ต่างกันยังไงระหว่างวิริยาธิกะพิเศษกับวิริยาธิกะ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย tutong, 13 มิถุนายน 2014.

  1. pmntr

    pmntr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +2,244
    ผมไม่คิดว่ามี (อย่าคิดว่าตนเองเป็นพระโพธิสัตว์แล้วจะเจ๋งกว่าคนอื่นซี่)
    พระพุทธเจ้าก็ไม่แสดงแม้ธรรมอันเป็นเนิ่นช้าก็ไม่เกินนี้ (16 อสงไขย)
    คนเหล่านี้พยายามคิดเพื่อที่จะพิเศษกว่าพระพุทธเจ้า ถามจริงว่าเก่งขนาดนั้นเหรอ
    แล้วทำไมต้องเดิมตามพระพุทธองค์ ในเมื่อพระพุทธองค์ก็ยังเดินตามทางนี้
    ในเมื่ออยากสร้างของใหม่ ทำไมไม่คิดทำอะไรใหม่ไปเลย
    ภาคปราบก็มี ภาคโปรดก็มี มีโพธิสัตว์พิเศษอีก
    แล้วที่บอกว่าสิ่งเหล่านี้คือความรู้ที่ยิ่งกว่า ยิ่งกว่าสาวกทั่วไปจะรู้ (รู้ได้ไง สาวกหลายท่านก็มาจากโพธิฯ ซึ่งบางทีบารมีจะเต็มมากกว่าด้วยซ้ำ การตัดทางไม่ใช่การท้อแท้ บอกแล้วว่าอย่าคิดว่าเจ๋ง)
    แล้วใครบ้างที่ทำบารมีได้เข้มข้นอย่างพุทธประวัติ ผมไม่เห็น มีแต่อ้างว่ากำลังไม่ถึง ชาตินี้ไม่ใช่ต้องทำอย่างอื่น แล้วอย่างนั้นคืออะไร
    ไอ้การรู้เห็นก็เหมือนกัน ที่บอกว่าไม่ใช่อุปาทาน ไม่ใช่คิดไปเอง แน่ใจเหรอครับ ยกเว้นจะเก่งกว่าพระฯ เพราะแสดงในสิ่งที่รู้เห็นยิ่งกว่าท่าน ๆ
    ผมคิดว่าแม้มหาโพธิสัตว์ตามสายมหายานเมื่อถึงเวลาบรรลุก็เท่านี้ เท่าเถรวาท ผมไม่คิดว่าจะยิ่งกว่านั้น

    น้ำ 16 ตุ่มเติมอย่างไรก็เต็มแค่นั้น หามาเท่าไหร่ก็มันวางได้ 16 ตุ่ม เอาเป็นว่าทำไป เชื่อเลยว่าถึงเวลามันจะดันมาตรงนี้ เท่านี้ ตอนนี้บอกว่าคิดได้คิดไป ทำได้ทำไป ถ้าอธิษฐานแบบนี้ได้ ผมว่าอริยสัจคงมีแสดงได้มากกว่า 4 ไตรลักษณ์ก็คงมากกว่า 3 เช่นกัน ก็ทำมาขนาดนั้นมันจะได้น้อยแค่นั้นหรือครับ

    ถ้าเป็นพุทธภูมิจริงจะมาแสดงภูมิทำไม ตั้งหน้าตั้งตาทำอะไรเข้าไปสิ ทำให้ประจักษ์แจ้งกันไปเลยว่าเก่งพอ อยากเจอสักท่านที่ว่าเป็นพระโพธิสัตว์พิเศษ อธิษฐานทีให้แผ่นดินไหว 4 ทวีป ฟ้าร้องกัมปนาท สาธุการทั่วฟ้า แล้วคนธรรมดารับรู้ได้ ไม่เอาแค่โลกทิพย์ (ไม่ต้องบอกเลยว่าจะเดือดร้อนคนอื่น อันนี้รำคาญครับ เหมือนปัดสวะอย่างไรก็ไม่รู้) ตอนนี้อยากเจอแค่นี้จริง ๆ เพราะเท่าที่เห็นเจ๋ง ๆ ก็ครูบาอาจารย์ก็เท่านี้ ท่านก็บอกว่าได้แค่นี้ ปัญญา ศรัทธา วิริยะ

    อันนี้ส่วนตัวครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2014
  2. พงศ์ภูพาน

    พงศ์ภูพาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2013
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +4,432
    ....ความคิดส่วนตัวของผมเเล้ว.. เรื่อง เเบบเเผน ..เเนวทาง การบำเพ็ญ ..บารมี..ของพระโพธิสัตว์ เเต่ละท่าน..นั้น..


    ....ประกอบด้วยรายละเอียด..เเละ วีธีการที่เเตกต่างกัน...

    ...คำว่า..."การบำเพ็ญ เเบบพิเศษนั้น".. ไม่ไช่วิธีการ "นอกครู นอกตำรา"..เเต่อย่างใด


    ....ระยะเวลา รวมทั้ง..เเบบแผน..ใดๆทุกอย่าง ...ยังคงเป็นไป เเบบเดียวกับที่.."องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า..ทุกๆพระองค์ ..ที่ เสด็จอุบัติ ผ่านมาก่อนหน้านั้นเเล้ว.."


    ....เช่น..เเบบ ปัญญาธิกะ..บารมีปลาย ..4 อสงไขย 100000 มหากัป
    ศรัทธาธิกะ บารมีปลาย ..8 อสงไขย 100000 มหากัป
    วิริยาธิกะ บารมีปลาย 16อสงไขย 100000 มหากัป

    ระยะเวลา นี้ คือ ..เวลา มาตรฐาน..

    ...ผมเอง เคยใด้ข้อมูลมาเช่น.. "พระโพธิสัตว์ เเบบวิริยาธิกะพิเศษ บางองค์ ใช้เวลา 12 อสงไขย 100000 มหากัป..ก็ สามารถเต็ม รอคิว ที่ชั้นดุสิตใด้ ..(เช่น พระเดชพระคุณ หลวงปู่อ่ำ..พระราชกวี วัดโสมนัสวิหาร..หลายท่านเชื่อกันว่าท่าน เคย เกิดเป็นช้าง ปาลิไลยกะ ..ซึ่ง จะตรัสรู้ เป็น องค์ที่ 10 ในพระอนาคตวงศ์)

    ...อีก อย่าง เช่น ...มีผู้บำเพ็ญ ..เเบบ "วิริยาธิกะ พิเศษ "..เเบบ บารมี "เกิน"..จะเต็มเเล้วก็ไม่เต็ม...ก็เคย พบมา..


    ....บางท่าน..เมื่อ บำ เพ็ญ บารมี เต็มเเล้ว ..ก็ หาโอกาส ลงมาเกิดสร้าง บารมี เพิ่มเติม รวมทั้ง โปรด บริษัทบริวาร.. หรือ บางท่าน ลงมาเกิดเพื่อทำหน้าที่ เฉพาะบางอย่าง..


    ....จากตัวอย่าง ดังกล่าว..ระยะเวลา การบำเพ็ญ.. อาจ น้อยมาก ต่างกัน



    ....ตัวอย่างดังกล่าวเป็น.." ประสบการณ์ ส่วนตัว "..ของผมเอง..เป็น .."ข้อมูลดิบ"..ที่ ฝากให้ ..เพื่อนๆที่อ่านพบ..นำไปพิจารณา ..ไม่ยืนยัน ..ว่า ผิดถูกประการใด


    ... คำว่า "พิเศษนั้น"..


    ...เเบ่งเป็น 2..ช่วงเวลา..คือ..

    1.) ความ "พิเศษ" ..ก่อน ตรัสรู้..คือขณะที่ "ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ"..กำลังบำเพ็ญ บารมี ใน วัฎ สงสาร อยู่...

    ...เเยกเป็น คุณ สมบัติส่วนตัวของผู้บำเพ็ญ ..ในความเป็น เลิศ ต้านต่าง เช่น รูปกาย..สุขภาพ..ปัญญา..


    ..คุณสมบัติ..ของบริษัท บริวาร..เช่น มีบริวาร..จำนวนมากที่สุด ดีที่สุด..เเละอื่นๆ


    ..คุณ สมบัติ ของยุคสมัย..เช่น ความเจริญ พร้อม บริบูรณ์ เเห่ง ยุคสมัยที่ ..ลงมาสร้างบารมี ..ทั้ง เหมาะเเก่การ บำเพ็ญ บารมี


    ...2.)..ความพิเศษ เมื่อ ..ชาติสุดท้ายที่ เสด็จ ลงมา เพื่อ.. ตรัสรู้ เป็น "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า"..

    เช่น...เมื่อ .."พระโพธิสัตว์ เสด็จลงสู่ พระครรภ์ พุทธมารดา"..เกิดสิ่ง อันเป็นมงคล ต่าง มากที่สุดดีที่สุด เเก่ มวลมหาชน..

    ...ความพิเศษ..เมื่อ ..ทรงออกผนวช... เมื่อ ปฐมเทศนา ..เมื่อ ทรงสั่งสอน "เวไนยสัตว์"..

    ....ความเจริญรุ่งเรือง ..เเห่งยุคสมัย...จำนวน "พุทธบริษัท"..ที่ "จะบรรลุธรรม"..

    ...."พระชนมายุ..เเห่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า"...อายุ พระศาสนา.. เป็นต้น



    ......ซึ่ง..เพื่อให้ เกิด ผลดังที่กล่าวมา..."พระโพธิสัตว์ ทั้งหลาย จึงต้อง ขวนขวาย เมื่อขณะ..บำเพ็ญบารมี..อยู่ "..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2014
  3. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF0021.JPG
      DSCF0021.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.4 MB
      เปิดดู:
      74
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 สิงหาคม 2014
  4. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    เอาอย่างนี้ล่ะกัน .. ผมมีประเด็นมาให้ขบคิดกันนะครับ

    เบื้องต้น เราต่างทราบกันอยู่แล้วว่า บำเพ็ญบารมีพระพุทธเจ้า มี 4, 8, 16 อสงไขย
    ซึ่งแน่นอนว่าก็น่าจะเป็นเกณฑ์อย่างหนึ่ง

    ที่นี้ประเด็นแรก: ถามว่าต้องเท่ากันทุกท่านไหม?

    ในความเป็นจริง ผมว่าคลาดเคลื่อนต่างกันเล็กน้อยก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร
    แต่ที่แน่ๆ เมื่อได้รับคำพุทธพยากรณ์แรก(ขอย้ำว่า ครั้งแรก) แล้วว่า อีกกี่อสงไขย จะได้บรรลุด้วยชื่อนั้น
    มีบิดามารดาชื่อนั้น มีอัครสาวกซ้ายขวาชื่อนั้นๆ
    อันนี้ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงได้นะครับ

    ประเด็นที่สอง: ถ้าบอกว่าเลข 16 อสงไขยนี้ เป็นค่าที่นานมากไม่น่าเกินนี้?

    ก็หมายถึงจะใช้คำว่า บำเพ็ญไม่เกิน 16 อสงไขย ..
    ถ้าว่าไม่เกิน 16 อสงไขย ก็แสดงว่า 15,14,13,12 อสงไขย ก็น่าจะมีได้

    แต่กรณีข้างต้นอาจจะดูไม่ชัดนัก .. ผมจะขอยกกรณี 4 อสงไขยแล้วกัน
    ถ้าใช้คำว่า ไม่เกิน 4 อสงไขย .. กำลังจะให้หมายความว่า
    อาจจะสามารถบำเพ็ญแค่ 3, 2, 1 อสงไขย แล้วบรรลุพระพุทธเจ้าได้?


    ยังมีบางประเด็นต่อได้อีก .. แต่รอให้ท่านทั้งหลายมาช่วยกันขบด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2014
  5. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    แต่ตามตำราที่หลวงพ่อบอก ท่านใช้คำว่า

    อย่างน้อย สี่อสงค์ไขย กำไรแสนกัปป์สำหรับ แบบปัญญาธิกะ
    อย่างน้อย แปดอสงค์ไขย กำไรแสนกัปป์สำหรับ แบบศรัธาธิกะ
    อย่างน้อย สิบหกอสงค์ไขยกำไร แสนกัปป์สำหรับ แบบวิริยาธิกะ

    เกินกว่านี้ผมจำไม่ได้
     
  6. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    มุมมองส่วนตัวนะคะ...

    เท่าที่อ่านการบำเพ็ญบารมีของพี่ PCO มา ส่วนตัวเข้าใจว่าน่าจะเป็นพุทธภูมิแบบวิริยาธิกะ เพียงแต่ว่าอธิษฐานทำบารมีพิเศษเพิ่มเติมขึ้นมาจากวิริยาธิกะทั่วๆไปคือ นอกจากจะมีความอุดมสมบูรณ์แห่งยุคสมัย และความเพรียบพร้อมในคุณสมบัติต่างๆของบริวารแบบท่านที่ปรารถนาวิริยาธิกะทั่วๆไปแล้ว ยังต้องการให้บริวารนั้นมีความพิเศษที่เทียบได้กับท่านต่างๆที่มีความพิเศษเฉพาะตนตามที่ปรากฎอยู่ในสมัยพุทธกาล อาทิเช่น ให้มีทิพจักขุญาณชัดเจนแจ่มใสเป็นเลิศและไม่พบกับคำว่าไม่มี เฉกเช่นเดียวกับพระอนุรุทธะ เป็นต้น

    ดังนั้นถ้าจะสรุปการบำเพ็ญบารมีแบบนี้ ก็อาจจะมองได้ว่าเป็นการบำเพ็ญบารมีพระโพธิญาณแบบ วิริยาธิกะ + อธิษฐานบารมีพิเศษเพิ่มเติม วงเล็บ ให้บริวารมีความเป็นเลิศถึงที่สุดในทุกๆเรื่อง ดังเช่นท่านทั้งหลายที่ปรากฎอยู่ในสมัยพุทธกาลนั่นเอง (อันนี้ตามความเข้าใจนะคะ ถ้าเข้าใจผิดต้องขออภัยค่ะ)

    ดังนั้นส่วนตัวเลยมองว่าไม่ใช่ความแปลกแต่อย่างใด แต่เป็นความประสงค์ส่วนตัวของผู้ปรารถนาพุทธภูมิแต่ละท่าน ที่สามารถอธิษฐานบำเพ็ญบารมีเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายบางอย่างที่ต้องการเพิ่มเติมได้ แต่เนื่องจากบางครั้งเวลาอ่านผ่านๆ ก็อาจจะรู้สึกว่า เอ๊ะ การบำเพ็ญบารมีพุทธภูมิมีเพียงแค่ 3 แบบเท่านั้นนี่ ไหนเลยจะมีการบำเพ็ญบารมีแบบพิเศษได้ ก็เลยอาจจะเข้าใจผิดไปเลยว่า เป็นการปรารถนาที่นอกตำราหรือเก่งเกินครูบาอาจารย์ แต่ถ้าลองมาศึกษาถึงรายละเอียด ก็จะเข้าใจเจตนาของท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิแบบดังกล่าว ว่าจริงๆแล้วเขามีจุดประสงค์อะไร ถึงได้ตั้งความปรารถนาแบบนั้น และเมื่อเราเข้าใจ เราก็จะไม่รู้สึกต่างๆนานา ว่าเป็นสิ่งที่ทำเกินครูบาอาจารย์ หรือนอกตำรา แต่มองเห็นว่ามันเป็นธรรมดาของท่านที่ตั้งจิตปรารถนาพุทธภูมิแบบนั้น ซึ่งก็ไม่มีอะไร เพราะเป็นไปตามความประสงค์บางอย่างเท่านั้นเอง...

    และเพื่อเป็นการป้องกันการเข้าใจผิดของคนทั่วไปเกี่ยวกับบุคคลที่ปรารถนาพุทธภูมิ ต้องเข้าใจก่อนว่าใครก็สามารถตั้งจิตปรารถนาบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าได้ แต่การจะบำเพ็ญบารมีเพื่อไปสู่เป้าหมายนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะผู้ปรารถนาจะต้องเผชิญกับบททดสอบ กรรม และอุปสรรคต่างๆนานัปประการ แลกมาด้วยหยาดเหงื่อ น้ำตา และเลือดนับภพชาติไม่ถ้วน เพื่อให้ได้กำลังใจ(บารมี)ทีละเล็กละน้อยจนกว่าบารมีจะเต็ม ดังนั้นในระหว่างที่บารมียังไม่เต็ม ก็ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่ยังมีกิเลส จึงสามารถทำผิดได้ หลงทางได้ และหลงตนได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นเมื่อเราเห็น ก็ขอให้เข้าใจว่าคนที่ปรารถนาพุทธภูมินั้น ก็มีความแตกต่างกันไปตามระดับของกำลังใจ(บารมี)ของแต่ละคน จึงมีทั้งที่คิดว่าตนเองเก่งและดี และมีทั้งที่คอยหมั่นพิจารณาให้เห็นถึงความเลวของตนเองอยู่เสมอๆ ตั้งใจระงับซึ่งนิวรณ์ทั้ง ๕ ประการ และหมั่นพิจารณาเกาะติดในวิปัสสนาญาณตามคำสอนของพระพุทธองค์ ดังนั้น เมื่อเห็นดั่งนี้แล้วก็ขออย่าได้สนใจในผู้ปรารถนาพุทธภูมิแบบแรกที่ยังหลงคิดว่าตนเองเก่งและดี เพราะทุกอย่างเป็นบททดสอบและวิบากกรรมที่เข้ามาทำให้เขาเป็นเช่นนั้น ซึ่งวันหนึ่งเราอาจจะต้องเจอบททดสอบและวิบากกรรมเช่นที่ว่านั้นก็ได้

    สุดท้ายนี้จึงสรุปได้ว่าผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมินั้นยังไม่มีใครดีเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะยังไม่ใช่พระอริยเจ้า แต่ยังเป็นปุถุชนที่มีกิเลสอยู่เต็มหัวใจ อยู่ที่ว่าใครจะมีบารมีหรือกำลังใจที่ห่างไกลจากกิเลสต่างๆมากน้อยกว่ากันเท่านั้นเอง และอยู่ที่วิบากกรรมของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน ยามใดเมื่อกุศลกรรมส่งผล จิตใจย่อมมีบารมีหรือกำลังใจดี ทำให้ห่างไกลจากกิเลสมากหน่อย แต่ยามใดเมื่ออกุศลกรรมส่งผล จิตใจหรือบารมีย่อมตกหล่นเข้าหากิเลสอยู่เป็นธรรมดาค่ะ

    ทั้งหมดนี้จะผิดถูกแต่ประการใด ต้องขออภัยด้วยนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2014
  7. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ใช่ครับคุณน้องหญิง โดยส่วนตัวแค่ทำได้พอๆกับท่านทั้งหลายที่ล่วงหน้าไปแล้ว หากทำได้ถึงท่านก็ถือว่าบุญหัวหนักหนา ขออย่าเป็นอย่างอาตี๋สักมังกร อีตอนไม่โดนเข็มสัก ก็จะเอามังกรเจ็ดหัวคาบแก้วพันรอบตัวอีกสามรอบ พอโดนเข็มสักแค่จึ๊กเดียวเข้าไปอาจจะร้องแอ๋งอย่างผมนี่ เจอเข้าไปที่แขนแค่สองแถวสมัยเด็ก อยากจะวิ่งไปสักครึ่งกิโลแล้วค่อยแหกปากร้องให้ลั่นบ้าน เจอเข็มทื่อๆทิ่มเข้าไปกลายเป็นไม่ต้องเจ็ดหัว ไม่เอาคาบแก้ว ไม่เอาเกล็ด เลยกลายจิ้งเหลนไป ขอเพียงเมื่อตั้งใจแล้วก็ไปต่อให้มันจบให้มันสมบูรณ์ ใหนๆก็ทนเจ็บแล้ว ไม่เอาแค่หมึกดำ เอาเป็นหลายๆสีหน่อยพองาม หากจะได้แบบพิเศษ แบบไม่ต้องเจ็บเลย อย่างยันต์เกราะเพชรของพระเดชพระคุณหลวงปู่บูรพาจารย์หลวงปู่ปานยิ่งดีมากไม่ต้องเจ็บ แต่ทรงอานุภาพมาก จะเจ็บก็อีตอนหลวงปู่่ฟาดกะบาลเข้าให้ ที่เป่ายันต์ให้แล้วเสือกรักษาไว้ไม่ได้

    ส่วนตัวไม่ต้องการเด่นเกินหน้าครูบาอาจารย์ เอาแค่ประเพณีนิยม ธรรมเนียมปฏิบัติ พ่อมีทรัพย์สินหมื่นล้าน ยกให้ลูกดูแล หากทรงไว้แค่หมื่นล้าน หรือเหลือเก้าพันล้าน มันเป็นไง ก็จะดูว่าแค่รักษาทรัพย์พ่อไว้ได้ สมบัติพ่อสร้างไว้แล้วลูกมีคุณสมบัติแค่เรียนรู้และรักษาทรัพย์ให้จงได้ นี่ก็ถือว่าดีมาก

    แล้วหากจะมีสักลูกที่ทรัพย์สินพ่อขนาดนี้แล้วเราก็แค่เพิ่มเติมรายละเอียดเข้าไป พ่อให้รถมาหนึ่งคัน กะอีแค่เราก็เอาไปใส่ล้อแม็ก ติดสะปอยเล่อร์ ใส่เครื่องเสียง เพ๊นกาตูนย์เบบี้เข้าให้ นิสสันรุ่นช้างเหยียบ มันก็เท่ได้ แล้วหากลูกมหาเศรษฐีใส่ยีนแรงเลอร์ผ้าขม้าคาดพุงผมว่ามันเข้าท่านา เราแต่งซิ่งประสาพ่อรวยแล้วมันเพิ่มมูลค่าของพ่อมันจะเป็นอะไรไป ผมไม่เห็นพ่อคนใหนสักคนไม่พอใจที่ลูกๆเอาสมบัติพ่อไปพัฒนาให้ดีขึ้น เอ หรือใครมีพ่อแบบนั้น แต่พ่อผมท่านไม่ว่าอะไรผมสักคำ จะมีก็ใครไม่รู้นี่แหละ ที่อาจจะหมั่นใส้ที่ผมเอาขบวนรถไฟของพ่อไปเปลี่ยนล้อจากเหล็กที่หนักแล้วก็เสียงดังเวลาวิ่ง ไปเอาล้อแม็กลายเทพพนมของไทยมาใส่เข้าให้ ก็พ่อยกทั้งขบวนรถมาให้ผมไม่ต้องออกสตางค์เองสักบาท กะอีแค่ผมออกสตางค์ ก็สตางค์พ่ออีกนั่นแหละใส่ล้อแม๊ก มันจะเป็นอะไรหนักหนา

    มันเป็นกันยังไงรถไฟถึงจะใส่ล้อแม๊ก หรือเป็นไฟเบอร์กล๊าสไม่ได้ ติดเครื่องเสียงชุดใหญ่ไม่ได้ ติดแอร์ทั้งขบวนไม่ได้ ปูพรหมที่พื้นซะทั้งหมดก็ยังได้

    นั่นก็หมายความว่าพ่อให้ทุนมาตั้งหมื่นล้าน หากเราขยับของพ่อให้เป็นหมื่น กะอีกสองร้อยห้าสิบสตางค์ก็ยังดี ยังได้ชื่อว่าต่อยอดของพ่อได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 กรกฎาคม 2014
  8. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    อันโลกนี้ จะยิ่งใหญ่ปานใดมันก็ใหญ่อยู่บนกองทุกข์ล่ะท่าน

    คงไม่มีพ่อคนใดอิจฉาลูกที่ใหญ่บนกองทุกข์ได้หรอกครับ

    เกรงแต่ว่าคงจะมีแต่ว่า .. พอได้ยังลูก พอได้ยังลูก
     
  9. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    ค่ะพี่ PCO ที่ตั้งใจเขียนไว้ข้างบนนั้นความจริงไม่ใช่อะไร เพราะส่วนตัวเคยมีอารมณ์คิดอารมณ์รู้สึกที่ถือตนว่าดีและเก่งกว่าคนอื่นแบบหยาบๆมาแล้ว(แบบกลางและละเอียดนี่มีเป็นปกติ) ตัวอย่างคือ รู้สึกถึงขนาดว่าคนที่ปรารถนาแบบวิริยาธิกะนั้นดียิ่งกว่าแบบอื่นๆ และมองคนที่ปรารถนาพุทธภูมิแบบพิเศษว่า อยากในสิ่งที่เกินเหตุ หรืออยากเก่งกว่าคนอื่นๆ แต่พอมาอ่านสิ่งที่พี่ PCO เขียนไว้ จึงได้เข้าใจเจตนาและไม่ต้องการให้เกิดความเข้าใจผิดอีกต่อไป จึงได้เขียนดูตามความเข้าใจของตนเอง สำหรับให้ท่านทั้งหลายได้อ่านและพิจารณาดู ว่าจริงๆแล้วจุดประสงค์ของพี่ PCO นั้นเป็นอย่างไรค่ะ

    ส่วนตัวน้องเองถือคติว่าจะไม่หักหาญน้ำใจใคร ไม่ว่าท่านไหนจะปรารถนาพุทธภูมิแบบใด ก็ล้วนต้องการช่วยเหลือสรรพสัตว์ ควรแก่การอนุโมทนาสาธุเป็นอย่างยิ่ง แต่ส่วนไหนที่ยังเป็นกิเลสหรือเป็นสิ่งไม่ดี ก็ถือซะว่าเป็นธรรมดาของผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ เพราะแม้แต่ตัวเราเองความเลวมันก็มีอยู่ในจิตใจทุกวี่ทุกวัน ดังนั้นจึงได้พยายามเขียนอธิบายเกี่ยวกับการปรารถนาพุทธภูมิ เพื่อให้คนทั่วๆไปเข้าใจว่า คนที่ปรารถนาพุทธภูมินั้นก็ยังเป็นปุถุชนเหมือนกับคนธรรมดาทั่วๆไป จึงสามารถทำผิดได้เป็นธรรมดา บางครั้งจึงอาจจะหลงทางไปบ้าง ก็ด้วยเหตุแห่งอกุศลกรรมที่เข้ามาสนองในขณะนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิคิดหรือทำอะไรไม่เข้าท่าไปบ้าง ก็ขอได้โปรดเข้าใจ เพราะกำลังจิตของเขาเหล่านี้ตั้งใจไว้แล้วว่า จะขอตั้งหน้าตั้งตาช่วยเหลือคนอื่นๆให้พ้นทุกข์ ถึงกับยอมเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้นเพียงเพื่อเรียนรู้การหลงผิดคิดผิดทุกรูปแบบ และสั่งสมบารมีเหตุแห่งความดีทุกรูปแบบนั่นเอง

    ส่วนเรื่องที่พี่ PCO ถูกหมั่นไส้ หรือเข้าใจผิดคิดว่าอวดตัว หรือทำตัวเด่นเกินครูบาอาจารย์ จนถูกลองดีลองของนั้น ตัวน้องเองก็เจอมาเหมือนกันแต่คงไม่หนักหนาเท่ากับพี่ ก็ได้แต่พยายามรักษากำลังจิตเท่าที่จะทำได้ ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ตัวเราเองจะมีความมั่นคงในคำสอนของพระพุทธองค์และหลวงพ่อท่านเพียงใด เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเหตุสุดวิสัยที่จะทำให้คนอื่นๆเข้าใจได้ นอกเสียจากท่านผู้นั้นจะมีทิพจักขุญาณและเจโตปริยญาณชัดเจนแจ่มใสคล่องตัวจนถึงขั้นที่ล่วงรู้ว่า เราดีหรือเลวเพียงใด และสิ่งไหนที่จริงและไม่จริงสำหรับเรา ซึ่งญาณเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากสำหรับคนทั่วๆไปและตัวน้องเอง(เพราะน้องเองเวลาอ่านกระทู้ก็จะเห็น คิด และเข้าใจตามกิเลสที่ตัวเองมีเหมือนกัน) ดังนั้นน้องจึงขอเป็นกำลังใจและอนุโมทนาสาธุกับความดีทุกอย่างทุกประการที่พี่กระทำมา และขอเป็นศิษย์ตัวน้อยๆที่จะเจริญรอยตามคำสอนของหลวงพ่อ รวมถึงรักษาความสมบูรณ์ถูกต้องในคำสอนของหลวงพ่อท่านให้อยู่ในสภาพเดิมทุกประการเช่นเดียวกันค่ะ สาธุ /\

    ปล. ตรงท่อน"ขออย่าเป็นอย่างอาตี๋สักมังกร..." อ่านแล้วฮาเลยค่ะ 555 ช่วงนี้กำลังจะเป็นจิ้งเหลนอยู่มะรอมมะร่ออยู่แล้วค่ะพี่ อยากขอคำแนะนำโดนๆจากพี่ PCO หรือพี่พุทธภูมิท่านอื่นๆเหมือนกันว่า ถ้าหากเจอวิบากกรรมแล้วเกิดท้อใจในพุทธภูมิขึ้นมา จนเกิดความรู้สึกว่าเผ่นลานี่ท่าจะสบายกว่าเยอะ เราควรจะทำยังไงดีค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2014
  10. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    ขออนุญาตสนทนาด้วยนะครับ

    อันที่จริงเผ่นลาไปก็สบายแน่ล่ะครับ แต่จะลาได้หรือไม่ได้มันเป็นเรื่องของใครของมัน

    แต่เราลองถามใจตัวเองก่อนเถอะว่าที่ ทุกข์..ทุกข์..ทุกข์ ทำไม ?

    บางคน ทุกข์ เพราะอยากเกินไป เลยต้องดิ้นรนไปตามแรงอยาก จึงทุกข์

    บางคน ทุกข์ เพราะไม่สมหวังในโลกธรรมทั้งหลายทั้งปวง จึงทุกข์

    บางคน ทุกข์ เพราะไม่อยากทำอะไร แต่ . . อยากได้ อยากมี อยากดี อยากเป็น

    แต่จะมีสักกี่คนที่ยอม ทุกข์ เพราะ พยายามทำ พยายามศึกษา

    ด้วยความตั้งใจจริงเพื่อยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นโดยส่วนรวม ด้วยใจที่แท้จริงของตนเอง

    มันต่างกันนิดเดียว เหมือนมีเส้นกำลังใจบาง ๆ ที่คั่นไว้ แต่ถ้ามองดูละเอียด ๆ จะเห็นว่ามันต่างกันลิบลับ ห่างกันไกล

    เดินด้วยความทะยานอยาก เดินไม่รอดหรอกครับ เอาหัวผมเป็นประกันได้

    เพราะ ไม่ใช่เนื้อแท้ ไม่ได้ออกมาจากใจว่าเห็นประโยชน์อะไรจึงทำจึงเดินในเส้นทางนี้

    เพราะ ทางนี้มันคือเส้นทางที่ ลำบากที่สุด ของทุกเส้นที่มีอยู่ใน ธรรมชาติ ทั้งหลายทั้งปวง นี่คือทางเดินเพื่อเข้าถึงความเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ถ้าเราถามใจตัวเองจนแน่ใจแล้วว่า จริง ๆ แล้วเราต้องการอะไรในการทำอย่างนี้

    ก็ตัวเรานั่นแหล่ะครับจะรู้เอง ว่า . . อยู่หรือไป


    ปล. วิบากกรรม มันเรื่องเล็ก เดินทางไหนไม่มีวิบากกรรมบ้างล่ะครับ

    กรรมดี กรรมชั่ว กรรม ไม่ดี ไม่ชั่ว ก็เหมารวมว่าเป็น กฏแห่งกรรม นั่นแล ฮ่า ๆ ๆ ๆ


    กรรมใดก็ตามที่เคยล่วงเกินไปแล้วด้วย กาย วาจา และ ใจ

    ขอท่านทั้งหลายได้โปรดอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตราบเท่าเข้าพระนิพพานด้วยเทอญ



    ไว้มาคุยด้วยใหม่นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2014
  11. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    หากว่าเบื่อหน่ายมากๆจนจะกลายเป็นจิ้งเหลน เราก็ทำไง ก็ทำใจยอมรับนับถือในชะตากรรม ไม่ว่าจะบำเพ็ญเพื่อการตัดกิเลสให้เป็นสมุทเฉทประหาร การจะทำสมาธิขั้นฌาณสมาบัติ หรือแม้แต่การปราถนาพระโพธิญาณหลวงพ่อท่านพูดเหมือนกันหมด สอนคำเดียวกันหมด คือต้องสร้างกำลังใจ เอาตายเข้าสู้ ลองเบื่อให้มันตายดูสักชาติจะได้เอาไว้เล่าให้ลูกหลานฟังในอนาคต ว่าสมัยหนึ่งWhite Sageเคยเบื่อจนตายคาที่มาแล้ว หากเราทำใจแบบนี้แล้วนั่งจิบกาแฟมองดูหน้าความเบื่อไม่เกินกาแฟหมดถ้วย เดี๋ยวมันก็ถอยหลัง เราอยากรู้เหมือนกันเบื่อจนตายมันเป็นไง หากถามพี่PCOก็ตอบแบบนี้

    แล้วอีกอย่างเราอย่าไปตั้งความปรารถนา ตั้งความหวังไว้สูงจนเป็นไปไม่ได้ แล้วบีบคั้นระยะเวลา เราเอาแบบงานมากไม่กลัวแต่ไม่เสร็จในวันนี้ ภูเขาทั้งลูกเราจะขนดินย้ายให้หมดก็ได้ แต่ไม่ใช่วันนี้วันเดียว วันนี้ขนสองสามบุ้งกี๋แล้วนอนฟังเพลงพรุ่งนี้ขนอีกห้าบุ้งกี๋ วันเดียวไม่เสร็จช่างมัน ปีเดียวไม่เสร็จช่างมัน ชาติเดียวไม่เสร็จเดี๋ยวมาขนต่อในชาติต่อๆไป สร้างกำลังเอง ปลอบใจตัวเองมันนี่แหละ ขืนรอน้องนางแก้วที่ยังไม่ได้เจโตปริยญาณมาปลอบใจ ก็เป็นอันว่าหมดแรงตายคาที่ตรงนั้น คุณน้องลองสร้างกำลังใจเอาใหม่ใหนๆจะตาย ก็ขอคลานไปขาดใจตายใกล้ๆแก้วใดแก้วหนึ่ง แม้เราตายไปแล้วไม่รู้เรื่องอะไรอีก แต่เรื่องราวการขนดินย้ายภูเขาทั้งลูกมันคงอยู่ให้น้องนางแก้วสะเทือนใจเล่นโก้ๆก็ได้

    ความวิริยะพากเพียร เราก็ลองดูองค์สมเด็จท่านสมัยเสวยพระชาติเกิดเป็นกระแตน้อย ลูกของท่านถูกน้ำพัดพาหายไปในมหาสมุทร ท่านก็มานะพยายามเอาตัวจุ่มลงไปในน้ำแล้วก็วิ่งขึ้นฝั่งไปสลัดเอาน้ำทิ้งไปกลับไปจุ่มน้ำเอาใหม่ทำอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก จะให้น้ำในมหาสมุทรแห้งเพื่อช่วยลูกของท่าน คุณน้องไปหารูปกระแตมาไว้หัวนอนเพื่อเตือนใจได้เลย

    เรื่องนี้ผ่านมานานแล้วนับชาติไม่ได้ แต่นึกถึงเมื่อไรน้ำตามันไหลได้ง่ายเมื่อนั้น มันคิดถึงพ่อ คิดถึงกำลังใจของคนที่เป็นพ่อคน เข้าใจคำว่าพ่อรักลูกนั้นมันเป็นอย่างไร และความวิริยะอุตสาหของคนที่ปรารถนาพระโพธิญาณนั้นกำลังใจจะต้องขนาดใหน ต่ำกว่านี้ไปไม่ถึงปลายทาง หากท้อแท้ก็หารูปกระแตมาดูดูนะครับ
     
  12. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    สาธุ ขอบคุณพี่ PCO และพี่ Armarmy มากๆนะคะ อ่านแล้วรู้สึกมีกำลังใจดีมากๆค่ะพี่ สาธุๆๆ pity_pig
     
  13. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    นั่นแหละผมก็ชักจะมองๆพ่อ อยากจะบอกพ่อหลายหนว่า เกล้ากระผมจะหมดแรงลากแล้วนะครับพ่อ แถมมองเลยไปที่แท่นบันฑุกำพลของปู่ไปโน่นเมื่อไรพี่แท่นของปู่่จะกระด้างซักที ตังไม่ค่อยจะมีพอเลี้ยงหลานแล้วละ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 กรกฎาคม 2014
  14. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    ผมพอมีวิธีเพิ่มกำลังใจตัวเอง จากการมองโลกในแง่ดีหรือแง่บวกเป็นประจำจะช่วยให้เรามีกำลังใจได้ครับ แม้แต่ความทุกข์ของคนอื่น เราก็ยังเอามาเป็นกำลังใจเราได้ถ้าเราคิดแบบบวกเป็น เช่น ยังมีมนุษย์และสรรพสัตว์ที่ยังมีความทุกข์มากกว่าเราอีกเยอะมากมายมหาศาล แม้ว่าเราจะมีความทุกข์เช่นกันแต่ก็ยังมีโอกาสดีกว่าเขาเหล่านั้นที่เรายังทราบวิธีการบำเพ็ญบุญทำความดีและรู้วิธีทำใจให้มีความสุขได้

    ในเมื่อเขายังทุกข์มากกว่าเรา เขาก็ยังอยู่ได้แม้จะลำบากกว่ามาก แล้วทำไมเราจะอยู่เพื่อช่วยเขาเหล่านั้นให้มีความสุขบ้างไม่ได้ล่ะ เราก็ทำไปตามกำลังที่ทำได้ ช่วยได้ ระยะเวลาจะนานกี่ร้อยพันหมื่นอสงไขย ไม่มีความหมายสำหรับเรา เนื่องจากเราผ่านเวลาเหล่านั้นมาก็นับไม่ถ้วนแล้ว ตายไปแล้วเกิดใหม่เดี๋ยวก็ลืมๆไปแล้ว และเมื่อเรามีบุญบารมีมากขึ้นเท่าใด ย่อมหมายถึงเรามีโอกาสที่จะช่วยสรรพสัตว์ที่ลำบากได้มากขึ้นด้วย และนี่คือสิ่งที่ผมคิดและจะทำต่อไปในอนาคต การบำเพ็ญบารมีของผมไม่มีกำหนดเวลา แม้จะไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด จะสำเร็จหรือไม่ ไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่เรากล้าที่ก้าวเดินไปในทางที่ตัวเองใฝ่ฝันหรือไม่ต่างหาก

    สิ่งที่ผมจะทำหรือบำเพ็ญความดีเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าผมอยากเก่งกว่าคนอื่น หรืออยากยิ่งใหญ่กว่าใคร แต่ผมทำเพื่อช่วยบุคคลที่เราเคารพรัก ทำเพื่อบูชาความดีของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ที่ได้ทรงได้เมตตา สอนพระธรรมให้ความรู้ต่างๆมากมายให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายรวมทั้งผมด้วย แม้ผมจะบำเพ็ญบารมีมากมายสักเท่าใด ผมก็เคารพรักต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์เสมอไป และยิ่งเคารพรักมากขึ้นๆเมื่อทราบมากขึ้นว่าพระองค์เสียสละเพื่อเราเพียงใด

    แค่คิดเพียงแค่นี้ผมก็มีกำลังใจเพิ่มขึ้นเยอะละครับ แม้ว่าปัจจุบันผมเองจะยังมีกำลังใจไม่สูงมากนัก แต่ก็มั่นใจว่าจะผ่านไปได้ ถ้าเราคิดบวก คิดในเชิงสร้างสรรค์เป็นประจำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2014
  15. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    การขอบารมีพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย
    ผมยอมรับครับว่า บารมีผมยังอ่อน .. เพราะการขอ ก็เหมือนเรายังเป็นเด็กที่ยังขอความช่วยเหลือจากพ่อแม่ ..
    แต่ผมก็ยังยินดีที่จะขอเพราะทำให้ผมเห็นเส้นทางที่จะเดินได้ละเอียดนับประมาณกี่เท่าไม่ได้

    เมื่อใดเรากล้าผ่าฟันทนทุกข์ และมีความกล้าหาญมั่นใจว่า สามารถผ่านไปได้
    เมื่อนั้น แม้ไม่ได้อยู่บนความมั่งคั่งสุขสบาย แต่ได้ชื่อว่า ยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเองแล้ว

    เพราะฉะนั้นผมจึงแสวงหา skill ที่จำเป็นสำหรับ ช่วงหลังพุทธกาลนี้ด้วย
    (อันที่จริง แม้จบชีวิตชาตินี้ก็ประมาทไม่ได้แล้ว)
    ส่วนเรื่องทำบุญต่างๆ ณ ตอนนี้ ผมก็ติดตามและคอยร่วมทำบุญอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2014
  16. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    บอร์ดพุทธภูมินี้ เป็นบอร์ดที่ไม่ค่อยอยากจะแสดงความคิดเห็นสักเท่าไรเลยครับ
    โดยเฉพาะกับพี่ PCO ซึ่งเป็นรุ่นพี่อยู่หลายปีจัด...
    ผมอยู่กับหลวงพ่อฤษีได้5ปีท่านก็มรณะภาพ ซึ่งโดยส่วนตัวผมแล้วก็ไม่ได้จัดว่าเป็นลูกศิษย์ที่ดีแต่อย่างใด ด้วยโดนด่าเป็นประจำ...

    เอาว่าความเห็นส่วนตัวเรื่องของพุทธภูมิในหมวดวิริยาธิกะ นั้น ผมเห็นหลวงพ่อฤษีท่านนำออกมาเผยแพร่ก่อน พวกเราต่างก็เรียนรู้ตามกันมาจากหลวงพ่อ แล้วก็แตกแขนงในความเห็นต่างๆออกไป ในจุดที่ตัวเองยังมีความรู้สึกว่ายังไม่พอใจกับสิ่งที่เคยปรารถนาเอาไว้ ก็มีการเพิ่มเติมเข้าไปว่าต้องการมีความพิเศษหรือเป็นเลิศทางด้านใดเข้าไปอีก...จะให้รุปสวย รวยทรัพย์ อายุยืน 8หมื่นหรือ1แสนปี มีสุขภาพดี ถึงพร้อมด้วย ฤทธิ์ อภิญญา ปัญญาทั้งทางโลกทางธรรม ทั้งหลายทั้งปวงนี้ เป็นการบำเพ็ญบารมีเพื่อเน้นในด้านนั้นๆ หมายถึงทำให้มาก สร้างเหตุปัจจัยตรงนั้นให้มาก เพื่อให้การบรรลุในยุคสมัยของตนนั้น ถึงพร้อมด้วยสิ่งเหล่านี้...
    ในความเห็นส่วนตัวของผม ความปรารถนานี้เป็นไปด้วยตัณหา หรืออาจจะเรียกว่าเป็นอภิตัณหาอย่างละเอียด ที่ผูกรัดผู้คนให้หลงใหลไปในอำนาจของหมู่มาร จนบิดเบือนปิดกั้นจุดประสงค์และเป้าหมายของการบำเพ็ญเพียรออกไป ให้เสียเวลาจนเนิ่นนานแล้วในท้ายที่สุดก็ไปไม่ถึงซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณ คือต้องลาพุทธภูมิลงเสียก่อน...อันนี้ไม่ได้ว่าว่าใครผิดนะขอรับ...

    ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิเมื่อครั้งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทรงเปิดโลกทั้ง3ด้วยพุทธานุภาพนั้น พวกนี้มีมากด้วยกัน เกือบทั้งหมดเห็นความเป็นเลิศในองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงปรารถนาจะมีตามองค์ท่าน...

    ผู้ปรารถนาพุทธภูมิอีกประเภทหนึ่งได้เห็นความทุกข์ของเหล่าเวไนยสัตว์แล้วมีความปรารถนาจะค้นหาวิธีให้เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายได้พ้นทุกข์อย่างถาวรหลุดพ้นไปจากวัฏฏะสงสารแม้ยอมแลกด้วยความยากลำบากในการฝึกหัดฝึกฝนตนเองให้รู้แจ้งเห็นจริงจนสามารถสั่งสอนเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากห้วงโอฆะเหล่านี้ได้ ด้วยคำสอนที่ง่ายและตรงกับใจหรืออุปนิสัยของสัตว์เหล่านั้นๆ

    ผู้ปรารถนาจากเหตุปัจจัยแรกนั้นโดยมากมักจะลาพุทธภูมิในกาลต่อมา ส่วนผู้ปรารถนาจากเหตุปัจจัยหลังนั้นโดยมากจะไม่ลาพุทธภูมิจนกว่าจะสามารถนำพาสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ไปได้สำเร็จก่อน ที่ใช้ว่าโดยมากนี่เพราะว่าไม่ใช่ทั้งหมด...
     
  17. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    ก่อนอื่นผมขอแสดงความยินดีตอนรับพี่ raming2555 ..
    ผู้ปรารถนาพุทธิภูมิที่ไม่ค่อยเข้ามาที่ห้องนี้ .. ครั้งนี้ถือว่าเป็นมงคลยิ่ง ^^

    สำหรับผม .. ผมไม่ประมาทหรอกครับว่าผู้ที่ปรารถนาพุทธิภูมิว่าจะเข้าใจถูกต้อง
    แม้จะทำด้วยความลุ่มหลง ด้วยเหตุใด ก็ตาม ผมก็ไม่อาจหมินประมาทได้
    ทั้งนี้เพราะระยะทางมันยาวไกลมากครับ ..

    ถ้าให้คาดการณ์ผมว่าต้องอาศัย กำลังหลัก 2 อย่างคือ
    กำลัง(บารมี)บุญหนุนนำ และ กำลังปัญญา (ก็ตกอยู่ในกำลังแรกเหมือนกัน)
    ถ้าว่ามีกำลังมาก .. ก็อาจจะถูกดึงให้เข้าที่เข้าทางในภพหน้าต่อๆ ไปได้ครับ

    (ส่วนกรณีหลุดนอกทาง อันนี้ไม่อยากพูดถึง เพราะมันมีมากอยู่แล้ว ^^)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2014
  18. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ท่านผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ มีปัญญามาก คือมีความฉลาดมาก ท่านจึงใช้เวลาในการฝึกหัดเพาะบ่มบารมี น้อยกว่า เหมือนคนฉลาดเรียนหนังสือเก่ง ทำอะไรก็เก่งไปหมด ย่อมจะประสบความสำเร็จด้วยระยะเวลาอันสั้นกว่าคนที่สติปัญญาปานกลาง...
    อายุขัยที่น้อยกว่า คือประมาณ 100 ปีนั้น ก็เพราะทรงเห็นแล้วว่าโลกนี้เป็นทุกข์ ไม่ว่าจนก็ทุกข์ รวยก็ทุกข์ ฉลาดก็ทุกข์ โง่ก็ทุกข์ คือรวมความว่าทั้งหมดบนโลกนี้เป็นทุกข์ อันที่ชาวโลกเรียกว่าสุข พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่านั่นคือทุกข์ ความทุกข์เหมือนหอกทิ่มมาจากข้างหน้า ความสุขเหมือนหอกที่ทิ่มเข้ามาจากทางด้านหลัง การยิ่งมีอายุขัยอยู่บนโลกนี้นานกว่าจะได้บรรลุธรรมก็เป็นเรื่องที่ทุกข์มาก อายุขัย8หมื่นปี ก็ทุกข์ทั้ง8หมื่นปี อายุขัย 100ปีก็ทุกข์อยู่100ปี หากว่าบุคคลจะบรรลุธรรมได้ภายในอายุขัย100ปี แล้วเข้าสู่นิพพานได้ ย่อมประเสริฐกว่าจะมีอายุขัย8หมื่นปีแล้วค่อยเข้านิพพาน คือว่าทนทุกข์อยู่บนโลกนี้น้อยกว่า นี้จึงเป็นเหตุที่เกิดผู้ปรารถนาปัญญาธิกะ...

    สำหรับผู้ปรารถนาวิริยาธิกะนี้ เห็นว่าคนส่วนมากมีความโง่ แต่หากมีความเพียรพยายามไม่หยุดหย่อนแล้ว วันหนึ่งย่อมประสบความสำเร็จได้เช่นกัน แม้จะไม่ได้มากเท่าคนเก่งคนฉลาดแต่ก็ถึงซึ่งความสำเร็จได้เช่นกัน แม้จะถึงช้ากว่าแต่ก็ยังดีกว่าไปไม่ถึง เพราะในที่สุดแล้วก็ต้องถึงเหมือนกันนั่นแหละ อีกทั้งคนหมู่มากเป็นคนโง่ ดังนั้นเมื่ออาศัยความเพียรช่วยคนเหล่านี้ได้แล้ว ย่อมมีคนจำนวนมากกว่าได้บรรลุถึงมรรคผลนิพพานได้ ส่วนคนฉลาดนั้นมีจำนวนน้อยกว่ามาก เมื่อใช้ความเพียรแม้ไม่มากคนฉลาดเหล่านี้ย่อมบรรลุได้ ไม่น่าเป็นห่วงเป็นกังวลนัก วิริยาธิกะจึงเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้

    ผู้ปรารถนาพุทธภูมิในหมวดวิริยาธิกะนั้น ย่อมทำความเพียรเป็นอันมาก ในอันที่จะเจริญภาวนา ทั้งสมถะและวิปัสสนา ให้มากให้คล่องชำนิชำนาญ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้แจ้งในทุกซอกทุกมุมที่จะปรารถให้บุคคลทั้งหลายเข้าสู่ความเป็นอริยะบุคคลได้ ส่วนเรื่องทาน เรื่องศีล นั้นเป็นเรื่องที่ทำอยู่เป็นปกติ แต่ต้องมากด้วยภูมิธรรมที่รอบรู้ครอบคลุมในทุกแง่ทุกมุมอย่างละเอียด โดยเฉพาะเรื่องกฎของกรรม...

    เรื่องกฎของกรรมนี้เป็นของหนัก ทั้งนี้เพราะแม้แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้นก็ไม่ทรงปฏิเสธเรื่องกฏของกรรมที่เข้ามาสนองพระองค์ ทั้งเรื่องการทรมานพระวรกายถึง 6 ปี หรือจะต้องดื่มน้ำที่โคย่ำผ่าน ฯลฯ ดังที่ทุกท่านทราบดีอยู่แล้ว
    และที่ไม่ได้บอกกล่าว แต่ผู้ที่ฝึกฝนมาเพื่อความสำเร็จในสัมมาสัมโพธิญาณต้องรู้นั้น คือ การบรรลุมรรคผลของบุคคลใดเพื่อจะไปเป็นพระพุทธเจ้าแต่เมื่อใดนั้น ก็เกิดจากกฎของกรรมเป็นผู้กำหนดมาแต่ก่อนแล้ว

    อีกทั้งผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิเอาไว้แล้วจะลาพุทธภูมิเพื่อเข้านิพพานในกาลเบื้องหน้านั้นต่างก็ถูกกฎของกรรมกำหนดไว้แล้วเช่นเดียวกัน องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพยากรณ์ต่อผู้ใดที่จะบรรลุมรรคผลเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อใดในกาลภายหน้า จะมีเรียกว่าอะไร มีอัครสาวกเบื้องซ้าย ขวา ชื่อว่าอะไร ก็เนื่องจากพระองค์ทรงรู้แจ้งแล้วในกฎของกรรมที่จะบังเกิดขึ้นในอนาคตเบื้องหน้า หาเป็นผู้กำหนดกฎของกรรมเหล่านั้นเองก็หาไม่...

    ผู้ปรารถนาพุทธภูมิแต่ไม่มุ่งเน้นไปที่การเจริญภาวนาประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อความรู้แจ้งในธรรมทั้งปวงแล้ว จะเอาอะไรไปตรัสรู้ เอาอะไรไปสอนให้บุคคลทั้งหลายได้บรรลุธรรม ได้สำเร็จอรหัตผลเล่า...
    การจะไปมุ่งเน้นแต่ความสำเร็จทางโลก แต่เรื่องภายนอก เพื่อความมีรูปสวย รวยทรัพย์ ฯลฯเหล่านี้ ไม่ได้เป็นไปเพื่อการบรรลุมรรคผล ไม่ได้เกื้อกูลต่อการบรรลุมรรคผลแต่อย่างใด บุคคลทั้งหลายไม่ได้บรรลุธรรมได้เพราะสิ่งภายนอกเหล่านั้น

    กลับกันเสียอีก บุคคลผู้มีรูปสวยย่อมหลงรูปตน บุคคลผู้ร่ำรวยย่อมหลงในความสุขสบาย ฯลฯ นี้ย่อมไกลจากคำว่าทุกข์ กว่าจะเห็นทุกข์ก็เมื่อพบความสูญเสียผิดหวัง ซึ่งต้องใช้เวลานาน และยากลำบากที่จะทำให้คนเหล่านี้เข้าถึงคำว่าทุกข์...เมื่อไม่เห็นทุกข์ มีหรือจะเห็นธรรม ถ้าเห็นแต่ความสุข สนุกสนาน สวยงาม สะดวกสะบาย สมหวังทุกอย่าง โอกาสจะเข้าถึงธรรมจึงน้อยเต็มที ต้องใช้เวลานาน นานเป็นหมื่นปี คืออาจจะต้องมีอายุขัย 8 หมื่นปี ใช้เวลาไป4หมื่นปีแล้วจึงค่อยเริ่มเห็นทุกข์ กว่าจะเข้าใจทุกข์บรรลุได้ต้องเสียเวลาไปอีก 2 หมื่นปี เช่นนี้เป็นต้น...อันนี้ผมก็ไม่ทราบว่าดีหรือไม่ดี ก็ต้องขอบอกว่าแล้วแต่ แต่ละคน ชอบใครชอบมัน ก็แล้วกัน

    พุทธภูมิที่ผมเคยเจอมาสมัยหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ผมเห็นอยู่2คน ทั้ง2คนนี้มีลักษณะคล้ายกันอยู่ในเรื่องการเน้นหนักไปในการเจริญกรรมฐาน ที่ว่าเน้นหนักคือ ทั้ง2ท่านนี้ คล่องในกรรมฐาน 40 สติปัฏฐาน4 ทรงฌาณได้ดี มีความคล่องตัวมาก มีความเคารพในองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์เป็นที่สุด...อยากจะบอกว่าคนทั้ง2นี้ ไม่เคยว่างจากฌาณเลย แต่แม้กระนั้นก็ยังทำความเพียรต่อไปไม่ปริปาก เรื่องกำลังใจของคนเหล่านี้ ไม่ต้องคิดบวก คือคิดบวกเมื่อไรก็เพราะมันมีความคิดลบอยู่ครับ คนพวกนี้ไม่มีคิดลบ มันเลยไม่ต้องคิดบวก เมื่อไม่ต้องคิดบวกเพื่อให้ได้กำลังใจมา ก็เพราะกำลังใจของคนประเภทนี้ไม่มีที่มา ไม่มีที่ให้หมด มันหาที่สุดไม่เจอ...

    พี่ทั้งสองนี้บอกว่าต้องเกิดอีก 7 ชาติ แล้วขึ้นไปรอ...ท่านพี่ทั้งสองนี้ปรารถนาพุทธภูมิมาพร้อมๆกับหลวงพ่อฤษี คือปรารถนามาในสมัยเดียวกัน...เวลาจะรู้จะเห็นอะไรพี่เขาจะกราบพระก่อน ขออารธนาบารมีองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสมอ เป็นที่น่าประทับใจในความเคารพนอบน้อม และอัธยาศัยที่ดีงามนี้อย่างมาก...

    ก็ขอจบความเห็นส่วนตัวแต่เพียงเท่านี้...ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่าน...การจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยตรงไหนส่วนใดก็สามารถแสดงความเห็นได้ครับ ไม่มีผิดไม่มีถูกแต่ประการใด
     
  19. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    ผมชอบส่วนนี้ของพี่ raming2555 นะครับ .. ผมว่ามีประเด็นอยู่

    (ผมลองคิด ย้อนขึ้นไป ย้อนกลับมา ย้อนขึ้นไป ย้อนกลับมา ..
    มันก็มีอะไรบางอย่างที่นอกเงื่อนไขผมอยู่อีก .. ผมยังสรุปไม่ได้)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2014
  20. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    หลายประเด็นผมก็เข้าใจและเห็นด้วยกับคุณ raming2555 เช่น เรื่องคิดบวกย่อมมีคิดลบ นี่คือธรรมชาติของจิตที่ยังมีความหวั่นไหวอยู่ ผมเองก็ยอมรับว่าบารมียังไม่แกร่งถึงขนาดนั้น ย่อมต้องอาศัยการคิดบวกช่วยเป็นกำลังใจ และรู้ว่าความคิดลบย่อมมีได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผมก็เชื่อว่าการคิดบวกเป็นแนวทางหนึ่งหรือบันไดเพื่อก้าวขึ้นสู่ทางเดินที่สูงขึ้นไป คล้ายๆกับการใช้ความดีหรือผลบุญเป็นบันไดก้าวขึ้นไปสู่จุดที่สูงสุดคือพระนิพพาน ซึ่งเมื่อถึงระดับนั้นแล้ว เราย่อมละความยึดมั่นถือมั่นในบุญและบาปได้

    เรื่องความปรารถนาเพื่อให้บริวารมีความสุขสบาย ถ้ากระทำไปพร้อมกับเรียนรู้ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ และท่านที่บำเพ็ญอยู่ไม่ได้ปรารถนาที่จะทำให้บริวารลุ่มหลงติดอยู่ในสิ่งเหล่านั้น ก็ย่อมทำได้ถือว่าเป็นทางเลือกทางหนึ่ง ดังจะเห็นได้ว่าบริวารที่ติดตามมาทางสายวิริยาธิกะทุกท่านที่มีปัญญาความสามารถถึงพร้อมอยู่แล้ว รอแต่เพียงว่าจะเข้านิพพานเมื่อไรก็เมื่อนั้น

    ผมเองกลับมองอีกมุมว่า การที่มีท่านที่ทำความดีอยู่ในชั้นมนุษย์ สวรรค์ พรหม กันมากๆจะช่วยเหลือเกื้อกูลสรรพสัตว์ที่ยังลำบากได้อีกมากครับ และยังช่วยเหลือเกื้อกูลระหว่างพระโพธิสัตว์และบริวารท่านอื่นๆได้ดีอีกด้วย ถ้ามองในมุมนี้ผมคิดว่าคุ้มค่าที่จะอยู่กันนานขึ้นอีกหน่อย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...