เรื่องเด่น นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 16 กันยายน 2014.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    5_5.jpg
    1930802_525821527595304_4755668032507884152_n.jpg

    วันเสาร์ที่ 29 กันยายนที่จะถึงนี้ที่วัดจะมีงานพิธีพุทธาภิเษกในช่วงเช้าเวลา 9.30 น. ณ พระอุโบสถ วัดท่าซุง

    ก็จะขอนำเรื่องลูกศิษย์อาวุโสท่านนึงมาลงให้อ่านกันอีกครั้งเผื่อท่านจะนำไปปรับใช้ในการอาราธนาระหว่างพิธีพุทธาภิเษก


    มีลูกศิษย์อาวุโสท่านนึงเคยเล่าให้ฟังว่าตัวท่านเองไม่ได้ห้อยพระเครื่องวัตถุมงคลของหลวงพ่อเลยซักอย่างเพราะสมัยหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ท่านเข้าพิธีพุทธาภิเษกของหลวงพ่อเกือบทุกครั้ง ท่านถือว่ากระดูกในตัวท่านเป็นวัตถุมงคลอยู่แล้ว หลวงพ่อบอกกับท่านนี้เองว่าเวลาพระพุทธเจ้าท่านเสด็จมาทำพิธีให้พระพุทธองค์ท่านจะเปล่งแสงคลุมวัตถุมงคลใช่ไหม แกก็อธิษฐานเอาซิว่าขอให้แสงของพระพุทธองค์เคลือบกระดูกแก

    แล้วท่านบอกกับผมว่าคุณก็เอาไปอธิษฐานต่อเอาเองนะผมเล่าเท่านี้ละ ก็หลังจากผมได้ฟังเรื่องนี้จากท่านแล้วเวลาผมไปร่วมงานพิธีพุทธาภิเษกของวัดเราผมก็จะนำแนวคำอธิษฐานที่ท่านเล่ามาปรับใช้ทุกครั้งไป


    และงานพิธีที่วัดส่วนใหญ่มักจะจัดในวันเสาร์ 5 ซึ่งเราสามารถอาราธนารับยันต์เกราะเพชรมาเข้าตัวได้อีกต่างหาก

    เพื่อนๆพี่ๆน้องๆท่านใดเวลาไปงานพุทธาภิเษกของวัดเราอยากให้กระดูกในร่างกายเรามีพระพุทธคุณก็ลองนำแนวคำอธิษฐานของลูกศิษย์อาวุโสท่านนี้ไปปรับใช้กันดูนะครับ


    (จากธัมมวิโมกข์ สิงหาคม 2534) ปลุกเสกตัว.jpg
    (จากธัมมวิโมกข์ สิงหาคม 2534)

    ในพิธีพุทธาภิเษกน้ำมันชาตรี หลวงพ่อแนะนำญาติโยมที่มาร่วมในพิธีว่าก่อนภาวนา "พุทโธ" ในขณะที่ท่านกำลังทำพิธีอยู่ ให้อธิษฐานว่า "พระ พรหม เทวดา ท่านทำพิธีปลุกเสกน้ำมันชาตรีอย่างใด ขอให้ปลุกเสกตัวข้าพเจ้าด้วย"

    ก็เป็นวิธีอธิษฐานที่หลวงพ่อแนะนำเอาไว้ซึ่งเรานำมาประยุกต์ใช้อธิษฐานขณะท่ี่เราอยู่ในพิธีพุทธาภิเษกในครั้งปัจจุบันได้เช่นกันครับ


    1263_525822244261899_8546147258862369290_n.jpg
     
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    คาถาสมเด็จพระพุทธทีปังกร.jpg
    เป็นใบคาถาที่รับแจกจากป้านิภา คงสุข เมื่อครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่ครับ
     
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705


    คลิปงานพิธีพุทธาภิเษกล๊อกเก็ตที่จะแจกงานทำบุญวันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อและงานกฐินวัดท่าซุง วันเสาร์ที่ 29 กันยายน 2561 เวลา 9.30 ณ อุโบสถ วัดท่าซุง


    42799397_1038111316366320_6222812977976836096_n.jpg 42833659_1038085676368884_7400520335121973248_n.jpg 42709580_1038085316368920_6952810500350541824_n.jpg 42738789_1038087693035349_4330900044665323520_n.jpg 42767834_1038087629702022_7950188042050863104_n.jpg 42825742_1038087646368687_6009740152933449728_n.jpg 42677599_1038086156368836_6500857907905560576_n.jpg

    ภาพทั้งหมดและคลิปวิดีโอนำมาจากเพจ
    มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

    https://www.facebook.com/pg/PathToNirvana/posts/
     
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    เรื่อง " ไปเมืองจันทบุรี " นี้ หลวงพ่อได้เล่าเรื่องการเป่ายันต์เกราะเพชรและหลวงพ่อที่เป็นเพื่อนของท่านคือหลวงพ่อฤาษีลิงขาวเอาไว้

    ทั้งหลวงพ่อฤาษีลิงขาวและหลวงพ่อฤาษีลิงเล็ก ท่านได้รับคำจากหลวงปู่ปานมาตั้งแต่ต้นว่าเมื่อบวชได้ครบ 10 พรรษาแล้วให้อยู่ป่า ห้ามเข้าเมืองจนกว่าจะตาย


    พระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน จ.อยุธยาซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อและเพื่อนของท่านทั้ง 2 องค์ ท่านก็สั่งไว้เช่นกันว่า "ห้ามออกมายุ่งกับชาวบ้านจนกว่าจะตาย จะพาพระและชาวบ้านที่อวดรู้ตกนรก"

    (สามารถหาอ่านได้จากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทานเล่ม 3 เรื่องพระอภิญญาและหนังสือประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เรื่องคำสั่งพระอุปัชฌาย์ หน้า 97)



    มีผู้อ้างว่าหลวงพ่อท่านนั้นท่านนี้คือหลวงพ่อฤาษีลิงขาวบ้าง หลวงพ่อฤาษีลิงเล็กบ้าง ก็อยากให้ทราบว่า คงเป็นลิงคนฝูง อย่างที่หลวงพ่อได้เคยพูดเอาไว้ อย่าได้ไปเข้าใจตามที่มีคนพูดกล่าวอ้างกันไว้ครับ


    a.jpg b.jpg c.jpg d.jpg e.jpg f.jpg g.jpg

    (จากธัมมวิโมกข์ สิงหาคม 2534 หน้า 96-102)
     
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    หลวงพ่อเล่าถึงเมื่อครั้งปลุกเสกผ้ายันต์พิชัยสงครามที่วัดบวรฯเอาไว้ว่าครั้งนั้นปลุกเสกไป 4 แสนผืน ในหลวงทรงจุดเทียนชัยในงานพิธีพุทธาภิเษก

    ตามธัมมวิโมกข์ฉบับเดือน พฤศจิกายน 2550 พิธีปลุกเสกผ้ายันต์พิชัยสงครามที่วัดบวรนิเวศในครั้งนั้นมีขึ้นในเดือนสิงหาคม 2518


    1.jpg 2.jpg 3.jpg 4.jpg
    5.jpg 6.jpg 7.jpg
    (จากหนังสือ " รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 9 " หน้า 508 - 514)
    8.jpg 9.jpg 10.jpg
    เปิดดูไฟล์ 4696310
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2018
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    Chulalongkorn_LoC.jpg
    บูชา ร. 5 มีลาภมาก

    (จากธัมมวิโมกข์ ตุลาคม 2537 หน้า 89).jpg (จากธัมมวิโมกข์ ตุลาคม 2537 หน้า 90).jpg (จากธัมมวิโมกข์ ตุลาคม 2537 หน้า 89-90)

    DSC04496.jpg 9-3.jpg
     
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705


    หลวงพ่อบวงสรวงชุมนุมเทวดา,สมาทานศีล,สมาทานพระกรรมฐาน




    หลวงพ่อเปิดศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นธุรกันดารสาขา 2 ปทุมธานี 5 ธ ค 33



    หลวงพ่อตอบปัญหา





    หลวงพ่อสวดให้พร



    หลวงพ่อเล่าอานุภาพทรายเสกโรยกันเพลี้ยได้ ในงานเป่ายันต์ฯ 8 ก พ 35


     
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    yes1.jpg yes45.jpg
     
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    เรื่องน่ารู้จากพระสูตร "ตอนอายุขัย"ในธัมมวิโมกบ์ฉบับนี้น่าอ่านมากครับ

    1.jpg 2.jpg 3.jpg 4.jpg
    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 45 หน้า 102 - 105)

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 9 หน้า 3).jpg
    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 9 หน้า 3)
    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 9 หน้า 5).jpg
    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 9 หน้า 5)


    "เรื่องในอดีต" เป็นเรื่องที่หลวงพ่อได้เล่าให้ฟังเมื่อคราวไปประเทศนิวซีแลนด์และหลวงพี่อาจินต์ได้รวบรวมเขียนมาให้อ่านกัน

    1.jpg 2.jpg 3.jpg 4.jpg 5.jpg

    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 7 ฉบับที่ 63 หน้า 108-112)

    531115_229171847216594_1909698298_n.jpg
     
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    0e90292aef9d2b254904eee3ff901160.jpg 7df469b0a35aaa164615cfb91eb159b3.jpg 10.24 (1).jpg 20424dd2c943b98a9c78eb07c7436a9a.jpg 914424.jpg 1-5.jpg 12471328_10153870827754329_7288263033133219957_o.jpg 10570458_10153873205409329_6744867358975423672_n.jpg
     
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    IMG_20181010_151328.jpg

    ผมหยิบใบนี้มาจากบ้านซอยสายลมศุกร์ที่ผ่านมาครับ
     
  13. ช่วงที่สองของชีวิต

    ช่วงที่สองของชีวิต สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +30
    34D9C2E2-26EC-4293-BC43-54EC4ADF3832.jpeg
    ร่วมทำบุญทอดกฐินปี 2561 กับท่านพระครูสมุห์พิชิตค่ะ
     
  14. crystalnirvana

    crystalnirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2014
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +1,563
    สาธุสาธุสาธุ
     
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    186774.jpg

    ขอโมทนาบุญด้วยนะครับ
     
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    42864385_1106497869515042_420878714511818752_n.jpg

    พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (20 กันยายน พ.ศ. 2396 – 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453) เป็นพระมหากษัตริย์สยามรัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี

    พระองค์ทรงเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอังคาร เดือน 10 แรม 3 ค่ำ ปีฉลู ตรงกับวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระองค์ที่ 1 ในสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี

    ทรงเสวยราชสมบัติเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ ปีมะโรง พ.ศ. 2411

    และได้เสด็จสวรรคต เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 11 แรม 4 ค่ำ ปีจอ ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ด้วยโรคพระวักกะ (โรคไต)


    44528262_1119995514831944_6711922762723622912_n.jpg

    22549545_875707069260791_8537141563824490183_n.jpg
    31699009_977662925731871_8311204782291288064_n.jpg
    ภาพด้านบนทั้งหมดนำมาจากเพจ https://www.facebook.com/pg/Ratchabui/photos/?ref=page_internal

    good1.jpg
    18212_229164487217330_1949212638_n.jpg 37958588_1051788041664401_7620481261210959872_o.jpg


    ในบันทึก 7 วันสุดท้าย ก่อนหลวงพ่อฯ มรณภาพ..ปี 2535 (โดยคุณนกเอี้ยง) อีก 5 วันก่อนหลวงพ่อจะมรณภาพท่านพูดเปรยๆไว้ว่า ชาติก่อน 53 ชาตินี้ 35

    ตอนที่ 6
    - บันทึกวันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕
    ...พอตอนเช้า หลาย ๆ คนก็ได้ข่าวว่า เมื่อคืนอาการหลวงพ่อไม่ดี ท่านก็ยังออกมาฉันอาหาร ท่านพูดว่า

    “..ชาติที่แล้วมัน ๕๓ ชาตินี้ก็ ๓๕..!!!” ท่านพูดเปรย ๆ

    จ่าตุ๋ยบอกข้าพเจ้าว่า หลวงพ่อพูดอย่างนี้อีกแล้ว เรื่อง ๕๓ และ ๓๕ ท่านพูดซ้ำหลายครั้ง ก็คิดว่าหลวงพ่อจะอยู่กับเราอีก ๕๓ ปี

    แต่เมื่อชาติที่แล้วหลวงพ่อก็เสียชีวิตตอนพ.ศ.๒๔๕๓ พวกเราขอหลวงพ่อว่าวันนี้ให้พักที่นี่ ไม่ต้องไปตึกริมน้ำ บอกว่าวันนี้วันจันทร์คนมาไม่มาก ท่านพูดว่า

    “คนเขามาไกล ต้องไปรับแขก และวันจันทร์นัดกับธนาคารไว้” (หลวงพ่อทำงานทุกวัน ไม่มีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เหมือนชาวบ้านเขา)

    - วันนี้หลวงพ่อไม่ได้เลี้ยงสุนัข
    ...พอหลวงพ่อมาถึงตึกอินทราพงษ์ก็ให้ออกซิเจน จ่าตุ๋ยดูแลหลวงพ่ออยู่ ข้าพเจ้ามีความรู้สึกหงอยเหงา รู้สึกว่าขาดหมอ เพราะพวกเราที่เฝ้าท่านอยู่ไม่ใช่หมอสักคน

    ปรึกษากับจ่าตุ๋ยว่าน่าจะมีหมอมาเฝ้าดูแลหลวงพ่อ พวกเราไม่มีความรู้ทางการแพทย์ ก็ปรึกษาหลวงพี่พระใบฎีกาประทีปน่าโทรศัพท์บอกผู้ใหญ่ที่กรุงเทพฯ เช่น

    ท่านเจ้ากรมเสริม, ดอกเตอร์ปริญญา, นายแพทย์จรูญ, หมอหญิง ให้โน้มน้าวไม่ให้หลวงพ่อเข้าซอยสายลม (กำหนดเข้าซอยสายลม ๓๐ ตุลาคม ถึง ๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๕)

    ถ้าหลวงพ่อเข้าซอยสายลมต้องแย่แน่ เพราะก่อนไปป่วยขนาดนี้ จนถึงเวลาเที่ยงวันของวันที่ ๒๖ ตุลาคม หลังจากหลวงพ่อฉันอาหารเพลเสร็จแล้วออกมานั่ง

    หมอสุธรรมตรวจอาการหลวงพ่อ ให้เครื่องตรวจกร๊าฟและหัวใจหลวงพ่อและน้ำในปอด หมอมนัสฉีดยาให้หลวงพ่อ ๑ เข็ม หลวงพ่อบอกว่า

    ตอนท่านออกจากโรงพยาบาลศิริราชตอนต้นปีนี้ ท่านไม่ถูกกับยาแก้อักเสบ วันนั้นหมอมนัสฉีดยาแก้อักเสบ หลวงพ่อถามว่า

    “ยาฉีดแก้อักเสบเข้ากล้ามเนื้อมีผลเท่ากันไหม?”
    หมอตอบว่า “ไม่เหมือนกัน”

    ถ้ากินยาแก้อักเสบจะกินข้าวไม่ได้หลายเดือน ถ้าฉีดไม่เป็นไร ท่านว่าร่างกายฉันข้าวไม่ได้เลย วันนั้นเวลา ๑๑.๒๐ น. หมอสุธรรมบอกว่าจะไปนอนเฝ้าหลวงพ่อที่ตึก ๑๐๐ เมตร


    (หาอ่านเพิ่มเติมได้ในลิงค์เวบวัดท่าซุงด้านล่างครับ)

    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2459#6
    DSC04496.jpg
    9-3.jpg
     
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    เบื้องหลังภาพประวัติศาสตร์! ภาพที่สามารถเปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ ช่วยสยามรอดพ้นวิกฤติ!!

    oemh47fwnvc97iU41O1-o.jpg

    (ภาพประวัติศาสตร์ ร.๕ กับซาร์นิโคลัสที่ ๒)

    คนไทยคงจะคุ้นตากับภาพประวัติศาสตร์ภาพนี้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นภาพที่เคยสั่นสะเทือนยุโรปมาแล้ว เมื่อ “คิงจุฬาลงกรณ์แห่งสยาม” ประทับเคียงคู่กับพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ แห่งรัสเซีย มหาอำนาจชาติหนึ่งของยุโรป ในขณะที่อังกฤษและฝรั่งเศสกำลังล่าอาณานิคมในเอเซียกันอย่างเมามัน และสยามก็ตกเป็นเหยื่อด้วย ภาพนี้ถูกแจกไปลงหนังสือพิมพ์ที่ออกในเมืองหลวงของยุโรปทุกประเทศ ซึ่งเบื้องหลังของภาพ ก็คือความสัมพันธ์ของราชวงศ์จักรีกับราชวงศ์โรมานอฟ

    ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นยุคที่ราชอาณาจักรสยามต้องเผชิญวิกฤตการณ์หนัก จากการล่าอาณานิคมของชาติมหาอำนาจจากยุโรป จนยึดประเทศเพื่อนบ้านไปโดยรอบ อังกฤษยึดพม่า ฝรั่งเศสยึดญวน แล้วต่างก็มีเป้าหมายที่จะเข้ายึดครองไทย ถึงขนาดจะใช้แม่น้ำเจ้าพระยาแบ่งเขตอิทธิพลกัน

    อังกฤษมุ่งที่แหล่งอุดมด้วยป่าไม้สักในภาคเหนือที่ติดกับพม่า และจุดที่เหมาะแก่การตั้งสถานีการค้าทางทะเลในแหลมมลายู

    ส่วนฝรั่งเศสถึงกับตั้ง “พรรคอาณานิคม” มีนโยบายสนับสนุนการล่าเมืองขึ้น และจ้องมาที่ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรของลุ่มแม่น้ำทั้ง ๕ ที่มีลักษณะคล้ายฝ่ามือ คือ แม่น้ำโขง แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำอิรวดี และแม่น้ำแดงในตังเกี๋ย ส่งคนเข้ามาสำรวจแล้วคงความเห็นว่า ดินแดนเหล่านี้ต้องเป็นของฝรั่งเศส ถ้ายึดครองไม่ได้ก็ต้องถือว่าเป็นความบกพร่องของรัฐบาล

    จากนั้นก็ใช้เล่ห์เพทุบายและกำลังอาวุธเชือดเฉือนดินแดนเข้ามา ไทยเราทำได้แค่ต้องยอมสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตไว้

    เหตุการณ์ที่สะเทือนพระราชหฤทัยสมเด็จพระปิยะมหาราช และสร้างความโกรธแค้นให้ประชาชนคนไทยอย่างมาก ก็คือเหตุการณ์ใน ร.ศ.๑๑๒

    ในวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๔๓๖ หรือ ร.ศ.๑๑๒ ฝรั่งเศสส่งเรือรบ ๒ ลำฝ่าแนวป้องกันของป้อมพระจุลฯ เข้ามาจอดที่หน้าสถานทูตฝรั่งเศสในกรุงเทพฯ ซึ่งมีเรือรบฝรั่งเศสจอดอยู่ ๑ ลำแล้ว ขู่ว่าจะจมเรือพระที่นั่งมหาจักรีที่จอดอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา และจะระดมยิงพระบรมมหาราชวัง หากไทยไม่ยอมจ่ายค่าทำขวัญบุตรภรรยาทหารเรือฝรั่งเศสที่บาดเจ็บล้มตายจากการปะทะครั้งนี้ เป็นเงิน ๓ ล้านฟรังก์ หรือไม่ก็ต้องให้ฝรั่งเศสเก็บภาษีเอาเองที่เมืองพระตะบองและเสียมราฐ

    นอกจากนี้ฝรั่งเศสยังเรียกเรือรบจากไซ่ง่อนมาอีก ๑๒ ลำปิดอ่าวไทย และส่งทหารขึ้นยึดเกาะสีชัง ยื่นเงื่อนไขให้ไทยถอนทหารออกจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงภายใน ๑ เดือน แม้ไทยจะยอมรับตามข้อเรียกร้องของฝรั่งเศสทุกข้อ เพราะไม่มีทางปฏิเสธได้ ฝรั่งเศสก็ยังขอยึดจันทบุรีไว้เป็นประกัน จนกว่าการปักปันดินแดนที่ไทยจะมอบให้นี้เสร็จสิ้น

    การกระทำของฝรั่งเศสทำให้พระพุทธเจ้าหลวงทรงเสียพระราชหฤทัยอย่างหนักถึงกับทรงประชวร ความเสียพระราชหฤทัยที่ต้องเสียแผ่นดินไทยในรัชสมัยของพระองค์ ทำให้ไม่ยอมเสวยพระโอสถ

    ในที่สุดก็ทรงตระหนักว่า การยอมสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตนี้ ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เพราะนักล่าอาณานิคมจะย่ามใจเรียกร้องเอาไม่สิ้นสุด ชาติที่ล่าเมืองขึ้นนั้นจะอ้างว่าเอเซียยังไม่เจริญ ขาดสมรรถภาพที่จะรักษาความสงบสุขของตนได้ ทำให้มีผู้ร้ายชุกชุม เป็นอันตรายต่อสังคมและต่อชาวยุโรปที่เข้ามา อีกทั้งยังไม่มีความชำนาญที่จะนำทรัพยากรแร่ธาตุต่างๆ มาใช้ ตนเป็นชาติที่เจริญกว่าจึงมีเมตตาที่จะมาช่วยพัฒนาให้เจริญเท่าเทียมกัน ไม่เป็นตัวถ่วงความเจริญของยุโรป

    การจะปกป้องตัวเองจากข้ออ้างจอมปลอมของนักล่าอาณานิคมได้ จะต้องพัฒนาตัวเองให้มีความเจริญเช่นเดียวกับชาติในยุโรป ไม่ต้องให้มีใครมาช่วยพัฒนา

    ฉะนั้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีการพัฒนาบ้านเมืองในแนวทางของยุโรปอย่างรวดเร็ว ทรงจ้างฝรั่งเข้ามารับราชการ และส่งคนไทยไปศึกษาในยุโรปเป็นจำนวนมาก

    นอกจากนี้ ร.๕ ยังเตรียมพระองค์ในการที่จะ “โชว์ตัว” ในนานาประเทศที่อ้างตัวว่าอารยะ ให้ประจักษ์ว่า สยามไม่ใช่เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างที่นักล่าอาณานิคมประโคมข่าว

    และแล้วในวันที่ ๗ เมษายน ๒๔๔๐ การเสด็จพระราชดำเนินไปยุโรปก็เริ่มขึ้นโดยเรือพระที่นั่งมหาจักรี มีเป้าหมายที่จะเยือน ๑๒ ประเทศในยุโรป คือ อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย-ฮังการี รัสเซีย สวีเดน เดนมาร์ค อังกฤษ เบลเยี่ยม เยอรมัน ฮอลแลนด์ ฝรั่งเศส และสเปน มีกำหนดเวลาประมาณ ๙ เดือน

    ประเทศที่สมเด็จพระปิยะมหาราชทรงมุ่งหวังมากที่สุด ก็คือ รัสเซีย ซึ่งพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ที่มีความสัมพันธ์สนิทสนมกันมาก่อน เสด็จขึ้นครองราชย์มา ๓ ปีแล้ว

    ในปี ๒๔๓๖ ขณะที่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ พระองค์นี้ยังดำรงพระยศเป็นมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จเยือนภาคตะวันออกและเสด็จแวะมาสยาม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ จัดพระราชวังสราญรมย์ให้เป็นที่ประทับ ซึ่งมกุฎราชกุมารแห่งรัสเซียประทับพระราชหฤทัยมาก โดยเฉพาะม่านหน้าต่างโปร่งที่ร้อยด้วยดอกไม้และเปลี่ยนถวายทุกวัน

    นอกจากจะเสด็จเยี่ยมทุกวันแล้ว ร.๕ ยังทรงนำมกุฎราชกุมารรัสเซียประพาสทรงชลมารค ไปประทับพระราชวังบางปะอิน

    มกุฎราชกุมารได้กราบทูลเสนอว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงส่งพระราชโอรสไปศึกษาที่อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมันหลายพระองค์แล้ว หากมีพระราชประสงค์จะส่งไปศึกษาที่รัสเซียบ้าง พระองค์ก็จะรับอุปถัมภ์เอง

    ในการเสด็จฯ ยุโรปครั้งนี้ จึงทรงนำเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถไปศึกษาวิชาทหารที่รัสเซียด้วย พร้อมกับเปิดสอบคัดเลือกนักเรียนสามัญชนอีกคนหนึ่ง เพื่อให้เป็นคู่แข่งทางการเรียนของพระราชโอรส ซึ่งได้แก่ นายพุ่ม นักเรียนสวนกุหลาบ บุตรนายซุ้ย ชาวตลาดพลู ซึ่งพระเจ้าซาร์นิโคลัสก็ได้จัดให้ศึกษาและอยู่ที่พระราชวังฤดูร้อนเช่นเดียวกับเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ

    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสด็จฯโดยรถไฟจากกรุงเบอร์ลินถึงกรุงเซ็นต์ปิเตอร์สเบิร์ก เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม เวลา ๒๑.๓๐ น. พระซาร์เสด็จฯ มารับที่สถานีรถไฟ ทั้งสองพระองค์ประทับรถพระที่นั่งไปสู่พระราชวังปีเตอร์ฮอฟซึ่งจัดเป็นที่ประทับ

    ในการเสวยพระกระยาการค่ำร่วมกันในวันที่ ๔ กรกฎาคม สมเด็จพระปิยะมหาราชทรงถือโอกาสปรับทุกข์ถึงการรุกรานของมหาอำนาจจากยุโรป

    ในเช้าวันรุ่งขึ้น พระเจ้าซาร์จึงจัดให้มีการฉายพระรูปร่วมกันที่พระราชวังปีเตอร์ฮอฟ อีกทั้งยังทรงรับสั่งให้ราชสำนักรัสเซียนำภาพที่คิงจุฬาลงกรณ์จากสยามประทับคู่กับพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย ส่งไปยังหนังสือพิมพ์ที่ออกในเมืองหลวงของทุกประเทศในยุโรปทุกฉบับ ทั้งยังทรงเขียนคำอธิบายภาพด้วยพระองค์เองว่า

    “สยามเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา หาใช่ประเทศล้าหลังซึ่งมหาประเทศจะอาศัยเป็นมูลเหตุเข้ายึดครองมิได้”

    แน่นอนว่าภาพที่พระมหากษัตริย์จากเอเซียประทับคู่กับพระมหาจักรพรรดิแห่งรัสเซียนี้ สั่นสะเทือนยุโรปพอควร ทำให้ชาวยุโรปใคร่จะได้เห็นพระองค์จริงของ “คิงจุฬาลงกรณ์แห่งสยาม” การเสด็จพระราชดำเนินประเทศในยุโรปในช่วงต่อไปนี้ จึงมีผู้เฝ้าชมพระบารมีอย่างเนืองแน่น

    ซึ่งก็เป็นผลแก่ราชอาณาจักรสยามอย่างมหาศาล

    อย่างไรก็ตาม การส่งสัญญาณของพระเจ้าซาร์นิโคลัสครั้งนี้ ก็ยังไม่อาจหยุดยั้งการหิวกระหายของนักล่าอาณานิคมได้ ฝรั่งเศสยอมคืนจันทบุรีให้ไทยหลังจากบีบคั้นเอาดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงไป ซึ่งได้แก่เมืองหลวงพระบางฝั่งขวาและนครจำปาศักดิ์ แต่ก็ยังไม่หมดลาย กลับไปยึดจังหวัดตราดพร้อมเกาะกงหรือจังหวัดประจันตคีรีเขตของไทยต่อ เนื่องจากอยากได้ปราสาทนครวัด เรียกร้องเอาทั้งมณฑลบูรพาซึ่งมีพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ เพื่อแลกกับจังหวัดตราด แต่ไม่ยอมคืนจังหวัดประจันตคีรีเขต

    เมื่อราชอาณาจักรสยามเป็นที่รู้จักของชาวยุโรป เสียงประณามฝรั่งเศสจึงดังขึ้นเรื่อยๆ จนฝรั่งเศสต้องยอมหยุดยั้งพฤติกรรมเยี่ยงหมาป่า แต่ก็ยังไม่สิ้นลายง่ายๆ แอบขีดเส้นในแผนที่ไว้ จนเกิดกรณีปราสาทพระวิหารมาจนทุกวันนี้

    ภาพนี้จึงมีความสำคัญอย่างมาก สามารถเปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ เป็นผลให้สยามรอดพ้นวิกฤติที่ร้ายแรงมาได้

    ในวันนี้วันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๑ เป็นวันครบรอบปีที่ ๑๐๘ ของการเสด็จสู่สวรรคาลัยของพระผู้พาชาติไทยให้รอดพ้นวิกฤติที่โหมแรงมาสู่เอเชีย ทำให้ไทยเป็น ๑ ใน ๓ ประเทศของทวีปนี้ที่ไม่ตกเป็นอาณานิคมของนักล่าจากยุโรป เราชาวไทยจึงไม่อาจลืมพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ได้ และยังแสดงความสำนึกทุกปีตลอดมา


    https://mgronline.com/onlinesection/detail/9600000108384
     
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    เสธน้ำเงิน ไขปริศนา..รากลึกวัฒนธรรมไทย – รัสเซีย ใยจึงแน่นแฟ้นแนบแน่นยิ่งนักช่วงรัชกาลที่ 5
    8.พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่-2.jpeg
    oeiqpxyc8GBggkcGkQ-o.jpg
    วันที่ 6 กันยายน 2558 เพจแฉ..ความลับ โดยทางด้าน เสธน้ำเงิน ได้โพสเรื่องราวของความสัมพันธ์ ระหว่างไทย กับ รัสเซีย เอาไว้ได้อย่างน่าสนใจ โดยมีรายละเอียดดังนี้...


    ในอดีตวันที่ 20 - 24 มีนาคม 2434 ในสมัยนั้นพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ครั้งยังดำรงพระอิสริยศแกรนด์ดุกซารวิตซ์ มกุฎราชกุมารแห่งรัสเซีย ได้เสด็จพระราชดำเนินมาเยือนราชอาณาจักรสยามอย่างเป็นทางการ ในฐานะพระสหายสนิทในสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงรัชการที่ 5 ในการนี้พระองค์ทรงโปรดเกล้า

    ให้จัดการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่สมกับพระเกียรติ และสมกับที่ทรงเป็นพระกัลยาณมิตรซึ่งกันและกัน เพื่อเจตนาจะคานอำนาจของ อังกฤษและฝรั่งเศส ที่ข่มขู่สยามทุกวิถีทางในขณะนั้น กับ 5 วันแห่งความทรงจำในดินแดนนิยายทางตะวันออก ด้วยการต้อนรับอย่างมโหฬารที่สุดเท่าที่เคยมีมา

    นับตั้งแต่วันที่เรือพระที่นั่งผ่านสันดอนปากน้ำเข้ามายังท่าเทียบเรือที่ประดับประดาอย่างงดงามด้วยข้อความแสดงการต้อนรับเป็นภาษารัสเซีย ทหารกองเกียรติยศสยามที่บรรเลงเพลงชาติรัสเซียรับเสด็จ จนกระทั่งถึงวันส่งเสด็จกลับ จนถึงกับเกิดคำพูดกล่าวเปรียบเปรยกันติดปาก สัพยอกใครต่อใครที่ทำอะไรใหญ่โตหรูหราว่า “ยังกับรับซาร์จากรัสเซีย”

    เวลา 3 วันในพระนคร ถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งมิตรภาพอันยืนยง ในพระราชวังสราญรมย์ได้รับการตกแต่งอย่างดีที่สุด เพื่อให้มิตรจากต่างแดนสุขสบายราวบ้านตน พิธีพระราชทาน “สายสะพายจักรี” สีเหลืองสด ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีบรมราชวงศ์ชั้นสูงสุดของไทยที่สงวนไว้เฉพาะผู้มีกำเนิดเป็นเจ้านายชั้นสูงแด่แกรนด์ดุ๊กซาร์เรวิช

    ถือเป็นการประกาศเชิงสัญลักษณ์ถึงความยินยอมพร้อมใจ ที่จะรับอาคันตุกะจากอีกซีกโลกเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวจักรี รวมถึงการ “ปิกนิก” ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และการคล้องช้างครั้งสุดท้ายของแผ่นดินสยาม 2 วันสุดท้าย ซาร์เรวิชและคณะเสด็จไปพระราชวังบางปะอิน โดยพระพุทธเจ้าหลวง ได้ทรงพระราชทานการรับรอง

    ในลักษณะของการปิกนิกแบบไทย ที่ไปกันเป็นคณะใหญ่จำนวน 3,000-4,000 กว่าคน และมีเรือเข้าร่วมขบวนเสด็จจำนวนนับร้อย สิ่งสำคัญที่สุดของการต้อนรับครั้งนี้ คือจัดให้มีพระราชพิธีคล้องช้างเกิดขึ้นที่เพนียด เป็นพระราชพิธีคล้องช้างที่สมบูรณ์แบบที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด

    และถือเป็นครั้งสุดท้ายในสมัยรัตนโกสินทร์เพราะการคล้องช้างป่าต้องอาศัยความชำนาญเป็นอย่างมาก และยังถือเป็นประเพณีเก่าแก่ที่ไม่ได้จัดขึ้นอย่างง่ายๆ การถวายการต้อนรับอย่างอบอุ่นของรัฐบาลไทยครั้งนั้นได้ผูกพระทัยซาร์เรวิชกับชาวสยามเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

    ซึ่งเป็นการโคจรมาพบกันของเจ้าชายรัชทายาท จากดินแดนอันหนาวเย็นและองค์พระประมุขของประเทศที่พระอาทิตย์ทอแสงตลอดปี ก่อให้เกิดมิตรภาพที่ลงตัวในความแตกต่าง แม้จะมีพระชนมายุที่ห่างกันถึง 15 พรรษา และมีบุคลิกที่ต่างกันไปคนละขั้ว ทำให้มกุฎราชกุมารประเทศรัสเซีย ทรงประทับพระทัยและรักใคร่รัชกาลที่ 5 อย่างมาก

    สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 ได้มีพระราชดำริว่า สยาม และ รัสเซีย นั้นแม้อยู่ห่างไกล แต่พระราชวงศ์ได้ดำเนินพระราชไมตรีด้วยดีเสมอมาเสมือนหนึ่งแผ่นดินเดียวกันก็ว่าได้ ในการที่มกุฎราชกุมารแห่งรัสเซียเสด็จฯ จากแดนไกลมาถึงเพียงนี้ มีพระหฤทัยประสงค์จำนงใดในราชอาณาจักรนี้ก็จะทรงจัดหาให้ไม่ขัดข้อง ด้วยเหตุนี้มกุฎราชกุมารแห่งรัสเซีย จึงได้กราบบังคมทูล

    ขอ “พระแก้วมรกต” ไปประดิษฐานที่กรุงรัสเซีย ทั้งนี้เป็นกุศโลบายของฝ่ายรัสเซีย เพื่อที่จะทดลองน้ำพระราชหฤทัยในสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง เมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงได้ทรงสดับดังนั้นแล้ว ทรงนิ่งและทรงอึ้งอยู่ชั่วครู่เพื่อดำรงพระเกียรติยศและพระเกียรติศักดิ์ ในพระราชฐานะพระมหากษัตริย์ แห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์

    จึงทรงยึดถือคติที่ว่า "กษัตริย์ ตรัสแล้วไม่คืนคำ" ดังนั้น สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงมีพระราชดำรัสตอบตกลงพระราชทานพระแก้วมรกตแก่กรุงรัสเซียผ่านทางมกุฎราชกุมาร ในการนี้ มกุฎราชกุมารแห่งรัสเซีย ก็ทรงตกพระทัยไม่น้อย เพราะทรงทราบดีว่าพระแก้วมรตกเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ของพระราชวงศ์ และอาณาประชาราษฎร์ทุกคน

    เมื่อความเป็นดังว่านั้นฝ่ายรัสเซียจึงตระหนักดีว่าฝ่ายสยามไม่ได้มีความโลภที่จะอยากได้ทรัพย์สมบัติจากรัสเซีย นอกเสียจากน้ำใจไมตรีที่แท้จริง จึงทรงมีพระดำรัสตรัสขอบพระทัยอย่างสุดซึ้ง และขอให้ฝ่ายสยามได้ขอสิ่งใดจากรัสเซียเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนบ้าง สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงมีพระราชดำรัสตอบกลับโดยทันที

    พระองค์ทรงขอ “พระแก้วมรกต”กลับคืนสู่ราชอาณาจักรไทย เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวของปวงชนทั้งราชอาณาจักรเช่นเดิม มงกุฎราชกุมารแห่งรัสเซีย ได้ทรงสดับดังนั้นทรงเลื่อมใสในพระปรีชาสามารถในสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเป็นอย่างมาก และทรงถวายพระแก้วมรกตคืน เนื่องจากพระราชดำรัส ของพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น

    เสมือนหนึ่งกฎหมายและมีผลบังคับในทันที ดังนั้นช่วงเวลาไม่กี่นาทีดังกล่าว ถือได้ว่าพระแก้วมรกตได้เป็นของรัสเซียแล้ว แม้มิได้อัญเชิญออกจากที่หรือเคลื่อนย้ายใดๆ แม้แต่น้อย หากวันนั้น มกุฎราชกุมารรัสเซียไม่ได้ทรงขอพระแก้วมรกต แต่ขอดินแดนไทยส่วนหนึ่ง ราชอาณาจักรสยาม อาจจะต้องเสียดินแดนไปมากกว่านี้ก็เป็นได้

    หลังจากที่ มกุฎราชกุมาร ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้ากรุงรัสเซียแล้ว ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าซาร์นิโกลัสที่ 2 ช่วงนั้นฝรั่งเศส กับอังกฤษกดดันรังแกไทยอย่างมาก จะเอาเป้นเมืองขึ้นให้ได้เหมือนพม่า เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย รัชกาลที่ 5 ทรงแผนการเสด็จประพาสยุโรปเพื่อใช้ “กลยุทธ์ทางการทูต”

    ผูกสัมพันธ์ไมตรีและสร้างความเข้าใจอันดีกับประเทศมหาอำนาจต่างๆ ด้วยหมายกำหนดการเสด็จประพาสยุโรปที่กินระยะเวลากว่า 9 เดือน วันพระฤกษ์ 7 เมษายน 2440 เรือพระที่นั่งมหาจักรีก็ออกเดินทางจากปากน้ำสมุทรปราการ ผ่านมหาสมุทรอินเดีย ก่อนเข้ายุโรป โดยเสด็จขึ้นบกที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลีเป็นแห่งแรกราวกลางเดือนพฤษภาคม

    และเสด็จพระราชดำเนินเข้าเขตประเทศรัสเซียในวันที่ 1 กรกฎาคม 2440 ต่อมาในวันที่ 3 กรกฎาคม พระเจ้าแผ่นดินสยามเหยียบย่างประพาสแผ่นดินรัสเซีย รัชกาลที่ 5 พร้อมข้าราชบริพารเสด็จพระราชดำเนินมาถึงกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ก็ไม่ได้ทำให้พระองค์ผิดหวังแม้แต่น้อย

    ทั้งนี้เป็นเพราะตั้งแต่วันแรกที่ทรงประทับอยู่ที่กรุงวอร์ซอ (เวลานั้นเป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเซีย) ทั้งเจ้าชายอาโนเลนสกี และนายพลเรืออาร์เซนเมียฟ แห่งรัสเซีย ต่างคอยถวายการต้อนรับตามพระราชบัญชาอย่างสมพระเกียรติ ทุกหนแห่งล้วนแสดงออกถึงความชื่นชมยินดี สถานีที่ขบวนรถไฟพระที่นั่งผ่านต่างก็ “ตกแต่งด้วยใบ (ไม้) ดอกไม้” ถวายเป็นพระเกียรติยศ

    ส่วนการเดินทางสู่ราชสำนักรัสเซีย ณ กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบอร์กก็แสนสะดวกสบาย “รถพระที่นั่งใช้จักร” ที่ซาร์นิโคลัสจัดถวายนั้น ตกแต่งในรถนอกรถอย่างประณีต จนผู้มาในรถไฟรู้สึกราวกับว่าอยู่ในวังอันงามมีความผาสุขเป็นอย่างมาก ซึ่งในการพบกันอีกครั้งที่ต่างพระองค์ทรงดำรงพระอิสริยยศเสมอกันในฐานะพระประมุขเป็นครั้งแรก

    ต่างก็ถวายพระเกียรติสูงสุดแก่กัน และแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมระหว่าง 2 ราชวงศ์ที่มีต่อกันมาก่อนหน้าการเสด็จประพาสครั้งนี้แล้ว พระเจ้าอยู่หัวสยาม ทรงเครื่องเต็มยศอย่างจอมพล ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เซนต์แอนดรูว์ ส่วนพระประมุขรัสเซียก็ทรงเครื่องเต็มยศประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีบรมราชวงศ์

    จึงถือเอาวันที่ 3 กรกฎาคม 2440 เป็นวันแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ไทย-รัสเซียอย่างเป็นทางการ ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าแผ่นดินสยามและพระประมุขรัสเซียที่เป็นไป อย่างอบอุ่นดุจญาติพี่น้องเป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในเวลาต่อมา

    พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 เสด็จฯ มาทรงรับถึงสถานีรถไฟ และได้ทูลเชิญให้ประทับที่พระราชวังฤดูร้อน พระราชวังนอกเมืองที่คนรัสเซียเรียกกันว่า “ปีเตอร์-ฮอฟ” พระพุทธเจ้าหลวงทรงประทับถึง 11 วันในอาณาจักรรัสเซียอันยิ่งใหญ่ ในดินแดนปิยมิตร ได้เสด็จเยือนนครมอสโกเมืองหลวงเก่า

    และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ (รัชกาลที่ 6) ซึ่งในขณะนั้นทรงศึกษาอยู่ที่อังกฤษได้ตามเสด็จมาสมทบ และได้เข้าเฝ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และพระราชวงศ์ด้วย พระเจ้าซาร์ฯ ทรงรักใคร่รัชกาลที่ 5 มากถึงกับเคยตรัสว่า " เขา (ร.5) เป็นพี่ชายของฉัน"

    วันที่ 4 กรกฎาคม 2440 เป็นวันอาทิตย์ พระเจ้าซาร์นิโคลัส พระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารเย็นเป็นทางการ ณ ห้องเปียระ พระองค์ทรงยืนมีพระราชดำรัสว่า “ ข้าพเจ้ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับพระองค์ในเมืองของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้มีโอกาสขอบพระทัยที่ได้ทรงเมตตา รับรองข้าพเจ้าในเวลาข้าพเจ้าไปถึงกรุงสยาม

    ข้าพเจ้ายังจำการที่ได้ทรงต้อนรับข้าพเจ้าโดยทรงพระเมตตาอย่างเพื่อนอันสนิท ในพระนครของกรุงสยามได้ดีทุกอย่าง ข้าพเจ้าขอดื่มถวายชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงสยาม” ...แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงยืนมีพระราชดำรัสตอบว่า “ข้าพเจ้า มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเฝ้าพระองค์ถึงกรุงรัสเซีย

    การที่พระองค์ได้เสด็จไปยังกรุงสยามนั้น ข้าพเจ้าและคนทั้งหลายในกรุงสยามยังจำได้โดยความยินดี ข้าพเจ้าถือว่าพระองค์เป็นมิตรผู้ทรงพระเดชานุภาพ ข้าพเจ้ามีความพอใจในการที่ได้ทรงจัดต้อนรับข้าพเจ้าเป็นอันมาก ข้าพเจ้าขอขอบพระทัยจากดวงจิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอดื่มถวายชัยมงคลสมเด็จพระเจ้าเอมเปรอกรุงรัสเซีย”

    พระเจ้าซาร์นิโคลัส เคยตรัสจะยกประเทศเดนมาร์กให้กับสยามด้วย แต่พระพุทธเจ้าหลวงทรงปฎิเสธจะรับ พระราชไมตรีอันแน่นแฟ้นของพระราชวงศ์ทั้งสองครั้งนั้น ก็ได้คานอำนาจของประเทศมหาอำนาจ ในยุโรปอย่างฝรั่งเศส และ อังกฤษ ทำให้สยามดำรงเอกราชเพียงประเทศเดียว ในภูมิภาค จวบจนกระทั่งทุกวันนี้

    พระเจ้าซาร์นิโคลัสฯ จึงได้ทรงชักชวนให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ส่งพระราชโอรสไปศึกษาที่ประเทศรัสเซีย ซึ่งพระองค์ยินดีที่จะอุปการะเสมือนสมาชิกราชวงศ์โรมานอฟด้วย ต่อมาใน พ.ศ. 2441 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ จึงมีพระราชกระแสรับสั่งส่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจักรพงษภูวนารถ กรมขุนพิษณุโลกประชานารถ

    ซึ่งขณะนั้นทรงศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษอยู่แล้ว ให้เข้าศึกษาในโรงเรียนนายร้อยมหาดเล็กที่รัสเซียตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเจ้าซาร์นิโคลัส ในการไปศึกษาของพระองค์ในประเทศรัสเซียคราวนั้น ด้วยพระวิริยะอุตสาหะผลการสอบของพระองค์ในโรงเรียนนายร้อยฯ ปรากฏว่าพระองค์ทรงสอบไล่ได้ที่ 1 ข้าราชบริพารไทยอีกคนที่ตามเสด็จไปได้ที่ 2

    ผลการสอบของพระองค์ในโรงเรียนนายร้อยมหาดเล็กในราชสำนักกรุงรัสเซีย ทรงทำคะแนนได้สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ของโรงเรียน ดังนั้นพระนามของพระองค์จึงได้ถูกจารึกไว้บนแผ่นศิลาอ่อนของโรงเรียนด้วย ทำให้พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ทรงพอพระทัยยิ่งได้ทรงแต่งตั้งให้เป็น นายพันเอกพิเศษในกองทัพบกรัสเซีย

    และพระราชทานสายสะพายเซนต์อันเดรย์ ซึ่งเป็นตราสูงสุดของประเทศรัสเซียสมัยนั้นอีกด้วย พระเจ้าซาร์ได้มีพระราชสาส์นมาเล่าถึงการเรียน และการพระราชทานตำแหน่งทางการทหารให้แก่พระราชโอรสเป็นทหารม้าฮุสซาร์ ขณะเดียวกันก็มีรายงานเกี่ยวกับการศึกษาเล่าเรียนของพระราชโอรส จากทูตไทยที่ดูแลภาคพื้นนั้นมาด้วย

    พระเจ้าซาร์ฯ ทรงชุบเลี้ยงและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทูลกระหม่อมเล็กอยู่ในพระราชอุปการะและเป็นที่รักใคร่ในสมเด็จพระจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 และสมเด็จพระจักรพรรดินีเป็นอย่างยิ่งเป็น “สายสัมพันธ์ที่มีชีวิต” ซึ่งเชื่อมโยงราชสำนักทั้ง 2 ให้สนิทสนมแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ต่อมามีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ

    พ.ศ. 2441 พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ทรงแต่งตั้งอเล็กซานเดอร์ โคลารอฟสกี มาดำรงตำแหน่งอุปทูตรัสเซียประจำสยามเป็นคนแรกใน และทางสยามก็ได้แต่งตั้งพระยาสุริยานุวัตรราชทูตไทย ณ กรุงปารีส มีอำนาจรับผิดชอบครอบคลุมถึงรัสเซีย และต่อมา พ.ศ. 2442 ได้แต่งตั้งพระยามหิบาลบริรักษ์ ( สวัสดิ์ ภูมิรัตน์ ) เป็นอัครทูตคนแรก ณ กรุงเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก

    ทำให้อังกฤษ กับ ฝรั่งเศส แหยงที่จะใช้กำลังทหารยึดไทยเป้นเมืองขึ้น ต่อมาเจ้าฟ้าจักรพงษภูวนารถกรมขุนพิษณุโลกประชานารถ ทรงพบรักกับแคทริน พยาบาลสาวชาวรัสเซีย และแต่งงานกันมีบุตรชายหนึ่งพระองค์ คือ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์

    ต่อมาได้มีการพบพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 5 อย่างสมบูรณ์ ในหอจดหมายเหตุพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ทรงถ่ายรูปร่วมกับรัชกาลที่ 5 ครั้งเยือนแผ่นดินสยาม ซึ่งไทยร่วมกับสถานทูตสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทย และสำนักข่าวอิตาร์-ทาสส์ ของรัสเซีย คัด 100 ภาพจัดแสดงนิทรรศการ ขณะที่สองรัฐบาลซ่อมแซมที่ประทับปีกซ้ายพระราชวังปีเตอร์ฮอฟ เชื่อมความสัมพันธ์ไทย-รัสเซียอีกด้วย

    แม้ว่ารัสเซียเปลี่ยแปลงการปกครองเป็นแบบคอมมิวนิสต์ ภายใต้การนำของพรรคบอลเชวิก แต่เหตุการณ์ทางการเมืองนี้ ก็ไม่ได้ลบเลือนความทรงจำอันงดงามที่เคยเกิดขึ้นในสายธารแห่งประวัติศาสตร์ ร่องรอยแห่งเกียรติภูมิและความผูกพันที่แน่นแฟ้นระดับราชวงศ์ทั้ง 2 ราชอาณาจักรยังคงอยู่ไม่เสื่อมคลาย


    https://www.tnews.co.th/contents/306712
     
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    1131229.jpg
    พระบรมราโชวาทในรัชกาลที่ ๕ พระราชทานสมเด็จเจ้าฟ้าวชิรุณหิศ


    เราคนไทยผู้ซึ่งถือกำเนิด เจริญเติบโต ได้อยู่อาศัย และทำมาหากินในผืนแผ่นดินไทยอันเจริญรุ่งเรือง และสงบร่มเย็นตามสมควร

    เรามีความภาคภูมิใจในความเป็นประเทศที่มีเอกราช บูรณภาพแห่งดินแดน ไม่เคยตกอยู่ใต้การปกครองของผู้ล่าอาณานิคมจากตะวันตกดังประเทศรอบบ้านหลาย ๆ ประเทศ ก็ด้วยพระคุณของพระมหากษัตริย์และเหล่าบรรพชนไทยในอดีต

    หลายคนอาจจะพอทราบว่าพระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งของราษฎรอย่าง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงเหน็ดเหนื่อย ตรากตรำ ต่อการเป็นพระเจ้าแผ่นดินเพียงใด

    พระราชดำรัสที่คุ้นหูปวงชนชาวไทยความว่า “ฉันรู้ตัวชัดอยู่ว่า ถ้าความเปนเอกราชของกรุงสยามได้สิ้นสุดไปเมื่อใด ชีวิตรฉันก็คงจะสุดสิ้นไปลงเมื่อนั้น” อันเนื่องมาจากการเสียดินแดนในยุคล่าอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจตะวันตก ทำให้ประชาชนอย่างเราเกิดความรู้สึกเจ็บปวดแทนพระองค์ท่าน

    ผมมีโอกาสได้อ่านพระบรมราโชวาทในรัชกาลที่ ๕ พระราชทานสมเด็จเจ้าฟ้าวชิรุณหิศ จากหนังสือ เสนาศึกษา เล่มที่ ๗๒ ตอนที่ ๒ พฤษภาคม-สิงหาคม ๒๕๔๙

    จดหมายฉบับนี้ เป็นสิ่งยืนยันถึงภาระอันหนักอึ้งที่พระองค์ท่านต้องเผชิญนับแต่วันขึ้นครองราชย์ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน

    พสนิกกรไทยทั้งแผ่นดินต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านไม่เสื่อมคลาย

    ส่วนคนบางกลุ่มบางพวกที่ไม่รู้สำนึกในพระคุณของบูรพกษัตริย์และบรรพชนไทยที่สร้างชาติ รักษาแผ่นดิน ให้พวกเขาอยู่อย่างสุขสบายตราบเท่าทุกวันนี้ เขาย่อมมีนรกเป็นที่ตั้ง

    พระบรมราโชวาทฉบับนี้อาจยาวไปบ้าง แต่ก็มีคุณค่าเกินกว่าที่ผมจะคัดย่อให้สั้นลงเหมือนกับเรื่องอื่น ๆ ที่เคยนำมาลงได้

    หากใครพอมีเวลา ขอเชิญอ่านนะครับ ผมตั้งใจนำมาฝากจริงๆ


    http://oknation.nationtv.tv/blog/patijjachon/2008/07/27/entry-1

    พระบรมราโชวาทในรัชกาลที่ ๕ พระราชทานสมเด็จเจ้าฟ้าวชิรุณหิศ
    ----------------------------------




    ที่ ๒/๖๑๓๔ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
    วันที่ ๘ กรกฎาคม รัตนโกสินทรศก ๑๑๒



    ถึง ลูกชายใหญ่ เจ้าฟ้าวชิรุณหิศ



    ด้วยเมื่อวันที่ ๖ เดือนนี้ เวลากลางคืน เป็นเวลาที่เจ้ามีอายุเต็มเสมอเท่ากับพ่อเมื่อได้รับสมมติเป็นเจ้าแผ่นดิน นึกตั้งใจไว้ว่าจะเขียนหนังสืออำนวยพร และสั่งสอนตักเตือนเล็กน้อย ก็เฉพาะถูกเวลาลงไปปากลัดเสีย จึงเป็นแต่ได้บอกด้วยปากโดยย่อ บัดนี้พอที่จะหาเวลาเขียนหนังสือฉบับนี้ได้จึงได้รีบเขียน ขอเริ่มความว่า



    คำซึ่งกล่าวว่า ได้รับสิริราชสมบัติเป็นคำไพเราะจริงหนอ เพราะสมบัติย่อมเป็นที่ปรารถนาของบุคคลทั่วหน้า และย่อมจะคิดเห็นโดยง่าย ๆ ว่า ผู้ซึ่งได้เป็นเจ้าแผ่นดินแล้ว ย่อมจะมีเกียรติยศยิ่งกว่าคนสามัญ ย่อมจะมีอำนาจจะลงโทษแก่ผู้ซึ่งไม่พึงใจ อาจจะยกย่องเกื้อกูลแก่ผู้ซึ่งพึงใจ และเป็นผู้มีสมบัติมาก อาจจะใช้สอยเล่นหัวหรือให้ปันแก่ผู้ที่พึงใจได้ตามประสงค์ ผลแห่งเหตุที่ควรยินดีกล่าวโดยย่อเพียงเท่านั้น ยังมีข้ออื่นอีกเป็นหลายประการ จะกล่าวไม่รู้สิ้น



    แต่ความจริงหาเป็นเช่นความคาดหมายของคนทั้งปวงดังนั้นไม่ เวลาซึ่งกล่าวมาแล้วอันจะพูดตามคำไทยอย่างเลว ๆ ว่ามีบุญขึ้นนั้น ที่แท้จริงเป็นผู้มีกรรมและมีทุกข์ยิ่งขึ้น ดังตัวพ่อได้เป็นมาเอง อันจะเล่าโดยย่อให้ทราบต่อไปนี้



    ในเวลานั้น อายุพ่อเพียง ๑๕ ปีกับ ๑๐ วัน ไม่มีมารดา มีญาติฝ่ายมารดาก็ล้วนแต่โลเลเหลวไหล หรือไม่โลเลเหลวไหลก็มิได้ตั้งอยู่ในตำแหน่งราชการอันใดเป็นหลักฐาน ฝ่ายญาติข้างพ่อคือเจ้านายทั้งปวงก็ตกอยู่ในอำนาจสมเด็จเจ้าพระยา และต้องรักษาตัวรักษาชีวิตอยู่ด้วยกันทั่วทุกองค์ ไม่เอื้อเฟื้อต่อการอันใดเสียก็มีโดยมาก ฝ่ายข้าราชการถึงว่ามีผู้ที่ได้รักใคร่สนิทสนมอยู่บ้างก็เป็นแต่ผู้น้อยโดยมาก ที่เป็นผู้ใหญ่ก็ไม่มีกำลังสามารถอาจจะอุดหนุนอันใด ฝ่ายพี่น้องซึ่งร่วมบิดามารดาหรือที่ร่วมทั้งมารดาก็เป็นเด็กมีอายุต่ำกว่าพ่อลงไป ไม่สามารถจะทำอะไรได้ทั้งสิ้น ส่วนตัวพ่อเองยังเป็นเด็กอายุเพียงเท่านั้น ไม่มีความสามารถรอบรู้ในราชการอันใดที่จะทำการตามหน้าที่ แม้แต่เพียงเสมอเท่าที่ทูลกระหม่อมทรงประพฤติมาแล้วได้ ยังซ้ำเจ็บเกือบจะถึงแก่ความตาย อันไม่มีผู้ใดสักคนเดียวซึ่งจะเชื่อว่าจะรอด ยังซ้ำถูกอันตรายอันใหญ่คือ ทูลกระหม่อมเสด็จสวรรคตในเวลานั้น เปรียบเหมือนคนที่ศีรษะขาดแล้ว จับเอาแต่ร่างกายขึ้นตั้งไว้ในที่สมมติกษัตริย์ เหลือที่จะพรรณนาถึงความทุกข์อันต้องเป็นกำพร้าในอายุเพียงเท่านั้น และความหนักของมงกุฎอันเหลือที่คอจะทานไว้ได้ ทั้งมีศัตรูซึ่งมุ่งหมายอยู่โดยเปิดเผยรอบข้างทั้งภายในภายนอกหมายเอาทั้งในกรุงและต่างประเทศ ทั้งโรคภัยในกายเบียดเบียนแสนสาหัส



    เพราะฉะนั้น พ่อจึงถือว่าวันนั้นเป็นวันเคราะห์ร้ายอย่างยิ่ง อันตั้งแต่เกิดมาพึ่งได้มีแก่ตัวจึงสามารถที่จะกล่าวในหนังสือฉบับก่อนว่าเหมือนตะเกียงอันริบหรี่ แต่เหตุใดจึงไม่ดับ เป็นข้อที่ควรจะถามหรือควรจะเล่าบอก การที่ไม่ดับไปได้นั้น
    ๑. คือเยียวยารักษาร่างกายด้วยยาบำบัดโรคและความอดกลั้นต่อปรารถนา คือไม่หาความสุขเพราะกินของที่มีรสอร่อย อันจะทำให้เกิดโรค
    ๒. ปฏิบัติอธิษฐานใจเป็นกลาง มิได้สำแดงอาการกิริยาโดยแกล้งทำอย่างเดียว ตั้งใจเป็นความแน่นอนมั่นคง เพื่อจะแผ่ความเมตตากรุณาต่อชนภายใน คือน้อง และแม่เลี้ยงทั้งปวงตามโอกาสที่จะทำได้ ให้เห็นความจริงใจว่ามิได้มุ่งร้ายหมายขวัญต่อผู้หนึ่งผู้ใด การอันใดที่เป็นข้อกระทบกระเทือนมาเก่าแก่เพียงใดมากหรือน้อย ย่อมสำแดงให้ปรากฏว่าได้ละทิ้งเสียมิได้นึกถึงเลย คิดแต่จะมั่วสุมให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยควรที่จะสงเคราะห์ได้อย่างใดก็สงเคราะห์ มีที่สุดถึงว่าอายุน้อยเพียงเท่านั้นยังได้จูงน้องเด็ก ๆ ติดเป็นพรวนโตอยู่ทุกวัน แม่เจ้าคงจะจำได้ในการที่พ่อประพฤติอย่างใดในขณะนั้น
    ๓. ส่วนพระบรมวงศานุวงศ์ ผู้ใหญ่ซึ่งท่านเชื่อเป็นแน่ว่าพ่อเป็นเจว็ดครั้งหนึ่งคราวหนึ่งอย่างเรื่องจีน แต่ถึงดังนั้นพ่อได้แสดงความเคารพนับถืออ่อนน้อมต่อท่านอยู่เสมอ เหมือนอย่างเมื่อยังมิได้เลือกขึ้นเป็นสมมติกษัตริย์เช่นนั้น จนท่านก็มีความเมตตาปรานีขึ้นทุกวัน ๆ
    ๔. ส่วนข้าราชการผู้ใหญ่ ซึ่งรู้อยู่ว่ามีความรักใคร่นับถือพ่อมาแต่เดิมก็ได้แสดงความเชื่อถือรักใคร่ยิ่งกว่าแต่ก่อน จนมีความหวังใจว่าถ้ากระไรคงจะได้ดีสักมื้อหนึ่ง หรือถ้ากระไรก็จะเป็นอันตรายสักมื้อหนึ่ง
    ๕. ผู้ซึ่งรู้อยู่ว่าเป็นศัตรูป้องร้ายก็มิได้ตั้งเวรตอบคือเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง ย่อมเคารพนับถือและระมัดระวังมิให้เป็นเหตุว่าคิดจะประทุษร้ายตอบหรือโอนอ่อนยอมไปทุกอย่าง จนไม่รู้ว่าผิดว่าชอบเพราะเหตุที่รู้อยู่ว่าเป็นศัตรู
    ๖. ข้าราชการซึ่งเป็นกลางคอยฟังว่าชนะไหนจะเล่นนั่นนั้นมีเป็นอันมาก แต่พ่อมิได้แสดงความรู้สึกให้ปรากฏเลย ย่อมประพฤติต่อด้วยอาการเสมอ แล้วแต่ความดีความชั่วของผู้นั้น แม้ถึงรู้อยู่ว่าเป็นศัตรูหรือเฉย ๆ แต่เมื่อทำความดีแล้วต้องช่วยยกย่องให้ตามคุณความดี
    ๗. ผู้ซึ่งเป็นญาติพี่น้องมิได้ยกย่องให้มียศศักดิ์เกินกว่าวาสนาความดีของตัวผู้นั้น ถ้าผู้นั้นทำผิดต้องปล่อยให้ได้รับความผิด ผู้นั้นทำความดีก็ได้รับความดีเท่ากับคนทั้งปวง มีแปลกอยู่แต่เพียงมารู้อยู่ในใจด้วยกันแต่เพียงว่าปรารถนาจะให้ไปในทางดีเพื่อจะได้ยกย่องขึ้น เมื่อไปทางที่ผิดก็เป็นที่เสียใจ แต่ความเสียใจนั้นไม่มาหักล้างมิให้ยินยอมให้ผู้ผิดต้องรับความผิด
    ๘. ละเว้นความสุขสบาย คือ กินและนอนเป็นต้น สักแต่ชั่วรักษาชีวิตไว้พอดำรงวงศ์ตระกูลสืบไป พยายามหาคนที่จะใช้สอยอันควรจะเป็นที่วางใจได้ มีน้องเป็นต้น อันมีอายุเจริญขึ้นโดยลำดับ
    ๙. เมื่อมีผู้ที่ร่วมคิดในทางอันดีมากขึ้น จึงค่อยแผ่อำนาจออกโดยยึดเอาทางที่ถูก ต่อสู้ทางที่ผิด เมื่อชนะได้ครั้งหนึ่งสองครั้ง ความนิยมของคนซึ่งตั้งอยู่ในทางกลางย่อมรวนเรหันมาเห็นด้วยก่อน จึงเกิดความนิยมมากขึ้น ๆ จนถึงผู้ซึ่งเป็นศัตรูก็ต้องกลับเป็นมิตร เว้นไว้แต่ผู้ซึ่งมีความปรารถนากล้า อันจะถอยกลับมิได้เสียแล้วก็ต้องทำไป แต่ย่อมเห็นว่ากำลังอ่อนลงทุกเมื่อ ๆ
    ๑๐. พ่อไม่ปฏิเสธว่า ในเวลาหนุ่มคะนองเช่นนั้นจะมิได้ซุกซน อันเป็นเหตุให้พลาดไปหลายครั้ง แต่อาศัยเหตุโอบอ้อมที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น และความรู้เห็นในผู้ซึ่งควรจะไว้ใจได้แก้ไขให้รอดจากความเสียถ้าไม่ได้ประพฤติใจดังเบื้องต้นแล้ว ไหนเลยจะรอดอยู่ได้ คงล่มเสียนานแล้ว การอันใดซึ่งเกิดเป็นการใหญ่ ๆ ขึ้น ดูก็ไม่น่าที่จะยกหยิบเอามากล่าวในที่นี้ เพราะจะทำให้หนังสือยาวเกินไป แต่พ่อยังเชื่อว่าถึงเหตุเหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะเป็นคนหนุ่มก็ยังได้ประโยชน์มากกว่าเสียประโยชน์ จึงได้ตั้งตัวยืนยาวมาได้ถึง ๒๕ ปี นี้แล้ว



    บัดนี้ ลูกมีอายุเท่ากับพ่อในเวลาที่ได้มีความทุกขเวทนาแสนสาหัสเช่นนั้น จึงได้มีใจระลึกถึงประสงค์จะแนะให้รู้เค้าเงื่อนแห่งความประพฤติอันได้ทดลองมาแล้วในชั่วอายุเดียวเท่านั้น แต่จะถือเอาเป็นอย่างเดียวกันเหมือนตีพิมพ์ย่อมไม่ได้อยู่เอง เพราะบริษัทและบุคคลกับทั้งเหตุการณ์ภูมิพื้นบ้านเมืองผิดเวลากัน ในเวลานี้เป็นการสะดวกดี ง่ายกว่าแต่ก่อนมากยิ่งนัก ตัวชายใหญ่เองก็ตั้งอยู่ในที่ผิดกันกับพ่อ ถ้าประพฤติตัวให้ดีจะดีได้เร็วกว่าง่ายกว่าเป็นอันมากในการภายใน แต่การภายนอกย่อมหนักแน่นขึ้นกว่าแต่ก่อน จึงจะเป็นการจำเป็นที่จะทำช้าอย่างพ่อเคยทำมาไม่ได้ การสมัครสมานภายในต้องเรียบร้อยโดยเร็วไว้รับภายนอกให้ทันแก่เวลา จึงขอเตือนว่า
    ๑. ให้โอบอ้อมอารีต่อญาติและมิตรอันสนิท มีน้องเป็นต้น เอาไว้เป็นกำลังให้จงได้
    ๒. อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ไม่ว่าเจ้านายหรือขุนนาง ฟังคำแนะนำตักเตือนในที่ควรฟัง
    ๓. อย่าถือว่าเกิดมามีบุญ ต้องถือว่าตัวเกิดมามีกรรมสำหรับจะเทียมแอกเทียมไถทำการที่หนัก การซึ่งจะมีวาสนาขึ้นต่อไปนั้นเป็นความทุกข์มิใช่ความสุข
    ๔. การที่เป็นเจ้าแผ่นดินไม่ใช่สำหรับมั่งมี ไม่ใช่สำหรับคุมเหงคนเล่นตามชอบใจ มิใช่เกลียดไว้แล้วจะได้แก้เผ็ด มิใช่เป็นผู้สำหรับจะกินสบายนอนสบาย ถ้าจะปรารถนาเช่นนั้นแล้วมีสองทาง คือ บวชทางหนึ่ง เป็นเศรษฐีทางหนึ่ง เป็นเจ้าแผ่นดินสำหรับแต่เป็นคนจน และเป็นคนที่อดกลั้นต่อสุขและทุกข์ อดกลั้นต่อความรักและความชังอันจะเกิดฉิวขึ้นมาในใจหรือมีผู้ยุยง เป็นผู้ปราศจากความเกียจคร้าน ผลที่จะได้นั้นมีแต่ชื่อเสียงปรากฏเมื่อเวลาตายแล้วว่าเป็นผู้รักษาวงศ์ตระกูลไว้ได้ และเป็นผู้ป้องกันความทุกข์ของราษฎรซึ่งอยู่ในอำนาจความปกครอง ต้องหมายใจในความสองข้อนี้เป็นหลักมากกว่าคิดถึงการเรื่องอื่น ถ้าผู้ซึ่งมิได้ทำใจได้เช่นนี้ก็ไม่แลเห็นเลยว่าจะปกครองรักษาแผ่นดินอยู่ได้



    เมื่อลงปลายหนังสือฉบับนี้ ต้องขออำนวยพรเจ้า ซึ่งยังมิต้องรับการหนักอย่างเช่นพ่อต้องรับมา ในเมื่ออายุเพียงนี้ยังมีพร้อมอยู่ทั้งบิดามารดาคณาญาติ ซึ่งจะช่วยอุปถัมภ์บำรุงให้สติปัญญาความคิดแก่กล้าขึ้น จนถึงเวลาที่ควรจะรับแล้วและได้รับโดยความสะดวกใจดีกว่าที่พ่อได้เป็นมาแล้ว ขอให้หมั่นศึกษาและทำในใจในข้อความที่ได้กล่าวตักเตือนมานี้ ละความเกียจคร้าน ตั้งใจพยายามทำทางไว้ให้ดีทุกเมื่อ ถ้าสงสัยอันใดข้อใดไม่เข้าใจให้ถาม จะอธิบายให้ฟัง ให้อ่านหนังสือนี้จำได้ทุกข้ออย่าให้เป็นแต่เหมือนอ่านหนังสือพิมพ์เล่น



    (พระบรมนามาภิไธย) สยามินทร์



    ------------------------------------------------------------------------------------



    ผู้สนใจรายละเอียด กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่ ชัยอนันต์ สมุทวณิช และขัตติยา กรรณสูต (รวบรวม) เอกสารการเมืองการปกครองไทย (พ.ศ. ๒๔๑๗-๒๔๗๗) กรุงเทพฯ: โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ๒๕๓๒

    http://oknation.nationtv.tv/blog/patijjachon/2008/07/27/entry-1
    image_big_5a67004b9d4a9.jpg


     
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    Katin_2018_A3_poster_22oct18-2.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...