ถามเรื่องพญานาคค่ะใครรู้ช่วยตอบทีค่ะ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย หนูปุยฝ้าย, 25 ตุลาคม 2009.

  1. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    เป็นบางเส้นครับ คุณน้อง หุหุ
     
  2. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    อิอิ ลายมือพี่เองจ้า...เพิ่งรู้นะคะว่า น้องคมน์ เป็นพ่อหมอด้วย..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มกราคม 2010
  3. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ว้าว ว่าแล้วก็แอบชม และขอบอกเคล็ดลับด้วยนะครับ

    เส้นวาสนา (เส้นกลางมือ) ของผมจะยาวจากสุดฝ่ามือขึ้นมาถึงตรงนิ้วกลางเลย แต่ปัญหา คือ เส้นวาสนาผมไหลลงข้างโคนนิ้วกลาง (ร่องนิ้ว)

    ดังนั้นอาจารย์ที่รู้จักท่านเลยแนะนำให้ "ใส่แหวนที่นิ้วกลางมือขวา" ถ้าผู้หญิงให้ใส่แหวนที่นิ้วกลางมือซ้าย เมื่อเราใส่แล้ว แหวนจะบีบนิ้วเราตรงโคนนิ้วนิดนึง ทำให้เส้นวาสนาถูกบีบให้มาอยู่ตรงกลางของนิ้วกลาง ซึ่งจะเป็นเคล็ดที่ดี

    กรณีของพี่น้ำ จะเห็นว่ามีร่องยาวจากฝ่ามือขึ้นมาบนนิ้วกลางยาว ทั้งที่ไม่ได้ใส่แหวน ดังนั้นถือว่าเลิศมาก ยิ่งมือซ้ายอีกด้วย เยี่ยมจริงๆ แบบนี้ต้องขอเกาะ 55

    ใครลองเอาไปทำดูก็ได้ครับ สังเกตก่อนใส่กับหลังใส่ดูครับ เส้นจะเปลี่ยนนิดนึง หุหุ

    โมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2010
  4. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ พี่ขอตอบเท่าที่ตอบได้นะคะ เคยเป็นพญานาคมาก่อนค่ะ หมั่นนั่งสมาธิให้ต่อเนื่อง จะทราบเรื่องอื่น ๆ ตามมาค่ะ

    บุญรักษาค่ะ

    Numsai
     
  5. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ตอนที่ ๔ เหตุแห่งการปวารณาตัวบำรุงพระศาสนาของเหล่าพญานาค

    ก่อนจะต่อเรื่องการจุติของพญานาคในสวรรค์ชั้นปรนิม ฯ ขอเล่าย้อนหลังเรื่องของที่มาในการปวารณาตัวของพญานาคทั้งหลายที่เนื่องกันคะ. เรื่องนี้โปรดวิจารณญานในการอ่านค่ะ..

    ย้อนไปในอดีตเมื่อ ๙๑ กัป ในสมัยพระพุทธวิปัสสีครั้งนั้นองค์สมเด็จพระพุทธสมณโคดม ทรงบำเพ็ญเป็นพระโพธิสัตว์ ในกาลนั้นพระองค์กำเนิดเป็นพญานาคราชทรงพระนามว่าภุชงคนาคราชพระองค์ทรงเป็นจอมกษัตริย์แห่งเมืองทั้ง ๗ มีบริวารมากมาย รวมทั้งท่านโภคะนาคราช ก็เป็นหนึ่งในกษัตริย์ทั้ง ๗ เมืองในขณะนั้น ปัจจุบันท่านอยู่ในตำแหน่งหนึ่งในอินทกะของท่านท้าววิรูปักษ์
    <O:p</O:p

    พี่ได้เป็นธิดาพญานาค ชื่อ รักขมาณวิกา เป็นธิดาสุดท้องจากโอรส-ธิดาทั้งหมด ๘ องค์ของท่านท้าวโภคะนาคราช และพระนางนิมมรตีเทวี มีคู่หมั้นชื่อ ภุมรินทร์นาคราช มีพระโอรสองค์โต ชื่อ ท่านอัคคีตาปะ เป็นผู้สอนสรรพวิชาต่าง ๆ ให้น้อง ๆ

    เมื่อท่านภุชงคนาคราช หรือพระโพธิสัตว์ได้ทราบข่าวว่า พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอุบัติขึ้นในโลกก็มีความเลื่อมใส จึงได้สั่งการให้กษัตริย์อีก ๖ เมือง ร่วมกันเนรมิตมณฑปใหญ่ งดงามตระการตาดุจทรวงสวรรค์ อาราธนาพระพุทธวิปัสสี และเหล่าพระสาวก มาอาศัยแล้วถวายภัตตาหารหลังจากนั้นพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า….

    "พญาภุชงนาคราชนี้ นานไป๙๑ มหากัป แต่กาลนี้ไปจักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งมีพระนามว่าพระศรีศากยมุนีโคดม"

    ท่านพญาภุชงนาคราช เมื่อได้สดับฟัง ก็มีใจยินดีศรัทธาเป็นยิ่งนักขณะนั้น ท่านโภคะนาคราชได้ถวายการติดตามสมเด็จพระพุทธสมณโคดม จึงตั้งสัจจะอธิษฐานต่อหน้าพระพักตร์ว่า ..

    ขอบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำมานี้ ขอให้ข้าพเจ้ามีอายุขัยยืนนานถึง ๙๑ กัป เพื่อรักษาสมบัติจักรพรรดิ และรองรับอายุพระศาสนาของพระสมณโคดมให้ครบ ๕๐๐๐ ปี และสืบเนื่องไปถึงพระพุทธเจ้าองค์ถัดไป และได้รับการพยากรณ์ให้สำเร็จเป็นผู้มีทรัพย์มาก เลิศด้วยทรัพย์ ได้อุปฐากพระพุทธศาสนา และบรรลุธรรมตั้งแต่เยาว์วัยเทอญ....

    จากนั้นพระพุทธวิปัสสีได้ให้พุทธพยากรณ์ให้ได้สมความปรารถนา ในวันนั้นมีพญานาคได้ปรารถนาต่าง ๆ กัน และต่างปวารณาตัวที่จะอุปฐากพระศาสนา และปรารถนาที่จะบรรลุธรรมในสมัยพระพุทธสมณโคดม

    ผลบุญใดที่ได้จากธรรมทานครั้งนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศแด่ท่านพญานาคราชทั้งหลายที่มีความเนื่องด้วยข้าพเจ้ามาแต่อดีต โดยมีท่านท้าววิรูปักษ์ ท่านสุนันโท ท่านโภคะนาคราช ท่านอัคคีตาปะโพธิสัตว์ ท่านนิมารตีเทวี ท่านนาคานาคีทั้งหลายที่ไม่ได้กล่าวนามมาก็ดี ตลอดทั้งเทพบุตร เทพธิดาทั้งหลายในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี โดยมีท่านอุปะมะเทพบุตร ท่านนรสีห์ ท่านเปธะกาเทพธิดาเป็นต้น ขอให้มีส่วนในกุศลผลบุญครั้งนี้ทุกประการเทอญ....สาธุ

    <O:p</O:p
    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่าน และขอให้ท่านเจริญในธรรมค่ะ

    Numsai
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Kaopayanak2_1.jpg
      Kaopayanak2_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32.6 KB
      เปิดดู:
      203
    • IMG0138A.jpg
      IMG0138A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      36.4 KB
      เปิดดู:
      131
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2010
  6. หนูปุยฝ้าย

    หนูปุยฝ้าย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +881
    โอ้โห เรื่องราวต่างๆขอพี่น้ำใส น่าตื่นเต้นอีกแล้วค่ะ ชวนให้ติดตามมากค่ะ ^^

    อนุโมทนาบุญกับพี่น้ำใสนะค๊ะ ที่มาเล่าให้ฟังค่ะ
     
  7. azalia

    azalia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    626
    ค่าพลัง:
    +579
    สาธุอนุโมทามิค่ะ _/|\_
    แล้วอดีตมเหสี..พญานาคสีทองของโรส...ชื่อไรคะ...เกี่ยวเนื่องกันหรือป่าว? จึงมีเหตุให้ link มาพบกัน...และมาสิงสถิตที่มหาสมุทรแห่งนี้ค่ะ
    ขอบคุณที่กรุณาค่ะพี่น้ำใส ^___^
    [​IMG]
     
  8. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ตอนที่ ๕ พญานาคจุติในสวรรค์ชั้นปรนิมฯ ฟังธรรม

    เรื่องนี้เป็นปัจจัตตัง ขออ่านเป็นนิทาน และโปรดใช้วิจารณญานในการอ่านนะคะ

    ขอย้อนมาถึงเรื่องการจุติของเหล่าพญานาคไปยังสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี เหตุเนื่องจากท่านเหล่านั้น ปกติหากว่างเว้นจากการสู่รบ หรือการต้องมีหน้าที่รักษาพระพุทธรูป หรือถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนาแล้ว ท่านเหล่านี้จะเข้าฌานสมาบัติเป็นปกติ รวมทั้งช่วงเข้าพรรษา ท่านก็จะพากันสมาทานศีล และถือบวชประพฤติพรหมจรรย์เป็นประจำ

    เมื่อพี่ได้ไปภพนาค เพื่ออุทิศบุญให้เหล่าพญานาคทั้งหลายอย่างต่อเนื่อง บุญกุศลนี้ เมื่อถึงเวลาจุติ ท่านเหล่านี้จึงได้ไปจุติในสวรรค์ชั้น ๖ ดังกล่าว (หลายท่านอาจจะแปลกใจว่า ทำไมท่านไม่ไปจุติที่พรหมโลก เรื่องนี้ขอเว้นในการกล่าวถึงนะคะ เนื่องจากเป็นเรื่องเฉพาะกิจ)

    เมื่อครั้งแรกที่พี่เห็นรัศมีกายของเทพบุตรใหม่นั้น รู้สึกแปลกใจว่า เหตุใดท่านจึงยอมที่จะเป็นบริวารคอยติดตามตนเอง เพราะเห็นอานุภาพของท่านปรากฏอัศจรรย์มาก จึงได้เรียนถามท่านเหล่านั้น ท่านสงเคราะห์ให้เห็นภาพอดีตที่ผ่านมา...

    เมื่อครั้งหนึ่งมีสงครามรบกันระหว่างพญานาคตระกูลสีเขียว และตระกุลดำ เหล่าทหารหาญนาคทั้งหลายได้ไปร่วมรบ โดยในเมืองท่านโภคะนาคราช ขณะนั้นมีแต่ผู้หญิง เด็ก และคนชรา ได้มีนางนาคกัลยาตนหนึ่งมาจากตระกูลสีดำ เกิดคิดคบกับพญาครุฑ ด้วยมีข้อเลือกเปลี่ยนบางอย่าง ได้นำข่าวไปบอกแก่พวกครุฑ
    ฝ่ายพญาครุฑได้ทราบข่าว จึงจุดทัพมาโจมตีเมืองนาคครั้งนั้น ขณะนั้นเจ้าหญิงปุณณมาณวิกา ซึ่งเป็นธิดาองค์เล็กของท่านโภคะ (เดิมทีพี่ชื่<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]อ ปุณณมาณวิกา</st1:personName> ) และเจ้าหญิงอีก ๔ องค์ ได้รวบรวมกำลังพลนาคที่มีอยู่ทั้งหมด ป้องกันเมืองไว้
    เจ้าหญิงปุณณมาณวิกาพิจารณาดูแล้วว่า หากรบกัน พวกนางจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แก่พวกครุฑ อย่างแน่นอน อีกทั้งอาจจะต้องสูญเสียเมืองไป นางจึงบอกให้พระพี่นางทั้ง ๔ อพยพเหล่านาคที่เหลือไปซ่อนยังที่ปลอดภัย

    ส่วนตัวนางได้อธิษฐานขยายกายให้ใหญ่โตป้องกันเมืองไว้ ดังนั้น เมื่อเหล่าครุฑบินมาโจมตี ก็จะถูกแต่ร่างของปุณณมาณวิกาแต่เพียงผู้เดียว นางรอจนพระพี่นางได้อพยพคนไปจนหมดจึงคลายฤทธิ์ ต่อมาเหล่าแม่ทัพและทหารได้กลับมาช่วยได้ทันเวลา นางมีชีวิตอยู่ได้เพียง ๗ วันก็ขาดใจตาย(จากภพนาค) ทำให้ท่านโภคะนาคราช พระมเหสี และชาวเมืองอยู่ในความเศร้าโศก และนางได้ชื่อใหม่ว่า รักขมาณวิกา หมายถึง หญิงผู้ปกป้องชาวนาค จากนั้นเป็นต้นมา

    ด้วยเหตุนี้ รักขมาณวิกาจึงเป็นที่รักของเหล่าทหาร และชาวเมืองทั้งหลาย และเหล่าทหารนี้ได้ตั้งสัจจ์ปฏิญาณที่จะติดตามนาง เพื่อสร้างบารมีต่อไป

    เมื่อทราบเหตุแล้ว พี่ก็ได้อนุโมทนาบุญกับเทพบุตรใหม่ทุก ๆ องค์ และรู้สึกซาบซึ้งในความจงรักภักดีของท่านเหล่านั้นมาก หลังจากนั้นพี่มักจะขึ้นมาที่สวรรค์ชั้นนี้เป็นประจำ

    ต่อมาวันหนึ่ง วันนั้นตรงกับวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ ปกติพี่มักจะตั้งจิตไปฟังธรรมที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ วันนั้นจึงถือโอกาสไปอาราธนาเทพบุตรใหม่ เทพบุตรเทพธิดาทั้งหลายจากชั้นปรนิมฯ เพื่อฟังธรรมที่เทวสภาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ครั้งนั้น มีพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งได้เทศนา ใจความว่า

    การที่เกิดมาเป็นเทวดานั้น เกิดจากบุญของแต่ละท่านทำมา แต่จะเห็นได้ว่า เทวดาแต่ละเหล่าก็ไม่เหมือนกัน ทิพยสมบัติ และรัศมีกายก็ต่างกัน <O:p</O:p
    จะเห็นได้ว่า ผู้เป็นเทวดาด้วยผลจากทานอย่างหนึ่ง ผู้เป็นเทวดาด้วยผลจากการรักษาศีลก็อย่างหนึ่ง และพวกที่เกิดจากกำลังฌานสมาบัติก็อย่างหนึ่ง
    <O:p</O:p
    ดังนั้น พวกท่านทั้งหลาย จงอย่าประมาท หมั่นรักษาอุโบสถศีลในวันพระ การถืออุโบสถศีลของเทวดา รวมถึงการงดใช้ฤทธิ์ เข้าฌานสมาบัติเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน
    <O:p</O:p
    จากนั้นเราก็เคลื่อนไปที่สวรรค์ชั้น ๖ ก่อนจะกลับ มีท่านเทพบุตรใหม่จากภพนาคได้ถามว่า
    พระแม่เจ้า ขออภัย พวกเราไม่เข้าใจเทศนาวันนี้ อุโบสถศีล คืออะไร พะยะคะ

    พี่รู้สึกงง ๆ เล็กน้อย แปลกใจว่า ทำไมไม่รู้จักอุโบสถศีล จึงขอบารมีพระถามท่าน จึงทราบว่า ก่อนท่านเหล่านี้ไปเกิดในภพนาค ท่านไม่ได้นับถือพุทธศาสนา เกิดนอกเขตพุทธศาสนา ได้นับถือพญานาคเป็นเทพเจ้า จึงได้เกิดในภพนาค

    จึงได้อธิบายเรื่อง ศีล ๕ และอุโบสถศีลให้ท่านเหล่านั้นฟัง เมื่อเทพบุตรใหม่ได้ฟังจบก็ปลื้มปิติยินดี ทำให้รัศมีกายสว่างไสวมากขึ้น จึงได้กล่าวกับท่านเหล่านั้นว่า

    ท่านทั้งหลาย เว้นแต่กิจที่ท่านท้าวสักกะเทวราชมอบหมายให้ทำแล้ว ขอให้ท่านมาช่วยเราในกิจที่เราทำ เพื่อบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไปนะ หากท่านต้องการสิ่งใดขอให้บอกเรา ๆ จะอุทิศบุญนั้น ๆ แก่ท่านทั้งหลาย

    เทพบุตรและเทพธิดาทั้งหลายได้ต่างโมทนาสาธุการ จากนั้นจึงขอลาท่าน ออกจากสมาธิ และแผ่เมตตาแก่เหล่าเทวดาทั้งหลาย....

    ผลบุญใดที่ได้จากธรรมทานครั้งนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศแด่ท่านพญานาคราชทั้งหลายที่มีความเนื่องด้วยข้าพเจ้ามาแต่อดีต โดยมีท่านท้าววิรูปักษ์ ท่านสุนันโท ท่านโภคะนาคราช ท่านอัคคีตาปะโพธิสัตว์ ท่านนิมารตีเทวี ท่านนาคานาคีทั้งหลายที่ไม่ได้กล่าวนามมาก็ดี ตลอดทั้งเทพบุตร เทพธิดาทั้งหลายใสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี โดยมีท่านอุปะมะเทพบุตร ท่านนรสีห์ ท่านเปธะกาเทพธิดาเป็นต้น ขอให้มีส่วนในกุศลผลบุญครั้งนี้ทุกประการเทอญ....สาธุ
    <O:p</O:p

    Numsai
    <O:p</O:p
     
  9. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    อดีตมเหสี พญานาคสีทอง ชื่อ โสมประภาเทวี ค่ะ เมืองนั้นอยู่ทางเหนือค่ะ แต่ไม่เกี่ยวท่านสุวรรณนาคราชตามภาพที่โพสต์มานะคะ พญานาคมีหลายกลุ่ม ส่วนใหญ่จะพบปะกันเวลาประชุมวันพระใหญ่ และท่านรู้จักกัน

    ส่วนตัวเคยพบท่านปู่พญาศรีสุทโธ ๒ ครั้งค่ะ ท่านรูปงามมาก แต่งตัวแบบรูปปั้นที่คำชะโนดค่ะ ผมทรงมหาดไทย พบท่านในนิมิตก่อนที่จะเดินทางไปคำชะโนดค่ะ

    แต่พญานาคองค์อื่น ๆ แต่งคล้ายท่านสุวรรณนาคราชในภาพค่ะ คือมีผมยาว และรวบผมรัดเกล้า งดงามมาก อาจจะมีรายละเอียดปลีกย่อยต่างกันบ้าง แต่รวมงดงามทุกองค์

    ขออนุโมทนาบุญกับน้องโรสด้วยค่ะ
     
  10. azalia

    azalia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    626
    ค่าพลัง:
    +579
    สาธุอนุโมทามิค่ะพี่น้ำใส _/|\_ งั้น โสมประภาเทวี เกี่ยวพันกับกลุ่มท่านปู่พญาศรีสุทโธ รึป่าวคะ
     
  11. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    เกี่ยวข้องกับท่านพญานาคศรีสุทโธค่ะ มีศักดิ์เป็นหลานค่ะ คือท่านพญานาคศรีสุทโธ เป็นท่านปู่ค่ะ

    ภายหลังมีเจ้าชาย(พญานาค) จากเมืองหนึ่งทางเหนือมารัก และสู่ขออภิเษกสมรส จากนั้นก็ไปครองเมืองทางเหนือดังกล่าวค่ะ ขณะนี้เมืองนั้น ยังมีอยู่แต่เป็นรุ่นหลาน ๆ ปกครองอยู่ค่ะ แผ่เมตตาให้ไปให้นะคะ

    ขออนุโมทนาบุญค่ะ

    Numsai
     
  12. azalia

    azalia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    626
    ค่าพลัง:
    +579
    อนุโมทนา สาธุ _/|\_ ขอบคุณพี่น้ำใสที่กรุณาช่วยวิเคราะห์ฝันให้โรสจนแก้ปมปริศนาแห่งฝันที่ติดค้างมานาน...จิ๊กซอว์ ใกล้ต่อเสร็จสมบูรณ์แล้วค่ะ บังเอิญจริงๆที่โรสฝันถึงถ้ำบ่อยๆ และได้เดินทางเสาะหาที่แห่งนั้น... เพื่อพิสูจน์ความจริงแห่งฝัน ...

    โรสฝันหลายปีก่อน...เป็นฝันเรื่องนึงที่จดจำไม่เคยลืมเลือน เพราะเป็นฝันก่อนไปเข้าเจริญวิปัสสนาฯ เพียงไม่กี่วัน...(เคยโพสต์ที่กระทู้ "ความฝัน เทพสังหรณ์" สัญญานเตือนจากเบื้องบน ) ...จะเกี่ยวเนื่องรึเปล่าก็ไม่ทราบค่ะ ช่วยวิเคราะห์อีกรอบนะคะ...เพื่อสิ้นสุดการเดินทางอย่างไร้จุดหมาย...

    จากความฝัน....ก็ได้คำตอบกับตัวเองว่า
    แท้จริงแล้ว "จิตเรา"...คือผู้บันทึกเรื่องราวแห่งกาลเวลา...
    เกิดมาหลายร้อยล้านพันหน ... จนเหล่ามนุษยชาติสูญสิ้น...แล้วเกิดใหม่กี่ร้อยล้านครั้ง
    และพระพุทธเจ้าได้บังเกิดในโลกนี้มาแล้วมากี่พระองค์...
    ดวงจิตที่ยังไม่สิ้นกิเลส...ก็จะเปลี่ยนภพภูมิไปเรื่อยๆ อันหากาลเวลาสิ้นสุดไม่ได้
    และในแต่ละภพภูมิที่บังเกิด เราย่อมสร้างบุญกรรม...ร่วมกับดวงจิตอื่นอีกมากมาย...
    .......เป็นเหตุให้เกี่ยวพันกัน...ไม่มีที่สิ้นสุด
    มีความรู้สึกเช่นนี้ว่า...
    มีดวงจิตผู้รู้แจ้ง...ที่เคยสร้างสมกุศลร่วมกันมาหลายภพชาติ...
    เมื่อเห็นอีกดวงจิตนั้น ... ยังมืดมิด...วนเวียนเปลี่ยนภพภูมิไม่สิ้นสุด
    จึงอยาก "บันดาลจิต" ...ให้รู้แจ้ง...เพื่อหยุดการเดินทางอันเป็นนิรันดร์<!-- google_ad_section_end -->
    แล้วดวงจิตนั้น...คือ...ผู้ใดกัน...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มกราคม 2010
  13. sweetketchup

    sweetketchup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +427
    อ่านบทความคุณน้ำใส
    อุโบสถศีล ใช่ศีล 8รึป่าวคะ สอนน้องด้วย ขอบคุณค่ะ ยิ้มมมม
    โมทนา สาธุ คะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2010
  14. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    พี่ขออนุโมทนาบุญกับน้อง sweetketchup เช่นกันค่ะ หลวงพ่อครูอาจารย์ของพี่ ท่านเคยบอกว่า การถือศีล ๘ เมื่อเป็นเทวดานอกจากรัศมีกายสว่างไสวแล้ว ยังมีฤทธิ์เยอะอีกด้วยค่ะ

    สำหรับเรื่องการถืออุโบสถศีล นั้นไม่ยากค่ะ ลองมาดูกันนะคะ

    การถืออุโบสถศีล หมายถึงการถือศีล ๘ ในวันอุโบสถหรือวันพระค่ะ คือ ทุกวันขึ้น๘ ค่ำ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ หรือวันแรม ๘ ค่ำ หรือวันแรม ๑๔ค่ำค่ะบอกแบบคร่าว ๆ นะคะ เพราะวันพระบางวันเป็น ๑๔ ค่ำ (ดูปฏิทินเอาสะดวกที่สุด.. อิอิ)การถืออุโบสถศีลนับ ๑วันกับ ๑ คืน รายละเอียดลองอ่านตามข้างล่างนี้...

    ศีลทั้งแปด

    1. ปาณาติปาตา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการฆ่าสัตว์
    2. อทินฺนา ทานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการลักสิ่งของที่ผู้อื่นมิได้ให้
    3. อพฺรหฺมจริยา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์
    4. มุสาวาทา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
    5. สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการดื่มสุราเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
    6. วิกาลโภชนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการบริโภคอาหารในยามวิกาล (หลังเที่ยงถึงวันใหม่)
    7. นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการฟ้อนรำขับร้อง ประโคมดนตรี และประดับร่างกายด้วยดอกไม้ของหอม เครื่องประดับ เครื่องทา เครื่องย้อม
    8. อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการนั่งนอนเหนือเตียงตั่ง ที่เท้าสูงเกิน ภายในมีนุ่นหรือสำลี

    ความเหมือนและความแตกต่างระหว่างอุโบสถศีลกับศีล

    1. อุโบสถศีล กับ ศีล 8 มีข้อห้าม 8 ข้อเหมือนกัน
    2. คำอาราธนา (ขอศีล) แตกต่างกัน
    3. อุโบสถศีล มีวันพระเป็นแดนเกิด สมาทานรักษาได้เฉพาะ วันพระเท่านั้น ส่วนศีล 8 สมาทานรักษาได้ทุกวัน
    4. อุโบสถศีล มีอายุ 24 ชั่วโมง (วันหนึ่งคืนหนึ่ง) ส่วนศีล 8 ไม่มีกำหนดอายุในการรักษา

    อุโบสถศีล เป็นศีลสำหรับชาวบ้านผู้ครองเรือน หรือเป็นศีล ของชาวบ้านผู้บริโภคกาม (กามโภคี) ส่วนศีล 8 เป็นศีลสำหรับ ชาวบ้านผู้ไม่ครองเรือน เช่น แม่ชี



    ขอขอบคุณ :

    วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2010
  15. จิตโขง

    จิตโขง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +181
    ขออนุโมทนาบุญกับพี่น้ำใสมากๆๆคับได้รู้สิ่งดีๆๆมากมายเลยคับ
     
  16. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    ขออนุญาติ ครับ..

    ศีลมีทั้งศีลของบรรพชิต และศีลของคฤหัสถ์
    ศีลของบรรพชิต แบ่งเป็นสอง คือ ศีลของภิกษุมี ๒๒๗ ศีลของสามเณรมี ๑๐
    ศีลของคฤหัสถ์ ได้แก่ศีล ๕ ศีล ๘ และศีลอุโบสถ

    ศีลที่ยิ่งกว่า ศีล ๕ ขัดเกลากิเลสได้ยิ่งกว่าศีล ๕ ที่คฤหัสถ์ควรรักษาตามโอกาส
    เป็นครั้งคราว ก็มีอยู่ ศีลที่กล่าวนี้คือ อุโบสถศีล หรือศีลอุโบสถ ซึ่งคฤหัสถ์ชายหญิงบางท่านรักษาในวัน
    อุโบสถ สมัยก่อนท่านกำหนดวันรักษาอุโบสถศีลไว้มากกว่าวันนี้ แต่ปัจจุบันเหลือวันรักษาอุโบสถศีลเพียง
    เดือนละ ๔ ครั้งในวันพระคือในวันแรม ๘ ค่ำ แรม ๑๔ ค่ำหรือ ๑๕ ค่ำ ขึ้น ๘ ค่ำและขึ้น ๑๕ ค่ำ แต่บาง
    ท่านก็ประพฤติยิ่งกว่านั้น โดยอาศัยแนวที่ท่านกล่าวไว้ใน อรรถกถาราชสูตร อังคุตตรนิกายติกนิบาตว่า
    อุโบสถมี ๓ อย่างคือ

    ๑. ปกติอุโบสถ คืออุโบสถที่รักษากันเฉพาะวันที่กำหนดไว้ ในปัจจุบันนี้กำหนดเอาวันพระ
    คือวัน ๘ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม

    ๒. ปฏิชาครอุโบสถ คืออุโบสถที่รักษากันครั้งละ ๓ วัน คือถือเอาวันที่กำหนดไว้ในปกติอุโบสถ
    เป็นหลัก แล้วเพิ่มรักษาก่อนกำหนด ๑ วัน เรียกว่า วันรับ และหลังวันกำหนดอีก ๑ วัน เรียกว่า วันส่ง
    เช่นวัน ๘ ค่ำเป็นวันรักษาปกติอุโบสถ ผู้ที่จะรักษาปฏิชาครอุโบสถ ก็เริ่มรักษาตั้งแต่วัน ๗ ค่ำ ไปสิ้นสุดเอา
    เมื่อสิ้นวัน ๙ ค่ำ คือรักษาในวัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำและ ๙ ค่ำ รวม ๓ วัน ๓ คืน

    ๓. ปาฏิหาริยปักขอุโบสถ คืออุโบสถที่รักษากันเป็นประจำทุกวันตลอดพรรษา ๓ เดือนอย่าง
    หนึ่ง ถ้าไม่อาจรักษาได้ตลอด ๓ เดือน ก็รักษาให้ตลอด ๑ เดือน หลังจากออกพรรษาแล้ว คือรักษาใน
    กฐินกาล ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ อย่างหนึ่ง ถ้ายัง
    ไม่อาจรักษาได้ตลอด ๑ เดือน ก็รักษาเพียงครั้งละครึ่งเดือนหลังจากออกพรรษาแล้ว คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ
    เดือน ๑๑ ถึงสิ้นเดือน ๑๑ อีกอย่างหนึ่ง ทั้ง ๓ อย่างนี้เรียกว่า ปาฏิหาริยปักขอุโบสถ

    ศีลอุโบสถนั้นเป็น ศีลรวม หรือ ศีลพวง คือมีองค์ประกอบถึง ๘ องค์ ถ้าขาดไปองค์ใดองค์
    หนึ่งก็ไม่เรียกว่า ศีลอุโบสถ ตามพุทธบัญญัติ เพราะฉะนั้นการล่วงศีลอุโบสถเพียงข้อใดข้อเดียว ก็ถือว่า
    ขาดศีลอุโบสถ เพราะเหลือศีลไม่ครบองค์ของอุโบสถศีล พูดง่ายๆว่าขาดศีลองค์เดียว ขาดหมดทั้ง ๘ องค์
    ผู้ที่รักษาอุโบสถศีลจึงต้องสำรวมระวัง กาย วาจา เป็นพิเศษ

    วิธีการรักษาอุโบสถศีล
    เมื่อวันพระเวียนมาถึง ให้ทำความตั้งใจว่า วันนี้เราจะรักษาอุโบสถศีล เป็นเวลาสิ้นวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง คือตั้งแต่เช้าวันพระจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น

    เจตนาละเว้นจากความชั่วทางกายวาจานั้นแลคือตัวศีล

    โดยปกติ วันพระ อุบาสก อุบาสิกา จะพากันไปสมาทานอุโบสถศีลที่วัด พักอาศัยอยู่ที่วัดวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ถ้าไม่ได้ไปวัดก็ให้ทำสมาทานวิรัติ หรือเจตนาวิรัติอุโบสถศีลเอาเอง

    สมาทานวิรัติ คือ ตั้งใจสมาทานศีลด้วยตนเอง จะรักษากี่วัน กำหนดเอง เว้นจากข้อห้ามของศีลเสียเอง

    เจตนาวิรัติ คือ เพียงแต่มีเจตนาเว้นจากข้อห้ามที่ใจเท่านั้น ก็เป็นศีลแล้ว ไม่ต้องใช้เสียงก็ได้

    สมาทานวิรัติ ดังนี้
    เจตนาหัง ภิกขะเว สีลังวันทามิ สาธุ สาธุ สาธุ คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์ ตั้งแต่เวลานี้ไปจนถึง... ข้าฯ จะตั้งใจรักษาอุโบสถศีล อันประกอบไปด้วยองค์แปดประการ คือ

    1. ปานาติปาตา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการฆ่าสัตว์ คือไมทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป เป็นการลดการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน

    2. อทินนาทานา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการลักทรัพย์ คือไม่ถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ เป็นการลดการเบียดเบียน ทรัพย์สินของผู้อื่น

    3. อพรหมจริยา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการประพฤติอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ คือ ไม่เสพเมถุนล่วงมรรคใดมรรคหนึ่ง (ถ้าไม่แตะต้องกายเพศตรงข้าม และไม่จับของต่อมือกันจะช่วยให้การฝึกสติสัมปชัญญะดียิ่งขึ้น)

    4. มุสาวาทา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการพูดปด คือ พูดไม่ตรงกับความจริง

    5. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการดื่มสุราเมรัยของมึนเมาเสียสติ อันเป็นเหตุของความประมาทมัวเมา

    6. วิกาลโภชนา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการดื่มกินอาหารในเวลาหลังเที่ยงไปแล้วจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น เป็นการลดราคะกำหนัด และลดความง่วงเหงาหาวนอน

    7. นัจจคีตวา ทิตตะวิสูกะทัสสะนะ มาลาคันธวิเลปานะ ธารณะ มัณฑะนะ วิภูสะนัฏฐานา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการดูละครฟ้อนรำขับร้องประโคมดนตรี ทัดทรงดอกไม้ลูบไล้ของหอม เครื่องย้อมเครื่องทา เครื่องประดับตกแต่งต่างๆ อันปลุกเร้าราคะ กำหนัดให้กำเริบ

    8. อุจจา สะยะนะ มะหาสะยะนา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการนั่งนอนเครื่องปูลาด อันสูงใหญ่ ภายในยัดด้วยนุ่นหรือสำลี และวิจิตรงดงามต่างๆ เป็นการลดการสัมผัสอันอ่อนนุ่มน่าหลงไหล อดความติดอกติดใจสิ่งสวยงาม มีกิริยาอันสำรวมระวังอยู่เสมอ

    ข้าฯ สมาทานวิรัติ ซึ่งอุโบสถศีล อันประกอบด้วยองค์แปดประการนี้ เพื่อจะรักษาไว้ให้ดีมิให้ขาด มิให้ทำลาย สิ้นวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ณ เพลาวันนี้ ขอกุศลส่วนนี้ จงเป็นอุปนิสัยเป็นปัจจัยแก่พระนิพพานในปัจจุบันนี้เทอญ สาธุ

    เมื่อวิรัติศีลแล้ว พึงรักษา กาย วาจา เว้นการกระทำ ตามที่ได้ตั้งสัตย์ปฏิญาณไว้จนสิ้น กำหนดเวลา พยายามรักษากาย วาจา มั่นอยู่ในศีล อย่าให้ศีลข้อใดข้อหนึ่งขาด หรือทะลุด่างพร้อยมัวหมอง ถ้ากระทำบ่อยๆ และต่อเนื่องยาวนาน ศีลจะอบรมจิตใจให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ สมาธิจะอบรมปัญญาให้แก่กล้า สามารถรู้ธรรมเห็นธรรม บรรลุมรรคผลนิพพานได้..

    ***** เท่าที่ ทราบ ศีล 8 ,อุโบสถศีล ข้อห้าม ของศีล ข้อ 3. อพรหมจริยา เวรมณี นั้น น่าจะรวมไปถึง พรหมจรรย์ ของตนเองด้วย เช่น ในผู้ชาย นั้น ห้ามรวมถึง การ นึก ,คิด และ จิตใจ และการกระทำต่อ ทั้ง ของตัวเอง ด้วย ...เช่น การ ลูบ คลำ อวัยวะ ที่ มีผล ต่อ กาม ทั้ง หญิง และ ชาย ทำให้ เราเอง เกิดความพึงพอใจ ในกาม นั้นๆ ******

    ประเดี๋ยว จะมี ข้อ เลี่ยงใด้....

    หลายท่าน ที่ รับ อุโบสถศีล จึงนิยม นอน ที่วัด เพราะสะดวกในการ ตั้งจิต รับการสมาทานศีล (แต่เราเอง สามารถ สมาทานศีล ต่อหน้าพระพุทธรูป ที่ บ้าน ใด้ ....)

    คำอาราธนาอุโบสถศีล"

    อะหัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง อุโปสะถัง ยาจามิ
    ทุติยัมปิ อะหัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง อุโปสะถัง ยาจามิ
    ตะติยัมปิ อะหัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง อุโปสะถัง ยาจามิ


    ***********************************

    คำอาราธนาศีล ๘

    มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ
    ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ
    ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ

    บุคคลที่รักษาอุโบสถแล้ว เจริญธัมมานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระธรรมเป็นอารมณ์ พระพุทธเจ้า
    ตรัสว่า บุคคลนั้น ชื่อว่าเข้าจำ ธรรมอุโบสถ อยู่ร่วมกับธรรม และมีจิตผ่องใสเพราะปรารภธรรม

    บุคคลที่รักษาอุโบสถแล้ว เจริญสังฆานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์เป็นอารมณ์ พระพุทธเจ้า

    ตรัสว่า บุคคลนั้น ชื่อว่าเข้าจำ สังฆอุโบสถ อยู่ร่วมกับสงฆ์ และมีจิตผ่องใสเพราะปรารภสงฆ์

    บุคคลที่รักษาอุโบสถแล้ว เจริญสีลานุสสติ ระลึกถึงความบริสุทธิ์แห่งศีลของตน พระพุทธเจ้า

    ตรัสว่า บุคคลนั้น ชื่อว่าเข้าจำ ศีลอุโบสถ อยู่ร่วมกับศีล และมีจิตผ่องใสเพราะปรารภศีล

    บุคคลที่รักษาอุโบสถแล้ว เจริญเทวตานุสสติ ระลึกถึงคุณธรรมที่ทำให้ไปเกิดเป็นเทวดา

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลนั้น ชื่อว่าเข้าจำ เทวดาอุโบสถ อยู่ร่วมกับเทวดา และมีจิตผ่องใสเพราะ ปรารภเทวดา

    ครั้นเจริญอนุสสติให้จิตใจสงบอย่างนี้แล้ว ตายไปย่อมเกิดในสวรรค์ หากเจริญธรรมให้สูงยิ่ง กว่านี้ คือเจริญสมถะกรรมฐาน เป็นนิจจนได้ฌาน ฌานก็จะนำเกิดในพรหมโลกหรือหากเจริญวิปัสสนา จนสำเร็จมรรคผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาแล้ว ผู้รักษาอุโบสถศีลนั้นก็สามารถกำหนดการ
    เกิดของตนได้ว่า ยังมีอีกหรือไม่ คือถ้าเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ก็ยังต้องเกิดอีก
    แต่อย่างมากก็เกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ หากสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่เกิดอีกเลย

    ก็เพราะอริยอุโบสถมีผลมาก มีอานิสงส์มากอย่างนี้ คืออย่างต่ำทำให้เกิดในสวรรค์ ๖ ชั้น
    อย่างกลางทำให้เกิดเป็นพรหม อย่างสูงทำให้ไม่เกิดอีกเลย ทุกท่านที่รักษาอุโบสถ จึงควรรักษาอริยอุโบสถ
    ดำเนินรอยตามพระอริยะ ส่วนผลที่ได้รับจะสูงต่ำเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเอง รวมทั้งปัญญาบารมีที่ได้สั่งสมอบรมมาแต่ปางก่อนด้วย

    สีเลน สุคตึ ยนฺติ ศีลทำให้เราเข้าถึงสุคติ
    สีเลน โภคสมฺปทา ศีลก่อให้เกิดโภคทรัพย์
    สีเลน นิพพุตึ ยนฺติ ศีลนำมาให้ได้ถึงความดับ หรือพระนิพพาน


    สำหรับผมเอง นาคา พรรษา ที่ผ่านมา ครองศีล 8 ตลอด 3 เดือน (แต่ ให้เหมาะสมกับการ ทำงานทางโลก เช่น ศีล ข้อที่ 7. ถ้าเคร่งมากเกินไป ทำงานทางโลกไม่ใด้แน่นอน

    และ เมื่อ ประมาณ 3 ปี จนถึงปี2552 จะรักษา ครองศีล 8ต่อ จนถึง หลังวันลอยกระทง เพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 12 ถวายเป็น พุทธบูชา ธัมบูชา สังฆบูชา

    พรรษา ปี 2552 ครองศีล 8 ตั้งแต่เข้าพรรษา - เดือน พย. ต่อเนื่อง จาก ขึ้นเสาเอก บ้านใหม่ ที่พังงา

    การครอง อุโบสถศีล นั้น อาจจะไม่สะดวกเท่าที่ควร ตลอด พรรษา 3 -4 เดือน ในการทำงานทางโลก
    แต่ ทุกอย่าง ทั้งนี้ ทั้งนั้น อยู่การ

    ศีล กาย วาจา ใจ เจตนา เป็น หลัก (ต้องชื่อสัตย์ ต่อตนเอง และ เทวตาที่เมตาดูแล รักษา เรา )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2010
  17. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ขออนุโมทนากับคุณนาคาที่ช่วยอธิบายเรื่อง การรักษาศีล ให้ทราบอย่างละเอียดค่ะ
     
  18. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    เห็นศีลแปดเป็นของสนุก

    ถาม : เรื่องศีลแปด ได้ยินมาหลายแบบ ว่ากินข้าวเย็นก็ได้ จะกินก็อธิษฐานว่าขอลาก่อน ๕ นาทีหรือ ๑๐ นาที หรือบางคนกินข้าวเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ต่อด้วยศีลแปด

    ตอบ : ถ้าทำในลักษณะนั้นจะเกิดโทษปรามาสพระรัตนตรัย เห็นการรักษาศีลเป็นของสนุก เห็นการทำให้ศีลขาดเป็นของสนุก ละแล้วคือละเลย เพราะว่าการตั้งใจงดเว้นจึงจะเกิดบุญกุศลจริง อันนั้นมันตั้งใจทำผิดเลย เพราะฉะนั้น...ในส่วนที่รักษาได้ก็เป็นบุญไป ในส่วนที่ตั้งใจละเมิดก็เป็นบาปไป แต่ว่าในส่วนของศีลแปดตั้งแต่ศีลข้อที่ ๖ ขึ้นไป เราละเมิด...โทษที่จะลงนรกโดยตรงไม่มี แต่ว่าโอกาสที่จะเข้าถึงธรรมมันช้าลง เพราะว่ามันเป็นส่วนของธรรมะ ถ้าเราสามารถทำได้ก็จะช่วยให้กำลังใจเราเข้าถึงธรรมได้ง่ายขึ้น ถ้าเราทำไม่ได้ก็แปลว่าเราเข้าถึงธรรมช้าลง


    ถ้าหากใครทำในลักษณะอย่างนั้น โปรดทราบว่าเรากำลังเกิดโทษปรามาสพระรัตนตรัยแล้ว เป็นกันเองกับศีลขนาดบัญญัติเองแล้ว ถ้าเราดูในชาดกที่เทวดาคนใช้ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านบอกขนาดเด็กทารกยังให้บ้วนปาก แต่จริงๆ เรามาคิดดูว่านมแม่กับพวกน้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำตาลที่ได้รับพุทธานุญาต ความจริงก็คล้ายกัน น่าจะแทนกันได้ แต่คราวนี้ศีลแปดของเขาหมายความว่า งดเว้นจากอาหารหลัก ในเมื่อเด็กทารกอาหารหลักของเขาคือนม ก็อดเสีย แล้วก็มาตั้งใจรักษาศีลแปด มาปฏิบัติตามโดยการฉันเภสัช ๕ แทน ในเมื่องดเว้นจากอาหารหลักแล้วมารับเภสัชแทน ก็แปลว่าเราตั้งใจที่จะงดเว้นจริงๆ กุศลจึงจะเกิด

    สมมติว่า วันนี้สตางค์เหลือน้อยไม่พอซื้อข้าว ก็อย่ากินมันเลย อันนี้มันไม่ใช่เจตนาที่จะรักษาศีล แต่สภาพมันบังคับ อานิสงส์ไม่มีเพราะไม่ได้ตั้งใจงดเว้น

    ถาม : อ้าว..ถ้าไม่มีเงิน ก็เลยนึกว่า รักษาศีลแปดดีกว่า

    ตอบ : ได้ อันนั้นความตั้งใจมี

    ถาม : แล้วถ้าวันไหนผมทำงานหนักขึ้นมา ตกกลางคืนหิวมาก แล้วกลัวว่าถ้าปฏิบัติธรรมแล้วไม่มีแรง ก็เลยไปหาอะไรกิน

    ตอบ : ก็แปลว่าปฏิบัติธรรมไป ผลก็เกิดน้อย เนื่องจากว่าเรายังรักตัวเองมากอยู่ ตัดมันไม่ได้ อย่าว่าแต่ตายเลย แค่หิวเราก็ไม่กล้าแล้ว ในเมื่ออยู่ในลักษณะนั้น ความรักตัวเองมันมากกว่า สักกายทิฏฐิมันก็ละไม่ได้ ตัวสมาธิภาวนาอาจจะทรงได้ เพราะร่างกายมันสบายขึ้น แต่ขณะเดียวกันกินอาหารไปใหม่ๆ ไฟธาตุไปวิ่ง ไปย่อยอาหารเสีย เลือดที่จะหล่อเลี้ยงสมองไม่มี มันง่วงซึม อาจจะทำให้ภาวนาไม่เป็นสัปปะรดไปเลยก็ได้

    ถาม : ศีลแปดนี่เป็นเรื่องของธรรมะโดยตรงนะครับ

    ตอบ : ละเอียดกว่าศีลห้าหลายเท่า


    พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ถาม-ตอบ ช่วงเย็น ณ บ้านอนุสาวรีย์
    วันเสาร์ที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๓



    ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...ead.php?t=1519
    http://palungjit.org/threads/เห็นศีลแปดเป็นของสนุก.223119/
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  19. ใจหม่น

    ใจหม่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2008
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +1,926
    สาธุ..
    อนุโมทนา กับการครองศีลของคุณนาคา ด้วยค่ะ

    ตามมาเจอกันอีกล่ะ..
     
  20. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    "ชาวสวนชาวไร่ หลังจากถางป่าเผาหญ้าแล้ว ต้องรีบปลูกพืชผักผลไม้
    ที่ต้องการลงไป ก่อนที่หญ้าจะกลับระบาดขึ้นใหม่ฉันใด

    คนเราเมื่อบำเพ็ญตบะทำความเพียรเผากิเลสจนเบาบางลงแล้ว
    ก็ต้องรีบปลูกฝังคุณธรรมต่างๆ ลงในใจ ด้วยการประพฤติพรหมจรรย์
    เพื่อยกระดับจิตให้สูงขึ้น ก่อนที่กิเลสจะฟูกลับขึ้นใหม่อีกฉันนั้น"


    ประพฤติพรหมจรรย์คืออะไร ?
    การประพฤติพรหมจรรย์ แปลว่า การประพฤติตนอย่างพรหม หรือความประพฤติอันประเสริฐ หมายถึง การประพฤติตามคุณธรรมต่างๆ ทั้งหมด ในพระพุทธศาสนาให้เคร่งครัดยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้กิเลสกลับขึ้นมาอีก จนกระทั่งหมดกิเลส ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ ตามภูมิชั้นของจิต

    ภูมิชั้นของจิต
    1. กามาวจรภูมิ เป็นชั้นที่ท่องเที่ยวอยู่ในกามารมณ์ ยังยุ่งเกี่ยวกับกามคุณอยู่ ได้แก่ ภูมิจิตของคนสามัญทั่วไป
    2. รูปาวจรภูมิ เป็นชั้นท่องเที่ยวอยู่ในรูปารมณ์ มีความสุขความพอใจอยู่ในอารมณ์ขงรูปฌาณ ได้แก่ ภูมิจิตของผู้ที่ฝึกสมาธิมามากจนกระทั่งได้รูปฌาณ เมื่อมีชีวิตอยู่ก็ไม่สนใจกามารมณ์ อิ่มเอิบในพรหมวิหารธรรม ซึ่งเป็นสุขปราณีตกว่ากามารมณ์ เป็นเหมือนพระพรหมบนดิน ละจากโลกไปก็จะเกิดไปเป็นพรหม
    3. อรูปวจรภูมิ เป็นชั้นที่ท่องเที่ยวอยู่ในรูปอรูปารมณ์ มีความสุขอยู่ในอารมณ์ของอรูปฌาณ ได้แก่ ภูมิจิตของผู้ที่ทำสมาธิมามากจนกระทั่งได้อรูปาฌาณ มีความสุขที่ประณีตกว่าอารมณ์ของรูปฌาณอีก เมื่อละจากโลกนี้ไปก็จะไปเกิดเป็นอรูปพรหม
    4. โลกุตตรภูมิ เป็นขั้นที่พ้นโลกแล้ว ได้แก่ ภูมิจิตของอริยบุคคล มีความสุขอันละเอียด ประณีต ลึกซึ้ง

    ทั้ง 4 ภูมินี้ รวมเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภทคือ
    โลกียภูมิ ได้แก่ กามาวจรภูมิ, รูปาวจรภูมิ และอรูปวจรภูมิ กับ
    โลกุตตรภูมิ ได้แก่ โลกุตตรภูมิ

    ในชั้นโลกียภูมินั้น มีสุขมีทุกข์คละเคล้าดันไป และมีการยักย้ายถ่ายเทขึ้นลงได้ ผู้ที่อยู่ในอรูปาวจรภูมิถ้าไม่ตั้งใจปฏิบัติธรรม ประมาท อาจตกลงมาอยู่ในกามาวจรภูมิได้ ผู้ที่อยู่ในกามาวจรภูมิ ถ้าตั้งใจทำสมาธิอาจเลื่อนไปอยู่ใรูปาวจรภูมิหรืออรูปาวจรภูมิได้ เลื่อนไปเลื่อนมาได้ตามบุญกุศล และตามผลของการปฏิบัติธรรมของตน

    อุปมาความสุขในโลกียภูมิทั้ง 3 ชั้น
    1. กามาวจรภูมิ เป็นสุขชั้นต่ำ ยังยุ่งเกี่ยวกับกาม สุขเหมือนเด็กเล่นขี้ เล่นดิน
    2. รูปาวจรภูมิ เป็นสุขที่สูงขึ้นอีกหน่อย สุขเหมือนคนมีงานมีการที่ถูกใจทำเพลิดเพลินไป
    3. อรูปปาวจรภูมิ เป็นสุขที่สูงขึ้นมาอีก สุขเหมือนพ่อ แม่ ครู อาจารย์ ที่เห็นลูกซึ่งตนเลี้ยงดูอบรมมา มีความเจริญก้าวหน้า หรือเห็นงานการที่ตนทำสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ชื่นชมผลงานของตน<!-- google_ad_section_end -->

    ความมุ่งหมายของการประพฤติพรหมจรรย์

    ความมุ่งหมายสูงสุดของการประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนา คือให้ตัดโลกียวิสัย ตัดเยื่อใยทุกๆ อย่าง เพื่อมุ่งหน้าสู่โลกุตตรภูมิ และอย่างแรกที่ต้องทำก่อน คือการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 เพื่อตัดกามารมณ์ แล้วจึงตัดรูปารมณ์ อรูปารมณ์ตามลำดับ

    สำหรับพวกเราปุถุชนทั่วๆ ไป สิ่งสำคัญที่เหนี่ยวรั้งเราไว้ไม่ให้ก้าวหน้าในการพัฒนาจิตใจ และทำให้กิเลสฟื้นฟูกลับคืนมาได้ง่าย คือ กามารมณ์ ถ้าใครตัดกามารมณ์ได้ ก็มีโอกาสก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมได้อย่างรวดเร็ว การประพฤติพรหมจรรย์ในมงลข้อนึ้ จึงมุ่งเน้นการตัดกามารมณ์เป็นหลัก
    เราลองมาดูถึงอุปมาโทษของกามที่พระสัมมาพระสัมพุทธเจ้าตรัสไว้

    อุปมาโทษของกาม
    1. กามเปรียบเหมือนท่อนกระดูกเปล่า ไม่มีเนื้อและเลือดติดอยู่
    2. กามเปรียบเหมือนชิ้นเนื้อที่แร้งหรือเหยี่ยวคาบบินมา
    3. กามเปรียบเหมือนคนถือคบเพลิงที่ทำด้วยหญ้าลุกโพรงเดิทวนลมไป
    4. กามเปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิงอันร้อนแรง
    5. กามเปรียบเหมือนความฝัน
    6. กามเปรียบเหมือนสมบัติที่ยืมเขามา
    7. กามเปรียบเหมือนต้นไม้มีผลดกอยู่ในป่า
    8. กามเปรียบเหมือนเขียงสับเนื้อ
    9. กามเปรียบเหมือนหอกและหลาว
    10. กามเปรียบเหมือนหัวงูพิษ

    วิธีประพฤติพรหมจรรย์
    • พรหมจรรย์ชั้นต้น สำหรับผู้คองเรือน ก็ให้พอใจเฉพาะคู่ครองของตนเท่านั้น รักษาศีล 5 ไม่นอกใจภรรยา-สามี
    • พรหมจรยย์ชั้นกลางสำหรับผู้ครองเรือน คือนอกจากรักษาศีล 5 แล้วก็ให้รักษาศีล 8 เป็นคราวๆ ไปและฝึกให้มีพรหมวิหาร 4
    • พรหมจรรย์ชั้นสูง สำหรับผู้ไม่ครองเรือน ถ้าเป็นฆราวาสก็รักษาศีล อย่างน้อยศีล 8 ตลอดชีวิต ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเพศเลย หรือออกบวชเป็นพระภิกษุ เจริญสมาธิภาวนา และปฏิบัติธรรมทุกข้อในพระพุทธศาสนาให้เต็มที่
     

แชร์หน้านี้

Loading...