เรื่องเด่น นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 16 กันยายน 2014.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    565388.jpg

    หลวงพ่อเป็นพ่อครัวชั้นเอก



    การพูดของหลวงพ่อท่านไม่ได้พูดซี้ซั้ว เหมือนอย่างฉันนี่พูดเรื่อยเปื่อยไป ของท่านต้องมีคนมาพากย์ เวลาฉันอาหารยังมีคนมาบอก วันนี้ฉันอย่างนี้ วันนี้ฉันอย่างนั้น ฉันอันนี้ อะไรแบบนี้ ท่านฉันตามสั่ง ท่านพูดตามสั่งทั้งนั้น

    อย่างเวลาลงมารับแขกที่นวราช ท่านจะมองกวาดคนไปเลย มองหาสีเสื้อที่เขาบอก มาเป็นสีอะไร ท่านจะมองหา พอมองหาเจอทีนี้ท่านจะพูดละ "เอ้ย ยังไงเจ้าจ้อกแจ็กเอ้ย" ตรงใจเลยชื่นใจ สมัยก่อนนี้ใช่ไหม ถ้ารู้ว่าคนนี้ชอบทักแล้วจะชื่นใจ เพราะท่านรู้นี่ ก็จะทำให้คนนั้นมั่นคง จากพระมาบอกทั้งนั้น คนนี้เป็นลูกคนไหน ยังกับพากย์หนังเลยแหละ ท่านจะเล่า

    อย่างหมู หมา กา ไก่ร้อง เห่า ท่านยังเล่าเลยนี่ไอ้ตัวนี้คนนั้นมาเกิด ไอ้ตัวนี้คนนั้นมาเกิด

    (อีกเรื่องหนึ่ง) แต่ท่านบอกว่า ลูกท่านก็มีโต๋เต๋ไปบ้างเวลาอกุศลกรรมให้ผล ถ้าใครโต๋เต๋ไปบ้าง ก็นึกว่าตอนนั้นอกุศลกรรมให้ผลนะ แล้วบั้นปลายชีวิตไปหมด

    ยกทรงถามว่า บั้นปลายชีวิตไปหมดนี่ ไปไหนครับ มันมี 2 ไปครับ ?

    ท่านเจ้าคุณบอก คือ ไปที่ชอบที่ชอบน่ะ (หัวเราะ)

    ยกทรงบอก เข้าวินหมด ไปนิพพานไม่เหลือหรอ

    ท่านเจ้าคุณบอกว่า มันยากนะคุยเรื่องนิพพานนี่

    ยกทรงไปเจอเพื่อนเก่าบางคนบอกว่า ท่านฤาษีลิงดำนี่สอนนิพพานง่ายเหลือเกินนะ

    ท่านเจ้าคุณฯ ก็ยกตัวอย่างเปรียบเทียบว่า อย่างการหาเงินเนี่ย ใครอยากหาเงินยากๆ บ้างล่ะ ใช่ไหม ก็อยากหาเงินได้ง่ายๆทั้งนั้น บางคนเซ็นต์แกร็กเดียวได้เป็นล้าน บางคนขุดดินกว่าจะได้เงินล้านตายเลย ใครอยากขุดดินก็เอา เราอยากได้ง่ายๆดีกว่า

    ยกทรงบอกว่า อย่างนี้แสดงว่าติดตามหลวงพ่อมา ทำแบบอะไรง่ายๆ ไวๆ สะดวกเร็วๆ

    ท่านเจ้าคุณบอกว่า ที่ง่ายเอาหลักฐานมาประมวลกันจริงๆ ก็คือว่าเกี่ยวกับว่าคนของท่านติดตามกันมา 16 อสงไขยกับแสนกัป เพราะว่าสะสมบารมีกันมาเข้มแล้ว

    เหมือนเรามาเจอหลวงพ่อนี่ ถ้าหลวงพ่อเป็นพ่อครัว หลวงพ่อปรุงให้เด็ดทุกรสทุกอย่าง อย่าง เช่นมีอาหาร 40 อย่าง หลวงพ่อปรุงอาหารรสเด็ดให้หมดแล้ว ท่านก็ปรุงแล้ว 40 หม้อ ก็เลือกกินเอา ใครปฏิบัติกองไหน ก็ทำเอาตามใจชอบ

    ทีนี้เราไปสำนักอื่นบ้าง สำนักอื่นมีแกงหม้อเดียวหรือแกง 2 หม้อ รสก็ไม่เท่ากับพ่อครัวชั้นเอก เพราะว่าหลวงพ่อมาจากพุทธภูมิ จึงตั้งเป็น พ่อครัวชั้นเอก ใช่ไหม ท่านบอกว่าดี แล้วมากับท่าน ท่านปรุงได้เยี่ยมยอดหมด

    เราสังเกตไปวัดอื่น ฟังเทศน์ยังจืดหมดนี่ รสไม่เข้มข้น บางทีเทศน์น้ำเยอะ มีเนื้อน้อยหนึ่ง ไม่รู้จะสรุปลงตรงไหนเลย หลวงพ่อนี่มีรสเด็ดเร้าใจ นี่ไม่ได้คุยโม้อะไรนะ ไปหาฟังกันก็แล้วกัน หาฟังเอาบ้างจากที่อื่น ลองไปสำนักอื่นบ้าง

    ยกทรงบอกว่า นี่เรียกว่าปรุงอาหารมา 16 อสงไขยกับแสนกัป

    ท่านเจ้าคุณบอกว่า ใช่

    ดร.ปริญญาบอกว่า ทำทุกอย่างมาหมดแล้ว ทำทุกอย่างครบหมด ก็เลือกเอาก็แล้วกัน


    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 451 เดือนตุลาคม 2561 หน้า 10-12)

    564454.jpg
     
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    (DSC0795.jpg

    DSC01976.jpg


    พระคำข้าวรุ่นพิเศษ พิเศษยังไง



    อาจารย์ยกทรง : ก็มาถึงธัมมวิโมกข์ฉบับปัจจุบันเลยว่า วันวิสาขบูชาปี 35 นี้จะออกพระรุ่นพิเศษนี่ครับ ที่จะกราบเรียนถามก็คือว่า จะต้องจองล่วงหน้าก่อนหรือว่าไม่ต้อง

    หลวงพ่อ : จองล่วงหน้าไม่เอาไม่ต้องจอง จำล่วงหน้านี่เอา มัดจำเอา จองไม่เอา

    อาจารย์ยกทรง : โอ้โฮ..รอบคอบขนาดนี้

    หลวงพ่อ : ใช่ มัดจำเป็นเรื่องมัดจำ เรื่องเอาจริงๆ ต้องเสียสตางค์ใหม่นะ

    อาจารย์ยกทรง : โอ..มัดจำนี่หายไปเลย

    หลวงพ่อ : หายไปเลย คือว่าไม่แน่ว่าจะออกวิสาขะอย่างไร ทันไม่ทันก็ไม่รู้

    อาจารย์ยกทรง : แต่ส่วนมากจะพยายามให้ทัน

    หลวงพ่อ : ใช่ พยายามให้ทัน

    อาจารย์ยกทรง : โอ..นี่เป็นบุญของลูกหลานนะ อยู่ก่อนอย่าเพิ่งไปนะ แค่วิสาขะปี 35 นี่เอง

    อีกนิดคือว่า ได้ลงในหนังสือว่าด้านหลังเป็น "ยันต์เกราะเพชร" จำลองมาหมดเลยนะ

    หลวงพ่อ : ไม่จำลอง ทำเหมือนทุกอย่าง ต้องทำยันต์เกราะเพชรให้ด้วย จึงเป็นกรณีพิเศษใช่ไหม

    อาจารย์ยกทรง : คราวนี้จะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุด้วยใช่ไหมครับ

    หลวงพ่อ : ด้วย ไม่ต้องจุหรอก ไปแปะข้างหน้าให้มองเห็นเลยจ๊ะ

    อาจารย์ยกทรง : อ๋อ..เห็นชัดเลยหรือครับ แล้วรุ่นนี้จะมีเกศาผมหรือเปล่าครับ

    หลวงพ่อ : เกศาไม่มีอาจจะมีผมก็ได้

    อาจารย์ยกทรง : แหม..อุตส่าห์พูด 2 ศัพท์กลัวจะหลงจะลืมนะ เพราะติดใจว่าเกศาหลวงพ่ออีกนาน ต่อไปก็

    หลวงพ่อ : เอาอย่างนี้ดีกว่า พระบรมสารีริกธาตุประเสริฐกว่า พระพุทธเจ้าเองนะ

    อาจารย์ยกทรง : ครับๆ ก็เป็นอันว่าพักผ่อนกันได้ พอแล้วนะ ผมเป็นห่วงหลวงพ่อไม่ใช่อะไรหรอกครับ

    หลวงพ่อ : อย่างไรๆ ก็ไปต่ออีกได้ ฉันก็ไปห่วงในฝัน เพราะว่ายังถวายไม่ครบ

    อาจารย์ยกทรง : เดี๋ยวรถหาย เดี๋ยวสร้อยหายนะ เจ้านี้ยังห่วงอีกก็เกินไป

    หลวงพ่อ : ไอ้หายเหยฉันไม่ห่วงหรอก ห่วงยังให้น้อยไป

    อาจารย์ยกทรง : แสดงว่าหลวงพ่อยังมีเมตตา

    หลวงพ่อ : โธ่ ยังคิดถึงมันเสมอไอ้นี่ มาทีไรคิดถึงไอัขวัญ พอเจอะหน้าได้สตางค์ทุกที

    อาจารย์ยกทรง : อ๋อ..มิน่าล่ะ เอาละนะแค่นี้นะ


    (จากหนังสือ " รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 15 หน้า 365-366)


    DSC01983.jpg
     
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741


    เพื่อนหลวงพ่อ



    ยกทรง : ท่านพระครูฯ อยู่กับหลวงพ่อมานี่ก็นานแสนนาน เคยเจอเพื่อนหลวงพ่อ 2 องค์ไหมครับ พระสหายหลวงพ่อเคยมีวี่แววบ้างไหมครับ

    ท่านเจ้าคุณฯ : เคยถามหลวงพ่อเองเลย หลวงพ่อครับ เพื่อนหลวงพ่อที่อยู่ป่า 2 องค์นี่ มาวัดกันบ้างหรือเปล่าครับ มีแต่พระพิเศษมาเรื่อย แต่ว่าเพื่อนหลวงพ่อไม่มาบ้างหรือครับ

    ท่านบอกท่านมาทุกงานนั่นแหละ แต่ไปเป็นเณรบ้าง เป็นเด็กบ้าง อะไรอย่างนี้ จับเขาไม่ได้ เราก็หมดความสงสัยแล้ว คิดแล้วเป็นบ้า เพราะเราไม่มีปัญญาที่จะไปเห็นท่านนี่ แต่ท่านจะให้เห็นจะให้รู้ก็รู้เอง เข้าใจว่าอย่างนั้นนะ เพราะว่าบางทีไปเป็นเณรบ้าง เป็นคนตัวเล็กบ้าง อะไรอย่างนี้ จำไม่ได้หรอก ท่านมาอย่างนั้น

    ยกทรง : จะไม่มาสภาพเดิมอย่างนั้นหรือครับ

    ท่านเจ้าคุณฯ : สภาพเดิมเราก็ไม่รู้อยู่แล้วใช่ไหม เราก็ไม่รู้ว่าท่านรูปร่างอย่างไร แต่ว่าบางคนที่เห็นนี่รู้สึกว่าจะทำไม่เหมือนคนธรรมดา อะไรอย่างนี้ เราก็ไม่ค่อยรู้ แต่ความรู้นี่ไปแล้วถึงรู้ ไปแล้ว กลับไปแล้วถึงรู้ โอ้ ใช่แล้วนี่อย่างนี้ พระที่มีอภิญญา คนธรรมดาทำไม่ได้อย่างนี้นี่

    ยกทรง : แหม ตอนเป็นเณรมาบางทีเราก็...

    ท่านเจ้าคุณฯ : หมดเลย หมดสงสัย เลยไม่รู้จะสงสัยอะไรเลย

    ยกทรง : ดีไม่ดีก็ไม่ไหว้ซะเลย เป็นเณรไม่อยากไหว้ อดเลย แต่ว่าเวลามีงานมีการทุกครั้งท่านจะมาเมตตาสงเคราะห์

    ท่านเจ้าคุณฯ : ท่านจะมา มาแทบทุกครั้ง

    ยกทรง : หลวงพ่อเคยเล่าหรือเปล่าว่าเรามีวิธีการอย่างไรที่จะมีโอกาสได้พบหลวงพ่ออีก 2 องค์ได้หรือเปล่า เทคนิคๆ อะไรมีไหม

    ท่านเจ้าคุณฯ : โอ เยอะเลย บางคราวเวลาจะมีงานใหญ่ที ท่านก็จะบอกใช่ไหมว่าวันนี้จะมีพระองค์นั้นมา พระองค์นี้มา เราก็จะถามท่าน ทีนี้ถามท่าน ท่านก็ตอบอย่างนี้ บอกว่า ที่เปลี่ยนองค์เป็นอย่างนั้นอย่างนี้อะไรอย่างนี้ เราก็จะหมดความ (อยาก) ที่จะตามหาเลย

    ยกทรง : ท่านพระครูฯ ก็ติดตามหลวงพ่อมานานแล้วทิพจักคงทิพจักขุญาณ คงคิดว่า...

    ท่านเจ้าคุณฯ : หลวงพ่อท่านสอนไม่ปิดบังหรอก ท่านสอนหมดนั้นแหละ เราจะโลภมาก ก็จะหาว่าโลภมากเอาวิชาไปซะหมดเลย เลยไม่เอาไปซักอย่าง (หัวเราะ)

    ยกทรง : หมดเรื่องไปเลยนะ

    ท่านเจ้าคุณฯ : ใช่ ท่านสอนหมดนั่นแหละ เราจะไปทำอะไรเท่าครูบาอาจารย์แล้วเดี๋ยวจะหาว่าเลียนแบบ


    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 478 เดือนมกราคม 2564 หน้า 31-32)


    12109022_10153715443279329_7296510920200524345_n.jpg

    12108887_10153691928969329_1810144176199581528_n.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2024
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    137574741_1811947088981822_2675191082234103355_n.jpg

    วันเช็งเม้ง


    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา วันเช็งเม้ง เขาไปไหว้พ่อแม่ปู่ย่าตายายกันที่ฮวงซุ้ย แต่ลูกคิดว่าการเดินทางไปกลับใช้เวลามาก เลยเปลี่ยนมาถวายสังฆทานกับหลวงพ่อแล้วอุทิศส่วนกุศลให้คุณพ่อที่ตายไปแล้ว

    อย่างนี้จะมีผลดีกว่าไปไหว้คุณพ่อที่ฮวงซุ้ยหรือเปล่าคะ ?

    หลวงพ่อ : อย่างนี้หลวงพ่อชอบ

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเข้าใจตอบ

    หลวงพ่อ : ใช่ ตรงไปตรงมา สัจจวาจาใช่ไหม

    คือเป็นอย่างนี้นะ ว่ากันตามเรื่องจริงๆนะ ถ้าเราไปไหว้ที่ฮวงซุ้ยเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที ใช่ไหม

    ถ้าเราทำบุญที่นี่ อุทิศให้ท่านก็เป็นการกตัญญูเหมือนกัน

    แต่ว่าถ้าเราไปไหว้ที่ศพ เอาของไปไหว้ที่นั่นผลมันไม่ได้ที่สวรรค์ ได้แต่ความกตัญญูกตเวที

    เราได้แน่แต่ผีไม่แน่ว่าจะได้อะไร

    ถ้าถวายสังฆทานเราก็ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ท่านผู้ใหญ่ที่เราคิดให้ก็ได้ด้วย ได้ผล 2 ประการ


    (จากธัมมวิโมกข์ เล่มที่ 168 เดือนมีนาคม 2538 หน้า 70)
     
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    0001 (12)11.jpg

    พระผู้มีพระคุณต่อวัดท่าซุง...สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินฺธโร)วัดสามพระยา



    หลวงพ่อนี่เมตตาสูงมาก หลวงพ่อวัดสามพระยานี่ อาตมาเคารพเหมือนพ่อมาตั้งแต่เจอะใหม่ๆ

    นี่เราคุยกันเสียก่อนก็ได้ เจอะกันตอนไหน ไม่ได้เจอะกับท่านหรอก อาตมาเจอะท่าน แต่ท่านไม่ได้เจอะอาตมา เจอะ หรือไม่เจอะก็ไม่รู้

    เมื่อปี พ.ศ. 2501 นี่จะเล่าประวัติให้ฟัง สมเด็จฯวัดสามพระยาท่านตั้งสำนัก "ส.อ.ส." ขึ้น สำนักอบรมครูวัดสามพระยา ท่านตั้งมาก่อนนั้น แต่อาตมาไม่มีเวลาที่จะไปฟัง เวลานั้นเป็นเจ้าอาวาสอยู่ วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    เป็นอันว่า สมเด็จฯวัดสามพระยานี่ อาตมาก็ไปพบกับท่าน ตอนนั้นไม่ได้พบด้วย พ.ศ. 2501 เขาประกาศว่า วัดสามพระยา เวลานั้นสมเด็จฯวัดสามพระยา ยังเป็นพระราชาคณะชั้นต้น เป็น "เจ้าคุณปริยัติโสภณ" ตั้งสำนักอบรมวัดสามพระยาขึ้นมา ไปชอบใจท่านพูด ไปดูงานของท่าน ชอบใจงานของท่าน

    ตอนหนึ่งท่านขึ้นมาพูด ท่านบอกว่า ผมนี่เป็นคนไม่มีเงินซื้องาน เอางานซื้อเงิน งานทุกอย่างที่ผมทำขึ้นมานี่ มันไม่มีเงิน แต่ก็ไปบอกเพื่อนๆ นี่ ท่านก็ชี้ไปที่พระราชาคณะต่างๆ อย่างเช่น สมเด็จพุฒาจารย์ วัดสุทัศน์ แล้วก็องค์อื่นๆว่า

    พวกเพื่อนๆ นี่มันหาว่าผมบ้า ว่าเจ้าคุณวัดสามพระยามันบ้า เจ้าคุณปริยัติฯมันบ้า มันไม่มีเงิน แต่มันอยากจะทำงาน แต่ผมก็ถือว่า "ผมเอางานซื้อเงิน ไม่ใด้เอาเงินมาซื้องาน"

    ท่านก็ทำ ทำทุกอย่าง แล้วงานของท่านก็สำเร็จอย่างจริงจัง ชอบใจองค์นี้พูดชอบใจแฮะ ลีลาการชอบใจเพราะอะไร เพราะว่าเหมือนหลวงพ่อปาน

    เหมือนหลวงพ่อปานที่เป็นครูบาอาจารย์ หลวงพ่อปานที่เป็นครูบาอาจารย์ก็เอางานซื้อ
    เงินเหมือนกัน ไม่ใช่เอาเงินซื้องาน เอางานแลกเงินกัน ท่านทำอะไรทุกอย่าง ท่านไม่มีทุนก่อน พอเริ่มต้นขึ้นมา บางทีก็มีทุนตั้งเยอะ ทุนขนาดหนักของท่านจริงๆก็มี 20 บาท จะไปสร้างโบสถ์ สร้างวิหารการเปรียญที่ไหน ก็ไปนั่งท้ายอาสน์สงฆ์

    ลูกกู หลานกูเอ๊ย พ่อจะสร้างโบสถ์ที่นี่สักหลังนะ มีข้าวมาช่วยกันคนละขัน คนละจอก เงินมาช่วยกันคนละบาท คนละสลึงนะ แล้วงานของท่านก็เสร็จ

    แล้วไปเจอะสมเด็จฯวัดสามพระยานี่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ก็มารูปเดียวกัน แต่ก็มีชอบ
    ใจอะไรอีกนิดหนึ่งเป็นกรณีพิเศษ ชอบใจมากตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

    อีกจุดหนึ่งก็บังเอิญที่ท่านไปตั้งสำนักอบรมครู ให้ลูกศิษย์เขาปักกันโก้ ส.อ.ส. อาตมาไปศึกษา ถามว่า สมัครเป็นลูกศิษย์หรือเปล่า มันเรื่องอะไรจะต้องไปสมัคร คนอย่างเราไม่ต้องให้มันเสียกระดาษดินสอ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะการอบรมของท่านไม่ได้อยู่ในห้อง ไม่ได้ปิดมิด เวลาที่จะอบรมกัน ไม่ใช่ว่า ใครมีบัตรไหม เป็นลูกศิษย์มีบัตรเข้าได้ ไม่มีบัตรเข้าไม่ได้ มันไม่ใช่อย่างนั้น

    อบรมกันกลางแจ้งโคนต้นไม้ ก็ยืนกับแบบสบายโก้ๆ เราก็มีสิทธิ์ยืน เพราะการเข้าไปยืนไม่มีใครเขาบังคับ เขาไม่ได้ตรวจบัตร ไปยืนตามสบายๆ มีความสุข แล้วยืนฟัง ไม่ยืนเปล่า ลาภใหญ่ก็เกิดอีก หลังจากฟังจบแล้ว โอ้โฮ ... อาหารการบริโภค ปลาทูตัวใหญ่ๆ มีแกงอร่อยๆ โว้ย ...จานใหญ่ๆวงหนึ่งกับข้าว กินไม่หวัดไม่ไหว

    อ้อ..อย่างนี้ไม่ต้องสมัครกันแล้ว ไปสมัครกันให้เสียเวลาทำไม เราฟัง เราก็มีสิทธิ์ฟังเท่าๆคนที่เขาสมัครเป็นลูกศิษย์ เรากิน เราก็กินเท่ากัน เรามีสิทธิ์ทุกอย่าง

    ฉะนั้นก็ต้องถือว่า ท่านเป็นครูบาอาจารย์เป็นครูที่มีความสำคัญ ที่ให้คติหนักมาก

    ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็มีความเคารพในสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นอย่างหนัก

    หลังจากมาอยู่ที่วัดท่าซุงนี่แล้ว ถูกเรื่องหนักเลย พวกด่ากันนี่ ปากไม่พอแล้วแถมใช้ขยายเสียงด่าในวัดอีก ฮั่นแน่ เจ้าอาวาสเก่า กับทายกเก่าเขา

    เพราะอะไรรู้ไหม ทำไม่เหมือนเขาซิ ที่ว่าทำไม่เหมือนเขาก็เพราะว่า สตางค์ของเขาน่ะ เขา
    มีการขอยืมกันได้ ชาวบ้านขอยืมใช้ มาครั้งแรกก็มีคนบอกว่า ระวังให้ดีนะขอรับหลวงพ่อ วัดนี้นะ มันเสียเรื่องการงิน

    แล้วต่อมา อยู่มาไม่นาน ก็มีผู้หญิงผู้หนึ่งมาขอยืมสดางค์ใช้ ก็บอก คุณ ฉันไม่มีสตางค์หรอก ฉันจะมาสร้างหอสวดมนต์ มันค้างมาตั้ง 8 ปีมีแต่เสา เสาทุกเสาก็มีเจ้าภาพหมด ก็เรี่ยไรกันมา 8 ปี หลังคามันไม่มี ฉันก็ไม่รู้จักใคร มีสตางค์อยู่ 2-3 ร้อยบาท เดิมทุนจริงๆมีมาร้อยบาท ก็กินหมด เพราะต้องมาซื้อข้าวกิน ต้องมาอยู่กระต๊อบ

    เลยถามว่าคุณเคยขอยืมใครได้ เขาก็บอกว่า อาจารย์เป็นเจ้าอาวาสเก่า เจ้าอาวาสเขาให้ยืม
    เขาให้กู้กัน แกก็เลยบอก บ้านโน้นเขากู้ไปสี่พันค่ะ บ้านนี้กู้ไปสองพัน บ้านนู้นกู้ไปแปดร้อย
    แต่ว่าเวลานี้ฉันจะมาขอยืมหลวงพ่อ คิดว่าหลวงพ่อมีมาก

    ก็บอกว่า ฉันไม่มีหรอก ไปยืมอาจารย์ก็แล้วกัน แกก็หายไปพักหนึ่ง แล้วกลับลงมาบอกว่า ได้แล้วเจ้าค่ะ ได้ห้าร้อยบาท เงินก่อสร้างไม่มี แต่เงินกู้มี ในเมื่อเป็นอย่างนี้ มันก็ขัดคอกับ
    เจ้าของบ้านเขา เขาก็เลยไม่ชอบใจ รวมความว่า ยกกันไป

    ทีนี้เรื่องราวต่างๆ ก็ถูกการกลั่นแกล้งมาก มีการร้องเรียนกันไปถึงสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เวลานั้นท่านก็ยังเป็นพระราชาคณะชั้นรองสมเด็จฯ ไปหา สมเด็จพระวันรัต วัดสังเวชฯ ท่านก็บอกว่า เอา เอาอย่างไรก็เอา จะช่วยให้ความเป็นธรรม แต่ท่านก็เงียบ

    หันเข้าไปหาสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ คิดว่า เป็นพระที่เรามีความเคารพเป็นองค์แรก มีความสำคัญ ชอบใจมาก ก็ไปคุยกับท่าน ก็คุยกันตามธรรมดาๆ

    แล้วก็บอกความจริงกับท่านเรื่องความจริงมันเป็นอย่างนี้ ผมเวลานี้ก็นุ่งสบงห่มจีวร แต่ว่าถ้าโกงผมหนักๆเข้า ผมก็จะเปลื้องสบง จีวรล่ะครับ มันมีความจำเป็น มันต้องบู๊กันแล้ว

    ท่านบอก ช้าก่อนๆ อย่าเพิ่งๆ รอผมก่อน

    แล้วก็พูดขึ้นบอกว่า ถ้าหากผมถูกโกงจริงๆนะขอรับ ผมก็จะแยกนิกายเป็น พุทธนิกาย ไป

    ถ้ามหานิกายไม่มีความเป็นธรรม ธรรมยุตไม่มีความเป็นธรรม ผมก็จะแยกเป็น
    พุทธนิกายไป แต่การแยกเป็นพุทธนิกาย ผมก็จะไม่ห่มเหลืองละ ผมก็จะห่มเขียวๆ สถานที่ที่ผมซื้อไว้ วัดก็ไม่มีสิทธิ์ เป็นบ้านของผม ผมก็อยู่แบบ สบายๆ ปฏิบัติตามลูกศิษย์ลูกหาผม

    ท่านก็บอก ช้าก่อนๆ ผลที่สุด ท่านก็ช่วยงานทุกอย่างที่เป็นอุปสรรค ที่มาอยู่วัดท่าซุง ลุล่วงไปด้วยดี

    สำหรับสมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์นี้ ท่านมาร่วมกับ "สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการาม" ท่านช่วยกันทุกอย่างให้ความเป็นสุข

    ทีนี้ท่านมีคุณอย่างนั้น ก็มีคุณเหมือนพ่อ ลูกมีความทุกข์ พ่อสามารถบำบัดความทุกข์ให้ได้ นี่เป็นพ่อจริงๆนะนี่นะ

    แล้วมาในงานคราวนี้ก็เหมือนกัน งานเลื่อนสมณศักดิ์ ท่านก็มีสภาพเป็นพ่อใหญ่จริงๆ งานทุกอย่างจัดหมด เอาละ วันนี้ก็พูดกันแค่นี้ไว้ก่อน


    (คัดลอกบางส่วนจากหนังสือ "อนุสรณ์งานสมโภชสมณศักดิ์ พระราชพรหมยาน" หน้า 15-19)
     
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    _82241289116849.jpg

    เรื่อง การจัดบายศรีปากชามในพิธีบวงสรวง


    มีคนสงสัยเสมอ คือเรื่องการจัดบายศรีปากชามในพิธีบวงสรวงควรทำอย่างไร หลวงพ่อตอบว่า

    การจัดบายศรีปากชาม

    1. ถ้าบริษัท ห้างร้าน วัด คนร่ำรวยต้องใช้ตามนี้ หมู 3 หัว ไก่ 1 ตัว บายศรีขนมต้มแดง ขนมต้มขาว ข้าวปากหม้อ ไข่ลูกยอด แล้วก็กลัวยน้ำว้า มะพร้าวอ่อน ถั่วราชมาส รู้จักไหม

    ถั่วราชมาสก็คือถั่วเขียวคั่ว ถ้าเป็นบ้านก็ควรจะมีปลาแป๊ะซะอีกตัวหนึ่ง เพื่อพระภูมิเจ้าที่

    2. บายศรีปากชามต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งชั้น สำหรับไก่ต้องวางไว้ทิศเหนือนะ ถ้าวางหมูไว้ทิศเหนือมีเรื่องแน่

    หมู 3 หัววางทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศใต้ อย่าวางผิดทิศนะ ถ้าวางผิดทิศต้องมีเรื่องแน่

    3. ถ้าชาวบ้านธรรมดา ก็ใช้หมูชิ้นหนึ่งไม่ต้องหัวหมู ถ้าฐานะพอสมควรตั้งแต่ จน ถึง ปานกลาง นะ ใช้หมูชิ้นหนึ่ง แต่ชิ้นหนึ่งต้องไม่น้อยกว่าครึ่งกิโล


    เออนี่ อย่าลืมนะ ต้องมีปลาแป๊ะซะอีกตัวนะ เพื่อพระภูมิเจ้าที่ เพราะพิธีตั้งเป็นเรื่องของท่านท้าวมหาราชท่าน


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 97 มีนาคม 2532 หน้า 19)
     
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    151006.jpg

    ทำไมพระบัวเข็มต้องวางในพานหล่อด้วยน้ำ


    ผู้ถาม : ออ...เป็นเช่นนั้นเอง แล้วก็มีอีกองค์หนึ่ง พระอุปคุต หรือที่เขาเรียกว่า "พระบัวเข็ม" ทำไมรูปร่างเป็นพม่าไปหมดล่ะครับ ?

    หลวงพ่อ : ก็เขาแกะมาจากพม่า ถ้าไทยแกะรูปร่างเหมือนไทย

    ผู้ถาม : แล้วก็เวลาบูชาต้องเอาวางในพานหล่อน้ำด้วยละครับ ?

    หลวงพ่อ : ไอ้นั่นเขาหลอกตัวเอง เขาถือว่าพระอุปคุตจำพรรษาอยู่ที่สะะดือทะเล ใช่ไหม แต่ว่าเอาผ้าพันเอาใบบัวปิดหัว ท่านเนรมิตเรือนแก้วอยู่กลางสะดือทะเลแล้วก็นั่ง ท่านก็อยู่ในน้ำล้อมรอบ ที่ทำแบบนั้นทำเป็นสัญญลักษณ์ เป็นความเห็นของตัวเอง ความจริงไม่มีอะไร

    ผู้ถาม : แล้วตอนที่ท่านอยู่กลางสะดือทะเล ท่านบิณฑบาตที่ไหนครับ ?

    หลวงพ่อ : อ้าว ท่านเข้านิโรธสมาบัติจะไปบิณฑบาตที่ไหนล่ะ

    ผู้ถาม : แล้วที่บอกว่าเป็นคู่ปรับกับพญามาราธิราช ตอนนี้สงสัยที่เขาบอกเทวดานี้ประเสริฐ แล้วทำไมท่านเกเรเล่าครับ ?

    หลวงพ่อ : นั่นละประเสริฐล่ะ

    ผู้ถาม : เอ๊ะ ! ก็แกล้งไม่ให้มารบกวนในการทำสังคายนานี่ครับ

    หลวงพ่อ : ไม่เกี่ยวกับสังคายนา นั่นพระเจ้าอโศกจะฉลองพระนคร ฉลองพระศาสนาต่างหากล่ะ คือว่าพญามาราธิราชนี่ท่านมีความฉลาดมาก เพราะท่านปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน ก็คิดว่าพระพุทธเจ้าจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็จะสอนคนไปนิพพานกันหมด เวลาเป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่รู้จะไปสอนใคร เลยต้องบังหน้าแกล้งเสียบ้างเป็นธรรมดา

    ทีนี้สำหรับพญามาราธิราชนี่สมัยพระพุทธเจ้าไม่มีใครปราบ ความจริงพระอุปคุตไม่ได้มีฤทธิ์เกินกว่าพระอื่นเลย แต่ทว่าถ้าพระพุทธเจ้าจะปราบก็เป็นเรื่องนิดเดียว แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    "เราไม่ใช่คู่ปรับกับพญามาราธิราช ต้องรออุปคุตเขามา เขาเป็นคู่ปรับกัน"

    ปล่อยมาถึง 200 ปีศษ ในฐานะที่เป็นคู่ปรับกัน ในที่สุดทรมานพญามาราธิราชได้จนหมดพยศ เวลานี้จะไปโทษเวลามีอะไรเกิดขึ้น ไปโทษว่าพญามาราธิราชมาแกล้งน่ะ
    ไม่ใช่นะ

    ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมาท่านก็สนับสนุนผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านไม่ได้แกล้งคน
    อย่างพวกเราๆ ท่านแกล้งพระพุทธเจ้าองค์เดียว กลัวจะต้อนคนไปนิพพานหมด

    ทำไปทำมาเวลานี้ก็ลาพุทธภูมิแล้ว

    ผู้ถา : ทำไมลาล่ะครับ ?

    หลวงพ่อ : ขี้เกียจ ตีตั๋วไปเลย พวกนี้ถ้าลาแล้วเขาก็ไม่ลงแล้ว กำลังสูงมากพวกพุทธภูมิเขามีกำลังเกินกว่าสาวกภูมิมาก ถ้าสมมุติว่าคนที่จบปริญญาอาจจะทำงานเงินเดือนสูง ถ้ามาทำภารโรงนี่เขารับเลย นี่เปรียบเทียบกัน

    พวกปรารถนาพุทธภูมิเขาบำเพ็ญบารมีมากกว่าพวกสาวกภูมิมาก

    สาวกภูมิถ้าบำเพ็ญบารมีปกติแค่ 1 อสงไขยกับแสนกัป

    ถ้าพวกพุทธภูมิ ถ้าเป็นปัญญาธิกะก็ 4 อสงไขยกับแสนกัป

    ถ้าเป็นศรัทธาธิกะ ก็ 8 อสงไขยกับแสนกัป

    พวกวิริยาธิกะ ก็ 16 อสงไขยกับแสนกัป

    พลังต่างกันมาก ฉะนั้นถ้าหวลกลับมาเป็นสาวกไม่กี่วันได้อรหันต์



    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 41 หน้า 52-53)
     
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    IMG_20190210_110555.jpg

    เทวดาชอบตาม ชอบแกล้ง

    ดร.ปริญญา เป็นผู้ถามแทนว่า อยากจะถามหลวงพ่อว่า ชอบมีเทวดามาแฝงให้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ สรุปแล้วว่าเขามาดีแต่อิจฉา ชอบแกล้ง แล้วพูดว่าจะปิดทาง และบางทีก็มาขอส่วนบุญบ้างก็มี


    และอีกครั้งไปไหว้เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ก็ตามมาแฝงอีก อยากถามว่า จะแก้ไขอย่างไร ไม่ให้พวกเทวดามาแกล้งและอิจฉา เมื่อก่อนไม่ปฏิบัติไม่เป็น


    ท่านเจ้าคุณฯ ถามย้อน นั่งกรรมฐานก็เห็นเทวดาคอยมาแกล้ง จะทำยังไงถึงไม่ให้เทวดามาแกล้งใช่ไหม


    ใช่ครับ


    มันอย่างนี้นะ เทวดาปกติละอายความชั่วอยู่แล้วนี่ แต่หลวงพ่อก็บอกว่า มารมีตั้งหลายอย่าง มารคือเทวดาลองใจก็มี


    ดร.ปริญญาบอกว่า เทวดาลองใจหรือพวกแกล้งนี่เคยเป็นพวกกัน แม้แต่หลวงพ่อเองก็เคยโดน สมัยบวชใหม่ๆ แล้วจริงๆ ก็เทวดาเพื่อนกันทั้งนั้น


    ท่านเจ้าคุณฯ จึงแนะนำว่า เราตั้งใจภาวนาดีกว่า อย่าไปสนใจพวกนี้เลย แกล้งให้ป่วยก็รักษาไป แต่เราก็ตั้งใจภาวนา รักษาศีล ภาวนาไปนี่แหละ หลวงพ่อเคยบอกว่า เวลานั่งกรรมฐานมีสมาธิขนาดอุปจารสมาธิ เทวดาจะอยู่ห่างออกไปประมาณ 2 เมตร ประมาณ 1 วา เลยนะ รัศมี 1 วาจะไม่ให้ใครมาทำอันตรายเราได้


    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า เขาไม่ทำอะไรมากหรอก แต่เราอาจจะรำคาญ เพราะอาจจะกลัว อาจจะลองใจเรา นั่งกรรมฐานมันจะเอาจริงหรือเปล่านะ


    ตอนนี้เจ้าของคำถามเข้ามาถามเองเลย เวลาไปไหว้ที่ไหนชอบตามมา บางองค์ก็ดี บางองค์ก็ไม่ดี ทำอะไรก็ไม่ดี ค้าขายไม่ขึ้น แล้วเขาบอกว่าจะปิดทางเรา


    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า ถ้าพูดกันตามความเป็นจริง ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า จะเป็นเทวดาได้ต้องมี หิริ และ โอตตัปปะ ความละอายต่อบาป ความเกรงกลัวต่อบาป ถ้าเป็นเทวดาแล้วไม่เกรงกลัวต่อบาปนี่ต้องจุติเลยนี่ เทวดานี้อย่านึกว่าจะทำอะไรก็ได้นะ ท่านพระอินทร์นี่ท่านคุมเทวดาอีกทีหนึ่ง อย่านึกว่าจะทำอะไรก็ได้ ไม่มี คือไม่มี แปลอย่างนั้น


    มีท่านปู่พระอินทร์คุมเทวดาทั้งหมดอยู่ มีกฎของกรรมลงโทษคนอยู่ เทวดาก็มีกฎของกรรมอยู่ พระพุทธเจ้าสอนให้เราทุกคนเชื่อกฎของกรรม ที่เราทะเลาะเบาะแว้งกัน ในครอบครัวก็ดี ทำมาหากินไม่คล่องตัวก็ดี เพราะกรรมที่เราทำมาตั้งแต่ปางก่อนมันมาให้ผล บางทีเราอาจจะเข้าใจว่าท่านมาแกล้ง พระพุทธเจ้าตรัสนี่เขาเรียกว่า สัจธรรม พระพุทธเจ้าตรัสอะไรต้องเป็นอย่างนั้น เป็นหนึ่งไม่มีสอง ไม่มีและ ไม่มีหรือ


    ให้เราเชื่อกฎของกรรม ที่ทำความดีร่ำรวย แต่แป๊บไปเสียอีกแล้ว อย่างนี้อย่าโทษคนอื่น แต่กฎของกรรมของเราให้ผลที่ทำมาตั้งแต่ในอดีตชาติถึงปัจจุบัน


    อย่างหลวงพี่เคยเล่าให้ฟัง ที่ตลาดสมอทอด ไฟไหม้เลย ทำมาหากินดีๆ แต่ตลาดไหม้เขาก็มาหาหลวงพ่อ หลวงพ่อก็บอกว่า "ไอ้หนู สมัยก่อนที่แกอยู่เชียงแสนนี่ ไปยึดเมืองเขา ไปเผาเมืองเขานะ ผลของกรรมตั้งแต่เชียงแสนนะที่ให้ผล"


    เมื่อ 10 ปีที่แล้วนี่เองมันมาให้ผลอย่างนี้ หลวงพ่อบอกว่า "แต่แกก็ดี มีบุญอยู่อย่างหนึ่ง แกยึดเมืองเขาแล้วแกเลี้ยงคนเขาหมด ที่เป็นบริวารอยู่" ประกันมันจึงให้ค่าประกันเต็มที่ สร้างตลาดใหม่ได้อีกดีกว่าเก่าไปอีก
    อะไรอย่างนี้ กรรมที่ให้ผลเราปัจจุบันนี้ ที่ไม่ดี ถ้าหากว่าเราชาตินี้ไม่ได้ทำกรรมปัจจุบัน แต่ผลของกรรมทำชาติก่อนมันจะให้ผล ที่จะรู้ได้เช่นนี้ก็ต้องมีทิพจักขุญาณแจ่มใสจริงๆ ถึงจะรู้ว่า ไอ้กรรมตัวนี้อะไรทำอะไร
    มาให้ผลแก่เรา คือการแก้ในที่นี้ คือรักษาศีลไปก็แล้วกัน ศีล 5 หนักใจไหม


    ผู้ถามตอบว่า ตั้งใจรักษาศีลอยู่แล้วค่ะ


    ท่านเจ้าคุณฯ จึงบอกว่า หลวงพ่อเคยบอกว่า มี เทวปุตตมาร ยังไงล่ะ ถ้าเราจะทำอะไร เช่น ตั้งใจรักษาศีล 5 ถ้าเรื่องฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เดี๋ยวมีมดมียุงมีอะไรให้เราต้องหมั่นไส้ตบมันจนได้ เราก็ตัดใจเสีย บางทีเราก็ไม่รู้ว่าเทวดามาลองใจ เราก็ไม่รู้ อย่างนี้เราต้องอดกลั้น


    ผู้ถามย้ำถามอีกว่า เวลาไปทำบุญมา เขาก็ชอบตามมา แล้วก็ขอบุญเราด้วย ขอเราเรื่อย


    ดร.ปริญญาบอกว่า เขาขอเราก็ให้เรื่อยๆ


    ท่านเจ้าคุณฯ จึงเสริมว่า อันที่จริงช่วยเราได้ด้วยนะ ที่หลวงพ่อบอกอุทิศส่วนกุศลให้เทวดาที่ปกปักรักษานี่ อันที่จริงท่านไม่ได้พูดขึ้นมาเอง ท่านท้าวมหาราชบอกให้ท่านให้อุทิศนะให้แก่ท้าวมหาราชเป็นสักขีพยานก็ดี เทวดาที่ปกปักรักษาก็ดี ก็ช่วยประคับประคองกันนี่ เกิดเป็นเทวดาแล้วลูกเราเป็นมนุษย์ อย่างนี้เราก็อยากจะช่วย เทวดาที่ต่อเนื่องกันมาอย่างนี้


    ผู้ถามยังบอกอีกว่า แล้วก็ชอบมาเข้าฝันขอนู่นขอนี่ เช่น ขอให้รักษาศีล 8


    ดร.ปริญญาบอกว่า เขารู้ว่าเรามีบุญเขาจึงขอ ของดีทั้งนั้นกลัวอยู่ได้


    ผู้ถามบอกอีกว่า กลัวเป็นพวกสัมภเวสีค่ะ


    ดร.ปริญญาบอกว่า พวกสัมภเวสี อุทิศส่วนกุศลครั้งเดียวเขาก็หายเลย แต่ที่ติดตามมานี่เทวดาทั้งนั้น


    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า ถ้าสัมภเวสี ที่มีคนเขาปล่อยของมา ก็ท่อง "สัมปะจิตฉามิ" นะ คือคนที่เขาเล่นของ เขาจะเอาสัมภเวสีนี่แหละปล่อยมาเล่นงานเรา


    สมัยก่อนที่วัดท่าซุงมาใหม่ๆ หลวงพ่อบอกว่า ฉันจับแขวนไว้ใต้ถุนเยอะเลย เพราะมันเข้ามาเรื่อย คือคนที่ตายก่อนอายุขัย ที่หมอผีเขาใช้ จะเอาพวกสัมภเวสีไปเลี้ยง แล้วเขาจะปล่อยมาให้เล่นงานคน

    หลวงพ่อให้คาถาภาวนาว่า "เมสัมมุขา สัพพาหะระติ เตสัมมุขา" แล้วกลืนน้ำลาย ทำอย่างนี้ 3 ครั้ง ให้ภาวนาตอนเช้า มีในหนังสือสมบัติพ่อให้ ใช่ไหม และบอกเขาว่า สิ่งที่ชั่วร้ายให้ไป สิ่งที่เป็นมงคลให้อยู่ไม่งั้นเดี๋ยวไปหมดนะ


    ท่านเจ้าคุณฯ แนะนำว่า ปัญหานี่ถ้าไปแก้ที่นู่นที ที่นี่ที ตายแน่ ไม่ต้องทำมาหากินอะไรแล้ว แก้ที่จิตของเรา ให้จิตมันยอมรับว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ แล้วก็ทำตามหน้าที่ มันไม่มีอะไร



    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 461 สิงหาคม 2562 หน้า 16-18)



    IMG_20190208_165948.jpg
     
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    (928381931850_n.jpg

    มีครั้งหนึ่ง.. ภาพหนึ่ง.. ได้ฉายประทับไว้ที่บ้านแห่งพระธรรมนี้



    วันนั้นพ่อมากิจนิมนต์ที่กรุงเทพฯ มาพักที่บ้านสายลม ผู้เขียนยังเป็นฆราวาสปฏิบัติพระอยู่ ก็เป็นการอัศจรรย์ที่หลวงปู่ครูบาอาจารย์ผู้เป็นดุจเทพเจ้าของแผ่นดินล้านนาได้มาพักที่บ้านสายลมตรงกันอีกด้วย

    รุ่งเช้า.. หลวงปู่ทั้งหลายก็จะกลับภาคเหนือ พ่อลงมานั่งคอยที่ท้ายห้องกรรมฐาน สมัยนั้น.. เป็นเตียงไม้ธรรมดา ใช้นั่งได้ นอนได้ เป็นเวลาเช้าหลังฉันเสร็จ ในห้องมีแต่ผู้เขียนยืนคอยจังหวะสนองงานอยู่ คุณม่ำ (รัฐดา บุนนาค) ออกไปดูรถเตรียมพร้อมส่งสนามบิน

    พ่อนั่งบนเตียงตั่งหลังตรงดังคันทวน หลวงปู่ผู้แก่ขันธ์ห้าแก่พรรษากว่านั่งรายล้อมกับพื้น

    เจ้าประคุณเอย.. หลวงปู่คำแสนใหญ่.. หลวงปู่คำแสนเล็ก.. หลวงปู่ชุ่ม.. หลวงปู่ครูบาชัยวงษา และหลวงปู่ครูบาธรรมชัย... ต่างองค์จะรู้วินัย รู้มารยาท และหยั่งญาณกระแสจิต ต่างองค์กระหย่งเข่าประนมมือเอ่ยวาจา

    "กระผมจะขอลาพระคุณกลับวัด.. "

    กราบครั้งนั้นสามครางามนุ่มนวลจากใจนักหนา พ่อประนมมือบนอก กายตั้งตรงงามสง่า สีหน้านั้น.. ครั้งนั้น..สวยเหมือนพระพุทธปฏิมา ผ่องใสเหมือนพระจันทร์เพ็ญ

    "ขอให้กลับไปทำหน้าที่แทนคุณพระศาสนา ให้คุ้มค่าพระมหากรุณาธิคุณพระพุทธเจ้า และบุพการีผู้มีคุณทั้งหลายเถิด.."

    ท่านผู้อ่านเอย.. ผู้เขียนเจ็บใจ ขัดใจตัวเอง ที่เขียนบรรยายภาพนั้นได้แค่นี้ และเสียดายที่ท่านไม่ได้เห็นภาพหลวงปู่ผู้แก่วัยจริงใจนบนอบ ไม่ได้เห็นพ่อฤาษีผู้จำใจยอมนั่งสูงส่งพรชัย ทั้งที่ใจพ่อเคารพพระอาวุโสพรรษา

    ภาพนั้น... ที่ทำให้น้ำตาเราล้างใจให้กระจ่างมั่นคงในองค์พ่อรู้จบ เป็นภาพที่ดลใจให้รักกาสาวพัสตร์ และปรารถนาจะถวายชีวิตบูชาคุณครูบาอาจารย์

    พ่อเอย.. ภาพนั้นก็ยังไม่เท่าภาพสุดท้ายนี้ พ่อทรงงานศาสนาเมตตาศิษย์ อบรมลูกหลานมานานชั่วชีวิต ..พ่อเหนื่อยแล้ว..พ่อป่วยแล้ว..พระและคนทั้งวัดใจเสียกันหมดแล้ว

    เช้าวันนั้นพ่อลุกไม่ไหวแล้ว.. หลวงพี่นันต์ร้องไห้ขอร้องว่า พ่อพักเถิด พ่ออย่าขึ้นรถไปตึกท่าน้ำเลย ให้คนอื่นทำสักวันก็ได้..

    แต่พ่อบอกว่า "แกไม่รู้อะไร... ต้องไป.. มันจะสะดุด.."

    ดวงตะวันเหนือกระหม่อมลูกๆ พ่อเคยขึ้นโคจร ตามเวลากิจวัตร.. จิตพ่อเป็นอมตะกับงาน กับเวลานั้นจะพบผู้คนกลุ่มนั้น ก่อนเข้ากุฏิทำงาน... หมาจะคอยขนม จากมือพ่อ..มันเคยกินขนมน้ำใจพ่อทุกวันที่พ่ออยู่วัด.. วันนี้พ่อลุกไม่ได้ ยังห่วงแม้ว่าหมาจะผิดหวัง.. พี่ๆ ต้องพยุงพ่อขึ้นรถ.. พระก็นั่งคอยดูพ่อเต็มกุฏิ พี่นันต์บอกว่า "กลับไปก่อน บ่ายนี้ให้ไปคอยที่ตึกรับแขก"


    บ่ายเอย..บ่ายอย่ากลายเป็นเย็นได้ไหม พ่อของเราถูกหามขึ้นรถ.. หามนั่งเก้าอี้..หามขึ้นนั่งที่ประทับรับแขก.. หลังพ่อยังตรงเหมือนเดิม แต่ตาพ่อมองไม่เห็นลูกๆแล้ว พระลูกๆนั่งอยู่ทางขวา พี่นันต์กราบรายงานว่าพระมาเยี่ยมพ่อ.. พ่อรู้ไหมว่าพ่อหันไปทางซ้าย..หันไปขอบใจลูก ๆ แล้วก็ดุว่า

    "..มานั่งเสนอหน้าทำไม งานการไม่มีทำแล้วหรือ..."

    ลูกๆ ไม่ได้โกรธพ่อ ลูกๆร้องไห้ แม้จะต้องตายในคืนนั้น.. พ่อก็ยังสอนลูก...ให้รักงานพระศาสนา พ่อจากไปแล้ว พ่อไปเถิด ลูก ๆ อยู่กันได้... พ่อพักเสียเถิด..

    พ่อเอย.. พ่อนั่งพัก
    พ่อเหนื่อยมานานนัก สิบหกอสงไขย
    พ่อนำลูก เดินทางมายาวไกล
    พ่อเข้าถึงหลักชัย ลูกจะทยอยติดตาม
    ถ้าทำเพื่อตัวเอง พ่อจบไปนานแล้ว
    แต่พ่อแก้ว ทำเผื่อลูกน้อยที่ตามหลัง
    ลูกทราบซึ้งน้ำใจ พ่อเอยจงฟัง
    ต่อนี้ไปลูกจะทำบ้าง พ่อเอย พ่อนั่งดู.


    (จากหนังสือ "เส้นทางพระโยคาวจร" จัดพิมพ์โดย วัดเขาวง จ.สระบรุี หน้า 209-212)
     
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    การเขียนยันต์ทำน้ำมนต์, การทำน้ำมนต์


    (1.jpg

    (2.jpeg
    170893.jpg
    170894.jpg ว่าน 2.jpg ว่าน 1.jpg ว่าน 3.jpg 1-9.jpg 1-8.jpg
    IMG_20200412_143022.jpg IMG_20200412_142931.jpg
     
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    aaaaa.jpg

    พระมหากัจจายนะให้คาถา



    ผู้ถาม : หลวงพ่อขอรับ กระผมได้นำลูกแก้วของหลวงพ่อไปบูชา แล้วก็ทำเป็นกสิณ โดยให้ลูกแก้วนั้นอยู่ในทรวงอก แป๊บเดียวก็เห็นเป็นพระมหาสังกัจจายนะ ท่านมาบอกคาถาว่าอย่างนี้

    "มหาสังกัจจายนัง มหาเถโร อหังวันทามิ ภูรโต มหาเถโรคุนัง มหาลาโภ สุขี ภะวันตุเม"

    บาลีอันนี้ถูกต้องหรือเปล่าขอรับ..?

    หลวงพ่อ : ไม่ผิดหรอก ถูก ท่านบอกอย่างนั้นก็ถูกต้อง คาถาที่พระมาบอกหรือเทวดามาบอกนี้ไม่ควรจะสงสัย เพราะว่าท่านตั้งใจจะช่วย

    ถ้าเวลาจะนึกว่าคาถาต้องนึกถึงท่าน ท่านใช้กำลังของท่านช่วยอย่างหนึ่ง พระมหาสังกัจจายนะ เจ๊กนิยมบูชานะ เห็นไหมที่พุงพลุ้ย ท่านอ้วนท่านเป็นมหาเศรษฐีพุงใหญ่ ใช้ได้

    แต่ความจริงใช้แก้วเป็นนิมิตนะ ใช้ได้ดีมาก กรรมฐานน่ะเพราะว่าเป็นอาโลกสิณ

    กฤษณาที่อยู่ฮาวายเขาใช้เป็นปกติ เวลาแกจะไปไหนแกนึกเห็นภาพแก้วแล้วก็อยู่ในลูกแก้วแล้วก็ไป ความจริงพวกเราก็ไม่ได้ฝึกอะไรแก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคราวหนึ่งตำรวจเขาก็กั้น เขาจะตรวจใช่ไหม แกนั่งรถยนต์ไปแกนึกขอให้แก้วคลุมรถ ตำรวจมองไม่เห็น ไปสบายเลย



    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 6 ฉบับที่ 56 หน้า 78-79)



    ****คาถาพระมหากัจจายนะ ที่หาพบมี 2 บทนะครับ****
     
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    เปิดดูไฟล์ 6355612

    ((ถ่ายจากไวท์บอร์ดภายในวิหารพระองค์ที่ 10,11.jpg

    ภาพนี้ถ่ายจากไวท์บอร์ดในวิหารพระองค์ที่ 10, 11 ประมาณปี 2545

    บนกระดานเขียนว่า

    คาถาปฏิภาณ

    โย มุข ธะ โล

    คำอธิษฐานตามแบบฉบับของหลวงพ่อปาน

    "จงอยู่เป็นสุข จงปลอดภัย ขอชีวิตเจ้าจงปลอดภัย จนกว่าจะถึงอายุขัย"


    (จากหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อปาน" หน้า ๑๒ (เล่มเล็ก)
     
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    _166_116.jpg


    หลวงปู่บุดดากับหลวงพ่อ


    ถ้าจะมีพระสงฆ์สักองค์หนึ่ง.. ที่สามารถนั่งสนทนาโต้ตอบกับพ่อ (หลวงพ่อของพวกเรา) ได้แบบทันปากพ่อ ทันใจพวกเราแล้ว ผู้เขียนนึกออกมาได้เพียงองค์เดียวจริงๆ นั่นคือ "พระคุณหลวงปู่บุดดา ถาวโร"

    หนึ่งในจำนวนพระสุปฏิปันโนที่พ่อนิมนต์มาในงานฉลองวัด เมื่อเกือบ 24 ปีมาแล้ว ที่จริงผู้เขียน..รู้จักหลวงปู่บุดดา ก่อนที่จะได้พบพ่อ ได้กราบ ได้ฟังท่านพูด มาตั้งแต่ผู้เขียนยังพอใจจริยาสัตว์นรก คือดื่มเหล้าเมาตัวเองอยู่ (ตอนนี้ก็ยังไม่สร่างสนิท)

    ฉะนั้น..ความประทับใจใสแจ๋วจึงยังไม่มี จนกระทั่งมาพบพ่อ ได้ช่วยพ่อต้อนรับปรนนิบัติหลวงปู่ จึงได้รู้ว่านี่เราชนพระทองคํานั่งทับพระแก้วอยู่ตั้งนาน ก็ไม่รู้สึกรู้สาเลย ช่างสมกับที่พ่อเคย
    ชมเชยว่า "เหมือนทัพพีแช่น้ำแกง" เสียจริงๆหนอ

    มาจับความกันตอนหลวงปู่ท่านเข้าพักที่กุฏิรับรองเบอร์ 2 แล้ว เรื่องสนุกก็เกิดขึ้นทันที (ที่เล่านี่ไม่ได้ตั้งใจจะกล่าวร้ายท่านใดทั้งสิ้น แต่มันเป็นกุญแจนําไปสู่เรื่องที่พุทธบริษัทงุนงงกันตราบเท่าทุกวันนี้)

    คือมีญาติโยมที่ศรัทธาหลวงปู่มาอ้อนวอนให้ท่านกลับออกไปสงเคราะห์เขาที่บ้าน ทั้งๆที่หลวงปู่กําลังอยู่ระหว่างงานรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่กําลังจะเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน อ้อนวอนแบบท่านต้องไปจนได้ เอาท่านกลับมาส่ง ก็ส่งลงจากรถแค่ลานหน้าพระอุโบสถ ผู้เขียนอยู่ตรงนั้นพอดีก็ประคองท่านกลับเข้ากุฏิ

    ท่านเดินไปบ่นไปว่า “มันเอาหลวงปู่ไปใช้ ไม่สบายอยู่มันก็ไม่ถาม ยามันก็ไม่หาให้กิน”

    ตอนนี้ผู้เขียนน้ำตาไหลอีกแล้ว แต่ว่าร้องคนละแบบกับร้องถวายหลวงปู่คําแสนใหญ่ พี่อ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) แม่งานใหญ่ก็รีบหาหมอมาให้ทันควันเลย ถ้าจะดูสีหน้าของคนที่มีกระแสศรัทธา ..สงสาร ..สลดใจ..เจ็บใจ ปนกันออกมาในวาระเดียวกัน ผู้เขียนว่าหน้าพี่อ๋อยเป็นต้นแบบที่สมบูรณ์ที่สุด ให้ลืมยังไงก็ลืมไม่ลงหรอก

    คืนนั้นก็กวดขันกัน ไม่ยอมให้มีใครขึ้นไปรบกวนหลวงปู่ เพราะว่ารุ่งขึ้นท่านจะต้องออกไปเจริญศรัทธาญาติโยมที่มาร่วมงานวัดเหมือนหลวงปู่ทุกองค์ หากไม่หายป่วยก็จะนิมนต์ให้พักผ่อน ไม่ต้องลําาบากกายท่าน บาปใจเราเองเป็นอันขาด

    ก็ต้องเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังเสียก่อนว่า วัดท่าซุงของเราสมัยปี 2518 โน้น ต่างจากตอนนี้มากมายนัก ที่รับแขกที่โก้ที่สุดของพ่อ ก็คือศาลานวราชด้านหน้าพระอุโบสถ ส่วนศาลาบําเพ็ญกุศลใหญ่ที่สุดและมีศาลาเดียวก็คือศาลาพระ 4 พระองค์ คนละฝั่งถนนกับพระอุโบสถ.. มีแค่นี้จริงๆ

    พอถึงวันงานฉลองวัด พ่อก็มานั่งที่ศาลานวราช (ที่โยมมาติดต่อขอที่พักในปัจจุบันทุกวันนี้) ส่วนหลวงปู่พระสุปฏิปันโน ก็ไปรับแขกพรมน้ำมนต์ให้ญาติโยมที่ศาลาพระ 4 พระองค์

    เอาละ.. มาถึงตอนสําคัญแล้ว ตอนนั้นผู้เขียนถูกเรียกมานั่งอยู่กับพ่อ ญาติโยมก็มากันประปราย..วันหนึ่งๆก็ไม่เกิน 100 คน สักประเดี๋ยวพ่อก็ถอนหายใจ พูดเบาๆ กับผู้เขียนว่า

    "เออ.. หลวงปู่บุดดาป่วยยังอุตส่าห์ไปรับแขก แรงไม่มีลิงขาว (คือหลวงพ่อฤาษีลิงขาวเพื่อนร่วมบารมีพ่อ ซึ่งอยู่ในป่าเชียงตุงแถวพม่าโน้น) เขามาช่วยนั่งขนาบหลังให้หลวงปู่บุดดามีแรง"

    แล้วท่านก็พูดใส่ไมโครโฟนออกเสียงตามแบบของพ่อว่า "เอ๊า..ใครอยากรับน้ำมนต์จากฤาษีลิงขาว ไปที่ศาลา 4 องค์โน้น กำลังช่วยพรมน้ำมนต์อยู่ โน่น.."

    เท่านั้นแหละท่านเอ๋ย.. ลูกหลานชาววานรทั้งหลาย ผู้ได้เคยแต่อ่านชื่อหลวงพ่อฤาษีลิงขาวในประวัติหลวงปู่ปาน ก็เฮโลไปที่ศาลา.. ก็เห็นหลวงปู่บุดดาองค์เดียว นั่งพรมน้ำมนต์ขึงขัง
    แข็งแรงอยู่ ความปลื้มใจปีติกายก็ท่วมทัน รับน้ำมนต์ น้ำตาไหลที่ได้พบหลวงพ่อลิงขาว (ที่ตาเนื้อมองไม่เห็น) โอ.. ที่แท้ก็ หลวงปู่บุดดา เองหนอ.. ไม่ใช่ใครที่ไหน คำบอกเล่าที่เต็ม
    ไปด้วยศรัทธาเต็มใจ จะห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่

    ข่าวนี้สร้างความงุนงงให้บรรดาศิษย์หลวงพ่อไม่น้อย เอ๊!.. ก็หลวงพ่อฤาษีลิงขาวเป็นเพื่อนอายุเดียวกับพ่อเรา (ซึ่งเพิ่งจะ 50 กว่าๆ เมื่อปี 18) แต่หลวงปู่บุดดาอายุตอนนั้นก็เกือบ 80 แล้ว.. จะใช่หรือ? หรือว่าหลวงพ่อฤาษีลิงขาวเนรมิตกายให้แก่? หรือว่าอยู่ในป่าแก่เร็วกว่าอยู่ในเมือง?

    โอย..ท่านเอ๋ย ผู้เขียนเข้าใจแจ้งในคำโบราณที่ว่า "ฟังไม่ได้ศัพท์ จับเอาไปกระเดียด" นี่มันออกดอกออกผลงอกต้นผลิใบขนาดไหน.. กับข่าวนี้พ่อหัวเราะชอบใจ หัวเราะดังมากๆ
    เลย..

    "ดีเหมือนกัน คนจะได้ตามไปช่วยหลวงปู่กันมากๆ"

    ก็จบเรื่องข่าวที่แม้ทุกวันนี้ประชาชนก็ยังงงกันอยู่ ขอแถมอีกหน่อยเถอะ คือเรื่องข่าวหลวงพ่อฤาษีลิงขาวเป่ายันต์เกราะเพชรให้ชาวบ้าน ก็ขอให้จบไปจากใจพวกเราลูกพ่อ ด้วยคำตอบที่เด็ดขาดของพ่อที่ว่า

    "จะไปว่าเขาไม่ใช่ ก็ไม่ได้.. ใครก็มีสิทธิ์ตั้งชื่อลิงขาว ลิงเล็กได้ทั้งนั้น.. แต่เป็นลิงคนละฝูงกับของข้า"

    โอย.. มาถึงตรงนี้ก็จบไม่ได้แล้ว เพราะอาจจะมีบางท่านสงสัยใคร่รู้ว่า ทำไมหลวงพ่อ 2 องค์ ท่านออกจากป่าไม่ได้ ท่านออกมาน่าจะช่วยเจริญศรัทธา จรรโลงพระศาสนา ปราบทรมานมิจฉาทิฐิให้ระบือลือลั่น ช่วยให้คนไทยหันมาเห็นคุณพระพุทธศาสนา ฝรั่งมังค่าก็จะขึ้นเครื่องบินมานมัสการเหมือนไปหาท่านไสยบาบา ทำไมจะออกมาไม่ได้?

    ก็ต้องขออนุญาติหลวงปู่บุดดา.. ขอเวลาตอบเรื่องนี้ก่อน เล่าไปตามคำ "พ่อ" ที่พูดกับผู้เขียนไปเสียเลย คือท่านพูดว่า

    "2 องค์นั้น เขามีฤทธิ์เต็มระดับ เป็นพระอรหันต์เมื่อพรรษา 2 ใจเขาสบายแต่ซุกซนตามจริตเดิม ปากพูดอะไรมันเป็นอย่างนั้นไปหมด

    ครั้งหนึ่งมีโยมผู้หญิงข้างวัดบางนมโคมาหา อายุแกสัก 50 กว่าเดินเข้ามาหา พ่อลิงเล็กตัวดีอดปากไม่ได้ตามเคย.. เอ้าโยมเดินดีๆนา เดี๋ยวจะคะมำหน้าหัวทิ่มพื้นก้นอยู่ข้างบนเสียหรอก...

    เท่านั้นแหละเหมือนตุ๊กตาล้มลุกเลย โยมคนนั้นหัวตั้งกับพื้นกระดานก้นอยู่ข้างบนแทนหัว แกก็ร้องลั่น..คุณ.. คุณ..เอาก้นฉันลง.. เอาก้นฉันลง

    พ่อลิงเล็กก็ล่อหนักเข้าไปอีก.. โยม พูดเสียงดังทำไม เดี๋ยวก้นติดเพดานหรอก.. ขาดคำ! โยมนั่นเหมือนพัดลมเพดานไปเลย แกก็ร้องดังกว่าเดิมว่า.. เอาฉันลง เอาฉันลง...

    พ่อตัวดีก็พูดว่าเอาลงก็ได้ แต่พรุ่งนี้ต้องมีแกงปลาไหลมาถึงจะลงได้ เอ้า..มี..มี ฉันเวียนหัวนาคุณ เท่านั้นแหละ! โยมก็ลงมานั่งหน้าซีดตามปกติที่พื้น"

    เรื่องมันไม่จบแค่นี้นะซีท่านผู้อ่าน.. พ่อท่านเล่าไปหัวเราะไปว่า

    "อีตอนนี้เอง.. หลวงพ่อปานไม่รู้มาทางไหน ตัวมาถึงหัวตะพดก็ถึงหัวเจ้าจอมซนดังสดใส ชัดเจนโป๊กนึง!

    "...ไอ้ลิงพวกนี้อดสันดานลิงไม่ได้ แกไปทำอย่างนี้อีกหน่อยอีนี่ (ชี้ไปทางโยมพัดลมเพดาน) มันก็ไปเล่าบอกกัน มันก็แห่กันมาหาพวกแก น้องเมีย พี่เขย พี่ป้า อา ลุง เพื่อนฝูง มันก็บอกกันต่อๆไป มาให้แกเล่นฤทธิ์ให้ดู แกขี้เกียจเข้าไม่ทำให้มันก็จะด่าว่าทีคนรวย.. ทีคนบ้านโน้น ทำให้ดูได้ ฉันมันจนมันคนห่างไกล.. แล้วมันก็จะตกนรก เพราะด่าพระ

    ถ้าแกขยันทำไปเรื่อยๆ คนก็จะหลั่งไหลผ่านวัดอื่นๆมารวมกันที่นี่ ไอ้เรื่องคนแตกตื่นแน่นวัดแต่ไม่ได้เข้ามาทำความดีน่ะ แกนึกออกไหม? แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือคนมันจะไม่ไหว้พระที่เหาะไม่ได้อย่างแก พระที่กำลังจะทำความดีไต่เต้าขึ้นมาก็จะขาดกำลังศรัทธาสนับสนุน แล้วพระศาสนาส่วนรวมก็จะถึงกาลแตกแยก.."

    โอย.. ฟังท่านแล้วเห็นโทษจริงๆ กราบก้นกระดกเลย ก็โดนเข้าไปอีกโป๊กนึง..

    "เอ้าแกสองคนนี่ (พ่อลิงเล็กกับพ่อลิงขาว) อยู่กับคนได้แค่ 10 พรรษา ไม่งั้นจะพาเขาตกนรกกันมาก.. เข้าป่าไปกินข้าวเทวดา อย่าออกมาจนวันตายเลย.. อยากจะช่วยเพื่อน (ชี้มาที่ตัวหลวงพ่อเรา) อยากจะสงเคราะห์ลูกหลานที่เกี่ยวข้องกัน ให้ออกมาในกายทิพย์เป็นครั้งคราวไป จะมาอยู่ให้คนเห็นไม่ได้"

    พอครบ 10 พรรษาก็เข้าป่าไป มาหาข้าก็มาในกายทิพย์ พบกันอยู่เสมอ ไม่อยากพบเขาก็มา หากพ่อนึกซนขึ้นมา.."

    ก็ขอจบลงตรงนี้ หวังใจว่าลูกพ่อทุกท่านคงจะจบสรุปข่าวที่งุนงงกันมานานลงได้ ก็หันมาคุยเรื่องพระคุณหลวงปู่บุดดาต่อ

    ท่านพรมน้ำมนต์ที่ศาลา 4 พระองค์ วันนั้นดูเหมือนไม่เหนื่อย แต่พอกลับมาพักที่กุฏิไข้ก็จับตามเดิม ผู้เขียนจำได้ไม่มีลืม กลับมาท่านก็ยังไม่ยอมนอนพัก นั่งอยู่ชั้นสอง กุฏิเบอร์ 2 กับผู้เขียน
    ตัวต่อตัว

    ท่านมองฟ้ามองหลังคาพระอุโบสถวัดท่าซุง ผ่านหน้าต่างกุฏิ ตายังงี้ใสแจ๋วเหมือนแก้ว.. ไร้อารมณ์ไร้เดียงสา บริสุทธิ์เหมือนดวงตาเด็ก (เด็กดีๆนะ) ปากก็พูดลอยๆ แต่ชัดเจนเหลือเกินว่า

    "เออ..งานนี้ (หมายถึงงานวัดเราที่มีพระสุปฏิปันโนมารวมกันถึง 10 องค์) จัดยากนักหนา ใครๆ จะไปนิมนต์พระดีหลายๆองค์มารวมกันยังงี้ ทำไมได้หร๊อก พระเจ้าแผ่นดินทั่วโลก พระสังฆราช สันตะปาปารวมกันไปนิมนต์ท่าน ท่านไม่มาให้หร๊อก..! แต่พระมหาวีระ (ตอนนั้นพ่อยังไม่ได้สมณศักดิ์)องค์เดียวทำได้ ท่านทำให้ลูกหลานได้ดีกัน แต่หลวงปู่ยังสงสัยว่า ลูกหลานทั้งหลายจะเข้าใจเจตนาครูบาอาจารย์ และฉวยความดีนั้นเอาไว้ได้ไหม?..."

    ท่านพูดแค่นั้นแหละ.. นิ่งเงียบไปเลย ผู้เขียนธรรมดาโง่อยู่แล้ว หลังจากนั้น อีก 3 ปีจึงได้เข้าใจจุดหมายอันลึกซึ้งยิ่งใหญ่ไพศาลที่หลวงปู่บุดดาพูดถึง จะเล่าให้ฟังในตอนสรุปท้ายเรื่อง "พระผู้เป็นเนื้อนาบุญ" ตามลำดับระยะเสันทางพระโยคาวจร

    หลวงปู่บุดดามีจริยาวาจาตรงๆง่ายๆ ใครก็ทราบกันอยู่แล้ว ที่สำคัญก็คือเป็นพระสงฆ์ที่รักผ้าครอง 3 ผืนยิ่งนัก จะเห็นว่าท่านจะพาดสังฆาฏิติดตัวอยู่เสมอไม่เคยขาด อีกอย่างก็คือ ไม่จับเงินทอง ไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้ตัวเลย เรื่องสนุกมากๆก็เกิดตรงจุดนี้

    คือเมื่อเสร็จจากงานวัดแล้ว พ่อก็จัดรถนำลูกหลานไปกราบเยี่ยมหลวงปู่ที่ อ.สรรคบุรี ไปกันหลายคันรถ ศาลารับแขกของหลวงปู่ที่สำนักนั้นแน่นไปหมด พ่อก็บอกว่า

    "ลูกหลายเอ๊ย.. ช่วยหลวงปู่สร้างศาลาใหม่นะลูก ช่วยกันคนละเล็กละน้อย"

    โธ่เอ๋ย.. ถ้าหลวงพ่อออกปากอย่างนี้ ซ้ำยังบอกว่า

    "หลวงปู่บุดดาเป็นพระทองคำทั้งองค์นะลูกนะ ทำบุญกับท่านก็คือทำบุญกับพระอรหันต์นะ"

    จากคนละเล็กละน้อย ก็รวมเป็นก้อนใหญ่มากๆ จำไม่ได้ว่าเท่าไร หลวงพ่อก็สั่งให้นับจำนวนเงินมัดรวมเข้าเป็นปึกสวยเชียว

    "ถวายหลวงปู่เข้าไป เอ๊า!.. โมทนาพร้อมๆกันลูกเอ๊ย.."

    คนถือเงินน้อมถวายปุ๊บ หลวงปู่ก็คว้าย่ามมาแหวกปั๊บ แหวกกว้างเลยกะให้เงินหล่นใส่ย่ามไม่ถูกมือท่าน เท่านั้นแหละ! ท่านผู้อ่าน พ่อเราก็คว้าเงินทั้งปึกมาถือไว้.. แย่งเอาเสียเองเลย

    "หลวงปู่.... " พ่อทำเสียงยาวเลย

    "นี่.. ถ้าจับเงินไม่ได้ ก็ไม่ต้องเอานะ.. นี่ถ้าพระใจเป็นแก้วทั้งใจอย่างหลวงปู่ ยังคิดว่าไอ้แบงก์กับธาตุดินมันยังมีค่าต่างกัน.. ถ้าธาตุดินนี้มันทำให้ใจหลวงปู่เสียหายได้ ก็ไม่ต้องเอานะ.."

    เท่านั้นแหละหลวงปู่ผู้ไม่จับเงินมาตลอดชีวิต ก็มีอันเปลี่ยนไป ท่านคว้าเงินมาจากมือพ่อ

    "เอาของเขาคืนมานะ.."

    จับ 2 มือแน่นเลยชูขึ้นตรงหน้าเลย

    "นี่..นี้..นี่ บุดดาจับเงินแล้วนะ จับเงินแล้วนะ"

    จับยัดใส่ย่ามวางบนตัก ชนิดใครก็มาแย่งไปอีกไม่ได้

    พวกเราหัวเราะกันลั่นเลย หัวเราะไปใจเป็นสุขที่สุด ไม่รู้ว่าเป็นสุขเพราะอะไร... พ่อบอกอยู่เสมอว่าใจพระทองคำแท้ (พระอรหันต์) ท่านไม่ติดอะไรทั้งโลกแม้ร่างกายตัวท่านเอง แต่ท่าน
    อยู่กับร่างกายและโลก เกี่ยวพันบริหารงานโลกโดยใจไม่มีทุกข์ โทษเวรภัยใดๆมาทำให้มัวหมองแปดเปื้อนได้

    เมื่อใจไม่ติดแน่นอนแล้ว จริยาทางกาย วาจา ก็ลดลงมาหากระแสโลกเพียงเพื่อสงเคราะห์ จะได้พูดกันแนะนำกันรู้เรื่องแบบธรรมดาโลกเขา แต่จริยาท่านอยู่ในสมณมารยาท ในวินัยประเพณี ไม่มีบกพร่องด่างพร้อย

    เมื่อพ่อกล้าทำอย่างนั้น พ่อก็กล้าชักชวนให้หลวงปู่องค์อื่นออกมาทำงานแทนคุณพระพุทธเจ้า เสียก่อนที่ร่างกายจะสลายหายประโยชน์ไป พระคุณหลวงปู่บุดดาท่านเข้าใจ เต็มใจทำอยู่แล้ว เมื่อมีเพื่อนผู้รู้ใจมารับรองประคองเชิญ ท่านก็ก้าวออกมา..

    นับแต่นั้น! หลวงปู่บุดดาก็จับเงินทองได้ ให้ญาติโยมผู้หญิงผู้เลื่อมใสศรัทธาเข้าใกลัตัวท่านได้ ด้วยประการฉะนี้ (เอาเข้าให้.)

    ก่อนจะพักตอนแรกนี้ อยากจะเล่าให้ฟังและถามความเห็นท่านผู้อ่านอีกเรื่องหนึ่ง คือวันก่อนที่ในหลวงจะเสด็จฯ หลวงปู่บุดดามองหน้าผู้เขียนตาใสแจ๋ว ใบหน้าท่านเกือบยิ้มเอามือลูบศีรษะตัวเองทีนึง แล้วพูดขึ้นว่า

    "นี่..งานนี้ รัชกาลที่ 9 เขาจะเจอกับรัชกาลที่ 1 แล้วนะ เขาตามหากันมานานแล้ว พรุ่งนี้ก็จะเจอกันแล้ว"

    พูดจบก็หลับตาเลย.. คนโง่อย่างผู้เขียนจะถามก็กลัวรบกวนท่าน ใจก็คัน ปากก็.. โอย! พูดอะไรก็พูดไม่ให้จบ จนบัดนี้ผู้เขียนก็ยังไม่ได้ถามหลวงปู่บุดดา

    ตอนนี้หลวงพ่อก็จากพวกเราไปแล้ว ตั้งแต่ปี 18 มาถึงปี 42 นี่ มัน 24 ปีมาแล้ว ก็ขอรบกวนถามใจพี่น้องร่วมกระแสบุญกรรมลูกพ่อเดียวกันว่า หลวงปู่ท่านหมายถึงอะไร?

    ตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก..



    (จากหนังสือ "บนเส้นทางพระโยคาวจร" วัดเขาวง จ.สระบุรี หน้า 33-44)
     
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    2.JPG DSC_0016.JPG

    983745_10152593302569329_1775336943250009207_n.jpg
     
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741




     
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741

    aaหลวงพ่อ 100 ปีเกิด 3 เนื้อ.jpg
    พรหลวงพ่อ



    สำหรับวันนี้ ขอให้ตั้งใจรับพรนะ ขอให้พรคนที่นี่ทั้งหมด คนที่อยู่บ้านทั้งหมด คนที่ยังไม่เกิดทั้งหมด ที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา

    และ "ถ้าเป็นเครือที่เป็นเผ่าพันธุ์มาแล้วตั้งแต่อดีต" ขอให้มีผลตามพุทธประสงค์ทุกคน


    เวลาว่างๆ นั่งนึกก็ได้ เดินไปก็ได้ ไม่ห้ามเลยนะ ให้มัน(คาถาเงินล้าน) ติดใจอยู่อย่างนั้น ให้ถือว่เป็นกรรมฐานไปในตัวเสร็จ เพราะคาถาที่พระพุทยเจ้าบอกทุกบท

    ก่อนจะทำต้องนึกถึงท่าน ถือว่าเป็น พุทธานุสสติ

    จึงขอให้ทุกคน ถ้าได้รับคาถาเงินล้านนี้ไป ให้ตั้งใจปฏิบัติด้วยความจริงใจ ด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้า

    ให้ทุกคนตั้งใจนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    คิดว่าคาถาทั้งหมดนี้จงปรากฏในจิตของเรา ลาภผลต่างๆให้ปรากฏแก่เรา ตามที่พระองค์ทรงต้องการนะ นึกถึงท่านนะ


    (จากหนังสือ พ่อสอนลูก เล่มหน้าปกสีทอง หน้า 10)
     
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    DSC062001.jpg

    สาเหตุที่ป่วยเพราะกฎของกรรม


    ตอนที่กรุงแตกนี่ลำบากมาก ต้องโขยกเขยกกว่าจะหลีก อยุธยา ไป แต่ความจริงเมืองหลวง เขาต้องดักอยู่ที่นั่นก่อน

    ทีนี้ทรัพย์สินมันอยู่ที่นี่ ที่นี่ก็ต้องรู้ว่าพม่า มาที่นี่มันป่วยหนักมาก ที่รู้ว่าหนักมากเพราะอะไร เพราะว่าข้างในไม่ดีเลย ที่แพ้น่ะ แพ้เพราะว่าผู้ใหญ่ไม่ดี เป็นไส้ศึก ใช่ไหม

    แล้วพวกบางระจัน ความจริงเขาชื่อ อีตาจัน แต่ความจริง(นายจันหนวดเขี้ยว)พวกผู้ใหญ่ทางทหารทั้งนั้นแหละ

    ถ้าไปบอกชื่อตามทางทหารนี่ ไม่เอาด้วย ก็ต้องเป็นชาวบ้านเท่านั้นเอง ต้องเป็นชาวบ้านด้วยกัน และพาหนะที่มีความสำคัญคือควาย ขี่ควายรบน่ะไม่มีใครหรอก

    นี่ที่เจ็บอยู่เวลานี้เจ็บจาก บางระจัน ป่วยนี่ป่วยหนักจากเรื่องของ บางระจัน เป็นจุดแรก

    วันนั้นที่หมอพูด นึกว่า เอ..นี่มันเกิดจากอะไรนะ ภาพก็เกิด พม่ามา 30 คนเศษ เรามีกำลังอยู่ 9 คน มาตีกับพม่า พม่าสู้เราไม่ได้ ก็ล่อเสียตายบ้าง บาดเจ็บบ้าง และก็จับได้บ้าง บางคนนั้นก็หนีไป พอจับมาได้ก็จับมัดนอนหงาย สอดเข้า เอากะลา ไอ้กะลาน้ำตาลเมา ตอนนี้พม่าไม่รู้สึกอะไร เอาเลือดซิบๆใส่ แล้วก็ใส่น้ำตาลเมากิน ถ้ากินเลือดพม่า แล้วเราจะไม่แพ้ นี่สงครามมันก็ต้องเป็นสงครามนะ ให้กำลังใจทหาร ทหารก็คือชาวบ้าน

    ไอ้กรรมตัวนี้มันเล่นตั้งแต่มิถุนา 18 จนกระทั่งป่านนี้ยังไม่หาย ยาทุกขนานไม่สามารถจะทำมันได้ ถ้ามันจะเล่นงานนะ รู้จุด ถ้าหมอจะให้ยา หมอก็ต้องถามคนไข้ เรารู้จักก่อนเพื่อน ให้ยาตามที่คนไข้สั่ง คนไข้ก็ต้องถามต่อ ถามต่อมาอีกที ถ้าเขาสั่งอาการต่างๆนี่รู้หมด ข้างในนี่ เข้าไปตรวจได้เลย
    แต่ไปทำลายมันไม่ได้ เป็นกฎของกรรม เห็นไหม ก็เอาชาตินี้ชาติสุดท้ายก็แล้วกัน

    แล้วไอ้ที่กินข้าวไม่ได้ ก็เพราะไอ้ขอมสองคนที่ขังไว้สมัย เชียงแสน ไอ้ลูกน้องมันคงจะเกลียดนะ ให้กินบ้าง ไม่ให้กินบ้าง ผอมตายไปเลย แล้วกรรมมันก็จะมาเล่นเราอีก

    นี่เวลานี้ 2 ขนาน ขนานพม่า กับ ขนานขอม (กรรมฆ่าพม่ากับขอม)

    ที่หนักมากคือ ขนานพม่า ที่กินไม่ลงนี่ ขนานขอม

    ยา 2 ขนานพร้อมกัน ไม่ใช่ยาสิ ไข้ 2 ขนาน

    เอ้า ! หมอ จะเอาขนานไหน ฮึ ! เอาทั้ง 2 ขนาน

    ลูกศิษย์ "ไม่เอาครับ"

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 341 เดือนสิงหาคม 2552 หน้า 23)

    หมายเหตุ : หลวงพ่อเล่าเรื่อง ร. 1 ให้ อาจารย์บุปผาชาติ พงษ์ประดิษฐ์ ไว้ดังนี้...

    หลวงพ่อเล่าเรื่อง ร.1 และถามดิฉันว่า “เห็นเอ็งเกิดในสมัยนั้นไหม” ก็ตอบว่า เห็น

    แล้วท่านถามว่ารู้ไหมว่าใครเป็น ร.1

    จึงตอบท่านว่า ตามตำราก็ต้องเป็นพระยาจักรี

    ท่านบอกว่า “นายจันหนวดเขี้ยว คือ ร.1”

    ดิฉันก็กราบเรียนท่านว่าอ่านจากตำราเหมือนไม่ใช่

    หลวงพ่อก็พูดว่า “ไอ้ขี้หมา นายจันหนวดเขี้ยวนั่นแหละคือ ร.1 จำเอาไว้”

    ท่านบอกว่า “ประวัติศาสตร์บางครั้งก็ต้องทำอะไรให้เพี้ยนๆ ไปบ้างเพราะความจำเป็นในสมัยนั้น”

    ท่านบอกว่า “จำไว้ เสือ ถ้ารู้ว่าตนจะแพ้แล้ว ต้องถอยไปตั้งหลักใหม่เพื่อรวบรวมกำลังไพร่พล เพื่อเอาชนะให้ได้”


    (จากหนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 2 หน้า 280)


    DSC061971.jpg

    ((((((((((((((((((((459696.jpg

    พระประจำวัน



    ผู้ถาม : พระประจำวันเกิดต่างๆ มีคนเขาบอกว่า ถ้าบูชาไม่ตรงกับวันเกิดแล้ว จะทำให้ความเจริญรุ่งเรืองช้า แต่ถ้าได้พระประจำวันที่ถูกกับโฉลกแล้ว จะทำให้การเจริญรุ่งเรื่องดีและเร็ว ลูกสงสัยว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือเปล่าเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : เขาบอกมาแล้วก็จริงน่ะซิ

    ผู้ถาม : เอ..แล้วจริงๆ พระพุทธศาสนาเคยสอนเรื่องนี้หรือเปล่าครับ ?

    หลวงพ่อ : พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนอย่างนั้นนะ พระประจำวันฉันสงสัยมาตั้งกันทีหลัง พระพุทธเจ้าท่านมีองค์เดียว "พุทโธอัปปมาโณ" คุณของพระพุทธเจ้าหาประมาณมิได้

    ทีนี้มันเรื่องของพ่อค้าขายของ คนเกิดวันนั้นต้องเอาพระวันนี้ประจำวัน เกิดวันนั้นต้องพระแบบนั้น ความจริงก็พระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน จะมีอะไรแตกต่างกัน


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 163 เดือนตุลาคม 2537 หน้า 77)

    ((((((((((((((((((((((((((5538510.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2024
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    (((((ไม่พิมพ์ วัดท่าซุง.jpg


    น้ำมันในประเทศไทยเป็นคลังใหญ่ที่สุดของโลก


    วันนี้เรามีการตั้งศาลที่โรงไฟฟ้าฝ่ายผลิต การตั้งศาลในคราวนี้ เราก็มีสิ่งที่สะดุดใจอยู่นิด นั่นก็คือคนในเขตของโรงไฟฟ้าฝ่ายผลิตกระบี่บางท่านที่ไม่มีความเข้าใจ เพราะว่าถือวิทยาศาสตร์มากเกินไปก็ไม่ทราบ ได้ทิ้งร่องรอยแห่งความคิดว่าเป็นการไม่สมคว รอาจจะมีอยู่บ้างต้องขออภัย แต่เรื่องนี้พ่อไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องใหญ่เพราะเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งพ่อเองก็มีอารมณ์อย่างนี้อยู่ก่อน


    แต่ว่าน่าสนใจอยู่นิดหนึ่ง เมื่อเวลาเชิญบวงสรวง ตอนนั้นรู้สึกว่าพอเสร็จ ท่านก็มาบอกอะไรต่ออะไรกันมาก ถึงความปลอดภัยของประเทศ ถึงความทรงอยู่ว่า ชะตาประเทศของเราที่จะไปเป็นทาสของคอมมิวนิสต์นั้นเป็นไปไม่ได้ ยังไงๆประเทศไทยก็ปลอดภัย


    ท่านมาพูดถึงทรัพย์สินหลายจุดว่า ทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพยากรต่างๆมีมากในภาคใต้และภาคเหนือ ภาคกลาง


    ความจริงเมืองไทยเรานี่ เรานั่งทับ นอนทับเงินทองแก้วแหวนของมีค่ามีราคามาก แม้แต่ว่าแก๊สหรือน้ำมัน หรือแร่ยูเรเนียม เพชรนิลจินดามีเยอะ


    วันนั้นรู้สึกว่า ท่านจะเปิดให้พ่อเห็นตามจุดสายใต้ทั้งหมด


    แต่ว่าปรากฏว่า ที่เราตั้งศาลกัน ท่านบอกว่าที่ตรงนี้มีแร่เงินมาก แล้วก็บอกถึงจังหวัดนอกจาก จ.กระบี่ ก็มี จ.พังงา จ.พัทลุง อะไรพวกนี้มีหลายจังหวัด มีแร่เงิน แล้วก็ทอง มีอะไรเยอะแยะ พ่อขี้เกียจจำ


    ท่านบอกสัญลักษณ์ว่า เราจะรู้จักแร่เงิน ขุดลงไปแล้ว ด้านบนจะมีดินสีแดงคล้ายลูกรัง และตอนนั้นก็มีเขาเรียกหินดานมีสีนวล ที่ไหนมีสภาพอย่างนี้ที่นั่นมีแร่เงิน แล้วก็แร่เงินนี้มีมาก


    ท่านบอกว่า ชั้นแรกจะมีจำนวนนับเป็นแสนๆตัน ชั้นที่ 2, ที่ 3, ที่ 4 จะมีจำนวนนับเป็นสิบๆ ล้านตัน ไม่ใช่ที่กระบี่แห่งเดียวนะ คือนับตั้งแต่กระบี่ไปถึงพังงาแล้วก็สตูล จ.ตรัง อะไรพวกนี้ ดูเหมือนจะเป็น 4 จังหวัด การขุดลงไปก็ไม่ลึกจนเกินไป


    ในระยะต้น พ่อจะไม่พูดล่ะ บอกกันไว้เท่านั้นว่ามีของที่เป็นทรัพยากรที่มีค่ามาก


    แต่คนไทยพูดจะไปดีอะไร ต้องฝรั่งพูด ฝรั่งพูดคนไทยจึงจะฟัง เพราะถ้าคนไทยพูดฟังแล้วก็ผ่านหูไป ฉะนั้น เมื่อพ่อเห็นว่าคำพูดของพ่อไม่มีค่า จึงทิ้งไว้เพียงเท่านี้ ถ้าใครเห็นว่ามีค่าเมื่อไหร่ และเทวดาอนุญาต ก็จะพูดมากกว่านี้


    ถามท่านว่า ทรัพย์ทั้งหลายเหล่านี้จะขึ้นมาได้หมดเมื่อไร เมื่อไรจะมีโอกาส


    เทวดาท่านบอกว่า "คนไทยดีเมื่อไหร่ ทรัพยากรทั้งหลายขึ้นมากเมื่อนั้น และประเทศไทยจะเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ มาเลเซียก็ดี พม่าก็ดี ลาวก็ดี เขมรก็ดี อะไรก็ตาม ไทยใหญ่ไทยเล็กอะไรก็ตาม ทั้งหมดเขาจะขนานผนึกเข้ามาเป็นปึกแผ่นอันเดียวกัน"


    รวมความว่า เอเชียทั้งหมดเท่านั้นจะเป็นเพื่อนกับเรา และทุกประเทศก็อยากจะเป็นเพื่อน เพราะอาศัยความร่ำรวยเป็นปัจจัย สำหรับน้ำมันก็เป็นคลังใหญ่ที่สุดของโลก แต่ยังขึ้นมาหมดไม่ได้ ก็เพราะคนไทยก็ยังดีไม่พอ สำหรับประเทศไทยจะเป็นคอมมิวนิสต์ไม่มีโอกาส




    (จากธัมมวิโมกข์ เล่มที่ 146 เดือนกุมภาพันธ์ 2544 หน้า 29-30)
     
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    198050696523601_62430540_n.jpg

    หลวงพ่อประหยัดมาก


    ไอ้เราส่วนมากเมื่อก่อนอาบน้ำในแม่น้ำน่าน พอถึงวัดท่าซุงมีแต่น้ำประปาใช่ไหมเมื่อก่อนมีห้อง ห้องที่พระฉัน มีห้องน้ำเก่าก็อาบโชกๆ พอเดินออกมา

    หลวงพ่อบอก น้ำท่ามีอยู่ข้างๆ ไม่ใช่สำอางค์มาอาบน้ำในห้องน้ำ เพราะท่านให้อาบน้ำในแม่น้ำไงล่ะ แต่ก่อนอาบน้ำในแม่น้ำทั้งนั้น

    ตั้งแต่นั้นเข็ดเลย ไม่อาบอีกเลย ยังไงก็ต้องลงอาบน้ำที่แพอาบน้ำ เอาขันตัก ท่านประหยัด

    แถวนั้นส่วนมากจะไม่มีปลูกต้นไม้ดอกไม้อะไร ที่ตึกเสริมศรีนะ เพราะว่าท่านให้ตักน้ำในแม่น้ำมารดต้นไม้นี่ น้ำก๊อกน้ำอะไรท่านไม่ให้รดหรอก เพราะว่าเปลือง มันต้องใช้คลอรีน มันต้องใช้ไฟฟ้าสูบน้ำมา ถ้าจะปลูกก็ต้องไปตักน้ำในแม่น้ำมารด แล้วใครจะขยันนักล่ะ

    มีบางคนก็เอาน้ำประปาไปล้างรถ พอท่านเห็นท่านก็จวกเอา ไอ้ขี้ข้า ไอ้พวกนี้ ด่าเจ็บทั้งนั้นแหละ

    หลวงพ่อท่านเป็นคนละเอียดถี่ถ้วน ท่านไม่ใช่คนขี้เหนียว แต่ใช้เงินคุ้มค่าที่เราบริจาคไปนี่นะ คุ้มค่า ไม่ฟุ่มเฟือย ท่านละเอียดเรื่องเงิน แล้วท่านไม่ไว้ใจคนนะเรื่องเงิน ท่านไม่ไว้ใจต้องรู้เองทุกอย่างเรื่องเงินทอง

    ยกทรงบอก ตกลงมาวันแรกก็ประเดิม

    ใช่ ทีนี้ก็ชักกลัวแล้วสิทีนี้ ลงเทศน์เมื่อไหร่เอาเมื่อนั้น เพราะเทศน์มันที่แคบๆนี่อย่างกับห้องนี้ มันเล็กกว่านี้อีกนี่ ก็หนีกันไม่พ้น มองเห็นกันหมด

    หลวงพ่อลงเทศน์ทุกวัน พอลงทุกวัน เราคุยกันอย่างนี้ เราจะรู้ว่าคุยอะไรกันบ้าง พอตกกลางคืนท่านมาเทศน์ ตอนนั้นมีพี่สะใภ้ท่านอยู่คนหนึ่ง ท่านก็เทศน์เรื่องคนในครัวนะ

    เออ พระท่านบิณฑบาตมานี่ท่านก็ฉันอย่างนั้น แต่อีแม่ครัวจังไรมันจะต้องทำพิเศษกินเองอีก พระท่านบิณฑบาตมาอย่างไรก็ฉันอย่างนั้น อีแม่ครัวจังไรนี่

    ก็มีอยู่ 2 คนเท่านั้นเราก็นึก เอาแล้วว่าคนนี้เข้าแล้ว ซัดเต็มที่เลย

    ตกกลางคืนมาเทศน์อีก ให้ทุกคนมาดูตัวเองนั่นแหละ ไม่ใช่ไปดูคนอื่น ดูจิตของตัวเอง พูดว่าอย่างนี้ก็ไปโทษว่าคนนั้นแล้ว ไอ้ตัวมันเองดูตัวมันเองเสียบ้าง

    โอ้โฮ ว่ากูนี่หว่านี่ ไม่ต้องไปฟ้องนะ คิดในใจนะ ครูบาอาจารย์ท่านรู้จริงอย่างนี้ ไม่ใช่โมเม พูดตรง

    ตอนหลังๆ ก่อนมรณภาพสัก 5 ปีท่านเบาๆแล้ว สัก 5 ปี 10ปีหลังๆนี่นะ เบาเรื่องนี้ แต่ก่อนนี้ โอ้โฮ

    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 468 เดือนมีนาคม 2563 หน้า 20-21)
     
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    S__6725637.jpg

    เก็บศพ 100 วันที่บ้าน

    ดร. ปริญญานำคำถามจากญาติโยมมาถามท่านเจ้าคุณฯว่า อยากทราบว่าจริงหรือเปล่าที่เก็บศพไว้ 100 วันที่บ้าน ถ้าเผาแล้วเขาจะไปที่สมควรจะไป

    อันนี้เป็นความจริงหรือเปล่าครับ ถ้านั่งสมาธิเห็นว่าเขาสบายแล้ว การเก็บศพไว้ 100 วัน แต่วิญญาณยังเวียนวนอยู่ก็ไม่มีผลใช่ไหมครับ

    ท่านเจ้าคุณฯตอบว่า ถ้าเป็นสัมภเวสีเขาอาจจะวนเวียน ถ้าเป็นเทวดาแล้วเขาคงไม่วนเวียนอยู่หรอก ถ้าเป็นสัมภเวสี หรืออสุรกาย อาจจะรอรับส่วนบุญอยู่เรื่อย

    มีคราวหนึ่งข้างวัดมีครูเกิดตาย ท่านท้าวมหาราชมาตามหลวงพ่อ ครูที่ตายนี่อายุตั้ง 60 แล้วนะ ตายยังไปเป็นสัมภเวสีอยู่เลย

    หลวงพ่อบอกว่า ถ้าทำบุญกับพระอรหันต์องค์เดียวจะเป็นเทวดาเลย

    ถ้าทำบุญกับพระอริยเจ้า 5 องค์ขึ้นไปถึงจะเป็นเทวดา

    ทีนี้คนที่ตายไม่ใช่เป็นคนวัดเสียด้วย คนเกลียดวัดนี่ ทำยังไง แต่พระรู้แล้วว่าครูตาย
    ก็เรี่ยไรกันได้พันกว่าบาท แล้วไปทำสังฆทานอุทิศส่วนกุศลให้ หลวงพ่อบอกว่า ถ้าอยู่อย่างนี้ไปจะเป็นสัมภเวสีถึง 35 ปี

    ถ้าเป็นเทวดานี้เขาไม่มาวนเวียนอยู่หรอก เทวดานี่เขาอยากอยู่ห่างมนุษย์สักร้อยโยชน์ เพราะเหม็น เพิ่งอ่านหนังสือเจอเมื่อ 2 วันนี่เอง

    ดร. ปริญญาบอกว่า ถ้าตามปกติถ้าถึงฆาตหรือถึงที่ตายก็เสวยบุญเสวยบาปเลย ไม่อยู่วนเวียน แต่ถ้าหากว่ายังไม่ถึงที่ตายแล้ว ก็อาจจะวนเวียนอยู่ ถ้าไม่มีใครทำบุญ
    ไปให้เพื่อจะโมทนาบุญที่จะไปแสวงบุญได้ ก็จะยังวนเวียนอยู่

    แต่คำถามเขาบอกว่า นั่งสมาธิเห็นสบายแล้ว ก็แสดงว่าเรียบร้อยแล้ว

    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า ก่อนหลวงพ่อจะมรณภาพสัก 20 วันได้ มีคนไปต่อว่าหลวงพ่อ ทำบุญนี่ไม่เห็นได้รับเลย หลวงพ่อบอกว่า ไม่เจาะจงเฉพาะตัว

    หมายความว่าอุทิศทั่วไป

    เจาะจงคือ ให้เขาคนเดียว เขาจะได้รับ

    ดร.ปริญญาเสริมว่า อย่าไปให้สะเปะสะปะ คนอื่นแย่งหมด

    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 455 เดือนกุมภาพันธ์ 2562 หน้า 22-23)

    (_3377389635937924283_n.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2024

แชร์หน้านี้

Loading...