ธรรมพระบูรพาจารย์(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย คุรุวาโร, 14 ตุลาคม 2011.

  1. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    ติรณะปริญญาวิธี

    แปลว่า ใคร่ครวญตรวจตรองเหตุผลแห่งนิมิต เป็นหน้าที่ของนักปฏิบัติชั้นสมถกรรมฐาน ผู้ชำนาญในญาตปริญญาวิธีมาแล้ว คือพิจารณาปฏิภาคนิมิตให้แตกฉาน ดังต่อไปนี้
    1.ปฏิภาคนิมิตภายนอก ได้แก่ รูปร่างกายของมนุษย์ภายนอกจากตัวของเรา
    2.ปฏิภาคนิมิตภายใน ได้แก่ รูปร่างกายของเราเอง
    รวมกันเรียกว่า ปฏิภาคนิมิต ตัวปฏิภาคนิมิตทั้งหมดเป็นตัวกองทุกข์ และอาสวะกองกิเลส
     
  2. จิตประภัสร

    จิตประภัสร สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +2
    รบกวนขอคำแนะนำอีกครั้งครับ
    ผมชอบกำหนดจิตดูภาพโครงกระดูกในร่างกายเริ่มจากหัวกระโหลกเลื่อยไปถึงขาและก็จากขาไร่ขึ้นมาถึงกระโหลก บางครั้งเป็นโครงกระดูกล้วนๆ บางครั้งก็เป็นเศษเนื้อติดโครงกระดูก แต่ผมไม่สามารถทรงไว้ได้นาน รู้สึกไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าที่ควร อยากทราบว่าการปฏิบัติของผมนั้นถูกจริตหรือไม่อย่างไร รบกวนด้วยครับ
     
  3. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    การแก้ปฏิภาคนิมิตภายนอก

    นักปฏิบัติผู้ชำนาญ ย่อมแก้ปฏิภาคนิมิตภายนอกก่อน คือเมื่อเวลานั่งสมาธิภาวนา รวมจิตได้แล้ว บังเกิดเห็นนิมิตมาปรากฏต่อหน้า เป็นรูปมนุษย์ แสดงอาการแปลกประหลาด น่าตกใจกลัว อาการอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม นักปฏิบัติผู้มีสติดี ย่อมพลิกจิตของตน ทวนกลับเข้ามาตั้งสติ กำหนดจิตไว้ให้ดี แล้ววิตกถามในใจว่า "รูปนี้เที่ยง หรือไม่เที่ยง จะแก่เฒ่าชรา ตายลงไปหรือไม่"
    เมื่อวิตกถามด้วยในใจดังนี้แล้ว พึงหยุดและวางคำที่นึกนั้นเสีย กำหนดจิตให้รวมสนิท นิ่งพิจารณาด้วยความวางเฉย จนได้รู้แจ้งขึ้นเอง ปรากฏเห็นชัด ซึ่งรูปนิมิตนั้นไม่เที่ยง แก่ ชราไปเอง ตลอดจนเพ่งให้ตาย ก็ตายลงเอง ตามอาการที่วิตกในใจนั้นๆทุกประการ ต่อแต่นั้นจะวิตกในใขให้เห็นซึ่งรูปนิมิตที่ตายแล้ว เปื่อยเน่าตลอดจนแตกทำลายกระจัดกระจายเป็นดิน เป็นลม เป็นไฟ ไปตามธรรมดา ธรรมธาตุ ธรรมฐิติ ธรรมนิยามย่อมได้ตามประสงค์ตลอดปลอดโปล่งทุกประการ ข้อสำคัญต้องไม่คาดคะเนเอาไม่นึกเดาเอา จึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้องจริงๆ สำเร็จตามประสงค์
     
  4. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    วิธีแก้ปฏิภาคนิมิตภายใน

    เมื่อแก้ปฏิภาคนิมิตภายนอกได้แล้ว อย่าหยุดเพียงแค่นั้น ให้น้อมเอาจิตของตนทวนกระแสกลับเข้ามาพิจารณาภายในร่างกายของเราเอง ในเบื้องต้น ถ้าจิตของตนไม่ปลอดโปร่ง คือไม่แลเห็นร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง ให้พึงรวมเอาแต่จิตให้สนิทอยูก่อน เมื่อจิตของตนรวมสนิทดีแล้ว พึงใช้อุบายวิตกดังกล่าวแล้ว ในที่นี้ประสงค์ให้วิตกว่า ศลีของเราก็บริสุทธิ์ดีแล้ว สมาธิของเราก็ตั้งมั่นดีแล้ว เมื่อมีศลีก็ต้องมีสมาธิ เมื่อมีสมาธิย่อมต้องมีปัญญา บัดรี้มีศลี สมาธิ แล้วปัญญาเป็นอย่างไร เมื่อวิตกถามด้วยในใจดังนี้แล้ว พึงหยุดและวางคำที่วิตกนั้นเสีย กำหนดจิตให้รวมสนิทนิ่ง พิจารณาด้วยความวางเฉย จนกว่าได้ความรู้แจ้งขึ้นมาเอง ปรากฏเห็นชัด พึงวิตกถามถึงส่วนของร่างกายภายในร่างกายตนเองเป็นตอนๆไป ในตอนแรกพึงวิตกว่า ร่างกายของเราเป็นอย่างไร เที่ยงหรือไม่เที่ยง จะแก่ขราและแตกทำลายเปื่อยเน่าลงไปเหมือนกันหรือไม่ เมื่อวิตกถามด้วยในใจเช่นนั้นแล้วพึงหยุด และวางคำวิตกนั้นเสีย กำหนดจิตให้รวมสนิทนิ่ง พิจารณาด้วยความวางเฉย จนกว่าจะรู้แจ้งขึ้นเอง และแลเห็นชัดแจ้งประจักษ์ว่า ร่างกายของเรา แก่ ชราและล้มตายลงไปในปัจจุบันทันใดในใจขณะนั้น สำเร็จสมประสงค์
    ตอนที่2 พึงวิตกถามในใจว่า อาการ 32 ภายในร่างกายเราส่วนไหนตั้งอยู่อย่างไร มีลักษณะอาการเป็นอย่างไร หทัยวัตถุอยู่ที่ไหนตั้งอยู่อย่างไร มีลักษณะอาการเป็นอย่างไร หทัยวัตถุอยู่ที่ไหน ครั้นเมื่อวิตกถามในใจดังนี้แล้ว พึงหยุด และวางคำวิตกนั้นเสีย กำหนดจิตให้รวมสนิทนิ่ง พิจารณาด้วยความวางเฉย จนกว่าได้ความรู้แจ้งขึ้นเองปรากฏเห็นชัด ซึ่งดวงหทัยวัตถุตั้งอยู่ทรวงอกข้างซ้ายมีรูปลักษณะคล้ายดอกบัวตูม มีหน้าที่ทำงานฉีดเลือดส่งไปเลี้ยงร่างกาย เมื่อเห็นเครื่องภายในก่อนดังนี้ พึงพิจารณาเครื่องในให้ตลอด พึงพิจารณษอาการ32 เป็นอนุโลม ปกิโลม โดยปัจจัตตัง รู้จำเพาะกับจิต ไม่ใช่นึกไปตามตำราที่จำมา ในเวลานั่งสมาธิรวมจิตสนิทดีแล้ว มีสติกำหนดจิตได้แล้ว พึงวิตกถามด้วยในใจว่า
    เกศา แปลว่า ผม ตั้งอยู่ที่ไหน มีรูปพรรณสัณฐานอย่างไร เมื่อวิตกถามแล้ว พึงหยุดและวางคำถามนั้นเสีย มีสติ รวมจิตให้สนิทนิ่ง พิจารณาด้วยความวางเฉย จนปรากฏเห็นชัดขึ้นมาเองว่าผมอยู่บนศรีษะ มีสีดำคล้ำ รูปพรณสัณฐานเป็นเส้นยาวๆ แก่แล้วหงอกขาว ตายแล้วลงถมแผ่นดิน
    โลมา คือขน
    นขาคือ เล็บ
    ทันตา คือฟัน
    ตโจ คือหนัง
     
  5. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    ครั้นเมื่อพิจารณาปรากฏเห็นเอง แจ้งประจักษ์ใจตามความเป็นจริงในมูลกรรมฐานนี้แล้ว ช่อว่าพิจารณาเป็นอนุโลม พึงพิจารณษย้อนกลับเป็นปฏิโลม กลับไปกลับมาให้ชำนาญดีแล้ว จึงพิจารณษเป็นลำดับต่อไปอีกว่า
    มังสัง แปลว่า เนื้อมีหนังหุ้มอยู่ จะแลด้วยตาย่อมไม่เห็น เมื่อเราจะพิจารณาดูซึ่งเนื้อ จำเป็นจะต้องถลกหนังนี้ออกให้หมดเสียก่อน จึงจะพิจารณาดูซึ่งเนื้อให้เห็นจริงประจักษ์ได้ แต่จะต้องถลกออกด้วยอุบายปัญญา ครั้นพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว พึงทำในใจด้วยอุบายที่ชอบ คือ มีสติยกจิตขึ้นเพ่งให้หนังเลิกออกไปตั้งแต่หนังศรีษะเป็นต้นไปโดยลำดับ ตลอดถึงหนังพื้นเท้าเป็นที่สุด เสร็จแล้วเอากองไว้ที่พื้นแผ่นดิน เมื่อพิจารณาให้หนังเลิกออกไปหมดแล้ว ก็แลเห็นกล้ามเนื้อเป็นกล้ามๆ ทั่วสรรพค์กาย จึงตั้งสติกลับจิตให้รวมสนิท แล้วยกจิตขึ้น เพ่งให้กล้ามเนื้อหลุดออกจากกระดูกหมดทุกกล้ามตลอดทั่วสรรพางค์กาย ตกลงไปกองอยู่ที่พื้นแผ่นดิน เมื่อกล้ามเนื้อหลุดออกจากโครงกระดูกหมดแล้ว ก็แลเห็นเส้นเอ็นอย่างกระจ่างแจ้ง ว่าเส้นเอ็นทั้งหลายรัดรึงโครงกระดูกนั้น จึงพลิกจิตให้กลับรวมสนิทดีแล้ว ยกจิตเพ่งให้เส้นเอ็นทั้งหลายหลุดจากโครงกระดูกหมดทุกเส้น เมื่อเส้นเอ็นหลุดจากโครงกระดูกหมดแล้ว ก็แสดงให้แลเห็นโครงกระดูกได้อย่างกระจ่างแจ้งฯ เมื่อเห็นโครงกระดูกแจ่มแจ้ง แต่เครื่องภายในโครงกระดูกยังมีอยู่ พึงพิจารณายกจิตขึ้นเพ่งให้เครื่องภายในหลุดออกจากโครงกระดูกทีละอย่างๆคือ ม้าม หทัยวัตถุ ตับพังผืด ไต ปอด ลำไล้เล็ก ใหญ่ ฯ
    เมื่อเครื่องภายในโครงกระดูกหลุดออกไปหมดแล้ว ธาตุน้ำ มีน้ำเลือด น้ำเหลืองเป็นต้น ก็หลุดออกจากโครงกระดูกตกลงไปกองอยู่ที่พื้นดิน จึงพิจารณาโครงกระดูกเป็นอนุโลม ปฏิโลมต่อไป
     
  6. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    วิธีพิจารณาโครงกระดูกเป็นอนุโลม-ปฏิโลม

    พึงมีสติ กำหนดจิตให้รวมสนิทดีเรียบร้อยก่อน แล้วยกจิตขึ้นเพ่งพิจารณากำหนดให้รู้โครงกระดูก โดยลำดับตั้งแต่เบื้องบนลงไปถึงที่สุดเบื้องต่ำ คือเพ่งพิจารณาดูกกระดูกระโหลกศรีษะและกำหนดให้รู้แจ้งว่า กระดูกกระโหลกศรีษะนี้เป็นแผ่นโค้งเข้าหากันมีฟันเกาะกันไว้เป็นกระโหลกอยู่ได้ กระดูกคอ เป็นข้อๆ และเป็นท่อนๆ สวมกันไว้เป็นลำดับลงไป กระดูกหัวไหล่ กระดูกไหปลาร้าต่อออกจากระหว่างกระดูกคอทั้ง 2 ข้าง กระดูกแขนทั้ง 2 แขน กระดูกศอกทั้ง 2 ศอก ฯลฯ พิจารณาโดยลำดับอย่างนี้เรียกว่า พิจารณาอนุโลมพึงพิจารณาย้อนกลับเป็นปฏิโลม คือ
    พึงมีสติ กำหนดจิตให้รวมสนิทเป็นหนึ่งตลอดไป ยกจิตขึ้นเพ่งพิจารณา กำหนดรู้โครงกระดูกย้อนกลับเป็นปฏิโลม ตั้งแต่เบื้องต่ำลำดับขึ้นไป จนถึงที่สุดเบื้องบน คือเพ่งพิจารณษดูให้รู้ให้เห็น กระดูกนิ้วเท้าทั้ง 10 นิ้วตลอด แล้วเพ่งตลอดจนถึงเบื้องบนคือย้อนกลับ

    พิจารณารวมศูนย์กลาง

    เมื่อพิจารณาโครงกระดูกเป็นอนุโลม ปฏิโลม ถอยลง ถอยขึ้น รอบคอบตลอดแล้ว พึงพิจารณารวมศูนย์กลางที่ท่ามกลางอก ดังต่อไปนี้ พึงมีสติ รวมจิต พร้อมทั้งความคิดความเห็นที่ได้พิจารณาเห็นโครงกระดูกตั้งแต่ เบื้องบนลงไปถึงเบื้องล่างย้อนกลับขึ้นมาจนถึงเบื้องบน รอบคอบตลอดแล้วนั้น ทวนกระแสรวมเข้าตั้งไว้ในท่ามอก มีสติพิจารณาให้รู้แจ้งว่า ร่างกายนี้ ก็เป็นแต่เพียงสักว่า กาย ถ้าไม่มีใจครองก็ไม่รู้สึก รู้นึก รู้คิด และเคลื่อนไหว ไปมาไม่ได้ มีวิญญาณจิตดวงเดียวเท่านั้นเป็นใหญ่ในชีวิตของเรา ร่างกายทั้งสิ้นนี้ก็อยู่ในใต้อำนาจแห่งดวงจิตดวงนี้ เพราะฉะนั้น จำเป็นเราต้องรวมเอาดวงจิตของเราเข้าตั้งไว้ให้เป็นเอกจิต เอกธรรม เอกมรรค คือ ให้เป็นจิตดวงเดียว ตั้งมั่นอยู่ที่ทรวงอก เรียกว่า เจริญติรณปริญญาวิธี
     
  7. choo2521

    choo2521 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2011
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +4
    ขอทราบด้วยคนครับ ผมอยากรู้อดีตชาติว่าเป็นอะไร เคยฝึกกรรมฐานกองใดในอดีตชาติบ้างรึป่าว แล้วควรฝึกอะไรในชาติปัจจุบัน ที่จะได้ผลเร็วที่สุุด ขอคุณคุุรุวาโรได้โปรดสงเคราะห์บอกกรรมฐานกองนั้นแก่ผมเถิดครับ ขอบคุณมาก ๆ ครับ
     
  8. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    เจริญปหานปริญญาวิธี

    แปลว่า ละ หรือ วางนิมิตได้ขาด นักปฏิบัติในพระธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีเพียรเพ่งอยู่ และมีประสงค์จะบำเพ็ญตนให้ก้าวสู่โลกุตรธรรม จึงจำเป็นต้องเจริญปหานปริญญาวิธีต่อไป
    การเจริญปหานปริญญาวิธี ย่อมเจริญด้วยวิปัสสนากรรมฐาน 3 ประการคือ

    1.วิปัสสนานุโลม ใช้บริกรรมภาวนาอนุโลมเข้าหาวิปัสสนาวิธี

    2.วิปัสสนาสุญญตวิโมกข์ ใช้ยริกรรมภาวนาดับสัญญาให้ขาดสูญ

    3.วิปัสสนาวิโมกขปริวัติ ใช้บริกรรมภาวนาวิปัสสนาญาณ วิธีเต็มรอบ ระงับนิมิตให้ขาด ถอนอุปาทานขันธ์ ตลอดจนถอนตัณหาทั้งโคน

    ให้ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง เจริญวิปัสสนา 3 ประการ

    1.นักปฏิบัติบางคนหรือบางองค์ เมื่อนั่งสมาธิภาวนารวมจิตสนิทได้ดี แต่มีปิติแรงกล้าบังเกิดขึ้นทับถมกลบเกลื่อนดวงใจ จะยกจิตขึ้นพิจารณาอะไรก็ไม่สะดวก จำเป็นต้องใช้บริกรรมภาวนาวิปัสสนานุโลมว่า
    ขยวยธัมมา สังขารา หรือ ขยธัมมา วยธัมมา สังขารา เป็นต้น

    2.นักท่านนั่งสมาธิภาวนารวมจิตก็สนิทได้ดีเหมือนกัน แต่เมื่อบังเกิดนิมิตขึ้นมากเหลือวิสัยที่จะแก้ไขได้กลายไปเป็นสัญญาเนื่องอยู่ในจิต ระงับไม่ได้ จำเป็นต้องเจริญวิปัสสนาสุญญตวิโมกข์ ใช้บริกรรมว่า สัพเพ สังขารา สัพพสัญญา อนัตตา

    3.บางท่าน ผู้มีภูมิจิตสูงได้เจริญญาตปริญญาวิธี และได้เจริญติรณะปริญญาวิธีจนตลอดดังกล่าวแล้ว เชื่อว่าภูมิจิตสูง ก้าวล่วงวิปัสสนานุโลม และวิปัสสนาสุญญตวิโมกข์ แล้ว ควรได้เจริญวิปัสสนาวิโมกข์ปริวัติต่อไป

    วิธีเจริญวิปัสสนาวิโมกขปริวัติ

    ในขณะเมื่อตรวจค้นปฏิภาคนิมิต เลิกถอนเครื่องภายใน ภายนอกออกหมดแล้ว ยังเหลือแต่โครงกระดูกเปล่า และได้พิจารณาโครงกระดูกเป็นอนุโลม ปฏิโลม รอบคอบตลอดแล้ว ได้รวมจิตให้สนิท ตั้งมั่นในทรวงอกดีแล้ว มีสติ ยกจิตขึ้นเพ่งซี่โครงกระดูกนั้นด้วยอุบายปัญญาซึ่งบังเกิดขึ้นเอง แลเห็นด้วยในใจของตนเองว่าโครงกระดูกทั้งสิ้นนี้ เป็นของไม่ใช่ตน ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ชื่อว่าเห็นอนัตตาด้วยในใจของตนเอง และเห็นอนิจจัง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์แน่แก่ใจแล้ว ยกคำบริกรรมวิปัสสนาวิโมกขปริวัติขึ้นบริกรรมภาวนาว่า

    สัพเพธัมมา อนัตตา
    สัพเพ ธัมมา อนิจจา
    สัพเพ ธัมมา ทุกขา

    ให้บริกรรมภาวนา นึกอยู่ในใจอย่างเดียวไม่ออกปาก และไม่มีเสียง มีสติกำหนดเพ่งด้วยความนิ่งและวางเฉย จนกว่าจะปรากฏเห็น โครงกระดูกนั้นหลุดถอนจากกันตกลงไปกองอยู่ที่พื้นแผ่นดิน เมื่อปรากฏเห็นชัดว่าโครงกระดูกนั้นหลุดออกจากกันตกลงไปกองอยู่ที่พื้นแผ่นดินหมดแล้ว พึงมีสติยกจิตขึ้นเพ่ง และบริกรรมภาวนาวิปัสสนาวิโมกปริวัติอีกว่า

    สัพเพ ธัมมา อนัตตา
    สัพเพ ธัมมา อนิจจา
    สัพเพ ธัมมา ทุกขา

    ให้นึกอยู่ในใจอย่างเดียวจนกว่าจะปรากฏเห็นชัดว่า เครื่องอวัยวะทุกส่วนที่ตกลงไปกองอยู่ที่พื้นแผ่นดินนั้น ได้ละลายกลายเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ไปเองหมดแล้ว เมื่อระงับสัญญาที่หมายพื้นแผ่นปฐพี พึงมีสติยกจิตขึ้นเพ่งบริกรรมวิปัสสนาวิโมกขปริวัติดังกล่าวแล้ว เมื่อระงับเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้บริกรรมภาวนาวิปัสสนาวิโมกขปริวัติแบบเดียวกัน ตลอดระงับอรูปฌานทั้งสี่ ก็ใช้คำบริกรรมภาวนาวิปัสสนาวิโมกขปริวัติแบบนี้ตลอดไป นี้แลชื่อว่า ได้เจริญปหานปริญญาวิธี

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  9. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    ต้องเรียกว่า ใกล้บรรลุญาน16ซิครับ ถึงจะถูกครับ ลองอ่านดูก่อนนะครับ ลองติดขัดประการใดถามอีกทีครับ
     
  10. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
     
  11. choo2521

    choo2521 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2011
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +4
     
  12. จิตประภัสร

    จิตประภัสร สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +2
    ขอบคุณคุณ คุรุวาโร สำหรับคำแนะนำในแนวทางการปฏิบัติ
    ติดขัดหรือมีผลอย่างไรผมจะเข้ามารบกวนสอบถามอีกทีนะครับ
     
  13. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    ขอความกรุณาท่านช่วยแนะนำกรรมฐานที่ถูกจริต และแนวทางในการปฏิบัติเพื่อความก้าวหน้าในทางธรรมด้วยค่ะ กราบอนุโมทนา.<!-- google_ad_section_end -->
     
  14. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
     
  15. phutsa

    phutsa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    261
    ค่าพลัง:
    +852
    ตามที่คุณคุรุวาโรว่าไว้ผมเลยลองนั่งฝึกกสิณน้ำดู ทำให้คิดได้เลยว่าเวลาเรามองไปท่ี่น้ำเหมือนเรามองกระจก ไม่ว่าภาพน้ำจะสะท้อนกลับมาเป็นอย่างไร ก็ไม่ทำให้น้ำขุ่นหรือสะเทือน แต่จิตผมเวลาเห็นนิมิตรแล้วไปติดก็หลงไปดีใจ เสียใจ ทำให้ไม่เจริญสักที จนผมมานึกว่าถ้าทำใจเหมือนน้ำได้ ไม่ว่าภาพสะท้อนของน้ำจะเป็นอะไร แต่น้ำก็ยังใส นิ่ง สงบเหมือนเดิม ผมเพิ่งรู้ว่าผมติดอยู่ตรงนี้นี่เอง ขอขอบคุณด้วยครับที่ช่วยชี้แนวทางสว่างให้ผม แต่ผมอยากรู้อีกอย่างคือวิญญาณที่ตามมาเตือนผมนี้เขามีจุดประสงค์อะไรครับ ช่วยชี้แนะผมด้วยครับ แต่ก็เพราะผีอำนี่แหละครับที่ทำให้ผมได้อยู่ในบวรพระพุทธศาสนาในทุกวันนี้ ขอบคุณมากครับ
     
  16. Dear-Dear

    Dear-Dear Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +45
     
  17. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    น่าจะเจริญกรรมฐานแบบลมหายใจนี่แหละครับ เพียงคุณอธิษฐานให้นาคที่มาคุ้มครองคุณให้เขารับรู้ก่อนนะครับ เขาจะช่วยคุณอย่างแน่นอนครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  18. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
     
  19. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    การฝึกกสินน้ำนั้นเพื่อตัดนิมิตครับ เมื่อตัดได้แล้วก็ฝึกลมหายใจนี่แหละครับ แต่ระวังนิมิตจะตามมานะครับ ก็พยายามควบคุมให้ได้ครับ ส่วนเรื่องสัมเวสีก็อธิษฐานให้เขา ก่อนเจริญกรรมฐานก็พอครับ พวกเขายิ่งจะดีใจครับ
     
  20. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
     

แชร์หน้านี้

Loading...