ท่านที่สวดพระคาถามหาจักรพรรดิ์ เป็นวัตร เชิงแบ่งบันความรู้ประสบการณ์ครับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย prom20, 3 กรกฎาคม 2012.

  1. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,506
    คุณเปิ้ลมีจิตเมตตาจริงๆ ขออนุโมทนาด้วยครับ...
     
  2. เปิ้ล19

    เปิ้ล19 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอนสวดและแผ่อันดับแรกอย่างที่พวกเรารู้ ๆ กันคือนึกถึงหลวงปู่ดู่ จากนั้นสวดไปแผ่ไปโดยวางจิตเป็นอุเบกขาตามที่หลวงตาท่านสอนอะค่ะ และได้ถามหลวงตาอีกว่า ถ้าไม่ได้ปรับภพภูมิส่งวิญญาณน้องหมา น้องหมาจะเป็นอย่างไร หลวงตาท่านบอกว่า มันก็จะเข้าท้อง(ไปเกิดเป็นน้องหมาใช้กรรมต่อ) แต่พอเราแผ่ให้เขา เขาก็ได้กำลังบุญของหลวงปู่ส่งให้เขาเป็นเทวดา ถ้าเขามีกรรมดีมากก็อยู่ข้างบน กรรมไม่ดีมากก็ลงข้างล่าง ถ้ากรรมดีและไม่ดีพอ ๆ กัน ก็ไปเกิดค่ะ
     
  3. นะมารวย

    นะมารวย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +67
    ถ่ายมาจากหนังสือ "กายสิทธิ์ ยุคอภิญญา" เขียนและเรียบเรียงโดย อาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์
    อาจารย์ศุภรัตน์ก็เป็นลูกศิษย์ท่านหนึ่งที่ใกล้ชิดหลวงปู่

    [​IMG]
    [​IMG]

    http://i786.photobucket.com/albums/yy142/maruay888/p144-1.jpg
    http://i786.photobucket.com/albums/yy142/maruay888/442b4150.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2012
  4. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    สาธุ ๆ ๆอนุโมทามิ ขอขอบคุณ คุณ นะมารวยมากครับ เป็นประโยชน์มากๆครับ ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป ว่างๆ ขอเชิญคุณ นะมารวย เอาธรรมมะ ของหลวงปู่จากหนังสือกายสิทธิ์ ของอาจารย์ศุภรัตน์ เเสงจันทน์ ที่ท่านอาจารย์ สัมภาษณ์ หลวงปู่ นำมาเผยแพร่เพื่อเป็นธรรมทานอีกต่อไปเรื่อยๆนะครับ ช่วยสงเคราะห์ซึ่งกันนะครับ ผมขออนุโมทนาในมหากุศล ในธรรมทานทั้งปวงด้วยนะครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กรกฎาคม 2012
  5. นะมารวย

    นะมารวย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +67
    หลวงตาม้าก็เป็นพระลูกศิษย์ท่านหนึ่งที่หลวงปู่ดู่ถ่ายทอดวิชาให้

    สมัยหลวงตาม้ายังเป็นฆราวาส ท่านจะมาอยู่ในกุฏิหลวงปู่เกือบทุกวันเป็นเวลาเจ็ด-แปดปีก่อนท่านบวช
     
  6. moddang

    moddang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,464
    ค่าพลัง:
    +5,423
    [​IMG]

    ถ่ายมาจากหนังสือ กายสิทธิ์ สำนักสงฆ์พุทธพรหมปัญโญ

    เล่มนี้ได้มานานมากแล้ว วัดถ้ำเมืองนะยังเป็นสำนักสงฆ์อยู่เลยครับ

    ด้านในมีเขียนบอกไว้ชัดเจนเกี่ยวกับบทสวดมหาจักรพรรดิครับ ใครว่าหลวงปู่ท่านไม่ได้แต่งบทนี้ลองไปเปิด link ด้านบนของพี่นะมารวยดูนะครับ ท่านใดว่าไม่มี อาจเป็นไปได้ว่า เป็นความเข้าใจผิดคลาดเคลือ่น บทสวดหลายๆคำที่เอามาจากบทสวด 7 ตำนาน 12 ตำนาน แต่หลวงปู่ท่านคงเห็นว่าดีเลยนำมาเรียบเรียงอีกที ช่วงที่หลวงปู่พูดถึงบทนี้ ท่าน(คนที่มาบอกว่าบทสวดนี้หลวงปู่ไม่เคยพูดถึง) อาจไม่ได้อยู่ที่วัดด้วย เลยทำให้คิดจินตนาการไปเองว่า หลวงปู่ไม่เคยสอน ก็อย่างที่บอกไป หลวงปู่ท่านสอนตามปัญญา ตามภูมิธรรม ของคนที่มาศึกษา ต้องเปิดใจให้กว้างนะครับ ไม่งั้นบทนี้คงไม่มีเขียนในหนังสือกายสิทธิ์ครับ การที่หลายๆท่านที่ไปหาหลวงปู่แล้วไม่เคยได้ยินท่านพูดถึงบทสวดนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีนะครับ อยากรู้จริงทำไมไม่เอาดีมาอวดกัน มีแต่เอากิเลสมาอวดกัน แปลกดีครับ แต่จะว่าไปก็ไม่แปลก เพราะ ถ้าไม่มีถูก ก็ไม่มีผิด ให้รู้ครับ และธรรม ก็ไม่มีผิด ไม่มีถูกหรอกครับ อยู่ที่ท่านจะคิดดี คิดได้บุญกันแค่ไหน

    ผมเห็นคนที่มาโพสแล้ว ผมอายสายอื่นๆแทนหลวงปู่ท่านครับ บารมีหลวงปู่มากมายขนาดนี้ ยังมีศิษย์เห็นต่างกันอยู่ด้วยความไม่รู้ กรรมแท้ๆ ไอ้คนที่ไม่รู้ได้แต่ตามก้นเขา ก็พยายามขยายความยาวสาวความยืดไปตามกระทู้อีก ยังยึดติดว่า ที่ฉันรู้ถูกแล้ว ตรงตามคำสอนแล้ว ทั้งที่ไม่เคยไปถามท่านอื่นเลย ศิษย์ทั้งหลายสมัยที่ไปหาหลวงปู่อาจคิดว่า " ข้าไม่เคยได้ยิน ข้าไม่เคยรู้ แสดงว่าไม่มี " หลวงปู่ไม่ได้พูด ก็แปลว่่าไม่มี คิดผิดครับ

    ผมเองก็ไม่ทันหลวงปู่หรอกครับ อย่างน้อย รู้ว่าสวดแล้วดี สวดไปเถอะ มีแต่ได้ ไม่มีเสีย มีใครสวดแล้วไม่ดีบ้างไหม อยากรู้จริงๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • R0012634.JPG
      R0012634.JPG
      ขนาดไฟล์:
      57.1 KB
      เปิดดู:
      154
    • R0012632.JPG
      R0012632.JPG
      ขนาดไฟล์:
      58.6 KB
      เปิดดู:
      2,649
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2012
  7. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    สาธุครับ พี่มดเเดง ปิติจังเลย อบอุ่นใจทุกครั้งเมื่อได้อ่านเกี่ยวกับหลวงปู่ อบอุ่นใจทุกครั้งเมื่อพี่เอาข้อมูลมาสงเคราะห์กัน
    พวกท่านทำให้ สมาชิกทั้งหลาย ได้บุญทุกครั้ง ที่อ่าน ธรรมมะดีๆ เเละได้บุญทุกครั้งที่ อนุโมทนาสิ่งดีๆ ที่พี่ๆทั้งหลายสละเวลาเผยแพร่ สาธุ ๆ ๆอนุโมทามิ สาธุ ๆ ๆ นิพพานะปัจจะโยโหตุ สาธุ ปล.ผมขออนุญาตุไปอาบน้ำสวดมนต์ก่อนนะครับ
     
  8. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,506
    ขอขอบพระคุณพี่นะมารวยมากๆครับ...โดยส่วนตัวผมก็นับถืออาจารย์ศุภรัตน์อยู่เหมือนกันครับเพราะอาจารย์ก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้เผยแพร่บารมีหลวงปู่ให้ศิษย์ยุคหลังได้รู้จักและปฎิบัติตามแนวทางของหลวงปู่มากยิ่งขึ้นครับ..[​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • p144-1.jpg
      p144-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      409.5 KB
      เปิดดู:
      2,375
  9. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    พี่นิติกูน ครับ ผมบังเอิญอ่านข้อมูลมาว่า พระในโอ่ง ปี27 ของหลวงปู่นี่ สร้างโดย คณะศิษย์ของหลวงปู่ทำถวายหลวงปู่ มีผสมผงกรรมฐาน หรือผงจักรพรรดิ์ของหลวงปู่ตามแบบฉบับ คณะนีมี คุณบ้าสะอิ้ง พระอ้วน หลวงตาม้า(ขณะนั้นหลวงตายังเป็นฆราวาส) และไม่ทราบว่าอาจารย์สุภรัตน์ด้วยหรือเปล่า (หลวงปู่อธิฐานเสร็จแล้ว)ก็ถวายหลวงปู่ส่วนหนึ่ง เเละเก็บไว้ในโอ่งส่วนหนึ่งโบงปูนปิดปากโอ่ง ไว้หน้าพระ เเล้วโยงสายสินธ์ จากหลวงปู่มาที่โอง ได้ผ่านมาหลายพิธี รวมทั้งพิธิเปิดโลกปี32ด้วย ข้อมูลนี้ถูกไหมครับพี่.......แต่ผมโชคดีมากที่พี่เมตตา ลำพังบารมีตัวเองคงไม่มีทาง อิอิอิ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    พระธาตุรวมตัว

    สมเด็จองค์ปฐมทรงพระเมตตา ตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ดังนี้

    ๑. “อย่าสนใจที่จักไปละกิเลสให้บุคคลอื่น ให้สนใจละกิเลสของตนออกไปจากจิตให้มาก ๆ”
    ๒. “จงอย่ามีความประมาทในชีวิต ให้คิดเอาไว้เสมอว่าขณะจิตนี้เรากำลังจักตาย ตายเมื่อไหร่ขอไปพระนิพพานเมื่อนั้น”
    ๓. “จิตจงหมั่นทำงานทางธรรมอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าร่างกายจักทำอะไรอยู่ก็ตาม”
    ๔. “เรื่องพระธาตุรวมตัว ที่พระ...ท่านสัมผัสได้ว่า แต่ละองค์มีรัศมีป้องกันเขตพื้นที่ไปในระยะ ๑๐ กิโลเมตรนั้น เป็นความจริง และสมควรที่จักได้กระจัดกระจายไปตามวัด และสถานที่ต่าง ๆ ตามที่สมควร อย่าพะวงว่าเขาทำไม่ได้ทุกอย่าง เป็นไปได้ตามที่พระธาตุเหล่านั้นได้เสด็จมา ตามจุดประสงค์เพื่อรักษาเขตประเทศไทยในยามเกิดสงครามใหญ่โดยเฉพาะ”
    ๕. “แต่อย่าคิดเชียวนะว่า ผู้มีพระธาตุบูชาจักไม่ตาย เพราะที่สุดในโลกนี้ไม่มีอะไรเหลือ คนหรือสัตว์ วัตถุธาตุพังหมด จักมายึดว่ามีพระธาตุบูชา แล้วจักพ้นความตายไปนั้นไม่ได้ ท่านเพียงแต่ป้องกันอันตรายจากภัยสงคราม ชีวิตหรือทรัพย์สิน หากไม่พ้นกฎของกรรมท่านก็ช่วยได้เท่านั้น แต่ถ้าหากจักต้องชดใช้กฎของกรรม ท่านก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน”
    ๖. “ภิกษุใด นักบวชใด ที่ไม่เชื่อในพุทธคุณ จงอย่าให้ เพราะเขาไม่เชื่อหรอกว่าเป็นพระธาตุ พวกนี้อวดว่าตนเองมีความรู้ดี ทั้ง ๆ ที่สังโยชน์ ๑๐ ยังอยู่ครบ จะเป็นเหตุให้เขาต้องโทษปรามาสพระรัตนตรัยได้โดยไม่รู้ตัว”

    ๗. “สำหรับฆราวาสที่เชื่อถือในพุทธคุณ ก็ให้เขาไปบูชาได้ บอกว่ามีอานุภาพป้องกันภัยสงครามเท่านั้นก็พอ”


    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๗
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน


    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่ www.tangnipparn.com

    ๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙

    พระธาตุรวมตัว

    สมเด็จองค์ปฐมทรงพระเมตตา ตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ดังนี้

    ๑. “อย่าสนใจที่จักไปละกิเลสให้บุคคลอื่น ให้สนใจละกิเลสของตนออกไปจากจิตให้มาก ๆ”
    ๒. “จงอย่ามีความประมาทในชีวิต ให้คิดเอาไว้เสมอว่าขณะจิตนี้เรากำลังจักตาย ตายเมื่อไหร่ขอไปพระนิพพานเมื่อนั้น”
    ๓. “จิตจงหมั่นทำงานทางธรรมอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าร่างกายจักทำอะไรอยู่ก็ตาม”
    ๔. “เรื่องพระธาตุรวมตัว ที่พระ...ท่านสัมผัสได้ว่า แต่ละองค์มีรัศมีป้องกันเขตพื้นที่ไปในระยะ ๑๐ กิโลเมตรนั้น เป็นความจริง และสมควรที่จักได้กระจัดกระจายไปตามวัด และสถานที่ต่าง ๆ ตามที่สมควร อย่าพะวงว่าเขาทำไม่ได้ทุกอย่าง เป็นไปได้ตามที่พระธาตุเหล่านั้นได้เสด็จมา ตามจุดประสงค์เพื่อรักษาเขตประเทศไทยในยามเกิดสงครามใหญ่โดยเฉพาะ”
    ๕. “แต่อย่าคิดเชียวนะว่า ผู้มีพระธาตุบูชาจักไม่ตาย เพราะที่สุดในโลกนี้ไม่มีอะไรเหลือ คนหรือสัตว์ วัตถุธาตุพังหมด จักมายึดว่ามีพระธาตุบูชา แล้วจักพ้นความตายไปนั้นไม่ได้ ท่านเพียงแต่ป้องกันอันตรายจากภัยสงคราม ชีวิตหรือทรัพย์สิน หากไม่พ้นกฎของกรรมท่านก็ช่วยได้เท่านั้น แต่ถ้าหากจักต้องชดใช้กฎของกรรม ท่านก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน”
    ๖. “ภิกษุใด นักบวชใด ที่ไม่เชื่อในพุทธคุณ จงอย่าให้ เพราะเขาไม่เชื่อหรอกว่าเป็นพระธาตุ พวกนี้อวดว่าตนเองมีความรู้ดี ทั้ง ๆ ที่สังโยชน์ ๑๐ ยังอยู่ครบ จะเป็นเหตุให้เขาต้องโทษปรามาสพระรัตนตรัยได้โดยไม่รู้ตัว”

    ๗. “สำหรับฆราวาสที่เชื่อถือในพุทธคุณ ก็ให้เขาไปบูชาได้ บอกว่ามีอานุภาพป้องกันภัยสงครามเท่านั้นก็พอ”

    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๗
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
    www.tangnipparn.com





    Fix.Gs Webboard Service
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 กรกฎาคม 2012
  11. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    เอามาจากหนังสือ กายสิทธิ์ครับ
    อภิญญา แปลว่า ความรู้ยิ่ง หมายถึงปัญญาความรู้ที่สูงเหนือกว่าปกติ เป็นความรู้พิเศษที่เกิดขึ้นจากการอบรมจิตเจริญปัญญาหรือบำเพ็ญกรรมฐาน อภิญญามี ๖ ได้แก่…


    ๑. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้

    ๒. ทิพพโสต หูทิพย์

    ๓. เจโตปริยญาณ ญาณที่ให้ทายใจคนอื่นได้

    ๔. ปุพเพนิวาสานุสติญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้

    ๕. ทิพพจักขุ ตาทิพย์

    ๖. อาสวักขยญาณ ญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นไป

    อภิญญา ๕ ข้อแรกเป็นของสาธารณะ (โลกียญาน) ข้อ ๖ มีเฉพาะในพระอรหันต์

    ถ้าพบผู้แสดงฤทธิ์ได้ อย่าพึ่งหมายว่าผู้นั้นจะเป็นอริยบุคคล เช่น ฤาษีชีไพร บุคคลทั่ว ๆ ไป มีสิทธิ์ที่จะได้อภิญญาด้วยกันทั้งนั้น

    อภิญญา ๕ และ อภิญญา ๖ ต่างกัน คือ อภิญญา ๕ เป็นโลกียอย่างเดียว ส่วนอภิญญา ๖ มีทั้งโลกียและโลกุตระ เฉพาะอภิญญาที่ ๖ (อาสวักขยญาณ) เป็นโลกุตระ อภิญญา ๖ จากอานาปานุสติกรรมฐาน จะเกิดเมื่อ…

    ๑. ในชาติก่อนๆต้องได้ อภิญญา ๕ มาก่อน

    ๒. ในชาติที่จะได้อภิญญา ๖ ก่อนเป็นพระอรหันต์ ต้องได้ฌาณ ๔ จากอานาปานุสติก่อน เพื่อให้อภิญญา ๕ ที่เคยได้ในชาติที่แล้วกลับคืนมา (ที่จริงแล้วฌาณ ๔ จากกรรมฐานกองไหนก็ได้ไม่จำเป็นต้องอานาปานุสติ เพราะมีถึง ๔๐ วิธี)

    ๓.เป็นพระอรหันต์ จะได้อาสวักขญาณ มาเป็นตัวที่ ๖ เรียกว่าอภิญญา ๖ ถ้าไม่เคยฝึกมาในชาติก่อนๆ แล้วอยากได้อภิญญา ๖ ในชาตินี้ ต้องฝึกอภิญญา ๕ ใหม่หมด แล้วอภิญญา ๕ จะไม่สามารถได้จากอานาปานุสติ ต้องไปฝึกกรรมฐานกองอื่นๆ เช่น กสิณทั้ง ๑๐ กอง เป็นต้น



    เนื่องจากอภิญญาส่วนใหญ่จะฝึกได้ต้องมีพื้นกสิณ ๑๐ แน่นก่อน หลังจากได้อภิญญา ๕ แล้ว ค่อยยกจิตขึ้นวิปัสนาญาณตัดกิเลสให้หมด เป็นพระอรหันต์ก็จะได้อภิญญา ๖ หลวงพ่อดู่ท่านพูดถึงอภิญญาว่า “ ผู้ที่มีความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์ สามารถเหาะเหิน เดินอากาศ รู้และเห็นเรื่องผีสางเทวดา สิ่งลึกลับต่างๆ จัดเป็นอิทธิฤทธิ (อิท-ธิ-ฤทธิ์-ธิ) เทวทัตเหาะได้แต่ไปนรก คนเก่งยังพึ่งตนเองไม่ได้ (อภิญญา ๕) แต่คนดีมีบุญญฤทธิ์(อภิญญา ๖) เป็นที่พึ่งทั้งตนเองและบุคคลทั้งหลายได้
     
  12. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    “แต่ก่อนเราเคยอยากดี มีดีแล้วก็เอาให้หายอยาก อย่างมากก็สู้แค่ตาย ใครจะเหมือนข้า ข้าบนตัวตาย” “ตราบใดก็ตามที่แกยังไม่เห็นความดีในตัว ก็ไม่นับว่าแกรู้จักข้า แต่ถ้าเมื่อใดที่เริ่มเห็นความดีในตัวเองแล้ว เมื่อนั้นแกจะรู้จักข้าดีขึ้น”

    “เขามาไกล เสียค่ารถค่าเรือ เพื่อมาพบข้า ถ้าเกิดไม่ได้พบ ออกจากวัดตายไป ข้าจะต้องเสียใจอย่างมาก” “หมอเขาให้ข้าไปจำวัดข้างใน แต่ข้าไม่ยอม แม้ข้าจะนอนหลับพักผ่อน พวกที่มายังสามารถกราบสังขารข้าได้ แค่นี้เขาก็พอใจ ข้าก็พอใจ ไม่เสียเที่ยวที่ได้มา” “แกลองดูซิ เอวข้าตอนนี้เอามือวนรอบได้แล้ว แสดงว่าใกล้เข้ามาแล้ว ใกล้สบายแล้ว หมอเขาบอกหลวงพ่อต้องพักผ่อนมากๆ เสียงหัวใจดังไปถึงข้างหลังแสดงว่าเป็นมาก แต่ข้าไม่กลัว ถ้าเป็นคนอื่นข้าว่าต้องเข้าห้องไอซียู เพราะมันเจ็บปวดไปหมดทุกส่วน”

    “ถ้าข้าตาย ข้าไม่ไปไหนหรอก ยังอยู่กับพวกแกตลอด ขอเพียงแต่พวกแกพากันปฏิบัติต่อไป จำไว้ไม่ใช่เพื่อข้า แต่เพื่อตัวแกเอง” “คนเราเกิดมาต้องตายทุกคน ไม่ช้าก็เร็ว มีนางฟ้าเดินเก็บดอกไม้ในสวรรค์ เผลอตัวลงมาเกิดเป็นมนุษย์ แต่งงานมีลูกหลาน ตายไปแล้วปรากฏไปอยู่ในสวนดอกไม้เหมือนเดิม นางฟ้าด้วยกันถามว่าหายไปไหนมา แกบอกว่าไปเมืองมนุษย์มา ดูซิเวลาบนสวรรค์นานเหลือเกิน”
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    อานิสงส์การภาวนา

    admin August 6, 2011

    หลวงพ่อได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการปฏิบัติบูชามาก เนื่องจากประโยชน์ที่จะได้รับในขณะที่ปฏิบัติสมาธินั้นได้บุญพร้อมในเวลาเดียวถึงองค์ ๓ คือ ทาน ศีล และภาวนา
    เกี่ยวกับทานมีกล่าวไว้ในพระสูตร ว่าด้วยเรื่องของการให้ทานนับตั้งแต่การให้ทานกับสัตว์เดรัจฉานร้อยครั้ง ไม่เท่ากับการให้ทานกับคนธรรมดาหนึ่งครั้ง ให้ทานคนธรรมดาร้อยครั้ง ไม่เท่ากับการให้ทานคนที่มีศีลหนึ่งครั้ง ให้ทานผู้มีศีลร้อยครั้ง ไม่เท่ากับให้ทานพระอริยบุคคลขั้นโสดาบันหนึ่งครั้ง เรื่อยมาจนถึงให้ทานพระสัมมาสัมพุทธเจ้าร้อยครั้ง ไม่เท่ากับถวายสังฆทานหนึ่งครั้งโดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน และการถวายสังฆทานร้อยครั้ง ไม่เท่ากับการถวายวิหารทาน ได้แก่ โบสถ์ วิหาร ฯลฯ แต่ถึงแม้จะถวายวิหารทานไว้มากมายถึงร้อยครั้ง อานิสงส์ก็ไม่เท่ากับการเจริญเมตตาจิต หรือการภาวนาได้แสงสว่างเพียงเท่าช้างกระดิกหู งูแลบลิ้นเพียงครั้งเดียว ถ้าจะมีผู้แย้งว่า ขณะนั่งสมาธิไม่มีการให้ทาน ขอตอบว่าทานในขณะปฏิบัติเป็นทานอันยิ่ง คือ อภัยทาน เพราะในเวลานี้ถ้าเราโกรธ อาฆาต พยาบาทใครก็ตามเราต้องให้อภัยมิเช่นนั้นแล้วสมาธิจะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นเราต้องมีเมตตาธรรมบังเกิดขึ้น จุดประสงค์ของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับการให้ทานนี้ก็เพื่อลดความเห็นแก่ตัวนั่นเอง มิใช่เป็นการให้ทานเพื่อหวังผลตอบแทนอย่างเลอเลิศ เพราะจะกลายเป็นผู้โลภบุญ ในนิมิตภาวนา หลวงปู่ทวดเคยให้คำจำกัดความของบุญกับผู้เขียนว่า “บุญ คือความสบายใจ ก่อนทำก็สบายใจ ขณะทำก็สบายใจ ทำแล้วก็สบายใจ คิดถึงทีไรสบายใจทุกที”

    ในเรื่องของศีลนั้น ในขณะที่ปฏิบัติเราจะเป็นผู้ที่มีศีลอย่างบริบูรณ์ เนื่องจากได้สมาทานและมีเจตนาที่จะรักษาศีลเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้บางท่านจะภาวนาเลยก็ย่อมมีศีลอยู่กับใจ (ศีลโดยแท้ คือ ภาวะปกติของใจ ที่ไม่กระเพื่อมไปตามอำนาจกิเลส เรียกว่า ศีลใจก็ไม่ผิด) เพราะว่าเราไม่ได้ไปผิดศีลข้อใดในขณะนั้น ตั้งแต่การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม เป็นต้น เมื่อเรามีศีลบังเกิดขึ้น อานิสงส์ของศีลย่อมทำให้เรามีความสุข มีชีวิตอยู่ก็มีความสุข ตายไปแล้วก็มีสุคติเป็นที่หวังอย่างแน่นอน สำหรับการภาวนามีจุดประสงค์เพื่อให้จิตเกิดความสงบมีสมาธิ การบริกรรมภาวนา ไม่ว่าสัมมาอรหัง พุทโธ หรือพุทธังฯ ธัมมังฯ สังฆังฯ ต่างก็มุ่งหวังให้จิตเป็นสิ่งเหนี่ยวนำหรือได้ทำงานในสิ่งที่ดี เนื่องจากสภาพของจิตมักจะไม่อยู่นิ่งเหมือนลิงมีอาการซุกซนคิดโน่นคิดนี่ไม่มีสมาธิ ผู้ปฏิบัติจึงต้องอาศัยคำภาวนาผูกจิตเอาไว้ไม่ให้วอกแวกไปทางอื่น เมื่อมีสติรู้อยู่กับคำภาวนาจนจิตเกิดความสงบหรือบังเกิดแสงสว่างขึ้น จึงมีอานิสงส์พร้อมกัน ในเวลาเดียวกันเป็นการรวมตัวของบุญที่กระทำขึ้น เกิดอานิสงส์มากกว่าการตักบาตร หรือการทำทานเพียงอย่างเดียว

    ดังนั้นการปฏิบัติสมาธิหรือการภาวนา ดังที่หลวงพ่อกล่าวไว้จึงเป็นการสร้างบารมีอย่างดียิ่ง อันให้ประโยชน์กับตนเองทั้งปัจจุบันและภายภาคหน้าด้วยประการนี้

    * การภาวนาเมื่อจิตสงบเสมือนกับเราได้นอนหลับเต็มที่ เมื่อตื่นขึ้นมาย่อมมีกำลังกระฉับกระเฉงสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้านอนหลับไม่สนิทพลังความคิดย่อมลดลง ดังนั้นความสงบจากภาวนามีถึง ๓ ชั้น คือ สงบอย่างหยาบ กลาง ละเอียด จำเป็นที่เราจะต้องศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองว่า วิธีการภาวนาแบบไหนจะเหมาะสมกับเรา หลวงพ่อจึงไม่ให้วิจารณ์การปฏิบัติสำนักไหนและที่สำคัญไม่ให้โจมตีใคร ๆ อันเป็นวลีสำคัญของคำว่า “คนดี ไม่ตีใคร” *
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • art_342200.jpg
      art_342200.jpg
      ขนาดไฟล์:
      46.8 KB
      เปิดดู:
      207
  14. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ที่มาของคำภาวนาไตรสรณคมน์

    admin August 6, 2011

    ถ้าจะวิเคราะห์ถึงคำภาวนานี้แล้ว ไตรสรณคมน์มีความสำคัญมาตั้งแต่โบราณ คือ ในสมัยที่พระพุทธองค์ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ได้มีพุทธานุญาตให้พระสาวกทำการบวชกุลบุตรได้โดยการเปล่งวาจาระลึกถึง ไตรสรณคมน์ จึงถือเป็นภิกษุอย่างสมบูรณ์
    หลวงพ่อเคยถาม สมเด็จพุฒาจารย์ (เสงี่ยม) วัดสุทัศน์ฯว่า ผู้ที่ภาวนาไตรสรณคมน์เป็นนิจศีล ก่อนตายระลึกถึงไตรสรณคมน์จะไปสวรรค์ได้หรือไม่ สมเด็จฯตอบว่า ได้แน่นอนพร้อมกับยกพระบาลีว่า “เยเกจิพุทธัง สรณังคตา เสนะ เตคมิสสันติ อบายภูมิ ปหาย มานุสัง เทหัง เทวกายัง ปริปูเรส สันติ” แปลว่าบุคคลบางจำพวก หรือบุคคลใดมาถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะที่พึ่งแล้ว บุคคลเหล่านั้นย่อมไม่ไปอบายภูมิทั้ง ๔ มีนรก เป็นต้น เมื่อละร่างกายอันเป็นมนุษย์นี้แล้ว จักไปเป็นหมู่แห่งเทพยดาทั้งหลายดังนี้ ข้อความนี้อ้างอิงมาจาก สมัยที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์หนุ่ม ๕๐๐ รูปประทับอยู่ที่ป่ามหาวันใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ เทวดาทั้งหลายพากันมาดูและกราบนมัสการ พร้อมกับกล่าวคาถานี้

    พระคาถานี้ปรากฏอยู่ในมหาสมัยสูตรซึ่งคณาจารย์หลายท่านใช้สวดเป็นประจำ ทั้งพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ และศิษย์สายของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ เป็นต้น เป็นการกล่าวถึงพระอรหันต์หนุ่มทั้ง ๕๐๐ องค์ ที่มาจากวงศ์ศากยะและโกลิยวงศ์ ซึ่งเป็นสายทางพุทธบิดาและพุทธมารดา ได้พร้อมใจกันถวายโอรส ฝ่ายละ ๒๕๐ องค์ เพื่ออุปสมบทหลังจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงห้ามไม่ให้ทะเลาะวิวาทกันเรื่องน้ำ โดยทรงกล่าวว่า “น้ำกับความเป็นกษัตริย์ สิ่งไหนสูงค่ากว่ากัน” ทำให้ทั้งสองราชตระกูลคิดได้ อันเป็นที่มาของพระปางห้ามพระญาติ (พระประจำผู้เกิดวันจันทร์) เมื่อโอรสทั้ง ๕๐๐ องค์ได้อุปสมบทและสำเร็จพระอรหันต์ทั้งหมดแล้ว ได้มีเทวดาจากที่ต่างๆ ทุกชั้น รวมทั้งอสูร ยักษ์ ครุฑ นาค เป็นต้น ล้วนแล้วแต่มาเฝ้าพระพุทธเจ้าและพระสาวกอันจะปรากฏขึ้นต่อพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระพุทธองค์จึงทรงแนะนำให้พระสาวกได้ทราบ เพราะบางองค์มีทิพจักขุญาน (ตาทิพย์) แจ่มใสไม่เหมือนกัน พระสูตรบทนี้ได้มีการนำมาสวดในงานมงคลต่างๆ ในสมัยโบราณ เช่น วันตรุษสงกรานต์ ขึ้นบ้านใหม่ ทำบุญอายุ เป็นต้น ถือเป็นบทที่ศักดิ์สิทธิ์ คณาจารย์ทั้งหลายจึงนำมาทำวัตรสวดมนต์กันหลายองค์ดังได้กล่าวมาแล้ว หลวงปู่ขาว อนาลโย ท่านสวดมนต์ในใจแต่เทวดาทั้งหลายมานมัสการท่านพร้อมกับกล่าวว่า เสียงสวดมนต์ของท่านดังกระจายไปทั่วทุกชั้นฟ้า แสดงว่าจิตของท่านเหล่านี้เข้าถึงพลังของความเป็นทิพย์ ทำให้กระเทือนไปทั่ว ซึ่งเรียกว่า “จิตตานุภาพ” บทมหาสมัยนี้ยังกล่าวถึงพระยามารไม่สามารถทำลายพิธีได้ สุดท้ายยังได้กล่าวสรรเสริญบุญญาธิการของสมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าอีกด้วย มีลูกศิษย์หลวงพ่อที่นั่งสมาธิและเห็นหลวงปู่ทวดท่านกล่าวว่า “ไตรสรณคมน์เป็นรากแก้วของพระศาสนา พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะเข้ามาบวชถือเป็นสมมุติสงฆ์เพื่อแสวงหาสัจจธรรมจนบรรลุมรรคผลตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ ซึ่งเรียกว่า พระธรรม พระองค์ได้พุทโธ คือ ผู้รู้ กลายเป็นพระพุทธเจ้า และเมื่อเทศน์โปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ พระอัญญาโกณฑัญญะได้บรรลุธรรมเป็นองค์แรก จนมีพระอริยสงฆ์สืบต่อ ๆ กันมา ทำให้ศาสนาไม่สูญหายไปไหน”



    พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระเถระองค์สำคัญในยุคปัจจุบัน ท่านกล่าวว่า “สรณะทั้ง ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มิได้เสื่อมสูญอันตรธานไปไหน ยังปรากฏแก่ผู้ปฏิบัติเข้าถึงอยู่เสมอ ผู้ใดมายึดถือเป็นที่พึ่งของตนแล้ว แม้ผู้นั้นจะอยู่ในกลางป่าหรือเรือนว่างก็ตาม สรณะทั้ง ๓ พึงปรากฏแก่เขาทุกเมื่อ อันเป็นที่พึ่งแก่บุคคลทั้งหลายได้จริง ถ้าได้ปฏิบัติตามสรณะทั้ง ๓ จริงแล้ว จะคลาดแคล้วจากภัยทั้งหลายอันก่อให้เกิดความร้อนอก ร้อนใจ ได้แน่นอนทีเดียว

    ข้อความนี้ทรงแสดงไว้ใน “อุณหัสสวิชัยสูตร” ที่พระพุทธองค์เทศน์โปรด สุปฐิตะเทพบุตร เมื่อถึงกาลที่จะต้องจุติจากสวรรค์ เพราะหมดบุญทรงรู้ด้วยพระญาณว่า เทพบุตรองค์นี้ทำแต่ความชั่ว แต่ก่อนมรณะมีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยเพียงชั่วขณะทำให้ไปเกิดเป็นเทวดา แต่เมื่อได้ดีแล้วก็ลืมความดี ตั้งหน้าทำแต่สิ่งที่ไร้สาระ ถ้าสิ้นจากชาตินี้ไปแล้วเธอจะไปเกิดเป็นสัตว์นรกอีกหลายร้อยชาติ ถ้าเราเทศน์เรื่องธรรมจักร เธอจะรับไม่ได้ต้องเทศน์เรื่องนี้

    โดยปกติพระพุทธองค์จะทรงสอนที่เรียกว่า อนุปุพพิกกา เริ่มจากธรรมที่ง่ายไปหายากตามลำดับเพื่อให้ผู้ฟังเตรียมจิตให้พร้อม โดยทรงเริ่มจาก ทาน ศีล สวรรค์ โทษของกาม และความสุขที่ออกจากกาม แต่สำหรับสุปฐิตะเทพบุตร พระพุทธองค์จะทรงเทศน์เกี่ยวกับความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย เพราะก่อนที่จะดับจิตเทวดาองค์นี้เห็นรัศมีสีแสงของพระพุทธองค์ ทำให้ไปเกิดเป็นเทวดา แต่ยังไม่ละนิสัยเดิม คือ เห็นแต่ความสุขที่ตนเองได้รับ ไม่ทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม เมื่อสุปฐิตะเทพบุตรฟังเทศน์แล้ว สำเร็จเป็นพระโสดาบันจึงปิดอบายภูมิได้แน่นอน พระสูตรนี้ (อุณหัสสวิชัยสูตร) แปลเป็นไทยว่า “พระธรรมเป็นของยิ่งในโลกทั้งสาม สามารถเอาชนะซึ่งความร้อนอกร้อนใจ (อุณหัสส) อันเกิดแต่ภัยต่าง ๆ และอันตรายทั้งหลาย ได้แก่อาชญาของพระราชา เสือสาง นาค ยาพิษ ภูติผีปีศาจ หากว่ายังไม่ถึงกาลที่จักตายแล้วก็จะพ้นไปได้ด้วยอำนาจแห่ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ตนน้อมเอาเป็นสรณะที่พึ่งที่นับถือนั้น” พระสูตรนี้นิยมนำมาสวดในงานต่ออายุจนกระทั่งปัจจุบันนี้

    ผู้เขียนเคยนั่งปฏิบัติพบกับหลวงปู่ทวด และได้เรียนถามถึงความสำคัญของการภาวนาไตรสรณคมน์ ท่านกล่าวว่า “พลังงานมีอยู่ทั่วไป ไม่ว่าพลังงานความร้อน แสง เสียง แต่นักวิทยาศาสตร์ลืมไปอย่างหนึ่ง คือ พลังจิตของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในอากาศเรียกง่ายๆ คือบารมีของท่านนั่นเอง “ผู้เขียนจึงเรียนถามท่านว่า เราจะดึงพลังงานเหล่านี้มาได้อย่างไร ท่านตอบว่า “ให้ภาวนา พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ” ผู้เขียนได้เรียนถามต่อว่า ภาวนาแล้วมาได้หรือ ท่านตอบว่า “ภาวนาเราใช้อะไรภาวนา ถ้าไม่ใช้จิต การที่เราเอาพระเป็นที่พึ่ง เราพึ่งด้วยอะไร ถ้าไม่ใช่ด้วยจิต จิตที่กล่าวขึ้นด้วยความเลื่อมใสพลังงานหรือพลังจิตของพระ ย่อมเข้ามาได้แน่นอน เพราะเราได้เปิดประตูอัญเชิญด้วยตัวของเราเองแล้วทำไมจะมาไม่ได้”

    หลวงปู่หลุย จันทสาโร วัดถ้ำผาปิ้ง จังหวัดเลย ศิษย์สำคัญองค์หนึ่งของพระอาจารย์มั่น ได้เล่าให้ฟังว่า “หลวงปู่บุญ ชินะวังโสได้พบกับทหารกองหนุนซึ่งมาขอคำปรึกษาเนื่องจากไปเห็นบึงแห่งหนึ่งลักษณะกว้างขวาง แต่เป็นที่แรง ผีหวงห้าม ใครว่ายลงไปเป็นต้องดิ้นตาย แต่เนื่องจากทหารมีความจำเป็นต้องการใช้พื้นที่ในบริเวณนั้นจึงไปหาหลวงปู่บุญท่านบอกว่า เอาได้ให้พาลูกเมียมารับไตรสรณคมน์เพื่อเป็นบุตรของพระพุทธเจ้า ผีทำร้ายไม่ได้เพราะเกรงกลัวลูกกษัตริย์อันใครๆ จะเบียดเบียนไม่ได้ เดี๋ยวถูกตัดศีรษะ เมื่อเขารับแล้วปรากฏว่าไม่เป็นอะไร”

    แสดงให้เห็นถึงอานิสงส์ของการรับไตรสรณคมน์มีอานุภาพถึงเพียงนี้ แล้วถ้าภาวนาอยู่เสมอจะได้อานิสงส์มากเพียงใด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • mixLp.jpg
      mixLp.jpg
      ขนาดไฟล์:
      153.7 KB
      เปิดดู:
      933
  15. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ปฏิบัติธรรมแบบสบาย สบาย

    admin August 10, 2011

    ในแต่ละวันเราย่อมมีอารมณ์มากระทบหลายๆ อย่าง ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติเป็นกิจจะลักษณะหลังจากหมดภารกิจทางโลกแล้ว
    มีหลายท่านปรารภว่านั่งไม่ค่อยดีหรือไม่ค่อยสงบ หลวงพ่อท่านกล่าวว่า “ในเวลากลางวันหรือเวลาใดก็ตามให้พยายามภาวนาไว้เรื่อย ๆ
    ไม่ว่า ยืน เดิน นั่ง นอน ทำได้ตลอดเวลาถ้าเราจะทำ ดีกว่านั่งร้องเพลง จะซักผ้า หุงข้าว ต้มแกง นั่งรถ ทำได้ทั้งนั้น เขาเรียกว่าพยายามเกลี่ยจิตใจให้เข้าที่
    ถ้าจะรอเวลาปฏิบัติทีเดียวมันยาก เพราะจิตมันแตกมาตลอดวัน” บางท่านอาจแย้งว่าเวลาทำงานที่ต้องใช้สมาธิจะภาวนาได้อย่างไร
    จะไม่มีปัญหาถ้าท่านมีสติคือตัวรู้ในการทำงาน
    พอมีเวลาว่างท่านจึงภาวนาก็ได้ การมีสตินี้เป็นสมาธิแบบหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าสมาธิในการใช้งาน หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์
    ท่านเคยบอกกับผู้ที่อ้างว่าไม่มีเวลาปฏิบัติว่า
    “ถ้ามีเวลาหายใจ ก็ต้องมีเวลาภาวนา” เพราะเพียงแต่กำหนดตัวรู้ในการหายใจ ก็ถือว่าทำสมาธิแล้ว



    สำหรับการภาวนาไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตาเพียงอย่างเดียว ขอให้ท่านนักปฏิบัติพึงพิจารณาดูสถานการณ์ว่าควรทำหรือไม่
    อย่างเช่น ในที่ทำงานหรือสถานที่ซึ่งมีผู้คนมากมาย ถ้าท่านนั่งหลับตาอยู่คนเดียวก็ไม่สมควร ผู้ที่ไม่เข้าใจอาจติฉินนินทาได้ เป็นการสร้างบาปให้กับคนอื่น
    เพราะสัปปุริสธรรมของพระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้เพื่อเตือนผู้ปฏิบัติให้เป็นสัตบุรุษ คือรู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักตน รู้จักประมาณ รู้จักกาล รู้จักชุมชน รู้จักคน
    ยกตัวอย่างเช่น ท่านจำเป็นต้องไปอยู่ในวงเหล้า ซึ่งตัวท่านเองไม่ดื่มเลย ในภาวะนี้ถ้าท่านปรารถนาดีต่อพวกคอเหล้าทั้งหลาย โดยท่านแสดงธรรมเกี่ยวกับโทษของการดื่มสุรา
    จะเห็นว่าไม่มีประโยชน์ แต่กลับจะให้โทษเพราะไม่มีผู้ใดเห็นด้วย แทนที่จะเป็นธรรมะ อาจเป็นธรรมเมา หรือบางทีเป็นธรรมมวยขึ้นมาก็ได้



    เมื่อท่านจะนั่งปฏิบัติ สำหรับท่านที่มีภาระอันมากมายมาทั้งวัน เมื่อบูชาพระสมาทานศีลเรียบร้อยแล้วอย่าเพิ่งหลับตา
    เนื่องจากอารมณ์หยาบๆ ของเราที่มีมาทั้งวันจะทำให้เกิดความวุ่นวายในจิตถ้าเรารีบหลับตาทันที ดังนั้นควรมองดูพระพุทธรูป
    หรือพระสงฆ์องค์ใดก็ได้ที่ท่านเคารพนับถือ ทำใจนิ่ง ๆ ไม่ต้องคิดอะไร จากนั้นจึงเริ่มภาวนา เมื่อจิตเริ่มคลายอารมณ์หยาบออก
    จะมีความรู้สึกอยากหลับตาเอง บางครั้งจิตไม่ลงตัว (สงบ) อาจใช้วิธีการของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ราชมานิตย์ วัดเทพศิรินทราวาส
    คือให้สูดลมหายใจแรง ๆ ลึก ๆ หลาย ๆ ครั้ง ด้วยความมีสติเพียงไม่นานจิตจะเข้าที่ได้ง่ายโปรดสังเกตอาการของจิตว่าในวันนี้ เวลานี้ จิตพอใจอะไร
    บางทีอาจต้องการพิจารณาไตรลักษณ์ ความตายหรืออยากสวดมนต์ บางครั้งอยากจะภาวนาเลย ขอให้ท่านทำตามใจเพราะทั้งสามอย่างเป็นของดีทั้งนั้น
    เราหวังผลในการปฏิบัติ คือให้จิตมีงานทำและเป็นงานที่เกิดประโยชน์ หลวงปู่สี พินทสุวัณโณ วัดสะแก ท่านเคยเล่าว่า “บางวันพอจุดธูปแล้ว
    จะตั้งนะโม จิตเกิดรวมเข้าที่เลยนั่งพนมมือไว้อย่างนั้นจนธูปหมด เพราะกลัวจิตจะเคลื่อน บางวันตั้งใจเต็มที่ว่าวันนี้จะนั่งให้ดี เพราะจิตโปร่งเมื่อนั่งแล้วกลับใช้ไม่ได้
    บางวันไม่หวังอะไรคิดว่านั่งคงไม่ดี พอนั่งไม่นานจิตรวมได้ง่าย” จึงขอให้ท่านเข้าใจถึงกิเลส ซึ่งมาหลายรูปแบบ เราต้องอาศัยวิธีการหลายอย่างเข้าแก้ไขจึงสามารถเอาชนะได้
    มิเช่นนั้นนักปฏิบัติจะเกิดความท้อแท้ว่าทำงานแล้วไม่ได้ผล



    ท่านที่เพิ่งเริ่มปฏิบัติจงใช้ความสังเกตตัวเองว่า มีความสามารถเพียงใดเพราะบางท่านทำเกินพอดี เช่น อธิษฐานจะนั่งไม่ต่ำกว่าสามชั่วโมงจึงลุกจากที่
    จิตที่ยังไม่สงบหรือยังไม่คุ้นเคยจะเกิดความลำบาก เนื่องจากสังขารไม่อำนวยแทนที่จะนั่งได้กลับได้นั่ง เพราะต้องต่อสู้กับทุกขเวทนา บางท่านอ้างว่า แม้แต่พระพุทธเจ้
    ายังทรงอธิษฐานว่า ยอมสละชีวิตถ้าไม่สำเร็จโพธิญาณ โปรดอย่าลืมว่าท่านเป็นหน่อพุทธภูมิ บำเพ็ญบารมีมาแล้วสี่อสงไขยกำไรแสนมหากัป ดังนั้นการปฏิบัติขอให้ค่อยเป็นค่อยไป
    อย่าเร่งรัดมากเกินควร เพราะไม่เกิดผลดีเสมือนกับเราจะเทน้ำร้อนจากกา ถ้ารีบอาจหกถูกมือถ้าช้านักหรืออ้อยอิ่งทำให้เสียเวลานาน ตัวเราเองจะรู้ว่าต้องเทอย่างไรจึงจะพอดี ซึ่งนั่นคือทางสายกลาง



    ทางสายกลางนั้น แตกต่างกันตามความสามารถของแต่ละบุคคล ต้องพยายามปฏิบัติกันไปเรื่อย ๆ จนจิตเกิดความคุ้นเคย มีสมรรถนะเพิ่มขึ้น
    ทางพระเรียกว่าบารมีหรือกำลังใจ จิตมีความฉลาด (กุศล) ในทางปฏิบัติหลวงปู่ทวดท่านบอกว่า “คนเราต้องมีสัจจะ และอธิษฐานบารมีถึงจะสำเร็จ”
    ผู้เขียนก็แย้งว่า ปุถุชนอย่างเราจะทำได้หรือ หลวงพ่อท่านตอบว่า “ได้ แต่ต้องดูเค้าตัวเองเสียก่อน” ถ้าเรามีเงินเพียงร้อยบาท แต่กลับใช้เกินเค้าไปถึงพันบาท
    ก็จะขาดทุนเกิดเป็นหนี้สิน และอาจล้มละลายได้ ถ้าเราอยากตั้งสัจจะอะไรก็ตาม เช่น นับจากนี้เป็นเวลา ๑๐ นาที จะไม่ตบยุงท่านพอจะทำได้ไหม
    แต่ถ้าตั้งใจไว้ตลอดชีวิตข้าพเจ้าจะไม่ตบยุง ในขณะที่บารมีเรายังไม่เข้มข้น จะทำได้หรือ ทำให้ศีลที่ตั้งไว้จะต้องขาดแล้วขาดอีก



    ดังนั้น การที่จะอธิษฐานหรือตั้งสัจจะอะไรก็ตามควรดูตัวเอง พิจารณาให้ถี่ถ้วน ทำให้เราสามารถทำอะไรได้โดยไม่ต้องเดือนร้อนวุ่นวายใจ
    และมีกำลังใจที่จะสร้างความดีมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งพระอาจารย์มหาบัว ญานสัมปันโน กล่าวว่า “ทำไปเรื่อย ๆ แต่รามือไม่ได้”



    หลวงพ่อเป้า เขมกาโม วัดถ้ำพรสวรรค์ อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ เคยเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า “ฉันเคยนั่งปฏิบัติอยู่ในถ้ำ
    ได้ยินเสียงแต่ไม่เห็นตัว บอกว่าทำไมไม่ตามหาอารมณ์เดิม ก็เลยนึกขึ้นได้ว่าตอนที่เราไม่นั่งสมาธิไม่ได้กำหนดลมหายใจเราหายใจได้ทั้งวันไม่เหน็ดเหนื่อย
    แต่พอมาปฏิบัตินั่งสมาธิเกิดการเหนื่อยและท้อแท้แสดงว่า เรามีอารมณ์เคร่งเครียดเกินไป เลยไม่เกิดความสงบ พอคิดได้เช่นนี้จึงพยายามตามหาอารมณ์เดิม
    คือ สังเกตดูลมหายใจตามปกติของเราว่า ขนาดไหนค่อย ๆ สังเกตไป ในที่สุดก็จะพบความสุขความสงบจากการปฏิบัติ ขอให้พวกคุณพยายามทำไปเถอะ
    คิดเสียว่าถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง เดี่ยวก็ได้เองแหละ” ถ้าท่านต้องการดูลมหายใจปกติแล้ว ลองสังเกตอาการพองของท้อง จะไม่โป่งมากหรือยุบมากนั้น
    คือลมหายใจธรรมชาติของเรานั่นเอง



    สำหรับการปฏิบัติโดยใช้วิธีของหลวงพ่อดู่ วัดสะแกนั้น ในขณะที่ภาวนาขอให้ท่านพยายามบริกรรมไปเรื่อยๆ โดยมีสติเป็นตัวรู้อยู่
    ไม่ต้องเร่งร้อนทำใจสบาย ๆ ท่านที่มีวาสนาในทางการเห็นจะเกิดอาการปิติ ทำให้มีกำลังใจการปฏิบัติ ในสำนักวัดสะแกหลวงพ่อจะให้กำพระไว้ในมือขวา
    ท่านบอกว่า เป็นเครื่องช่วยในด้านกำลังใจ โดยเฉพาะพวกผู้หญิงมักตกใจง่ายและชอบกลัว แต่เมื่อผู้เขียนวิเคราะห์แล้ว พระที่หลวงพ่อให้กำไว้นั้น
    ผ่านการอธิษฐานจิตจากหลวงพ่อแล้วย่อมมีพลังคุณพระ เมื่อจิตของผู้ปฏิบัติเกิดความเลื่อมใส และภาวนาเป็นสมาธิ จะเกิดอาการปิติได้รวดเร็ว
    พูดง่าย ๆ หลวงพ่อหรือพระท่านช่วย ๕๐% ตัวเราเอง ๕๐% นั่นเอง หลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร วัดท่าซุงบอกว่า “ปิติห่างจากฌานเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด
    ผู้เกิดปิติแล้ว การจะเกิดสมาธิหรือฌานจะง่ายขึ้น”



    ท่านที่มีนิสัยวาสนาในการเห็น จะบังเกิดเป็นแสงสว่างเบื้องหน้า ทั้ง ๆ ที่ท่านหลับตา จงพยายามทำใจให้เป็นปกติ
    อย่าดีใจเพราะสมาธิอาจเคลื่อนได้ แสงสว่างที่เกิดอาจเป็นสีเดียวหรือหลายสีก็ได้ ขอให้ผู้ปฏิบัติมองลงไป หรือกำหนดจุดกึ่งกลางของแสงที่เห็น
    บางท่านกลัวว่าจะไม่ตรงหน้าผากถึงกับย่นคิ้ว ระวังจะเกิดอาการปวดหัวเพราะตั้งใจเกินไป จิตค่อย ๆ บริกรรมภาวนาไปเรื่อย ๆ องค์พระจะบังเกิดปรากฏขึ้น
    ตรงกึ่งกลางแสงสว่างนั้น อาจเป็นพระพุทธเจ้า พระสงฆ์หรือเป็นหลวงปู่ทวด หรือหลวงพ่อดู่ก็ได้



    ขั้นสำคัญต่อไป คือการอธิษฐานให้ตัวเราออกไปข้างหน้าองค์พระ สร้างรูปตัวเองขึ้นใหม่ว่าเรากำลังกราบท่านอยู่ ตอนแรก ๆ อาจจะไม่ชัด
    ภายหลังเมื่อมีความชำนาญก็จะชัดเจนขึ้นเอง บางครั้งเราจำเป็นต้องสร้างมโนภาพเสียก่อน เช่น อธิษฐานไปในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ที่เราจำได้หรือคุ้นเคยอาจเป็น
    วัดพระแก้ว วัดมงคลบพิตร ฯลฯ วิธีการเช่นนี้ เป็นการช่วยจิตไม่ให้ซัดส่ายไปทางอื่น ถือว่าเป็นการให้งานแก่จิตเช่นกัน ตอนแรกอาจเห็นไม่ชัด นานๆ ไปภาพจะปรากฏชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ



    อาจมีผู้โต้แย้ง การสร้างมโนภาพเป็นอุปทาน แล้วจะได้ประโยชน์อะไรเพราะการนั่งปฏิบัติไม่จำเป็นต้องเห็นก็ได้
    มิฉะนั้นจะไปติดนิมิตไม่ผิดกับการตะครุบเงาตนเอง ขอความกรุณาอย่างตีความไปเลยทีเดียวเนื่องจากการเห็นตนเองหรือเห็นนิมิตต่างๆสิ่งสำคัญต้องมีสติ
    พิจารณาเทียบเคียงกับใจของตนเองอยู่เสมอเพื่อไม่ให้ตัวหลงเกิดขึ้นโดยต้องเอาตัวโลภ โกรธ หลง เป็นบรรทัดฐานสำหรับพิจารณาความก้าวหน้าของจิต



    เป็นความจริงที่บางท่านสามารถเห็นนิมิต พูดกับพระได้หรือไปสถานที่ต่าง ๆ ด้วยอำนาจจิตที่เรียกว่ามโนมยิทธิ
    แต่ในที่สุดก็ไปไม่รอด เพราะไม่ได้เอานิมิตมาละนิมิต กล่าวคือ เมื่อท่านสามารถเห็นตนเอง หรือจะเรียกว่าอาทิสมานกาย
    หรือเรียกว่ากายทิพย์ก็ได้ ท่านจะต้องเอากายทิพย์นี้มาพิจารณากายเนื้อให้ละเอียด ตั้งแต่ขน เล็บ ฟัน หนัง ตับไต ไส้ ปอด ฯลฯ
    ที่ทางพระเรียกว่ากายคตานุสติกรรมฐาน จนเห็นเป็นอสุภกรรมฐาน คือสิ่งที่ไม่สวยงามสักแต่เป็นธาตุขันธ์ที่ต้องแตกสลายไป
    จนจิตคลายตัวในการยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย โดยมีตัวจิตหรือผู้รู้เป็นผู้เห็นนิมิตเหล่านั้น



    หลวงปู่หลุย จันทสาโร ศิษย์สายพระอาจารย์มั่นกล่าวว่า “คือการม้างกายหรือแยกกายนั่นเอง” เพราะการเห็นนี้เป็นสิ่งรับรอง
    จึงเรียกว่าใช้ประโยชน์จากนิมิตเป็นไม่หลงสวรรค์ ดั้นนรก ตามแต่จิตจะท่องเที่ยวไปเสมือนกับไปชมสมบัติเศรษฐี แต่ตัวเองไม่ได้เป็นเศรษฐีกับเขาด้วย
    นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการพิจารณานิมิตให้เป็นประโยชน์กับตนเอง เมื่อท่านชำนาญแล้ว สิ่งที่จะติดตามมาคือปัญญาที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของการปฏิบัติธรรม



    โปรดทราบไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้าท่านนั่งปฏิบัติแล้วไม่พบพระ ไม่มีแสงสว่างอย่าได้กังวลกับสิ่งเหล่านี้ เนื่องจากวาสนาของแต่ละคน
    แต่ละท่านแตกต่างกัน มิเช่นนั้นจะเกิดความเป็นทุกข์จากการปฏิบัติธรรม แทนที่จะปฏิบัติให้พ้นทุกข์หรือเห็นธรรม สิ่งที่เราพึงระลึกอยู่เสมอ
    คือ เราจะไม่ปฏิบัติจนเกินพอดี ไม่ดีดลูกคิดรางแก้วเล็งผลเลิศ คิดจะเอากำไรอย่างเดียว ทวงบุญคุณจากการปฏิบัติ สิ่งที่ท่านต้องดำเนินรอย
    ตามพระพุทธเจ้าและพระอริยะทั้งหลาย คือการรักษาศีล ทำสมาธิ และพยายามพิจารณาสภาวะธรรมต่างๆ จนเกิดปัญญาตามโอกาสและเวลาที่เอื้ออำนวยอย่างสม่ำเสมอ
    ท่านก็น่าจะมีวาสนาไม่วันใดก็วันหนึ่งอย่างแน่นอน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กรกฎาคม 2012
  16. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    หลักการปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อดู่ วัดสะแก

    admin August 10, 2011



    คำภาวนาตามแบบของวัดนี้ ใช้คำว่า


    พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ

    ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ

    สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ

    มีความหมายว่า “ข้าพเจ้าขอรับเอาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึก” ซึ่งจะขอขยายความเทียบตามหลักของวิสุทธิมรรคคัมภีร์ที่รจนาโดยสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ดังนี้



    ๑. ฐานของจิต


    การกำหนดฐานของจิต ให้กำหนดไว้ที่หน้าผาก คือ ระหว่างคิ้วทั้งสอง ตามหลักของวัดประดู่ทรงธรรมและของสมเด็จพระสังฆราชสุก ไก่เถื่อน วัดพลับ ถือว่าเป็นฐานที่ ๗ ซึ่งตามหลักท่านวางไว้ถึง ๙ ฐาน โดยฐานต่างๆ เหล่านี้เป็นเสมือนทางผ่านของลมหายใจที่ไปกระทบ เช่นเดียวกับหลักของอานาปานสติ ฐานทั้ง ๙ ฐาน ที่กำหนดไว้มีดังนี้


    ฐานที่ ๑ อยู่ต่ำกว่าสะดือ ๑ นิ้ว

    ฐานที่ ๒ อยู่เหนือสะดือ ๑ นิ้ว

    ฐานที่ ๓ อยู่ที่ทรวงอกหรือที่ตั้งของหทัยวัตถุ

    ฐานที่ ๔ อยู่ที่คอหอยหรือตรงกลางลูกกระเดือก

    ฐานที่ ๕ อยู่ที่ท้ายทอย เรียกว่า โคตรภูญาณ

    (ทางวิทยาศาสตร์ ถือเป็นที่ตั้งของสมองส่วน CEREBELLUM)

    ฐานที่ ๖ อยู่ตรงกลางกระหม่อม

    ฐานที่ ๗ อยู่กึ่งกลางหน้าผาก เรียกว่า อุณาโลม หรือทิพยสูญระหว่างคิ้ว

    ฐานที่ ๘ อยู่ระหว่างตาทั้งสองข้าง

    ฐานที่ ๙ อยู่ปลายจมูก

    หลวงพ่อท่านบอกว่า การที่ให้ตั้งใจไว้ตรงตำแหน่งกลางหน้าผากที่เดียวในเบื้องต้นนั้น
    เพื่อจะได้ไม่ไปพะวงกับลมหายใจซึ่งอาจทำให้จิตใจวอกแวกในขณะที่ปฏิบัติสำหรับผู้เริ่มภาวนาบางราย
    แต่ฐานสำคัญที่ท่านเน้นก็คือ ฐานที่ ๖ (ตรงกลางกระหม่อม) ท่านว่าฐานจริงๆ อยู่ตรงนี้ แต่จะต้องให้มีความชำนาญ
    ในทางสมาธิเสียก่อนจึงค่อยเอาจิตไปตั้งที่ฐานนี้เพราะจะมีกำลังมาก สำหรับที่หน้าผากนั้นถ้าท่านเคยดูภาพยนตร์อินเดีย
    ที่มีพระศิวะ เขาจะเรียกว่าตรีเนตรหรือตาที่ ๓ คือถ้าภาวนาให้ถูกจุดจะทำให้จิตสงบได้ง่ายและมีทิพยจักขุญาณเกิดขึ้น
    วิธีภาวนาคือ ให้ใจเสมือนกับเราคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ในที่นี้ให้นึกถึงจุดเดียวคือคำภาวนาเหมือนกับเราคิดเลขในใจ
    ทำนองนั้น ทำใจเฉยๆ ไม่ต้องคาดคั้น คิดเดาหรืออยากเห็นนั่นเห็นนี่ เพราะเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นนิวรณ์ทั้งสิ้น หน้าที่
    หรืองานของเราในที่นี้คือ ภาวนา ถ้าจะเพิ่มความสงบให้นึกถึงตัวหนังสือไปทีละบรรทัดเป็นการเพิ่มงานให้จิตไม่วอกแวกได้อีกทางหนึ่ง



    ๒. คำภาวนา


    คำภาวนาเพื่อให้เรามีจิตระลึกถึงพระซึ่งมี พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติกรรมฐาน โดยทำใจให้มีความเคารพเลื่อมใสในพระพุทธ
    พระธรรม พระสงฆ์ อันจะเป็นกรรมฐานที่ทำให้ผู้ที่มีศรัทธาจริต หรือมีความเชื่อเข้าถึงธรรมะได้โดยง่าย




    ๓. เครื่องชี้ว่าจิตสงบ

    เมื่อปฏิบัติจนจิตเริ่มสงบแล้ว จะเกิดความสว่างขึ้นที่จิตพร้อมกันนั้นจะมีสิ่งที่เป็นตัวชี้บอกว่าจิตของเราเป็นอย่างไรบ้าง อันได้แก่ปิติต่าง
    ๆ เช่น อาการขนลุก ตัวเบา น้ำตาไหล ร่างกายโยกโคลง รู้สึกเหมือนกายขยายใหญ่เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวชี้ถึงจิตว่า เริ่มจะสงบแล้ว
    ให้ผู้ปฏิบัติวางใจเฉย ๆ อย่าไปยินดีหรือยินร้าย บางท่านที่มีนิสัยวาสนาบารมีทางรู้ทางเห็นภายในอาจจะเกิดองค์พระปรากฏขึ้นจากแสงสว่างเหล่านั้น


    ในเรื่องการเห็นแสงสว่างนี้ บางสำนักท่านว่าอย่าไปสนใจ เอามืดดีกว่าเพราะเดี่ยวจะหลงแต่ตามความเห็นของผู้เขียนนึกถึงคำบาลีที่ว่า
    “นัตถิ ปัญญา สมาอาภา” แสงสว่างเทียบด้วยปัญญาไม่มี ดังนั้น ผู้ที่เห็นแสงสว่างปรากฏขึ้นเป็นนิมิตอันหนึ่ง ซึ่งแสดงให้รู้ประจักษ์อยู่ที่ตัวเราต่างหาก
    ว่าจะใช้แสงสว่างนี้ไปในทางที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะหลวงพ่อท่านบอกว่า การปฏิบัติต้องทำให้รู้ เห็น เป็น และได้ สำหรับในขึ้นต้นนี้ “รู้” หมายถึงให้มีสติรู้อยู่กับคำภาวนา
    เมื่อ “เห็น” อะไร รู้จักกลั่นกรองด้วยสติปัญญา และเมื่อมีความชำนาญแล้วก็จะเป็น “เป็น” นั้นคือเห็นองค์พระได้ทุกครั้ง และสามารถที่จะทำได้เมื่อต้องการทำให้เกิดขึ้น นี่แหละ
    คือ “หลักแห่งอภิญญา”



    ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอยู่ที่เราปฏิบัติทั้งสิ้น ที่เขาบอกว่าหลงแสงสว่างนั้นมันอยู่ในขั้นที่เรียกว่า “วิปัสสนูปกิเลส ๑๖ อย่าง”
    เขาเอาตอนปลายที่จะสำเร็จอรหันต์เข้ามาว่า พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านรู้อาการสำเร็จของท่านโดยอาศัยจากแสงสว่างถึง ๓ ครั้ง
    เป็นสิ่งบอกเหตุ จึงได้รู้ว่าองค์ท่านสำเร็จอรหันต์แล้ว ถ้าเราทำแล้วไปนิ่งอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ถอยจิตมาวงนอกเพื่อรับรู้ ก็จะไม่รู้อะไรเลย
    เหมือนกับเราทำเข้าไปจมอยู่ในบ่อลึก แต่การทำให้รู้ คือทำอยู่แถบขอบบ่อ จะเกิดตัวรู้ ถึงจะเข้าไปในบ่อลึกให้มีสติตามรู้อยู่จึงเป็นของถูกต้อง
    ถ้าทำไปแล้วไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็เหมือนไปตกอยู่ในภวังค์อะไรทำนองนี้ อันนี้ไม่ใช่ของไม่ดี เป็นของดี แต่มันเสียเวลาในการทำให้เกิดปัญญา



    ผู้เขียนเคยมีปัญหาเรียนถามท่านว่า “หลวงพ่อครับผมสังเกตดูผู้ที่ปฏิบัติตามแบบหลวงพ่อ ที่เขาสามารถ
    เอาจิตของเขาออกไปรู้เรื่องราวอะไรมากมาย
    ไปไหว้พระที่วิมานแก้วก็ดี ไปสวรรค์วิมานอะไรก็ตาม สุดท้ายมักจะหลงระเริงไปกับสิ่งที่ตนรู้เห็น ที่ถือว่าเป็นของลึกลับ
    กลับนำเอาวิชาความรู้นี้ไปใช้ในทางที่ผิด
    เช่น ไปดูหมอบ้าง ไปเช็คเรื่องอดีตบ้าง ฯลฯ แล้วก็ไปติดไปยึดกับสิ่งเหล่านี้หนทางก็ตัน ทำให้ตัวเองเป็นคนหลงทางไป
    และจะได้ประโยชน์อะไรกัน” หลวงพ่อบอกว่า
    “มันเรื่องของเขาตนเตือนตนได้ใครก็ไม่ต้องเตือน ตนเตือนตนไม่ได้ ใครเขาจะเตือน เพราะผู้ที่สามารถนั่งเห็นองค์พระได้นั้น
    จิตของเขาในขณะนั้นก็ได้บุญ เมื่อเขาสามารถทำได้ทุกอิริยาบถ เขาก็ได้บุญอยู่เรื่อยๆ พระก็อยู่กับเขาเรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็จะมีแต่การสร้างกุศล
    เพราะเรื่องของการเห็นนั้นเป็นสิ่งรับรองเหมือนกัน เช่น เวลาเราจบของก่อนถวายพระ ถ้าจิตเราดีเราก็จะมีแสงสว่างเกิดขึ้นเนื่องจากความสงบของจิต
    จิตก็จะสบายอิ่มเอิบ แต่ถ้าไม่มีแสงสว่างปรากฏขึ้นให้รู้ก็ขาดสิ่งรับรอง บุญนะได้ ไม่ใช่ไม่ได้ แต่ผลจะผิดกันในเรื่องของกำลังใจ แสงสว่างที่ปรากฏอันนี้ก็เหมือนตัวปัญญาที่มีอยู่
    แสดงให้เห็นประจักษ์ทำปฏิบัติน่ะทำได้ นะโมพุทธายะ ใครเชื่อพระไม่ใช่คน แกว่าจริงไหม? คนที่เชื่อพระก็เป็นพระไปแล้ว อย่างหลวงพ่อเกษม หรือพระอรหันต์ไงล่ะ ท่านเชื่อพระ แกเชื่อพระหรือยัง ข้าว่าแกยังไม่เชื่อถึงร้อยเปอร์เซ็นต์”



    ผู้เขียนเรียนตอบท่านว่า “ผมก็เชื่อนะครับหลวงพ่อ” คำตอบของผู้เขียนก็ตอบแบบโง่ ๆ คือคนละความหมายกับท่าน
    ท่านจึงบอกด้วยความเมตตาว่า “ผู้ที่เชื่อพระจริง ๆ ร้อยเปอร์เซ็นก็มีแต่พระอรหันต์ ที่ยังเชื่อไม่จริงน่ะยังไม่ใช่ ท่านเชื่อเสียเกินเชื่อแล้ว”



    เมื่อผู้เขียนมาตีความของหลวงพ่อในภายหลัง “เชื่อ” ในที่นี้ คือ ผู้ที่ศรัทธาและมีปัญญาจริง ๆ
    จนเล็งเห็นความแน่นอนของสิ่งทั้งหลายในโลก ซึ่งหลวงพ่อท่านบอกว่า “เมื่อภาวนาไปถึงจุด ๆ หนึ่งแล้ว
    ถ้ามีคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้นเขาเรียกว่า ไตรลักษณญาณเกิดขึ้นแล้ว นั่นแหละกำลังจะดี เป็นของดีอะไรๆ
    ก็ไม่พ้นสามอย่างนี้แหละแกเอ๋ย เรื่องของโลกให้มันดีเด็ดเผ็ดมันอย่างไรก็แค่นั้นแหละ สู้ทางธรรมะไม่ได้หรอก ปฏิบัติไปเถอะ”
    ผู้เขียนจึงสรุปกับหลวงพ่อว่า “ถ้าอย่างนั้นจะพูดได้ไหมว่า ไตรรัตน์ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ปฏิบัติตามท่านจนในที่สุดก็เป็น
    ไตรลักษณ์ และเมื่อเห็นจริงแล้วก็เป็น ไตรรัตน์ คือ เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใช่ไหมครับ” หลวงพ่อท่านยิ้มรับ



    หลวงพ่อเป็นพระสงฆ์ที่ควรแก่การเคารพ คือท่านจะไม่ตำหนิใครตรงๆ
    แต่ถ้าผู้ที่มีปัญญาแล้วต้องพยายามคิดตามคำพูดของท่านอยู่เสมอ จะเห็นเป็นสัจจธรรมทำให้ได้ปัญญา
    อย่างเช่นที่ผู้เขียนเรียนถามท่านเรื่องผู้ปฏิบัติผิดทาง ท่านกลับไม่ตอบ แต่ให้แง่คิดกับเรา คือ ให้พยายามทำตนเอง
    เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปัจจัตตัง คือเป็นเรื่องเฉพาะตนเท่านั้น เพราะทุกคนสร้างกรรมของตนเอง ท่านเคยพูดว่า
    “พระอรหันต์น่ะท่านรู้ที่มาที่ไปของแต่ละคน ว่ามาจากไหนและจะไปไหน แต่ท่านไม่พูดหรอก เป็นกรรมของแต่ละบุคคล
    ท่านไม่แก้กรรมให้ใครทั้งนั้นแหละ ผู้ที่จะแก้ได้คือ พระพุทธเจ้า”



    และมีข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องปฏิบัตินี้ คือในวันหนึ่งมีคนมาทำบุญกันมากท่านก็ปรารถขึ้นว่า
    “เออ… ปฏิบัติแล้วระวังให้ดี ระวังจะตีกลับ” ก็มีลูกศิษย์คนหนึ่งสวนคำพูดของท่านขึ้นมาทันทีว่า
    “ตีกลับอย่างไร” ท่านเลยพูดว่า “ผู้ที่ปฏิบัติรู้เห็นอะไรก็ตาม พยายามทำให้ดีไว้ ทำในสิ่งที่เป็นเรื่องเป็นราว
    อย่านอกลู่นอกทาง เดี๋ยวจะตีกลับคือจะไม่ได้อะไร แล้วมันจะไม่เห็นอีก ที่ข้าพูดนี่ข้าไม่ได้ว่าใคร
    ข้าหมายถึงแกนั่นแหละ เพราะแกทำเห็นดีกว่าคนอื่นๆ หลายคน แต่ถ้าทำไม่ดีแล้วจะไม่เห็นอีก”
    เมื่อมีคนที่เขาอยู่ในเหตุการณ์มาเล่าให้ผู้เขียนฟัง ผู้เขียนก็เลยเข้าใจถึงความปรารถนาดีอันแท้จริงของหลวงพ่อที่มีต่อลูกศิษย์
    ถ้าลูกศิษย์ท่านนั้นเข้าใจถึงความหวังดีเสมือนกับหลวงพ่อท่านต้องการจะปราบกิเลสไม่ให้หลง แต่ถ้าไม่เข้าใจถึงเจตนาดีของท่าน
    จะคิดว่าท่านกำลังด่าตนเองอยู่ ทำให้รู้สึกเสียหน้าพาลโกรธท่าน แทนที่จะได้บุญกลับเป็นการสร้างบาปให้ตนเองอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์
    ตรงนี้เป็นสาเหตุที่นำเรื่องหลงนิมิตมาลงไว้ให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณาพอเป็นอุทาหรณ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กรกฎาคม 2012
  17. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    การสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาตามหลักพระพุทธศาสนา

    admin August 12, 2011






    ผู้เขียนเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงได้รับการพยากรณ์มาแล้ว ไม่ว่าจากหมอดูหมอเดา ดูกันเล่น ๆหรือดูกันจริง ๆ
    บางคนก็เชื่อจนกระทั่งยึดหมอเป็นสรณะ ต้องขอคำปรึกษาไม่ว่ากรณีใด ๆ จนหมอดูได้รับเกียรติเป็นผู้ชี้ชะตา เพราะสามารถรู้ลิขิตฟ้าในแต่ละบุคคล
    เขาว่ากันว่าแม้แต่นางอินธิรา คานธี นายกรัฐมนตรีอินเดียยังต้องมีที่ปรึกษากิตติมศักดิ์เหล่านี้ สำหรับประเทศไทยเมื่อครั้งจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์
    จะทำการปฏิวัติต้องขอฤกษ์การปฏิวัติ ดังนั้นนักการเมืองก็คงจะดำเนินรอยตามเหมือนกันไม่มากก็น้อย




    ศาสนาพุทธและพราหมณ์ เกี่ยวข้องเกี่ยวพันจนแทบจะแยกไม่ออก พิธีกรรมต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นมากมายตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย
    สิ่งเหล่านี้เมื่อมีผู้นิยมมากในสังคมในที่สุดก็จะกลายเป็นประเพณีและวัฒนธรรมได้เช่นเดียวกัน



    ความยาวนานของประวัติศาสตร์ชาติไทย ทำให้เกิดการผสมผสานกลมกลืนของวัฒนธรรมจากชาติต่างๆกลายเป็นเอกลักษณ์ของไทยได้
    เช่น คนจีนสมัยก่อนจะไหว้ในเทศกาลต่างๆเป็นการไหว้จริงๆ แต่ปัจจุบันแม้จะมีการไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษแล้ว ยังมีการถวายทานทำบุญกับพระสงฆ์อีกด้วย



    หมอดูไม่ว่าชาติไหน ๆ ก็ตาม ย่อมต้องอาศัยประสบการณ์ที่ได้รับสืบทอดโดยใช้ข้อมูลจากคนหลาย ๆ พันคน
    จนมาตั้งเป็นทฤษฎีเสมือนกับเป็นสูตรสำเร็จ เช่น การทำนายฝัน การดูลักษณะโหงวเฮ้ง ฯลฯ ผู้ที่มาศึกษาวิชาการเหล่านี้
    จึงต้องหัดรู้ จำ ทำนายทายทัก ซึ่งถ้าว่าไปแล้วเหมือนหลักเศรษฐศาสตร์ มีการคำนวณหาค่าความเป็นไปได้ แนวโน้มของการเปลี่ยนแปลง
    จะให้ถูกต้อง ร้อยเปอร์เซ็นต์คงเป็นไปได้ยาก บางคนถึงกับกล่าวว่า เวลาดูว่ามีเคราะห์แม่นจัง แต่พอดูว่ามีโชคกลับดูไม่ค่อยถูก



    ตามหลักโหราศาสตร์มีการดึงเอาดวงดาวเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อกำหนดชะตาชีวิตคนตามลักษณะการโคจรของดาว
    นักพยากรณ์เหล่านี้จะลงดวงชะตาลงบนวงกลมเสมือนโลกซึ่งกำลังหมุนรอบตัวเอง จึงมีดาวพระเคราะห์ต่าง ๆ ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามามีผลแก่ชะตากำเนิด
    เช่น พระศุกร์เสวยอายุ ๒๑ ปี ดาวพระศุกร์เป็นของดีชะตาของคนนั้นย่อมดี แต่ขณะเดียวกันย่อมมีตัวแปรที่มีผลต่อดาวพระศุกร์
    คือดาวเคราะห์อีกหลาย ๆ ดวงซึ่งเรียกว่า ดาวที่เข้าแทรกตามระยะต่าง ๆ ถ้าเป็นพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกมักจะมีเหตุการณ์ไม่ดี
    เพราะดาวทั้งสองตามตำนานของกรีกและโรมันถือว่าเป็นเทพเจ้าที่ไม่ ถูกกัน



    จากสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้มีการยึดถือกันมาช้านาน รวมทั้งการหาวิธีการที่จะบรรเทาสิ่งร้ายให้หมดไปเพราะนักพยากรณ์ทั้งหลายจะบอกว่า
    แม้พระจันทร์ยังมีผลต่อน้ำขึ้น-น้ำลง แล้วคนอย่างเราจะหนีรอดไปได้หรือ เพราะเราก็คือโลกและเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในโลก ทางพราหมณ์ซึ่งถือพระพรหมเป็นใหญ่
    สรุปว่าโชคชะตาของคนในโลกขึ้นอยู่กับพระพรหมหรือที่เรียกว่า พรหมลิขิต ทางจีนบอกว่าเป็นลิขิตของฟ้า วิธีการเสริมชะตาจึงบังเกิดขึ้นเรียกว่า การสะเดาะเคราะห์
    ซึ่งมีหลายอย่างตามประเพณีนิยมแต่ละท้องถิ่น เช่น การทำพิธีสืบชะตาทางภาคเหนือ การทำบายศรีสู่ขวัญของชาวอีสาน เป็นต้น



    ในทางพระพุทธศาสนา มีการสะเดาะเคราะห์โดยพระสงฆ์ อาจเป็นการรดน้ำมนต์ การทำสังฆทานการปล่อยนกปล่อยปลา
    ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มกำลังใจ เมื่อใจสบายก็เกิดบุญทำให้คลายทุกข์ได้เหมือนกัน หลักของพระพุทธศาสนาสอนให้เชื่อเรื่องของกรรม
    ซึ่งเรียกว่า กรรมลิขิต กรรมแปลว่าการกระทำ การทำดีทำชั่วย่อมบังเกิดผลกรรมที่เราทำขึ้น จากจุดนี้คือหัวใจของศาสนา และเป็นสิ่งที่ผู้เขียน
    ต้องการเน้นให้เห็นความสำคัญถึงวิธีสะเดาะเคราะห์ที่ถูกต้อง ตามหลักของธรรมชาติแรงกิริยาจะมีผลออกมาเป็นแรงปฏิกิริยา ดังนั้นถ้าแรงกิริยาดี ผลที่ออกมาย่อมดีด้วย (Action = ReAction)



    ถ้าท่านผู้ใดได้รับการพยากรณ์ว่าดวงไม่ดี อย่าเพิ่งตกใจเสียขวัญ ไม่ต้องเสียเงินทองมากมาย เพื่อไปประกอบพิธีการต่าง ๆ
    เพราะถ้าคนไม่มีเงินมากพอจะทำอย่างไร ท่านที่มีเงินทองมากจะทำอะไรก็ได้ เพื่อให้เกิดความสบายใจ แต่สิ่งที่จะชี้แนะต่อไปนี้ เป็นวิธีการทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น



    หลักของพระพุทธศาสนาสอนให้เชื่อเรื่องของกรรม ซึ่งเรียกว่า กรรมลิขิต

    ๑. การถวายทาน เป็นการลดความเห็นแก่ตัว เช่น การทำบุญตักบาตร จิตใจที่วุ่นวายจะเกิดความสุข

    ๒. รักษาศีล เพื่อป้องกันจิตไม่ให้สร้างกรรมที่ไม่ดี เพียงศีล ๕ ข้อก็เพียงพอแล้ว ท่านจะได้รับอานิสงส์ของศีลตามที่พระเทศน์ว่า สีเลนะ สุคติยังติ ศีลทำให้เกิดความสุข สีเลนะโภคะ สัมปทา (ศีลทำให้เกิดโภคทรัพย์และอริยทรัพย์) สีเลนะ นิพพุตติง ยังติ ตัสมา สีลัง วิโสทะเย ศีลทำให้พ้นทุกข์ (นิพพาน)

    ๓. ปฏิบัติภาวนา คือทำใจให้สงบ โดยอาศัยคำภาวนาอะไรก็ได้ เมื่อจิตสงบเยือกเย็น ความทุกข์จะได้ไม่กัดกินใจ มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับอุปสรรคเบื้องหน้า



    ทั้ง ๓ อย่างนี้ ขอให้ตั้งใจอธิษฐานให้ดีว่า เราจะทำกี่วันอย่าให้ขาด เพื่อเป็นการสร้างสัจจะบารมี แล้วลองสังเกตสิ่งที่เราทำขึ้นว่ามีผลต่อจิตใจอย่างไร
    และทุกครั้งที่ทำความดี อย่าลืมอุทิศกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรเทวดาที่รักษาตัวเราอยู่จะเห็นผลได้รวดเร็วที่สุด ผู้เขียนเชื่อแน่เหลือเกินว่าถ้าท่านทำตามนี้
    ในที่สุดท่านจะรู้สึกเป็นการทำตามปกติ เนื่องจากสิ่งที่ท่านทำขึ้นเป็นการสร้างบารมีให้กับตนเองและเป็นปัจจัยเสริมให้ท่านทำดียิ่ง ๆ ขึ้นไป จนกระทั่งเข้าสู่ความเป็นอริยเจ้า
    ซึ่งท่านเหล่านี้ไม่ขึ้นกับพรหมลิขิตอีกต่อไป จงนึกเสมอ ๆ ว่า “ถ้าวินาทีนี้ (ปัจจุบัน) เรามีสุข วินาทีหน้า (อนาคต) เราต้องมีสุขอย่างแน่นอน”



    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล พระอริยสงฆ์แห่งจังหวัดสุรินทร์ ท่านได้แสดงธรรมไว้ในเรื่อง “จิตคือพุทธะ” โดยกล่าวถึงเรื่องของจิตใจว่า จิตเดิมแท้จริง ๆ
    คือความว่างปราศจากความคิดปรุงแต่งทั้งปวง ลองกลั้นลมหายใจของตัวเอง จะสามารถอนุมานได้ว่าความว่างของจิตเป็นอย่างไร เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าใจ
    ทำให้ผู้เขียนนึกถึงคนโบราณที่ท่านกำหนดว่าต้องกลั้นลมหายใจเพื่อบริกรรมคาถา คงต้องมี กุศโลบายที่จะให้จิตหยุดนิ่ง
    โดยเทียบเคียงกับลักษณะของฌาณ ๔ ซึ่งไม่มีลมหายใจ แต่ความจริงแล้วลมหายใจละเอียดมากจนเหมือนกับไม่มี หรือคงหวังให้จิตที่ฟุ้งซ่านเข้าไปสู่ความว่าง
    หรือความนิ่งก็ได้ การบริกรรมคาถาจึงมีพลังมาก เพราะจิตเป็นสมาธิ



    นอกจากนี้ หลวงปู่ดูลย์ ยังอธิบายรูปร่างของจิตว่า เป็นรูปปรมาณูกลมหมุนรอบได้ด้วยตัวเอง โดยอำนาจของความโลภ โกรธ หลง
    ผู้เขียนจึงจับจุดที่หลวงปู่กล่าวไว้สรุปได้ว่า “จิตก็คือโลก และโลกก็คือจิต” เพราะมีลักษณะการหมุนไม่อยู่นิ่ง คนเราถ้ามีผู้จับให้ตัวเราหมุนอยู่ตลอดเวลา
    การมองเห็นสิ่งรอบตัวย่อมไม่ชัดเจน แต่เมื่อหยุดหมุนเมื่อใดย่อมมองเห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น หลวงปู่ดู่ จึงย้ำนัก ย้ำหนาให้ลูกศิษย์ปฏิบัติเพื่อหยุดยั้งกระแสของโลกที่เชี่ยวกราก
    แม้เพียงขณะหนึ่งที่เรียกว่า “แค่ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ก็ยังดีกว่าผู้ที่ไม่เคยสัมผัสเลย” ดังพระพุทธพจน์ที่กล่าวไว้ว่า “สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี” จึงเป็นพระดำรัสของมหาปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ของโลกทั้งสาม



    โลกที่หมุนรอบตัวเอง และมีการโคจรรอบสุริยจักรวาล ต้องมีแรงกระทบจากสิ่งต่าง ๆรอบตัวและจากตัวของมันเองฉันใด การไม่หยุดนิ่งของจิตก็เป็นฉันนั้นเช่นกัน หลวงปู่เทสก์ พระอริยสงฆ์สายพระอาจารย์มั่นจึงสอนว่า เรื่องของเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้เกิดวิบากกรรม ผู้ที่จะแก้ไขหรือป้องกันได้ดีทีสุดคือตัวของเจ้าเอง เข้าหลักที่ว่า “กัมมังสัตเต วิภัชชะติ กรรมคือสิ่งจำแนกสัตว์”



    ดังนั้น สิ่งที่เป็นหัวใจของการปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือการทำสมาธิดังได้กล่าวมาแล้วนั้นจึงเป็นการสะเดาะเคราะห์ให้กับตัวเอง และยังเป็นการสร้างบุญบารมีให้กับตนเองอีกด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กรกฎาคม 2012
  18. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    เตรียมตัวรับการเปลี่ยนแปลงของจักรวาล (12-30 พ.ค. 55)

    admin May 11, 2012

    ตามหลักความรู้ทางโหราศาสตร์ โดยปกติพระอาทิตย์จะทำการย้ายจากราศีหนึ่งไปสู่อีกราศีหนึ่งเป็นประจำทุกเดือน
    ตัวอย่างเช่น พระอาทิตย์ย้ายจากกลุ่มดาวราศีเมษไปสู่กลุ่มดาวราศีพฤษภ ซึ่งเป็นราศีถัดไปนั่นเอง ซึ่งในกรณีนี้จะขอเรียกว่าเป็นการย้ายราศีของพระอาทิตย์บนโลก

    หลายท่านอาจจะไม่ทราบว่า จริงๆ แล้ว เมื่อมองในภาพของจักรวาล พระอาทิตย์ก็จะต้องมีการย้ายราศีเช่นเดียวกัน
    แตกต่างกันที่ในภาพของจักรวาล พระอาทิตย์จะทำการย้ายราศีทุกๆ 2,160 ปี
    ซึ่งการย้ายราศีของจักรวาลนั้นจะวิ่งสวนทางกับการย้ายราศีบนโลก กล่าวคือ เดิมพระอาทิตย์ของจักรวาลได้สถิตย์อยู่ที่ราศีมีน
    และได้เริ่มทำการย้ายเข้าราศีกุมภ์ตั้งแต่ปี 2540 จนเข้ามาสถิตย์ในราศีกุมภ์เต็มที่เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2555 ที่ผ่านมา
    จึงเรียกได้อีกนัยหนึ่งว่า วันที่ 21 เม.ย. 2555 คือวันสิ้นปีของจักรวาล สิ้นสุดราศีมีน และเริ่มต้นเข้าราศีกุมภ์ในลำดับถัดไป

    เมื่อราศีของพระอาทิตย์ในจักรวาลได้ทำการย้ายราศี จึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อทั้งระบบจักรวาล
    แต่จะขอสรุปผลกระทบที่เกิดขึ้นกับโลกและระบบกาแลคซี่ของเราง่ายๆ ดังนี้

    1. ผลกระทบต่อดวงอาทิตย์
    กล่าวง่ายๆ ว่า เหมือนเป็นการเริ่มต้นระบบใหม่ (reset) ของดวงอาทิตย์ ถ้าเปรียบดวงอาทิตย์เหมือนแบตเตอรี่รถยนต์ที่ถูกใช้ไปเรื่อยๆ
    จากเดิมที่ใช้พลังงานได้เต็มที่ 100% ก็จะค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ ตามระยะเวลาของการใช้งาน
    การเริ่มต้นระบบใหม่นี้ก็เป็นเหมือนกับการที่เราทำการประจุไฟให้แบตเตอรี่ใหม่ ซึ่งจะต้องมีการล้างเอาสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ
    ออกไปจนหมด เมื่อนั้นพลังงานแบตเตอรี่จึงจะกลับมาใช้งานได้เต็มที่ 100% อีกครั้ง

    กล่าวได้ว่าปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับดวงอาทิตย์ในช่วงที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าจะเป็นการระเบิดของดวงอาทิตย์ที่มีมากขึ้นกว่าเดิม
    ซึ่งส่งผลให้เกิดพายุสุริยะในระดับปานกลางจนถึงขั้นรุนแรงหลายครั้ง (มีการสนับสนุนแนวคิดที่ว่าพายุสุริยะมีผลโดยตรงต่อการเกิดภัยพิบัติต่างๆ ของโลก
    ไม่ว่าจะเป็นสภาวะอากาศแปรปรวน หรือแผ่นดินไหว โดยนักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซ่า ดร.ก้องภพ อยู่เย็น) ก็คือการเคลียร์สิ่งต่างๆ
    ของดวงอาทิตย์ เพื่อเตรียมที่จะกลับมามีพลัง 100% ตามที่ยกตัวอย่างเทียบเคียงกับแบตเตอรี่
    เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของดวงอาทิตย์เช่นกัน ซึ่งจะกินเวลาไปจนถึงปี 2560 จึงจะเข้าสู่สภาวะปกติ

    2. ผลกระทบต่อโลก และดวงดาวต่างๆ ในระบบกาแลคซี่ทางช้างเผือก
    จากการที่พระอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลางของกาแลคซี่ทางช้างเผือก เมื่อพระอาทิตย์มีการเปลี่ยนแปลง จึงส่งผลให้สิ่งต่างๆ
    ในระบบต้องเปลี่ยนแปลงตามเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ด้วย

    ในส่วนของโลกนั้น แกนโลกและสนามแม่เหล็กโลกจึงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ดังข้อมูลที่มีการกล่าวว่า
    แกนโลกมีการเอียงไปจากเดิม จึงทำให้เกิดภาวะฤดูกาลผิดเพี้ยน รวมไปถึงน้ำแข็งขั้วโลกละลายมากขึ้น

    3. ผลกระทบต่อมนุษย์บนโลก
    ไม่เว้นแม้กระทั่งมนุษย์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ บนโลก ที่จะต้องได้รับผลกระทบด้วย ซึ่งเป็นธรรมชาติที่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่
    ก็จะต้องมีการล้างระบบ เพื่อเปลี่ยนแปลงทุกอย่างใหม่ ล้างสิ่งที่ไม่ดี เพื่อเตรียมสร้างสิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้น จะมีโรคระบาดแปลกๆ
    ที่ยาแผนปัจจุบันรักษาไม่ได้ รวมไปถึงภัยธรรมชาติต่างๆ ที่มีมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อทำการเริ่มต้นระบบใหม่ (reset) เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์

    ดังนั้นมนุษย์เราจึงจำเป็นที่จะต้องมีการเตรียมจิต เตรียมใจ ปรับธาตุขันธ์ของเราเพื่อให้พร้อมรับหรือเข้ากันได้กับพลังงานใหม่
    และการรับรู้ของคลื่นพลังงานที่จะต้องไปกับโลกยุคใหม่ ซึ่งจะต้องมีการรีเซ็ทระบบใหม่ทั้งหมดเช่นกัน

    นอกเหนือจากข้อมูลข้างต้นที่กล่าวมาแล้ว ในสายของพระอาจารย์หลายท่าน ก็มีการแจ้งข่าวให้คณะศิษย์ในสายของตน เตรียมตัว
    เตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เช่นกัน อาทิเช่น


    1. พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เจ้าอาวาสวัดดอยเกิ้ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน

    “พระอาจารย์รัตน์ห่วงเรื่อง จุดดับจากดวงอาทิตย์
    ถ้ามีจุดดับใหญ่ เกิน 7 จุด และจุดดับที่ประกอบด้วยรังสีแกมม่า จะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง พอมีการระเบิดจากดวงอาทิตย์
    แล้วรังสีนี้พุ่งมายังโลก จะเกิดพลังงานดึงดูด ทำให้โลกดึงพลังงานนี้ลงไปยังศูนย์กลาง ใจกลางโลก ลมจะถูกดึงลงไปใจกลางโลก

    อย่างกรณีที่ผ่านมา ที่ฝนตกหนักที่เมืองไทย มีการระเบิดและมีการดึงลมและความเย็นจากฟ้าลงมาอย่างฉับพลันและจำนวนมาก
    ทำให้เกิดฝนจำนวนมาก นอกไปจากนี้พระอาจารย์ยังเกรงว่า

    ถ้ามีการดึงลมและพลังงานต่างๆ ลงไปใจกลางโลก พลังงานจะไปกระแทกแผ่นเปลือกหินที่อยู่ใต้แผ่นโลก
    จะทำให้แผ่นหินขยับตัวขนานใหญ่ อาจจะทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ได้

    นอกจากนี้รังสีแกมม่านี้ ยังอันตรายต่อมนุษย์มาก กรณีที่สัมผัสกับผิวหนังของมนุษย์ รังสีนี้จะไปทำปฏิกิริยากับกรดอะมิโน (พวกโปรตีน)
    โดยเฉพาะโปรตีนที่ถูกสร้างมาจากเนื้อสัตว์ (คนที่บริโภคเนื้อสัตว์) แต่ถ้าเป็นโปรตีนที่สร้างมาจากพื้นจะไม่เป็นอะไร
    เมื่อโปรตีนนี้ทำปฏิกิริยาเซลล์มนุษย์ตรงนั้นก็จะเสีย จะทำให้เซลล์เกิดเป็น สีม่วง และเน่าไปในที่สุด”
    (แจ้งข่าวโดยคุณ Falkman ที่มา : เวบพลังจิต)



    2. หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ วัดเพชรบุรี สุสานทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์

    “หลวงปู่เมตตาเตือนภัยพิบัติเรื่อง
    1. น้ำท่วม
    2. โรคปากแห้ง (อดอยาก ขาดแคลนข้าวปลาอาหาร ปล้นฆ่ากัน)
    3. โรคระบาดที่มาทางอากาศ เกี่ยวกับทางเดินหายใจ

    หลวงปู่เมตตาบอกว่าให้ถือ ศีลห้า ให้ได้ แล้วทุกคนที่ถือได้ จะมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยจากภัยพิบัติ
    เพราะว่าไม่มียาชนิดใดรักษาได้

    สำหรับเรื่องที่หลวงปู่เมตตาเตือนนั้นท่านเตือนตั้งแต่กลางปี 2553 แล้วว่าประมาณต้นปี 2554 จะเกิดการนองเลือด
    และตอนปลายปีจะเกิดน้ำท่วมกรุงเทพ (เกิดแล้ว ซึ่งครั้งนี้แค่มาเตือนยังมีครั้งใหญ่ที่จะตามมาอีก ซึ่งถ้าเกิดครั้งนี้ก็คงอยู่ไม่ได้แล้วต้องหนีอย่างเดียว
    น้ำจะท่วมกรุงเทพสูง 5 เมตร และน้ำจะไม่ลดเลย) และเมื่อประมาณกลางปี 2554 หลวงปู่ยังเมตตาเตือนอีกว่าซื้อเรือรึยัง (หลังจากนั้นไม่กี่เดือนน้ำก็เริ่มท่วมเลย)

    และเมื่อตอนปลายปี 2554 หลังจากที่น้ำเริ่มลดแล้วหลวงปู่เมตตาเตือนอีกว่าของกินของใช้ที่เก็บไว้อย่าพึ่งเลิกเก็บ
    เพราะว่าเดี๋ยวจะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่อีก และล่าสุดที่ท่านเตือนอยู่ทุกวันคือให้ลูกศิษย์ตัดผมให้สั้นทั้งชายและหญิง”

    (สรุปใจความและแจ้งข่าวโดยลูกศิษย์หลวงปู่หงษ์ ชมคลิปต้นฉบับได้จากลิงค์ [ame=http://www.youtube.com/watch?v=2fLGBg8-bi4&feature=player_embedded]หลวงปู่หงษ์ เมตตาเตือนภัยพิบัติ - YouTube[/ame])



    วันที่ 21 พ.ค. 2555 เป็นวันที่สำคัญมากวันหนึ่ง เนื่องจากมีปรากฏการณ์สุริยคราส หรือที่เรียกกันว่า สุริยุปราคา
    ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อจักรวาลและโลกของเรา เนื่องจากการเกิดสุริยคราสไปตรงกับการเปลี่ยนแปลงของจักรวาลพอดี
    จึงส่งผลให้ดวงอาทิตย์มีการ reset มากเป็นพิเศษ

    นอกเหนือจากนี้ ในทางโหราศาสตร์ การเกิดคราสยังหมายความถึง จุดดับ จุดบัง ถ้าท่านใดที่ชะตาอยู่ในช่วงนี้จะมีปัญหา
    จะได้รับผลกระทบ ซึ่งเรียกกันว่า ”ถูกคราส” อีกทั้งเลข 21 ยังหมายถึงจักรวาล ซึ่งเมื่อถอดความตามตัวเลขแล้ว อาจหมายถึง
    “จักรวาลกำลังมีปัญหาหรือความแปรปรวน”

    จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด อาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์จึงให้คณะศิษย์อย่าได้ประมาท ให้เตรียมตัว
    เตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของจักรวาลที่เกิดขึ้นในช่วงดังกล่าว และเตรียมรับพลังจากการเกิดสุริยคราสในวันที่ 21 พ.ค. 2555
    ซึ่งตามศาสตร์โบราณ จะทำการบวกลบเอาจากวันที่เกิดไปอีก 7 วัน เมื่อนับว่าวันที่ 21 พ.ค. คือวันที่มีพลังงานรุนแรงที่สุด (Peak)
    และพลังจะลดลงมาเป็นลำดับในวันก่อนและหลังจากวันนั้นอีก 7 วัน จึงจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ (Normal)

    หากเป็นไปได้ให้เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 -30 พ.ค. 2555 แต่หากจะนับเอาวันที่โลกรับเอาพลังงานสูงสุดจากจักรวาลอย่างเต็มที่นั้นจะเป็นวันที่ 12-23 พ.ค. 25551
    นับรวมแล้วเป็นจำนวนทั้งสิ้น 12 วัน ซึ่งเลข 12 นั้นมีความหมายถึง “จักรวาล”
    แต่หากติดภารกิจ หรือไม่สะดวกปฏิบัติตามจริงๆ วันที่สำคัญที่สุด
    และควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดคือวันที่ 20-22 พ.ค. 2555 ซึ่งถือเป็นช่วงใจกลางคราสและเป็นจุดรวมพลังที่สำคัญมาก ดังนี้

    1. ให้ทานอาหารมังสวิรัติ หากเป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยงหรืองดของที่มีน้ำมันหรือเนื้อสัตว์
    เพราะเป็นของแสลง เนื่องจากเนื้อสัตว์มีโปรตีน ซึ่งรังสีจากนอกโลกจะไปทำปฏิกิริยาต่อเซลล์
    และเกิดผลเสียต่อร่างกาย (ตามคำกล่าวของพระอาจารย์รัตน์)

    สำหรับน้ำมันนั้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันจากสัตว์ หรือน้ำมันพืช อาจจะเกิดการหืน (rancidity)
    ซึ่งทำให้เกิดสารตัวนึงที่ชื่อ peroxide และทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นโทษต่อร่างกาย

    หากมีความจำเป็นที่จะต้องทานเนื้อสัตว์ สามารถทานเนื้อปลา และกุ้งแทนได้ นอกจากนี้หากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้น้ำมันในการปรุงอาหาร
    ขอให้เลือกใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันงาแทน

    2. ให้รักษาศีลอย่างน้อยคือศีล 5 โดยศีลข้อ 3 ให้เปลี่ยนจาก “กาเมสุมิจฉาจารา ฯ” เป็น “อพรหมจริยา ฯ”

    การรักษาศีล จะเป็นการทำให้สนามแม่เหล็กในตัวเราเกิดรัศมีหรือเกราะคุ้มกัน ซึ่งส่งผลให้สนามแม่เหล็กในตัวเราเกิดความเข้มแข็ง
    ป้องกันไม่ให้รังสีอันอาจจะเกิดขึ้นจากภายนอกเข้ามาทำอันตรายได้ เราจึงจำเป็นต้องเสริมภูมิคุ้มกันของเราด้วยตนเอง
    ดังที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ก็นี่แหละ เพราะกระแสแม่เหล็กในตัวเรานั้น ถ้ามีสภาพที่ดี แข็งแกร่ง พลังปรานก็จะดีด้วย

    3. ท่านที่เกิดในวันที่ 15 – 27 พ.ค. ถือว่าอยู่ในช่วงวันที่มีพลังงานรุนแรงมาก จึงควรถือศีล 8 ควบคู่ไปกับการทานอาหารข้างต้น
    และถ้าเป็นไปได้ควรเว้นไม่ออกจากบ้านในวันที่ 20 – 22 พ.ค. 25552 หากมีความจำเป็นที่จะต้องเดินทาง ขอให้กลับเข้าที่พักก่อนอาทิตย์ตกดิน
    เพราะผู้ที่เกิดในช่วงเวลาดังกล่าวถือว่าได้รับอิทธิพลจากคราสเท่ากันกับท่านที่เกิดวันที่ 21 พ.ค. ซึ่งเป็นวันที่เกิดสุริยคราสพอดี ถือเป็นวันแรง จะได้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลาย

    ในรายละเอียดวิธีการข้างต้นนั้น อาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์ได้กล่าวย้ำคณะศิษย์ว่า หากมีความจำเป็นที่จะปฏิบัติไม่ได้ตามนั้นทั้งหมดทุกข้อ
    ในช่วงเวลาดังกล่าว (12 – 30 พ.ค. 55) อย่างน้อยขอให้ปฏิบัติให้จริงจังครบทุกข้อในช่วงที่พลังงานรุนแรงคือวันที่ 20 – 22 พ.ค. 2555

    นอกจากนี้อาจารย์ยังได้สรุปเป็นแนววิธีการให้เข้าใจง่ายๆ 2 ข้อดังนี้

    1. อย่ารับเอาสารอาหารที่เป็นของแสลงเข้าไปทางปาก อันจะทำให้พลังปรานในตัวลดลง
    2. เพิ่มพลังปรานในตนเองด้วยการปฏิบัติ และรักษาศีล สวดมนต์ ภาวนา

    หากมีรายละเอียดเพิ่มเติม อาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์จะทำการชี้แจง บอกกล่าว ให้คณะศิษย์ทราบในโอกาสถัดไป
    และสุดท้ายอาจารย์ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “ขอให้คุณพระคุ้มครอง และจงพยายามสร้างคุณพระในใจ”

    หมายเหตุ :

    แก้ไขเพิ่มเติมจากข่าวสารฉบับแรกที่ส่งไป เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2555 เวลา 21.00 น.โดยปรับแก้ในหัวข้อดังนี้

    1. วันที่โลกรับเอาพลังงานสูงสุดจากจักรวาลอย่างเต็มที่ ซึ่งคือวันที่ 12- 23 พ.ค. 2555
    2. ช่วงวันเกิดที่ได้รับผลกระทบจากคราส เดิมระบุไว้ว่าเป็นวันที่ 20 – 22 พ.ค. แก้ไขเป็น 15 – 27 พ.ค.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กรกฎาคม 2012
  19. Arrowhead

    Arrowhead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +638
    ผมพาครอบครัวไปร่วมสวดบทจักรพรรดิพร้อมกับหลวงตาม้า ที่มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์เกือบทุกเดือนครับ [FONT=&quot]เลยขออนุญาตินำพระบูชาหลวงปู่ดู่ที่ได้รับจากญาติธรรมมาให้ชมครับ...[/FONT]<!-- google_ad_section_end -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • b5sGU.jpg
      b5sGU.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50.3 KB
      เปิดดู:
      134
  20. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    วัตถุมงคล หลวงปู่
    เนื่องจากเหตุภัยพิบัติต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 – 3 ปีนี้ ตรงกับคำที่หลวงปู่ดู่และพ่อแม่ครูบาอาจารย์เคยกล่าวไว้

    ท่านอาจารย์ศุภรัตน์ "เห็นว่าควรแก่เวลา" จึงได้เมตตาให้คณะศิษย์นำวัตถุมงคลส่วนหนึ่งนี้ออกให้ผู้ที่ศรัทธาในองค์หลวงปู่ดู่ได้บูชาติดตัวเพื่อป้องกันภัยพิบัติ อย่างที่หลวงปู่ดู่กล่าวว่า “พระของข้ากันนิวเคลียร์ได้”

    เกี่ยวกับเรื่องนี้อาจารย์ได้กล่าวสำทับว่าถึงนิวเคลียร์ว่า

    "น่าจะเป็นรังสีที่จะพุ่งลงมายังโลกนี้ ที่หลวงพ่อดู่ท่านอาจจะใช้คำว่านิวเคลียร์ เพราะเป็นรังสีที่บังคับไม่ได้ ท่านจึงหาทางช่วยเหลือคณะศิษย์ด้วยการอธิษฐานจิตเป็นรังสีเหนือโลกหรือรังสีเหนือแสง ซึ่งก็คือฉัพพรรณรังสีนั่นเอง (อาจารย์ได้กล่าวเสริมว่า คงมิใช่แต่เพียงหลวงพ่อดู่ที่ทำแบบนี้ คงจะต้องมีครูบาอาจารย์ท่านอื่นที่ทำแบบนี้เช่นเดียวกัน) และฉัพพรรณรังสีนั้นจะมีได้จากสิ่งต่างๆ ดังนี้

    1.วัตถุมงคล
    2.การปรับจิตของตัวเองให้เข้ากับพลังของ พระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ให้ได้

    ซึ่งเมื่อเราปรับได้แล้ว ก็จะไปกระเทือนถึงพลังงานแม่เหล็กในโครโมโซมของเรา ส่งผลให้โครโมโซมมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะส่งผลไปถึง DNA ทำให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งเรียกว่าเป็นการสร้างพลังงานแม่เหล็กรอบตัว ที่สำคัญคือทุกคนจะเป็นที่จะปฏิบัติด้วยตนเองด้วย ลำพังวัตถุมงคลก็ช่วยได้ แต่ทุกคนจะต้องทำจิตให้เข้าถึงวัตถุมงคลนั้น เพื่อจะทำให้พลังงานแม่เหล็กรอบตัว ซึ่งสามารถจะป้องกันรังสีที่เป็นอันตรายได้

    ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลง DNA เคยเกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่ปี 2540 จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ได้ทำให้เราทราบว่ามีจำนวนอุกาบาตที่เพิ่มมากขึ้น อาจเป็นเพราะเรามีเทคโนโลยีที่สามารถถจะตรวจจับวัตถุเหล่านี้ได้มากขึ้น ในข้อมูลที่วิเคราะห์มายังกล่าวอีกว่าพื้นที่เสี่ยงได้แก่ ขั้วโลก สหรัฐอเมริกา แคนาดา เส้นศูนย์สูตร รวมไปถึงมีข้อมูลที่ยืนยันได้ว่าต่างประเทศมีการเตรียมการรับมือกับภัยพิบัติเหล่านี้ เช่น พม่ามีการย้ายเมืองหลวง , เนเธอแลนด์สร้างบ้านลอยน้ำ , ซานฟรานซิสโกสร้างเมืองตัวอย่างลอยน้ำ , นอร์เวย์ย้ายศูนย์บัญชาการทหารลงใต้ดิน , รัสเซียสร้างที่หลบภัยใต้ดิน 5,000 กว่าจุด เป็นต้น

    และเขาก็มาเน้นว่า คนทั่วไปต้องเน้นพึ่งตนเอง เนื่องจากการหวังพึ่งรัฐจะไม่ทันท่วงที เช่น ควรสร้างคลังอาหารสำรอง ปลูกพืชผักสวนครัว สำรองอาหารและอุปกรณ์ยังชีพ ที่จะเอาตัวรอดในเหตุฉุกเฉิน 3-5 วัน เพราะฉะนั้นในระยะยาว เศรษฐกิจพอเพียงจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุด

    อาจารย์ศุภรัตน์ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “เพราะฉะนั้นให้ทุกคนเริ่มสร้างรังสีเหนือโลกหรือรังสีเหนือแสง นั่นคือ ฉัพพรรณรังสี ซึ่งอาจจะช่วยให้ตนเอง รอดพ้นจากวิกฤติการณ์เหล่านี้ได้ ไม่ได้พูดให้กลัว แต่พูดให้เตรียมตัว เตรียมใจ เพราะถ้าเราสร้างพลังดี เราก็จะรับพลังดีได้ แต่ในทางกลับกันถ้ามีพลังชั่ว เราก็จะรับพลังชั่ว และป้องกันตนเองไม่ได้”



     

แชร์หน้านี้

Loading...