น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    จะเป็นกรรมฐานได้ยังไง? โอ๊!..เมียคนนี้สวยจัง ดูมัน! จับอานาปาฯ เข้า-ออก เดี๋ยวเดียวมันก็เกิดเรื่อง มันนั่งสวยเหลือเกิน เนื้อหนังมันผ่องเหลือเกิน ก็ไม่ใช่กรรมฐานแล้ว เป็นสังโยชน์ไปแล้ว ไม่ใช่บารมี เป็นฝ่ายมันตรงข้ามแล้ว กรรมฐานจริง ๆ ต้องกายใน กายนี้กายเดียว! แล้วปัจจุบันวันนี้วันเดียว! เป็นวันที่เราจะสัประยุทธ์ จะต่อสู้จะเพิ่มกำลังตรงนี้ มีอยู่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นเอง

    แต่เวลาเขาสอนกัน เขาก็สอนตามวิธีที่เขาได้มา..แล้ววิธีที่ได้มาก็สอนทั้งหมดไม่ได้ ลูกศิษย์ที่มาก็ดี อารมณ์เราก็ดี มันเกิดขึ้นตามเหตุตามผลแค่ไหน ก็เอาช่วงนั้นขึ้นมาสอน แต่จะนอกจากมรรคอันนี่ไม่ได้ ถ้าจะละกิเลสต้องละจากร่างกายที่ใจอาศัยในร่างนี้ ถ้าจะเอากายไหนไปเดินจงกรม ต้องเอากายที่ใจอาศัยไปเดินจงกรม ไม่ใช่ชวนเมียเขา ผัวเขาไปเดินจงกรม ไม่ใช่! .. ไม่ใช่ไปจับลูกเด็กเล็กแดงที่ไหนไปเดินจงกรม... ต้องเอากายนี้! ถ้าจะดูอาการ ๓๒ ต้องดูในกายที่เราอาศัย...ไม่ใช่ไปดูนางสาวไทย มันไม่เห็นไส้นะซิ!
    ต้องดูตรงร่างกายเรานี้ถึงจะเป็นพระกรรมฐาน

    ก็ไม่ยาก ถ้าอย่างนี้เราก็หายฟุ้งซ่านแล้ว ถ้าจะต้องสอนฝรั่ง สอนแขก สอนตัวเอง ตอบคำถามฝรั่ง-แขก หรือตอบกิเลส ตอบกุศลที่จะมาถามในใจเรา เราเองจะสอนในมรรคอันนี้ ในผลอันนี้ ในศีล สมาธิ ปัญญา ตรงนี้เท่านั้นเอง... นอกนั้นเป็นเรื่องกีฬาสมาธิที่เสริมให้มรรคผลตรงนี้ชัดเจนขึ้น เช่น ทิพจักขุญาณก็ดี..มโนมยิทธิก็ดี..
    จิตซึ่งหลังจากที่เราอบรมร่างกายให้ใจเกิดกำลังแล้วเนี่ย จิตอันนั้นตามภาษาธรรมกาย เขาเรียก "ธรรมกาย" คือกายที่ประกอบด้วยธรรม ถ้าธรรมะในกายตอนนั้นเหมาะที่จะเป็นเดรัจฉาน ธรรมกายก็เป็นเดรัจฉาน ก็ไปเกิดตามธรรมกาย ถ้าเป็นพรหม เทวดาชั้นไหน ก็ไปเกิดตามนั้น... เป็นกายพระโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามี อนาคามี ก็เป็นธรรมกายอันนั้น ก็ต้องเริ่มจากการฝึกฝนจากกายตัวนี้ เอามาขัดกับร่างกายนี้เท่านั้นเอง เป็นพระอรหันต์มรรคหรือพระอรหันต์ผล ก็ธรรมกายอันนั้น.. กายประกอบด้วยธรรม
    แต่ในอีกศัพท์หนึ่งเขาเรียกว่า "กายทิพย์" ธรรมกายยังอาจประกอบด้วยกิเลสได้ มันเป็นศัพท์กลาง แต่กายทิพย์นี้ไม่มีกิเลส มีตั้งแต่อุปจารสมาธิขึ้นไป ใจเป็นทิพย์ ไม่มีโลภ โกรธ หลงชั่วคราว... จะทิพย์ระดับไหนก็ได้เขาก็เรียกรวมว่า "อทิสมานกาย" กายซึ่งไม่ใช่กายเนื้อนี่ อันที่จริงธรรมกายก็คือ อทิสมานกาย ก็ฝึกเอาสิต้องการธรรมกายขั้นไหน อทิสมานกายระดับไหน ก็ฝึกเอาจากเหตุผลที่เราทำ...ก็ฝึกเอา! แต่ต้องใช้ทิพจักขุญาณช่วยถึงจะรู้
     
  2. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ถ้าเป็นอย่างนี้วันนี้ก็โล่งใจ ถ้าเราทำตรงนี้ ตอบตรงนี้ ถามตรงนี้ จะไปหนักใจอะไร... เขาอยากจะเดินจงกรม .. พระสงฆ์ก็พาไป ก็ย่างหนอเป็นภาษาอังกฤษให้หน่อย... ก็เป็นขั้นหนึ่งของกายคตาสติเท่านั้นเอง เขาอยากนั่ง...ก็เป็นอานาปานสติขึ้นหนึ่งของปัจจุบันธรรมเท่านั้นเอง ถ้าจะเอากันให้ถึงอนาคามีมรรค-ผล ก็อาการ ๓๒ เน่าเละมีน้ำเหลืองไหล ก็คือกายถุงกายหนังนี้เท่านั้นเอง ถ้าจะเอาถึงอรหันต์ ก็เป็นเพียงธาตุ ๔ ไม่มีอะไรเป็นสาระ รูปนามก็ไม่เหลือ ก็อันนี้ขึ้นตอนมี ๖ อย่าง

    กายคตามหาสติปัฎฐานมี ๖ อย่าง อานาปาฯ , อิริยาบท, สัมปชัญญะ, อาการ ๓๒ , ธาตุ ๔, ศพ ๙ อย่าง พอศพ ๙ อย่าง ปั๊ป! รูปถูกทำลายลงเรียบร้อยแล้ว ก็เหลือนามธรรม เวทนา สัญญา
    สังขาร วิญญาณ เกาะรูปไม่ได้ พอมันแยกปั๊ป! จิตก็ต้องออกจากร่างเป็นธรรมกายแล้ว เป็นอาทิสมานกายแล้ว อีตอนนั้นเราเอาร่างกายไปทำคุณอะไรไว้ มันต้องไปตามนี้แล้ว ใช่มั้ยลูก! เมื่อมันไม่พอ ก็ต้องกลับมาเกิดใหม่เพื่อที่จะลดกำลังเลว เพิ่มกำลังดีตรงนี้ใหม่ อยู่ที่จังหวะที่จะลงมาพบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หรือเปล่า
    เสี่ยงมาก!
     
  3. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    เพราะฉะนั้นเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือเวลาวันนี้วันเดียว ชาตินี้ชาติเดียว กายนี้กายเดียว จิตนี้จิตเดียว ที่เราจะสู้กันให้ถึงที่สุด..ให้ได้
    ที่สุดถึงแค่ไหนเราก็จะเอาแค่นั้น.. และอธิฐานกันพลาดไว้ว่า ขอเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ไม่เคยจางคลาย ถ้าหากลูกยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใดขอให้อยู่ในเส้นทางของพระนิพพาน อย่าได้พลาดจากทางพระนิพพาน.. ถ้าจะเกิดเป็นมนุษย์ชาติใดขอให้ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า จากพระอรหันต์โดยตรง ขอให้เข้าถึงธรรม อย่าได้พลาดจากทางอันนี้...

    อันนี้เรียกว่า อริยมรรคตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ก็ไม่พลาดอย่างมากก็ไปพักเป็นพรหม เทวดาอยู่พักนึง เออ!.. ไม่พลาด แต่ถ้าเป็นฌานสมาบัติ ไปเป็นพรหม อรูปพรหม พอหมดอายุขัยลงมา เกิดลงมาปั๊ป! ถ้าบาปมีอยู่ต้องตกนรกก่อน บาปคลายตัวมาเป็นมนุษย์นี่ไม่รู้จังหวะนั้น จะเจอพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์รึเปล่า ลำบากอีก!
    เพราะฉะนันหลักประกันที่ดีที่สุดคือ กายนี้กายเดียวที่เราต้องพิจารณา จิตนี้จิตเดียวต้องมั่นใจ.. เพราะเป็นจิตเดียวที่มีกำลังมากที่สุดตั้งแต่เกิดมา วันนี้มีกำลังมากที่สุด เพราะพรุ่งนี้ยังไม่มีโอกาสทำบุญทำบาป ที่บำเพ็ญบารมีมาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี่บุญรวม ๆ กัน ณ บัดที่พูดที่ฟังกันอยู่นี่ เป็นตอนที่บุญสูงสุดของจิตของเรา ต้องมั่นใจตรงนี้ก่อน แต่ที่มันไม่ผ่องใส เพราะไปคิดในแง่ของร่างกาย ไม่คิดในแง่ของจิต ไปคิดในแง่ของกายขันธ์ ๕ เป็นตัวเราของเราก็เลยหนักใจ

    หลักก็มีอยู่ตรงนี้ ทั้งหมด ทำอยู่ตรงมรรคตรงผลตรงนี้ ก็ไม่รู้จะสอนอะไร เวลาเขาสอนเขาก็แบ่งตอนสอน หนู๋ก็คงรู้ว่าอย่างที่มาด้วยกันหลาย ๆ คนนี่ บางทีเทศน์กัณฑ์เดียวฟังได้ผลไม่ทุกคน เพราะว่าขั้นตอนของปัญญา ของมรรค ของฐานที่เขาต้องการในใจมันไม่เท่ากัน บางเวลาก็ต้องพูดแค่ว่าให้เขามีความสบายใจแค่ว่าอาจารย์นี้ สำนักนี้พูดไม่ผิดนะ แล้วก็พูดไปให้อีกกลุ่มนึง ซึ่งนั่งข้างเสานี้ได้หายสงสัยในเรื่องศีล แล้วก็พูดให้กลุ่มนี้หายสงสัยในพระสงฆ์ที่ออกข่าวหน้า ๑
    ว่าควรจะมองยังไง มันต้องแก้ปัญหาให้คนชื่นใจขึ้นพร้อม ๆ กัน จะเอามรรคผลทีเดียวกันพร้อมกันด้วยวิสัยของเรานี่ไม่ได้... ต้องพระพุทธเจ้าถึงจะทำได้! ถ้าพระองค์ทรงเทศน์ไป หนูก็รู้ว่าในพระไตรปิฏก คนบรรลุมรรคผลไม่ได้เท่ากันทุกคน บางคนเข้าใกล้ไตรสรณาคมน์ บางคนมิจฉาทิฐิมากกว่าเดิม แลบลิ้นหหลอกพระพุทธเจ้าก็มีอยู่องค์นึง แต่องค์นี้มาเป็นพระอรหันต์ทีหลัง ตอนนี้สบายใจได้ว่าเราต้องฝึกกันอย่างนี้ ถ้าไม่มีคนมาเรียนเราก็ฝึกพูดกับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ในใจเราอย่างนี้ ถ้ามีคนมาเรียนเราก็พูดดัง ๆ ออกมา จังหวะคนพูดได้แค่ไหนเราก็พูดตามนั้น ถ้าเขาถาม สงสัยอะไรก็คุยกันได้ ถ้าเรามมองตรงนี้ เราจะเห็นว่าพระคุณหลวงปู่ หลวงพ่อ...สำนักต่าง ๆ ท่านก็สอนอยู่ในขั้นตอนตรงนี้ กายกับจิต กับศีล กับทางของพระนิพพาน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รออยู่ตรงนี้ จะตัดตอนสอนตรงไหน สอนในลีลายังไง คือลีลาที่ท่านผ่าน ที่ท่านสามารถตอบคำถามตัวเองผ่านมาแล้ว มีประสบการณ์ในการตอบคำถามในสำนักในสายท่านผ่านมาแล้ว ท่านก็ต้องสอนตามนั้น แล้วท่านได้แค่ไหน ท่านก็สอนได้แค่ขั้นนั้น ถ้าสอนเกินไปปั๊ป! เอาตำรามาอ้าง...ตัวเองก็เริ่มกลุ้มแล้ว เริ่มพูดลนแล้ว มันไม่รู้ว่าใครเขาจะถามอะไร
    เดี๋ยวกูหงายท้องเลย ตัวเองก็ไม่มั่นใจอยู่แล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2008
  4. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ทีนี้พอเข้าใจหลักตรงนี้แล้ว ดูจังหวะอารมณ์ จริต นิสัย ตอนนั้นกิเลสกับกุศลเขาต่อสู้กัน เราควรจะเล่นเกมไหน ตรงไหน ระยะไหน
    เหมือนกับเรารู้ว่ามีดวงแก้ววิเศษคือธรรมะ ไม่แปลกปลอมแน่แล้ว ก็เอาธรรมะนั่นไปส่องใจ ส่องกายดู นั่งส่องไม่ถนัด ก็นอนส่อง เดินจงกรมส่อง ใช่มั้ยลูก? ถ้าหากอากาศมันไม่ดี... อย่างหลวงตาตอนเช้าถึงบ่ายนี้ อารมณ์ไม่เป็นที่พอใจตัวเอง ไปกินกาแฟแช่น้ำแข็งซะหน่อย อารมณ์ดี... พาเจ้าคุณวิสุทธิ์ไปดูพระนาคปรก กลับมาอารมณ์ดี... กลับมานั่งจับอานาปาฯ จับอะไรเหมือนเดิม กลับลงตัวผ่องใส ดีตามสมควร...ดีกว่าเก่า

    ก็คือคำตอบ คือว่าการที่ต้องเดินทางหาอาจารย์ ต้องแบกกลดเข้าป่า
    ก็เพราะต้องมีดวงธรรมของตัวเองอยู่ ที่ตัวมั่นใจอยู่แต่หาที่ หาสัปปายะให้ใจสามารถจะพิจารณาธรรมให้แนบแน่น เนียนสนิทเท่านั้นเอง!
    ให้มันถนัดถนี่เท่านั้น การเปลี่ยนอิริยาบถ เปลี่ยนที่ เปลี่ยนสำนัก ก็คือต้องมีธรรมะอยู่ในใจแล้ว แล้วเอาไปพลิกซ้ายพลิกขวาดู ก็คือขั้นตอนต่าง ๆ ตรงนี้เท่านั้นเอง นอกนั้นไม่มีอะไร...ถ้าตัวเองยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร ก็ไม่ต้องออกป่าหรอก!ศึกษาซะให้...หลักสูตรนักธรรมตรี โท เอก มีทั้งหมดเลย เป็นพระอรหันต์เลยนะนั่น อารมณ์ธรรมะทั้ง ๓ เล่มนั้นนะ...เป็นพระอรหันต์ เป็นพระพุทธเจ้ายังได้เลย บอกวิธีไว้หมดเลย ศึกษาซะให้ได้ แล้วก็จับใจตรงไหนก็เอาตรงนั้นมาฝึก

    ถ้าสงสัยก็หาครูบาอาจารย์ที่ท่านผ่านไปทางเดียวกันกับที่เราต้องการน่ะ ถามเพื่อให้มีกำลังใจที่จะเดินด้วยตัวเอง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเราเดินนแทนเธอไม่ได้.. เราทำแทนนเธอไม่ได้.. คิดแทนเธอไม่ได้.. แต่เป็นแต่เพียงผู้ชี้ทางให้เดินจิตเอา เดินอารมณ์เอา เธอต้องเดินอารมณ์ความคิดเอาเอง เดินกำลังความเพียรเอาเอง
    เราจะเก่งเกินพระพุทธเจ้าได้ยังไง
     
  5. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    เพราะฉะนั้นเวลาไม่มีคนมาก็สอนตัวเองให้เดิน หัดให้เข้มแข็งขึ้นมา ไม่มีเรื่องอะไรเลยเรื่องของกรรมฐาน ไม่มีทางลัด บอกได้เลยไม่มีทางลัด ไม่มีใครจะมาจับหัวแล้วเป่าปู้ดขึ้นมา ยังไม่ได้อุปจาระ แล้วไปได้ฌาณ ๔ มาในอดีตชาติ ตอนนี้กลายเป็นกุศล ปีติมันปริ่ม ๆ ๆ เกิดมาพูดถูกใจ ได้อารมณ์สอดคล้องกัน จิตแล่นถึงฌาณ ๔ เดิม อย่างนั้นไม่ใช่คนนั้นให้นะ เขาชี้ทางเราให้เดินอารมณ์ ประคองอารมณ์ให้เป็นสัปปายะเท่านั้นเอง แต่ไม่มีใครมาเป่าให้คนอื่นได้มรรคได้ผลด้วยความสามารถของตัว พระพุทธเจ้าท่านบอกตถาคตก็ทำไม่ได้ แต่ชี้ทางให้เดินอารมณ์ได้ เดินปัญญา เดินความเพียรเอาได้


    ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วก็ให้เลิกงมงายกันเสีย ในเรื่องเทวดาฟ้าดิน จะมาเป่าฌานเข้ากระหม่อม อัดฌานเข้ากระดูกสันหลังแล่นไปถึงสมองไม่มี เรื่องอย่างนี้ไม่มี ให้เลิกฝันได้ ถ้าจะมาสำนักนี้เพื่อต้องการสิ่งนี้ก็กลับไปได้เลย กินข้าวนอนคุยกันซักคืนก็จากกันไปได้ แต่ไม่ได้โกรธกัน แต่บอกท่านว่าไม่มีเรื่องอย่างนี้ในพระพุทธศาสนา ต้องเป็นความเพียร นอกจากคนที่สั่งสอนกันมา เป็นเหตุให้ธรรมปีติเกิด นึกถึงบุญตัวเองได้ เท่านั้นเองไม่มีอะไร


    ในเรื่องของความทุกข์ในขันธ์ ๕ เช่น หิวข้าว หิวน้ำ ปวดท้องขี้ท้องเยี่ยว ง่วงเหงาหาวนอน เจ็บไข้ไม่สบาย ต้องแก่ต้องตาย เนี่ย.. เป็นทุกข์ที่ต้องบริหารด้วยศีล ด้วยความเพียร ด้วยปัจจัย ๔ ด้วยปัจเวกขณ์ ๔ ไม่มีอาจารย์คนไหน บอกว่าหิวข้าวหิวน้ำ แล้วบอก"มาก็จะเป่าให้ เสกน้ำให้มึงกิน แล้วไม่ต้องกินข้าวไป ๓ วัน ไม่มีเรื่องอย่างนี้! ปวดหัวตัวร้อนต้องประกอบยาให้ต้องกับโรค พระพุทธเจ้ายังต้องอาศัยพ่อหมอชีวกประกอบยาให้ต้องกับโรค ไม่มีเรื่องอะไรที่จะมาเป่าให้โรคหายได้ มีแต่ธรรมโอสถซึ่งคนสู้ตาย ไม่สนใจเวทนา เขาผ่านขั้นตอนตรงนั้น เขาหายของเขา ด้วยอำนาจของกรรมดีของเขา และความเพียรใหม่นี้ ไม่ใช่เรื่องเป่า ให้โรคหาย เซรุ่ม วัคซีน เหตุกับผลมันต้องเข้ากัน.. อากาศเฉย ๆ มาเป่าพ่วง ๆ เฉย ๆ มันไม่หาย... แต่เป็นเหตุให้กำลังใจสู้ไม่สนใจ เวทนา นึกถึงตายก็ตาย.. ตายก็ได้ไปอยู่กับพระพุทธเจ้า ร่างกายเน่าเละ สู้จนจิตมันถึงฌาน ๔ มันก็หายได้ ..


    อย่างเจ้าประคุณพระสารีบุตร ท่านป่วยเป็นโรคท้องเป็นประจำอยู่สาหัสมาก โยมที่ปวารณาตัวต้องทำน้ำมะม่วงถวายอยู่เป็นระยะ ๆ ที่นี้วันนั้นท่านอาพาธหนัก โยมคนที่เคยปวารณาก็ไม่รู้ เทวดาที่ห่วงพระสารีบุตร ไปบอกโยมว่า พระคุณเจ้าที่ท่านปวารณาโว้อาพาธหนัก ให้ท่านทำน้ำมะม่วงไปถวาย โยมก็ทำมามอบให้พระโมคคัลลาน์ไปให้เพื่อน พระสารีบุตรเอะใจ ท่านได้มาได้ยังไง? ท่านก็บอกว่าเทวดาไปบอกโยมให้ทำถวาย พระสารีบุตรบอกให้เอาไปทิ้งเสีย ให้ไส้เราขาดไปตรงนี้ เพราะของ ๆ นี้เขาไม่ได้มาถวายด้วยตัวเอง ต้องให้ใครไปบอก เราไม่ฉันเราจะยอมตาย แล้วท่านก็จับลมหายใจ ด้วยความสู้ของท่าน... พลันโรคท้องของท่านก็หายขาดตั้งแต่นั้นมา
    เพราะท่านอาชีวะบริสุทธิ์ ขนาดเขาปวารณาไว้แล้ว เทวดาก็ไปบอกเป็นกุศล เพื่อนกันก็เอามาให้ ไม่มีเรื่องทุจริตเลย แต่ในใจท่านถือว่าอาชีวะไม่บริสุทธิ์ โยมต้องนำมาถวายด้วยตัวเอง ไม่ใช่มีใครไปบอกเป็นหน้าม้าหน้าช้าง.. แม้ว่าช้างม้านั้นเป็นของบริสุทธิ์ด้วยศีล ท่านก็ไม่กิน! ด้วยเหตุนี้ ด้วยอำนาจนี้ ท่านหายจากโรค ก็ไม่ใช่ใครมาเป่า เป็นเรื่องของอำนาจบารมี ซึ่งมันรักษาเยียวยา มันเกินตาย ยอมตาย ยอมไส้ขาด อย่านี้มีอยู่... แต่ไม่ใช่มีใครมารักษาให้ด้วยการรดน้ำมนต์พ่นกระหม่อม ไม่มีเรื่องอย่างนั้น


    ให้มั่นใจไปเลย จะได้ปฏิบัติกรรมฐานด้วยความเข้าใจว่า ไม่มีเรื่องลอย ๆ อย่างนั้น ถ้าจะมีก็มีแบบบุญญาธิการ อย่างนั้นน่ะ ขนาดชีวิตยังไม่เอา ขนาดนั้นก็ต้องหายได้ แต่ไม่ใช่ทุกองค์ไป ตายคาโรคก็มีหลายองค์ บุญไม่ได้ทำมาเพื่ออธิฐานแบบนั้น... ก็อธิฐานยังไง.. ก็ต้องร้อยโอย ๆ ๆ เป็นเรื่องปกติ
     
  6. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    หลวงพ่อเราจะบอกเสมอว่าหลักสูตรประจำสำนักของเราและทุกสำนักคือ มหาสติปัฎฐานสูตรกับวิปัสสนาญาณ ส่วนวิชชา ๓ อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ เป็นกีฬาสมาธิซึ่งประคองใจให้มีกำลังมั่นคง หายสงสัยกฎของกรรม แล้วหันมาทำความเพียร ตัดร่ายกายเฉพาะหน้า ตัดกิเลสเฉพาะหน้า ได้เกิน ๓ ชั้น และรัดกุมยิ่งขึ้น โดยไม่ว่อกแว่ก
    เท่านั้นเอง!...แต่บริสุทธ์ด้วย สติ ปํญญาด้วยศีล ด้วยความเพียรของการตัดกิเลส ของการพิจารณาร่างกาย นอกนั้นเป็นเพียงขั้นตอนส่วนประกอบ


    อย่างมโนมยิทธิที่เราฝึกกันก็เป็นส่วนหนึ่ง... หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ท่านพูดถึงมโนมยิทธิไว้ชัดมาก ท่านบอกว่า เป็นวิธีที่ดี ประเสริฐมาก หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านปฏิบัติเอง ท่านสอนเอง ใครก็ตามที่ปฏิบัติเองและสอนให้คนอื่นปฏิบัติตาม ให้หนักในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เชื่ออำนาจของกรรมดีกรรมชั่ว คนคนนั้นทำถูกสอนถูก ขอให้ปฏิบัติมโนมยิทธิเพื่อตัดกิเลสต่อไป


    แต่เตือนอยู่อย่างเดียว อย่าเอาไปพิสูจน์เรื่องซึ่งไม่ใช่การตัดกิเลส เช่นเราเคยเป็นผัวคนนี้มั้ย? คนนี้เคยเป็นเมียเรามั้ยในอดีตชาติ? เราเคยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ.. เราเคยเป็นพระอินทร์มั้ย? ไม่ว่ารู้หรือไม่รู้ก็ตาม จิตจะออกจากกฎธรรมดา ทำให้มีทิฐิมานะ ว่าเรามีคุณวิเศษมากกว่าคนอื่น หรือเศร้าหมองว่าเราช่างไม่มีศักดานุภาพเสียเลยในอดีตชาติ เสียเวลาปฏิบัติในปัจจุบัน ใครก็ตามที่ปฏิบัติอย่างนี้ ชื่อว่าใช้มโนมยิทธิใช้อภิญญาสมาบัติถูกต้อง...
     
  7. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ส่วนมหาสติปัฎฐานสูตร หรือสุกขวิปัสสโก ซึ่งไม่มีอภิญญาสมาบัติมาประกอบ เช่น มโนมยิทธิ หรือทิพจักขุญาณ เป็นทางอันเอกซึ่งประเสริฐโดยปัญญาแต่ส่วนเดียว แต่ต้องมีความหนักแน่นมั่นคงในครูบาอาจารย์ และความเพียรเฉพาะตัว จึงจะไปรอด แต่ถ้าหากทำไป ๆ ครูบาอาจารย์ที่สอนเรา ในขณะที่สอน.. ท่านสอนก็ด้วยอำนาจพระธรรมที่คลุมใจ เกิดวิบากกรรมต้องสึกไป หรือลงข่าวหน้า ๑ ลูกศิษย์จะเลิกทำกรรมฐานที่อาจารย์ท่านสอน ทำให้พระองค์นั้นสอนอะไรไว้...เลิกเลย ทำให้ไม่หนักแน่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยตัวเอง ต้องอาศัยส่วนอื่นประกอบ อันมีปัญญาและความเพียรเป็นต้น แต่ถ้ามีอภิญญาสมาบัติบ้าง และใช้ให้ถูก จะทำให้เป็นตัวของตัวเองสามารถเข้าถึงธรรมกายของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เข้าถึงกายทิพย์ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยทิพจักขุญาณอันวิเศษที่พระพุทธเจ้าก็รับรองมิได้


    ก็หันมาปฏิบัติสติปัฎฐาน วิปัสสนาญาณได้โดยไม่กังวล สนใจอะไรแล้ว บุกอย่างเดียว ต้องสรุปขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นฟุ้ง... ฟุ้งแล้วก็เถียงกัน เป็นเหตุให้เจ้าคณะต่าง ๆ อวดวิเศษ สัมมาอาชีวะเปื้อน ๆ เลอะ ๆ เลือน ๆ เข้ากันไปทุกที ไอ้เราก็ไม่ได้ว่าใคร ทำยังไงก็ได้กันอย่างนั้นไป
     
  8. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    วันนี้ดุหน่อย ตาตื่นเลยหนู ๒ คนนี้ ท่านบอกหลวงตาว่า เตือนลูกหลานที่ปฏิบัติรวมพระสงฆ์ด้วย ให้อยู่ในร่องในรอยให้อยู่ในสัมมาทิฎฐิ ส่วนการสอนเฉพาะเรื่อง ตั้งแต่พรุ่งนี้ค่อย ๆ คุยกัน ค่อย ๆ คุยกันทีละคำ ทั้งหมดก็อยู่ในขั้นตอนนี้แหละ...ไม่มีอะไร แม้มโนมยิทธิก็อยู่ในขั้นตอนตรงนี้ ก็อยู่ในขั้นตอนที่ว่า จับอานาปาฯ พิจารณาร่างกาย ทำลายรูป ทำลายนามได้แล้ว ศีลก็บริสุทธิ์แล้ว ไม่มีอะไรบกพร่องแล้ว ถ้าหากมันตายไปตอนนี้ร่างกายก็เน่าแล้ว ก็เหลือแต่จิตที่ผ่องใสตามสมควร ก็ขอเอาจิตที่ผ่องใสนี้ ไปกราบพระบาท หรือเข้าไปสู่สภาพที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ท่านอยู่ยังไง ขออยู่ตรงนั้นแล้วว... ไอ้คำว่า "แล้วว..." ตรงนี้นี่... ใจถ้าไม่เกาะร่างกายไปอยู่ตรงนั้นได้ เขาเรียก มโนมยิทธิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2008
  9. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ถ้าไปไม่ถึงก็แสดงว่ายังเกาะร่างกายอยู่ ศีลยังไม่บริสุทธิ์ วิปัสสนาญาณยังอ่อน เดินจงกรมก็ขี้เกียจ อานาปาฯ ก็ขี้เกียจ อยู่ ๆ มึงจะบอกหลวงตา "ตายแล้วกูจะไปนิพพาน" ไม่มี! (หัวเราะ) ต้องประกอบเหตุให้ถูกต้องพอสมควรด้วย เมื่อไปไม่ถึง ก็รู้ว่าไม่ถึง ก็กลับมาใหม่ มาจับอานาปาฯ ใหม่ ดูอิริยาบถใหม่ ดูอาการ ๓๒ ใหม่ ดูวิปัสสนาญาณใหม่ ดูศีลใหม่ แล้วก็ขึ้นไปอีก ก็อย่างนี้แหละ สำคัญจะไปอวดวิเศษ...ลงนรก เป๋ออกไปนอกทางพระนิพพานอีก ก็เสียเวลากันเยอะเหมือนกัน


    เพราะฉะนั้นหลวงตาก็โล่งใจ สบายใจ หนูฝรั่ง ๒ คนนี้มา.. โยมมา.. ความกังวลว่า เราสำนักน้อย ๆ นี่จะไปสอนฝรั่งจากยุโรปได้ไหมว้า? ท่านก็เลยดุเอาว่า มันไม่มีอะไร...ถ้าเรายังสอนตัวเองไม่จบ ไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำ..ก็ดี ใครมาก็ไม่มั่นใจ! ก็จะหาเรื่องอวดอุตริ เอาฤทธิ์ เอาเดชไปผูกเอาไว้ ผูกให้ตัวเองทุกข์ ต้องคอยโกหกกันต่อ ไม่ได้ ๆ ...พระสติปัฎฐานที่เป็นทิพย์นี่แหละจะเรียกธรรมกาย เรียกอะไรก็เถอะ อันเดียวกันหมด หมดเลย จะขั้นตอนไหนแค่นั้นเอง ก็ไปเรียบเรียงกัน ก็อยู่ในทางนี้แหละ จริตเราจะขึ้นจากตรงไหนก่อน อะไรมันพอ บางทีก็ไม่ถึงธาตุ ๔ แค่มรณานุสติ กับถุงหนัง อันนี้ก็จบแล้ว ทำมาแค่นี้


    ท่านพระอนุรุทธะ ก็เอาแค่อาการ ๓๒ กับถุงหนังเท่านั้นเอง กับวิปัสสนาญาณก็เข้าถึงพระอรหันต์ที่เป็นเอกในทิพจักขุญาณได้ ใครต่อใครไปถามท่าน ท่านก็บอกเอากายคตาสติตัวเดียว! พระอานนท์ก็เหมือนกัน อายุตอนนั้นก็ ๑๒๐ กว่าปี ทรงรำพึงว่าเราพระอานนท์พุทธอนุชา ผู้เป็นพุทธอุปัฎฐาก ผู้มีกัลยาณมิตรตายหมดแล้ว เราเป็นผู้ที่อยู่ตัวคนเดียว จะไม่หากัลยาณมิตรใหม่ เราจะมีกายานุปัสสนาเป็นกัลยาณมิตร ประดุจนกอยู่ในรังยามฝนตก โอโห! ชัดเหลือเกิน.. เป็นมิตรที่แท้ของท่าน คือการพิจารณากายคตาฯ นี่ ก็มี ๖ ขั้นเหมือนกันอย่างที่ว่าบวกวิปัสสนาญาณ..
    (ถาม : แล้วอย่างไหนง่ายกว่ากันครับ?)
    (หลวงตาตอบ)...เท่ากันลูก! อยู่ที่ถนัดยังไง...บางคนถนัดจับอะไรมันก็ง่ายหมด คนไม่ถนัดจับอะไรก็ยากไปหมด ถามผิดแล้ว...ไม่มีอะไรยากง่าย...อยู่ที่ใครทำอะไรมา แล้วรู้ว่าตัวเองทำอะไรมาแล้วทำต่อ มันเรื่องง่าย ๆ


    หลวงปู่ปานมีวิธีอย่างนี้ ถ้าลงในสายกรรมฐาน ๔๐ กอง ท่านก็ให้เอาสารบัญหนังสือกรรมฐาน ๔๐ กอง ไว้ตรงหน้า กินข้าวให้อิ่มตามสมควร กราบพระ ขอขมาพระ แล้วจุดธูปอธิฐาน แล้วอ่านสารบัญ ถ้าใจลูกจับตรงไหน ถ้าลูกเคยทำกองไหนขึ้นมา ขอให้ใจรักกองนั้น ขอซัก ๕ กองก่อนตอนนี้ ก็จับดู ขีดไป ๕ กอง กินน้ำอีกรอบเข้าห้องน้ำห้องท่าให้ดี กราบพระอีกที ขอขมาแล้วขอว่าใน ๕ กองนี้ ลูกควรจะขึ้นกองไหนก่อน เขาเอากันอย่างนี้ แล้วก็ทำจนตาย


    ใครจะมาตอบเราได้ พระพุทธเจ้าก็นิพพาน พระอานนท์ก็ไปแล้ว หลวงพ่อฤๅษีฯ ก็ไปแล้ว หลวงปู่มั่นก็ไปแล้ว เหลือแต่หลวงตาแก่ ๆ นี่ก็ตอบไม่ได้... ต้องตอบโดยเอาจิตจับกับธรรมะ เอาธรรมะเป็นเครื่องตอบ ฟังแล้วมันขนลุกยังไงไม่รู้ พูดถึงมโนมยิทธิแล้ว อยู่บ้านไม่ได้อยากวิ่งไปวัดท่าซุงซะตอนนี้ ใช่มั้ย? พูดถึงธรรมกาย อยากวิ่งไปวัดหลวงพ่อสด วัดหลวงพ่อวัดปากน้ำ วัดธรรมกายซะตอนนี้ แสดงว่าเราเคยทำอันนั้นมา ต้องไป...ต้องไปให้หายสงสัย บางทีก็ไปกินแค่คำสองคำ รู้สึกฟุ้งซ่านก็กลับมาต่อวิชาของเรา เพียงแต่ไปเอาเป็นอาหารเสริม บางทีก็เป็นอาหารแท้ บางทีที่เราทำคิดว่าแท้ก็กลายเป็นอาหารเสริม ไม่แน่หรอกต้องพยายามตลอดไป ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์เขาไม่หยุดความเพียรหรอก! แม้เป็นพระอรหันต์แล้ว แม้สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า แม้พระสารีบุตรผู้เป็นพระอัครสาวก ท่านว่าพระตถาคตนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก เป็นพระพุทธเจ้าแล้วยังทรงมรณานุสติทุกลมหายใจเข้าออก...
     
  10. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    อานนท์เราทรงอานาปานสติ มาด้วยอานาปานสติ

    ทำไมเป็นพระพุทธเจ้า ได้นิพพานแล้วต้องมาจับอานาปาฯ เพราะความเพียรในสาระธรรมอยู่ที่อานาปาฯ กับมรณานุสติ คือตัวร่างกายนี่.. จิตยังอยู่ในร่างกายต้องจับ ๒ ตัวนี่.. จะตายด้วยไส้ไหล จะตายด้วยอาการ ๓๒ จะตายด้วยธาตุ ๔ ตายด้วยศพอาการทั้ง ๙ ก็แล้วแต่.. แต่ต้องจับอานาปาฯ กับมรณานุสตินี้ ไม่อย่างนั้น.. ไม่เข้าถึงความเป็นพระอริยะ! ไม่งั้นประมาท! โอ้ย!เราเพิ่งอายุ ๓๐ ไว้ ๔๐ ก่อนแล้วถึงจะไปวัด มาตายตอน ๓๑ ปีหรือ ๓๐ กับอีก ๒ ชั่วโมง.. ตาย !

    เราต้องคิดว่าเราตายวันพรุ่งนี้ก็ได้ พรุ่งนี้อาจไม่มีชีวิตอยู่ก็ได้ งั้นก็ต้องรีบทำซะตั่งแต่วันนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งให้ได้ ให้มั่นใจซะก่อน อย่างน้อยให้ศีลบริสุทธิ์ มีความรู้สึกให้ย้ำอีกอย่างหนึ่งที่ต้องทำนี่..
    ทำเพื่อให้รู้ว่าตัวเองนี่สามารถจะรู้ตลอด มั่นคงในสัจธรรม เช่น ลงมา
    เกิดอีกทีก็ต้องรู้ว่าคนอย่างเราลองได้จับอานาปาฯ เข้า-ออก นี่ต้องรู้ตลอดสาย..เรื่องจะฟุ้งไปที่อื่น เห็นว่าดีกว่าอานาปาฯ ไม่มี เรื่องจะบอกนางเอกดี พระเอกดีมากกว่าอานาปาฯ ไม่มี! ลงมาเกิดเพื่อจะมาทำให้ตลอด ให้แจ้งง ให้มั่นคงกระจ่างอย่างนี้
     
  11. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    นอกจากอานาปาฯ แล้ว ถ้าเรานั่งอยู่ต้องให้รู้ว่านั่ง นอนอยู่ต้องรู้ว่านอนอยู่ ของแค่นี้ไม่รู้มึงจะไปนิพพานกันยังไง? ลงมาฝึก เรามาฝึกตรงนี้ แล้วที่นั่งอยู่นี่ต้องรู้ว่าไม่ใช่เพชรนิลจินดา ตับไต ไส้ปอดขี้เยี่ยวมีอยู่ยังไง รู้ตามนั้น ลองได้จับเข้าไปต้องรู้ อาการ ๓๒ ต้องรู้ไม่มีทางพลาดไปได้ รู้มั่นใจแล้วว่าธาตุ ๔ อยู่ตรงไหน รู้มั่นใจว่าถ้าเกิดอีกกี่ชาติก็ตามร่างกายต้องเป็นอย่างนี้ อคีตังฯ อันบริสุทธิ์รู้ว่าพระพุทธเจ้ากี่องค์ก็สอนอย่างนี้ เออ! ลงมาเกิดใหม่ต้องให้มันรู้ขนาดนี้ เพราะเป็นอย่างนี้ถึงเสียใจที่ทำบาปทำบุญมา ข้างหน้าก็ไม่อยากเกิด ถ้าตอนนี้รู้แค่นี้ก็พอแล้ว พออยู่ตรงนี้แต่ทำไมมาเกิดอีกวะ... แสดงว่าชาติต่อไปสติกับตัวรู้ของเราจะมั่นคงมากกว่าเดิม ลงมาก็เป็นพระโสดาฯ ลงมาแล้ว มาด้วยสมาบัติ ๔ สมาบัติ ๘ ลงมาแล้ว สำคัญคือปัจจุบันก็ไม่รู้




    หลวงตาเคยคิดว่า คนอย่างเราอายุก็ ๖๐ กว่าแล้ว จะมาจับหมายเลขหนึ่งของอานาปาฯ อิริยาบถ อะไรอย่างนี้รู้สึกมันเด็ก ๆ ไป เราเอาตัวอรหันต์เลยดีกว่า.. ไปบ้าขนาดนั้น.. โดยไม่รู้ว่าบันไดของอริยมรรคเขามีขั้นที่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐
    ทุกคนที่จะถึงขั้นที่ ๑๐ ได้ ต้องขึ้นมาจากขั้นที่ ๑ ก็กูยังฟุ้งซ่านไปหาตำราว่าขั้น ๑ ขั้น ๑๐ มันเป็นยังไง? ยังไม่ถึงบันไดเลย ยังไปวนหาตำราอยู่ เขาชวนมาขึ้นขั้น ๑ กลับบอกว่าเด็ก ๆ...ส่วนฟุ้งซ่านยังหาทางเดินไม่ได้บอกว่าเป็นผู้ใหญ่...


    ฉะนั้นทุกวันต้องเริ่มจากตรงนี้ พระอรหันต์ที่ขึ้นบันได ขึ้น ๑๐ แล้ว พระองค์ท่านก็ยังอนุโลมปฏิโลม โอหนอ! เราขึ้นมาขั้น ๑๐ นี่ได้เพราะ ๙ ๘ ๗ ๖ ๕ ๔ ๓ ๒ ๑ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙... อนุโลมปฏิโลมด้วยความเคารพในอริยมรรค
    อริยผลอันนี้ แม้เป็นพระอรหันต์จนลมหายใจสุดท้าย... ถ้ายังมีเวลาอยู่ก็ยังต้องทำอย่างนี้ตลอด เพื่อว่าเป็นการเคารพพระธรรม เพื่อเป็นการปลงจิตอยู่ในสิ่งซึ่งเป็นอมตะตลอด ไม่มีแปลกปลอม เผอิญว่าต้องสั่งสอนลูกหลาน จะได้รู้ว่าเขาอยู่ตรงขั้นไหน จะได้ลดอารมณ์ลดภาษาลงไป ชักลิ้นชักตรงอันนั้นสอนเขาได้ ไม่ใช่เขาอยู่ขั้น ๑ เอาขั้น ๙ ไปสอน เขายังอยู่ตรงโน้น เอาขั้น ๘ ไปสอน เอาอารมณ์พระอนาคามีไปสอน มันอยากมีเมีย อยากเป็นเทวดาอยู่เลย


    ถ้าหากเราไม่อนุโลมปฏิโลมจนชำนาญ เราจะไม่รู้พระธรรม กับใจมนุษย์ที่ยังมีกิเลสเป็นยังไง เราจะสอนเขาไม่ถูก เราจะยัดเยียดให้เขา...เพราะฉะนั้น... แม้พระอรหันต์.. แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ตอนบ่ายพระองค์ก็เสด็จเดินจงกรม ไปเดินทำไม? ก็ทรงอารมณ์ ทบทวนพระธรรมที่พระองค์ได้ แม้ตรัสรู้แล้ว ก็ใช้เวลา ๗ วัน...ในแต่ละ ๗ สถานที่ เพื่อดูมรรคดูผลที่ได้ผ่านมาแล้ว แม้ท่านว่างจากการตอบคำถามพรหม เทวดา พระมหากษัตริย์และมนุษย์แล้ว...พระองค์ก็ยังมีเวลาเดินจงกรมในช่วงบ่ายของพระองค์ ตอนกลางคืนนอนอยู่ก็ทรงกำหนดจิตลงในตรงนี้

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2008
  12. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    แล้วเรามันแน่แค่ไหนที่จะบอกว่า อย่างนี้เด็กอนุบาล หลวงตาน่ะตัวเลวล่ะ..ตัวประมาทล่ะ.. ถึงตอนนี้เราจะรู้ว่าเราเสียเวลาต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติ เสียเวลามาด้วยความบ้า ความดี หลงความเลว ต่อไปนี้ไม่มีเวลาที่จะเสีย เพราะมีวันนี้ เรามีแค่ครั้งเดียว มีกายนี้กายเดียวที่เราจะใช้ทำความดีไดด้ ถ้าจิตดวงนี้ดวงเดียวต้องเข้าใจว่า ณ ปัจจุบัน ที่เราทำความดีมากี่ภพกี่ชาติ เลข ๐ บวก ๑ บวก ๒ บวก ๓ เนี่ย เส้นกราฟวิ่งลงมา ณ ปัจจุบันนี้ ความดีสั่งสมสูงสุดคือในขณะที่ฟังขณะที่พูดอยู่นี้ พรุ่งนี้ยังไม่ได้ทำ ตรงนี้ความดีสูงสุด นึกความดีให้ออก แล้วทรงความดีไว้ทุกลมหายใจเข้า-ออก อย่าไปบ้าความดีคนอื่นที่เขาสั่งสมมา หรือที่เขาฟุ้งไว้ในตำรา ซึ่งมันไม่ตรงกับเรื่องของเรา หรือถ้าตรงก็ว่าไปอย่างนึง เขาเอากันตรงนี้




    แล้วถ้าถามว่าทำไมจะมองออก? วิธีที่ง่ายที่สุดมองความดี ตอนมีกิเลสมันมองไม่ออก... ต้องเอากิเลสออก! อีตอนกิเลสมันเกิดน่ะ เอากิเลสออกจากใจเสียบ้าง พอเอาออกไปเหมือนโคลนมันปะหน้าปะตาอยู่ พอลูบโคลนออก... ตาก็มองเห็นของตามความเป็นจริง
    เมื่อเริ่มเห็นความดี เพราะเอามลทินออกแล้ว ถึงเจริญความดีได้





    ถามว่าคุณจะไปเดินจงกรมจับอานาปาฯ ในขณะที่โกรธอยู่"โกรธฉิบหายเลย ฆ่าแม่งดีมั้ย" มันจะได้อะไร? มันก็โมโหยิ่งขึ้น มันต้องเอาความโกรธออก มีความเมตตาผ่องใสอยู่ นึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นึกถึงศีลได้อยู่ ใจชุ่มชื่นอยู่ถึงเอาความชุ่มชื่นมาจับทุกลมหายใจเข้า-ออก มันต้องมีความดีถึงจะประคองดูได้ทุกอิริยาบท ต้องหาให้เจอ! วิธีคือหาบุญเดิมที่ตัวเองเคยสั่งสมมาดีแล้วนั่นแหละ... ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ก็สอนเรื่องการเอามลทินออก แล้วมองหาความดีให้เจอ แล้วทำให้ผ่องใส ไม่มีอะไรมากกว่านี้ แต่ว่ามีที่พูดกันไปที่สอนกันไป ก็ด้วยลีลาที่พระคุณทั้งหลายได้มรรคได้ผลกันมา มีประสบการณ์ใดสอนในการตอบคำถามตัวเอง... ตอบคำถามคนอื่นมา แล้วก็สอนตามนั้น.. แต่ไม่เกินนี้นะลูกนะ




    ..........วัดเขาวง ๕ ม.ค. ๒๕๕๐






    จบบริบูรณ์แล้วค่ะ โมทนาบุญท่านเจ้าของหนังสือและผู้เจริญธรรมะทุก ๆ ท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2008
  13. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    วิธีสร้างสันติภาพตามแนวทางพุทธศาสนา

    วิธีสร้างสันติภาพตามแนวทางพุทธศาสนา

    ในปัจจุบันโลกกำลังประสบกับปัญหานานัปการอยู่ ซึ่งก็มีทั้งปัญหาจากภัยธรรมชาติและปัญหาจากมนุษย์เอง ซึ่งปัญหาจากภัยธรรมชาตินั้นก็ได้แก่ ปัญหาแผ่นดินไหว ลมพายุ คลื่นยักษ์ เป็นต้น และปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากน้ำมือมนุษย์ อันได้แก่ ปัญหาน้ำท่วม ฝนแล้ง โลกร้อน เป็นต้น ที่เกิดมาจากการที่มนุษย์ได้ทำลายป่าไม้ของโลกให้พินาศไปเป็นจำนวนมาก จนสภาพแวดล้อมสูญเสียความสมดุล จึงทำให้เกิดภัยพิบัติเหล่านี้ขึ้นมา แล้วภัยพิบัติเหล่านี้ก็ทำให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมาอีก เช่น ปัญหามลพิษ, โรคระบาด, ความอดอยากขาดแคลน, การเบียดเบียนกัน, และปัญหาสงคราม เป็นต้น จนทำให้โลกมีแต่วิกฤติการณ์และหาสันติภาพไม่ได้อยู่ทุกวันนี้

    ปัญหาที่เกิดมาจากภัยธรรมชาตินั้นเราไม่สามารถที่จะป้องกันได้ เราจะทำได้ก็เพียงเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับมันด้วยความไม่ประมาทเท่านั้น ส่วนปัญหาที่เกิดมาจากมนุษย์นั้นพุทธศาสนาจะสอนว่า เราสามารถที่จะป้องกันและแก้ไขได้ เพราะมันมีสิ่งผลักดันกันมาเป็นทอดๆจากภายในจิตใจของมนุษย์เอง จนเกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้นมา ดังนั้นถ้าเราสามารถที่จะจัดการกับต้นตอของปัญหาเหล่านี้ได้ ปัญหาเหล่านี้ก็จะหมดสิ้นไปได้

    ปัญหาทั้งหลายที่เกิดมาจากน้ำมือมนุษย์นั้น พุทธศาสนาจะสอนว่ามันมีสาเหตุมาจาก
     
  14. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    วิธีสร้างสันติภาพตามแนวทางพุทธศาสนา

    ปัญหาที่เกิดมาจากภัยธรรมชาตินั้นเราไม่สามารถที่จะป้องกันได้ เราจะทำได้ก็เพียงเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับมันด้วยความไม่ประมาทเท่านั้น ส่วนปัญหาที่เกิดมาจากมนุษย์นั้นพุทธศาสนาจะสอนว่า เราสามารถที่จะป้องกันและแก้ไขได้ เพราะมันมีสิ่งผลักดันกันมาเป็นทอดๆจากภายในจิตใจของมนุษย์เอง จนเกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้นมา ดังนั้นถ้าเราสามารถที่จะจัดการกับต้นตอของปัญหาเหล่านี้ได้ ปัญหาเหล่านี้ก็จะหมดสิ้นไปได้

    ปัญหาทั้งหลายที่เกิดมาจากน้ำมือมนุษย์นั้น พุทธศาสนาจะสอนว่ามันมีสาเหตุมาจาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2008
  15. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    วิธีสร้างสันติภาพตามแนวทางพุทธศาสนา

    ส่วนความรู้สึกว่ามีตัวเอง ก็มีสาเหตุมาจาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2008
  16. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    วิธีสร้างสันติภาพตามแนวทางพุทธศาสนา

    เมื่อกล่าวโดยสรุปก็คือ เมื่อจิตใต้สำนึกของเรามีความรู้ว่ามีตัวเอง มันก็จะปรุงแต่งหรือผลักดันกันต่อๆไปจนเกิดความโลภเพื่อตัวเองขึ้นมาในที่สุด แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าจิตใต้สำนึกของเรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2008
  17. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    วิธีสร้างสันติภาพตามแนวทางพุทธศาสนา

    วิธีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของจิตมนุษย์โดยสรุปก็คือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2008
  18. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    วิธีสร้างสันติภาพตามแนวทางพุทธศาสนา

    แม้ร่างกายนั้นเราจะเข้าใจว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2008
  19. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    นรก สวรรค์ มีจริงหรือ? (นำมาจาก หนังสือ "สู่แสงธรรม โดย พล.อ.ต.มนูญ ชมภูทีป")

    ด้วยเหตุนี้เอง ในวันหนึ่งข้าพเจ้าจึงได้เลียบเคียงถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ เมื่อคราว<O></O>ก่อนผมถามหลวงพ่อเรื่องผี และหลวงพ่อก็ได้เมตตาอธิบายให้ผมฟังแล้ว อีกทั้งยังได้พูดพาดพิงไปถึง<O></O>เทวดาและพรหมอีกด้วย ถ้ายังงั้น นรก สวรรค์
    ที่เขาๆพูดกันก็มีจริงใช่ไหมครับ”<O></O>

    หลวงพ่อหัวเราะมองหน้าข้าพเจ้า แล้วเอ่ยถามว่า<O></O> รู้จักเต่าไหม?”

    ข้าพเจ้าชักงงไม่แน่ใจหลวงพ่อ ว่าได้ยินคําถามของข้าพเจ้าหรือไม่ แต่ก็รีบตอบว่า
    “โธ่!<O></O> หลวงพ่อ ต.เต่าหลังตุง ใครๆก็รู้จักแต่มันไม่เกี่ยวกับนรก ,สวรรค์ ที่ผมถามนี่ครับ

    “เกี่ยวซีคุณ เพราะฉันไม่อยากเป็นเต่าไงล่ะ
    คุณรู้ไหมว่าเต่าน่ะมันอยู่ในน้ำแหวกว่ายหา<O></O>อาหารกินร่วมกับปลาเป็นประจํา
    แต่บังเอิญมันมีคุณสมบัติพิเศษเดินขึ้นไปเที่ยวบนบกได้และก็ได้ไปเห็น<O></O>
    ห้วย หนอง บึง ต่างๆ มากมาย
    สามารถแยกแยะได้ว่าสถานที่ใดอุดมสมบูรณ์น่าอยู่น่าอาศัยกว่ากัน
    แต่ด้ว<O></O>เต่านั้นมีความผูกพันกับฝูงปลาในหนองน้ำเก่าจึงย้อนกลับไปบอกปลาว่า
    ท่านทั้งหลายหนองน้ำที่ท่านอยู่<O></O>กันในขณะนี้นั้นมันคับแคบอาหารการกินก็หาได้ยาก
    อีกทั้งน้ำก็กําลังจะเน่าเสียไม่น่าอยู่เลย แต่ถัดจาก<O></O>หนองน้ำนี้ไปอีกเพียงหกศอกเท่านั้นเอง
    มีบึงใหญ่น้ำใสสะอาด อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ยิ่งนักหากท่าน<O></O>
    ทั้งหลายเชื่อข้าพเจ้าก็ขอให้พุ่งตัวกระโดดขึ้นไปบนขอบสระแล้วยอมว่ายบนบก
    กระเสือกกระสนตนเอง<O></O>สักชั่วอึดใจ ก็จะขอบไปเสวยสุขอยู่ในบึงใหญ่นั้นได้โดย
    ไม่ต้องลําบากยากเข็ญกันอีกต่อไป


    หลวงพ่อหยุด<O></O>เล่าพร้อมกับถามข้าพเจ้าว่า “ถ้าคุณเป็นปลา คุณจะยอมเชื่อเต่า
    พุ่งตัวจากหนองน้ำขึ้นไปบนบกข้ามไปสู่<O></O>บึงใหญ่หรือไม่?”

    ข้าพเจ้านิ่งคิดด้วยเหตุผลโดยสมมุติเอาตัวเองเป็นปลา สักครู่ก็ตอบไปว่า
    “เอ หลวงพ่อ<O></O>ครับ ถ้าผมเป็นปลาผมก็คงจะเชื่อเต่าได้ยากอยู่ดี
    เพราะไม่แน่ใจว่ามีบึงอยู่จริงตามที่เต่าพูดหรือไม่หรือถ้า<O></O>บึงนั้นมีจริงก็ไม่แน่ใจว่า
    จะห่างจากหนองน้ำที่อยู่เพียงแค่หกศอกตามที่เต่าพูดหากผมเสี่ยงพุ่งขึ้นไปว่าย
    บนบก กว่าจะถึงบึงที่เต่าว่า ก็อาจจะเอาชีวิตไปทิ้งเสียก็ได้<O></O>

    “รวมความว่าหากคุณเป็นปล<O></O>าไหม?” หลวงพ่อถาม.

    “ครับ เพราะผมไม่กล้าเอาชีวิตไปเสี่ยงกับอนาคตที่ยังมองไม่เห็นและยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าบึงมีจริง
    <O></O>ตามที่เต่าบอกหรือไม่?” ข้าพเจ้าตอบอย่างมั่นใจ<O></O>

    “นี่แหละ ด้วยเหตุนี้แหละ ฉันจึงไม่อยากเป็นเต่าไงล่ะ เพราะคุณมันพวกปลาหลงหนองน้ำ<O></O>เก่า หลวงพ่อพูดยิ้มๆ แล้วกล่าวต่อว่า
    “ถ้าฉันบอกคุณขณะนี้ว่า นรก สวรรค์ พรหมมีจริง คุณจะเชื่อ<O></O>หรือ?
    ยิ่งฉันบอกต่อไปว่า มิใช่มีแต่โลกมนุษย์เพียงแห่งเดียว หากแต่ยังมีอบายภูมิ 4
    ซึ่งเป็นภูมิต่ํากว่า<O></O>มนุษย์ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดียจรัจฉานอีก
    และภูมิที่สูงกว่ามนุษย์ก็ยังมีสวรรค์ภูมิอีก 6<O></O> ชั้น ได้แก่ จาตุมมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต
    นิมมานรดี และปรนิมิตวสวัสดี นอกจากนั้นยังมีพรหมอีก<O></O>ถึง 20 ชั้น คือ
    รูปพรหม 16 ชั้น และรูปพรหมอีก 4 ชั้น รวมกันแล้วเขาเรียกว่า ไตรภูมิน่ะ
    คุณจะ<O></O>เชื่อหรือ? ยิ่งหากฉันบอกต่อไปว่ายังมีแดนสูงสุดที่สูงยิ่งกว่าพรหม คือ
    พระนิพพานเข้าไปอีก คุณก็ยิ่งจะ<O></O>ไม่เชื่อเข้าไปใหญ่ ทั้งนี้เพราะคุณยังเป็นมนุษย์ปุถุชนทั่วๆ ไป
    หลงคิดเอาว่ามีแต่โลกมนุษย์ที่คุณอยู่เพียง<O></O>แห่งเดียวเท่านั้น ใครจะพูดถึง นรก สวรรค์
    พรหม นิพพาน แล้วเป็นไม่ยอมเชื่อเด็ดขาด เปรียบดังเช่น<O></O>
    ฝูงปลาที่หลงหนองน้ำเน่าไม่มีผิด ไม่ว่าเต่าจะพูดชักชวนไปอยู่ที่ห้วยหนอง บึง ทะเลสาบ ที่ดีกว่าเพียงไร<O></O>ปลาเหล่านั้นก็หาเชื่อไม่ ด้วยคิดเอาว่าโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลของพวกตนนั้นก็คือ
    หนองน้ำเก่าที่ตนอยู่<O></O>เพียงแห่งเดียว เท่านั้นเอง คุณเองก็เป็นเช่นปลาหลงหนองน้ำเน่านะ
    ที่ยังคิดว่ามีเพียงโลกมนุษย์ที่คุณอยู่<O></O>เพียงแห่งเดียว<O></O>

    ข้าพเจ้าโดนหลวงพ่อสรุป ให้เป็นปลาในหนองน้ำเน่าเข้าให้แล้วอย่างจัง
    แต่ก็ไม่ยอมถอย <O></O>หัวเราะแหะๆ ถามย้ำเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่า
    ผมอยากฟังจากปากของหลวงพ่อมากกว่าที่จะฟังจากคน
    <O></O>อื่นน่ะครับ รวมความว่า นรก
    สวรรค์ พรหมและนิพพานนั้นมีจริง ใช่ไหมครับ

    “เอ คุณมนูญ นี่จะบังคับให้ฉันเป็นเต่าให้ได้นะ หลวงพ่อพูดยิ้มๆ
    “เต่าหนะเวลามันเดิน<O></O>คุณเห็นไหมว่ามันเดินส่ายหัว และคุณรู้ไหมว่ามันส่ายหัวทําไม?”
    หลวงพ่อย้อนถาม<O></O>

    “เป็นธรรมชาติของเต่ามั้งครับ” ข้าพเจ้าตอบ<O></O>

    “ไม่ใช่! เต่าส่ายหัวเพราะมันเอือมระอาปลาหน้าโง่ที่หลงหนองน้ำเน่ายังไงล่ะ
    คุณจะให้<O></O>ฉันต้องเดินส่ายหัว เพราะเอือมระอามนุษย์หลงโลก
    อย่างพวกคุณเหมือนเต่าหรือยังไง?”....................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มิถุนายน 2008
  20. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบบ้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ทำไม???ใครรู้ช่วยตอบที?

    เมื่อเราเชื่อกันว่า ผีมีจริง, เทวดานางฟ้ามีจริง, สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเครื่องรางของขลังมีจริง, พวกผีเจ้าเข้าทรงมีจริง, และชีวิตของเราถูกกำหนดมาแล้วตายตัวจากดวงชะตาราศี เป็นต้น ดังนี้แล้ว เราเคยสงสัยหรือไม่ว่า :
    - พวก ผี หรือ พวก เทวดา จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร? (มีอ้วน มีผอม มีสวย มีขี้หร่หรือเปล่า?)
    - ใช้การติดต่อสื่อสารกันอย่างไร? (ใช้มือถือหรือเปล่า? เดินทางกันยังไง?)
    - อยู่ที่ไหน? (มีสถานะอะไร? ของแข็ง,เหลว,ก๊าซ,หรือพลาสมา,หรือคลื่น?)
    - พูดภาษาอะไร? (ต้องเรียนภาษาหรือเปล่า? หรือใช้โทรจิต?)
    - เรียนหนังสือหรือเปล่า? (มีโรงเรียนสำหรับเด็กๆหรือเปล่า? มีรับจ๊อบสอนพิเศษหรือเปล่า?)
    - มีบัตรประชาชนผี หรือบัตรประชาชนเทวดาหรือเปล่า? (ถ้ามีบัตรผี จะเรียกว่าบัตรอะไรดีล่ะ?)
    - แต่งตัวอย่างไร? (ใส่ชุดสูตร หรือไม่นุ่งผ้า? ถ้ามีไปซื้อจากที่ไหน?)
    - มาพบคนได้หรือไม่? (เช่น ในฝัน หรือมาออกรายการทีวีพวกทอล์คโชว์ เกมส์โชว์)
    - ทำงานอะไร? (ถ้ามาแสดงหนังผี รับรองดังระเบิดแน่?)
    - อยากได้อะไร? (ชอบกินโค๊กกะเป๊บซี่หรือเปล่า? หรือชอบสูบบุหรี่ ดื่มวิสกี้?)
    - เวลาว่างมีอะไรทำกันบ้าง? (มีทีวี-หนัง ละครน้ำเน่า หรือคอนเสริตดูบ้างหรือเปล่า? มียาบ้าขายบ้างหรือเปล่า?)
    - ผีกลัวอะไร? (ทำไมผีเรากลัวสายสิญจน์-พระเครื่อง แต่ผีฝรั่งกลัวกระเทียม? แล้วผีฝรั่งกลัวสายสิญจน์-พระเครื่องหรือเปล่า? แล้วผีเรากลัวกระเทียมหรือเปล่า?)
    - ใครเป็นผู้ควบคุม? (ต้องเลือกตั้งมาหรือเปล่า? หรือแต่งตั้งมา? มีขายเสียงบ้างหรือเปล่า?)
    - สืบพันธุ์อย่างไร? (มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือเปล่า? พวกโรคเอดส์น่ะ?)
    - เจ็บป่วยได้หรือเปล่า? (ถ้าเจ็บป่วยกินยาอะไร? ไปรักษาที่ไหน? หรือไปให้หมอผีรักษา?)
    - ตายได้หรือไม่? (ถ้าตายแล้วจะไปไหนอีกล่ะ? ถ้าตายได้อีกแล้วมีการจัดงานศพหรือไม่?)
    - ทำไมผีถึงชอบหลอกให้คนกลัว? (น่าเบื่อก็ตรงนี้แหละ ถ้าหล่อๆสวยๆมาหลอกละก็จะมีแต่คนรัก)
    - ทำไม ไม่ไปหลอกคนชั่วให้กลับใจมาเป็นคนดี? (ผี หรือเทวดาที่ดีๆไม่มีบ้างหรือยังไง? งงจริงๆ เห็นว่ามีแต่ร้ายๆเสียมาก เปลี่ยนมารับจ้างเป็นนักสืบหารายได้พิเศษบ้างซิ)
    - ทำไม ไม่มาช่วยงานราชการ ปราบปรามคนชั่ว หรือพวกคิดร้ายทำลายชาติ หรือพวกตัดไม้ทำลายป่า? (ได้บุญหลาย ผู้คนยกย่องทั่วบ้านทั่วเมืองเป็นแน่ จะทำอนุสาวรีย์ให้)
    - ทำไม ไม่คอยช่วยเหลือคนดี ช่วยเหลือสังคมประเทศชาติ จะได้มีคนยกย่องสรรเสริญ หรือได้บุญมาก? (ถ้าทำความดีจะได้ให้โล่เกียรติยศ อยากได้อะไรจะทำให้เต็มที่เลย ของง่ายๆทำไมไม่ทำ)
    - ทำไม ไม่ไปสำรวจนอกโลก หรือนอกจักรวาล แข่งกับฝรั่งเขาบ้าง ให้ประเทศเราเจริญ? (เอาให้ฝรั่งงงไปเลย เราใช้ผีหรือเทวดาไปสำรวจดวงดาวทั่วจักรวาลมาหมดแล้ว ฝรั่งจะได้มานับถือเราแทน)
    - ทำไม เราจึงไม่เคยพบเห็นผี หรือเทวดาเลยสักครั้ง? (ขอเจอสักครั้ง จะถ่ายคลิปวีดีโอไปลงเน็ต หรือโฆษณาให้ดังระเบิดไปเลย ฝรั่งต้องมาขอซื้อลิทสิทธิ์เราแน่)
    - ทำไม ถ้าเราเคยเป็นผีมาก่อน แล้วทำไมเราจึงจำไม่ได้? (อย่าอ้างว่าจำไมได้ ไม่อย่างนั้นอาจจะมีคนมาอ้างว่า คุณน่ะเคยเป็นหนี้ผมมาก่อน แต่คุณดันลืมไปแล้ว ฉะนั้นจงใช้หนี้ผมมาเสียเดี๋ยวนี้)
    - ทำไม? ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?........และทำไม?​
    - ถ้าคนทำชั่วตายไปแล้วตกนรก แต่ถ้าคนทำดี ตายไปแล้วได้ขึ้นสวรรค์ แล้วใครมาคอยกำหนด? (ถ้ามีสถานที่เดียว คงงานยุ่งน่าดู วันๆคนตายทั่วโลกมากมาย)
    - นรก-สวรรค์ตามที่เราเชื่อกันอยู่นั้นมีจริงหรือไม่? อยู่ที่ไหน? ใครสร้าง? สร้างด้วยอะไร? ไปเยี่ยมชมได้หรือไม่? (สวรรค์เหมือนโรงแรมชั้นหนึ่งหรือเปล่า? นรกเหมือนคุกหรือเปล่า?)
    - ทำไม่ ไม่มีใครพาไปเยี่ยมชมนรกบ้าง คนชั่วจะได้กลัว จะได้ไม่ทำความชั่ว โลกจะได้สงบสุข? (ของง่ายๆ พาไปดูเสียหน่อย แค่นี้คนชั่วก็กลัวหัวหดแล้ว)
    - ถ้านรก-สวรรค์ของเรามีจริง แล้วนรกสวรรค์ของประเทศอื่น หรือของศาสนาอื่นเขามีจริงหรือไม่? (ของจริงต้องมีเพียงหนึ่งเดียวซิ อย่างนั้นไม่ใช่ของจริง หรือเป็นของปลอมกันหมด)
    - แล้วคนที่อยู่ประเทศอื่น หรือนับถือศาสนาอื่น เมื่อตายไป แล้วเขาจะไปขึ้นสวรรค์ที่ไหน? หรือไปตกนรกที่ไหน? (หรือเป็นกุศโลบายหลอกให้คนกลัว เพื่อให้คนไม่ทำชั่วเท่านั้น แต่ก็คงใช้ได้แก่กับเด็กหรือคนมีปัญญาน้อยเท่านั้น ส่วนคนสมัยนี้เขามีปัญญากันมากแล้วคงใช้ไมได้)
    - ทำไม ไม่เห็นมีเรื่องบอกเกี่ยวกับคนนอกศาสนาเมื่อตายไปในศาสนาของเราเลย? (สงสัยคนแต่งเรื่องพวกนี้ไม่รู้จักคนต่างประเทศ หรือคนต่างศาสนาเลยลืมแต่งเรื่องนี้ไว้)
    - ถ้าสามารถพิสูจน์นรก-สวรรค์ของศาสนาไหนได้จริง โลกคงมีศาสนาเดียวใช่หรือไม่? (แน่นอน ถ้ามีของจริงมาให้ดูชัดๆ ใครๆก็เชื่อ)
    - แล้ว นรก - สวรรค์ ใช้ไฟฟ้า, น้ำประปา, โทรศัพท์, อินเตอร์เน็ตหรือเปล่า? (แล้วใครจ่ายตังค์? เสียภาษีหรือเปล่า?)
    - แล้วใครหรือใช้อะไรบันทึกการกระทำของคนที่ยังไม่ตายเอาไว้ไปแสดงเมื่อตายไปแล้วได้? (ใช้คอมฯหรือเปล่า? แล้วซื้อคอมฯมาจากไหน? ใช้ซอฟแวร์อะไร?)
    - แล้วใช้ใคร หรือใช้อะไรตัดสินว่าใครจะขึ้นสวรรค์หรือตกนรก? (ตัดสินลำเอียงได้หรือเปล่า?)
    - แล้วคนตัดสินนั้นรับสินบนได้หรือไม่? (รับเงิน หรือทอง หรือโอนเข้าบัญชี หรือเป็นหุ้น)
    - แล้วมีใครเป็นคนมีอำนาจสูงสุด? (มีประท้วงหรือเดินขบวน หรือปฏิวัติกันบ้างหรือเปล่า?)
    - ทำไม ผีหรือเทวดาของประเทศต่างๆหรือศาสนาต่างๆจึงไม่เหมือนกัน แล้วของใครจริงของใครไม่จริง? (ถ้ามาเจอกันแล้วจะพูดกันรู้เรื่องหรือเปล่า? คงเกิดสงครามแย่งอาณาจักรกันยุ่งเหมือนในหนัง?)
    - แล้วผี หรือเทวดา มีการทะเลาะกันบ้างหรือเปล่า? (ใช้ปืนเลเซอร์-ปล่อยแสง ยิงกันเหมือนในทีวีหรือเปล่า?)
    - ทำไม? ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?.......และทำไม?

    (เวบไซต์สำหรับบุคลอัจฉริยะwww.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     

แชร์หน้านี้

Loading...