสำหรับเหยื่อแต่เป็นคนในชุมชนนั้นและรู้จักกันดี บางรายเป้นญาติใกล้ชิด หลายรายเป็นครูทั้งครูไทยและครูฝรั่ง และเหยื่อของเขาเหล่านั้นก็คือลูกศิษย์นั่นเอง ทั้งเด็กหญิงและเด็กชาย

    ผู้ใหญ่ที่รักเด็กเหล่านี้เป็นผู้ป่วยที่ต้องได้รับการบำบัดให้เป็นปกติ โดยทั่วไปชาวบ้านมักไม่ค่อยให้อภัยเมื่อพวกเขาถูกจับได้และเจ้าหน้าที่นำไปทำแผนประกอบคดี มักถูกกลุ้มรุมทำร้ายจากกลุ่มชาวบ้านเสมอ และถูกประณามว่าเป็นพวกบ้ากาม พวกวิตถาร หรือเฒ่าหัวงู เป็นต้น

    โรครักเด็กเกิดกับผู้ใหญ่ที่เป็นสตรีด้วยเหมือนกัน เคยมีข่าวครูสตรีผู้หนึ่งในประเทศอังกฤษถูกตั้งข้อหาว่าข่มขืนเด็กนักเรียนชาย โดยมีพยานรู้เห็นน่าเชื่อถือ ข่าวนี้ได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลก

    ตามปกติอายุของเหยื่อถือเอาอายุ ๑๓ ปีลงไป โดยที่ยังไม่แตกเนื้อหนุ่มเนื้อสาว ถ้าผู้ป่วยเป็นวัยรุ่นเหยื่อที่ถูกกระทำต้องมีอายุต่ำกว่ากันอย่างน้อย ๕ ปี เหยื่อจะถูกกอดจูบลูบไล้ จับเปลือยกายจนถึงกระทำการร่วมเพศ


    โดยทั่วไปผู้ป่วยมักเป็นชายอยู่ในวัยประมาณ ๔๐ ปี แต่งงานแล้วและมีภรรยาและบุตร บางคนใช้บุตรเป็นเหยื่อของตนเองด้วย ผู้ป่วยที่มีอายุมากมักเลือกเหยื่อที่มีอายุน้อย เป็นเด็กเล็กหรือแม้กระทั่งเด็กทารก ส่วนผู้ป่วยอายุน้อยมักเลือกเหยื่อที่มีอายุมากขึ้นอยู่ในวัยแรกรุ่นหรือเกือบวัยรุ่น เหยื่อเป็นเด็กชายมากกว่าเด็กหญิงในอัตรา ๒ ต่อ ๑ ผู้ป่วยโรครักเด็กจำแนกออกเป็น ๔ แบบ คือ

    แบบที่หนึ่ง เป็นพวกบุคลิกภาพไม่สมวัย (immature personality) คนเหล่านี้มักมีชีวิตรักไม่ราบรื่น กลัวหรือกังวลเกินไปกับผู้ใหญ่ผู้หญิง แต่มีความรู้สึกดีๆ ต่อเด็ก วิเคราะห์ว่ามีภาวะหยุดชะงักหรือติดตรึง (fixated) ในช่วงพัฒนาการตอนต้น นวนิยายเรื่องโลลิตา ของนาโบคอฟ เป็นตัวอย่างอันดีในข้อนี้

    แบบที่สอง เป็นพวกถอยกลับไปเป็นเด็ก (regressed) กล่าวคือชีวิตรักแรกๆ ก็เป็นปกติดี ต่อมาเปลี่ยนไปเพราะคู่รักหรือคู่สมรสเป็นอื่น ตนเองรู้สึกเสียหน้า เจ็บใจจึงหันไปข่มขืนเด็กหญิงเพื่อล้างแค้น แล้วรู้สึกว่าได้ความเป็นชายกลับคืนมา

    แบบที่สาม พวกถูกวางเงื่อนไข (conditioned) คือ เคยมีประสบการณ์ประทับใจในอดีตกับเด็กๆ อาจเป็นนักเรียนประจำ ความประทับใจนั้นเป็นแรงผลักดันในวันนี้ซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้ว

    แบบสุดท้าย พวกมีพยาธิสภาพทางบุคลิกภาพ (psychopathic personality) เช่น ต้องการหาความตื่นเต้นใหม่ๆ แปลกๆ เช่น แสวงหาโสเภณีเด็ก เป็นต้น อาจแสวงหาในบ้านเมืองของตนเองและออกไปในต่างประเทศ ในบ้านเราพบเสมอที่พัทยาในรูปของนักท่องเที่ยวหรือครูสอนดนตรี สอนภาษาต่างประเทศ ผู้ป่วยเหล่านี้นอกจากจะมีอารมณ์เพศผิดปกติแล้ว ยังอาจเป็นคนติดเหล้า คนก้าวร้าวหุนหันและมีอาการทางจิตด้วย

    เราต้องไม่บอกเด็กให้ระมัดระวังแต่เพียงคนแปลกหน้า คนจรหมอนหมิ่น หรือคนมาจากบ้านเมืองอื่น แต่ต้องบอกให้ระมัดระวังคนกันเองด้วย แม้ว่าจะเป็นเพื่อนบ้านกันหรือญาติกัน เพราะเมื่อมีโอกาสโรครักเด็กก็จะปรากฏตัวขึ้นได้ง่ายๆ!
    https://www.silpa-mag.com/club/art-and-culture/article_7066
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เป็นผู้หญิง (บริการ) แท้จริงแสนลำบาก (1): สำรวจชีวิต ‘กะหรี่’ ในวันที่ศีลธรรมยังค้ำคอรัฐไทย Published on Mon, 2017-10-30 21:28 โดย กรกฤช สมจิตรานุกิจ

    FB_IMG_1512289257682.jpg

    รายงานพิเศษ 3 ตอน สำรวจพื้นที่ชีวิตของพนักงานบริการที่วันๆ ไม่ได้ทำ “แค่ขายตัว” โดยในตอนที่ 1 นี้ จะสำรวจรูปแบบการทำงานที่หลากหลายของพวกเธอ รวมถึงเหตุผลและเป้าหมายในการเข้าสู่วงการ

    การค้าบริการทางเพศ จัดเป็นธุรกิจสีเทาที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศไทย แม้จะไม่เคยมีการสำรวจอย่างเป็นทางการจากรัฐไทย แต่ในปี 2014 โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) ได้ประเมินเอาไว้ว่าประเทศไทยมีพนักงานบริการ (service worker) อยู่มากถึง 123,530 คน และร้อยละ 10 ของรายได้ที่ประเทศไทยได้จากภาคการท่องเที่ยวมาจากธุรกิจบริการทางเพศ นอกจากนี้ ยังมีงานศึกษาในปี 2003 ที่ระบุว่าประเทศไทยสามารถทำเงินจากธุรกิจทางเพศได้มากถึงปีละ 4,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

    แต่ธุรกิจที่ทำรายได้มหาศาลและข้องเกี่ยวกับชีวิตของผู้คนจำนวนมากเช่นนี้กลับเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศไทย ความย้อนแย้งดังกล่าวได้ทำให้พนักงานบริการไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการขั้นพื้นฐานเฉกเช่นที่ผู้ใช้แรงงานทั่วไปควรได้รับ อีกทั้งยังเป็นช่องว่างให้ผู้บังคับใช้กฎหมายและผู้ใช้บริการเอารัดเอาเปรียบพวกเธอโดยไม่สามารถเรียกร้องความเป็นธรรมได้ ยิ่งไปกว่านั้น สังคมไทยยังมีมายาคติแง่ลบต่อพนักงานบริการ อาทิ ‘พวกรักความสบาย’ ‘พวกละเมิดกฎหมาย’ ‘ตัวแพร่เชื้อโรค’ หรือ เหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์’

    มายาคติดังกล่าวสอดคล้องกับความเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน? เพื่อหาคำตอบดังกล่าว เราจึงไปพูดคุยกับเหล่าพนักงานบริการจาก 3 พื้นที่ รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐและภาคประชาสังคมที่ทำงานกับพนักงานบริการ เพื่อหาคำตอบว่า พวกเธอใช้ชีวิตอย่างไรภายใต้ค่านิยมทางสังคมที่มองพวกเธอเป็นสิ่งน่ารังเกียจและความย้อนแย้งทางกฎหมายของรัฐไทย

    'กะหรี่ี่แค่ขายตัว...' ความฝันและความหลากหลายของพนักงานบริการ
    ‘กะหรี่ี่แค่ขายตัว แต่หญิงชั่วเร่ขายชาติ’ เป็นข้อความทวิตเตอร์ของ ‘ชัย ราชวัตร’ นักเขียนการ์ตูนชื่อดังของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ‘หญิงชั่ว’ จะหมายถึงใครนั้นไม่สำคัญ แต่ประโยคดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงอคติต่อพนักงานบริการ 2 ประการ หนึ่งคือ ‘กะหรี่ี่’ เป็นคำด่า หมายความถึงผู้หญิงที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจ คำพูดดังกล่าวไม่ต่างจากคำว่า ดำ ลาว หรือ ตุ๊ด ที่ใช้กันอยู่ทุกวันด้วย อาจจะด้วยเจตนาที่จะทำร้ายจิตใจผู้อื่น หรือหยอกล้อกันในหมู่เพื่อน แต่มันก็ได้ผลิตซ้ำอคติทางสังคมต่อผู้ที่มีอัตลักษณ์เป็นคำด่าเหล่านั้น

    อคติประการที่ 2 นั้นน่าสนใจกว่า นั่นคือ กะหรี่ ‘แค่’ ขายตัว กล่าวคืออาชีพของพวกเธอนั้นมิต้องทำอะไรอย่างนอกจากหลับนอนกับลูกค้าและรับเงิน อคติดังกล่าวไม่ถูกต้อง (เสียทั้งหมด) เพราะขึ้นอยู่กับว่าพวกเธอเป็นพนักงานรูปแบบใด โดยรูปแบบพนักงานที่ดูจะใกล้เคียงกับมายาคติ ‘กะหรี่แค่ขายตัว’ มากที่สุด อาจจะเป็นพนักงานบริการไร้สังกัด (freelance) พนักงานเหล่านี้มักจะรวมตัวกันโดยมิได้นัดหมายตามสถานที่ต่างๆ ที่นักเที่ยวยามราตรี ‘รู้กัน’ เช่น วงเวียน 22 กรกฎา สวนลุมพินี หรือสนามหลวงในอดีต หากลูกค้าที่เดินผ่านไปถูกใจพวกเธอ ก็จะต่อรองราคา และพาไปให้บริการที่โรงแรมละแวกใกล้เคียง โดยมีเวลาในการให้บริการรอบละไม่เกิน 30 นาที หากมองโดยผิวเผินงานของพวกเธอดูไม่มีความซับซ้อน แค่รอลูกค้า มีเพศสัมพันธ์ และรับเงิน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเธอทุกคนจะ ‘แค่’ ขายตัว พนักงานบางคนอาจจะเลือกที่จะมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างเดียวและรับเงินเลยก็ได้ แต่รายได้ของเธอก็จะน้อยกว่าพนักงานคนอื่นๆ ที่มี ‘ทักษะและประสบการณ์’ ไม่ว่าจะเป็นทักษะการต่อรอง การเจรจากับลููกค้า การพูดจาปราศรัยให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับพวกเธอ และเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าเหล่านั้นจะ ‘ติดใจ’ และกลับมาใช้บริการเธอใหม่ ซึ่งทักษะเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนทั้งสิ้น

    เหตุที่ทักษะและประสบการณ์มีความสำคัญกับพนักงานไร้สังกัดเหล่านี้เพราะกลุ่มลูกค้าของพวกเธอ มักจะเป็นผู้มีรายได้น้อย เช่น คนขับแท็กซี่ วัยรุ่น หรือผู้ใช้แรงงาน รายได้ต่อการรับลูกค้าหนึ่งรอบจึงตกอยู่ที่ 500 - 800 บาท พนักงานบางคนที่อายุมากแล้วอาจจะลดราคาลงมาเหลือ 300 บาท เพื่อเพิ่มโอกาสในการแย่งลูกค้ากับพนักงานคนอื่นที่อายุน้อยกว่า บางคนอาจจะตระเวนไปตามแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่ง ในยามที่ย่านประจำของพวกเธอไม่มีลูกค้า

    แก้ม (นามสมมติ) พนักงานไร้สังกัดวัย 24 ปี ที่มักจะยืนประจำอยู่ที่วงเวียน 22 กล่าวว่า โดยปกติแล้วเธอจะต้องมายืนรอลูกค้าตั้งแต่ช่วงหัวค่ำยาวไปถึงตีสาม หากวันใดได้ลูกค้าเยอะเธออาจทำเงินได้มากถึง 3,000-4,000 บาทต่อคืน หากวันใดไม่มีโชค เธออาจจะได้ลูกค้าเพียงหนึ่งหรือสองคน หรือไม่มีเลย ทำให้เธอต้องหาลูกค้าจากช่องทางออนไลน์เป็นรายได้เสริม ด้วยอายุที่ยังน้อย รูปร่างหน้าตา และทักษะในการทำงานของเธอ แก้มมีศักยภาพที่จะไปเป็นพนักงานบริการในอาบอบนวด หรือร้านเหล้าแพงๆ ได้อย่างสบายๆ แต่เหตุที่เธอเลือกที่จะมาเป็นพนักงานไร้สังกัดก็คือ ‘ความอิสระ’

    “เราว่ามันอิสระดี วันไหนเราไม่สบาย มีประจำเดือน หรือขี้เกียจ เราก็แค่ไม่มา ไม่ต้องขอลาใคร ไม่ต้องโดนหักเงิน ไม่มีใครมาบงการชีวิตเรา เงินทุกบาทที่เราได้จากลูกค้าก็เข้าเราหมด ไม่ต้องหักให้ใคร” แก้มกล่าว

    ด้วยความอิสระและเปิดกว้างของวงเวียน 22 สถานที่แห่งนี้จึงเป็นที่นิยมของพนักงานหลากหลายรูปแบบ บางคนอาจจะเป็นพนักงานในอาบอบนวดหรือร้านคาราโอเกะที่เลิกงานแล้ว แต่ยังอยากหาลูกค้าเพิ่ม บางคนอาจจะเข้ามาทำเฉพาะช่วงที่ต้องการรายได้เสริม บางคนก็ทำเป็นอาชีพหลัก แต่อิสรภาพดังกล่าวก็ต้องแลกมาด้วยความไม่มั่นคงในการทำงานหลายประการ อย่างแรกคือการความไม่มั่นคงจากเจ้าหน้าที่รัฐ แม้ภาพของการบุกจับหรือการล่อซื้อตามแหล่งค้าบริการจะปรากฏอย่างต่อเนื่องผ่านสื่อกระแสหลัก แต่ในความเป็นจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจมิได้เข้ามาขัดขวางการทำงานของพวกเธอมากนัก แต่ก็มีบางช่วงเวลาของปีที่เจ้าหน้าที่รัฐต้องเร่งทำผลงาน เหตุการณ์เหล่านี้ก็มักจะเกิดขึ้น และตำรวจจะมาพร้อมกับสื่อมวลชนจำนวนมาก เพื่อให้สังคมรู้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐไทย ‘ทำงานจริง’ เหล่าพนักงานไม่มีทางรู้ว่าวันใดที่พวกเธอต้องเจอกับเหตุการณ์ดังกล่าวและตกเป็นข่าวหน้า 1 อย่างไม่เต็มใจ

    ความไม่มั่นคงในการทำงานประการที่ 2 มาจากลูกค้าที่ไม่พึงประสงค์ บางครั้งพวกเธออาจเจอกับลูกค้าที่เมา ไม่ยอมใช้ถุงยางอนามัย หรือไม่ยอมจ่ายเงิน เพราะยังไม่เสร็จกิจภายในระยะเวลาครึ่งชั่วโมง ซึ่งพวกเธอต้องรับมือกับลูกค้าเหล่านี้ด้วยประสบการณ์ของตัวเองและต้องเสี่ยงกับการโดนทำร้ายร่างกาย มาตรการป้องกันของพวกเธอมีเพียงการบอกเล่าปากต่อปากในหมู่เพื่อนพนักงานให้คอยระวังลูกค้าที่ไม่พึงประสงค์เหล่านั้น สำหรับแก้ม มาตรการป้องกันตัวเบื้องต้นของเธอคือ ‘เงินมา งานเดิน’ คือเธอจะเก็บเงินจากลูกค้าก่อนจะให้บริการทุกครั้ง เพราะเคยเกิดเหตุการณ์ที่ลูกค้าอาศัยจังหวะที่เธอกำลังเข้าห้องน้ำหลังให้บริการเสร็จวิ่งหนีออกจากห้องไปโดยไม่จ่ายค่าบริการ

    ปัญหาที่เหล่าพนักงานไร้สังกัดเหล่านี้ต้องประสบ ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่การค้าบริการเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศไทย ทำให้เธอไม่สามารถเรียกร้องการคุ้มครองใดๆ จากรัฐได้ในกรณีที่พวกเธอถูกละเมิดสิทธิหรือถูกทำร้ายร่างกาย พนักงานส่วนใหญ่จึงยอมแลกอิสรภาพของพวกเธอ เพื่อความปลอดภัยในการทำงาน นั่นก็คือการมี ‘นายจ้าง’

    รูปแบบงานบริการที่มีนายจ้างมีนั้นมีอยู่หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ร้านคาราโอเกะ ร้านนวด บ้านสาว บาร์นั่งดื่ม บาร์อะโกโก้ ไปจนถึงอาบอบนวด ซึ่งแต่ละประเภทก็มีรูปแบบงานที่แตกต่างกันไป โดยในรายงานชิ้นนี้จะขอเจาะจงไปที่บ้านสาว อาบอบนวด และบาร์นั่งดื่ม เป็นหลัก

    บ้านสาว
    ‘บ้านสาว’ เป็นหนึ่งในหลายๆ คำที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้เรียกสถานบริการประเภทนี้ บางคนอาจเรียกว่า ‘ซ่อง’ ‘สำนักค้าประเวณี’ หรือ ‘แหล่งแพร่เชื้อ’ ซึ่งแต่ละคำต่างแฝงไปด้วยความหมายในเชิงเหยียดและดูถูกทั้งสิ้น เหล่าพนักงานจึงเลือกที่จะเลือกสถานบริการของพวกเธอว่า ‘บ้านสาว’ เพราะดูเป็นคำที่เหยียดพวกเธอน้อยที่สุดแม้พนักงานหลายคนจะพ้นวัยสาวไปแล้วก็ตาม ในขณะที่ลูกค้ามักจะเรียกสถานบริการประเภทนี้ว่า ร้านคาราโอเกะ ซึ่งต่างจากร้านคาราโอเกะจริงๆ ที่ลูกค้าสามารถร้องเพลงได้อยู่พอสมควร

    พนักงานในร้านคาราโอเกะจริงๆ จะมีหน้าที่เสิร์ฟอาหาร ร้องเพลง และเอาอกเอาใจลูกค้า ยิ่งพวกเธอกระตุ้นให้ลูกค้าสั่งอาหารหรือเครื่องดื่มเพิ่มได้มากเท่าไหร่ รายได้ของพวกเธอก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หากลูกค้าต้องการจะมีเพศสัมพันธ์กับพนักงาน ก็จะต้องตกลงราคากับพนักงานเอง และถ้าพนักงานไม่ต้องการไปกับลูกค้า พวกเธอก็มีสิทธิ์ปฏิเสธเช่นกัน นอกจากนี้ ลูกค้ายังต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้กับทางร้านเพื่อพาพนักงานออกไปข้างนอก รายได้จากการมีเพศสัมพันธ์ของสาวคาราโอเกะจึงเป็นเพียงรายได้เสริม แต่งานหลักของพวกเธอก็ไม่ต่างจากบริกรหรือนักร้องในร้านอาหารทั่วไป (อ่านงานวิจัย)

    แต่สำหรับร้านคาราโอเกะที่เป็น ‘บ้านสาว’ ในตำบลมหาชัย อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร คาราโอเกะเป็นเพียงแค่ฉากบังหน้า ซอยกิโลหนึ่งเป็นโซนบ้านหญิงยอดนิยมในมหาชัย ตลอดทั้งซอยถูกขนาบไปด้วย ‘ร้านคาราโอเกะ’ กว่าสิบร้าน แต่ละร้านจะประดับด้วยหลอดไฟนีออนสีสันแปลกตา มีตู้เพลงแบบหยอดเหรียญตั้งอยู่ในร้าน แต่ทั้งซอยกลับมีเพียงสองตู้เท่านั้นที่สามารถเปิดเพลงได้ และมีเพียงร้านเดียวเท่านั้นที่ลูกค้าสามารถร้องเพลงได้จริงๆ นั่นก็คือร้านอาหารตามสั่งท้ายซอยที่ไม่มีบริการทางเพศ ภายในตัวร้านไม่มีวงดนตรีหรือเวทีให้ใครได้แสดงพลังเสียง มีเพียงแต่ม้านั่งหรือโซฟาให้เหล่าพนักงานนั่งระหว่างพักรอลูกค้าและโต๊ะจำนวนไม่มากให้ลูกค้านั่งจิบเบียร์ ก่อนจะเลือกพนักงานที่ถูกใจแล้วเข้าไปรับบริการที่ด้านหลังร้าน

    ‘ห้องทำงาน’ เป็นห้องไม้อัดที่มีความกว้างประมาณสองช่วงแขน ซึ่งกว้างเพียงพอสำหรับเตียงเล็กๆ หนึ่งเตียง พัดลมสองเครื่อง และที่ว่างอีกเล็กน้อยจากประตูถึงเตียงให้ลูกค้าได้วางสัมภาระ หากต้องการชำระล้างร่างกายหรือทำธุระส่วนตัว ต้องไปใช้ห้องน้ำรวมด้านนอก อาจจะฟังดูเป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะกับกิจกรรมเข้าจังหวะเสียเท่าไหร่ แต่ด้วยราคา 400-600 บาท (ขึ้นอยู่กับอายุและรูปร่างหน้าตาของพนักงาน) กับบริการระยะเวลา 30 นาที ก็อาจจะพอพูดได้ว่า ‘คุณภาพสมราคา’

    ในจำนวนเงินที่ลูกค้าจ่ายไป ครึ่งหนึ่งจะถูกหักเข้าเจ้าของร้าน เหล่าพนักงานจึงต้องเรียนรู้ที่จะต่อรองกับลูกค้าเพื่อให้ได้ทิปเพิ่ม บางรายที่เชี่ยวชาญอาจจะคิดโปรโมชันขึ้นมา เช่น ขึ้นให้ (woman on top) เพิ่ม 200 อม (oral sex) 200 จับนม 200 เหมาหมด 500 ซึ่งการต่อรองตรงนี้จะเกิดขึ้นหลังจากลูกค้ากับพนักงานอยู่ในห้องทำงานกันสองต่อสอง แม้รายได้ของพวกเธอจะไม่ต่างจากเหล่าพนักงานไร้สังกัดที่วงเวียน 22 เท่าใดนัก แต่สิ่งที่พวกเธอได้มาคือความปลอดภัยในการทำงาน เพราะเจ้าหน้าที่รัฐจะไม่เข้ามายุ่มย่ามกับการทำงานของพวกเธอ เว้นเสียแต่เจ้าของร้านจะไปทำให้เจ้าหน้าที่รัฐเหล่านั้น ‘ไม่พึงพอใจ’

    นอกจากนี้ พวกเธอยังปลอดภัยจากเหล่าลูกค้าที่ไม่พึงประสงค์ เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน พวกเธอสามารถเรียกขอความช่วยเหลือจากพนักงานคนอื่นๆ ที่อยู่หน้าร้านหรือคนดูแลร้านที่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายให้เข้ามาช่วยเธอได้ พนักงานบางคนยังเลือกที่จะเช่าห้องอยู่กับทางร้านทำให้พวกเธอประหยัดต้นทุนด้านที่อยู่อาศัย และการเดินทางลงไปได้มาก ซึ่งแน่นอนว่าห้องนอนของพวกเธอดูดีกว่าห้องทำงานของพวกเธอมากนัก นี่จึงเป็นเหตุผลที่พวกเธอเรียกที่ทำงานของตัวเองว่า ‘บ้านสาว’ เพราะมันเป็นทั้งที่ทำงานและบ้านพวกเธอ พนักงานบางคนอาจมีอายุเกิน 50 ปี แต่ก็ยังเลือกที่จะทำงานต่อ แม้โอกาสที่จะได้ลูกค้าจะน้อยมากเมื่อเทียบกับพนักงานวัยสาว แต่พวกเธอก็ยังมีความสุขจากการได้พบปะเพื่อนฝูงใน ‘บ้าน’ ที่พวกเธอคุ้นเคย

    อย่างไรก็ตาม งานหลักของพนักงานบ้านสาวโดยส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นการมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้า อาจจะต้องช่วยเก็บร้านหรือจัดร้านบ้าง แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อย จึงอาจจะพอพูดได้ว่างานหลักของพวกเธอคือ ‘แค่ขายตัว’ อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่รายงานข่าวชิ้นนี้ใช้คำว่า ‘พนักงานบริการ’ แทนคำว่า ‘ผู้ค้าประเวณี’ ก็เพราะการบริการของเธอมิได้มีแค่การร่วมประเวณี และยิ่งการบริการเสริมของพวกเธอมีความหลากหลายมากเท่าไหร่ รายได้ของพวกเธอก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น การบริการบางอย่างอาจเป็นเรื่องพื้นฐานมากๆ แต่ก็เป็นกิจกรรมที่ชายหลายคนพร้อมควักเงินจ่าย เช่น การอาบน้ำ อาบอบนวดจึงเป็นสถานบริการที่ชายผู้มีอันจะกินมักเลือกใช้

    อาบ อบ นวด
    พนักงานอาบอบนวดจะนั่งเรียงกันอยู่หลังตู้กระจก เพื่อรอการให้บริการ หน้าที่หลักของพวกเธอคือการอาบน้ำ และมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้า อัตราค่าบริการแต่ละครั้งมีตั้งแต่ 1,000 บาทไปจนถึงหลักหมื่น โดยค่าบริการส่วนหนึ่งจะหักเข้าเจ้าของร้าน กรณีที่พบส่วนใหญ่คือจะหัก 50 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ เธอยังต้องจ่าย ‘ค่าตะกร้า’ ซึ่งจะเป็นเงินที่ทางร้านนำไปซื้ออุปกรณ์การอาบน้ำ เช่น สบู่ ยาสระผม น้ำยาบ้วนปาก เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะได้รับการบริการที่ได้มาตรฐาน อย่างไรก็ตาม เมื่อหักลบรายจ่ายทั้งหมดแล้ว พนักงานอาบอบนวดย่านห้วยขวางบางคนก็ยังมีรายได้มากพอจะเช่าคอนโดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่ทำงานของเธอได้อย่างสบาย

    แต่ถึงแม้จะรายได้มาก กฎระเบียบก็มากด้วยเช่นกัน พวกเธอจะต้องรองรับลูกค้าวันละ 4-5 คนตามโควต้าที่ทางร้านกำหนดก่อนจึงจะกลับบ้านได้ พวกเธอจะได้รับการตรวจโรคจากแพทย์ทุกเดือนและรับการตรวจเลือดทุกสามเดือน ซึ่งนายจ้างจะเป็นคนจัดหาแพทย์มาให้บริการ การเข้างานสายหรือลางานเกินสองวันต่ออาทิตย์ จะต้องเสียค่าปรับ บางร้านที่ใส่ใจในมาตรฐานมากๆ อาจถึงขั้นควบคุมน้ำหนักของพนักงาน จีจี้ (นามสมมติ) พนักงานอาบอบนวดในเมืองเชียงใหม่วัย 26 ปี กล่าวว่าร้านของเธอห้ามพนักงานมีน้ำหนักเกิน 50 กิโลกรัม คนที่น้ำหนักเกินจะต้องเสียค่าปรับให้ร้านเดือนละ 200 บาทต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัมที่เกินมา

    พนักงานอาบอบนวดเข้าสู่วงการด้วยเป้าหมายที่แตกต่างกันไป บางคนเป็นเสาหลักของครอบครัว บางคนต้องการเข้ามาทำเพียงระยะสั้นๆ เพื่อเก็บเงินไปทำตามความฝันของเธอ บางคนก็หวังว่าจะมีลูกค้าฐานะดีเข้ามาอุปการะเลี้ยงดู หรือบางคนก็เข้ามาเพียงเพราะเห็นว่าเป็นอาชีพที่รายได้ดี ในกรณีของจีจี้ เธอเข้าสู่วงการเพราะ ‘อยากมาเที่ยว’

    จีจี้เดินทางมาจากสิบสองปันนาในประเทศจีน เธอข้ามแดนและมีใบอนุญาตทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เธอกล่าวว่ามีผู้หญิงในหมู่บ้านหลายคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอเข้ามาทำงานเป็นพนักงานบริการในเมืองเชียงใหม่และสามารถส่งเงินกลับบ้านได้อย่างไม่ขาดสาย เธอจึงอยากลองมาทำดู เธอทำงานมาได้ 3 เดือนแล้ว และวางแผนจะทำต่ออีกไม่นานนัก เพราะเป้าหมายหลักของเธอคือการมาเที่ยวประเทศไทย ลักษณะเดียวกับที่วัยรุ่นไทยเดินทางไป Work and travel ที่สหรัฐฯ เพียงแต่จีจี้ไม่ต้องฝึกทักษะทางภาษามากนัก เพราะที่สิบสองปันนาใช้ภาษาคล้ายคลึงกับคนไทย เธอทำเงินได้เดือนละ 20,000-40,000 บาท ขึ้นอยู่กับช่วงเทศกาล เธอกล่าวว่าช่วงเข้าพรรษาลูกค้าค่อนข้างน้อยเพราะเหตุใดเธอก็ไม่ทราบได้ แต่รายได้ของเธอเพียงพอต่อการจ่ายค่าครองชีพในเมืองเชียงใหม่ ส่งเงินกลับที่บ้านเดือนละ 2,000 บาท และท่องเที่ยวในช่วงวันหยุด

    งานของจีจี้มิได้มีเพียงแค่การมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องควบคุมน้ำหนัก นวดเฟ้น และอาบน้ำให้ลูกค้าด้วย รูปแบบงานบริการจึงมีความหลากหลายสูงมากเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่อยากได้บริการเสริมนอกเหนือจากการมีเพศสัมพันธ์ เช่น การนวด การร้องเพลง การเต้น หรือ แม้แต่การ ‘กินเหล้าเป็นเพื่อน’

    สาวบาร์
    ‘การกินเหล้าเป็นเพื่อน’ คือบริการของพนักงานรูปแบบสุดท้ายนั่นคือพนักงานในร้านนั่งดื่ม หรือ “สาวบาร์” หน้าที่ของพวกเธอคือนั่งเป็นเพื่อนกินเหล้ากับลูกค้าและกระตุ้นให้พวกเขากินเยอะๆ ภายในบาร์เหล่านี้จึงมักจะมีเกมกระดาน เช่น XO หรือโอเทลโลให้พนักงานเล่นกับลูกค้าเป็นกิจกรรมกระตุ้นการดื่ม ลูกค้าที่ต้องการให้เธอนั่งเป็นเพื่อนจะต้องซื้อเครื่องดื่มให้กับพวกเธอ โดยพวกเธอจะได้เงินตามจำนวนเครื่องดื่มที่ลูกค้าของเธอสั่ง ซึ่งเรียกว่า ‘ค่าดริ้งค์’ อัตราค่าดริ้งค์ของแต่ละร้านจะแตกต่างกันไป มีตั้งแต่ดริ้งค์ละ 50 ไปจนถึง 200 บาท บางร้านอาจจะมีการกำหนดโควต้าดริ้งค์ขั้นต่ำที่พวกเธอต้องทำให้ได้ในแต่ละวัน มิเช่นนั้นก็จะถูกหักเงิน

    การมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้าขึ้นอยู่กับความสมัครใจและพวกเธอก็เป็นคนกำหนดค่าบริการเอง โดยส่วนมากมักอยู่ที่ 1,500-2,000 บาทต่อครั้ง และ 3,000-5,000 บาทต่อคืน หากตกลงราคากันได้แล้ว ลูกค้าจะต้องจ่าย ‘ค่าบาร์’ 500 บาทให้กับทางร้านเพื่อพาพนักงานออกนอกสถานที่ และลูกค้าจะต้องเป็นฝ่ายหาสถานที่ในการรับบริการเอง หลังการให้บริการ พวกเธอสามารถเลือกที่จะกลับมาหาลูกค้าต่อที่บาร์หรือกลับบ้านพักผ่อนเลยก็ได้ สาวบาร์บางคนอาจจะไม่มีสังกัดหรือร้านประจำ ซึ่งเรียกกันว่า ‘ไซด์ไลน์’ โดยเธอจะย้ายที่ทำงานไปตามร้านต่างๆ ที่ต้องการพนักงานเสริมในช่วงที่ลูกค้าเยอะ เช่นเดียวกับพนักงานบริการรูปแบบอื่นๆ สาวบาร์แต่ละคนย่อมมีเป้าหมายและเหตุผลในการเข้าสู่วงการที่แตกต่างกัน แต่สำหรับจ๋า (นามสมมติ) สาวบาร์วัย 29 ปี ในอำเภออ่าวนาง จังหวัดกระบี่ เป้าหมายหลักของเธอคือการ ‘หาแฟน’

    จ๋ากล่าวว่าด้วยความที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ลูกค้าหลักของสาวบาร์ที่อ่าวนางจึงเป็นชาวต่างชาติเสียส่วนใหญ่ ในช่วงไฮซีซั่น รายได้ของพวกเธออาจมากถึง 50,000 บาทต่อเดือน แต่ในช่วงโลว์ซีซั่น รายได้ของพวกเธอก็จะหายไปกว่าเท่าตัว การมีลูกค้าที่ติดใจและเสนอตัวจะดูแลส่งเสียด้านการเงินให้จึงเป็นเหมือนหลักประกันทางรายได้ให้กับพนักงานอย่างเธอ ชาวต่างชาติส่วนใหญ่ที่เสนอตัวเข้ามาส่งเสียพนักงานบาร์มักจะอยู่ในวัยเกษียณอายุ บางคนตัดสินใจแต่งงานและอยู่ประเทศไทย บางคนอาจพาพวกเธอกลับไปอยู่ประเทศบ้านเกิด บ้างอาจจะกลับประเทศไปแล้ว แต่ยังคงส่งเงินกลับมาให้

    จ๋ากล่าวว่า เธอคบกับแฟนที่เป็นชาวแคนนาดามาได้ 3 เดือนแล้ว ในตอนแรก แฟนของเธอต้องการแค่มาท่องเที่ยว แต่หลังจากพบกับเธอ เขาก็ตัดสินใจอยู่ต่ออย่างไม่มีกำหนดกลับ เธอกล่าวว่าชีวิตของเธอดีขึ้นมากหลังจากมีแฟน จากที่ต้องทำงานทุกวัน เธอสามารถทำงานเพียง 3 วันโดยยังมีเงินพอส่งให้พ่อแม่และลูกชายวัย 14 ขวบที่กำลังเรียนอยู่ได้อย่างไม่ขาดสาย เมื่อถามเธอว่าคาดหวังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้มากเท่าไหร่ เธอไม่สามารถตอบได้ แต่เธอก็คาดหวังให้มันอยู่นานเท่าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม จ๋าตระหนักดีว่าความสัมพันธ์เช่นนี้ไม่มีความแน่นอน เพราะแฟนของเธออาจจะทิ้งเธอไปเมื่อไหร่ก็ได้ เมื่อเขาเจอพนักงานคนอื่นที่ถูกใจกว่าหรือมีความจำเป็นต้องกลับประเทศกะทันหัน สิ่งที่เธอทำได้ก็คือตักตวงให้ได้มากที่สุดในขณะที่ยังมีโอกาส

    สำหรับสาวบาร์ที่ไม่มีโชคจากการหาแฟนเป็นชาวต่างชาติ เธอจำเป็นต้องหารายได้เสริมเพื่อชดเชยนักท่องเที่ยวที่หายไปในช่วงโลว์ซีซั่น แจน (นามสมมติ) สาวบาร์รุ่นใหญ่วัย 53 ปี มักใช้เวลาในช่วงกลางวันที่เพิงเล็กๆ ในสวนยางแห่งหนึ่ง เธอรับจ้างเจ้าของสวนดูแลไก่จำนวนกว่า 20 ตัว เธอกล่าวว่าไก่พวกนี้เคยเป็นของเธอ เธอใช้เงินจำนวนหนึ่งเพื่อซื้อไก่เหล่านี้มาโดยหวังว่ามันจะสร้างรายได้เสริมให้กับเธอในอนาคต แต่มันกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด การเลี้ยงไก่มีต้นทุนที่สูงกว่าที่เธอคิด เธอไม่มีเงินพอที่จะสร้างโรงเลี้ยงที่ได้มาตรฐาน และซื้อยาที่จำเป็น ทำให้ไก่ของเธอตายไปเกือบครึ่งในระยะเวลาเพียง 1 เดือน เธอจึงตัดสินใจขายมันแม้จะต้องขาดทุน นอกจากดูแลไก่ เธอยังรับจ้างเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกด้วย

    “เมื่อก่อนพี่ทำงานก่อสร้างอยู่ในกรุงเทพฯ ทีนี้ พอแก่มันก็เริ่มทำไม่ไหว แล้วพอดีมีเพื่อนชวนให้มาทำงานร้านนวดที่ภูเก็ต เราก็คิดว่าน่าจะดี เพราะเราก็แก่แล้ว คงทำงานนี้เป็นงานสุดท้ายแล้วก็จะกลับอุดรฯ ตอนกลับบ้านจะได้ไปนวดให้คนที่บ้านได้ แต่พอมาถึงภูเก็ตเพื่อนเราเป็นห่วงแฟนกับลูกก็เลยกลับ ทิ้งเราไว้คนเดียว ตอนนั้นพี่มีเงินติดตัวอยู่สองร้อยบาทไม่รู้จะไปทางไหน เพราะเราไม่รู้จักใครเลย ตอนนั้นนั่งร้องไห้อยู่ริมฟุตบาทเห็นหมามันคุ้ยกองขยะกิน ยังคิดเลยว่านี่กูต้องคุ้ยขยะกินเหมือนมึงไหมวะเนี่ย แต่สุดท้ายก็ได้งานที่ร้านนวด เราก็นวดไม่เป็นหรอก แต่ก็แอบดูเพื่อนแล้วก็ทำตามๆ เขาไป แต่ทำไปได้ซักพักก็ปวดหลังทำต่อไม่ไหว เราไม่ได้เรียนมาเลยไม่รู้ว่ามันต้องนวดท่าไหนให้เราไม่ปวด สุดท้ายก็มาจบที่อ่าวนางนี่แหละ”
    https://prachatai.com/journal/2017/10/73879
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เป็นผู้หญิง (บริการ) แท้จริงแสนลำบาก (2): โรคติดต่อและการล่อซื้อ
    Published on Tue, 2017-10-31 16:48 เรื่อง กรกฤช สมจิตรานุกิจ ภาพประกอบ อิศเรศ เทวาหุดี

    ในตอนที่แล้วเราได้สำรวจมายาคติ ชีวิตและความหลากหลายของพนักงานบริการแต่ละประเภทไปแล้ว ในตอนที่ 2 นี้จะกล่าวถึงวิธีที่พวกเธอใช้ป้องกันตัวเองจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการล่อซื้อของเจ้าหน้าที่รัฐ

    26282480799_2a789d8745_z.jpg

    ‘แหล่งแพร่เชื้อ’ เมื่อรัฐไม่แคร์ จึงต้องดูแลตัวเอง
    หนึ่งในมายาคติที่คนในสังคมมีต่อพนักงานบริการคือพวกเธอเป็นพาหะของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ต้องมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้ามากหน้าหลายตาทำให้พวกเธอเสี่ยงต่อการติดกามโรค แต่ก็ใช่ว่าพวกเธอจะไม่มีการป้องกันตัว มาตรการป้องกันโดยทั่วไปที่พนักงานบริการพึงปฏิบัติกันคือการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่ให้บริการและหลีกเลี่ยงการจูบกับลูกค้า ในกรณีของอาบอบนวด เจ้าของร้านจะจ้างหมอมาตรวจสุขภาพทั่วไปให้กับพนักงานทุกๆ เดือนและทุกๆ 3 หรือ 6 เดือนจะมีการตรวจเลือด เพราะหากมีข่าวว่ามีลูกค้าติดโรคจากสถานบริการของตนแพร่ออกไป กิจการของพวกเขาอาจต้องพบกับจุดจบ

    แต่สำหรับพนักงานบ้านสาวในจังหวัดสมุทรสาคร พวกเธอต้อง ‘ดูแลตัวเอง’ เพราะทางร้านจะไม่จัดหาแพทย์มาให้ แต่โชคดีที่ในจังหวัดสมุทรสาครมีอาสาสมัครและภาคประชาสังคมที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ ที่คอยให้ความรู้ด้านสุขภาวะทางเพศและสิทธิตามกฎหมายให้กับพวกเธอ รวมถึงกระตุ้นให้พวกเธอเห็นความสำคัญของการไปตรวจโรค

    ปลา (นามสมมติ) อดีตพนักงานบริการวัย 43 ปี ที่ปัจจุบันเป็นอาสาสมัครของมูลนิธิ Empower หรือมูลนิธิส่งเสริมโอกาสผู้หญิง กล่าวว่าเธอทำงานเป็นอาสาสมัครมานานกว่าสิบปีแล้ว ทำให้เธอรู้จักกับพนักงานบริการในพื้นที่เป็นอย่างดี ปลาระบุว่าในจังหวัดสมุทรสาครมีพนักงานบริการอยู่ประมาณ 400 คน มีเพียง 9 คนเท่านั้นที่มีเชื้อ HIV และส่วนใหญ่ได้รับเชื้อก่อนเข้าสู่วงการ งานของปลาคือช่วยให้พนักงานตระหนักในสิทธิตามกฎหมายของตน พนักงานหลายคนไม่รู้ว่ารัฐไทยมีบริการตรวจโรคเอดส์ฟรี 2 ครั้งต่อปี แค่เพียงแสดงบัตรประชาชน พนักงานที่ติดเชื้อบางคนไม่รู้ว่าพวกเธอสามารถเข้าถึงยาต้านไวรัสได้โดยใช้สวัสดิการบัตรทอง บางคนเลือกที่จะเก็บตัวจนอาการทรุดหนักถึงตัดสินใจมาขอความช่วยเหลือจากปลา

    ปลากล่าวว่าการทำงานอาสาสมัครในระยะแรกมีความยากลำบากมากในการกระตุ้นให้พนักงานไปตรวจสุขภาพและร่วมกิจกรรมกับทางมูลนิธิ เพราะพนักงานมองว่าเป็นกิจกรรมที่ทำให้เสียเวลาทำมาหากิน ทั้งนี้เพราะโรงพยาบาลจะรับตรวจโรคแค่ช่วงกลางวัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาพักผ่อนของพวกเธอ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลมักมีทัศนคติไม่ดีต่อพนักงานบริการจึงปฏิบัติและใช้คำพูดกับพวกเธออย่างไม่ให้เกียรติ พวกเธอจึงไม่ค่อยอยากจะไปตรวจ ปลาต้องเริ่มจากการสร้างความสัมพันธ์กับพนักงานผ่านการแจกถุงยาง ซึ่งถือเป็นเครื่องมือทำหากินพื้นฐานของพนักงานบริการและจัดหารถเช่าเพื่อพาพนักงานไปตรวจที่โรงพยาบาล

    แต่ก็มิใช่ว่ารัฐไทยจะไม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพของพนักงานบริการเลย ตรงกันข้าม บางครั้งรัฐไทยก็ดูจะให้ความสำคัญ ‘มากเกินไป’ เสียด้วยซ้ำ ปลากล่าวว่า เจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำจังหวัดเคยมาขอให้พนักงานไปตรวจภายในทุกเดือนที่คลินิกกามโรคประจำจังหวัด โดยมีเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลสมุทรสาครคอยให้บริการ โดยบางครั้ง ขู่ว่าหากไม่ทำตามจะส่งตำรวจไปสั่งปิดร้าน ปลาไม่ทราบว่าเหตุใดเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจึงมีอำนาจสั่งการเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ แต่เธอมีข้อสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเพราะเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวมีสามีเป็นตำรวจ

    การตรวจภายในไม่ใช่กิจกรรมที่น่าภิรมย์นักสำหรับพนักงานบริการ เพราะพวกเธอจะต้องขึ้นขาหยั่งให้แพทย์เอาคีมปากเป็ดสอดเข้าไปในช่องคลอด ซึ่งทำให้พวกเธอเจ็บมากและอาจทำงานไม่ได้ไปทั้งวัน แต่พวกเธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมทำตาม เพราะการมีปัญหากับเจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่ต่างจากการยื่นใบลาออกจากอาชีพที่พวกเธอทำอยู่ ซ้ำอาจจะนำปัญหามาสู่เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ อีกด้วย สิ่งที่ปลาพอทำได้เพื่อช่วยเหลือเพื่อนพนักงานคือรวบรวมความคิดเห็นของพนักงานส่งไปให้กับทางต้นสังกัดและหวังว่าพวกเขาจะรับฟังเท่านั้น

    แต่สำหรับพนักงานบริการในจังหวัดกระบี่ พวกเธอต้องแบกรับต้นทุนในการไปตรวจโรคด้วยตัวเอง นายจ้างของพวกเธอไม่จัดหาแพทย์มาให้ และไม่มีภาคประชาสังคมทำงานอยู่ในพื้นที่ ในอดีต จังหวัดกระบี่เคยมีอาสาสมัครของมูลนิธิ Empower คอยช่วยให้การสนับสนุนด้านสุขภาพกับเหล่าพนักงานเช่นเดียวกับในจังหวัดสมุทรสาคร แต่หลังจากปี 2555 เป็นต้นมา ทางมูลนิธิได้รับเงินทุนสนับสนุนน้อยลง สำนักงานที่กระบี่จึงต้องปิดตัวลง เมื่อไม่มีภาคประชาสังคมคอยสนับสนุน พนักงานบริการในจังหวัดกระบี่จึงไปตรวจโรคน้อยลงตามไปด้วย ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะโรงพยาบาลที่มีบริการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ฟรีตั้งอยู่ในตัวเมืองกระบี่ซึ่งไกลจากอำเภออ่าวนาง 16 กิโลเมตร

    จูนจำไม่ได้แล้วว่าเธอไปตรวจโรคครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ นั่นอาจจะเมื่อ 5 หรือ 6 เดือนที่แล้ว พร้อมกล่าวต่อว่า “เออ เดี๋ยวไปตรวจหน่อยดีกว่า” ด้านลิลลี่สาวบาร์ที่ทำงานที่อ่าวนาง จังหวัดกระบี่ มาร่วมสิบปี กล่าวว่าเธอไปตรวจโรคพร้อมกับฝังยาคุมกำเนิดทุกๆ 3 เดือนที่โรงพยาบาลกระบี่ หรือไม่ก็คลินิกในอำเภออ่าวนาง แต่เธอก็ยอมรับว่าไม่ใช่พนักงานทุกคนที่จะใส่ใจดูแลตัวเอง ในอดีตจะมีอาสาสมัครมูลนิธิมาเดินแจกถุงยางอนามัย ซึ่งถือเป็นเครื่องมือทำมาหากินของพนักงานบริการ คอยมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบและเตือนให้พวกเธอไปตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่อง แต่หลังมูลนิธิปิดตัวลง พวกเธอก็ไม่มีใครมาช่วยแบ่งเบาภาระด้านการดูแลสุขภาพของพวกเธออีกเลย

    ‘อาชีพผิดกฎหมาย?’ การล่อซื้อและความดัดจริตของกฎหมายไทย
    “เขาก็มาตามตื้อ ตามจีบ มาเอาอกเอาใจอยู่เป็นเดือนๆ จนสุดท้ายเด็กเขาก็เริ่มไว้ใจ เริ่มรู้สึกว่า เออ พี่เขาก็เป็นคนดีนะ เขาคงไม่ทำร้ายเราหรอก พูดง่ายๆ คือเริ่มชอบเขานั่นแหละ สุดท้ายก็ตัดสินใจไปกับเขา แล้วก็โดนจับ แต่ที่น่าเศร้าที่สุดคืออะไรรู้ไหม? คือผู้ชายที่เธอไว้ใจคนนั้นนั่นแหละเป็นคนสอบสวนเธอด้วยตัวเอง จดบันทึกการสอบสวนเองต่อหน้าเธอเลย”

    แจ๊ส (นามสมมติ) สาวบาร์และอาสาสมัครมูลนิธิ Empower

    “ศาลฎีกาให้เหตุผลว่า การร่วมหลับนอนกับหญิงขายบริการถือเป็นการกระทำเท่าที่จำเป็นและสมควรในการแสวงหาพยานหลักฐานในการกระทำความผิดของผู้ต้องหาในคดีอาญา และชี้ว่าเหตุที่เจ้าหน้าที่ต้องทำอย่างนั้นเพราะไม่มีทางเลือก”

    เดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ

    “เราต้องเข้าใจก่อนว่าพนักงานเขาก็เป็นมนุษย์ ไม่ใช่ยาเสพติด หรือสิ่งของผิดกฎหมายที่จะมาล่อซื้อกันได้ เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติกับเขาอย่างให้เกียรติ และเคารพศักดิ์ศรีความเป็นคน และสังคมก็ควรจะเข้าใจว่าการมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้าถือเป็นความพึงพอใจส่วนบุคคล”

    อังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

    หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมถึงต้องดัดจริตเรียก ‘บ้านสาว’ ว่าร้านคาราโอเกะ แถมยังต้องมีตู้คาราโอเกะปลอมวางหลอกอยู่หน้าร้านอีก คำตอบก็คือเพราะกฎหมายประเทศไทยบังคับให้ต้อง ‘ดัดจริต’

    การค้าประเวณีในประเทศไทยนั้นเป็นเรื่องผิดกฎหมายเช่นเดียวกับหลายประเทศในทวีปเอเชีย แต่การเปิดสถานบริการอาบอบนวดและร้านคาราโอเกะกลับถูกจัดให้อยู่ในส่วนของสถานบริการทั่วไป ซึ่งไม่ผิดกฎหมาย บ้านสาวจึงต้องมีตู้คาราโอเกะหลอกตาเพื่อให้สามารถจดทะเบียนเป็นสถานประกอบการที่ถูกต้องตามกฎหมายได้

    ส่วนการขายบริการทางเพศของผู้ให้บริการถือเป็นการตกลงกันเองระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อโดยไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าของสถานบริการ แต่หากเจ้าของสถานบริการละเมิดกฎหมายอื่นๆ เช่น ใช้พนักงานอายุต่ำกว่า 18 ปี หรือมีแรงงานผิดกฎหมาย ก็อาจจะถูกตั้งข้อหาค้ามนุษย์ได้ แต่คนที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่เคยแตะต้องเลยก็คือลูกค้า กล่าวอย่างง่ายคือ ‘นายจ้างถูกกฎหมาย พนักงานผิดกฎหมาย ผู้ใช้บริการลอยตัว’ ภาวะอีหลักอีเหลื่อดังกล่าวทำให้พนักงานไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการที่ผู้ใช้แรงงานทั่วไปพึงได้รับ เช่น ค่าแรงขั้นต่ำหรือสิทธิในการลาหยุด ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเกิดการบุกจับโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ถูกดำเนินคดีส่วนใหญ่ก็คือเหล่าพนักงานในขณะที่เจ้าของสถานบริการมีกฎหมายคุ้มครอง แต่เจ้าหน้าที่รัฐจะเข้าไปจับผู้กระทำผิดกฎหมายในสถานที่ที่ถูกกฎหมายได้อย่างไร?

    ... คำตอบก็คือการ ‘ล่อซื้อ’

    หากยังจำกันได้ ในเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ได้เกิดการล่อซื้อที่เป็นข่าวดังไปทั่วประเทศที่อาบอบนวด “นาตารี” ย่านห้วยขวาง (อ่านข่าว) พนักงาน 119 คน ถูกจับกุม โดยในจำนวนนี้เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี 7 คน โดย 1 คนเป็นเยาวชนไทย และอีก 6 คนเป็นชาวพม่า เจ้าของสถานบริการถูกตั้งข้อหาค้ามนุษย์ ส่วนพนักงานถูกตั้งข้อหาร่วมกันค้าประเวณี โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกกับสื่อว่าพวกเขาใช้เวลากว่า 3 เดือน ในการเฝ้าติดตามสถานบริการแห่งนี้ ก่อนจะเข้าล่อซื้อพนักงาน 3 คน และแสดงตัวเข้าจับกุม

    เหตุการณ์ดังกล่าวมีประเด็นให้ตั้งคำถามมากมาย เจ้าหน้าที่มีความจำเป็นอย่างไรในการเข้าล่อซื้อพนักงาน ถึง 3 คน ทั้งๆ ที่ใช้เวลาสืบก่อนหน้านั้นถึง 3 เดือน? เหตุใดจึงไม่มีการดำเนินคดีกับลูกค้าและเจ้าหน้าที่ที่ใช้บริการเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี? เหตุใดการขายบริการและการมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้าจึงเป็นสิ่งผิดกฎหมาย?

    เดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความและวิทยากรเครือข่ายทนายคลายทุกข์กล่าวว่ากล่าวว่า หากดูตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 4 ระบุว่า การค้าประเวณีหมายถึงการยอมรับการกระทำชำเรา หรือการยอมรับการกระทำอื่นใด เพื่อสำเร็จความใคร่ในทางกามารมณ์ของผู้อื่น อันเป็นการสำส่อนเพื่อสินจ้างหรือประโยชน์อื่นใด ทั้งนี้ไม่ว่าผู้ยอมรับการกระทำและผู้กระทำจะเป็นบุคคลเพศเดียวกันหรือคนละเพศ ดังนั้น บุคคลที่ทำอาชีพค้าประเวณีย่อมกระทำผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว นั่นจึงทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเข้าจับกุมได้ทันที อาจโดยการใช้ธนบัตรที่ซื้อขายเป็นหลักฐาน หรือแม้กระทั่งต้องใช้วิธีการปลอมเป็นลูกค้าและรับบริการจากพนักงานก่อนจึงเปิดเผยตัวเพื่อจับกุมตามกฎหมาย

    “ในประเทศไทยวิธีการล่อซื้อจะใช้กับคดียาเสพติดเป็นส่วนใหญ่ ซึ่ง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีสิ่งเสพติด พ.ศ.2550 ระบุในหมวดที่ 1 การสืบสวน มาตรา 7 ว่า ตำรวจสามารถใช้วิธีการอำพรางได้ อำพรางหมายถึงการดำเนินการทั้งหลายที่เป็นการปิดบังสถานะ หรือวัตถุประสงค์ของการดำเนินการโดยลวงผู้อื่นหรือให้เข้าใจไปทางอื่น หรือเพื่อไม่ให้รู้ความจริงเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจเจ้าพนักงาน นั่นหมายความว่า (ตำรวจ) ปลอมตัวได้ ทำตัวเป็นสายลับได้ ไปโกหกผู้ต้องหาได้ ไปหลอกล่อได้ ทำอย่างไรก็แล้วแต่เพื่อให้ได้ยาเสพติดมา แต่ไม่ให้ใครรู้ว่าเป็นตำรวจ เรื่องเหล่านี้คือการอำพรางที่มีอยู่ในกฎหมายยาเสพติด ทั้งในกฎหมายประมวลวิธีพิจารณาความอาญาก็ยอมรับเรื่องการล่อซื้อ ถ้าเป็นการล่อซื้อในคดีที่เป็นอาญาแผ่นดิน เช่น ยาเสพติด การค้ากาม การค้าประเวณี ก็สามารถกระทำได้”

    หากดูคดีความทางกฎหมาย เดชาตั้งข้อสังเกตย้อนไปในปี พ.ศ.2518 ฎีกาที่ 1163/2518 และปี พ.ศ. 2554 ฎีกาที่ 10632/54 ยืนยันว่า มีการล่อซื้อในลักษณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมหลับนอนหรือร่วมประเวณีกับผู้หญิงขายบริการและใช้บริการจนเสร็จ จนมีของกลางที่ครบองค์ประกอบความผิดคือมีอสุจิและถุงยางอนามัย ก็สามารถเอามาเป็นพยานวัตถุเพื่อพิสูจน์การกระทำความผิดของพนักงานบริการได้

    “ศาลฎีกาให้เหตุผลว่า การร่วมหลับนอนกับหญิงขายบริการถือเป็นการกระทำเท่าที่จำเป็นและสมควรในการแสวงหาพยานหลักฐานในการกระทำความผิดของผู้ต้องหาในคดีอาญา และชี้ว่า เหตุที่เจ้าหน้าที่ต้องทำอย่างนั้นเพราะไม่มีทางเลือก จึงจำเป็นต้องจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางหรือพยานหลักฐานหรือที่เรียกว่าแบบคาหนังคาเขา คือมีอสุจิและถุงยางอยู่ด้วย”

    “สรุปคือศาลฎีกายอมรับได้ และนับว่าไม่ใช่การล่อเพื่อให้ผู้ขายบริการกระทำความผิด หมายถึงผู้ค้าบริการเหล่านี้มีเจตนาค้ากามอยู่แล้ว ฉะนั้น หากบุคคลนั้นไม่ได้มีเจตนาที่จะให้บริการร่วมประเวณีหรือค้าประเวณีตั้งแต่ต้น แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปล่อซื้ออย่างไรก็จะไม่ยอมหลับนอนร่วมกับตำรวจ นี่คือแนวคิดของศาลฎีกาไทย” เดชากล่าว

    อย่างไรก็ตาม อังคณา นีละไพจิตร คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า พนักงานบริการไม่ได้จำเป็นจะต้องมีเพศสัมพันธ์เสมอไป มีหลายกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐแฝงตัวมาเป็นลูกค้า เข้ามาตีสนิท และเป็นฝ่ายโน้มน้าวให้พนักงานมีเพศสัมพันธ์กับตน ก่อนจะแสดงตัวเข้าจับกุม และพาสื่อมวลชนเข้ามารุมถ่ายรูปพวกเธอ ซึ่งทาง กสม. เองก็มีการเชิญหน่วยงานต่างๆ เข้ามาพูดคุย เช่น กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งทุกหน่วยงานต่างยืนยันว่าไม่เคยสนับสนุนการล่อซื้อในระดับนโยบาย แต่ก็ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในระดับปฏิบัติ

    “มันต้องมีการคิดใหม่กันในเรื่องนี้ เราต้องเข้าใจก่อนว่าพนักงานเขาก็เป็นมนุษย์ ไม่ใช่ยาเสพติด หรือสิ่งของผิดกฎหมายที่จะมาล่อซื้อกันได้ เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติกับเขาอย่างให้เกียรติ และเคารพศักดิ์ศรีความเป็นคน และสังคมก็ควรจะเข้าใจว่าการมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้าถือเป็นความพึงพอใจส่วนบุคคล”

    อังคณากล่าวอีกด้วยว่าพนักงานที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐล่อซื้อหรือละเมิดสิทธิ สามารถเข้ามายื่นเรื่องร้องเรียนต่อ กสม. ได้ โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีกลุ่มทำงานเพื่อพนักงานบริการเข้ายื่นเรื่องต่อ กสม. 2 กรณี โดยเป็นการยื่นเรื่องในนามองค์กร เพราะการเรียกร้องประเด็นดังกล่าวในนามบุคคลอาจทำให้เธอถูกเพ่งเล็งได้

    อย่างไรก็ตาม การล่อซื้อไม่ใช่สิ่งที่เกิดเป็นประจำทุกวันจนพนักงานบริการไม่สามารถทำงานได้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มันเกิดขึ้น นั่นแสดงว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีจุดประสงค์บางประการ แจ๊ส (นามสมมติ) สาวบาร์และอาสาสมัครมูลนิธิ Empower วัย 47 ปี จากจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่าหลังจากประเทศไทยถูกจัดอันดับให้อยู่ใน Tier 3 ซึ่งถือเป็นระดับที่แย่ที่สุดของรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ปี 2016 (TIP Report 2016) การล่อซื้อก็เกิดบ่อยขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และยิ่งเพิ่มมากขึ้นหลังมีการออก พ.ร.ก.การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวเมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยเหยื่อของการล่อซื้อส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปที่พนักงานบริการที่เป็นแรงงานข้ามชาติ หรือเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี พนักงานที่โดนล่อซื้อส่วนใหญ่มักจะเลือกที่จะเดินออกจากวงการ เพราะมันได้สร้างประสบการณ์ที่เลวร้ายให้กับพวกเธอ แต่ต่อให้พวกเธออยากจะกลับมาทำงานต่อ สถานบริการก็ไม่ค่อยอยากจะจ้างเพราะกลัวเธอจะเป็นสายให้กับตำรวจ พวกเธอจึงมีทางเลือกสองทางคือไปหางานทำที่อื่น หรือไม่ก็ต้องเปลี่ยนอาชีพ

    “เวลาตำรวจจะล่อซื้อ เขาไม่ได้เลือกจับใครก็ได้นะ แต่เขาเลือกเลยว่าฉันจะเอาคนนี้ เคยมีครั้งหนึ่ง ตำรวจแฝงตัวมาเป็นลูกค้ามาถามเจ้าของร้านว่ามีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ไหม พอเจ้าของร้านบอกไม่มี เขาก็บอกให้ช่วยหาให้หน่อย เจ้าของร้านก็หามาให้ ตอนแรกเด็กก็ไม่กล้าไป (ให้บริการทางเพศ) ด้วย ไม่ใช่เพราะกลัวว่าเป็นตำรวจนะ กลัวเจอลููกค้านิสัยไม่ดี แต่เขาก็มาตามตื้อ ตามจีบ มาเอาอกเอาใจอยู่เป็นเดือนๆ จนสุดท้ายเด็กเขาก็เริ่มไว้ใจ เริ่มรู้สึกว่า เออ พี่เขาก็เป็นคนดีนะ เขาคงไม่ทำร้ายเราหรอก พูดง่ายๆ คือเริ่มชอบเขานั่นแหละ สุดท้ายก็ตัดสินใจไปกับเขา แล้วก็โดนจับ แต่ที่น่าเศร้าที่สุดคืออะไรรู้ไหม? คือผู้ชายที่เธอไว้ใจคนนั้นนั่นแหละเป็นคนสอบสวนเธอด้วยตัวเอง จดบันทึกการสอบสวนเองต่อหน้าเธอเลย” แจ๊สกล่าว

    แจ๊สกล่าวต่อว่า รัฐไทยไม่ควรเอาปัญหาการค้ามนุษย์มาสร้างความชอบธรรมให้กับล่อซื้อ เพราะไม่ใช่พนักงานทุกคนที่เป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ จริงอยู่ที่มีแรงงานข้ามชาติจำนวนมากเข้ามาทำงานเป็นพนักงานบริการในประเทศไทยโดยไม่มีการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่พวกเธอไม่ได้ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวหรือโดนยึดหนังสือเดินทาง ตรงกันข้ามพวกเธอเลือกเข้าสู่วงการด้วยความสมัครใจ เพราะมองว่าเป็นงานที่รายได้ดี พวกเธอหลายคนอยากจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่อาจติดปัญหาเรื่องเอกสาร หรือบางคนก็เลือกที่จะไม่จดเพื่อความคล่องตัวในการทำงาน เพราะแรงงานข้ามชาติจะต้องจดทะเบียนกับนายจ้างเพียงคนเดียว ซึ่งตรงกันข้ามกับธรรมชาติของงานบริการที่จำเป็นต้องโยกย้ายที่ทำงานอยู่เสมอ

    ด้านจันทวิภา อภิสุข ผู้อำนวยการมูลนิธิ Empower กล่าวว่า ปัญหาการล่อซื้อระหว่างผู้ค้าบริการทางเพศกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นมีมานานกว่า 32 ปี หรือยาวนานกว่า 14 รัฐบาล แต่กลับยังไม่สามารถแก้ไขได้ แถมยังพบเห็นกรณีการล่อซื้อพนักงานบริการทางเพศโดยเจ้าพนักงานที่ใช้อำนาจหน้าที่อย่างไม่สุจริต โดยอ้างว่าเพื่อหาหลักฐานพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหา เธอเสริมว่าหากรัฐไทยต้องการปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง ก็ควรทุ่มงบประมาณไปกับการเปิดโปงเครือข่ายผู้มีอิทธิพล และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่แสวงหาผลประโยชน์จากขบวนการดังกล่าว แทนการไล่จับคนตัวเล็กตัวน้อย ซึ่งอาจจะไม่ใช่เหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์จริงๆ เสียด้วยซ้ำ

    "หลายที่ซึ่งเป็นร้านอาหารหรือคาราโอเกะ แต่ละเดือน มีการจดทะเบียนแม่บ้านถึงกว่า 50 คน รายได้ของสถานประกอบการมีมากถึง 15-19 ล้านบาท แต่ปรากฏว่าคนที่ได้ผลประโยชน์ตามกฎหมายและแสวงหาประโยชน์จากการค้ามนุษย์ทั้งแรงงานทาสและค้าประเวณี กลับจับไม่ได้สักคน นอกจากนั้น หลักฐานที่เป็นโพย รายชื่อหน่วยงาน หรือเอกสารการรับเงินต่างๆ ก็ไม่สามารถเป็นหลักฐานได้ แต่ถุงยางอนามัยใช้แล้วที่ตำรวจไปล่อซื้อกลับใช้ได้”

    "ส่วนตัวแล้ว การล่อซื้อนั้นไม่ควรจะมี เพราะกลายเป็นว่าของที่ได้จากหน่วยงานหนึ่งในการป้องกันโรค กลับกลายเป็นของที่ทำให้ถูกจับ มีความผิด เมื่อมองไปถึงการล่อซื้อ มันคือการร่วมกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่ โดยวิธีการสร้างหลักฐานที่ไม่สุจริต แต่เจ้าหน้าที่ก็อ้างว่า ถ้าไม่ทำอย่างนั้นจะจับอย่างไร เราก็เกิดคำถามต่อว่า แล้วทำไมต้องจับ ทุกคนก็ร่วมเพศ เราก็ร่วมเพศ ใครๆ ก็ร่วมเพศ การร่วมเพศในบ้านไม่ผิด แต่ทำไมการร่วมเพศในที่ทำงานถึงผิด ที่โรงแรมถึงผิด มันต้องคิดใหม่ มีมุมมองใหม่และทบทวนใหม่ว่า เจ้าหน้าที่มีสิทธิพิเศษอะไรที่ทำแล้วไม่มีความผิด แถมยังใช้เป็นเครดิตในการเพิ่มความสำเร็จในการทำงาน โดยที่อีกฝ่ายต้องถูกปรับ จับ จำขัง และเอาไปป่าวประจานต่อหน้าหนังสือพิมพ์ เรื่องนี้เราคงต้องคิดใหม่"

    จะเห็นได้ว่าการล่อซื้อได้ทำให้ชีวิตของพนักงานบริการไม่ต่างจากการ ‘เล่นหวย’ ซึ่งเป็นหวยที่พวกเธอไม่อยากถูกแม้แต่งวดเดียว ด้วยเหตุนี้ มูลนิธิ Empower ที่ทำงานด้านการส่งเสริมสิทธิพนักงานบริการในประเทศไทยมานานกว่า 30 ปี จึงพยายามผลักดันให้มีการยกเลิกการล่อซื้อ รวมถึง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาอย่างต่อเนื่อง โดยในการการพิจารณารายงานอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination Against Women-CEDAW) ณ กรุงเจนีวา ที่ประเทศไทยเข้าร่วมเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทางมูลนิธิได้มีโอกาสเขียนรายงานสะท้อนปัญหาของพนักงานบริการในประเทศไทยส่งไปยังคณะกรรมการว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ หรือ คณะกรรมการ CEDAW ซึ่งทางคณะกรรมการมีข้อเสนอเร่งด่วนต่อรัฐไทยในประเด็นการค้าบริการอยู่ 3 ข้อด้วยกันคือ

    1.ให้พิจารณายกเลิก พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539

    2.ยกเลิกการบุกจับ ล่อซื้อ และข่มขู่คุกคามพนักงานบริการทุกรูปแบบ และ

    3.คือให้นำเอากฎหมายแรงงานและสวัสดิการสังคมมาบังคับใช้กับสถานบริการ

    และนี่คือคำแก้ต่างของรัฐไทย

    วิวัฒน์ แท่งหงษ์ ผู้แทนจากกระทรวงแรงงานกล่าวว่าในที่ประชุม CEDAW ทุกวันนี้พนักงานบริการก็ได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายแรงงานและสวัสดิการประกันสังคมเฉกเช่นแรงงานในธุรกิจอื่นๆ พร้อมเน้นย้ำว่าแรงงานข้ามชาติก็สามารถทำงานในสถานประกอบการได้อย่างถูกกฎหมายและได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานเช่นเดียวกัน

    ด้านจุรี วิจิตรวาทการ คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่าการแก้กฎหมายการค้าประเวณีเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและยังคงเป็นที่ถกเถียงอยู่ในสังคมวงกว้างซึ่งทางรัฐไทยยังไม่มีข้อสรุปในประเด็นดังกล่าว โดยเธอเชื่อว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำหนดให้ต้องมีการจัดประชาพิจารณ์และรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในขั้นตอนการร่างกฎหมายจะช่วยทำให้มีการถกเถียงในเรื่องดังกล่าวกันมากขึ้น

    และสุดท้าย พล.ต.ท. ไกรบูลย์ ทรวดทรง จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้กล่าวต่อคณะกรรมการ CEDAW ว่า

    “ในกรณีการล่อซื้อ เราขอยืนยันว่าคณะกรรรมการสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่เคยมีนโยบาย และไม่สนับสนุนการให้เจ้าหน้าที่ใช้มาตรการดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติยินดีรับฟังข้อมูลและข้อร้องเรียกจากทุกภาคส่วนหากเกิดการประพฤติไม่ชอบของเจ้าหน้าที่ และพร้อมที่จะดำเนินการสอบสวนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเหล่านั้น”

    คำตอบของรัฐไทยในเวทีโลกดูเหมือนจะเป็นการปฏิเสธกลายๆ ว่าปัญหาต่างๆ ที่พนักงานบริการสะท้อนออกมาในรายงานข่าวชิ้นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย นั่นแปลว่าพวกเธอก็คงจะต้องอยู่กับความเสี่ยงที่จะโดนล่อซื้อต่อไปอีกพักใหญ่ แต่ต่อให้การล่อซื้อหมดไปจากประเทศไทย ก็ไม่ได้หมายความพวกเธอจะปลอดจากการคุกคามของเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะอันที่จริงแล้ว การล่อซื้อและการบุกจับสถานบริการที่ปรากฏผ่านสื่อนั้นเป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น

    (โปรดติดตามตอนต่อไป)


    https://prachatai.com/journal/2017/10/73900
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เป็นผู้หญิง (บริการ) แท้จริงแสนลำบาก (3): ส่วย ผลงาน และรัฐประหาร Published on Thu, 2017-11-02 01:13 เรื่อง กรกฤช สมจิตรานุกิจ ภาพประกอบ อิศเรศ เทวาหุดี

    ตอนสุดท้ายของซีรีส์ชีวิตพนักงานบริการ ตีแผ่ประเด็นที่พูดกันยาก แถมบ่อยครั้งอาจนำภัยมาสู่ผู้ที่เปิดโปง นั่นคือ ‘ส่วย’ ที่เจ้าของสถานบริการต้องจ่ายให้เจ้าหน้าที่รัฐ และคนที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งจ่ายเป็นประจำและจ่ายในโอกาสพิเศษเช่น “วันเกิดนาย” จนถึง “ซองผ้าป่า” พร้อมทบทวนว่าหลังรัฐประหารปี 57 ส่งผลอย่างไรต่อชีวิตพนักงานบริการ

    38092311931_0ddd302375_z.jpg

    “ตอนเราถามเพื่อนว่า ทำดีไหม เขาก็บอกทำเลยๆ แต่พอตำรวจมาถามว่าใครทำ ก็พากันตอบว่าอีนี่แหละทำ”

    จูน (นามสมมติ) ผู้เปิดโปงเรื่องส่วยบาร์เบียร์อ่าวนาง

    ‘ส่วย’ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการทำธุรกิจสีเทาทุกรูปแบบ เจ้าของสถานบริการทุกรายที่ไม่ได้มีเส้นสายเป็นคนใหญ่คนโต จำเป็นต้องจ่ายเงินจำนวนมากต่อปีเพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ และปล่อยให้ธุรกิจของพวกเขาดำเนินไปโดยสะดวก ยิ่งสถานบริการตั้งอยู่ในจุดที่มีนักท่องเที่ยวมากเท่าไหร่ ส่วยที่จะต้องจ่ายก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

    จูน (นามสมมติ) พนักงานบาร์วัย 39 ปี ในย่าน RCA ของอ่าวนาง จังหวัดกระบี่ กล่าวว่าเธอมีหน้าที่ทำบัญชีรายรับรายจ่ายของร้าน โดยทุกสัปดาห์เจ้าของร้านจะให้รายชื่อหน่วยงานรัฐและจำนวนเงินที่ต้องจ่ายให้ในสัปดาห์นั้นๆ กับเธอ และเมื่อถึงเวลาก็จะมีคนมาเก็บเงิน เธอกล่าวว่าในอดีต มีเพียงไม่กี่หน่วยงานที่ทางร้านต้องจ่ายส่วยให้แต่หลังจากมีรัฐประหารขึ้นในปี 2557 จำนวนหน่วยงานรัฐที่เข้ามาขอส่วนแบ่งก็เพิ่มมากขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ

    “วันหนึ่งก็มีผู้ชายเดินเข้ามาในร้าน ทำตัวกร่าง บอกว่ามาจากภาค 8 บอกว่ามาจะมาเก็บเงิน ต้องจ่ายนะไม่งั้นจะสั่งปิดร้าน คือเราไม่มีปัญหาหรอกเรื่องเงิน ยังไงเราก็ต้องจ่าย แต่ทำไมคุณไม่พูดกับเราดีๆ คุณบอกว่ามาจากภาค 8 แต่ภาค 8 คือใคร ทำอะไร เรายังไม่รู้เลย พอเราถามว่าทำไม่ต้องเก็บ เขาก็ตอบว่านายสั่งมา” จูนกล่าว

    ไม่ใช่แค่เพียง ‘ภาค 8’ เท่านั้น แต่ยังมีคนจาก ‘ตำรวจภูธร’ ‘กองสืบ’ ‘กอง 2’ และ ‘กอง 5’ และชื่ออื่นๆ อีกมากมายที่จูนไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใครและมีหน้าที่อะไร เข้ามาขอเก็บส่วยอย่างต่อเนื่อง โดยแต่ละหน่วยงานจะเรียกส่วยแตกต่างกันออกไปมีตั้งแต่ 1,000-2,000 บาท จากที่เคยต้องจ่ายอาทิตย์แค่ละ 2,000-3,000 บาท ก็เพิ่มเป็นมากกว่า 10,000 บาท ซึ่งยับไม่นับรวมสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่เจ้าหน้าที่จะเข้ามาเรี่ยไรตามโอกาสต่างๆ เช่น ทอดผ้าป่า เลี้ยงส่งนาย หรือวันเกิดนาย การเก็บเงินแต่ละครั้งจะไม่มีหลักฐานการรับเงิน และคนที่มาเก็บเงินก็มักจะไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ จึงไม่มีการแสดงบัตรประจำตัวใดๆ เธอจึงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนไหนเป็น ‘แก๊งมิจฉาชีพ’ คนไหนเป็นคนของ ‘เจ้าหน้าที่รัฐ’ แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยอมจ่ายไปเพราะไม่อยากมีปัญหา

    แต่ในที่สุด จูนก็รู้สึกว่า ‘มันชักจะมากเกินไปแล้ว’ เธอจึงเริ่มปรึกษาเพื่อนพนักงานว่าควรเอาเรื่องนี้ไปบอกสื่อดีไหม ซึ่งเพื่อนพนักงานต่างพากันเห็นด้วย จูนจึงส่งคลิปวีดีโอจากกล้องวงจรปิดของร้านในขณะที่มีชายที่อ้างว่ามาจาก ‘ภาค 8’ เข้ามาเก็บเงินกับทางร้านให้กับเพื่อนของเธอซึ่งรู้จักกับนักข่าว จนเรื่องดังกล่าวกลายเป็นข่าวดังในช่วงต้นปีที่ผ่านมา (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) ร้อนถึง พ.ต.ท.ปิยะพงษ์ บุญแก้ว รักษาราชการแทนผู้กำกับสถานตำรวจภูธรอ่าวนาง ต้องรีบออกมาชี้แจงกับสื่อว่าชายที่ปรากฎในคลิปไม่ใช่เจ้าหน้าที่สังกัดในตำรวจภูธรภาค 8 แต่เป็นอาสาสมัครตำรวจ สังกัด สภ.เมืองกระบี่ พร้อมเน้นย้ำว่าจะเร่งสอบสวนเรื่องดังกล่าวโดยด่วน

    ไม่นานหลังจากข่าวแพร่กระจายออกไป เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เริ่มดำเนินการสอบสวนว่า ‘ร้านใดเป็นผู้ปล่อยคลิป’ จูนกล่าวว่ามีตำรวจหลายนายเข้ามาในพื้นที่แล้วไล่ถามพนักงานแต่ละร้านว่าใครเป็นคนเอาคลิปไปปล่อย และที่น่าเศร้าที่สุดคือเหล่าเพื่อนพนักงานที่สนับสนุนให้เธอเปิดโปงเรื่องนี้กลับเป็นพากันชี้ตัวมาที่เธอ

    “ตอนเราถามเพื่อนว่า ทำดีไหม เขาก็บอกทำเลยๆ แต่พอตำรวจมาถามว่าใครทำ ก็พากันตอบว่าอีนี่แหละทำ” จูนกล่าวเชิงติดตลก

    จูนเล่าต่อว่าตำรวจไม่ได้ทำอะไรพนักงานหรือร้านของเธอ เพียงแต่มาตักเตือนว่าคราวหลังอย่าทำอีก อีกทั้งเจ้าของร้านยังสั่งให้เธอเดินสายขอโทษพนักงานคนอื่นๆ ภายในย่านที่ก่อความวุ่นวาย เธอกล่าวว่าบทเรียนสำคัญของเหตุการณ์นี้คือนอกจากเธอจะไม่สามารถไว้ใจเจ้าหน้าที่รัฐและเพื่อนร่วมงานได้แล้ว ‘สื่อ’ ก็ไว้ใจไม่ได้เช่นกัน เพราะตอนที่เธอส่งคลิปให้นักข่าว เธอขอให้มีการเบลอหน้าพนักงานภายในร้าน แต่เมื่อข่าวแพร่ออกไปกลับมีใบหน้าของพนักงานปรากฎอย่างชัดเจน หนำซ้ำสื่อบางสำนักยังเลือกที่จะเบลอหน้าชายที่เข้ามาเก็บเงิน แต่ไม่เบลอหน้าพนักงานอีกด้วย

    แต่ก็ใช่ว่าเรื่องนี้จะไม่มีโชคดีเลยเสียทีเดียว เพราะหลังจากสื่อนำเสนอเรื่องราวดังกล่าว จำนวนหน่วยงานรัฐที่เข้ามาขอเก็บเงินจากทางร้านก็ค่อยๆ ลดลง จนทุกวันนี้เหลือเพียงแต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่อ่าวนางเท่านั้น นอกจากนี้ ‘นายหัว’ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ย่าน RCA มาบอกกับเจ้าของร้านว่า สิ่งที่จูนทำนั้นดีแล้ว เพราะผ่านมาไม่มีใครกล้าออกมาต่อรอง สุดท้ายจูนจึงไม่ต้องขอโทษพนักงานคนอื่นๆ อีกทั้งนายหัวยังออกเงินให้บาร์ในย่าน RCA เอาไปซื้อกล้องวงจรปิดมาติดที่ร้านอีกด้วย

    อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ คือ อบต.อ่าวนาง ทาง อบต. ยืนยันว่าไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ กับเรื่องดังกล่าวโดยสุพจน์ ชดช้อย รักษาการแทนผู้อำนวยการสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม อบต.อ่าวนาง กล่าวว่าหน้าที่ในการดูแลสถานบริการเหล่านี้เป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่และปลัดอำเภอ หน้าที่ของ อบต. มีเพียงคอยตรวจดูว่าสถานบริการเหล่านี้มีการก่อสร้างถูกหลักสาธารณสุขและได้มาตรฐานความปลอดภัยหรือไม่เท่านั้น

    “สถานบริการในอำเภออ่าวนางมีอยู่ 3 ส่วน หนึ่งคือโรงแรมระดับสี่ถึงห้าดาว มีประมาน 40 กว่าแห่ง สองคือโรงแรมขนาดเล็กกับรีสอร์ท อันนี้มีประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ของสถานบริการทั้งหมด และสามคือสถานบันเทิง ซึ่งจะมีถนนทั้งเส้นที่มีแต่ร้านแบบนี้ประมาน 13-14 ร้าน และตรงหน้าหาดอีกประมาน 4-5 ร้าน หน้าที่ของเราคือดูว่าเขาจดทะเบียนถูกต้องไหม มีการวางระบบความปลอดภัยมากเพียงพอไหม มีระบบกำจัดขยะที่ดีพอแล้วหรือยัง” สุพจน์กล่าว “จริงๆ ผมคิดว่ามีนักท่องเที่ยวน้อยรายนะที่จะมาอุดหนุนร้านแบบนี้ ส่วนใหญ่เท่าที่ผมเห็นคือจะไปซื้อเบียร์จากเซเว่นมานั่งกินริมหาดมากกว่า”

    ส่วยถือเป็นอีกหนึ่งภาพสะท้อนของการที่อาชีพพนักงานบริการเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศไทยแต่กลับมีสถานบริการตั้งอยู่อยู่อย่างดาษดื่น หากยึดเอาข้อมูลจำนวนสถานบริการของทาง อบต.อ่าวนาง คูณกับข้อมูลการจ่ายส่วยของจูน จะพบว่าเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านี้สามารถทำเงินได้สูงถึง 800,000 บาทต่อเดือนจากส่วยของสถานบริการในอำเภออ่าวนางเพียงแห่งเดียว แถมเงินเหล่านี้ยังไม่มีการตรวจสอบว่าถูกใช้อย่างไรและใช้ไปกับเรื่องใด แต่พนักงานบริการในอำเภออ่าวนางยังถือว่าโชคดีในแง่ที่ว่าหากเจ้าของสถานบริการของพวกเธอสามารถทำให้เจ้าหน้าที่รัฐพึงพอใจได้ พวกเขาก็จะไม่เข้ามายุ่มย่ามกับชีวิตพวกเธอ



    แต่สำหรับพนักงานบริการ ‘บ้านสาว’ ที่มหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร พวกเธอยังคงต้องเผชิญการคุกคามของเจ้าหน้าที่รัฐแม้เจ้าของร้านจะจ่ายส่วยให้เจ้าหน้าที่ถึงวันละ 3,000 บาทก็ตาม เพราะไม่ใช่เพียงแค่เงินเท่านั้นที่เจ้าหน้าที่รัฐคอยเก็บเกี่ยวเอาจากเหล่าพนักงานบริการ ‘ผลงาน’ ก็เช่นกัน

    ที่มหาชัย จังหวัดสมุทรสาครมีธุรกิจสีเทาขนาดใหญ่สองธุรกิจซ้อนทับกันอยู่ หนึ่งคือสถานบริการ ‘บ้านสาว’ และสองคือแรงงานข้ามชาติทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมายที่เข้ามาทำงานที่ตลาดปลา ในสภาวะเทาซ้อนเทาเช่นนี้ เจ้าหน้าที่รัฐต้อง ‘ทำงานหนักเป็นพิเศษ’

    ปลาอดีตพนักงานบ้านสาวและอาสาสมัครมูลนิธิ Empower บอกกับเราว่า ทุกๆ คืน เจ้าหน้าที่ตำรวจจะขับรถวนเข้าออกซอยละแวกบ้านสาว พวกเขาไม่ได้มองหาพนักงานบริการ แต่มองหาแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายที่ต้องการมาใช้บริการบ้านสาว หากพวกเขาไม่มีใบอนุญาตทำงาน เจ้าหน้าที่ก็จะเข้าจับกุม ซึ่งแรงงานผู้โชคร้ายเหล่านี้มีอยู่สองทางเลือกคือไปเสียค่าปรับที่โรงพักหรือเสียค่าปรับที่ ‘หน้าปากซอย’ พูดง่ายๆ ก็คือ ‘สินบน’ นั่นเอง ในอดีต เจ้าหน้าที่รัฐจึงไม่ค่อยจะเข้ามายุ่งกับพนักงานบ้านสาวมากนัก เพราะลำพังแค่ตามจับแรงงานผิดกฎหมายเหล่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกเขา

    แต่เช่นเดียวกับชะตากรรมของพนักงานบริการในเชียงใหม่และกระบี่ ชีวิตของพวกเธอเปลี่ยนไปหลังการขึ้นสู่อำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

    “เมื่อก่อนเวลามีคนตีกันในร้าน โทรเรียกตำรวจ ต้องรอเป็นชั่วโมง จนไอ้คนที่ตีกันกลับบ้านกันไปหมดแล้ว ตำรวจถึงจะมา ทุกวันนี้เหรอ เจอบ่อยยิ่งกว่าผัวอีก”

    ปลา (นามสมมติ) อดีตพนักงานบ้านสาวและอาสาสมัครมูลนิธิ Empower



    ปลาบอกกับเราว่าความเปลี่ยนแปลงแรกที่เธอสังเกตเห็นคือค่าส่วย จากเดิมที่เคยจ่ายวันละ 2,000 บาทนิดๆ ก็ค่อยเพิ่มขึ้นมาเป็น 3,000 บาทในปัจจุบัน แต่ผลกระทบใหญ่ที่สุดคือการประกาศ พ.ร.ก.การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว แรงงานข้ามชาติจำนวนมากซึ่งเป็นลูกค้าหลักของพนักงานบริการตัดสินใจเดินทางกลับประเทศ เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวกำหนดอัตราโทษไว้สูง เธอคะเนว่าทำให้ลูกค้าของพวกเธอหายไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์ บ้านสาวที่เคยคึกคักชนิดที่ว่า ‘คนเดินเบียดกันเหมือนงานวัด’ กลับกลายเป็นซอยที่เงียบเหงา สวนทางกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติงานขยันขันแข็งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่คราวนี้เป้าหมายของพวกเขาคือพนักงานบริการ

    “เมื่อก่อนเวลามีคนตีกันในร้าน โทรเรียกตำรวจ ต้องรอเป็นชั่วโมง จนไอ้คนที่ตีกันกลับบ้านกันไปหมดแล้ว ตำรวจถึงจะมา ทุกวันนี้เหรอ เจอบ่อยยิ่งกว่าผัวอีก” ปลากล่าวพร้อมหัวเราะ

    ปลาบอกว่า หลังเกิดรัฐประหารเจ้าหน้าที่ตำรวจมักลงมาสุ่มตรวจพนักงานบ้านสาวบ่อยขึ้น โดยสิ่งที่พวกเขามองหาคือยาเสพติดและถุงยางอนามัย โดยเจ้าหน้าที่จะให้เหตุผลว่าการมีถุงยางเป็นการส่อว่าจะมีการค้าประเวณี หากโชคดีก็อาจจะเสียค่าปรับจำนวนเล็กน้อย แต่หากอยู่ในช่วงที่เจ้าหน้าที่ต้องการทำผลงานอาจจะถึงขั้นโดนสั่งปิดร้าน 2-3 วัน (แต่ยังต้องจ่ายส่วยรายวันอยู่) โดยในคืนต่อมาเจ้าหน้าที่จะมาถ่ายรูปที่หน้าร้านที่ถูกสั่งปิด เพื่อไปรายงานกับผู้บังคับบัญชาว่าได้ดำเนินการสั่งปิดสถานบริการในพื้นที่จริงๆ

    ลูกค้าที่เป็นเยาวชนก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจเช่นกัน เนื่องจากเป็นสถานบริการราคาย่อมเยาว์ ที่นี่จึงเป็นสถานที่เสียบริสุทธิ์ หรือ ‘ขึ้นครู’ ของเด็กมัธยมจำนวนมาก ในอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เคยทำอะไรพวกเขา แต่เมื่อลูกค้าที่เป็นแรงงานข้ามชาติลดลง เจ้าหน้าที่จึงเริ่มเข้าไปขอตรวจบัตรประชาชนของลูกค้าที่เป็นเยาชนมากขึ้น คนที่อายุไม่ถึง 18 ปี ก็จะถูกนำตัวไปโรงพักหรือไม่ก็ ‘หน้าปากซอย’ ยานพาหนะของลูกค้าก็เช่นกัน หากเจ้าหน้าที่พบเห็นรถหรือมอเตอร์ไซค์แต่งที่ละเมิด พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ. 2522 ก็จะนำตัวเจ้าของรถไปเสียค่าปรับ การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐเช่นนี้ทำให้ลูกค้าที่มีน้อยอยู่แล้วยิ่งหดหายลงไปอีก

    “เวลาลูกค้าเขามาเที่ยว เขาจะบอกกันปากต่อปาก ถ้าเขาบอกเพื่อนเขาว่ามาเที่ยวแล้วโดนจับ โดนตำรวจขอตรวจ โดนค้นตัว ใครมันจะอยากมา” ปลากล่าว

    สอดคล้องกับจิ๋ว (นามสมมติ) เจ้าของกิจการบ้านสาวแห่งหนึ่ง เธอเห็นด้วยกับปลาในแง่ที่ว่าธุรกิจของเธอต้องประสบกับปัญหาหนักหลังการรัฐประหาร เธอเริ่มเปิดกิจการบ้านหญิงในช่วงปลายปี 2557 หลังรัฐประหารได้ไม่นาน กล่าวว่าในช่วงปีแรกของรัฐบาล คสช. ธุรกิจของเธอยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ทำให้รายได้ต่อเดือนของเธออยู่ 20,000 ถึง 30,000 บาท หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว และอาจสูงถึง 40,000 บาทในช่วงเทศกาล แต่เมื่อเข้าสู่ปีที่ 2 คสช. เริ่มดำเนินการปราบปรามแรงงานผิดฎหมายอย่างจริงจัง ทำให้ลูกค่าของเธอหายไปกว่าร้อยละ 90 หรือมากกว่านั้น จากรายได้ที่เคยเหยียบหลักหมื่น ทุกวันนี้กลายเป็นติดลบจนเธอต้องเอาเงินเก็บมาใช้ เธอกล่าวอีกด้วยว่าหากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นจนถึงสิ้นปี เธอ และเจ้าของร้านอื่นๆ ในละแวก คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปิดกิจการ

    “ถ้ามันยังเป็นแบบนี้อยู่ก็คงต้องปิด อยู่ไม่ได้หรอก มันต้องไปหางานอื่นทำ อย่างน้องเขา (พนักงาน) ถ้าได้แขกคืนละสองสามเที่ยวเขาก็ยังพออยู่ได้ แต่เราอยู่ไม่ได้ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าส่วย ค่าเช่าที่วันละพันสาม เราก็ต้องหามาจ่าย สภาพตอนนี้มันยังพอหมุนได้ แต่ถ้ายังเป็นอย่างนี้ไปจนถึงสิ้นปีก็คงจะต้องปิดกันเป็นแถว

    “ก่อนประยุทธ์มานะ ช่วงเงินเดือนออก เทศกาล วันหยุด ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ลูกค้าจะเยอะมาก คนในซอยแทบนี่จะเดินชนกัน พนักงานหวังกันหมดว่าจะได้เงิน ทุกวันนี้คือไม่ต้องหวัง แล้วแต่โชค จะสิ้นเดือน เสาร์อาทิตย์ ลูกค้าก็น้อย ยิ่งช่วงนี้ใกล้เปิดเทอมยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ เพราะต้องเก็บเงินส่งลูกไปโรงเรียนกัน” จิ๋วกล่าว

    แม้แต่นอกเวลางานของพวกเธอ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มักจะมา ‘ขอความร่วมมือ’ จากพนักงานอยู่บ่อยๆ ปลากล่าวว่า หากตำรวจต้องการเพิ่มยอดคดีการปราบปรามการค้าประเวณีภายในพื้นที่ ก็จะมาขอให้แต่ละร้านส่งพนักงานไปร้านละคนหรือสองคน เพื่อไปกรอกประวัติที่โรงพัก โดยพวกเธอต้องแสตมป์ลายนิ้วมือและเสียค่าปรับอีก 100-200 บาท ถึงแม้จะเป็นจำนวนเงินไม่มาก แต่ชื่อของพวกเธอก็ได้ถูกบรรจุอยู่ในบัญชีอาชญากรของรัฐไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงพฤติกรรมของตำรวจในท้องที่ ซึ่งเมื่อเทียบกับตำรวจจากส่วนกลาง เช่นสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์แล้ว ตำรวจในท้องที่ดูน่ารักไปเลย จิ๋วระบุว่าแม้เธอจะมีปัญหากับตำรวจท้องที่อยู่ตลอด แต่อย่างน้อยเธอก็ยังสามารถเจรจากับพวกเขาได้ เพราะสุดท้ายแล้วน้ำก็ต้องพึ่งเรือ เสือก็ต้องพึ่งป่า เวลาตำรวจท้องที่จะมีปฏิบัติการการกวาดจับจริงก็จะมีการส่งข่าวมาบอกพนักงานล่วงหน้า หรือหากมีเจ้าหน้าที่เข้ามาคุกคามพนักงานของเธอ เธอก็สามารถบอกให้นายใหญ่ของพวกเขาจัดการได้เช่นกัน

    “เมื่อก่อนมีตำรวจคนหนึ่งมาติดติดใจเด็กที่ร้าน แล้วก็ชอบมาตอนเมา จะเอาเด็กเราออกไปข้างนอกให้ได้ พอเด็กเขาไม่ไปด้วยก็มาโวยวาย บอกว่าจะมาสั่งปิดร้าน เราก็หมั่นไส้มัน พอดีเรารู้จักกับผู้กอง เลยแอบอัดคลิปส่งไปเลย บอกอย่างนี้ไม่ไหวนะ ทำแบบนี้เราอยูู่ไม่ได้ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยมายุ่งอีกเลย” จิ๋วระบุ

    แต่สำหรับตำรวจจากส่วนกลาง เธอพวกเธอไม่มีทางรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าพวกเขาจะลงพื้นที่เมื่อไหร่ ซึ่งเจ้าหน้าที่เหล่านี้จะบุกเข้าไปค้นถึงด้านหลังร้านซึ่งเป็นส่วนห้องทำงานของพวกเธอ กรณีทีโชคร้ายที่สุดที่จิ๋วเจอคือ ตำรวจบุกจับในขณะที่พนักงานกำลังรับลูกค้า เธอโดนตั้งข้อหาค้ามนุษย์ ซึ่งต้องเสียค่าไถ่ตัวสูงถึง 50,000 บาท และนั่นคือการเสียค่าปรับที่ ‘หน้าปากซอย’

    “ตอนแรกเขาจะเอาทั้งเรา ทั้งเด็ก ทั้งลูกค้าไปด้วย เราก็บอกเอาเราไปคนเดียว เอาเด็กไว้นี่ ถ้าเอาเด็กไปด้วยร้านเราจะทำยังไง เราก็ขึ้นรถไป ยังไม่ทันจะพ้นหน้าปากซอยเลย เขาก็หันมาถามว่าเจ๊จะให้ได้เท่าไหร่ ตอนแรกเราบอกสองหมื่นก็เขาก็ไม่เอา เราบอกทั้งเนื้อทั้งตัวมีอยู่สามหมื่น เขาก็ยังไม่เอา เราก็ถามว่าพี่จะเอายังไง เขาบอกงั้นพี่ขอห้าหมื่นแล้วกัน เราก็โทรหาเด็กที่ร้านให้เรี่ยไรกันมาคนละพันสองพัน จนได้มาอีกสองหมื่น แล้วเราก็ให้เด็กเอาเงินมาให้ที่โรงพัก เขาถึงยอมปล่อยเรา”

    ในสภาพที่ลูกค้าหดหายเช่นนี้ การหาเงินสองหมื่นมาคืนพนักงานเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับจิ๋ว แต่โชคชะตาก็ยังไม่ใจร้ายกับเธอนัก เพราะเธอ “ถูกหวย” เธอกล่าวว่าตอนที่เจ้าหน้าที่เข้าจับกุม พวกเขาได้ยึดสมุดจดบันทึกการให้บริการของร้านไปด้วย ซึ่งด้านหลังสมุดมีโพยหวยที่จิ๋วจดไว้ก่อนจะส่งให้เจ้ามือ ในตอนแรก เจ้าหน้าที่จะตั้งข้อเล่นหวยใต้ดินอีกกระทงหนึ่งกับเธอ แต่เนื่องจากไม่มีหลักฐานการจ่ายเงิน โพยดังกล่าวก็เหมือนตัวเลขที่ไม่มีความหมาย เมื่อกลับมาที่ร้าน จิ๋วจึงตัดสินใจเพิ่มจำนวนเงินก่อนส่งก่อนส่งโพยหวยให้เจ้ามือ และผลก็คือเธอถูกหวย เธอจึงสามารถให้เงินมาคืนพนักงานได้ในเวลาอันรวดเร็ว เธอกล่าวว่าหากเธอไม่ถูกหวยงวดนั้น ร้านของเธออาจจะปิดกิจการไปแล้วก็ได้

    การคุกคามที่มากขึ้นของเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการ กำลังทำให้ธุรกิจบริการทางเพศค่อยๆ ตายไปอย่างช้าๆ ปลากล่าวว่าสิ่งที่รัฐไทยกำลังทำอยู่นั้นไม่ต่างจากการค่อยๆ บีบให้เหล่าพนักงานไปประกอบอาชีพอื่น หรือออกไปทำงานนอกพื้นที่ อีกทั้งรัฐบาล คสช. ยังมองธุรกิจการค้าบริการเป็นบ่อเกิดของขบวนการค้ามนุษย์ที่ต้องได้รับการกำจัด แรงบีบที่เหล่าพนักงานบริการจะต้องแบกรับจึงมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น พนักงานหลายคนตัดสินใจเลิกมานั่งประจำที่บ้านสาวเพื่อหลีกเลี่ยงเจ้าหน้าที่รัฐ และหันไปรับงานผ่านทางออนไลน์ ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกลูกค้าทำร้ายและการโดนล่อซื้อ ปลาจึงทำงานอาสาสมัครของเธอยากยิ่งขึ้น เพราะเธอไม่รู้ว่าจะไปตามตัวพนักงานจากที่ไหน เมื่อเราถามเธอว่าเคยคิดท้อแท้ หรือคิดอยากเลิกทำงานอาสาสมัครไหม เธอเพียงสั้นๆ ว่า “เคยสิ ช่วงนี้แหละ”

    ปฏิเสธไม่ได้ว่าการคุกคามและทัศนคติของภาครัฐเป็นปัญหาใหญ่ของพนักงานบริการไทย แต่จะกล่าวโทษรัฐเพียงอย่างเดียวก็คงไม่ได้ เพราะรัฐคงไม่สามารถดำเนินการปราบปรามพวกเธอได้ หากปราศจากเสียงสนับสนุนของคนในสังคมไทย ซึ่งก็มีทัศนคติแง่ลบต่อพวกเธอไม่ต่างจากรัฐ

    แล้วสังคมไทยควรจะมองพวกเธออย่างไร?

    แน่นอนว่าการมองแบบเหยียดและดูถูกว่าพวกเธอเป็น ‘ผู้หญิงรักสบาย’ ‘แหล่งแพร่เชื้อ’ หรือ ‘ผู้หญิงสำส่อน’ ล้วนแต่เป็นมุมมองที่ผิดจากความเป็นจริง และมีแต่จะกีดกันพวกเธอออกจากสังคมไปเรื่อยๆ แต่ขณะเดียว การมองว่าพวกเธอเป็น ‘เหยื่อ’ ของความยากจน เจ้าหน้าที่รัฐ สังคมชายเป็นใหญ่ และขบวนการค้ามนุษย์ ก็ผิดต่อความเป็นจริงและมิใช่ผลดีต่อพวกเธออีกเช่นกัน เพราะจะยิ่งเป็นการสร้างความชอบธรรมให้รัฐไทยเข้าปราบปรามพวกเธอหนักยิ่งขึ้น

    พนักงานบริการคนหนึ่งได้แนะนำทัศนติที่นักข่าวควรมีต่อพนักงานบริการเวลาเขียนเรื่องราวของพวกเธอ ซึ่งผู้เขียนได้ยึดมาเป็นหลักปฏิบัติตลอดการผลิตรายงานชิ้นนี้ และเชื่อว่านั่นอาจจะเป็นทัศนคติที่คนในสังคมควรมีต่อพวกเธอเช่นกัน เธอกล่าวว่า

    “เวลาเขียนเรื่องของพวกเรา อย่ามองเราเป็นผู้หญิงไม่ดี เป็นผู้หญิงสำส่อน แต่ก็ไม่ต้องเขียนว่าพวกเราน่าสงสาร ต้องตกเป็นเหยื่อตลอดเวลา เขียนให้พวกเราเป็นแค่ผู้ใช้แรงงานคนหนึ่งที่ไม่ได้รับสิทธิ์ขั้นพื้นฐานที่ควรจะได้รับ แค่นั้นก็พอแล้ว”


    https://prachatai.com/journal/2017/11/73930
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    ศึกภายในพันธมิตรฮูติ: ซาเลห์หักหลังฮูติ หันไปจูบปากกับซาอุดิอาระเบีย กองกำลังสนับสนุนซาเลห์ซัดกับนักรบฮูติตายเกือบร้อย

    FB_IMG_1512290417696.jpg FB_IMG_1512290423541.jpg

    -----------

    ดูเหมือนว่าในโลกที่ยึดถือเรื่องผลประโยชน์ตนเองเป็นใหญ่นั้น "ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร" และคำพูดนี้ก็ได้รับการยืนยันโดยสถานการณ์สงครามในเยเมน มันเกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆพันธมิตรพี่น้องร่วมรบระหว่างกองกำลังผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีอาลี อับดุลละห์ แห่งเยเมน กับกองกำลังนักรบกลุ่มชาติพันธุ์ฮูติแห่งเยเมนซึ่งนำโดย อับดุล-มาลิก อัล-ฮูติ ผู้นำสูงสุดทางศาสนานิกายชีอะห์และผู้นำชนเผ่าฮูติ เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ต่อต้านและขับไล่การรุกรานจากกลุ่มพันธมิตรอาหรับนำโดยซาอุดิอาระเบียก่อนหน้านี้ ต้องหันปลายกระบอกปืนยิงพวกเดียวกันเอง? สถานการณ์นี้น่าสนใจมาก...

    วันที่ 2 ธ.ค. 60 Sputnik รายงานว่า มีผู้เสียชีวิตยอ่างน้อย 90 คนจากการปะทะกันระหว่างนักรบกบฏฮูติและกองกำลังที่สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีซาเลห์ ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรในการต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาลกรุง Aden ของประธานาธิบดีฮาดี้ (Abd Rabbuh Mansur Hadi) และพันธมิตรอาหรับนำโดยซาอุดิอาระเบียถึง 2 ปีครึ่ง

    "หน่วยรบพิเศษซึ่งเรียกโดยทั่วไปว่า 'รีพับลิกันการ์ด' (republican guard) ขณะนี้ได้ยึดครองพื้นที่ของกรุงซานาอะเมืองหลวงของเยเมนถึง 75 เปอร์เซ็นต์ มีการปะทะกันเป็นครั้งคราวและดำเนินอย่างต่อเนื่องกับกลุ่มฮูติที่มีอยู่อย่างจำกัด" แหล่งข่าวจากกองกำลังผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีซาเลห์กล่าว (รีพับลิกันการ์ด เป็นหน่วยรบระดับสูงของซาเลห์)

    แหล่งข่าวเปิดเผยว่า รีพับลิกันการ์ด ได้เข้ายึดทำเนียบประธานาธิบดี ค่ายทหารหลายแห่ง รวมทั้งสนามบินนานาชาติซานาอะ และโรงเรียนน้อยร้อยตำรวจเอาไว้ด้วย

    วันเดียวกันนี้ PressTV ของอิหร่านรายงานว่า นาย Abdul-Malik al-Houthi ผู้นำขบวนการกองกำลังยอดนิยม Houthi Ansarullah ได้วิจารณ์จุดยืนใหม่ที่ยอมรับโดยอดีตประธานาธิบดีซาเลห์และผู้สนับสนุนเขาว่าเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้ความวุ่นวายขึ้นในกรุง Sana’a เมืองหลวงของเยเมน และได้เรียกการเคลื่อนไหวของฝ่ายซาเลห์ในครั้งนี้ว่าเป็น "การทรยศ" ต่อประเทศที่ยากจนแห่งนี้ และได้กล่าวหาฝ่ายซาเลห์ว่าพยายาม "ทำรัฐประหารยึดอำนาจ" (coup) ต่อพันธมิตรเยเมน

    ปัญหานี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อซาเลห์แสดงท่าทีเปลี่ยนข้างไปรับใช้ซาอุดิอาระเบียอีกครั้ง โดยกล่าวว่า "เราขอสัญญากับพี่น้องและเพื่อนบ้านของพวกเราว่า หลังการหยุดยิงเกิดขึ้น และมีการยกเลิกการปิดกั้นชายแดนแล้ว... เราจะทำการเจรจาโดยตรงผ่านรัฐบาลที่มีความชอบธรรมซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐสภาของพวกเรา"

    ฝ่ายพันธมิตรอาหรับนำโดยซาอุดิอาระเบียที่ถล่มเยเมนมาตั้งแต่ต้นปี 2015 แสดงท่าทีตอบรับต่อข้อเสนอของซาเลห์ และสัญญาว่าจะดึงซาเลห์เข้าร่วมสมาคมอาหรับอีกครั้ง ฝ่ายฮูติก็ด่าซาเลห์ว่า "ไอ้ทรยศ!"

    ต่อมาเกิดการปะทะกันระหว่างนักรบฮูติกลุ่มหนึ่งกับกองกำลังของลูกชายซาเลห์ ทำให้ฝ่ายลูกน้องของลูกชายซาเลห์เสียชีวิต 2-3 คน ในวันสำคัญทางศาสนาซึ่งเป็นวันครบรอบวันเกิดขององค์ศาสดาของศาสนาอิสลามเมื่อวันพฤหัสบดี มีประชาชนชาวเยเมนออกมารวมตัวกันในกรุงซานาอะหลายแสนคน และก็เกิดการปะทะกันที่มัสยิดหลวงซาเลห์ (Saleh Mosque)

    เนื่องจากกลุ่มผู้สนับสนุนฝ่ายซาเลห์ไม่อนุญาตให้ฝ่ายฮูติเข้าไปภายในมัสยิดแห่งนี้ มีผู้เสียชีวิตหลายคน มีการปะทะกันต่อเนื่องมาราว 4-5 วันแล้ว ทางซาเลห์บอกว่าจะรับประกันความปลอดภัยให้กับผู้นำสูงสุดของฮูติ หากยอมเจรจากับซาอุดิอาระเบีย (ทั้งซาเลห์และฮูติต่างก็นับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์เหมือนกัน วันนี้ซาเลห์ขอหันไปดมเยี่ยวอูฐ)

    เดิมทีนั้นเกิดการสู้รบกันอันเนื่องมาจากการแย่งอำนาจปกครองสูงสุดของประเทศเยเมนระหว่างอดีตประธานาธิบดีซาเลห์กับประธานาธิบดีฮาดี้จนลุกลามไปเป็นสงครามกลางเมืองในปี 2015 กลุ่มพันธมิตรซาอุดิอาระเบียสนับสนุนฮาดี้เพราวะ่าไอ้หมอนี่มันยอมขายชาติได้เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และเป็นหุ่นเชิดให้แก๊งซาอุดิอาระเบียสำหรับการทำลายเยเมน

    ต่อมาในปี 2015 ขบวนการฮูติรวบรวมกำลังพลยกทัพเข้ายึดอำนาจจากประธานาธิบดีฮาดี้ บังคับให้ฮาดี้ลาออก และฮาดี้ก็ยอมลงนามลาออก และถูกจับไปกักบริเวณได้ในที่พักของเขา ฮูติร่วมมือกับซาเลห์ซึ่งมีกองกำลังเป็นของตนเองทั้งสองฝ่าย และได้จัดตั้งคณะผู้บริหารรัฐบาลชั่วคราวขึ้นมาดูแลกิจการภายในประเทศ

    ฮาดี้ได้รับความช่วยเหลือจากลูกน้องและซาอุดิอาระเบียจึงหลบหนีออกจากที่พักไปลี้ภัยอยู่ที่ซาอุดิอาระเบีย และยอมเป็นขี้ข้าของซาอุดิอาระเบีย จากนั้นรัฐบาลซาอุดิอาระเบียและพันธมิตรก็คืนตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งเยเมนให้กับฮาดี้โดยไม่ต้องเลือกตั้งใหม่ ถือว่าไม่ได้ลาออกจริง ถูกบังคับให้ลาออก การลาออกครั้งนั้นถือว่าเป็นโมฆะ คล้ายกับกรณีของนายกฯเลบานอนที่ประกาศลาออกแล้วก็หนีไปอยู่ที่กรุงริยาดห์ชั่วคราวอ้างว่ากลัวถูกลอบสังหาร ต่อมาก็กลับไปนั่งเก้าอี้นายกฯเหมือนเดิม (ปาหี่ชัดๆ)

    จากนั้นพันธมิตรซาอุดิอาระเบียก็ยกองทัพทั้งทัพบก ทัพเรือ ทัพฟ้า เข้าถล่มเยเมนอย่างเป็นทางการ อ้างเพื่อทวงความเป็นธรามให้กับฮาดี้และเพื่อปราบกฎฮูติ ฮูติและซาเลห์ด้วยการสนับสนุนากอิหร่าน (และรัสเซีย) ร่วมมือกันต่อต้านฮาดี้และซาอุดิอาระเบีย สงครามยืดเยื้อมาถึงสองปีกว่า ไม่มีท่าทีว่าจะยุติลงเมื่อไร

    หลังจากที่กองทัพเยเมนและฮูติยิงขีปนาวุธหนึ่งลูกโจมตีสนามบินนานาชาติใกล้กรุงริยาดห์เมื่อเร็วๆนี้ ทางซาอุดิอาระเบียก็ประกาศปิดกั้นชายแดน น่านน้ำ และน่านฟ้าของเยเมนเพื่อนการตอบโต้ต่อการโจมตีจากฮูติ ต่อมามีการผ่อนคลาย ยกเลิกการปิดสนามบินและท่าเรือบางแห่ง

    คาดว่ามีการเจรจาลับระหว่างซาอุดิอาระเบียกับกลุ่มของซาเลห์เพื่อแลกกับการยกเลิกการปิดกั้นชายแดนและผลประโยชน์บางอย่าง จึงทำให้ซาเลห์ยอมหักหลังฮูติ แต่ซาเลห์จะยอมจูบปากกับฮาดี้ได้หรือไม่

    จริงๆแล้ว เป้าใหญ่ของกลุ่มซาอุดิอาระเบียก็คือ กำจัดชนเผ่าฮูติให้สิ้นซาก และยึดแผ่นดินของฮูติทางเหนือซึ่งอยู่ติดกับชายแดนทางใต้ของซาอุดิอาระเบียซะ สำหรับซาเลห์และฮาดี้นั้น ไม่น่าจะใช่ปัญหาใหญ่ของซาอุดิอาระเบีย เพราะว่าพอพวกนี้เห็นเงินก็ตาโตน้ำลายยืดแล้ว ที่สำคัญก็คือพวกฮูติซึ่งรบเก่งมาก ทำลายรถถัง พาหนะทหาร เรือรบ ฮ.โจมตี เครื่องบินรบ รวมทั้งหทารของฝ่ายพันธมิตรอาหรับนำโดยซาอุดิอาระเบียไปเป็นจำนวนมากแล้ว

    รบด้วยกองทัพไม่สามารถล้มฮูติได้ หันมาใช้แผนบางช่างยุ บ่อนทำลายจากภายใน เสี้ยมให้ทั้งสองฝ่ายทะเลาะและขัดแย้งกันเอง เป็นกลยุทธที่ใช้มาแต่โบราณ และในความขัดแย้งในภูมิภาคนั้นผู้ที่ถนัดเรื่องนี้มากที่สุดก็คืออิสราเอลและสหรัฐ คาดว่าซาอุดิอาระเบียน่าจะได้รับการชี้แนะจากอิสราเอล และมันก็เริ่มจะได้ผลซะด้วย

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    03/12/2560
    ----------
    https://sputniknews.com/middleeast/201712021059641424-victims-clashes-forces-yemen/
    https://www.almasdarnews.com/article/intense-clashes-breakout-houthi-saleh-loyalists-sanaa/
    https://www.almasdarnews.com/article/yemen-tens-thousands-gather-prophets-birthday-deadly-clashes/
    https://www.almasdarnews.com/article/violence-escalates-sanaa-saleh-loyalists-battle-houthis/
    http://www.presstv.com/Detail/2017/12/02/544267/Yemen-Houthi-Saleh


    https://www.rferl.org/a/former-yemen-president-saleh-offers-talks-saudi-led-coalition/28892306.html
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สี่มหาเถระยุคหมินกว๋อ (ยุคสาธารณรัฐจีน) ผู้ฟื้นฟู สืบสาน และปฏิรูปพุทธศาสนาในยุคแห่งการเปลี่ยนแลง การศึกสงคราม และการกดขี่

    1. พระธรรมาจารย์ซวีหยุน (2383 - 2502) สายวิปัสสนา

    FB_IMG_1512294700526.jpg

    พระเถระซวีหยุนเน้นปฏิบัติธรรมด้วยการทำสมาธิ วิปัสสนา ฟื้นฟูวิถีพุทธธรรมอันสันโดษของนิกายฉาน (นิกายเซน) จาริกธุดงค์ไปทั่วสารทิศ สถาปนา บูรณอารามนับสิบๆ มีศิษยานุศิษย์มากมายทั้งฝ่ายปริยัติ ฝ่ายปฏิบัติ หรือแม้แต่ฝ่ายวรยุทธิ์ เรื่องราวของท่านมีเหตุปาฏิหารย์เหนือการอธิบายมากมาย ล้วนแต่เป็นผลจากการปฏิบัติวิปัสสนา กล่าวได้ว่า ในเอเชียบูรพา แนวทางของท่านได้รับการปฏิบัติอย่างแพร่หลาย

    "หากเราพิจารณาว่าแต่ละวันคือวันสุดท้ายในชีวิตของเรา เราจะไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่นาทีไปกับเรื่องไร้สาระ หรือความเคียดแค้นหรือโทสะพยาบาท เราจะไม่ลืมแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ที่การุณต่อเรา เราจะไม่เสียเวลาทำใจปล่อยวางกับเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ แล้วหากเราทำผิดพลั้งไป จะไม่รีรอที่จะขอขมาลาภัย แม้ในยามจะสิ้นลมหายใจหรือ?"

    *******************

    2. พระธรรมาจารย์อิ้นกวง (2404 - 2490) สายพุทธานุสสติ

    FB_IMG_1512294993684.jpg

    พระเถระอิ้นกวง มุ่งมั่นภาวนาพระนามพระอมิตาภพุทธ มาผสมผสานกับการปฏิบัติสมาธิ ทำให้การภาวนาพุทธนามได้รับการยอมรับจากปัญญาชนที่เคยดูแคลนว่า การปฏิบัติพุทธานุสสติเป็นกิจง่ายๆ ของคนไม่มีการศึกษา แต่พระเถระไม่เพียงอธิบายให้ผู้คนเข้าใจ ยังส่งเสริมจนแพร่หลาย ช่วยยกระดับจิตใจผู้คนเหลือคณานับ ยกย่องกันว่าเป็นบูรพาจารย์ลำดับที่ 13 แห่งนิกายจิ้งถู่ หรือนิกายสุขาวดี

    "อย่าไปกลัวความคิดโลภะ โทสะ โมหะที่เกิดขึ้นมา ให้กลัวว่าเราจะรู้ตัวช้าเกินไปว่าเกิดความคิดที่ว่า เมื่อโลภะ โทสะ โมหะเกิดขึ้น ตราบใดที่เรามีสติเท่าทัน ตราบนั้นความฟุ้งซ่านเหล่านี้ก็จะมลายไปเอง"

    *******************

    3. พระธรรมาจารย์หงอี (2423 - 2485) สายพระวินัย

    FB_IMG_1512294709928.jpg

    เดิมท่านเป็นศิลปินและนักคิดที่มีชื่อเสียงมากในยุคหมินกว๋อ แต่เมื่อายุได้ 37 ปี ท่านได้บำเพ็ญเนกขัมมะนาน 21 วัน เกิดความซาบซึ้งในพุทธศาสนา จึงสละทางโลกหมดสิ้น ออกบวชเป็นภิกษุ แล้วเห็นว่าศาสนาในจีนเสื่อมโทรมลง ท่านจึงคิดฟื้นฟูพระวินัยเคร่งครัดที่สาบสูญไป ไปสืบเสะจนได้ปกรณ์นิกายวินัยที่เก็บรักษาไว้ที่ญี่ปุ่น จึงนำกลับมาเผยแพร่ในแผ่นดินจีนอีกครั้ง ชั่วชีวิตบรรพชิตของท่านส่งเสริมพระวินัย ฟื้นฟูหลักของนิกายวินัย หรือนิกายลวื่อจง ที่เคยรุ่งเรืองในจีน ส่งเสริมรากฐานศีล สมาธิ ปัญญา นับเป็นบูรพาจารย์หนึ่งของนิกายนี้

    "หลักของมหายานคือการมีปณิธานมุ่งมาดเป็นพุทธะ คิดมุ่งเป็นพุทธะจะต้องมีจิตกรุณา ยังประโยชน์แก่สวรรพชีวิต ชาวพุทธฝ่ายมหายานจึงต้องมีจิตเมตตากรุณาอยู่เสมอ ตั้งปณิธานขนถ่ายสรรพสัตว์ มุ่งหมายที่จะทำกุศลแก่สรรพสัตว์ ดังนี้จึงจะเรียกตัวเองเป็นชาวพุทธได้เต็มภาคภูมิ"

    *******************

    4. พระธรรมาจารย์ไท่ซวี (2433 - 2490) สายปฏิรูป

    FB_IMG_1512295001272.jpg

    พระเถระไท่ซวีผสมผสานวิถีตะวันตกกับหลักพุทธธรรม ส่งเสริมการปฏิรูปคณะสงฆ์ ประสานสัมพันธ์ระหว่างนิกายมหายานฝ่ายเหนือ และเถรวาทฝ่ายใต้ ส่งคณะสงฆ์มาศึกษาพุทธรรรมในสยาม โดยเฉพาะด้านพระวินัย ขณะเดียวกันท่านสอนว่า แดนสุขาวดีของฝ่ายมหายานมิได้อยู่แต่ในโลกหลังความตาย แต่ยังอาจสร้างได้ในโลกปัจจุบันนี้ด้วยการปฏิรูปศาสนจักรให้ทันสมัย สอดคล้องกับหลักมนุษยธรรม เข้าถึงคนรุ่นใหม่

    "ชาวพุทธไม่ควรทำกิจเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ควรยังประโยชน์ให้เกิดกับส่วนรวมด้วย ... ชาวพุทธควรนำหลักมหายานมาปฏิบัติเพื่อยังประโยชน์แก่ประเทศชาติ รัฏฐะ และโลกของเรา การปฏิบัติหลักมหายานนั้น ก็คือการปฏิบัติหลักโพธิสัตว์จรรยานั่นเอง"
    https://www.facebook.com/media/set/?set=a.10152834756536954.1073741925.719626953&type=3
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    1512280292287-960x0.jpg
    เกิดดินถล่มจากฝนตกหนักในอินโดนีเซีย 3 ธ.ค. 2017 12:52:21

    จาการ์ตา 3 ธ.ค. - ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมภัยพิบัติท้องถิ่น กล่าวว่า ฝนตกหนักช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ดินถล่มในหมู่บ้านทางภาคตะวันตกของอินโดนีเซีย จนพื้นที่การติดต่อถูกตัดขาดหมด

    เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นอินโดนีเซีย ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์จาการ์ตาโพสต์ โดยเตือนชาวบ้านว่า อย่าพยายามข้ามแม่น้ำที่เอ่อล้นตลิ่ง และดินถล่ม 2 ฝั่งแม่น้ำ ทำให้ติดต่อไม่ได้ รวมทั้งยังมีดินถล่มปากทางเข้าหมู่บ้าน ก่อนหน้านี้ คณะเจ้าหน้าที่ได้เดินทางไปยังที่เกิดเหตุดินถล่มเมื่อสุดสัปดาห์ รวมทั้งลำเลียงอุปกรณ์หนักเพื่อเคลื่อนย้ายกองหิน ดิน และซากหักพังที่กีดขวางเส้นทาง เจ้าหน้าที่ควบคุมภัยพิบัติ กล่าวว่า บ้านเรือน 30 หลัง จมอยู่ในน้ำท่วม ระบบระบายน้ำอุดตัน ยิ่งทำให้น้ำเอ่อท่วมบ้านหลายหลัง เจ้าหน้าที่และชาวบ้านต้องใช้อุปกรณ์ช่วยกันทำความสะอาดคลองระบายน้ำ โดยประกาศเตือนว่า ฝนตกหนักในช่วงฤดูฝนปีนี้เป็นอันตรายมาก.-สำนักข่าวไทย


    Tags: ดินถล่ม ฝนตกหนัก อินโดนีเซีย หมู่บ้าน ขาดการติดต่อ แม่น้ำ
    0" style="box-sizing: border-box; margin-right: -15px; margin-left: -15px; color: rgb(51, 51, 51); font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 21px; line-height: 22.8571px;">
    Gallery

    1512280292287-800x450x2.jpg
    http://www.tnamcot.com/view/5a239115e3f8e40549f8bdea
     

แชร์หน้านี้

Loading...