นิทาน เรื่อง "พญานาค"

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย คุรุวาโร, 31 ธันวาคม 2011.

  1. kengjingjung

    kengjingjung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    1,366
    ค่าพลัง:
    +1,494
    รอฟังอีกหนึ่งแรงใจครับบบบ :cool:
     
  2. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    พี่ติงไม่ได้ว่าน้องสักหน่อยค่ะ
    ไม่ต้องขอโทษนะคะ
    พี่ติงแซวเล่นเท่านั้น.
     
  3. kengjingjung

    kengjingjung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    1,366
    ค่าพลัง:
    +1,494
    ผมเข้าใจค๊าบ อิอิ ผมชอบเอาฮาไว้ก่อน :cool:
    นิสัยส่วนตัวชอบสร้างความสุขให้กับตัวเองและคนรอบข้าง
    เพราะเดี๋ยวนี้มองไปทางไหนก็เห็นแต่คนเครียดๆ จนหลายคนลืมสร้างความสุขให้กับตนเอง
    ผมไม่รู้จะให้อะไรคนอื่นดีก็เลยให้ความสุขดีกว่า อิอิ
     
  4. ิWorakan

    ิWorakan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +72
    ทักทายทุกคนคะะะะะะะะะะะะ
     
  5. EmzzA

    EmzzA Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +39
    ทักทาย เหมือนกาน
     
  6. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    เมื่อคืน...หลังจากนั่งสมาธิเสร็จ ก็ปิดไฟเตรียมตัวเข้านอนตามปกติ ทันใด...สายตาก็เหลือบไปเห็นแสงไฟดวงเล็กๆ สว่าง...แว่บ...แว่บ...โอ๊ย!! อกอีแป้นแล่นลึกเข้าตึกแขก...ตกใจหมดเลย ที่แท้ก็..หิ้งห้อยตัวจ้อยอ่ะ...แต่ว่า...มันเข้ามาอยู่ในห้องได้ไงฟระ?
     
  7. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    เริ่มอ่านก็รู้สึกตื่นเต้นค่ะ....
    หิ่งห้อยส่วนมากจะพบเห็นในช่วงปลายฝนต้นหนาว
    แล้วนี่หิ่งอะไรนะ ^^
     
  8. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    สวัสดีค่ะ ทุกๆท่าน รอท่านคุรุวาโรกันเนาะ....
     
  9. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    แต่ที่ใต้เนี่ย ร้อนตับแตกเลยพี่ติง เลยไม่รู้ว่าหิ้งห้อยหลงฤดูมาจากไหน แถมต้นลำภูแถวนี้ก็ไม่มี...หรือจะเป็นผีแปลงตัวมาหว่า...บรื้อวววว์

    มาปูเสื่อรอท่านคุรุวาโร 4 วัน...จนหมอนเปียกหมดแล้ว อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2012
  10. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    พญานาคอันธพาล กับชฎิลฤาษี ๓ พี่น้อง

    อ้างอิง พระนิพนธ์ของ กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส
    ตอนที่ ๑
    ในกาลครั้งนั้น ยังมีชฎิล ๓ คนพี่น้องเกิดในตระกูลกัสสป พี่คนโตมีนามว่า อุรุเวลากัสสป น้องคนที่ ๒ มีนามว่า นทีกัสสป น้องคนที่ ๓ มีนามว่า คยากัสสป อาศัยอยู่ในอุรุเวลาประเทศ ทั้งสามต่างก็มีสาวกบริวารคนละพวกแยกกันอยู่ห่างๆ เป็น ๓ ตำบล
    อุรุเวลากัสสป ผู้เป็นพี่ใหญ่มีหมู่ศิษย์อยู่ ๕๐๐ คนสร้างสำนักอาศรมศาลาอยู่บริเวณต้นแม่น้ำเนรัญชลา
    นทีกัสสป น้องคนที่ ๒ มีศิษย์อยู่ ๓๐๐ คนสร้างอาศรมสำนักอยู่แถบฝั่งทิศใต้ลงไป
    คยากัสสป น้องคนสุดท้องมีศิษย์ ๒๐๐ คนสร้างบรรณศาลาอาศรมสถานอยู่ที่คุ้มแม่น้ำใต้ลงไปอีก
    ลำดับนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปยังสำนักอาศรมของอุรุเวลากัสสปชฎิลฤาษี ตรัสกับท่านเจ้าสำนักผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ยิ่งว่า “ดูกร กัสสป ผิว่าท่านมิได้หนักใจ ตถาคตจะขอพักอาศัยอยู่ในโรงเพลิง (เรือนไฟ) ของท่านสักราตรีหนึ่ง”

    อุรุเวลากัสสป เจ้าสำนักตอบว่า “ดูกร มหาสมณะเรามิได้หนักใจที่ท่านจะมาขออาศัยอยู่ ณ ที่นั้นเลย แต่ทว่ามีพญานาคตนหนึ่งมีพิษร้ายกาจยิ่งนัก มาอาศัยอยู่ในโรงเพลิงนั้น ท่านจงระวังอย่าให้พญานาคตนนั้นทำอันตรายแก่ท่านได้”

    สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้า มีพุทธฎีกาตรัสว่า “พญานาคนั้นจักมิได้เบียดเบียนกระทำอันตรายแก่เราคถาคต ท่านจงอนุญาตให้ตถาคตได้อยู่อาศัยในโรงเพลิงสักราตรีหนึ่งเถิด”

    อุรุเวลากัสสปเกรงว่ามหาสมณะเจ้าผู้มาเยือนจะได้รับภัยอันตรายจากพิษร้ายของพญานาค ก็นิ่งอึ้งไปไม่กล้าอนุญาตให้เข้าพัก พระพุทธองค์ได้ตรัสย้ำอีกอย่างนั้น ๒-๓ ครั้ง อุรุเวลากัสสปไม่มีทางเลือก จึงจำใจอนุญาตให้เข้าพักได้ตามพระอัธยาศัย

    มีปราชญ์ผู้รู้บางท่านสันนิษฐานว่า อุรุเวลากัสสปคงจะมีวิชามนต์ปราบงูพิษ อันเป็นวิชาของพวกหมองูในชมพูทวีป เช่น “มนต์อาลัมพายนะ” เป็นต้น จึงสามารถเลี้ยงอสรพิษหรือพญานาคไว้ในโรงเพลิง เพื่อเสริมสร้างบารมีของตน

    มนต์อาลัมพายนะ เป็นมนต์วิเศษของพญาครุฑ ได้ถวายให้แก่ฤาษีโกสิยโคตร และท่านฤาษีรูปนี้ก็ได้มอบประสิทธิ์ให้แก่พราหมณ์คนหนึ่ง พราหมณ์ผู้นี้แหละที่ใช้มนต์บทนี้จับเอาพญานาค มหาโพธิสัตว์เจ้าภูริทัต ไปแสดงให้คนดูชมหาเงินเข้ากระเป๋าตน (จากเรื่องพญานาคภูริทัตโพธิสัตว์เจ้า ทศชาติชาดก)

    เมื่ออุรุเวลากัสสปอนุญาตแล้ว พระพุทธองค์ก็เสด็จเข้าไปในโรงเพลิงแห่งนั้น ปูลาดสันถัตที่นั้งแล้วทรงนั้งเจริญสมาธิตั้งพระกายให้ตรง ดำรงพระสติเฉพาะหน้าต่อบท กรรมฐานภาวนานุโยคด้วยพระอาการอันสงบสำรวมน่าเลื่อมใส

    ฝ่ายพญานาคที่อาศัยอยู่ในโรงเพลิง เมื่อเห็นสมเด็จพระพุทธจอมมุนีนาถ เสด็จเข้ามาพำนักในสถานที่ของตน ก็เกิดความไม่พอใจขุ่นเคืองยิ่งนัก ว่าพระพุทธองค์มาเบียดเบียนที่อยู่อาศัยทำให้เราไม่มีอิสระเสรีในที่อยู่ จึงสำแดงฤทธิ์บังหวน (เข้าใจว่าจะใช้ลมหายใจพ่นพิษ) ให้พิษร้ายตลบอบอวลไปทั่วโรงเพลิง พิษร้ายกาจนี้สามารถย่อยสลายมนุษย์และสัตว์ให้กลายเป็นอากาศธาตุได้ในชั่วพริบตา !

    ลำดับนั้น สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าก็ทรงเข้า “กสิณไฟ” หรือ “เตโชกสิณสมาบัติ” ประมวลเอาอิทธาภิสังขารฤทธิ์ บันดาลให้เกิดเปลวเพลิงรุ่งโรจน์โชตนาการ ลุกท่วมโลงเพลิงนั้นเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก...
     
  11. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ตอนที่ ๒
    ฝ่ายพวกชฎิลฤาษีทั้วหลายได้เห็นเช่นนั้น ก็เข้าใจว่าเปลวเพลิงที่ลุกท่วมโรงเพลิงเป็นพิษของพญานาคพ่นไฟ ต่างก็พูดว่าพระมหาสมณะองค์นี้มีสิริรูปอันงามยิ่งนัก เสียดายจะมาวอดวายตายด้วยพิษพญานาคตนนี้ โดยหารู้ไม่ว่าที่แท้นั้นเป็นเปลวเพลิงกสิณไฟของพระพุทธองค์ ลุกไหม้พิษร้ายของพญานาคจนหมดสิ้นไป ทำให้พญานาคผู้มีมิจฉาทิฐิเป็นอันธพาลบังเกิดความสะท้านเกรงกลัวตั่วสั่นระรัว พยายามแข็งใจจะสู้อีกด้วยฤทธิ์แต่ก็สู้ไม่ไหว

    พุทธานุภาพของพระพุทธเจ้านั้นย่อมเหนือกว่าฤทธานุภาพของ นาค ครุฑ อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ทั้งหลาย เพราะว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นบรมครูของเทพเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย (เทวดาในความหมายนี้ หมายถึงเทพเจ้าและพรหมทั้งหมด ดุจเดียวกับคำว่า “ญาณทัสสนะ” ในบางโอกาส พระอรรถกถาจารย์ท่านหมายเอา “อภิญญา ๖” ทั้งหมด)

    พระพุทธองค์ทรงบันดาลด้วยอิทธิวิธีให้เดชานุภาพของพญานาค เสื่อมสูญไปหมดสิ้น ไร้ซึ่งพิษสงใดๆดุจเป็นงูดิน แล้วยังทรงบังคับให้พญานาคย่อกายอันใหญ่โตให้เล็กลงๆ เข้าไปขนดอยู่ในบาตร ของพระองค์อีกด้วย

    ครั้งรุ่งเช้าอุรุเวลากัสสป ได้เห็นพระพุทธองค์ยังมีชีวิตอยู่ก็ตกตะลึง องค์สมเด็จพระบรมศาสดาได้ตรัสกับอุรุเวลากัสสปว่า “นาคในบาตรนี้สิ้นฤทธิ์ด้วยเดชของพระตถาคต” อุรุเวลากัสสปได้เห็นแล้วก็เกิดความสะท้านใจ หวั่นไหวในอารมณ์ดำริในใจว่า “พระมหาสมณะนี้มีอานุภาพมากจริงหนอ สามารถระงับเสียซึ่งฤทธิ์พญานาคอันร้ากาจให้อันตรธานพ่ายแพ้ได้ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนอาตมา (เรา) ได้” แต่ได้กล่าวออกมาว่า

    “ข้าแต่พระมหาสมณะนิมนต์พระผู้เป็นเจ้าอยู่อาศัยในอาศรมนี้ต่อไปเถิด ข้าพเจ้าจะถวายภัตตาหารให้ฉันทุกวัน”

    สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงรับนิมนต์ด้วยพระอาการอันสงบ นี้เป็นแผนอุบายวิธีสยบอุรุเวลากัสสปให้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ส่วนแผนขั้นต่อไปเป็นอย่างไรนั้นจักได้กล่าวถึงต่อไป แต่สำหรับตอนนี้เราท่านที่เป็นพุทธศาสนิกชนคงต้องยอมรับว่าพญานาคมีอยู่ในพระพุทธศาสนาจริง!

    มีบางคนหรือหลายคนที่เรียกว่าพวกแก่วิชาเป็นปราชญ์คงแก่เรียน ได้กล่าวหาว่าพวกพระคันถรจนาจารย์ผู้แต่งตำนานพุทธประวัติเขียนเอาตามใจชอบของตน แต่งพุทธประวัติเป็นเทพนิยาย แต่ก็น่าประหลาดใจที่ว่า ถ้าพญานาคเป็นเรื่องไม่มีจริงแล้วไซร้ เหตุใดพระคันถรจนาจารย์องค์อื่นๆที่เป็นนักปราชญ์ จึงไม่แต่งตำราคำภีร์คัดค้านกัน เสียแต่ในยุคสมัยแรกๆ ไฉนจึงปล่อยให้คำภีร์ตำราที่พระพุทธเจ้าทรงเกี่ยวข้องกับพญานาค ดำรงค์อยู่ได้จนถึงบัดนี้?

    คำตอบจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากว่าพระคันถรจนาจารย์ท่านเขียนตำราคำภีร์มีสมมติฐานมาจากเรื่องจริง เกิดขึ้นจริงๆนั้นแล...
     
  12. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ตอนที่ ๓
    มากล่าวถึงอุรุเวลากัสสปกับพระบรมศาสดากันต่อไป
    พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ในโรงเพลิงแห่งนั้นจวบจนกระทั้งเวลาผ่านไปใกล้สนธยา จึงได้เสด็จออกจากโรงเพลิงไปยังป่าใหญ่ใกล้กับอาศรมของอุรุเวลากัสสป ทรงเลือกเอาบริเวณโคนต้นไม้ใหญ่แห่งหนึ่งเป็นที่สถิตย์เจริญกรรมฐานภาวนานุโยค

    ครั้งล่วงเข้าสู่ราตรีสมัยเป็นลำดับ ท้าวจาตุโลกบาลมหาราชทั้ง ๔ ก็ลงจากสวรรค์มาเฝ้าพระบรมโลกนาถเจ้า ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ได้เปล่งพระรัศมีโอภาสสว่างไสวไปทั่วทั้งราวป่าพนาสณฑ์ ครั้นถึงเวลาเช้าอุรุเวลากัสสปได้ไปหาพระบรมศาสดาแล้วทูลว่า

    “นิมนต์พระสมณะไปฉันภัตตาหารเถิด ข้าพเจ้าตกแต่งไว้ถวายเสร็จแล้ว แต่เมื่อคืนนี้เห็นพระรัศมีสว่างไสวไปทั่วราวป่าพนาสณฑ์มณฑลสถาน เป็นบุคคลผู้ใดฤา มาสู่สำนักนมัสการพระสมณะหนอ”

    พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระพุทธฎีกาตรัสบอกว่า
    ท้าวจาตุมหาราชาทั้ง ๔ ลงมาสู่สำนักตถาคต เพื่อจะฟังพระสัทธรรม”
    ครั้งนั้นแล อุรุเวลากัสสปชฎิลฤาษีผู้บูชาไฟเป็นสรณะ ได้สดับดังนั้นก็สดุ้งใจ ดำริคิดว่า “พระมหาสมณะองค์นี้มีอานุภาพมาก ท้าวจาตุโลกบาลทั้ง ๔ ยังลงมาสู่สำนัก แต่ถึงกระนั้นก็ดี พระสมณะองค์นี้จะเป็นพระอรหันต์เหมือนอาตมาก็หามิได้”

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาทำภัตกิจ (ฉันภัตตาหาร) ที่อาศรมของอุรุเวลากัสสปเสร็จแล้ว ก็เสด็จกลับราวป่าที่เดิมอันเป็นสถานเจริญสุขวิหารธรรม ครั้นราตรีกาลมาถึงอีก ท้าวโกสีย์สักกเทวราช (พระอินทร์) ก็ลงจากดาวดึงส์เทวโลกมาถวายนมัสการแล้วยืนอยู่ข้างหนึ่งเปล่งรัสมีสว่างไสวดุจกองไฟใหญ่ อันไฟโรจน์โชติช่วงชัชวาลย์ยิ่งกว่าราตรีก่อน (เหตุที่เทวดามเหศักดิ์ยืนถวายบังคมโดยไม่ยอมนั่งลงนั้น เป็นเพราะว่าถ้านั่งลงเมื่อใดก็จะเกิดสภาวะทิพย์ มีวิมานทิพย์มารองรับเมื่อนั้น จึงมิกล้านั้งลงเพราะเป็นการไม่สมควร)

    ครั้นถึงเพลารุ่งเช้า อุรุเวลากัสสปชฎิลฤาษีผู้ชอบเกล้าผมมุ่นเป็นมวยขึ้นสูงคล้ายใส่ชฎา ก็เข้าไปหาพระพุทธองค์อีก เพื่อถวายภัตตาหารเหมือนเช่นเคย แล้วทูถามด้วยความสงสัยอีกว่า “เมื่อคืนนี้ผู้ใดมาสู่สำนักพระสมณะเจ้า จึงมีรัศมีสว่างไสวยิ่งกว่าคืนก่อน”

    พระบรมศาสดามีพุทธฎีกาตรัสว่า “ท้าวโกสีย์สักกเทวราช ลงมาสู่สำนักตถาคตเพื่อฟังธรรม” อุรุเวลากัสสปได้สดับดังนั้นก็ดำริดุจคราวก่อน พระพุทธองค์ก็เสด็จไปเสวยภัตตาหารที่สำนักอาศรมชฎิลฤาษี แล้วทรงกลับมาสู่ป่าใหญ่ที่ประทับ

    ครั้นราตรีกาลมาถึง ท้าวสหัมบดีมหาพรหม ก็ลงมาจากสวรรค์พรหมโลกมาถวายนมัสการสมเด็จพระบรมครู แล้วเปล่งรัศมีของพรหมสว่าไสวยิ่งขึ้นไปกว่าราตรีก่อนๆ ครั้นรุ่งเช้าอุรุเวลากัสสปก็ไปทูลอาราธนาฉันภัตตาหารตามปกติ แล้วทูลถามเหมือนวันก่อน พระพุทธองค์มีพุทธฎีกาตรัสตอบว่า “เมื่อคืนนี้ ท้าวสหัมบดีมหาพรหมลงมาสู่สำนักเรา เพื่อฟังธรรม” อุรุเวลากัสสปก็ดำริคิดเหมือนคราวก่อน หลังจากพระพุทธองค์เสด็จไปเสวยภัตตาหารเสร็จแล้วก็กลับคืนสู่สำนักในป่าตามเดิม

    ในวันรุ่งขึ้นเป็น วันมหายันต์ คือเป็นวันที่ชนทั้งหลายจะมาทำบุญประเพณีนำเอาข้าวปลาอาหารเป็นอันมากมาถวายแก่ อุรุเวลากัสสปชฎิลฤาษี อุรุเวลากัสสปได้ครุ่นคิดแต่เมื่อคืนแล้วว่า “วันพรุ่งนี้ มหาชนจะนำเอาอาหารอันโอชะประณีตนานาชนิดมาสู่สำนักของเรา ถ้าพระมหาสมณะแสดงอิทธิฤทธิ์ให้มหาชนได้เห็นเป็นมหัศจรรย์ ลาภสักการะทั้งหลายก็จะหลั่งไหลไปสู่เธอ ทำให้อาตมาเสื่อมสูญจากลาภสักการะเหล่านั้นเป็นแน่แท้ อาตมาจะทำอย่างไรหนอ ที่จะมิให้พระมหาสมณะออกจากราวป่ามาสู่สำนักเราได้ในวันพรุ่งนี้”...
     
  13. kengjingjung

    kengjingjung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    1,366
    ค่าพลัง:
    +1,494
    เย่ๆๆๆ มีนิทานมาให้อ่านแล้ว :cool:
     
  14. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ตอนที่ ๔
    ในกาลครั้งนั้น สมเด็จพระผู้พิชิตมารได้ทรงทราบความคิดวิตกกังวลของอุรุเวลากัสสปโดยตลอดด้วยเจโตปริยญาณ คือการล่วงรู้ว่าระจิตของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ครั้นรุ่งเช้าก็เสด็จหนีเหาะไปยังอุตรกุรูทวีป ทรงบิณฑบาตโปรดชาวอุตรกุรูทวีป ได้ภัตตาหารพอสมควรแล้ว ก็เสด็จเหาะมากระทำภัตกิจฉันภัตตาหารในบาตร ณ ริมฝั่ง สระอโนดาต ในหุบเขาใหญ่ป่าหิมพานต์อันสงัดวิเวกรื่นรมย์

    เมื่อกระทำภัตกิจเสร็จแล้วก็เสด็จสรงสนาน (อาบน้ำ) ในสระอโนดาตเป็นที่ชุ่มชื่นสำราญพระหฤทัยยิ่งนัก แล้วทรงเดินจงกรมเจริญพระอิริยาบถ จากนั้นทรงเจริญสมาธิธรรมผลสมาบัติเป็นสุขวิหารอยู่จนถึงเพลาสายัณห์ เมื่อตะวันบ่ายคล้อยต่ำลง จึงได้เสด็จเหาะกลับมายังราวป่าอันเป็นสำนักเจริญภาวนานุโยค ใกล้กับอาศรมของอุรุเวลากัสสปตามเดิม

    เช้าวันรุ่งขึ้น อุรุเวลากัสสปไปอาราธนาเพื่อทำภัตกิจดุจวันก่อนๆแล้วทูลถามว่า “เมื่อวานนี้พระมหาสมณะไปแสวงภัตตาหาร ณ ที่ใดถึงไม่เห็นมาฉันเหมือนเช่นทุกวัน ข้าพเจ้าระลึกถึงท่านอยู่” พระบรมศาสดามีพระพุทธฎีกาตรัสบอกถึงความในใจของอุรุเวลากัสสปที่มีความปริวิตก พระองค์จึงเสด็จเหาะหนีไปเที่ยวบิณฑบาตรยังอุตรกุรูทวีปเพื่อให้อุรุเวลากัสสปมีความสบายใจในลาภสักการะมหายันต์ของตน

    อุรุเวลากัสสปได้ฟังพระดำรัสดังนั้น ก็ตกใจ! ดำริคิดเข้าข้างตนเองว่า “พระมหาสมณะผู้นี้มีอานุภาพยิ่งนัก ล่วงรู้วาระจิตของอาตมา แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา”

    ในกาลครั้งนั้น มีเหตุให้ทรงเสด็จพระพุทธดำเนินไปชักผ้าบังสุกุลที่ห่อศพนางปุณณะทาสีในป่าช้าผีดิบ แล้วนำมาสู่ราวป่าที่ประทับ ทรงพุทธดำริว่า “เราจะซักผ้าบังสุกุล ณ ที่ใดดีหนอ ? ” พระพุทธปริวิตกนี้เป็นที่ล่วงรู้ของ ท้าวสักกเทวราช (พระอินทร์ร้อนอาส) จึงเสด็จเหาะลงมาจากสวรรค์ขุดสระโบกขรณีด้วยพระหัตถ์ ด้วยฤทธานุภาพพื้นศิลาก็เต็มไปด้วยอุทกวารีอันใสสะอาด แล้วกราบทูลให้ทรงซักผ้าบังสุกุลในสระนั้น หลังจากพระพุทธองค์ทรงซักผ้าบังสุกุลเสร็จแล้ว จึงปรารภต่อไปอีกว่า “จะขยำผ้าบังสุกุล ณ ที่ใดดี ? ”

    ท้าวสักกเทวราชก็น้อมเอาแผ่นศิลาใหญ่เข้าไปถวาย ทรงขยำผ้าบังสุกุลห่อศพด้วยพระหัตถ์จนหายกลิ่นเหม็นแล้ว ก็ทรงปรารภต่อไปอีกว่า “เราจะห้อยตากผ้าบังสุกุลจีวร ณ ที่แห่งใดดี ? ” ลำดับนั้นท่านพฤกษเทพยดาซึ่งสิงสถิตอยู่ที่ต้นกุ่มบก ก็โน้มกิ่งก้านสาขาไม้กุ่มนั้นลงมาให้พระพุทธองค์ทรงห้อยตากจีวร ครั้นทรงตากผ้าบังสุกุลจีวรแห้งดีแล้ว ทรงพุทธจิตนาการต่อไปอีกว่า “จะพับผ้า ณ ที่ใดดี” ท้าวสักกเทวราชก็ยกแผ่นศิลาอันใหญ่มาทูลถวายให้แผ่พับผ้ามหาบังสุกุลจีวรบนแผ่นศิลานั้น

    เมื่อถึงเพลาเช้าวันใหม่ อุรุเวลาก้สสปก็ไปทูลนิมนต์ให้มาทำภัตกิจเหมือนทุกวัน ครั้นพอได้เห็นสระโบกขรณีและแผ่นศิลาทั้งสองอัน มิเคยมีปรากฎในที่นั้นมาก่อน และไม้กุ่มบกโน้มกิ่งลงมาเรี่ยดินก็ประหลาดอัศจรรย์ใจยิ่งนัก จึงทูลถามพระบรมศาสดาถึงเหตุนั้น พระบรมโลกนาถเจ้าจึงมีพุทธฎีกาตรัสบอกความทั้งปวง อุรุเวลากัสสปได้ฟังดังนั้นก็ให้สดุ้งตกใจเป็นกำลัง แต่ยังฝืนข่มปลอบใจตนเองดำริในใจว่า “พระมหาสมณะนี้มีเดชานุภาพยิ่งนัก แม้แต่ท้าวโกสีย์สักกเทวาธิราชเจ้ายังมากระทำหน้าที่ไวยาวัจกร แต่ถึงกระนั้นพระมหาสมณะนี้ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา”...
     
  15. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ตอนที่ ๕
    เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาได้ไปเสวยภัตตาหารของอุรุเวลากัสสป เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็กลับมายังราวป่าที่อาศัย ครั้นวันรุ่งขึ้นอุรุเวลากัสสปไปทูลเชิญนิมนต์ทำภัตกิจอีก พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า “ท่านจงไปเถิดตถาคตจะตามไปที่หลัง” เมื่ออุรุเวลากัสสปไปแล้ว พระบรมศาสดาจึงเหาะไปนำเอาผลลูกหว้าใหญ่ในป่าหิมพานต์ แล้วทรงเสด็จกลับมายังโรงเพลิงก่อน ที่อุรุเวลากัสสปจะมาถึง ครั้นอุรุเวลากัสสปมาถึงก็ประหลาดใจทูลถามว่า “พระมหาสมณะมาทางใดจึงมาถึงก่อน ? ”

    พระพุทธองค์มีพระพุทธฎีกาตรัสบอกไปตามความเป็นจริง อุรุเวลากัสสปก็ดำริครุ่นคิดดุจครั้งก่อน ครั้นทรงกระทำภัตกิจเสร็จแล้วทรงเสด็จกลับราวป่า อันเป็นสถานที่สับปายะเจริญภาวนานุโยคตามเดิม

    อยู่มาไม่นาน ครั้งนั้นชฎิลฤาษีลัทธิบูชาเพลิงสำนักอุรุเวลากัสสป พากันก่อไฟ แต่มิอาจผ่าฟืนใส่กองไฟได้ จึงพากันคิดว่า “เหตุทั้งหมดนี้เป็นเพราะฤทธิ์ของพระมหาสมณะกระทำให้เป็นไปแน่” พระพุทธองค์ทรงล่วงรู้วาระจิตของพวกชฎิลฤาษีจึงทรงพระเมตตาตรัสว่า “จงผ่าฟืนตามความปรารถนาเถิด” ชฎิลฤาษีทั้งห้าร้อย จึงผ่าฟืนออกได้โดยง่ายเป็นที่อัศจรรย์ใจยิ่งนัก !

    อยู่มาวันหนึ่ง ชฎิลฤาษีทั้งหลายปรารถนาจะบูชาเพลิงแต่ก่อไฟไม่ติด พากันคิดปริวิตกอีกว่า เหตุทั้งหมดนี้เป็นเพราะฤทธิ์ของพระมหาสมณะบันดาลให้เป็นไปแน่นอน เมื่อพระสัพพัญญูเจ้าทรงทราบวาระจิตแล้ว จึงมีพุทธฎีกาตรัสบอกว่า “ขอให้ก่อไฟบูชาเพลิงได้เถิด” ครั้งนั้นเพลิงก็ติดขึ้นทั้ง ๕๐๐ กองพร้อมกันนั้นแล!

    ชฎิลฤาษีบูชาเพลิงสำเร็จแล้วจะดับเพลิง แต่เพลิงก็ไม่ดับจึงดำริคิดอีกเหมือนคราวก่อน พระพุทธองค์ทรงล่วงรู้ด้วยเจโตปริยญาณจึงมีพุทธฎีกาตรัสอนุญาตให้เพลิงดับ เพลิงก็ดับพร้อมกันทั้ง ๕๐๐ กอง

    ครั้งหนึ่งหมู่ชฎิลฤาษีทั้งหลายลงอาบน้ำ ดำผุดขึ้นลงในแม่น้ำเนรัญชลา สมเด็จพระโลกนาถมุนีผู้ทรงพระมหากรุณาได้ทรงเนรมิตเชิงกรานกองไฟ ๕๐๐ กอง มีไฟลุกโชติช่วงทุกกองเรียงรายไปตามริมฝั่ง เมื่อพวกชฎิลฤาษีขึ้นจากน้ำก็พากกันเข้าไปผิงไฟในเชิงกรานทั้ง ๕๐๐ นั้น

    ในกาลวันหนึ่ง มหาเมฆฝนตั้งขึ้นนอกฤดูกาลบันดาลให้ห่าฝนตกลงมาอย่างหนักทั่วชมพูทวีป กระแสน้ำล้นฝั่งเนรัญชลานที ไหลหลากทั่วทุกสารทิศ ฝ่ายอุรุเวลากัสสปมีความปริวิตกว่า น้ำจะท่วมถึงป่าที่พักอาศัยของพระสมณะรูปงามมีฤทธิ์มากหรือไม่หนอ ? จึงลงเรือพาลูกศิษย์รีบไปดูโดยด่วน ก็เห็นเป็นอัศจรรย์ใจ ว่าน้ำนูนขึ้นเป็นกำแพงล้อมอยู่โดยรอบ แลเห็นพระบรมศาสดาเสด็จเดินจงกรมอยู่บนพื้นดินอันแห้งปราศจากน้ำ มีฝุ่นปลิวฟุ้งขึ้นเบื้องบน จึงร้องทูลถามว่า

    “พระมหาสมณะสถิตอยู่ ณ ที่นี้หรือ ? ”
    มีพุทธฎีกาตรัสว่า “ดูกร กัสสป ตถาคตอยู่ที่นี้” สิ้นพระสุรเสียงแล้วก็เสด็จเหาะขึ้นไปบนอากาศแล้วลอยลงสู่เรือของอุรุเวลากัสสปมาปรากฎอยู่ ณ ที่เฉพาะหน้า ท่ามกลางเหล่าบริวารเป็นอันมากของชฎิลฤาษีนั้น ! แต่อุรุเวลากัสสปยังคงดำริคิดเช่นเดิมอีกว่า “พระมหาสมณะมีฤทธิ์เป็นอันมากเห็นปานฉะนี้ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราไปได้

    นับตั้งแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จจากป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน มายังอุรุเวลาประเทศประทับอยู่ถึง ๒ เดือน จนตราบเท่าถึงวันเพ็ญปุณณะมีนี้ ได้ทรงแสดงพระอิทธิปาฏิหาริย์ทรมานจิตใจอุรุเวลากัสสปต่างๆโดยอเนกปริยาย แต่อุรุเวลากัสสปก็ยังมีจิตอวดดื้อถือดีสันดานกระด้าง ถือตนถือตัวว่าเป็นผู้วิเศษเป็นพระอรหันต์หาผู้เสมอเหมือนมิได้ จึงทรงพุทธดำริด้วยความเมตตาว่า...
     
  16. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ตอนที่ ๖
    “ถึงเวลาแล้ว ตถาคตจะทำให้โมฆะบุรุษอุรุเวลากัสสปสลดจิต คิดสังเวชสำนึกผิด ณ กาลบัดนี้” จึงมีพุทธฎีกา ตรัสแก่อุรุเวลากัสสปว่า “ดูกร ชฎิล ตัวท่านมิได้เป็นพระอรหันต์ ซ้ำข้อปฎิบัติและปฎิปทาของท่านที่จะเป็นไปเพื่อทางมรรคผลนิพพานก็มิได้มีเลย ไฉนท่านจึงถือตนถือตัวว่าเป็นพระอรหันต์เล่า เป็นการไม่สมควรยิ่งนัก”

    พระพุทธวัจนะของพระพุทธองค์นี้เปรียบเหมือนไฟอันร้อนแรงละลายขี้ผึ้ง ทำให้อุรุเวลาสั่นสะท้านเหมือนพิษไข้จับ ตลอดระยะเวลาที่พระพุทธองค์ทรงมาโปรด ให้บังเกิดความละอายใจเหลือที่จะประมาณ สันดานดื้อด้านอวดดีหายไปหมดสิ้น เข่าอ่อนยวบล้มตัวซบศรีษะแทบพระยุคลบาท อย่างหมอบราบคาบแก้วกราบทูลว่า “แจ่มแจ้งจริงหนอพระพุทธเจ้าข้า เปรียบเหมือนบุคคลเปิดของที่ปิด หงายของที่คว่ำ บอกทางแก่คนหลงทาง จุดประทีปในที่มืดด้วยคิดว่าผู้มีดวงตาจะพึงเห็นรูปได้ บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าขอบรรพชาอุปสมบทในสำนักพระพุทธองค์”

    พระบรมศาสดาสัพพัญญูเจ้าตรัสว่า “ตัวท่านเป็นชฎิลมหาฤาษีใหญ่ยิ่งเป็นประธานแก่หมู่ชฎิล ๕๐๐ ท่านจงบอกกล่าวประกาศให้ยินยอมพร้อมใจกันก่อน พระตถาคตจึงให้อุปสมบทได้” อุรุเวลากัสสปก็ถวายบังคม แล้วกลับมายังอาศรมสำนักประกาศให้ชฎิลฤาษีบริวารทราบว่า

    “ทางปฎิบัติลัทธิบูชาเพลิงที่เราพร่ำสอนพวกท่านมานั้น มีการบำเพ็ญตบะทรมานตนเป็นประการต่างๆ ยังห่างไกลจากมรรคผลนิพพาน บัดนี้เราได้เล็งเห็นแล้วว่า การบรรพชาอุปสมบทในสำนักพระมหาสมณะพุทธโคตมะเท่านั้นเป็นทางถูกต้อง จะนำพวกเราหลุดพ้นจากกิเลส บรรลุถึงศิวโมกข์พระนิพพานได้”

    ชฎิลบริวารทั้งหลาย หากสันนิษฐานตามเหตุการณ์ดังกล่าวมา คงจะนิยมเลื่อมใสในพระพุทธองค์อยู่เงียบๆ มาหลายเพลาแล้วเพียงแต่ไม่กล้าพูด เพราะเกรงใจอุรุเวลากัสสปพระอาจารย์ใหญ่ ครั้นอุรุเวลากัสสปมาเปิดอกเสียเอง มีหรือจะไม่ชื่นชมยินดี จึงพร้อมใจกันปลดเปลื้องเครื่องทรงชฎิลฤาษีและบริขารเครื่องใช้อื่นๆ เครื่องบูชาเพลิง หนังเสือ ฯลฯ โยนทิ้งลงไปในแม่น้ำเนรัญชลา จากนั้นก็พากันมาสู่สำนักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซบศรีษะลงแทบฝ่าพระบาททูลขอบรรพชาอุปสมบท พระพุทธองค์ก็ทรงพระกรุณาโปรดประทานอุปสมบทด้วย “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” ความว่า ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิดธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งกองทุกข์ให้สิ้นเถิด บัดนั้นเครื่อนุ่งห่มสบงจีวรก็เลื่อนลอยมาจากนภากาศ ตกลงเฉพาะหน้าท่ามกลางเหล่าภิกษุพุทธสาวกแล (สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ ผู้เขียนเองพิมพ์มาถึงตอนนี้ให้รู้สึกมีปีติอิ่มใจยิ่งนัก)

    ฝ่าย นทีกัสสป ผู้เป็นน้องคนกลาง ซึ่งตั้งอาศรมสำนักอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเดียวกัน แต่อยู่ถัดลงมาอีกตำบลหนึ่ง ห่างไกลจากกันไม่มากนัก มีศิษย์ ๓๐๐ คนเป็นบริวาร ได้เห็นเครื่องบริขารทั้งปวงของชฎิลฤาษีผู้พี่ ลอยเป็นแพตามสายน้ำมาก็ครุ่นคิดปริวิตกว่า “ชะรอยอันตรายจะมีแก่ดาบสฤาษีผู้พี่ของเราแล้วกระมัง”

    นทีกัสสปจึงพาเหล่าชฎิลฤาษีลูกศิษย์ทั้งสามร้อย เดินทางมายังสำนักอาศรมอุรุเวลากัสสปแล้วถามคาดคั้นถึงสาเหตุ อุรุเวลากัสสปจึงได้อธิบายเหตุกาลทั้งปวงมาโดยลำดับจนฤาษีผู้น้องเข้าใจโดยแจ่มแจ้ง แล้วเกิดความเลื่อมใสจึงพาเหล่าบริวารทั้งสามร้อย สละทิ้งเครื่องบริขารชฎิลฤาษีลอยทิ้งน้ำจนหมดสิ้น จากนั้นก็พากันไปถวายบังคมอัญชลีทูลขอบรรพชาอุปสมบท องค์พระบรมศาสดาก็ประทานให้อุปสมบทด้วยวิธี “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” แบบเดียวกันกับเหล่าภิกษุ อุรุเวลากัสสป แล...
     
  17. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ตอบที่ ๗
    ส่วน คยากัสสป ผู้น้องคนสุดท้องนั้นมีหมู่ศิษย์ ๒๐๐ คนเป็นบริวาร สร้างอาศรมสำนักอยู่ ณ คุ้มน้ำต่ำลงไปอีกไม่ไกลนัก เมื่อเห็นเครื่องบริขารชฎิลฤาษีผู้พี่ทั้งสองลอยตามแม่น้ำมา ก็คิดสงสัยเป็นกำลัง จึงพาบริวารฤาษีศิษย์ทั้งสองร้อย มาสู่สำนักนทีกัสสปถามไถ่เรื่องราวก็ได้ทราบความจริงว่า “การบำเพ็ญตบะเป็นฤาษีชฎิลนุ่งห่มหนังเสือสวมชฎานั้น แม้จะสำเร็จสิทธิโยคีมีฤทธิ์เดช แต่ก็ยังสู้ฤทธิ์เดชของพระภิกษุในพระพุทธศาสนาไม่ได้ ซึ่งเป็นทางดำเนินไปสู่มรรคผลนิพพานได้อย่างถูกต้อง”

    ด้วยเหตุนี้เอง คยาดาบส ผู้น้องคนสุดท้องก็บังเกิดศรัทธาความเลื่อมใส จึงพาบริวารทั้งสองร้อยคน เปลื้องบริขารชฎิลทิ้งลงสู่แม่น้ำเนรัญชลามหานทีจนหมดสิ้น แล้วดำเนินไปสู่สำนักพระบรมสาสดาทูลขออาราธนาอุปสมบท เป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา
    องค์พระศาสดาจึงประทาน “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” ดุจเดียวกันกับเหล่าภิกษุผู้พี่ทั้งสอง แล

    ลำดับนั้น พระพุทธองค์ได้เสด็จพุทธดำเนินพาเหล่าชฎิลฤาษีซึ่งบัดนี้ได้ อุปสมบทจนหมดสิ้นแล้วแต่ยังมิได้บรรลุธรรม ไปยังคยาสีสะประเทศ แล้วทรงแสดงพระธรรมเทศนาบท อาทิตตปริยายสูตร ให้สดับ พอจบลงพระภิกษุสงฆ์จำนวนพันกว่ารูปนั้น ก็บรรลุพระอรหันต์จนหมดสิ้น

    จากนั้นพระบรมศาสดาทรงพาเหล่าพระอรหันต์เจ้า เสด็จพุทธดำเนินมายังกรุงราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสารก็เสด็จออกมาเฝ้า ผู้คนชาวพระนครต่างพากันแตกตื่นมาคอยดูกันอย่างเนืองแน่น พากันร้องตะโกนถามเซ็งแซ่ว่า “พระพุทธเจ้าเป็นศิษย์ของพระอุรุเวลากัสสป หรือพระอุรุเวลากัสสปเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้ากันแน่ ? ”

    เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเห็นเหตุการณ์โกลาหลอลหม่านดังนี้ ก็มีพุทธประสงค์จะแสดงให้มหาชนได้รับทราบตามความเป็นจริง จึงมีพุทธวาจาตรัสถามพระอุรุเวลากัสสปต่อหน้ามหาชนทั้งหลายว่า “เหตุใดพระอุรุเวลากัสสปจึงละทิ้งลัทธิบูชาเพลิงของตนเสีย ? ”

    ลำดับนั้นพระอุรุเวลากัสสป ได้สำเร็จอภิญญาฤทธิ์เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วบรรลือสีหนาทประกาศก้องว่า “บัดนี้ข้าพเจ้ามีความเคารพเลื่อมใสในธรรมของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น” จากนั้นพระอุรุเวลากัสสปได้เหาะลงมาเพื่อทำประทักษิณ (เวียนขวาสามรอบ) แด่องค์พระบรมศาสดาแล้วก้มลงกราบแทบฝ่าพระบาท

    มหาชนชาวกรุงราชคฤห์ได้สดับดังนั้นแล้ว เกิดอัศจรรย์ใจในพระเดชานุภาพของพระพุทธเจ้าที่สามารถเอาชนะพวกชฎิลฤาษีผู้มีฤทธิ์ได้ เห็นประจักษ์ถึงปานนี้ เมื่อพระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนา มหาชนทั้งหลายจึงเงียบสงบลงฟังด้วยความเคารพในธรรม ปรากฎว่าพอสิ้นพระธรรมเทศนา พระเจ้าพิมพิสารและบริวาร ๑๑ ส่วน ณ ที่นั้นได้ดวงตาเห็นธรรมสำเร็จเป็นพระโสดาบัน บริวารอีกส่วนหนึ่งตั้งอยู่ในไตรสรณะคมน์ พระเจ้าพิมพิสารก็ทูลเชิญเสด็จพระพุทธองค์ให้ประทับอยู่ในกรุงราชคฤห์ เพื่อเสวยภัตตาหารในพระราชนิเวศน์ และกรุงราชคฤห์นี้เองเป็นแผ่นดินที่เกิดมีวัดอุบัตขึ้นเป็นแห่งแรกในบวรพุทธศาสนานามว่า “พระเวฬุวันมหาวิหาร” สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

    จบแล้วครับหวังว่าคงได้ อรรถรสในการอ่านนะครับ ทุกคน :cool:

    หากมีข้อมูลใดผิดพลาด อันจะเกิดเป็นโทษมีแก่พระพุทธศาสนา กระผมของดซึ่งโทษล่วงเิกินอันนั้น
    เพื่อการสำรวมระวังใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในการต่อไป
    catt24
    หน่อนรคุณ
     
  18. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    วันนี้ ฟังนิทานกล่อมนอนของท่านหน่อนรคุณจนจุใจเลยค่ะ^-^
     
  19. โบยบิน

    โบยบิน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2009
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +31
    สวัสดีค่ะ ไม่มีเรื่องมาเล่า แต่ว่าเข้ามาอ่านค่ะ
    ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าทุกๆ เรื่องค่ะ
     
  20. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,431
    เล่าถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ครับ เพราะว่าเครื่อง พีซี พัง ช่างบอกว่า แรมขนาด 2 กิกนั้นชำรุดครับ เดี๋ยวช่างซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ แล้วจะเล่าให้ฟังต่อครับ

    อ.วารินชำราบก็ร้อนมากครับ ต้องใช้เวลาเดินทางมาทำงานในตัวเมืองเกือบชั่วโมง เพราะในเมืองไม่มีที่พัก ย้ายสามรอบแล้วยังไม่ถูกใจครับ

    แถมตอนนี้ไม่ค่อยสบาย สงสัยขันธ์ห้าจะชำรุด ครับ แต่เมื่อคืนฝันไปว่า อำเภอวารินเป็นเมืองพญานาค มีพญานาคอยู่เต็มไปหมด พวกเขาเชิญชวนมาเที่ยวเมืองของเขาครับ

    โดยในฝันนั้นมีพญานาคสองตัวเป็นนาคีมาเชิญให้มาเยี่ยมชมเมือง โดยพวกเขาบอกว่า เจ้าเมืองนั้นใช้ให้มาบอกครับ ก็ต้องถามสมาชิกว่า ไปตามคำเชิญดีไหมครับ หรือว่าเล่าเรื่องหิมพานต์ต่อ (แต่จำไม่ค่อยได้แล้ว ต้องไปดูใหม่อีกครับ) เลือกมาแล้วกันครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...