ถ้าปรารถนาเป็นนางแก้ว แต่ว่ายังไม่มีคู่บารมี

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ครุกแชง, 20 มีนาคม 2008.

  1. Thai_narak_et

    Thai_narak_et Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2007
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +79
    ตอบ ยากยังไงครับ หุหุ ทานเนื้อคู่นิ.. บารมีขั้นสูงเลยนะครับ
    บารมีจะได้เต็มไว ๆ ไง
     
  2. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171

    มาลองตอบดูนะครับ ผิดถูกประการใดขอท่านผู้รู้ช่วยแก้ไขด้วยละกัน

    เห็นบอกว่าขอถาม 2 ข้อ แต่ไหงมีข้อ 3 มาด้วยละเนี่ย


    ข้อ 1. เคยทราบมาว่า ท่านเข้าสู่พระนิพพานแล้วครับ

    ข้อ 2. คำว่า "นางแก้ว" มีที่มาจากสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ ซึ่งมีอยู่ 7 ประการ ได้แก่ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว มณีแก้ว นางแก้ว ขุนคลังแก้ว และขุนพลแก้ว ส่วนใหญ่แล้วพระเจ้าจักรพรรดิมักจะเป็นพุทธภูมิ ดังนั้น คำว่า "นางแก้ว" จึงใช้เรียกคู่บารมีของพระเจ้าจักรพรรดิและผู้ที่เป็นพุทธภูมิเท่านั้น

    สำหรับพระอรหันต์ผู้เป็นสาวกภูมินั้น ขณะที่ท่านดำรงสมณเพศ ท่านละแล้ว จึงไม่มีคู่บารมี ส่วนก่อนหน้าที่ท่านจะดำรงสมณเพศ หรือพูดง่ายๆ เป็นฆราวาสอยู่นั้น คู่ของฆราวาส จะเรียกว่า "คู่บารมี" หรือจะเรียกว่า "เนื้อคู่" อย่างที่เราเรียกกันโดยทั่วไปก็ได้

    ข้อ 3. จากคำอธิษฐานดังกล่าว ท่านปรารถนาเป็นสาวกภูมิครับ


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2008
  3. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    ^^ ! ตอนแรกคิดถาม 2 ข้อ เขียนไป เขียนมาได้ 3 เฉยๆ อิอิ
    ผมเคยฟังเรื่อง พุทธกาล เรื่องหนึ่งแต่ จำชื่อ พระ และ อุบาสิกา ไม่ได้นะ
    เรื่องมีอยู่ว่า
    อุบาสิกา ท่านหนึ่ง เป็นผู้นิยมถวาย อาหารอันปราณีต แล้วมีทิพยจักสุด้วย
    ท่านจะรู้ใจพระสงฆ์ทั้งหลายที่มานักปฏับัติ บริเวณ ที่พักเธอว่า รูปไหนองค์ไหน
    ชอบพอสิ่งใด ก็จะจัดเตรียมให้ตามประสงค์ทุกประการ เพื่อให้เวลานั้งกรรมฐาน เข้ากรรมฐานได้เร็วขึ้น
    เป็นที่เรื่องลือไปทั่วว่า ให้มาปฏิบัติธรรมบริเวณนี้
    เรื่องไปถึงพระรูปหนึ่งเพื่อนๆแนะนำให้ไปดูจะได้ฝึก กรรมฐานคล่องขึ้นอันด้วยเพราะ อาหารปราณีต
    พระรูปนั้นได้ไปฝึกกรรมฐานอยู่ เพียงไม่กี่วัน ก็กลับมายัง พระเชตวัฬ ของท่านอนาถบิณฑิกเสนาบดี บอกว่าฝึกไม่ไหว ใจไม่เป็นสมาธิเลย เพราะกลัว นางจะรู้วาระจิต สะหมด
    พระพุทธองค์แนะนำให้กลับไปใหม่ ก็เลยกลับไปอีกครั้ง
    คราวนี้ ช่วงเวลาหนึ่ง จิตลงกรรมฐาน ได้กำลังดีแล้ว สามารถ ระลึกชาติได้
    ก็ระลึกชาติ กลับไปดู 100 ชาติ พบว่า
    อุบาสิกาท่านนี้เคยเป็น ภรรยาตนมา ทั้ง 100 ชาติเลย
    เคยดูแล บำรุงกันมา อย่างไม่ย่อท้อ
    อุบาสิกา เลยบอกว่า ท่านลองลงไปดูชาติที่ 101 ดูว่าเป็นอย่างไร พบว่า
    อุบาสิกาท่านนี้เคย ถวายชีวิตให้เป็นพุทธบูชาแก่ตนมาแล้ว
    จิตนิ่งได้สะพักหนึ่ง พระรูปนั้นก็สำเร็จ อรหันต์ผล ทันที่
    ส่วนอุบาสิกา ก็.......... ^^!!
    ตรงนี้ไม่แน่ใจเนื้อหา เลยไม่กล้าพิมพ์
    ระหว่างสำเร็จ อหรหันต์ ตาม หรือ ยังไม่สำเร็จ นะ
    ปล.ผมคิดว่า พระรูปนี้ต้องเคยปรารถนา พุทธภูมิมาแล้วแน่ๆ แล้วมาขอลาชาตินี้แน่ๆ
     
  4. Ball ^_^

    Ball ^_^ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +49
    รู้สึกว่าจะผิดนะครับ เนื้อเรื่องจะตามข้างล่างนี้ครับ นำมาจากเวปนี้ครับhttp://www.dhammathai.org/webboard/view.php?No=5629 ไม่ได้มีที่ไหนบอกว่าพระรูปนี้ปรารถนาพุทธภูมิมาก่อนครับ

    ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ได้แสดงชาดกเรื่องพญาช้างและปูทองดังนี้

    มีภิกษุกลุ่มหนึ่ง 30 รูปได้เรียนกัมมัฏฐานจากพระผู้มีพระภาคเจ้าคือสาทยายอาการ 32 ทั้งโดยรวมและโดยย่อ คือ ตจปัญจกกัมมัฏฐาน

    แล้วชวนกันไปเจริญสมณะธรรมในชนบทห่างไกล

    ครั้นเดินทางมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งนายบ้าน ภรรยานายบ้าน และลูกบ้านทั้งหมดมีจิตเลื่อมใสศรัทธา
    ได้อาราธนาให้ภิกษุเหล่านั้นจำพรรษาเจริญสมณะธรรม ณ หมู่บ้านแห่งนั้น

    พระเถระทั้งหลายเหล่านั้นก็รับนิมนต์เพราะมีธรรมชาติเป็นป่าอันร่มรื่น

    ฝ่ายชาวบ้านก็ดีใจ ต่างช่วยกันสร้างเสนาสนะถวายพระเถระ เรียกว่าสร้างวัดขึ้นมาในหมู่บ้าน

    ทุก ๆ วันภิกษุเหล่านั้นได้พากันสาธยาย อาการ 32 ตามที่ตนได้เรียนมา

    ภรรยานายบ้านพร้อมสตรีลูกบ้านได้ทำอาหารมาถวายพระเถระเป็นประจำทุกวัน และทุก ๆ วันภรรยานายบ้านได้ฟังพระเถระทั้งหลายสาธยายอาการ 32 ก็สนใจยิ่งนักจึงได้ถามพระเถระผู้ใหญ่ว่า

    " ท่านเจ้าขา มนต์ที่ท่านสาธยายกันนี้เป็นมนต์เฉพาะภิกษุเท่านั้นหรือเจ้าค่ะ ชาวบ้านอย่างดิฉันจะเรียนได้ไหมเจ้าค่ะ "

    พระเถระยิ้มด้วยเมตตาธรรมตอบว่า " ได้ครับคุณแม่ ใคร ๆ ก็สามารถเรียนไปปฏิบัติได้ครับ "

    ภรรยานายบ้านดีใจประหนึ่งได้แก้วสารพัดนึก " โอ...ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอเรียนไปปฏิบัติด้วยเจ้าค่ะ "

    " ได้ครับ คุณแม่ " พระเถระสอน ตจปัญจกกัมมัฏฐาน และอาการทั้ง 32 ให้ด้วยความยินดี


    ภรรยานายบ้านรับ ตจปัญจกกัมมัฏฐาน และอาการ 32 ไปสาธยายได้เพียง 3 วันก็บรรลุ อนาคามีผล พร้อมด้วยโลกียะปฏิสัมภิทาญาณ

    ภรรยานายบ้านก็ทราบว่า พระถระเหล่านั้นยังเป็นปุถุชนกันทั้งหมด ยังไม่บรรลุมัคคผลใด ๆ จึงพิจารณาต่อไปว่า เพราะเหตุใดหนอภิกษุลูกเราจึงยังไม่บรรลุมัคคผล ?
    ภูมิประเทศสัปปายะ
    เสนาสนะสัปปายะ
    อากาศก็สัปปายะ

    แต่อาหารไม่สัปปายะ เพราะภิกษุแต่ละรูปชอบรสชาดของอาหารไม่เหมือนกัน


    เมื่อทราบเช่นนี้ ทุก ๆ วันภรรยานายบ้านจักตรวจดูวาระจิตของภิกษุเถระแต่ละรูปว่าประสงค์จะฉันอาหารชนิดใด รสชาดใด แล้วก็จะปรุงอาหารไปถวายพระภิกษุแต่ละรูปตามที่ปรารถนา

    เมื่ออาหารสัปปายะ ทุก ๆ อย่างก็สัปปายะ ภายใน 3 เดือนแห่งพรรษานั้น พระเถระทั้งหมดก็บรรลุอรหัตตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา 4 วิโมกข์ 8 อภิญญา 6 และวิชชา 3

    ครั้นออกพรรษาพระเถระก็ลาญาติโยมในหมู่บ้านนั้น กลับไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเล่าเรื่องราวแห่งเหตุที่ได้บรรลุธรรมถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า

    ณ ที่นั้นมีภิกษุปุถุชนรูปหนึ่งได้ร่วมรับฟังอยู่ด้วย ภิกษุรูปนั้นก็ประสงค์จะไปเจริญสมณะธรรมที่หมู่บ้านนั้นบ้าง จึงทูลขออนุญาตจากพระผู้มีพระภาคเจ้าไปจำพรรษา ณ หมู่บ้านนั้น


    เมื่อได้ไปอยู่ที่หมู่บ้านนั้น ภรรยานายบ้านก็ได้ปรุงอาหารที่ถูกใจสมความปรารถนาทุกวัน พระเถระเกิดวิตกกังวลว่า " หญิงนี้รู้วาระจิตเรา ถ้าเราคิดไปในทางอกุศล หญิงนี้ก็ย่อมรู้ เราคงละอาย อย่ากระนั้นเลยเรากลับไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วขอไปจำพรรษา ณ ที่อื่นจะดีกว่า "

    พระเถระปุถุชนนั้นลาชาวบ้านกลับไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า " เธอกลับไปจำพรรษาที่หมู่บ้านนั้นนั่นแหละ "
    พระเถระทูลตอบว่า " ข้าพระองค์ไม่กล้าไปอยู่พระเจ้าข้า "
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นอุปนิสัยแห่งอรหัตตผลของพระเถระจึงตรัสว่า " ดูก่อนภิกษุ เธอไปจำพรรษาที่หมู่บ้านนั้นนั่นแหละ แต่เธอพอจะรักษาสติ ละความยินดี ยินร้ายในโลกนี้เอาไว้ เธอจะทำได้ไหม ? "

    พระเถระทูลตอยว่า " ได้พระเจ้าข้า "
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า " ดีละ เธอไปจำพรรษาที่หมู่บ้านนั้นเถิด "


    พระเถระเดินทางกลับมาจำพรรษาที่หมู่บ้านนั้น รักษาสติ ( สัมมาสติ ) เอาไว้ด้วยความไม่ประมาททั้งกลางวันกลางคืน ก็ระลึกชาติได้ ระลึกไปถึงชาติที่ 99 ก็ทราบว่าหญิงภรรยานายบ้านนี้เคยเป็นภรรยาพระเถระมาก่อน และได้ฆ่าพระเถระให้ตายมาแล้วทั้ง 99 ชาติ

    พระเถระก็รำพึงว่า " หญิงนี้ช่างบาปแท้ ๆ "

    ขณะนั้นภรรยานายบ้านได้ทราบวาระจิตของพระเถระ จึงได้กล่าวด้วยฤทธิ์มาจากบ้านของตนว่า " ระลึกต่อไปชาติที่ 100 ดูสิเจ้าค่ะ "

    พระเถระระลึกชาติตาม ก็ทราบว่าตั้งแต่ชาติที่ 100 เป็นต้นไปภรรยานายบ้านนั้นได้เคยช่วยชีวิตพระเถระมาแล้วทุก ๆ ชาติเป็นอันมาก


    พระเถระทราบการเวียนตายเวียนเกิดเช่นนั้นก็สลดสังเวช เกิดความเบื่อหน่ายจิตก็หลุดพ้นบรรลุ อรหัตตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา 4 วิโมกข์ 8 อ๓ญญา 6 และ วิชชา 3

    และเพราะเหตุที่เคยทำกรรมฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมามาก ทำให้พระเถระมีอายุขัยสั้น จึงดับขันธ์ปรินิพพานพร้อมกับการบรรลุอรหัตตผลนั้น


    ภิกษุในครั้งนั้นได้นำเรื่องนี้ไปสนทนากันธรรมสภา
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภเหตุนี้แสดงธรรมทรงตรัสว่า หญิงนี้ใช่แต่จักช่วยชีวิตภิกษุนี้ผู้เดียวก็หาไม่ ถึงแต่ก่อนหญิงนี้ก็เคยช่วยชีวิตเราตถาคตมาแล้ว


    สมัยนั้นเราเสวยชาติเป็นพญาช้างพาบริวารไปอาบน้ำเล่นน้ำในบึงน้ำ เราสังเกตุเห็นว่าบริวารเราลดจำนวนลงทุกวันโดยไม่ทราบสาเหตุ เราสงสัยภัยน่าจะเกิดจากบึงน้ำนั้น

    เวลาขึ้นจากน้ำเราให้บริวารขึ้นก่อนเราขึ้นหลังสุด ขณะนั้นได้ปรากฏปูทองตัวใหญ่ใช้ก้ามหนีบเท้าเราไว้ หวังจะลากเราไปกินในบึงน้ำ แต่เราเป็นพญาช้างมีกำลังมากไม่สามารถลากเราไปได้ ปูทองก็มีกำลังมากเราก็ไม่สามารถดึงเท้าออกมาได้ เราร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด บรรดาบริวารตกใจกลัววิ่งหนีไป ยกเว้นนางช้างพังตัวเดียวที่อยู่กับเรา ได้พูดจาอ้อนวอนด้วยถ้อยคำอ่อนหวานให้ปูทองนั้นปล่อยเรา

    ปูทองนั้นใจอ่อนคลายก้ามที่หนีบเราออก เราได้โอกาสยกเท้าขึ้นกระทืบปูทองนั้นกระดองแตกตาย

    ปูทองนั้นได้เป็นพระเทวทัตในชาตินี้
    นางช้างพังนั้นได้มาเป็นภรรยานายบ้านในชาตินี้
    พญาช้างนั้นได้มาเป็นเราตถาคตในชาตินี้


    แล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอริยสัจ 4 ครั้นจบพระธรรมเทศนา พุทธบริษัทก็บรรลุธรรมตามฐานะของตน ๆ
     
  5. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    วันนี้มาเล่าต่อเรื่องการฝึกสมาธิของเด็กๆ กันนะครับ


    เมื่อคราวที่แล้วได้เล่าว่า น้องลูกแก้วได้ปูพื้นฐานการฝึกสมาธิเบื้องต้นให้แก่เด็กๆ และนำเด็กๆ นั่งฝึกสมาธิ ขณะเดียวกันน้องลูกแก้วก็ทำหน้าที่ครูสอนสมาธิ คือ คอยสอนและกำกับการฝึกสมาธิของเด็กๆ ให้มีสติและไม่วอกแวก เด็กๆ ก็ตั้งใจฝึกสมาธิกันเป็นอันดี เพราะอยากเห็นเทวดา อยากเห็นเมืองนิพพาน และเห็นเป็นเรื่องเล่นสนุกอย่างหนึ่งเหมือนกับการเล่นเป็นครูสอนหนังสือให้แก่น้องเทลล่าและน้องยาวี


    พอฝึกสมาธิเสร็จ ตอนเย็นน้องลูกแก้วก็พาเด็กๆ ทุกคนไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนม บอกว่าเป็นรางวัลแก่เด็กๆ ที่ตั้งใจฝึกสมาธิ ทุกคนชอบอกชอบใจกันใหญ่ แต่พี่ลูกแก้วก็บอกกับน้องๆ ทุกคนว่า พี่จะเลี้ยงครั้งเดียวเท่านั้น ใครที่หวังจะมากินฟรีแล้วสักแต่ว่ามานั่งหลับตาเล่นๆ ก็ขอให้เลิกคิดได้ ที่เลี้ยงก็เพราะจะให้เป็นกำลังใจและเป็นรางวัลในความตั้งใจฝึกสมาธิในวันนี้


    ขณะที่ทานข้าวกันอยู่นั้น น้องลูกแก้วก็สอนเด็กๆ ว่า เวลากินอาหารก็ให้ทำสมาธิโดยจับลมหายใจและภาวนาพุทโธไปด้วย น้องตาลก็อุทธรณ์ออกมาทันทีว่า แล้วหนูจะกินยังไงละพี่ลูกแก้ว ให้ภาวนาไปด้วยกินไปด้วยน่ะ มันก็กินไม่อร่อยน่ะสิ..


    น้องลูกแก้วจึงสอนว่า การภาวนานั้นสามารถทำได้ทั้งขณะนั่ง ยืน เดิน นอน กิน ฯลฯ สามารถทำสมาธิได้ตลอดเวลา เราต้องหัดแบ่งใจออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งจับอยู่ที่ลมหายใจหรือคำภาวนา อีกส่วนหนึ่งก็อยู่ที่อิริยาบถในขณะที่ทำอยู่


    ท่านเห็นอย่างที่ผมเห็นหรือเปล่าครับ น้องลูกแก้วเธอมีพรสวรรค์ในการเป็นครูจริงๆ อายุของเธอเพียงเท่านี้ แต่ความคิดความอ่านไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ใหญ่อย่างเราๆ ท่านๆ เลย


    วันต่อๆ มา เด็กๆ ก็มานั่งฝึกสมาธิกันเป็นปกติ จากที่วิ่งเล่นซุกซนตามประสาเด็กๆ ก็เริ่มมาสนใจฝึกสมาธิกันอย่างจริงจัง แต่ก็ยังไม่ทิ้งความเป็นเด็กหรอกครับ น้องพลอยแอบมานินทาลับหลังพี่ลูกแก้วว่า "พี่ลูกแก้วทำตัวเหมือนคนแก่เลย อายุแค่นี้แต่ทำตัวแก่กว่าพี่เอ้ (รุ่นพี่ที่อยู่โรงพยาบาลเดียวกัน ซึ่งมีอายุประมาณ 25 ปี) เสียอีก" ถึงจะอดค่อนแคะพี่ลูกแก้วไม่ได้ แต่เด็กๆ ก็ยังมานั่งฝึกสมาธิกัน


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2008
  6. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    เมื่อเทศกาลสงกรานต์มาถึง เรื่องสนุกของน้องพลอยกับเด็กๆ ก็เกิดขึ้นอีกแล้ว ก่อนวันสงกรานต์ 2 วัน น้องพลอยจัดแจงวางแผนที่จะออกไปเล่นสาดน้ำกับเพื่อนๆ จึงไปบอกกับพยาบาลว่า "ตอนนี้หนูหายป่วยแล้วแต่ยังไม่ออกจากโรงพยาบาล ขอจองห้องพักคนไข้ไว้ก่อน เดี๋ยวให้แม่จ่ายตังค์ไว้เลย เพราะคาดว่าหลังวันสงกรานต์คงป่วยอีก เนื้องจากเล่นสาดน้ำจนเปียกไปทั้งตัว..." เอากับน้องพลอยจอมวางแผนสิครับ พยาบาลงี้ขำกลิ้งไปตามๆ กัน ช่วง summer นี้ น้องพลอยกะยึดเอาโรงพยาบาลเป็นสถานพักผ่อนตากอากาศไปแล้ว


    ยิ่งใกล้วันสงกรานต์ น้องพลอยก็เที่ยวมาตามตื๊อพี่เอ้เพื่อจะขอแบ่งซื้อสีทำดอกไม้ (สีทำขนม) เอาไปผสมกับน้ำเตรียมไว้เล่นสงกรานต์ มิใยที่พี่เอ้และใครๆ จะห้ามปรามว่า ไม่ดี ไม่ควรเล่นสี เพราะจะทำให้คนที่ถูกสาดน้ำได้รับความสกปรก แต่น้อยพลอยก็ยังไม่ละความพยายาม จนกระทั้งแม่ของน้องพลอยต้องอ้างชื่อญาติที่เป็นตำรวจมาบอกว่า ใครเล่นสีจะโดนจับปรับคนละ 500 บาท ไม่เว้นแม้แต่เด็ก เท่านั้นแหละน้องพลอยก็เลิกคิดที่จะเอาสีมาใส่น้ำเพื่อสาดคนอื่น


    ยัง...ยังไม่หยุดแค่นี้ เมื่อใช้สีไม่ได้น้องพลอยก็เปลี่ยนแผนใหม่ ตอนแรกก็เอาขวดพลาสติกหลายใบไปรองน้ำจากตู้น้ำดื่มมาแช่ไว้ในช่องฟรีซของตู้เย็นเพื่อทำน้ำแข็ง พอโดนพยาบาลห้ามไม่ให้เอาน้ำในตู้น้ำดื่มไปเล่น น้องพลอยก็บ่นกะปอดกะแปดว่าจ่ายเงินไปแล้ววันละตั้ง 700 บาท (ค่าอาหารและน้ำ) ทำไมจะใช้น้ำไม่ได้ บ่นแล้วก็วิ่งไปที่ร้านค้าพร้อมด้วยตังค์ที่มีอยู่ 100 บาท ไปซื้อน้ำดื่มขวดละ 5 บาท มา 10 ขวด นำไปแช่ไว้ในตู้เย็น


    ท่านคงสงสัยว่าจะเอามาทำไม คำตอบที่ได้จากน้องพลอยคือ ถ้าไปซื้อน้ำแข็งมาเล่นสงกรานต์เดี๋ยวถูกตำรวจจับ แต่ถ้าเอาน้ำเย็นๆ สาดกันตำรวจไม่จับ น้องพลอยจะเอาน้ำแข็งที่แช่ไว้มาใส่น้ำให้เย็นๆ แล้วใช้สาดในวันสงกรานต์น่ะครับ


    เมื่อวันสงกรานต์ (13 เม.ย.51) มาถึง น้องพลอยพร้อมด้วยอาวุธประจำกาย คือ ปีนฉีดน้ำกระบอกใหญ่ พร้อมด้วยเด็กๆ คนอื่น ต่างก็ออกไปเที่ยวฉีดน้ำใส่ผู้คนที่เดินผ่านไปมาในโรงพยาบาลกันอย่างสนุกสนานเป็นการใหญ่ตามประสาเด็กๆ


    วันรุ่งขึ้น แทนที่เด็กๆ จะเล่นสงกรานต์กันต่อเหมือนเด็กและผู้ใหญ่คนอื่นๆ แต่เปล่าเลย.... เด็กๆ กลับทำในสิ่งที่ผมถือว่าเป็นตัวอย่างอันดีงามที่ผู้ใหญ่อย่างผมต้องเอาเป็นเยี่ยงย่างและปฏิบัติตาม


    น้องลูกแก้วได้ชวนเด็กๆ มานั่งสมาธิกันอีก โดยบอกกับทุกคนว่า เมื่อวานเป็นวันสงกรานต์ทุกคนได้สนุกสนานกันมาพอแล้ว วันนี้ต้องมาทำความดีกัน ถ้าใครอยากเห็นเทวดาก็จะได้เห็น เพราะวันนี้ทั้งวันเทวดาจะลงมาอวยพรให้ทุกคน และท่านจะคอยดูว่า ใครบ้างที่ทำความดีก็จะคอยคุ้มครองคนดี


    เด็กๆ อยากเห็นเทวดากันอยู่แล้ว จึงตั้งใจพากันนั่งสมาธิตั้งแต่เช้าจนบ่าย นั่งไป ๆ เด็กๆ ก็คงมองไม่เห็นเทวดาเสียที น้องตาลจึงถามพี่ลูกแก้วว่า "ไหนละเทวดา หนูมองไม่เห็นเลย เทวดาอยู่ที่ไหน"


    ท่านลองเดาดูสิว่า น้องลูกแก้วจะตอบว่าอย่างไร จะตอบยังไงไม่ให้เด็กๆ เสียกำลังใจและเลิกฝึกสมาธิ ถ้าเป็นท่านละ หากเจอคำถามอย่างนี้ท่านจะตอบเด็กๆ ว่าอย่างไร


    น้องลูกแก้วตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดว่า "เทวดาท่านอยู่ในใจของเราตลอด ท่านอยู่รอบๆ กายเรา ท่านจะคอยดูว่าใครทำความดีบ้าง ท่านก็จะให้พรและคอยคุ้มครองคนนั้น หากคิดถึงท่าน ท่านก็จะมาให้เห็น แต่เราจะเห็นท่านได้เราต้องฝึกสมาธิให้ดี ถ้าสมาธิไม่ดีก็จะไม่เห็นเทวดา"


    เด็กๆ พอได้ฟังก็เกิดกำลังใจในการฝึกเป็นอย่างมาก นั่งฝึกกันเกือบทั้งวัน ไม่ยอมออกไปทานข้าวกลางวันกันเลย เพราะน้องลูกแก้วบอกว่า หากออกไปกินข้าวข้างนอกเดี๋ยวไปเห็นคนเขาเล่นสนุกสนานกันจิตก็จะวอกแวกอยากไปเล่นกับเขาบ้าง แล้วจิตจะไม่เป็นสมาธิ แล้วให้แม่บ้านของโรงพยาบาลนำอาหารกลางวันมาให้ที่ห้องของน้องลูกแก้ว เด็กๆ ก็ฝึกสมาธิกันไป กินข้าว กินขนม กันไปในห้องนั่นแหละ


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2008
  7. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    ก่อนที่จะถึงบทส่งท้ายของ "นางแก้วเด็ก" ผมขอเล่าพฤติกรรมความกล้าและน่ารักน่าหมั่นไส้ของน้องพลอยไว้สักหน่อยนะครับ


    พฤติกรรมดังกล่าวของน้องพลอยเกิดขึ้นจากเหตุการณ์หนึ่งที่นึกแล้วอดที่จะหวาดเสียวไม่ได้ หากไม่เป็นเพราะบุญวาสนาของเด็กยังดีอยู่ และได้บารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านช่วยไว้แล้ว ป่านนี้ก็คงไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ลองมาติดตามอ่านกันดูครับ


    เรื่องนี้เกิดขึ้นในวันหนึ่งซึ่งเป็นช่วงเวลาที่น้องพลอยได้เข้ามารับการรักษาพยาบาลเป็นครั้งแรกในโรงพยาบาลแห่งนี้ เนื่องจากเป็นไข้หวัด แต่ด้วยความเป็นเด็กซนจึงออกไปวิ่งเล่นและได้รู้จักกับน้องตาลใหม่ๆ วันนั้น ทั้งน้องพลอยและน้องตาลก็ออกไปวิ่งเล่นซนตามปกติ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนถึงหนึ่งทุ่มกว่า ก็ไม่มีใครเห็นวี่แววของเด็กทั้งสองคนนี้เลย


    ความวุ่นวายเกิดขึ้นทันที บรรดาแม่ของเด็กทั้งสอง คุณเอ้ และพยาบาล ต่างช่วยกันออกตามหา หาเท่าไรก็ไม่พบ ไปสอบถาม รปภ. ก็ได้ความว่า เห็นออกไปกับผู้หญิงวัยกลางคนๆ หนึ่ง โดยผู้หญิงคนนั้นเป็นคนจูงมือเดินออกไปหน้าโรงพยาบาล รปภ.ก็นึกว่าเป็นญาติผู้ใหญ่พาออกไปกินข้าวข้างนอก เท่านั้นแหละ แม่ของเด็กทั้งสองคนร้องไห้ปริ่มว่าจะขาดใจจนแทบจะเป็นลม เมื่อรู้ว่าลูกสาวของตนถูกลักพาตัวไป....


    เมื่อผมได้ทราบเรื่องเข้า ผมจึงรีบกราบขอบารมีท่านท้าวเวสสุวรรณให้ท่านช่วยเด็กทั้ง 2 คน ให้กลับบ้านโดยปลอดภัย (เคยกราบขอบารมีท่านให้ช่วยเด็กที่ถูกลักพาตัวไปและกลับมาโดยปลอดภัยมาแล้ว) อีกประมาณ 30 นาที ต่อมา น้องพลอยกับน้องตาลก็กลับมายังโรงพยาบาลเองได้อย่างปลอดภัย เมื่อสอบถามจากน้องพลอย (น้องตาลยังไม่ค่อยได้สติเท่าไร) ก็ได้ความดังนี้


    เด็กทั้ง 2 คน ถูกคนร้ายที่เป็นผู้หญิงอายุประมาณ 40 กว่าๆ หลอกทำตัวตีสนิทแล้วเอาผ้าที่มียาสลบโปะปิดปากปิดจมูก น้องตาลซึ่งไม่ทันระวังตัวจึงโดนเข้าไปเต็มๆ ทำให้รู้สึกเบลอและไม่ได้สติ (แต่ไม่ถึงสลบ) ส่วนน้องพลอยที่พอจะรู้ตัวอยู่บ้าง พอเห็นมีผ้ามาปิดปากปิดจมูกตนเอง น้องพลอยก็กลั้นลมหายใจแล้วแกล้งทำเป็นเบลอๆ ตามน้องตาล ต่อจากนั้นคนร้ายได้จูงมือเด็กทั้งสองคนให้เดินไปด้วยกัน พอน้องพลอยเดินๆ หยุดๆ ก็ทุบและหยิกน้องพลอยจนต้องเดินตามไปด้วย


    คนร้ายพาน้องพลอยและน้องตาลไปที่บ้านหลังหนึ่งแล้วหลอกให้ทั้ง 2 คน กดโทรศัพท์มือถือถึงแม่ บอกให้แม่มารับ แต่ไม่ให้เด็กพูด คนร้ายได้บอกกับแม่ของเด็กๆ ว่า หากอยากได้เด็กคืนให้เตรียมเงินมาไถ่คืน พอแม่ของเด็กทั้ง 2 คนได้รับโทรศัพท์ดังนั้นก็รีบโทรแจ้งตำรวจให้ช่วยหาตัวเด็กๆ


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2008
  8. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    ในขณะที่คนร้ายออกไปยืนรอที่จุดนัดพบอยู่นั้นเอง คนร้ายได้ทิ้งเด็กไว้ในบ้านและปิดประตูเอาไว้ โดยชะล่าใจว่า เด็กคงหนีไปไหนไม่ได้เนื่องจากถูกฤทธิ์ยาสลบเข้าไปและยังสลึมสลือกันอยู่ น้องพลอยเล่าว่า ตนเองแกล้งสลึมสลือเฉยๆ เพราะอยากรู้ว่า คนร้ายจะพาไปที่ไหน (อ่านแล้วน่าหยิกดีไหมละท่าน เด็กอะไรไม่รู้กล้าบ้าบิ่นเสียจริง)


    น้องพลอยเล่าต่อว่า ตอนนั้นเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง อายุประมาณ 5 - 6 ขวบ เข้าใจว่าคงเป็นลูกของคนร้าย น้องพลอยจึงเรียกและขอให้ออกไปตามรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างให้ เด็กคนนั้นก็เชื่อเสียด้วยสิ ออกไปตามรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาให้ ทราบจากคนขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างในภายหลังว่า ตอนแรกที่เห็นเด็กผู้ชายออกมากวักมือเรียกรถก็เฉยๆ ไม่ได้สนใจอะไร แต่สักครู่ก็เหมือนมีอะไรมาดลใจให้ขับรถไปหาเด็กนั้น พอไปถึงบ้านหลังหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงร้องบอกให้ช่วยพากลับบ้าน เขาจึงช่วยเด็กให้ปีนข้ามประตูบ้าน (ข้างใน) ออกมา แล้วเด็กก็บอกให้พาไปส่งแม่ที่โรงพยาบาล ได้ฟังแล้วก็รู้สึกว่า ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ นี่คงเป็นเพราะบารมีของท่านท้าวเวสสุวรรณที่ช่วยเด็กทั้ง 2 คน เอาไว้เป็นแน่


    แม่ของเด็กทั้ง 2 คน ดีใจเป็นอย่างมาก และได้ซื้อสร้อยคอทองคำให้แก่คนขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างคนละ 1 บาท ส่วนคนร้ายแก๊งค์นั้นก็ถูกตำรวจตามจับได้ในที่สุด


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2008
  9. Thai_narak_et

    Thai_narak_et Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2007
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +79


    อ่อเข้าใจแล้วครับ
    คือทีแรกผมอ่านข้อความผมเห็นว่า เธอผู้นี้มีความประสงค์ที่จะช่วยพระโพธิสัตว์ให้บารมีเต็มเร็ว ๆ งั้นดีเลย ความคิดผมก็ขึ้นมาแว็บหนึ่งว่า หากเราขอทานผู้จะอธิฐานเป็นนางแก้วคู่ทุกข์คู่ยากแล้วถวายทานคืน จะช่วยทำให้บารมีทั้งท่านและผมเต็มเร็วขึ้น โดยไม่ต้องออกแรงมากแต่ประการใด อีกทั้งเธอผู้นี้ยังอธิฐานอยู่ ไม่ได้เป็นภรรยาจริง ๆ ความสำพันธ์ยังไม่สูง ท่านคงจะทำมหาทานได้แน่ แต่ผมคิดผิดและกลับทำให้ไม่สบายใจกันไปหลายคน

    หากกรรมอันใดที่ืำทำให้ไม่สบายใจ รบกวนใจทุกๆ ท่านกระผมต้องขออภัยท่านอย่างสูงด้วย ใจจริงไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนี้เลย...<!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2008
  10. Thai_narak_et

    Thai_narak_et Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2007
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +79

    หุหุ เลือกอธิฐานเลยครับ ผู้ปรารถนาพุทธภูมิมีเยอะแยะ ผมแนะนำให้อธิฐานเจ้อคู่ใครสักคนหนึ่ง ที่เหมาะสมกับคุณ ที่บารมีเต็มแล้ว (หรือพุทธพยากรณ์แล้ว ) จะได้ไม่เหนื่อยมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2008
  11. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    แล้วก็มาถึงบทส่งท้ายของเรื่อง "นางแก้วเด็ก" กันเสียที ท่านผู้อ่านที่ได้ติดตามอ่านมาตลอดคงสงสัยใช่ไหมละว่า "น้องลูกแก้ว" คนนี้ มีความเป็นมาอย่างไร ทำไมถึงได้เก่งอย่างนี้ ผมเองก็สงสัยเหมือนกันว่า น้องลูกแก้วไปฝึกสมาธิมาจากไหน ทำไมถึงรู้จักพระนิพพานทั้งๆ ที่อายุเพียงแค่ 9 ขวบเอง พอสอบถามจากคุณเอ้ ซึ่งสนิทสนมกับคุณแม่ของน้องลูกแก้ว จึงได้ความตามนี้ครับ


    สืบเนื่องมาจากคุณแม่ของน้องลูกแก้วเป็นผู้ที่เคารพนับถือพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ) วัดท่าซุง เป็นอย่างมาก และได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดท่าซุง รวมทั้งได้นำสามีซึ่งเป็นชาวสิงคโปร์และน้องลูกแก้วไปทำบุญเป็นประจำสม่ำเสมอ พร้อมทั้งได้ฝึกมโนมยิทธิและให้น้องลูกแก้วฝึกด้วยตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆ


    พอคุณเอ้เล่ามาถึงตรงนี้ ผมก็ร้องอ๋อขึ้นในใจเลยทีเดียว ครอบครัวนี้เป็นลูกหลานของหลวงพ่อนั่นเอง มิน่าละ น้องลูกแก้วถึงได้รู้จักพระนิพพานตั้งแต่ยังเด็ก นึกอยู่แล้วเชียวว่าน่าจะต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับหลวงพ่อ แล้วก็เดาไม่ผิดซะด้วยสิ และชื่อของน้องลูกแก้วก็มีที่มาจาก "แก้วจักรพรรดิ์" ที่หลวงพ่อท่านสร้างขึ้นไว้นั่นเอง


    จากเรื่องที่เล่ามานี้ เป็นอุทาหรณ์หรือตัวอย่างที่ดีให้แก่เราๆ ท่านๆ ว่า การฝึกสมาธิเป็นของไม่ยาก การฝึกมโนมยิทธิก็เช่นเดียวกัน แม้แต่เด็กเล็กๆ ก็ฝึกได้ และมีผลในการปฏิบัติสามารถไปรู้ไปเห็นและสัมผัสกระแสพระนิพพานได้จริง หากมีความตั้งใจจริง



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2008
  12. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171


    การได้รับพุทธพยากรณ์ ยังไม่ได้หมายความว่า เป็นผู้ที่บารมีเต็มแล้วนะครับ ยังคงต้องสร้างบารมีต่อไปอีกจนกว่าจะครบ 30 ทัศ ท่านผู้ที่บารมีเต็มแล้ว ท่านจะไม่ลงมาอีก (เว้นแต่อธิษฐานลงมาเป็นการเฉพาะกิจใดกิจหนึ่ง) ส่วนใหญ่ท่านจะนั่งรอคิวอยู่ข้างบน


    ส่วนผู้ปรารถนาพุทธภูมิที่ลงมาเกิดนั้น มีทั้งบารมีต้น อุปบารมี และปรมัตถบารมี ซึ่งยังคงต้องมาเกิดเพื่อสร้างบารมีต่อไปให้เต็ม


    ในกรณีเช่นนี้ (สำหรับคุณครุกแซง) ถ้าจะอธิษฐานตามคำแนะนำของคุณ Thai_narak_et แบบไม่ให้เหนื่อยมากก็ควรเลือกเจาะจงไปที่ผู้ที่เป็นปรมัตถบารมีสิครับ แล้วในบรรดาผู้เป็นปรมัตถบารมีก็ยังจำแนกออกเป็น ปรมัตถบารมีตอนต้น ตอนกลาง ตอนปลาย คงต้องเลือกให้ดีว่า อยากได้คู่แบบไหน แต่ข้อสำคัญต้องไม่ลืมว่า ผู้ปรารถนาพุทธภูมิส่วนใหญ่ท่านมักจะมีนางแก้วอยู่แล้ว และไม่ใช่มีคนเดียวเสียด้วยน่ะสิ


    อันที่จริง ท่านที่ปรารถนาจะเป็นพุทธภูมิก็ดี เป็นนางแก้วก็ดี หรือเป็นสาวกภูมิก็ดี ไม่ใช่เพิ่งจะมาอธิษฐานอยากเป็นกันในชาตินี้เท่านั้น แต่หากพิจารณาให้ดีแล้วก็จะทราบว่า ต่างเคยอธิษฐานขอเป็นกันมานานแสนนาน อย่างต่ำๆ ก็นับเป็นแสนๆ ชาติ อย่างสูงก็เป็นอสงไขยชาติ เพราะมิฉะนั้น คงไม่ได้มานึกปรารถนาจะเป็นเอาในชาตินี้อย่างนี้กันหรอกครับ


    ผมคิดว่า คุณครุกแซงคงเคยปรารถนามานานหลายชาติแล้ว ในชาตินี้สัญญาเดิมติดตามมา แต่ทว่ายังหาผู้ปรารถนาพุทธภูมิซึ่งตนเคยอธิษฐานเป็นคู่บารมีไว้ยังไม่พบ อดใจรออีกสักหน่อยสิครับ เดี๋ยวพุทธภูมิท่านนั้นก็โคจรมาพบกับคุณครุกแซงเองแหละ...เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม



    .



    .
     
  13. คนอาภัพ

    คนอาภัพ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +31
    สาธุๆๆ หึหึ วันเวลาผ่านไป เราก็ยิ่งห่างไกล ไม่มีการหยุดอยู่ มาพิจารณาดู คนที่เป็นนางแก้วของเรานั้นก็ไม่รู้อยู่ที่ไหน เขาเป็นยังไง บำเพ็ญไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ แล้วแบบนี้เค้าจะตามเราทันหรอ น่าหนักใจถ้าได้พบกันก็คงดีจะได้ รู้ซึ่งความเป็นไปแห่งสภาวะของกันและกัน จะได้ไปพร้อมกัน แต่เขาคนนั้นอยู่ไหน ...แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็จะพยายามทำสมาธิฝึกจิตต่อไปจนเกิดญาณรู้แล้วจะช่วยเขาเต็มที่ นี่คือความตั้งใจ ***จะปั้นนางแก้วถ้าเขาไม่มีอุปนิสัย ก็คงเป็นไปได้ยาก หรืออาจเป็นไปไม่ได้เลย แต่คนที่มีอุปนิสัยอยู่แล้วมีความตั้งใจอยู่แล้วก็เป็นไปได้ง่าย***
     
  14. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    ขอบคุณ คุณ Ball ^^ ด้วยครับ ที่นำข้อมูลแท้จริงมาเอาให้
    เพราะผมจำไม่ค่อยได้ละ ฟังจากวิทยุตอนขับรถ เวลาไปทำงานข้อมูลเลยเพี้ยนๆไปจากผมเอง ^^ !
    ก็ โคลงเรื่องเดียวกัน ก็ดีใจล่ะ ที่คุณอ่านแล้วรู้ว่าผม กล่าวเรื่องไหน ขอบคุณๆ
     
  15. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ชอบประโยคนี้มากๆเลยครับ นางแก้วทั้งหลายจดจำไว้ให้ดีนะครับ
    อย่าลืมนะครับ "ต้องใจกว้าง" อิอิ

    ปล. ถ้านางแก้วใจกว้าง ป๋า tamsak ก็ไม่ผิดศีลข้อ 3 ครับ แต่ถ้านางแก้วไม่ยอม แล้วป๋า tamsak จะมีเพิ่ม ก็คงต้อง...หุ หุ
     
  16. คนอาภัพ

    คนอาภัพ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +31
    เหอๆ ในสมัยที่เกิดเป็นพระมหาจักรพรรดิ หรือพระราชาก็อาจจะมีพระมเหสีหลายคน หรือในการใดที่คนทั้งหลายนิยมกันให้มีภรรยาหลายคนก็อาจจะมีหลายคน แต่ทุกวันนี้ถ้ามีหลายคนพระโพธิสัตว์ก็สมควรที่จะโดน.บังตอ.ของนางแก้ว ล้อเล่นนะครับไม่ได้เจตนาให้แตกคอกันนะครับอิอิ เพราะสมัยนี้เขาถือกันแบบหญิงหนึ่งชายหนึงนอกจากนางแก้วจะยอมให้มีหลายคน เหอๆๆ
     
  17. Kerisawa

    Kerisawa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +96
    อ่านมานานแล้ว เกิดความสงสัยค่ะ คือ นางแก้วจะมาเป็นคู่บารมีพระโพธิสัตว์เฉพาะชาติที่ตัวนางแก้วเป็นผู้หญิง และ พระโพธิสัตว์เกิดเป็นผู้ชาย หรือเปล่าคะ

    ในช่วงพระโพธิสัตว์มีบารมีปรมัตถบารมี นางแก้วคงมาช่วยในชาติที่ตัวนางแก้วเองเกิดเป็นผู้หญิงแน่นอนอยู่แล้ว

    แต่ที่สงสัยคือในส่วนของนางแก้วของพระโพธิสัตว์ที่ยังอยู่ในช่วง บารมี-อุปบารมี ซึ่งยังเกิดเป็นผู้หญิง ในบางชาติได้อยู่น่ะค่ะ

    เป็นคนนึงปรารถนาพุทธภูมิประเภทสัทธาธิกะ แล้วเห็นมาคุยเรื่องคู่บารมี สงสัยค่ะ ถ้าเข้าใจอะไรผิด โปรดช่วยชี้แนะด้วยนะคะ
     
  18. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171


    ในชาติที่พระโพธิสัตว์ลงมาสร้างบารมีโดยเกิดเป็นหญิง (ช่วงบารมีต้น - อุปบารมี) ชาตินั้นจะมีนางแก้วบางคนตามลงมาเกิดด้วยแต่จะเกิดเป็นผู้ชาย มีหน้าที่ส่งเสริมสนับสนุนพระโพธิสัตว์เหมือนเดิมครับ มักเรียกนางแก้วที่ลงมาเกิดเป็นผู้ชายว่า "นายแก้ว" (เป็นชื่อที่เรียกกันเอง)


    ขออนุโมทนาบุญกับคุณ Kerisawa ในความปรารถนาเพื่อพระโพธิญาณประเภทศรัทธาธิกะด้วยนะครับ



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2008
  19. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    สำหรับพุทธภูมิที่บำเพ็ญเข้าปรมัตถบารมีแล้ว น่าจะเกิดเป็นผู้ชายตลอดครับ เพราะจิตมั่นคงแล้ว อีกอย่าง คือ หลายชาติอาจจะต้องบวช หรือเป็นพระครับ

    ข้อมูลแวบๆมา พิมพ์ให้อ่าน แต่ไม่ขอยืนยันครับ
     
  20. คนอาภัพ

    คนอาภัพ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +31
    คติประจำใจของผม คือ
    1 พยายามทำลายความขัดเคลืองใจในทุกสิ่ง
    2 พยายามทำลายความหวาดกลัวในทุกสิ่ง
    3 พยายามทำลายความโกรธไม่ให้มีอยู่ในใจให้หมดสิ้นไป
    4 พยายามรู้จิตเข้าใจจิตตามความเป็นจริงทุกขณะจิต
    5 พยายามสั่งสมบารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าด้านวิริยาธิกะเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่เพื่อร่วมทุกข์ทั้งปวง

    อิอิ ผม ไม่ถือเยอะหรอกครับขอถือแค่ 5 ข้อเป็นหลักของชีวิตก็พอ เหอ ๆ

    ***ความเมตตาจะมั่นคงได้เพราะสิ้นความโกรธ
    จิตจะมั่นคงได้เพราะสิ้นความหวั่นไหว***
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...