ถามเกี่ยวกับอาการจากการทำสมาธิค่ะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Junejuly, 5 กันยายน 2011.

  1. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    คุณชินนาคะ ดิฉันในตอนนี้ไม่มีความมั่นใจว่าดิฉันจะสามารถปรารถนาพระนิพพานเป็นจุดหมายปลายทางของดิฉันได้ไหม เนื่องมาจากภาระทางโลกและปัจจัยหลายๆอย่าง (ดิฉันยังต้องดูแลบิดา ญาติและผู้มีพระคุณ ยังไงตอนนี้ดิฉันก็ทิ้งพวกเขาไม่ได้ค่ะ) ดิฉันเลยไม่อยากคิดอาจเอื้อมที่จะไปพระนิพพาน(ถึงแม้ดิฉันอยากจะไปพระนิพพานก็ตาม) เพราะปัจจัยหลายๆอย่างนี้มีผลทำให้ดิฉันยังละความห่วงใยทางโลกไม่ได้แน่ค่ะ จากเหตุที่กล่าวมา..ดิฉันไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรถึงจะมีโอกาสทำเพื่อพระนิพพาน....

    คุณ Oatthidet -- ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจ ดิฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถค่ะ

    คุณ Syamk -- อาการตกใจของดิฉันมันไม่ถึงกับหายไปเลยทีเดียวค่ะ เพียงแต่พอได้ยินเสียงอะไรดังขึ้นมา จิตของดิฉันรับรู้เสียงดังที่เกิดขึ้น แล้วดิฉันก็ดึงจิตกลับมาจดจ่อกับการทำสมาธิต่อค่ะ (ไม่มีอาการหัวใจเต้นเร็วและสะดุ้งตกใจเหมึอนก่อน) คงเป็นเพราะมันเริ่มชิน เริ่มรู้ว่าเราไปบังคับให้เสียงต่างๆรอบๆตัวให้เงียบไม่ได้ ก็ต้องยอมรับตรงนี้ แล้วพอมีเสียงดังจิตก็จะมีสติมากขึ้นค่ะ คุณSyamk ฝึกอย่างสม่ำเสมอแบบนี้ดีแล้วค่ะ อนุโมทนาด้วยค่ะ สู้ๆ แต่ถ้าผีมาให้เห็นจริงๆ ดิฉันก็เผ่นเหมือนกันค่ะ 55555
     
  2. ชินนา

    ชินนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +248
    ที่จริงผมก็ไม่ได้จะมาเร่งรัดอะไรคุณนะครับ เพียงแต่เห็นว่าคุณอยากละอกุศลจิตให้ได้ถาวร ผมก็เลยพูดไปตามเนื้อผ้าอะนะครับ

    เรื่องพระนิพพานนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องการอาจเอื้อมอะไรเลยครับ มันเป็นเรื่องของคนที่เข้าใจ "ทุกข์" เข้าใจ "เหตุแห่งทุกข์" คือ การเกิด แล้วก็เพียรพยายามหาหนทางดับเหตุของทุกข์ ก็แค่นี้ครับ ต่อไปก็เป็นการพจญมารต่างๆ นาๆ อย่างหนักหน่วง แต่ด้วยควา่มมุ่งมั่น กำลังใจเข้มแข็งจึงสามารถฝ่าด่านออกไปได้ครับ

    ส่วนเหตุผลที่คุณกล่าวมานั้นก็เป็นการวิตกไปเองแหละครับ เพราะผู้ปฏิบัติผู้ที่ปรารถนาซึ่งพระนิพพาน ย่อมอยู่ในโลกนี้อย่างเข้าใจในหน้าที่ และเข้าใจอย่างดีที่สุดด้วย และไม่ได้หนีใครไปที่ไหนเลย ใช่ว่าเราจะต้องทิ้งท่านผู้มีพระคุณทั้งหลายโดยการเข้าป่าเข้าดงอย่างเดียวซะเมื่อไหร่นี่ครับ เรายังอยู่กับท่านยังดูแลกันได้ หนำซ้ำท่านยังเป็นผู้ที่มีบุญใหญ่ด้วย ที่ได้อยู่กับผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อพระนิพพาน

    กายเราอยู่กับท่ีานดูแลตอบแทนคุณท่านอย่างเต็มที่ ส่วนใจดูแลตัวเองให้พ้นบ่วงมารคือกิเลส

    อันนี้เราคุยกันนะครับ ไม่ต้องตกใจว่าผมเร่งเร้าให้คุณปรารถนาพระนิพพาน ซึ่งก็ต้องเป็นไปตามบุญบารมีของแต่คนอยู่แล้วนะครับ

    สบายๆ นะครับ ถือว่าเป็นการสนทนาแลกเปลี่ยนทัศนคติซึ่งกันและกันนะครับ:cool:
     
  3. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    ขอบคุณค่ะคุณชินนา ดิฉันเข้าใจที่คุณกล่าวมาค่ะ คุณไม่ได้เร่งรัดดิฉันเลย เพียงแต่ดิฉันยังไม่เข้าใจวิธีการในการมุ่งสู่พระนิพพานในขณะที่ยังต้องมีภาระน่ะค่ะ

    ดิฉันนึกว่าคนที่มุ่งหวังนั้นต้องปลีกวิเวกแบบตัดทุกอย่างเสียอีก ดิฉันเลยกลัวว่าถ้าดิฉันอยากมีจุดมุ่งหมายคือพระนิพพานแล้วดิฉันกลัวจะทำไม่ได้เพราะคิดว่าความห่วงใยครอบครัว หน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ การดำเนินชีวิตที่ต้องมีอยู่แบบนี้จะเป็นอุปสรรค์ต่อผู้ที่มีมุ่งหวังพระนิพพานน่ะค่ะ คุณชินนาพอจะแนะนำได้ไหมคะ :)

    ดิฉันอยากทราบเรื่องการผจญมารที่คุณชินนาได้กล่าวไว้ค่ะ จะเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ แล้วคุณชินนารับมืออย่างไร ถ้าไม่เป็นการรบกวน คุณชินนาช่วยเล่าประสบการณ์ของคุณให้ดิฉันได้เรียนรู้ได้ไหมคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 กันยายน 2011
  4. ชินนา

    ชินนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +248
    ถ้าเราปลีกวิเวกทางกายได้นั้นก็เป็นเรื่องดีครับ แต่ถ้าไม่มีโอกาสอย่างนั้น เราก็ใช้กิจวัตรประจำวันที่เป็นปัจจุบันนี่แหละครับเอามาใช้ในการปฏิบัติ

    คนที่ปฏิบัติธรรมหวังผลเพื่อพระนิพพานนั้น ท่านจะรู้หน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด สามารถจัดการกับภาระได้อย่างลงตัว ถ้าเรายังมีภาระที่ต้องตอบแทนคุณผู้มีพระคุณ มีหน้าที่ต้องดูแลครอบครัว มีหน้าที่เป็นพลเมืองดี เราก็ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้

    จิตใจเราก็ทำหน้าที่ของเราคือ การบำเพ็ญภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ขัดกันเลยครับ

    นึกภาพออกไหมครับ เวลาเราทำงานทำการอะไรอยู่แต่เราไม่ยึดติดในการงานนั้น งานนั้นเป็นแต่เพียงงานชั่วคราวที่มีความจำเป็นต้องทำเพื่อเลี้ยงดูร่างกายนี้ หมดร่างกายคือตาย เราก็หมดหน้าที่ของงานนั้นๆ

    แต่หน้าที่อีกหน้าที่หนึ่งคือการดูแลจิตใจของตัวเอง เราทำงานด้วยความมีสติ มีศีล มีสมาธิ มีความเข้าใจว่างานนี้เป็นงานชั่วคราว เราจึงต้องถนอมจิตใจของเรา ไม่เข้าไปเดือดร้อนเป็นกังวลในงานนั้นด้วย เพราะนั่นเป็นงานทางโลก

    งานทางโลกทำแล้วไม่มีจบ เพียงแต่จบชั่วคราวคือเมื่อตายไปแล้ว แต่ถ้าจิตยังมีกิเลส ตัณหา อุปาทานอยู่ จิตนั้นก็จะต้องกลับมาเกิดมีร่างกายแบบนี้อีก การเลี้ยงดูร่างกายก็ต้องทำอยู่อย่างนี้อีกไม่สิ้นสุดสักที เกิดชาติไหนเราก็ต้องทำงานเลี้ยงกายนี้อยู่อย่างนี้

    ไหนจะพบกับทุกข์อื่นๆ อีกคือ แก่ เจ็บ ตาย การพลัดพรากจากของที่รักที่ชอบใจ มีความปรารถนาไม่สมหวัง

    ส่วนเรื่องการพจญภัยนั้น ก็เป็นเรื่องของการพจญกิเลสนี่แหละครับ หาใช่อะไรอย่างอื่นที่ไหนหรอกครับ การจัดการก็ยกเอา "พระกรรมฐาน" เข้าสู้เท่าที่กำลังของเราจะทำได้ครับ

    แต่การแนะนำ ผมขอแนะนำให้ทำความเข้าใจเรื่อง บารมี ๑๐, อิทธิบาท ๔, การเข้าถึงความเป็นพระอริยะเจ้า, การละสังโยชน์ ๑๐ ซึ่งหาอ่านได้ที่หน้าเว็บนี้แหละครับ หรือจะค้นหาด้วยกูเกิ้ลก็ได้ครับ

    แต่ผมอยากให้อ่านคำสอนของหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุงนะครับ เพราะท่านทำเป็นแบบไว้ให้ครบแล้ว ท่านแจกแจงไว้เป็นหมวดหมู่ง่ายสำหรับค้นคว้าศึกษาครับ ท่านใ้ช้ภาษาไทย ๆ อ่านแล้วเข้าใจง่ายครับ

    ลองศึกษาดูนะครับ ถ้าเกิดมีอะไรสงสัยก็ค่อยถามมานะครับ ถ้าไม่เกินวิสัยที่ผมรู้ ผมจะช่วยอธิบายให้ครับ แต่ถ้าผมไม่รู้ผมจะช่วยหาทางให้คุณได้คำตอบไม่ทางใดก็ทางหนึ่งครับ

    เจริญธรรมครับ
     
  5. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    ขอบคุณค่ะคุณชินนาสำหรับความเมตตากรุณาของคุณที่คอยแนะนำสิ่งดีๆมีประโยชน์แก่ดิฉันเสมอ.....

    ดอนนี้ดิฉันเริ่มเข้าใจแล้วค่ะว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์ที่เล่าให้คุณชินนาฟัง ดิฉันกำลังถูกทดสอบโดยกิเลสมาร.....หนักเอาการสำหรับดิฉัน ดิฉันต้องตั้งมือรับกับมันค่ะ ตอนแรกดิฉันไม่รู้จะทำอย่างไร มานั่งเศร้าเสียใจ นึกโทษตัวเองทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้คิดเช่นนั้น ไม่มีเจตนา ไม่ตั้งใจเช่นนั้น(ถึงขนาดคิดจะยอมแพ้มัน) แต่ตอนนี้พอจะเข้าใจแล้วว่าดิฉันควรมุ่งมั่นต่อไปและขอขมาพระรัตนตรัยทุกวันจนกว่ากิเลสมารจะเลิกกวนดิฉัน ต่อไปนี้เป็นไงเป็นกัน ดิฉันจะไม่ยอมแพ้มัน!

    ขอถามค่ะ - ทำไมกิเลสมารถึงเริ่มมากวนเราหนักขึ้นคะ ทั้งๆที่ตอนปฏิบัติธรรมหรือนั่งสมาธิทุกวันนี้จิตเริ่มสงบและไม่ฟุ้งซ่านแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 กันยายน 2011
  6. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    บอกเล่า เก้าสิบ

    การฝึกปฏิบัติธรรม ต้องรู้จักวิธีทำ

    ผู้บอกวิธีทำ มีพระสงฆ์เป็นต้น

    เราเคยฟังพระสงฆ์บอกวิธีไหม

    หากเคยฟัง ก็ถามตัวเองว่า
    เราจำ วิธีที่พระสงฆ์กล่าวสอนได้ไหม
    พระเทศน์ใน 1กัณ เราจำคำพระได้กี่คำ
    หากจำได้ เราทำตามพระเทศน์ได้มากน้อยแค่ไหน

    การเข้าหาสัปปบุรุษ จะทำให้เราเดินทางได้ถูกต้อง
    พระสงฆ์สาวกชื่อว่า สัปปบุรุษ ควรเข้าหา ไปฟัง ไปทำตาม

    จะรู้ได้อย่างไร ว่าเป็นพระสงฆ์สาวก
    ก็ดูจาก การกล่าวสอน ที่เป็นไปด้วยธรรม 8 ข้อ

    ธรรมเหล่าใดเป็นเหตุให้เกิดราคะไม่ให้คลายราคะเป็นเหตุให้เกาะเกี่ยวเป็นเหตุให้สะสมเป็นเหตุให้มักมากเป็นเหตุให้ไม่สันโดษเป็นเหตุให้คลุกคลีเป็นเหตุให้เกียจคร้านเป็นเหตุให้เลี้ยงยาก สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่คำสอนของพระศาสดา.....
    แล้วดูว่า...
    1.ธรรมเหล่าใดเป็นเหตุให้คลายราคะ
    2.ธรรมเหล่าใดเป็นเหตุให้ไม่เกาะเกี่ยว
    3.ธรรมเหล่าใดเป็นเหตุให้ไม่สะสม
    4.ธรรมเหล่าใดเป็นเหตุให้มักน้อย
    5.ธรรมเหล่าใดเป็นเหตุให้สันโดษ
    6.ธรรมเหล่าใดเป็นเหตุให้สงัด
    7.ธรรมเหล่าใดเป็นเหตุให้มีความเพียร
    8.ธรรมเหล่าใดเป็นเหตุให้เลี้ยงง่าย
    ทั้ง 8 ข้อนี้เป็นคำสอนของพระศาสดา
     
  7. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    เมื่อมีความสงสัย จิตใจย่อมเกิดช่องว่าง ให้คบคิดไปในทางที่ไม่ควร

    สงบจากสภาวะหนึ่ง เข้าสู่อีกสภาวะหนึ่ง และสภาวะที่เริ่มเข้ามาสู่นี้

    ก็ไม่ได้นิ่งสงบแล้ว ควรที่จะกระทำความสงบให้มากขึ้นตามลำดับ

    ดั่งนักเรียนที่ต้องขึ้นชั้นเรียนใหม่ที่สูงขึ้นไปอีก ฉันใด

    การปฎบัติเมื่อจิตละเอียดขึ้น ก็มีกิเลสที่ละเอียดยิ่งขึ้นตามมา ฉันนั้น

    ฉนั้น การปฎิบัติจึงต้องปฎิบัติกันทั้งชีวิตครับ
     
  8. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    คนที่ปฏิบัติบางคนต้องเจอกับกิเลสมารแบบนี้เหรอคะ? คุณOatthidetเคยถูกกิเลสมารมากวนไหมคะ กว่าดิฉันจะรู้ตัวก็เกือบเสียท่าให้มันเสียแล้ว...
     
  9. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    เคยครับ แบบที่คุณพบเจอเลยครับ แต่ผมมีความนึกคิดในอีกมุมหนึ่งครับ

    ว่านี่หรือคือความนึกคิดของเรา เรานึกคิดแบบนี้แล้วคนอื่นึกคิดเหมือนเราไหม

    คำตอบที่ได้รับ คือ คนอื่นก็นึกคิดเหมือนเรา ผมเลยไม่ได้ให้ความสนใจแต่นั้นมาครับ

    เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะมีความลังเลสงสัยอยู่ครับ จนกว่าความลังเลสงสัย

    นั้นจะน้อยลง ความนึกคิดในทางที่ไม่ดี ไม่ควร จะลดน้อยลงเองครับ

    เป็นเรื่องปกติครับ การปฎิบัติต้องเดิมพันด้วยชีวิตครับ
     
  10. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    บางบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาบอกว่าถึงจะไม่มีเจตนาหรือไม่ตั้งใจก็บาป ก็แปลว่าดิฉันได้มีมลทินเสียแล้ว...แบบนี้ดิฉันคงไม่มีโอกาสคิดที่จะมีพระนิพพานเป็นจุดหมายปลายทางสิคะ :(
     
  11. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ที่คุณกำลังคิดอยู่นี่ล่ะครับ ที่เป็นทุกข์ อันความว่า

    สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชยังรู้พลั้ง

    นับประสาอะไรกับคนเดินเดินที่ยังไม่บรรลุครับ

    ทำใจให้สบายครับ ไม่มีใครไม่เคยทำผิดครับ

    ลองย้อนกลับไปดูตั้งแต่ตอนเป็นเด็กสิครับ

    ว่าเคยมีไหม ที่ไม่เคยทำผิดเลย
     
  12. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710

    ลองดูนะ

    ว่า ความคิดที่ตั้งใจคิด
    กับ ความคิด ที่ไม่ตั้งใจคิด

    ทีนี้ ความคิดที่ไม่ตั้งใจคิด มันมี 2ลักษณะ
    1.ไม่ตั้งใจคิดแต่เรารู้ตัว ว่ากำลังคิดอันนั้นอยู่ เรียกว่า มีสติรู้อยู่

    2.ไม่ตั้งใจคิด แต่ไม่รู้ตัวว่ากำลังคิดอันนั้นอยู่ เรียกว่าเผลอ หลง กับความคิดนั้นอยู่

    ลองดูซิว่า ตั้งแต่ ปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิมา เจอแบบไหนมากที่สุด

    และทีนี้ บาปที่เกิด ก็เกิดจาก
    การกระทำด้วยการตั้งใจ
    มี ตั้งใจคิด ตั้งใจทำ ตั้งใจพูด
    เรียกว่า ต้องตั้งใจทำด้วย กาย วาจา ใจ และประสบผลสำเร็จนั้น

    และ เรากำลังผจญอยู่ในลักษณะไหน

    ถ้ากำลังผจญอยู่กับ ไม่ตั้งใจคิดและมีสติรู้ตัวอยู่ ถ้าเป็นแบบนี้ จะไม่ไหลไปทางความคิด ลักษณะนี้เรียกว่า จิตตั่งมั่น ใน 1ขณะ


    ทีนี้ ลักษณะ ความคิดที่ไม่ตั้งใจคิดและมีสติรู้ตัวอยู่
    มันเป็นได้ทั้ง ความคิดที่ดี และความคิดที่ชั่ว สลับไปสลับมา
     
  13. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    ขอบคุณค่ะคุณยอดคะน้าที่ทำให้ดิฉันเข้าใจมากขึ้น ดิฉันไม่ตั้งใจและรู้ทันอกุศลจิต แล้วก็พยายามหยุดและไม่ได้คิดตามมัน ตอนนี้ดิฉันสวดขอขมาพระรัตนตรัยทุกวันเลยค่ะ ทำให้ดิฉันรู้สึกดีขึ้นมาบ้างและไม่เก็บอกุศลจิตนั้นมากังวลมากเหมือนตอนที่เกิดขึ้นใหม่ๆเท่าไหร่แล้วค่ะ
     
  14. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    วิธีฝึก สมถะภาวนา โดย หลวงปู่ พุธ ฐานิโย


    จิตตะภาวนา (หลวงปู่พุธ ฐานิโย)

    ไม่รู้ว่าโหลดไปฟังบ้างหรือยัง
    สองไฟล์นี้ จะทำให้กระจ่าง และแม่นในวิธีทำมากขึ้น

    [​IMG] รู้ ..เห็น..กาย ใจ ตัวเอง..ชื่อว่า รู้เห็นตามความเป็นจริง..โดย หลวงปู่ พุธ ฐานิโย
    ไฟล์นี้ จะทำให้เข้าใจ และย้ำในการเห็นมากขึ้น ว่า ฝึก สมาธิ ทำได้ ตลอดเวลา

    [​IMG] เทคนิค ที่ช่วยส่งเสริม ในการตั้ง สมถะ
    บทสวดมนต์นี้ จะเพิ่มกำลังจิต และเปิดทางในหลายๆเรื่อง
    สนับสนุนการภาวนา​
     
  15. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,165
    แจ่ม...........
     
  16. ผู้ต่ำ

    ผู้ต่ำ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +15
    สวัสดีครับ คุณ Stillness ผมก็เป็นคนหนึ่งที่หัดฝึกสมาธิได้ไม่นาน
    ได้เข้ามาอ่านกระทู้ของคุณ ผมได้รับประโยชน์มากๆ ผมรู้สึกว่ามีอะไรๆ
    หลายๆ อย่างคล้ายผมจังครับ
    ดีใจครับ ที่มีผู้รู้ผู้ปฎิบัติเข้ามาแนะนำให้ผู้ปฎิบัติใหม่ได้เข้าใจ..

    อนุโมทนา กับ คุณ Stillness และผู้รู้ที่เข้ามาแนะนำทุกท่านด้วยครับ
     
  17. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    ขอบคุณค่ะคุณยอดคะน้า ดิฉันโหลดมาฟังแล้วค่ะ ดีมากๆเลยค่ะ

    คุณผู้ต่ำ -- ดิฉันดีใจมากค่ะที่ประสบการณ์ของดิฉันและคำแนะนำของผู้รู้ทุกท่านที่มาให้ความรู้แกดิฉันมีประโยชน์ อนุโมทนากับคุณด้วยค่ะ พยายามฝึกกันต่อไปเนอะ.. :)

    ปล. ทุกวันนี้ดิฉันจะได้ยินเสียงผู้หญิงหรือไม่ก็ผู้ชาย มาเป็นคำๆบ้างเป็นเสียงเฉยๆบ้างตอนใกล้รุ่งสางทุกวันเลยค่ะ เริ่มชินแล้วค่ะ -__-
     
  18. ชินนา

    ชินนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +248
    อนุโมทนาสาธุครับ ใ้ช้อิทธิบาท ๔ นะครับ การงานทุกอย่างจะสำเร็จได้ครับ
     
  19. ชินนา

    ชินนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +248
    ครับ ดีแล้วครับ ขอขมาพระ และมอบกายถวายชีวิตให้กับพระพุทธเจ้านะครับ ขอปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นเป็นพุทธบูชานะครับ

    กิเลสตัวที่คุณกำลังประสบนี้ก็เป็น "มานะทิฐิ" ที่นอนเนื่องอยู่ในจิตเป็นเวลานาน เป็นกิเลสตัวหยาบๆ มันจะแสดงตัวออกมาเรื่อยๆ จากหยาบๆ ไปจนถึงขั้นละเอียดๆ เมื่อการปฏิบัติของเราละเอียดไปเรื่อยๆ เมื่อจิตละเอียดเข้าไป เราจะเห็นกิเลสตัวที่เราไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักปรากฏออกมาเช่นกันครับ

    ถึงแม้ว่าเราจะทำสมาธิได้ดีเพียงใด ถ้าเรายังไม่มีปัญญาเราจะละมันไม่ได้เด็ดขาด สมาธิเป็นเพียงการทำให้จิตสงบเพื่อประโยชน์ในการพิจารณาให้เกิดปัญญาครับ

    ขอให้เข้าใจธรรมชาติของจิตในเรื่องนี้ครับ

    เปรียบดั่ง เราขุดบ่อน้ำ การขุดของเราก็จะพบกับสภาพดินที่แตกต่างไปจากเดิมตามชั้นดิน เริ่มจากดินอ่อนๆ ช่วงต่อไปก็พบของแข็ง จนใกล้ผิวน้ำจริงเราจะพบดินที่อ่อนๆ อีกที แล้วเราจะได้น้ำกินน้ำใช้ตามความประสงค์ของเรา

    วิธีการขุดก็ต้องเรียนรู้วิธี ใช้อิทธิบาท ๔ เข้ามาเป็นกำลังให้จิต การงานทุกอย่างจึงจะสำเร็จครับ

    คุณ ยอดคะน้า และคุณ oatthidet กล่าวได้ดีแล้วครับ
    เทศน์ของหลวงพ่อพุธผมก็ฟังครับ ท่านเทศน์เข้าใจง่ายดีครับ

    เราจะถูกทดสอบอย่างนี้ไปจนกว่าจะหมดอวิชชา ขอให้คุณ stillness จงเข้มแข็งเพียรพยายามปฏิบัติต่อไปนะครับ

    อย่าท้อครับ สู้ๆนะ!:cool:
     
  20. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    ขอบคุณคุณชินนาและทุกๆท่านที่ให้คำแนะนำดีๆแก่ดิฉันเสมอค่ะ

    หลังจากแอบไปท่องเที่ยวสงบจิตสงบใจหนึ่งอาทิตย์ ดิฉันกลับมานั่งสมาธิอีก จิตรู้สึกเข้าสู่ความสงบเร็วขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าดิฉันทำถูกต้องไหมเมื่อเวลาที่จิตสงบ อยู่ๆก็เริ่มมีความคิดบางเรื่องผุดขึ้นมา ดิฉันก็ตรึกรู้และพิจารณาความคิดนั้นและมันก็เกิดคำตอบขึ้นเองว่านี่หรือคือความนึกคิดของจิตเรา ชั่งคิดดีหนอ ชั่งคิดไม่ดีหนอ ไม่เที่ยงหนอ ฯลฯ เหมือนจิตมันรู้ทันอารมณ์ ความนึกคิดขณะนั้นขึ้นมาเองอ่ะค่ะ ดิฉันควรจะปล่อยให้จิตรู้และพิจารณาแบบนี้ไปเรื่อยๆไหมคะ หรือควรจะไม่สนใจความคิดที่ผุดขึ้นมาแล้วตั้งมั่นอยู่ที่พุทโธไปเรื่อยๆ

    ทุกวันนี้เวลาฝึกทำสมาธิ ดิฉันเริ่มมีความรู้สึกที่เปลี่ยนไป คือมันไม่รู้สึกสนใจหรืออยากได้อยากรู้อะไรอีกแล้วค่ะ มันรู้สึกปลงๆ เฉยๆ ไม่ติดอยู่กับสิ่งใดแล้ว นี่เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติทุกคนไหมคะ

    ปล.ตอนนี้ดิฉันไม่ได้ยินเสียงของผู้หญิงหรือผู้ชายที่เคยได้ยินทุกวันเหมือนเมื่อก่อนแล้วค่ะ นี่คงเป็นเพราะดิฉันห่างจากการทำสมาธิใช่ไหมคะ(สมาธิถดถอยรึเปล่า)? หรือเขาเลิกกวนดิฉันแล้ว...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กันยายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...