ธรรมะจากพระนิพพาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Me, myself, 12 มีนาคม 2010.

  1. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    จงโทษที่ตัวเรา อย่าไปกล่าวโทษผู้อื่น

    บันทึกการทำสมาธิวันที่ 22 ส.ค. 52

    เข้าสมาธิขึ้นไปเฝ้าพระศาสดา

    ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาค่ะ

    พระศาสดา - เจริญพร เป็นอะไรไปละ หน้าตาไม่ค่อยสบาย

    ดิฉัน - มาสารภาพค่ะ ว่าลูกยังระงับความหงุดหงิดกับบางคนกับบางเรื่องไม่ค่อยได้เลย

    พระศาสดา - แล้วเธอเอาใจไปคิดทำไม ใครเขาจะว่าอะไรจะทำอะไรมันเรื่องของเขา ถ้าเธอไม่ไปใส่ใจซะอย่าง จิตเธอก็ไม่ต้องเศร้าหมอง ไม่ต้องมีอารมณ์หงุดหงิดใช่หรือไม่

    ดิฉัน - ใช่ เจ้าค่ะ

    พระศาสดา - แล้วเมื่ออารมณ์หงุดหงิด ทำให้ไม่สบายใจทำให้ทุกข์ใช่หรือไม่

    ดิฉัน - ใช่ เจ้าค่ะ

    พระศาสดา - แล้วเธอยังจะพกเอาความทุกข์ไว้อีกเหรอ อย่าพยายามไปกล่าวโทษคนอื่น มันต้องโทษตัวเราที่ไม่รู้จักระงับอารมณ์ ถ้าเรายังหงุดหงิดกับสิ่งที่มากระทบ เรายังใช้ไม่ได้ ให้ทำใจปล่อยวางไปซะ ทุกคนก็ต้องมีอารมณ์รัก อารมณ์โกรธกันเป็นธรรมดา แต่ในเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว เราระงับได้ไหม เราปล่อยวางได้ไหม ถ้าไม่ได้แสดงว่าเรายังปฏิบัติตนได้ไม่ดีพอ จงโทษที่ตัวเราอย่าไปโทษคนอื่น

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ

    พระศาสดา - ตอนนี้สบายใจขึ้นหรือยัง

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ ได้ฟังคำสั่งสอนของพระศาสดา สติก็เริ่มกลับมาค่ะ อารมณ์ก็เย็นลงค่ะ

    พระศาสดา - จำเอาไว้ เมื่อมีคนหรือเหตุการณ์อะไรมาทำให้เราไม่พอใจ ก็ให้รับรู้ไว้แล้วก็ปล่อยวางซะ อย่าไปแบกความทุกข์ไว้ ไม่เกิดประโยชน์ จงฝึกจิตของตนให้หลุดพ้นแทนที่จะไปโทษว่าเป็นความผิดของผู้อื่น

    ดิฉัน - ทราบแล้วเจ้าค่ะ สาธุ<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  2. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    สิ่งที่เท่ากันของผู้ที่บรรลุพระนิพพานคือการไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิด

    บันทึกการทำสมาธิวันที่ 26 ส.ค. 52

    ขึ้นไปเข้าเฝ้าพระศาสดา ท่านก็ได้สนทนาสอบถามถึงเรื่องส่วนตัวนิดหน่อย จากนั้นดิฉันก็ได้ทูลถามพระองค์ว่า

    ดิฉัน - พระศาสดาเจ้าคะ เรื่องของชบากับลำดวนนี่ ลูกยังสงสัยมากเลยนะคะ

    พระศาสดา - สงสัยเรื่องอะไร

    ดิฉัน - ก็ทั้งสองคนมานิพพานง๊าย ง่าย เจ้าค่ะ แค่จิตนึกถึงนิพพานตอนจะตายก็มาได้แล้วเหรอคะ

    พระศาสดา - ถูกต้อง

    ดิฉัน - แล้วคนอื่นเขาต้องฝึกกันตั้งนาน ทำไมต้องฝึกละค่ะ ตอนตายเอาแบบชบากับลำดวนก็ไปได้แล้ว

    พระศาสดา - คนเราสร้างบารมีมาไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน อย่างเธอต้องฝึกเป็นพระอริยะไปตามขั้นตอนแล้วค่อยเข้านิพพาน เป็นบารมีของแต่ละคน ส่วนพวกที่เข้านิพพานแบบชบาและลำดวนก็มีพอสมควร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพวกเขาก็ต้องมีจิตรักในนิพพานเป็นนิจ ก่อนตายจิตก็ต้องละทุกสิ่งทุกอย่างได้จริงๆ ถึงจะเข้านิพพานได้

    ดิฉัน - ค่ะ แล้วทำไมเขาไม่มีวิมานเป็นเอกเทศละคะ ทำไมต้องมาเป็นบริวารอยู่ในเขตวิมานของลูก

    พระศาสดา - ก็เพราะว่าบารมีของเขาไม่มากพอที่จะมีวิมานแยกเป็นเอกเทศ เขาก็ต้องไปเป็นบริวารอยู่ร่วมกับคนที่เคยเกื้อกูลกันมา

    ดิฉัน - แต่ลูกเข้าใจว่าคนที่เข้านิพพานแล้ว ก็เป็นอิสระไม่ใช่หรือคะ ไม่ต้องมีบริวาร ไม่ต้องมีนาย มีลูกน้อง อะไรแบบนี้

    พระศาสดา - ยังมีอยู่ เพราะว่าบารมีของแต่ละคนไม่เท่ากัน

    ดิฉัน - ลูกก็ยังงงๆอยู่ดีแหละค่ะ (คิดถึงหลวงพ่อฤาษีในทันทีทันใด) ตกลงมันเป็นยังไงคะหลวงพ่อเจ้าขา

    หลวงพ่อฤาษี (ท่านก็มาในทันทีเหมือนกัน) - ที่พระศาสดาตรัสน่ะ ถูกต้องแล้วลูก

    ดิฉัน - สรุปก็ยังมีบริวารกันหรือคะบนนิพพาน ทำไมทุกคนถึงไม่เท่ากันละคะ ไหนๆก็เข้านิพพานแล้ว

    หลวงพ่อฤาษี - อ้าว...ถ้าลูกพูดยังงั้น อย่างนี้หลวงพ่อเข้านิพพานแล้ว หลวงพ่อก็เท่ากับพระศาสดาเรอะไง

    ดิฉัน - แว๊กกกกกกก...ไม่เท่าเจ้าค่ะ จะไปเท่าได้ไง พระพุทธเจ้าก็พระพุทธเจ้า หลวงพ่อก็หลวงพ่อ

    หลวงพ่อฤาษี - ใช่ไหม เจ้าก็รู้นี่ ต่อให้เข้านิพพานแล้ว พระพุทธเจ้าก็คือพระพุทธเจ้า หลวงพ่อก็คือหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ไม่สามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้ไช่ไหมละ คนธรรมดาก็ไม่สามารถเป็นพระได้ใช่ไหมละ เป็นเพราะอะไร ก็เพราะบารมีที่ทำมามันไม่เท่ากันถูกไหม ดังนั้นทุกคนก็อยู่ในฐานะที่ต่างกัน เพราะว่าบารมีไม่เท่ากัน เพียงแต่ว่าทุกคนที่เข้านิพพานแล้วไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้วเท่านั้นแหละ เข้าใจหรือยัง

    ดิฉัน - เข้าใจค่ะ หายโง่ไปเลยค่ะ ถูกต้องจริงๆเลยค่ะ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  3. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    สมเด็จองค์ปฐมและพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ฯ เสด็จงานกฐินวัดกู่เสือ

    บันทึกการทำสมาธิวันที่ 12 ก.ย. 52

    จะขึ้นไปเฝ้าพระศาสดา เจอท่านเสด็จมาพอดี ท่านก็สั่งให้ตามพระองค์ท่านไปที่จุฬามณี ไปถึงก็มีพวกเทพยดา พรหม นั่งรอกันอยู่เต็มไปหมด ท่านก็เสด็จผ่านไปยังที่ประทับโดยดิฉันก็ได้เดินตามมาทางด้านหลัง พอมาถึงที่พวกท้าวจตุบาลทั้ง 4 และพระอินทร์นั่งอยู่ ท่านก็ตรัสว่า

    พระศาสดา - รามาวตี เธอไปนั่งกับพ่อของเธอก็แล้วกัน

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ

    แล้วดิฉันก็เลยได้เดินไปนั่งพับเพียบอยู่ข้างที่นั่งของท่านพ่อเวชสุวรรณ เมื่อพระศาสดาเสด็จประทับนั่งเป็นที่เรียบร้อย ก็ได้กล่าวว่า

    พระศาสดา - สวัสดีท่านทั้งหลาย วันนี้เป็นวันดีเป็นวันธรรมสวนะ ดังนั้นตถาคตจะมาเทศน์โปรดพวกเธอ ขึ้นชื่อว่าเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา หรือ พรหม ทั้งหมดนี้ยังไม่พ้นจากห้วงวัฏสงสาร จึงจะต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่อีก หากว่าไม่อยากเกิดวนเวียนอยู่อย่างนี้ ก็ขอให้รีบเร่งบำเพ็ญเพียรตนเพื่อการหลุดพ้น เพื่อไปนิพพานกันเถิด หากว่ายังหลงใหลได้ปลื้มอยู่กับความสุขจอมปลอม ท่านก็จะต้องพบกับความทุกข์ทั้งหลายไปตลอด ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยง ไม่มีสิ่งใดอยู่คงทนถาวร ทุกสิ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป วนเวียนไปอย่างนี้ หาความสงบไม่ได้ ความสงบที่แท้จริงนั้นหาอยู่ในภพภูมิเหล่านี้ไม่ หากแต่อยู่ที่นิพพานดุจเดียวเท่านั้น หากพวกท่านทั้งหลายต้องการพบความสงบที่แท้จริง พวกท่านก็ต้องเร่งปฏิบัติตนเพื่อให้ถึงยังที่นั้น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา หรือพรหม พวกท่านต่างก็ยังไม่หลุดพ้นไปจากกฏของกรรมเลย

    มนุษย์นั้นโชคดีกว่าภพภูมิอื่นตรงที่สามารถบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีให้หลุดพ้นไปได้ง่ายกว่าคนอื่น มีโอกาสทำบุญทำกุศลแล้วสร้างบารมีได้โดยง่าย หากว่าทำไม่ได้ก็น่าเสียดายโอกาส ให้พิจารณาดูอริยสัจ 4 หนทางแห่งการพ้นทุกข์ก็คือมรรค 8 ซึ่งอันแรกคือสัมมาทิฏฐิ หากว่าไม่มีสัมมาทิฐิซะแล้ว ข้ออื่นๆก็ไม่มีผล แต่ถ้ามีสัมมาทิฐิประจำใจ ข้ออื่นๆก็จะตามมาได้ไม่ยาก

    ขอให้พวกท่านทั้งหลายจงเร่งทำความเพียรเพื่อการหลุดพ้นไปจากวัฏสงสารนี้เถิด

    จากนั้นท่านก็ให้เหล่าเทวดาซักถามถึงข้อสงสัยต่างๆ แล้วก็เสด็จกลับวิหารของท่าน ซึ่งท่านก็ให้ท้าวจตุบาลทั้ง 4 ท่านพระอินทร์ แล้วก็ดิฉันตามท่านไปที่วิหารด้วย เมื่อถึงยังวิหารของท่าน หลังจากประทับนั่งเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ตรัสถามว่า

    พระศาสดา - ว่าอย่างไรรามาวตี เรื่องงานกฐินเรียบร้อยไหม

    ดิฉัน - เรียบร้อยดีเจ้าค่ะ ทุกอย่างไปได้ด้วยดี จะไปติดต่ออะไรที่ไหนก็สะดวกและเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ

    พระศาสดา - ดีแล้ว ได้ท่านท้าวทั้งสี่และก็องค์อินทร์ท่านคอยดูแลอยู่ คงจะไม่มีปัญหาอะไร ฝากพวกท่านด้วยก็แล้วกัน

    ท่านท้าวทั้งสี่และองค์อินทร์ก็รับคำ

    พระศาสดา - หลังงานกฐิน กรรมหนักของเธอก็จะหมดไป ชีวิตของเธอก็จะดีขึ้น ให้อดทนไว้นะ

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ

    พระศาสดา - งานกฐินนี้เป็นงานใหญ่ได้บุญมาก ปกติกฐินก็จัดได้แค่ปีละครั้งเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นกฐินธรรมดาๆ แต่งานนี้เป็นมหากฐินด้วยบุญยิ่งมากเป็นหลายเท่า ฝากบอกทุกคนด้วยว่า ให้น้อมใจถวายผ้าพระกฐินนี้ด้วยใจที่ตั้งมั่นและศรัทธา แล้วก็ให้อธิฐานขอในสิ่งที่เราปรารถนาจะสมหวัง ใครที่มีกรรมหนัก กรรมนั้นจะบรรเทาเบาบางลง ใครที่มีเจ้ากรรมนายเวรตามรังควาญอยู่มาก เจ้ากรรมนายเวรก็จะอโหสิกรรมให้ได้ง่ายๆ จงได้ขออโหสิกรรมต่อกันซะ ใครที่ดีอยู่แล้ว ก็จะส่งผลให้ดียิ่งๆขึ้นไป ดังนั้นจงได้ตั้งจิตอธิฐานให้ดีๆ ฝากบอกทุกคนด้วย

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ...แล้ววันงานพระศาสดาจะเสด็จไหมคะ

    พระศาสดา - ทั้งสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ อีกทั้งพระอรหันต์ทั้งหมด รวมถึงเทวดาและพรหมทั้งหมดจะพร้อมใจกันไปในงานนี้

    ดิฉัน - สาธุ

    พระศาสดา - เอาละ วันนี้เธอสมควรกลับได้แล้ว ไว้ค่อยพบกันใหม่วันหน้า

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ นมัสการกราบลาเจ้าค่ะ...ลาท่านพ่อแล้วก็ท่านท้าวทั้งสามและก็องค์อินทร์ด้วยเจ้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  4. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    มีหลายครั้งมากที่ดิฉันนอนหลับ แล้วชอบตื่นขึ้นมา แบบหลับๆตื่นๆแล้วก็จะได้ยินเสียงคนมาสอนธรรมะเรื่อยเลย ตอนที่ฟังก็จำได้อยู่แล้วก็จะหลับต่อเพราะความง่วง เช้าขึ้นมาก็ลืม

    หลายคืนมานี้ก็เป็นเหมือนเดิม ได้ยินแต่พอตื่นมาก็จำไม่ได้ เมื่อคืนก็หลับๆตื่นๆทั้งคืน แล้วก็ได้ยินเสียงคนสอนธรรมะตลอดคืน คราวนี้ได้ยินชัดมาก ฟังดูรู้ได้เลยว่าเป็นเสียงของสมเด็จองค์ปฐมท่าน ตามความคิดของดิฉันคิดว่าท่านกำลังเทศน์สอนใครบางคนอยู่ แต่หูดิฉันดันไปได้ยินมาเอง เพราะว่าเหมือนท่านพูดไปเรื่อยๆเป็นข้อๆแล้วดิฉันก็ไปได้ยินกลางเรื่องยังงั้น ก็จำได้มั่งลืมมั่ง มีบางช่วงก็ตั้งใจฟังแล้วก็ทวนไปด้วย จากนั้นก็หลับต่อ เป็นอยู่อย่างนี้ทั้งคืน

    ก็จำมาได้ไม่หมด ได้มานิดหน่อยค่ะ ที่ได้ยินท่านสอนมาก็ตามนี้ค่ะ

    • อย่ามัวเมาหลงตัวตน ตัวกูของกู เพราะนั่นยิ่งจะทำให้ยึดติดและเกิดกิเลสตัญหาตามมา
    • อย่าหลงมัวเมาไปเที่ยวยังโลกกว้าง เพราะจะทำให้ติดสุขในโลก
    • พยายามฝึกจิตให้ดีๆ ให้เตรียมพร้อมยอมรับกับความตายอยู่เสมอ
    • ความตายเกิดได้ทุกที่ทุกเวลา ขอพวกเจ้าจงได้อย่าประมาท
    • ให้พิจารณาดูกายตนว่าแท้จริงแล้วสิ่งนี้เป็นของไม่เที่ยง
    จริงๆมีเยอะค่ะ แต่จำมาได้เท่านี้เอง เพราะว่าตอนที่ได้ยินก็พยายามสลัดความง่วงแล้วก็ทวนความจำไว้ แล้วก็ผล๊อยหลับไปอีกทุกที เดี๋ยวลองดูว่าคืนนี้จะได้ยินอีกไหมค่ะ<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  5. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    สมเด็จองค์ปฐม ทรงสอนทางลัดสู่พระนิพพาน

    ธรรมะจากสมเด็จองค์ปฐม โพสต์โดยน้องฝนค่ะ

    ---------------------------------------------------------------------------------

    สวัสดีค้าบ พ่อเเม่พี่น้องทั้งหลาย

    ฝนมีเรื่องมาโม้ให้ฟังล่ะ รวมมิตรเลยละกันเพราะก็ไม่เคยจำว่าได้รับคำสอนมาตอนไหนบ้างเนื่องจากไม่เคยบันทึก เเต่ที่ยังจำได้เพราะสมเด็จท่านจะสอนย้ำซ้ำๆเรื่องเดิมตลอดเวลา

    เมื่อวานพี่ลมโทรมาจากวัดพระอาจารย์ พี่เค้าว่าพระอาจารย์เทศน์สอนเรื่องของศีลกับสมาธิว่าเป็นของคู่กัน พระอาจารย์ท่านว่าถ้าศีลไม่บริสุทธิ์การนั่งสมาธิก็จะไม่มั่นคง ศีลเเละสมาธิเป็นเหตุเเละผลของกันเเละกัน เมื่อการด่างพร้อยของศีลนั้นเกิดขึ้นสมาธิก็ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ ลึกๆฝนก็คิดในใจพระอาจารย์ฝากมาถึงฝนรึเปล่าหนอเพราะฝนก็นั่งสมาธิไม่นิ่งเหมือนกัน

    ฝนก็นั่งคิดๆ นู่นๆนี่ๆ จนถึงเวลาที่ฝนต้องขึ้นไปเฝ้าท่านพอดีโดยไม่ต้องเอ่ยถามท่านก็รู้ว่าฝนคิดอะไรอยู่ในใจ

    สมเด็จ - ทาน ศีล สมาธิ เป็นของคู่กันจะขาดตัวได้ตัวหนึ่งไม่ได้ ทำทานเยอะเเต่ศีลไม่มี อย่างนี้ก็หลุดพ้นไปไม่ได้ มีศีลเเต่ไม่ให้ทานก็ไม่ครบเพราะ การให้ทานคือการลดความตระหนี่ถี่เหนียวในตัวเอง ส่วนศีลเเละสมาธิต้องเป็นของคู่กัน เพราะถ้าศีลไม่บริสุทธิ์ จิตไม่บริสุทธิ์จะทำให้การนั่งสมาธิสงบนิ่งเกิดผลได้อย่างไรกันละลูก

    สมเด็จ - ตัวลูกเองพ่อว่าเจ้าเริ่มเรียนใหม่หมดก็ดีเหมือนกัน เริ่มอ่านเรียนเขียน ก. เอ๋ย กอไก่ ข.ไข่ ในเล้า ใหม่หมดเลย ไปอย่างช้าๆเเต่มั่นคงปูพื้นฐานให้เเน่น เมื่อเรารู้ว่า ก ไก่ เขียนยังไง ต่อไปเมื่อประสมกับสระก็จะได้เป็นคำ จากคำก็เริ่มเรียนเขียนเป็นประโยค เรียนธรรมะก็เหมือนกัน อย่ารีบเร่งไปอย่างช้าๆ ปูพื้นฐานให้เเน่นเเล้วเราจะก้าวหน้าเอง

    สมเด็จ - ทางลัดของพระนิพพานนั้นมีอยู่จริง เอาจิตเกาะเเน่นกับพระนิพพานไว้ ไม่จำเป็นต้องได้มโนมยิทธิก็ได้ เเค่ระลึกถึงพระพุทธเจ้าไว้เป็นอารมณ์ตลอด อย่ายึดติดกับร่างกาย
    อย่างเจ้าเมื่อถึงเวลาที่เจ้าจะตาย เจ้าจงอย่าอาลัยอาวรณ์ในร่างกายของตัวเอง ให้ทิ้งร่างกายของลูกซะเเละมาหาพ่อที่วิหารนี้ อย่าเถลไถลไปที่ไหน มาเจอกันตรงนี้เเล้วพอถึงเวลาตายดวงจิตของเจ้าก็มาอยู่ที่พระนิพพานเอง

    สมเด็จ - เเต่ทว่าจิตยึดติดกับพระพุทธเจ้าเเค่นี้ยังไม่พอ ยังต้องปฏิบัติมองให้เห็นว่าการเกิดมีชีวิตอยู่นั้นเป็นทุกข์ มองทุกอย่างให้เห็นว่าเป็นทุกข์ พยายามฝึกละกิเลสที่มีในตัวทีละเล็กทีละน้อย เป็นการสร้างบารมีให้เพิ่มขึ้นด้วย เมื่อละกิเลสได้เพิ่มขึ้นการเห็นโทษของการเกิดก็จะมากขึ้น กำลังใจที่จะปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ก็จะมากขึ้น ทำให้บารมีขึ้นมาเต็มได้ สามารถเข้าสู่ดินเเดนที่เรียกว่าพระนิพพานได้อย่างเต็มภาคภูมิ

    สมเด็จ - การฝึกจิตเป็นเรื่องสำคัญนะลูก อย่าส่งจิตออกไปข้างนอก ยกเว้นคุยกับพ่อเเละพระอาจารย์ เราควรฝึกสติให้รู้เท่าทันจิตไว้เสมอ การรู้เท่าทันจิตจะมีผลโดยตรงกับการฝึกนั่งสมาธิ เพราะเราจะสามารถตัดนิวรณ์ที่เข้ามารบกวนจิตได้ในทันที เมื่อมีสติเท่าทันจิตการที่เราจะล่วงเกินศีลนั้นไม่มี เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์หนึ่งๆขึ้นสติจะเตือนให้เรารู้เท่าทัน ไม่กระทำการใดๆที่มีผลทำให้ศีลเราด่างพร้อย

    สมเด็จ - การฝึกสติให้รู้เท่าทันจิตวิธีง่ายๆคือ การฝึกตรวจดูลมหายใจเพราะลมหายใจเป็นสิ่งที่ละเอียด เราจะไม่รู้ว่าทางเดินของลมหายใจเป็นยังไงจนกว่าเราสำรวมจิตให้อยู่ภายในกายไม่ส่ายออกไปข้างนอกโดยใช้สติเป็นตัวควบคุม เริ่มเเรกมันอาจจะยากเเต่ค่อยๆฝึกฝนไป การฝึกตรงนี้จะมีผลโดยตรงต่อความก้าวหน้าในด้านของสมถเเละวิปัสสนากรรมฐาน

    ฝน - เเต่ว่าวันๆคนเราก็มีเรื่องต้องคิด เช่น คิดเรื่องการทำมาหากิน จะไม่ให้จิตคิดอะไรเลยนั้นเป็นไปไม่ได้

    สมเด็จ - คิดได้ลูก ถ้าการคิดไม่ละเมิดศีล กรรมบท 10 เเละมรรค 8 เจ้าติดค้างพ่อเรื่องศึกษามรรค 8 ตั้งเเต่พ่อสอนลูกเรื่องอริยสัจ 4 ไว้นานเเล้วนะลูก รีบไปศึกษาเดี๋ยวนี้เลย

    ฝน - เจ้าค่ะ จะไปเดี๋ยวนี้เลย ไม่งั้นก็ทวงหนูตลอดอ่ะ
    ---------------------------------------------------

    ขอเกริ่นจากเมื่อนานมาเเล้ว สมเด็จท่านสอนฝนเรื่อง อริยสัจ 4

    ฝน: ฝนอยากฟังอริยสัจ 4 ค่ะที่พระอาจารย์ท่านเคยเทศน์สอนฝนเเต่ฝนจำไม่ได้

    สมเด็จ: เเล้วลูกรู้อะไรเกี่ยวกับอริยสัจ ๔ บ้าง

    ฝน: ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการซึ่งเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านใช้โปรดปัจจัควคีทั้ง ๕ เเละเป็นธรรมเเรกที่พระอาจารย์ท่านสอนฝนด้วยค่ะ

    สมเด็จ: อริยสัจ ๔ คือธรรมอันประเสริฐ ๔ ประการคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อริยสัจ ๔ เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา

    ฝน: ท่านไม่เห็นเทศน์เหมือนพระอาจารย์เลยค่ะ

    สมเด็จ: ถ้าหนูจะให้เทศน์เหมือนกัน หนูต้องไปฟังพระอาจารย์ท่านเทศน์ที่วัดเเล้วล่ะ ตอนนี้ฟังพ่อไปก่อน

    สมเด็จ: ตัวที่สำคัญที่สุดของอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ ถ้าเรารู้ เข้าใจคำว่า ทุกข์ อย่างถ่องเเท้เเล้วล่ะก็ เราจะเข้าใจความเป็นไปของวัฏฏะสงสาร คือ การเกิด เเก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ คืออะไร ทุกข์นั้นเริ่มต้นตั้งเเต่เกิด เหมือนกับที่พระอาจารย์ท่านเคยสอนเจ้าที่วัดว่า เด็กพอเกิดลืมตาดูโลกขึ้นมา เค้ากำมือมาด้วย นั้นก็คือเค้าพาความทุกข์มากับตัวเค้าเองด้วย โตขึ้นมาก็จะเห็นความทุกข์นั้นมากขึ้น วันพรุ่งนี้จะกินจะอยู่ยังไง พรุ่งนี้จะมีเงินใช้ไหม อย่างเจ้าก็ เมื่อไหร่หนูจะได้งานทำ ถ้าหนูไม่มีงานทำหนูจะอยู่ยังไง พอไม่สบายขึ้นมาก็เป็นทุกข์อีกเเล้ว ปวดทรมานร่างกาย กายเป็นทุกข์ยังไม่พอใจก็เป็นทุกข์อีกเพราะต้องหาเงินมารักษาร่างกาย ความเเก่ก็เป็นทุกข์ ทุกข์ที่ไม่สามารถทำอะไรได้ดังใจ ว่องไว คล่องเเคล่วเหมือนกับวัยสาว หงุดหงิด อารมณ์เสียก็เป็นทุกข์อีก ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เป็นความทุกข์

    สมเด็จ: ต่อไปก็ สมุทัย ตัวนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ สาเหตุเพราะเราไม่มีปัญญาที่จะวิเคราะห์ความจริงเเห่งทุกข์ ทำให้เรายังคงติดอยู่ในทุกข์ ถ้าเราวิเคราะห์ทุกข์ลงไปให้เห็นว่า ทุกข์นั้นเป็นไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง เเละอนัตตา เราก็จะไม่เกาะติดตัวที่ทำให้เกิดทุกข์ เช่นว่า อย่างเรื่องของหนูก็จะเป็น ถ้าเดือนหน้าหนูไม่ได้งานนะ หนูจะไม่มีกิน ไม่มีอยู่ หนูจะหนีกลับเมืองไทยเเล้วจริงๆด้วย ถ้ามาวิเคราะห์เรื่องของเจ้าให้ดีๆเเล้วจะพบว่า เหตุการณ์ของวันพรุ่งนี้ เดือนหน้านี้มันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าตีโพยตีพายไปเอง ไม่ได้ทำจิตให้เป็นปัจจุบันเเละไม่ได้พยายามมองเห็นทุกข์ตามความเป็นจริง ถ้าเกิดวันพรุ่งนี้มีคนโทรมาหาเจ้าให้ไปทำงานได้ ที่เจ้าคิดมาคิดไปนั่นเท่ากับไม่ได้อะไรเลย เป็นการปล่อยจิตให้ฟุ้งซ่าน ดังนั้นวิธีการเเก้สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์นั้นคือ มองให้ออกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ เเละ ดับไปในที่สุด

    สมเด็จ: นิโรธ คือการดับทุกข์ จะดับทุกข์ยังไง ก็ดับทุกข์ให้เห็นว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เที่ยง ที่ยั่งยืน ที่คงทนเเละถาวร ควรค่าพอที่เราจะยึดติดเเละเกาะกุมไว้ พยายามมองให้เห็นเป็นภาพของไตรลักษณ์ เมื่อเกิดทุกข์ขึ้นมาเราควรเรียนรู้ที่จะวิจารณ์ทุกข์ให้เป็นอย่างที่ผู้ที่เค้ามีปัญญาวิเคราะห์กัน อย่าวิตกกังวลอะไรในเรื่องที่มาไม่ถึง เพราะสิ่งที่มันยังมาไม่ถึงจะเร่งวันเร่งคืนให้มันมาถึงเร็วขึ้นก็ไม่ได้ ทุกอย่างได้ถูกกำหนดไว้ด้วยเวรกรรมเเล้ว ไม่ต้องไม่เร่งกรรมหรือผลของกรรมดีเเละกรรมชั่วให้มันเร็วขึ้น เพราะนอกจากจะไม่ได้มีอะไรให้ดีขึ้นเเล้ว ยังทำให้จิตของเราฟุ้งซ่านอีกด้วย เจ้านี้เเหล่ะไม่ใช่ใครอื่นที่ไหนตัวดีเลย เจ้าลูกคนนี้ วันๆเอาเเต่โวยวายนู่นๆนี่ หัดทำใจให้สงบนิ่งๆ ค่อยๆคิด ค่อยๆวิจารณ์

    สมเด็จ: มรรค มรรคคือหนทางไปในทางดับทุกข์ที่เรียกว่ามรรคมีองค์เเปด มีอะไรบ้างรู้ไหม

    ฝน: ไม่รู้ค่ะ

    สมเด็จ: ไปอ่านมาเเล้วพ่อจะสอนให้ทีหลัง ต้องอ่านเองบ้างไม่ใช่อะไรก็ถามๆ พระอาจารย์เจ้าว่าให้เจ้าไปเรียนรู้ด้วยตัวเองมาก่อน สงสัยเเล้วค่อยถาม ถ้าอย่างนั้นเจ้าไม่คิดจะขวยขวายหาความรู้ อยากรู้อะไรก็ขึ้นมาถามนั้นไม่ถูกต้อง

    -----------------------------------------------------

    ฝน - อ่านจบเเล้วค่ะ

    สมเด็จ - หนูอ่านเเล้วได้อะไรบ้างละลูก

    ฝน - ได้ตามที่อ่าน เค้าเขียนไว้ยังไงหนูก็อ่านตามนั้น

    สมเด็จ - พ่อถามว่าลูกเข้าใจตามนั้นไหม

    ฝน - เข้าใจตามที่เค้าเขียนไว้ค่ะ มากกว่านั้นหนูก็ไม่เข้าใจ

    สมเด็จ - กวนเนาะ

    ฝน - อ้าว

    สมเด็จ - พ่อสอนให้ฟังก็ได้ พ่อจะสอนเป็นหมวดๆไม่เรียงลำดับก่อนหลังนะ เพราะเวลาเราพิจารณา เราจะพิจารณาเป็นหมวดหมู่ไป มรรค 8 พูดง่ายๆเป็นการรวมตัวของหลักธรรมด้าน ศีล สมาธิ เเละปัญญา

    สมเด็จ - ตัวทางด้านปัญญามีอยู่ 2 ตัว คือ สัมมาทิฎฐิ ซึ่งคือการใช้ปัญญาให้เห็นตามความเป็นจริง ตัวที่สองคือ สัมมาสังกัปปะ ซึ่งก็คือการดำริชอบ เป็นการพิจารณาใคร่ครวญด้วยการใช้สติเเละปัญญาประกอบกันเข้า

    สมเด็จ - สรุปก็คือ ทางด้านของปัญญาต้องใช้สัมมาทิฏฐิเเละสัมมาสังกัปปะเป็นตัวร่วมกันจะขาดตัวใดตัวหนึ่งนั้นเป็นไปไม่ได้เลย ยกตัวอย่างก็เช่น เรื่องของมโนมยิทธิที่พระอาจารย์ดุเจ้าเรื่องนี้ที่วัด ปัญหาของมโนมยิทธิก็อยู่ตรงนี้ บางคนไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้รอบคอบในสิ่งที่ตัวเองรู้มาหรือได้ยินมา ทำให้ความเข้าใจในสิ่งที่รับมานั้นคลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง ดังนั้นคนเราเมื่อรู้อะไรในจงใช้ปัญญาของตัวเองพิจารณาใคร่ครวญในสิ่งที่เรารับรู้มาว่าถูกต้องตามความเป็นจริงที่เห็นกันอยู่ไหม ขัดเเย้งกับคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านไหม

    สมเด็จ - ต่อไปก็เป็นหมวดของสมาธิ ได้เเก่ สัมมาวายามะ หรือ ความเพียรชอบ สัมมาสติ คือ การรู้เท่าทันจิต สัมมาสมาธิ คือ การไม่ส่งจิตออกไปข้างนอก ฝึกจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในกาย ทั้ง 3 ตัวนี้ต้องอยู่ร่วมกันขาดตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้อีกเหมือนกัน

    สมเด็จ - ยกตัวอย่างจากการฝึกนั่งพระกรรมฐาน จากคนที่ไม่รู้อะไรเลยอยากจะฝึกนั่งจุดเเรกที่ต้องมีเลยคือ สัมมาวายามะ คือ ความเพียร ถ้าคนเราขาดตัวนี้ซักตัวคิดจะทำอะไรก็ไม่สำเร็จ เช่นเจ้าเป็นต้น ขาดเยอะมากตัวนี้ วันๆเอาเเต่คิดนู่นคิดนี่เเต่ไม่ปฏิบัติอะไรให้เห็นผลเจออุปสรรคเข้าหน่อยก็ท้อเเล้ว อย่างนี้ถือว่าขาดสัมมาวายามะ

    สมเด็จ - สัมมาสติ คนเราจะทำงานการหรือเเม้เเต่จะคิดอะไรก็ต้องมีสติคอยกำกับไว้เสมอ การฝึกนั่งกรรมฐานต้องมีสติให้รู้เท่าทันจิตเพื่อป้องกันไม่ให้นิวรณ์เข้าเเทรกในขณะที่เราฝึกปฏิบัติ สัมมาสมาธิคือ การไม่ส่งจิตออกไปข้างนอกเพื่อให้เรารู้เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริงที่ถูกต้องตามกำลังของจิตเพื่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติ

    สมเด็จ - สรุปก็คือในการปฏิบัติพระกรรมฐาน เราใช้สัมมาวายามะเพื่อสร้างความเพียรชอบ ในการตั้งมั่นที่จะปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น การปฏิบัติจะก้าวหน้าได้ต้องอาศัยตัวนี้ ความหมายของมันในทางปฏิบัติก็เป็นตัวเดียวกับ วิริยะ ในอิทธิบาทสี่ สัมมาสติเเละสัมมาสมาธิต้องควบคู่กันไป ถ้าไม่มีสติเเละสมาธิ วันๆเอาเเต่ส่งจิตออกไปข้างนอกส่ายไปส่ายมาโอกาสที่เราจะได้รับรู้สิ่งที่ถูกต้องนั้นไม่มีเลย

    สมเด็จ - กลุ่มสุดท้ายคือ ศีล ได้เเก่สัมมาวาจา คือเจรจาชอบ พูดง่ายๆคือ พูดให้เข้าหูคน ควรหลีกเลี่ยงการพูดเพื่อให้เกิดความขัดเเย้ง ประเด็นเดียวกับกรรมบท 10 ในส่วนของวาจา อันได้เเก่ ไม่พูดโกหก ไม่พูดจาส่อเสียดให้คนทะเลาะกัน ไม่พูดจาหยาบคาย ไม่พูดจาเพ้อเจ้อ
    สมเด็จ - สัมมากัมมันตะ คือ การประพฤติชอบ ได้เเก่กลุ่มของกรรมบท 10 ของส่วนที่เรียกว่า กาย 3 อันได้เเก่ การไม่ฆ่าสัตว์ การไม่ลักทรัพย์ การไม่ประพฤติผิดในกาม

    สมเด็จ - สัมมาอาชีวะ คือ การเลี้ยงชีพชอบ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ตั้งใจในการประกอบอาชีพหาเลี้ยงตัวเองด้วยความสุจริตโดยไม่ประพฤติละเมิดศีล 5

    สมเด็จ - พ่อสอนไว้ ไม่ใช่สักเเต่ว่าฟังพ่อสอน ให้นำเอาไปคิดไปปฎิบัติด้วย อยากฝึกกรรมฐานให้สำเร็จใช้ความอยากตัวเดียวนำพาไปไม่ได้ อยากเเล้วต้องนำไปปฏิบัติด้วย ศีล กรรมบท 10 มรรค 8 ควรนำไปท่องจำให้ได้เพื่อใช้ในการปฏิบัติเพื่อความก้าวหน้าเป็นไปเพื่อการละกิเลสเเละมุ่งสู่พระนิพพาน

    ฝน - ค่ะ

    ----------------------------------------------------

    ใช้ปัญญาพิจารณาด้วยนะคะ อย่าสักเเต่ว่าเชื่อฝน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  6. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม เรื่องขันธ์ ๕

    ธรรมะจากสมเด็จองค์ปฐม โพสต์โดยน้องฝนค่ะ

    ---------------------------------------------------------------------------------

    สวัสดีค่ะ

    ตั้งเเต่เมื่อวานเเล้วที่สมเด็จท่านเรียกไปเรียนเรื่องขันธ์ ๕ เเต่ฝนก็เบี้ยวไปเบี้ยวมา จริงๆก็อยากรู้เหมือนกันว่าขันธ์ ๕ คืออะไร มีความสำคัญยังไงทำไมเราควรต้องละขันธ์ ๕ ก่อนจึงจะเข้าสู่เขตเเดนพระนิพพานได้

    สมเด็จ - ขันธ์ ๕ คืออะไรลูก

    ฝน - คือรูป ๑ นาม ๔

    สมเด็จ - ทำไมถึงเรียกว่าขันธ์ ๕

    สมเด็จ - ขันธ์ ๕ คือกิเลส ๕ ประการที่เราควรละเพื่อการเข้าสู่ดินเเดนที่เราเรียกว่าพระนิพพาน กิเลสเหล่านี้เเหละ คือสิ่งที่ฝังอยู่ในตัวเรา ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร การที่เราจะหลุดพ้นจากวัฏฏสงสารได้เราต้องกำจัดกิเลสทั้ง ๕ นี้ให้หมดในวันที่เราหมดลมหายใจ คนหลายคนจะตัดได้หมดก็ตอนใกล้ตาย

    สมเด็จ - ดังนั้นตอนที่เรายังมีสติครบสมบูรณ์เราควรที่จะเรียนรู้ไว้เพื่อฝึกปฏิบัติในการละ อย่าคิดว่ามันยาก อย่าคิดว่าเป็นเรื่องของพระภิกษุสงฆ์เท่านั้นที่ควรปฏิบัติ เพราะการฝึกละกิเลสเป็นหน้าที่ที่พึงปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทุกคนที่ต้องการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

    สมเด็จ - ขันธ์ ๕ ประกอบด้วย รูป ๑ นาม ๔ อย่างที่ลูกตอบมานั้นถูกต้องเเล้ว รูปคือ ธาตุทั้ง ๔ ที่รวมประกอบเข้ากันเป็นร่างกาย อันได้เเก่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบเข้าด้วยกัน ที่วัดพระอาจารย์จะเน้นสอนกันมากเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    สมเด็จ - พระอาจารย์ท่านจะเน้นสอนให้เห็นว่าการมีเรายังดำรงขันธ์อยู่นั้นเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะร่างกายนั้นเป็นของไม่เที่ยง มันปรวนเเปร เเละเมื่อถึงเวลาธาตุทั้งสี่ก็ดับไปในที่สุด

    สมเด็จ - ร่างกายมันเป็นของไม่เที่ยง ถ้ามันเที่ยงมันจะไม่มีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ถ้าร่างกายเป็นของเราจริงผิวหนังต้องไม่เหี่ยวย่นต้องตึงเหมือนผิววัยเเรกเกิด เส้นผมก็ไม่ต้องหลุดเวลาเราหวีหรือสระผม ถึงเเม้เราจะทะนุถนอมผิวพรรณด้วยเครื่องสำอางราคาเเพง หรือยาสระผมราคาเเพง มันก็ไม่สามารถดึงรั้งร่างกายเราให้ขาวๆผิวพรรณเปล่งปลั่งไว้ได้ตลอดไป ดังนั้นเราควรที่จะเอาส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายมาพิจารณาในทุกๆวัน เช่น เมื่อเราหวีผมๆร่วงตามหวีลงมา ให้พิจารณาว่า โอ้ร่างกายเรานี้หนอ เส้นผมที่เราทะนุถนอมสระมันทุกวัน หวีมันทุกวันให้สวยงาม เเต่มันไม่เห็นคงสภาพอยู่ติดหัวเราเลย

    สมเด็จ - สุดท้ายคืออนัตตาความไม่มีตัวไม่มีตน เพราะถ้ามันเป็นของเราจริงผมมันก็ต้องอยู่กับเราสิ มันจะหลุดจากเราไปทำไม พิจารณาไปเรื่อยๆทุกๆวัน ซักวันจะเข้าใจความไม่มีตัวไม่มีตนของร่างกาย

    สมเด็จ - นาม ๔ ได้เเก่ เวทนา สัญญา สังขารเเละวิญญาน

    สมเด็จ - เวทนาคือการสัมผัสรู้ อันได้เเก่ ตา หู จมูก ปาก ลิ้น กายซึ่งก็คือผิวหนัง เเละใจ ซึ่งจากการสัมผัสได้ทางจิต ทำไมเราถึงเรียกว่าเวทนาเป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ ๕ ลูกรู้ไหม

    ฝน - ไม่รู้ค่ะ จำได้เเต่ว่า พระท่านสอนไว้ เวทนาคือสิ่งที่ตามองเห็นเเละจิตสัมผัสได้ เเละเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกเพราะไม่เที่ยง ทำไมถึงไม่เที่ยง ที่ไม่เที่ยงเพราะเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะอะไร เป็นทุกข์เพราะมันไม่เที่ยง

    สมเด็จ - (หัวเราะ) น้องสอนเจ้าเเบบนี้ใช่ไหม มึนเลยเนาะ จะว่าน้องก็ไม่ได้เพราะพี่น้องเค้าสอนกันมาเเบบนี้ พระอาจารย์ท่านเน้นเรื่อง ความไม่มีตัวตนเป็นสำคัญ เพราะถ้าในเมื่อเราไม่เห็นอะไรเป็นตัวเป็นตนที่เราจะยึดเกาะได้เเล้ว สัญชาตญานของมนุษย์จะปล่อยวาง ดังนั้นเพื่อการหลุดพ้นเราควรที่จะหาอุบายเพื่อที่จะปล่อยวาง

    สมเด็จ - เวทนาคือสิ่งที่เราสัมผัสได้ทั้งกายสัมผัสทั้ง 5 อันได้เเก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เเละ จิตสัมผัสหรือที่เราเรียกว่าใจ ทีนี้เรามาวิเคราะห์คำพูดของพระท่านกันว่า ทำไมเวทนาถึงไม่เที่ยง

    สมเด็จ - เมื่อเราดีใจมีความสุขก็เป็นเรื่องของเวทนาเพราะเราเอาจิตของเราไปตั้งไว้บนตัวสุข ความสุขที่มันเกิดขึ้นนี้มันไม่เเน่ไม่นอนเพราะความสุขทางโลกมีเหตุที่ทำให้เกิดขึ้น เเปรปรวนในท่ามกลางเเละดับไปในที่สุด การสัมผัสร้อน หนาวก็เป็นเรื่องของเวทนาเพราะเมื่อร่างกายหนาวเย็นเกินไปเราก็เป็นทุกข์ อากาศร้อนเราก็เป็นทุกข์ ถ้าร่างกายมันจะหนาวจะร้อนก็ปล่อยมันช่างมัน ที่สำคัญอย่าทำให้จิตเรารุ่มร้อนเป็นพอ

    สมเด็จ - ต่อไปก็เป็น สัญญา คือ ความทรงจำหมายรู้ในเรื่องของอดีตเเละปัจจุบัน น้องสอนเจ้าไว้ว่ายังไง

    ฝน - ท่านสอนให้พิจารณาว่าทำไมคนเราเมื่อพยายามจำในเรื่องบางเรื่อง พยายามจะจำเเต่ทำไมมันถึงลืม ท่านว่าลืมเพราะว่ามันไม่เที่ยง พอมันไม่เที่ยงมันก็เป็นทุกข์ เเล้วท่านก็กลับไปกลับมาเหมือนเดิมว่าที่มันเป็นทุกข์เพราะมันไม่เที่ยง

    สมเด็จ - (หัวเราะ) เออ ต้องเข้าใจบารมีมันยังไม่เเก่กล้าพอ น้องเค้าเอาสิ่งที่เรียนมาจากพระอาจารย์เอามาเรียบเรียงใหม่เพื่อสอนเจ้า เเต่ถ่ายทอดตรงๆเหมือนเค้าสอนตัวเอง เจ้าที่ไม่รู้เรื่องอะไร มาเจอคำสอนเเบบนี้ยิ่งงงกว่าเดิม ดูพวกเจ้าสองคนคุยกันเเล้วตลกดี คนรู้กับคนไม่รู้คุยกันไปคุยกันมา ยิ่งงงหนักเลย

    สมเด็จ - สัญญาเป็นเรื่องของความทรงจำหมายรู้ซึ่งที่เราได้รู้มาทั้งในอดีตเเละปัจจุบัน สัญญาเป็นตัวที่ทำให้เกิดความทุกข์เพราะว่า เรื่องบางเรื่องที่เรารู้มาทั้งในอดีตเเละปัจจุบัน เมื่อเรารู้เเล้วเราไม่วางมันลงไป เรากลับเอาจิตไปติดข้องหมองใจในเรื่องเหล่านี้ เช่น เรื่องการเสียชีวิตของเเม่เจ้า หรือการเลิกรากันของคนที่คบกันเป็นคู่หมายดูใจ

    สมเด็จ - เมื่อมีสาเหตุที่พลัดพรากจากคนที่เรารักไป ด้วยความที่ไม่เข้าใจว่าการพลัดพรากจากของที่เรารัก เราชอบใจนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ทำให้จิตของเราเป็นทุกข์ ทุกข์ที่เกิดจากความจำได้หมายรู้ของเรานั่นเอง

    สมเด็จ - เเละเหตุที่เป็นอนัตตาก็เพราะว่าเรื่องทั้งหมดการมีชีวิตอยู่ของเเม่เจ้านั้นจบไปเเล้ว กลายเป็นเรื่องของสิ่งที่ไม่มีตัวตนบนโลกมนุษย์ เเต่คนเราก็ยังทำใจไม่ได้จากการจากไปของคนที่ตัวเองรัก ดังนั้นจึงเอาสิ่งที่ตัวเองเคยรู้มาเเปะไว้ในความคิด คิดไปคิดมาย้ำๆซ้ำกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน

    สมเด็จ - สังขาร หัวข้อนี้น้องสอนเจ้าไว้ดีนะ พ่อขอชม จำได้ไหมว่าพระท่านสอนเจ้าไว้ว่ายังไง

    ฝน - ท่านสอนว่าสังขารคนทั่วไปคิดว่าเป็นเรื่องของร่างกายเเต่ในทางธรรมสังขารเป็นเรื่องการปรุงเเต่งของจิต เเล้วท่านก็สอนต่อว่าสังขารทำให้เกิดทุกข์ ที่ทุกข์เพราะว่าไม่เที่ยง

    สมเด็จ - (หัวเราะ) พ่อก็ได้ยินตอนที่ท่านสอนเจ้า พ่อฟังเเล้วก็ขำ พระอาจารย์ท่านก็ยิ้ม

    สมเด็จ - สังขารที่เป็นทุกข์เหตุเกิดเนื่องจากการปรุงเเต่งของจิต จิตที่ปรุงเเต่งทางอารมณ์เเละทางความคิดจะเกิดขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากอุปาทานเเละความไม่รู้คืออวิชชานั่นเอง ทำให้จิตเกิดความฟุ้งซ่านซึ่งตัวนี้จะไปทำลายความถูกต้องการรับรู้ของจิต เมื่อเราเอาเรื่องเหล่านั้นมาพิจารณาอย่างถ้วนถี่เเล้วเราจะพบว่าเรื่องเหล่านั้นไม่มีตัวตนเลย

    สมเด็จ - เช่น เมื่อมีคนมาด่าว่าเราให้เราโกรธข้องหมองใจ เมื่อเรามาพิจารณาว่าเค้าว่าเราจริงหรือ มีตรงไหนของร่างกายที่ว่าเป็นตัวเรา ร่างกายก็เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ดังนั้นร่างกายก็ไม่ใช่ของเรา หรือเค้าว่าจิตเรา จิตเราจับต้องได้หรือ ถ้าได้จิตอยู่ตรงไหน เมื่อเราพิจารณาได้เเล้วเราก็จะรับรู้ว่า จริงๆเเล้วจิตเป็นเพียงสภาวะธาตุที่เรียกว่าตัวรู้ หรือธาตุรู้เท่านั้นเอง เมื่อเราพิจารณาได้อย่างนี้เเล้วเราจะเห็นว่าการปรุงเเต่งของจิตมีเเต่ทำให้จิตตัวเองขุ่นข้องหมองมัวทั้งๆที่จริงๆเเล้วเรื่องราวทั้งหมดไม่มีอะไรเลยหรือที่เรียกว่าอนัตตา

    สมเด็จ - ตัวสุดท้ายเเล้วทนฟังหน่อยลูก ตัวสุดท้ายเรียกว่าวิญญาน วิญญานจะไปเกี่ยวข้องสัมผัสกับเวทนา สัญญา เเละสังขารทั้งหมดเลย เพราะวิญญานคือตัวรับรู้ คือตัวเเรกที่มาสัมผัสกับการรู้ การเห็น ของเรา เเละจำเเนกลงไปในรายละเอียดว่าเป็นเรื่องของเวทนา สัญญา หรือสังขาร

    สมเด็จ - พ่อก็รู้ว่ามันหนักเหมือนกันสำหรับเจ้าเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ พระอาจารย์เองท่านก็เคยสอนรายละเอียดเเล้วเเต่ลูกศิษย์คนนี้ จำไม่ได้ ใช่ไหม

    ฝน - จำไม่ได้เลยค่ะ

    สมเด็จ - เพราะตอนนั้นเจ้ายังไม่ค่อยรู้อะไรมาก ค่อยๆเรียนรู้กันไปนะลูก

    ฝน - ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  7. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม สนิมเกาะใจ

    ธรรมะจากสมเด็จองค์ปฐม โพสต์โดยน้องฝน

    --------------------------------------------------------------------------------

    เมื่อเช้านี้ฝนได้รับคำสอนที่เป็นอุบายทางพระพุทธศาสนาเล็กๆน้อยๆจากสมเด็จท่าน

    ตอนเเรกฝนก็ว่าจะไม่เขียนเพราะดูเหมือนจะไม่มีอะไรมากในคำสอนของท่าน เเต่เมื่อฝนนำคำสอนของท่านมาพิจารณาเเล้วฝนว่า เป็นคำสอนอุบายที่เเยบยลมาก

    สมเด็จ - คนเรานะลูกเกิดกี่ชาติๆก็มีจิตดวงเดิมตามกันมาด้วยกันทั้งนั้นเเหละลูก เเต่ด้วยเพราะความไม่รู้เลยปล่อยให้กิเลสตัณหาครอบงำดวงจิต เปรียบเหมือนมีสนิมเกาะในดวงจิต

    สมเด็จ - มีเเต่พระอรหันต์ท่านเท่านั้นที่สามารถขัดดวงจิตของท่านให้สว่างไสวได้ ดวงจิตของท่านก็เลยเกิดความเป็นทิพย์ อยากรู้ อยากเห็นอะไร จิตท่านสามารถรู้ สัมผัสได้ทันที เพราะดวงจิตของท่านใสไม่มีสนิมเกาะเเล้ว

    สมเด็จ - เเท้จริงเเล้วจิตของคนมีความเป็นทิพย์ด้วยกันทั้งนั้นเเต่เพราะมีสนิมมาเกาะดวงจิตทำให้ดวงจิตมืดสลัวไป ดังนั้นเจ้าควรที่จะเริ่มขัดสนิมออกจากดวงจิตของเจ้าตั้งเเต่วันนี้เพื่อให้ความเป็นทิพย์ของดวงจิตเจ้านั้นกลับมา

    ฝน - ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  8. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ผลของการเจริญเมตตา

    วันนี้ตื่นนอนมาตอนตีสี่แล้วก็ไม่หลับต่อ เลยได้ไปกราบหลวงพ่อโตที่โบสถ์

    ดิฉัน - หลวงพ่อเจ้าขา ลูกมากราบเจ้าค่ะ

    หลวงพ่อ - เออ...ทำไมถึงมาได้ละนี่

    ดิฉัน - แหม..หลวงพ่อก็

    หลวงพ่อ - เป็นไง งานกฐินผ่านไปแล้ว รู้สึกยังไงบ้าง

    ดิฉัน - ก็รู้สึกสบายใจขึ้นค่ะ

    หลวงพ่อ - แล้วพวกเจ้ากรรมนายเวร ศัตรู คนคิดร้ายต่อเราดีขึ้นบ้างไหม

    ดิฉัน - ก็ดีขึ้นค่ะ คนที่คิดร้าย เกลียดเรา ไม่ชอบเรานี่ พระศาสดาสอนไว้ว่าให้เราอุเบกขาค่ะ แล้วก็ให้แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เขาบ่อยๆ ขออโหสิกรรมกันซะ จะได้จบกรรมกันในชาตินี้ค่ะ

    หลวงพ่อ - แล้วได้ผลไหมละ

    ดิฉัน - ได้ผลค่ะ เขาก็ไม่ค่อยมาวุ่นวาย ก็เงียบๆไป

    หลวงพ่อ - แล้วสำหรับตัวเราละรู้สึกยังไง

    ดิฉัน - ก็ตั้งแต่พระศาสดาสอนให้แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลเป็นประจำ ก็ทำให้ฝึกอารมณ์ไปได้ในระดับนึงค่ะ เจอใครร้ายมาหรือด่าว่าเรา ก็ไม่คิดไรค่ะ ก็แผ่เมตตาให้เขาไป เขาอยากด่าอยากว่าก็ตามใจเขา คิดว่าเราคงเคยทำกรรมกับเขาไว้ค่ะ ก็ขออโหสิกรรมกันในชาตินี้เลย ก็รู้สึกว่าใจเราก็เย็นสบายไม่รุ่มร้อนไปกับคำด่านั้น แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ อารมณ์มันจะรุ่มร้อนใจมากเลย โกรธ โมโห อยากจะต่อปากต่อคำด้วย เต้นไปตามอารมณ์เขาค่ะ

    หลวงพ่อ - นี่แหละผลของการเจริญเมตตา ทำให้อารมณ์เราเย็นสบายไม่รู้สึกร้อนรน การที่เราอุเบกขาต่อการว่าร้ายของคนที่ไม่ชอบเราแล้วก็แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เขา จะทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรเราได้ แล้วเขาก็จะแพ้ภัยตัวเองในที่สุด เวลาเจออะไรแบบนี้ก็ให้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องไปสู้รบปรบมือกับเขา ก็ให้แผ่เมตตาเป็นประจำ อุทิศส่วนกุศลให้เขาเรื่อยๆ ขออโหสิกรรมกันไปในชาตินี้ จะได้ไม่ต่อกรรมกับเขาไปอีก เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรนะลูก

    ดิฉัน - สาธุเจ้าค่ะ<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  9. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    หลวงพ่อฤาษี สอนเรื่องการทำบุญอย่าให้เบียดเบียนตนเอง

    คืนถัดมาขึ้นไปกราบพระศาสดา ได้พบกับหลวงพ่อฤาษีท่านด้วย ก็เลยได้สนทนากับท่านถึงเรื่องการทำบุญ

    ดิฉัน - หลวงพ่อเจ้าคะ ช่วงนี้ลูกรับปากเรื่องบอกบุญไว้หลายที่เจ้าค่ะ แต่ว่าก็คงจะทยอยๆทำไป ทีนี้ลูกเป็นห่วงว่าท่านกัลยาณมิตรจะเดือดร้อน เดี๋ยวจะหาว่ามีแต่เรื่องทำบุญตลอด หลวงพ่อว่าลูกควรจะทำยังไงดีเจ้าคะ

    หลวงพ่อฤาษี - ไม่ต้องคิดมากหรอก คนในกระทู้เขาก็เป็นคนจิตใจดีทุกคน เขาไม่ว่าอะไรหรอก เขาก็ต้องรู้ตัวแหละว่าควรทำเท่าไหร่ยังไง

    ดิฉัน - ค่ะ ก็ห่วงเหมือนกัน ปัจจัยไม่ได้หาได้ง่ายๆ งานบุญนี่คงจะมีไปเรื่อยๆแน่เลยค่ะ หลังจากนี้ ก็ไม่อยากให้ใครเดือดร้อนเพราะการทำบุญนะคะ อย่างลูกก็จะทำตามกำลังตัวเอง มีน้อยก็ทำน้อย มีมากก็ทำมากเจ้าค่ะ

    หลวงพ่อฤาษี - ถูกต้องแล้ว ทำบุญมันก็ต้องตามกำลังทรัพย์ที่ตัวเองมี ไม่ใช่ทำแล้วเบียดเบียนตนเอง ทำแล้วตัวเองมานั่งทุกข์ ไม่ใช่ทำบุญเอาหน้าแต่ตัวเองไม่มีจะกิน ครอบครัวเดือดร้อน อย่างนี้ไม่ถูก ทำบุญก็ต้องทำอย่างฉลาด อย่าโง่ มีน้อยก็ทำแต่น้อย แต่ว่าความศรัทธามุ่งมั่นมีเยอะ อย่างนี้ก็ได้บุญเยอะ ไม่เห็นจำเป็นต้องทำบุญด้วยเงินเยอะๆเลย หากบางครั้งเราไม่มีปัจจัยที่จะทำ เราก็ร่วมอนุโมทนาในบุญที่คนอื่นทำก็ได้เหมือนกัน ไปบอกทุกคนว่าการทำบุญอย่าให้เบียดเบียนตนเอง ทำแล้วให้ได้เกิดจิตใจผ่องใส ยินดีในผลแห่งการทำบุญนั้นๆ ไม่จำเป็นต้องทำบุญทุกงานบุญหรอก เอาที่เราสบายเงินแล้วก็สบายใจดีกว่า จำเอาไว้นะลูก

    ดิฉัน - สาธุ กราบขอบพระคุณหลวงพ่อมากๆเจ้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  10. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะทั้งหมด

    เมื่อวานได้ขึ้นไปกราบพระศาสดา แล้วได้สนทนากับท่านถึงเรื่องในกระทู้ด้วย

    ดิฉัน - พระศาสดาคะ เดี๋ยวนี้ในกระทู้ ลูกไม่ค่อยได้มีธรรมะ คำสอนจากพระองค์ไปบอกเล่าเลยค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้เดินสายไปทำบุญซะเยอะ เลยได้แต่เอาเรื่องที่ไปทำบุญมาเล่า จนบางคนอาจจะคิดว่าเราเน้นแต่ไปทำบุญ ไม่เห็นจะมีธรรมะอะไรเลย

    พระศาสดา - ถ้ามองทุกอย่างให้มันเป็นธรรมะ มันก็คือธรรมะทั้งนั้น คำสอนของพระศาสดาจริงๆไม่ได้มีอะไรมากเลย แค่อริยสัจ 4 เท่านั้น ไปพิจารณาให้ถ่องแท้ มองให้เห็นทุกข์ในทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็ปฏิบัติให้ได้ บางคนก็ดีแต่ชอบฟังคำสอน ฟังเรื่อยไปแต่ไม่เคยปฏิบัติ การที่ลูกไปทำบุญทำทานนั่นก็เป็นการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างหนึ่ง เป็นการเสียสละทรัพย์ทำให้ลดความตระหนี่ขี้เหนียวลงแล้วก็เป็นบุญด้านการทำทานบารมี การไปปฏิบัติธรรมที่วัดหรือที่ศูนย์ปฏิบัติธรรม เราก็ได้ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา แล้วตรงไหนที่มันไม่เกี่ยวกับธรรมะ

    ดิฉัน - ก็เกี่ยวหมดทุกอย่างค่ะ เพียงแต่ว่าข้อธรรมะ ไม่ค่อยจะมีเหมือนก่อนนั่นเอง

    พระศาสดา - ธรรมะมันก็มีอยู่ในทุกๆสิ่ง อยู่ที่ว่าพวกเจ้าจะคิดได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าจะต้องเอาคำสอนมากมายมานั่งสอนกันทุกวัน เพราะโดยสรุปแล้วก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งทุกคนควรนำไปปฏิบัติ ไม่ใช่แต่จะมานั่งอ่านๆๆ อยากได้ธรรมะข้อโน้น ข้อนี้ สิ่งที่สอนๆกันไปทำได้หรือยัง ศีลถือกันได้ครบหรือยัง พรหมวิหารสี่ทรงกันได้ตลอดเวลาหรือยัง กรรมบทสิบละทำกันได้ไหม แล้วสังโยชน์ละกันได้กี่ข้อแล้ว ไปสำรวจดูกันเอาเอง เจ้าเองก็ไม่ต้องไปกังวลกับเรื่องของคนอื่นหรอก ดูจิตตัวเองเท่านั้นพอ ใครเขาจะเป็นยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า วางเฉยซะ คนที่เขาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คนที่มีปัญญาจะคิดได้เองว่าอะไรเป็นอะไร อย่าได้ไปคิดแทนคนอื่น เจ้ามีหน้าที่ของเจ้าที่จะต้องทำก็ทำไปตามหน้าที่ เรื่องอื่นก็อย่าไปใส่ใจ ทุกคนมีกรรมเป็นตัวกำหนด ต่างคนก็ต่างกรรมกันไป ผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกับเจ้าเขาก็จะคงอยู่ คนไหนที่ไม่เกี่ยวข้องกัน เดี๋ยวเขาก็ไปเอง ก็ให้วางเฉยซะ ทุกสิ่งทุกอย่างมีกรรมเป็นตัวกำหนด เจ้าก็อยู่ในที่ที่ของเจ้านี่แหละ ทำหน้าที่ของเจ้าไป

    ดิฉัน - สาธุ ทราบแล้วเจ้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  11. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    หนี้สงฆ์ และการชำระหนี้สงฆ์ต้องทำอย่างไร

    12-2-10

    เมื่อวานคุยกับคุณหนิงและน้องๆเรื่อง "ของสงฆ์" กัน เหตุจากว่ามีน้องคนหนึ่งไปแวะที่ศูนย์แล้วตอนล้างจานพลาดทำจานแตกไปใบหนึ่ง ก็ว่าจะบอกกับ อจ ชนะ แต่น้องเขาก็ลืม แล้วมาเล่าให้คุณหนิงฟัง คุณหนิงก็เลยไปบอก อจ ชนะ พร้อมกับถามว่า ของของสงฆ์นี่ถ้าเราไม่ได้เจตนาทำแตก ก็ไม่น่าผิดใช่ไหม ซึ่ง อจ ชนะ บอกว่า ขึ้นชื่อว่าของของสงฆ์ จะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ผิดก็บาป ของสงฆ์นี่ยิ่งบาปหนัก อจ ชนะบอกว่า แม้แต่พริกที่อยู่ในวัดแล้วอีกามาคาบไปกินนอกวัด เม็ดพริกแตกแล้วงอกเป็นต้นขึ้นมา คนมาเก็บไปกินก็ติดหนี้สงฆ์

    เล่นเอาพวกเราอึ้งกันไปเลย ขนาดว่าเม็ดมันแตกงอกเป็นต้นใหม่แล้ว เราไปเก็บมากินก็ติดหนี้สงฆ์ อย่างนี้คนไม่รู้จะทำไง อยู่ๆก็ติดหนี้สงฆ์มาโดยไม่รู้ตัว แล้วทำไมถึงต้องติดหนี้สงฆ์ เกิดความสงสัยเลยคิดว่าต้องขึ้นไปถามพระศาสดาสักหน่อย

    เลยได้ขึ้นไปถามพระศาสดาให้หายข้องใจค่ะ

    ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาเจ้าค่ะ

    พระศาสดา - เจริญพร

    ดิฉัน - มีเรื่องอยากจะถามพระศาสดาค่ะ

    พระศาสดา - เรื่องอะไรเหรอ

    ดิฉัน - เรื่องที่ว่าถ้ามีอีกามาคาบพริกจากในวัดไปกินนอกวัด แล้วเม็ดพริกมันแตกแล้วงอกเป็นต้นพริกใหม่ขึ้นมา แล้วถ้ามีคนเก็บไปกิน ก็เป็นการติดหนี้สงฆ์เหรอเจ้าคะ

    พระศาสดา - ถูกต้อง

    ดิฉัน - ทำไมถึงติดหนี้สงฆ์ละคะ ก็เม็ดพริกมันงอกเป็นต้นใหม่อยู่นอกวัดไปแล้ว (อยู่ๆ ไอ้ตัวรู้มันเกิดขึ้นมาทันที รู้ได้เองถึงคำตอบนั้น แต่ไม่แน่ใจเลยรอคำตอบจากพระศาสดาท่าน)

    พระศาสดา - ของๆสงฆ์ ถึงไปอยู่ ณ ที่แห่งใด ก็เป็นของสงฆ์

    ดิฉัน - ถึงแม้ว่าจะออกไปนอกวัดแล้ว กลายเป็นต้นใหม่ไปแล้วน่ะเหรอคะ

    พระศาสดา - ถูกต้อง...เอาอย่างนี้ พระศาสดาจะถามเธอว่า ถ้าเกิดมีขโมยขึ้นบ้านเธอ แล้วขโมยเอาทรัพย์สินเงินทองของเธอไป พ้นออกจากบ้านไปแล้ว ของสิ่งนั้นยังเป็นของเธอไหม

    ดิฉัน - ยังเป็นเจ้าค่ะ

    พระศาสดา - แล้วหากขโมยผู้นั้น นำของไปขายให้บุคคลอื่น บุคคลผู้นั้นจะเป็นเช่นไร จะถูกลงโทษหรือไม่ ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าคนนี้ขโมยมา

    ดิฉัน - ก็จะเข้าข่ายรับซื้อของโจรเจ้าค่ะ รู้หรือไม่รู้ก็ต้องมีโทษเจ้าค่ะ...อ้อ..ลูกเข้าใจแล้วค่ะ พริกที่ถูกอีกาขโมยมา ยังไงก็ต้องเป็นของสงฆ์ ไม่ว่าจะออกมานอกวัดแล้วก็ตาม แล้วถึงแม้จะแตกออกงอกเป็นต้นใหม่ ก็เป็นผลพวงของของเดิม ซึ่งยังไงก็เป็นของสงฆ์วันยังค่ำ กรณีเดียวกับที่ขโมยขึ้นบ้านเอาของเราไป แม้จะเอาไปแปรสภาพเป็นอย่างอื่น หากตำรวจตรวจสอบได้ก็ต้องนำกลับมาเช่นเดียวกัน แล้วผู้ที่รับซื้อหรือมีส่วนเกี่ยวข้องโดยที่ไม่รู้ก็ผิดอยู่ดี...กราบขอบพระคุณพระศาสดาค่ะ ลูกกระจ่างแจ้งแล้วค่ะ

    พระศาสดา - เจริญพร

    ดิฉัน - อย่างนี้ก็แย่เหมือนกันนะเจ้าคะ เป็นแบบนี้จะทำให้คนกลัวการเข้าวัดไปเลยหรือเปล่าคะ แล้วคนที่ไม่รู้เหมือนเรื่องต้นพริกนี่ จะทำยังไงละเจ้าคะ อยู่ๆก็เป็นหนี้สงฆ์โดยไม่รู้ตัว

    พระศาสดา - คนที่คิดดี ทำดี พูดดี เข้าวัดเข้าวาปฏิบัติตัวดี เขาก็จะรู้ในเรื่องของการเป็นหนี้สงฆ์อยู่แล้ว เขาก็ต้องพร้อมที่จะชำระหนี้สงฆ์ เขาไม่กลัวเรื่องการเข้าวัดหรอก แล้วถึงแม้ว่าเขาจะบังเอิญไปเก็บพริกที่อีกาคาบมาแล้วติดหนี้สงฆ์โดยไม่รู้ตัว ยังไงเสียคนพวกนี้ก็จะไม่มีบาปหรอกเพราะเขาชำระหนี้สงฆ์เป็นปกติอยู่แล้ว

    ดิฉัน - จริงเจ้าค่ะ..แต่ที่ได้ยินมา ถ้าเราไม่สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ หนี้นี้ก็ไม่มีวันหมดไม่ใช่เหรอเจ้าคะ แค่เราชำระนิดหน่อยหนี้ไม่หมดแน่ๆ

    พระศาสดา - ไม่หมด แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอตกนรกนะ เพราะว่ายังไงเสียเธอก็มีเจตนาชำระหนี้ให้สงฆ์ เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้สร้างพระชำระหนี้สงฆ์เท่านั้นเอง ในเมื่อเธอมีเจตนาดี มิได้หลบหนีหนี้ ก็จะยกผลประโยชน์อันนี้ให้จำเลยไป แต่ถ้ามีโอกาสได้สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ก็ดี แต่ถึงแม้จะสร้างพระแล้ว เธอเข้าวัดอีก กรวดทรายติดรองเท้าเธอออกไปก็ติดหนี้สงฆ์ต่ออยู่ดี ดังนั้นจึงควรชำระหนี้สงฆ์เป็นประจำจะเป็นการดีที่สุด

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ...แย่เลยถ้าขโมยของสงฆ์นี่ลงนรกอเวจีเลยนะเจ้าคะ

    พระศาสดา - ครั้งเดียวก็ลงอเวจีแล้ว ถ้าหลายครั้งก็ไปโลกันต์เลย

    ดิฉัน - หว๋าย...ไปโลกันต์เลยเหรอเจ้าคะ อย่างนี้ก็ไม่ต้องผุดต้องเกิดอีกนานเลยนะเจ้าคะ

    พระศาสดา - ใช่

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ งั้นเดี๋ยวลูกจะเอาไปบอกเพื่อนๆกัลยาณมิตรทั้งหลายนะเจ้าคะ จะได้ไม่เผลอทำผิดโดยไม่รู้ตัว นมัสการลาพระศาสดาเจ้าค่ะ

    พระศาสดา - เจริญพร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  12. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    หนี้สงฆ์ที่คนทำผิดกันมากโดยไม่รู้ว่าผิด

    19-2-10

    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ชนะ สิริไพโรจน์ [​IMG]
    สาธุครับ ที่กรุณาถามต่อ การอนุญาตของสงฆ์ที่ถูกต้อง ทางภาษาพระ
    ท่านเรียกว่าการอุปโลกน์ คือจะมีพระที่ได้รับมอบหมายจากคณะสงฆ์
    กล่าวคำอุปโลกน์ คือการกล่าวอย่างเป็นพิธีการ ท่านจะขึ้นด้วยภาษาบาลี
    ว่า ยัคเคภันเตสังโฆชานาตุฯลฯ จากนั้นท่านก็แจกแจงอาหารหรือของสงฆ์
    อื่นๆ อย่างเช่นกล่าวว่า อาหารส่วนหนึ่งถวายพระเถระ และพระภิกษุสามเณร
    ส่วนที่เหลือจากพระฉันแล้วอนุญาตให้ญาติโยมนำไปรับประทานได้
    และคณะสงฆ์จะกล่าวพร้อมกันว่า สาธุ เป็นอันเสร็จพิธีซึ่งญาติโยมก็
    รับประทานได้โดยไม่มีโทษ แต่การอนุญาตนั้นโดยปกติคือให้ทานในวัด
    บางคนถือโอกาสนำกลับไปทานที่บ้านอีก อันนี้ไม่สมควร แต่จะมีโทษ
    มากน้อยเพียงใด ต้องขอให้ท่านกัปตันช่วยอนุเคราะห์ครับ


    ทีนี้ถ้าวัดเขาไม่ได้อุปโลกน์ จะเป็นอย่างไร ไม่ใช่พระองค์ใดองค์หนึ่งมากล่าวว่า
    อนุญาตให้ญาติโยมรับประทานกันได้ อย่างนี้ไม่ถูกต้องตามพระวินัย
    ทานน่ะทานได้แต่ก็เป็นหนี้สงฆ์ ทางที่ดีควรทำบุญชำระหนี้สงฆ์กันบ่อยๆ
    จะปลอดภัยที่สุดครับ

    ผิดถูกประการใดท่านผู้รู้กรุณาให้คำแนะนำด้วยครับ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ้าว..ท่านพ่อ ไฉนโยนกลองมาให้ลูกยังงั้นละคะ งานเข้าละซีทีนี้ ว่าแล้วขึ้นไปกราบพระศาสดาถามก่อนนะคะ

    -----------------------------------------------------------------------

    ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาเจ้าค่ะ

    พระศาสดา - เจริญพร มีอะไรรึ

    ดิฉัน - มีคำถามอีกแล้วค่ะ อาหารที่พระท่านอนุญาตให้ทานได้หลังจากที่พระท่านฉันแล้ว แต่ต้องทานในวัดเท่านั้น ห้ามนำกลับ ถ้านำกลับไปมีโทษไหมเจ้าค่ะ แล้วโทษหนักแค่ไหนคะ

    พระศาสดา - มีโทษ เพราะว่าท่านอนุญาตให้ทานเฉพาะภายในวัดเท่านั้น ทานได้เท่าไหร่ก็ทานไป แต่ห้ามนำกลับไปบ้าน หากนำกลับไปมีโทษหนักเท่ากับขโมยของสงฆ์

    ดิฉัน - โห..อย่างนี้โดนกันไปทั่วหน้าแล้วละค่ะ กรรม..แล้วมีคำถามอีกค่ะ หากว่าเรานำอาหารไปเป็นหม้อใหญ่ แล้วเราตักไปถวายพระแล้ว อาหารที่เหลือในหม้อนี้เป็นของเราหรือว่าของสงฆ์เจ้าคะ

    พระศาสดา - เจตนาที่นำอาหารไปถวายพระ คือถวายแบบไหนละ ถ้าถวายทั้งหม้อก็เป็นของสงฆ์ ถ้าถวายแค่เฉพาะที่ตักใส่ถ้วยไปถวาย ของในหม้อก็เป็นของเธอ

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ...มีคนถามว่า อย่างต่างจังหวัดเนี่ยเวลาวันพระทำบุญกันพระฉันเสร็จแล้วญาติโยมก็จะไปนำเอาอาหารมากินกันหรือเอากลับบ้าน แต่ไม่แน่ใจว่าพระอนุญาตหรือยัง เพราะเห็นทำกันมาแบบนี้เป็นประเพณีไม่ทราบว่าผิดหรือไม่ เพราะทำกันแบบนี้กันมานานยังงี้เท่ากับคณะสงฆ์อนุญาตหรือไม่ แล้วถ้าผิดต้องชำระหนี้สงฆ์โดยร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ถือว่าหมดหนี้แล้วใช่หรือไม่ เจ้าคะ

    พระศาสดา - ที่ทำๆกันมาแบบนั้นน่ะผิด ถ้าคณะสงฆ์ไม่อนุญาตเราก็ทานไม่ได้ แล้วที่ทำกันมาจนเป็นปกตินั้นจริงๆแล้วผิด จะถือว่าคณะสงฆ์อนุญาตแล้วไม่ได้ ต้องอนุญาตทุกครั้งไป แต่ส่วนใหญ่ปฏิบัติกันมาผิดๆจนเป็นความเคยชิน จนทำให้คิดว่าทำได้ ซึ่งจริงๆแล้วผิด ก็ให้ไปชำระหนี้สงฆ์เป็นประจำเพื่อลดโทษ

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ แล้วถ้าชาวบ้านถวายอาหารมาแล้วพระ หรือลูกศิษย์วัดแยกเอาไปฉันหรือกินเองตามลำพังอันนี้ผิดแค่ไหน และแก้ไขโดยการสร้างพระชำระหนี้สงฆ์แล้วหนี้หมดใช่หรือไม่เจ้าคะ

    พระศาสดา - ถ้าถวายโดยเจาะจงเป็นรายบุคคล พระท่านนั้นก็ไม่ผิด แล้วถ้าท่านจะให้ลูกศิษย์วัดต่อไป ท่านอนุญาตได้ด้วยตัวของท่านเองไม่จำเป็นต้องรอคณะสงฆ์เพราะเป็นของส่วนบุคคล แต่ถ้าญาติโยมถวายของเป็นของส่วนรวม ถ้าพระหรือลูกศิษย์วัดแยกเอาไปเป็นของส่วนตัว อันนี้ผิด เพราะถือว่าเป็นของคณะสงฆ์ การสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ต้องเป็นพระขนาดหน้าตักสี่ศอก ถ้าไม่ได้ปิดทอง จะได้สำหรับคนเดียวนะ ถ้าปิดทองทั้งองค์ถึงจะได้ทั้งคณะ

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ ...แล้วการกินผลไม้ของวัดโดยได้รับอนุญาตหรือไม่ได้รับอนุญาตผิดเท่ากันหรือไม่ แล้วใช้หนี้ด้วยการสร้างพระชำระหนี้สงฆ์แล้วหมดหนี้ใช่หรื่อไม่เจ้าคะ

    พระศาสดา - ใครเป็นผู้อนุญาต ถ้าทางคณะสงฆ์เป็นผู้อนุญาตก็ไม่ผิด ถ้าพระองค์ใดองค์หนึ่งเป็นผู้อนุญาตนั้นไม่ได้ เพราะถือเป็นของสงฆ์ ต้องให้สงฆ์ทั้งหมดอนุญาตเท่านั้น แล้วโทษก็เหมือนกับกินของวัดโดยไม่ได้รับอนุญาตนั่นแหละ

    ดิฉัน - อย่างนี้การป้องกันการติดหนี้สงฆ์ที่ดีที่สุดก็คือ ให้พยายามชำระหนี้สงฆ์เป็นประจำใช่ไหมเจ้าคะ

    พระศาสดา - ถูกต้องแล้ว

    ดิฉัน - ขอกราบแทบพระบาทพระศาสดาค่ะ สำหรับธรรมะที่สั่งสอน ลูกจะนำไปบอกเพื่อนๆกัลยาณมิตรเจ้าค่ะ นมัสการลาเจ้าค่ะ

    พระศาสดา - เจริญพร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  13. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    นำไข่มาทำอาหารบาปและผิดศีลหรือไม่

    3-3-10

    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Apinya17 [​IMG]

    เมื่อปี ๒๕๐๔ อาตมาไปเทศน์ที่อำเภอสรรค์บุรี จังหวัดชัยนาท มีตาอะไรหรือ อีตานี่เมื่อก่อนมาอยู่กรุงเทพฯ ขึ้นไปแกก็มาเฝ้าอยู่ตลอด ถ้ายังไม่กลับเพียงใดแกก็ยังไม่กลับบ้าน ให้ลูกสาวเอาข้าวต้มมาถวายเช้า ตอนเพลเอาข้าวสวยมาถวายตัวแกเองต้องมาอยู่ตลอดเวลา<O></O>
    <O></O>
    <O></O>[FONT=&quot]พอแกตายไปแล้ว ลูกสาวก็มาหาที่กรุงเทพฯ บอกว่าอยากจะทำศพพ่อและบวชน้องชายในวันเดียวกัน อยากจะให้หลวงน้าเป็นประธาน ก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าเป็นประธานก็ได้ แต่ว่าถ้างานเอ็งจะมีบาปแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้นะ แม้แต่ไข่ลูกนึงก็ห้ามทุบ ถึงเขาบอกว่าไข่ไม่มีตัวก็ไม่ได้ ใจมันไม่สบาย[/FONT]<O></O>


    จากข้อความตัวหนังสือสีแดง การตอกไข่เป็นบาป ผิดศีล ข้อปาณา ไหมค่ะ สงสัยจริงๆ ค่ะ ทำไม ไข่ไม่เป็นตัวก็บาป ทำไมใจไม่สบาย วอนผู้ได้มโน ช่วยถามพระท่านให้หายข้องใจด้วยค่ะ เพราะถ้าผิดศีลข้อปาณา ลูกอิฉันยังเล็กจะกินอะไรแทนดีค่ะ:':)':)'(<O></O>
    <!-- google_ad_section_end -->


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    พอดีช่วงที่ไปบวชที่ศูนย์พุทธศรัทธาตอนเดินจงกรมอยู่ก็ได้เอาปัญหานี้ไปถามพระศาสดามาเหมือนกันค่ะคำตอบก็ได้มาดังนี้

    <O:p</O:p---------------------------------------------------------------<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาค่ะ<O:p
    <O:p
    พระศาสดา - เจริญพร<O:p
    <O:p
    ดิฉัน - มีปัญหามาถามอีกแล้วค่ะ เรื่องไข่ การที่เราทุบไข่นี่บาปไหมเจ้าคะ<O:p
    <O:p
    พระศาสดา - ถ้าไข่มีตัวก็บาป ไม่มีตัวไม่บาป<O:p
    <O:p
    ดิฉัน - แล้วทำไมหลวงพ่อถึงบอกว่าแม้แต่ไข่ลูกนึงก็ห้ามทุบ ถึงเขาบอกว่าไข่ไม่มีตัวก็ไม่ได้ใจมันไม่สบาย<O:p
    <O:p
    พระศาสดา - สมัยก่อนนั้นการเลี้ยงไก่ก็เป็นไปแบบชาวบ้านธรรมดาๆไม่ได้มีเครื่องมืออะไรล้ำหน้าเหมือนสมัยนี้การที่จะดูว่าไข่นั้นมีตัวหรือไม่มีตัวก็ทำได้ยากหลวงพ่อท่านเกรงว่าไข่ที่เอามาทำอาหาร อาจจะเป็นตัวก็ได้ถึงแม้ใครจะบอกว่าไม่มีตัวก็ตามดังนั้นเพื่อความสบายใจท่านก็เลยสั่งห้ามซะเลยดีกว่าเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม<O:p
    <O:p
    ดิฉัน - อ๋อ...ค่ะ งั้นไข่ที่ไม่มีตัวก็ทานได้ <O:p
    <O:p
    พระศาสดา - ใช่ สมัยนี้วิวัฒนาการมันก้าวหน้าไข่ที่ได้ส่วนใหญ่จะเป็นไข่ที่เกิดจากการเลี้ยงให้ไม่เป็นตัว เป็นไข่ที่ไม่มีเชื้อไม่สามารถไปฟักเป็นตัวได้ อีกอย่างก็ดูเจตนาของเราด้วยถ้าเราไม่ได้มีเจตนาจะทำลายชีวิตใคร เราก็ไม่บาปหรอก<O:p
    <O:p
    ดิฉัน - ค่ะกราบแทบเท้าพระศาสดาในความกระจ่างเรื่องนี้ค่ะ<O:p
    <O:p
    พระศาสดา - เจริญพร<O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  14. suparbtom

    suparbtom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    204
    ค่าพลัง:
    +1,732
    อนุโมทนาครับขออนุญาติส่งต่อไปให้เพื่อนได้อ่านได้ไหมครับ
     
  15. pangpangjang

    pangpangjang Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2009
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +95
    อนุโมทนาครับ ดีมากๆเลย ไขข้อข้องใจในธรรมะผมได้หลายข้อเลย
     
  16. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    กราบอนุโมทนาสำหรับเรื่องดีๆที่นำมาให้อ่านค่ะ
     
  17. Bhutan

    Bhutan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +167
    สาธุ อนุโมทนาบุญ กับกระทู้ดีๆๆ ครับ
    ชอบภาพพระพุทธเจ้าของเจ้าของกระทู้จัง ขออนุญาตเซฟเก็บไว้นะครับ
     
  18. อิธิบาท

    อิธิบาท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2009
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +309
    ปัตจัตตัง ..เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน
     
  19. พัชรกันย์

    พัชรกันย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2008
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +622
    ขอโมทนาสาธุในพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์เจ้าทุกๆ พระองค์
     
  20. ptham

    ptham เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2009
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +1,121
    เรียนถามคุณ me myself ครับ

    เมื่อคืนก่อน ผมคิดว่าผมฝันถึงหลวงพ่อฤาษีน่ะครับ แต่จำเรื่องราวไม่ค่อยได้ มีความหมายอะไรรึป่าวครับ ผมเองรู้จักเรื่องราวของท่านก็ในเว็ปพลังจิตนี่ล่ะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...