น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

>>> ความหมายของจิตตภาวนา <<<<O</O
<O</O

 

>>> โยคะสี่ประการที่พุทธบริษัทควรกระทำ <<<

โยคะที่พุทธบริษัทควรกระทำก็คือ โยคะสี่ประการนี้ :
คือโยคะที่ทำให้รู้ว่าทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และทางให้ถึงความดับทุกข์นั้น เป็นอย่างไร ?

ถ้ามันรู้ขนาดนี้แล้ว, จิตมันเปลี่ยนไปอยู่ในลักษณะที่กิเลสจะเกิดขึ้นแก่จิตนั้นอีกไม่ได้ ;
เราจึงควรสนใจให้รู้, แล้วปฏิบัติให้ได้ ในการที่จะทำจิตตภาวนา

คือ ทำให้จิตเจริญจนไม่เป็นที่เกิดแห่งกิเลสได้อีกต่อไป. นี่เรื่องแนวทางหรือหลักการก็ได้ :
หลักการที่ยังไม่ได้ปฏิบัติ, แต่รู้ว่าการทำจิตที่ประภัสสรตามธรรมชาตินั้น
ให้มาเป็นประภัสสรชนิดที่อยู่ในอำนาจของเรา คือ ทำกิเลสไม่ให้เกิดได้ หรือทำจิตไม่ให้เกิดกิเลสได้,
แล้วแต่จะชอบใช้คำไหน ; ฝึกฝนจนกิเลสเกิดไม่ได้ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งกิเลสอีกต่อไป,อย่างนี้ก็ดูจะชัดดี.

เรามีระบบสำหรับปฎิบัติ เพื่อให้จิตปราศจากกิเลส เพราะว่ากิเลสเกิดแก่จิตไม่ได้อีกต่อไป ;
ให้จิตถึงสภาพที่เป็นวิสังขาร, สภาพที่เป็นวิสังขารนั้นถึงแล้ว จิตก็ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้อีกต่อไป.

ฉะนั้น จิตเป็นจิตล้วนๆ จิตประภัสสรตามเดิมล้วนๆปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป,
กิเลสก็เกิดขึ้นไม่ได้อีก;นี่ เรื่องมันมีเท่านี้.

ส่วนหนึ่งจากธรรมเทศนาของท่านอาจารย์พุทธทาส
เนื่องในวันมาฆบูชา แสดงเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖
จากหนังสือ

 

ใครไม่เชื่อเรื่อง นรก สวรรค์ พรหม หรือ ชีวิตหลังความตาย

จัดเป็นมิจฉาทิฏฐิครับ

 

ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

(แน่จริงก็ตอบมาสักทีสิว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร?)
------------------------

***พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัย"***

***และ "ไม่มีอะไรที่จะเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุปัจจัย"***

***แล้วคุณโยมยอมรับหรือไม่?***เพราะอะไร?***
-----------------------------

(ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )

 

ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

ใครไม่เชื่อเรื่อง นรก สวรรค์ พรหม หรือ ชีวิตหลังความตาย

จัดเป็นมิจฉาทิฏฐิครับ
------------------------

***แล้วรู้ได้อย่างไรว่า เรื่องเหล่านี้เป็นสัมมาทิฏฐิ"***


***ช่วยเล่าแจ้งแถลงไขมาให้แจ่มแจ้ง จักเป็นพระคุณยิ่ง***


***อย่าเอาแต่บอกว่าใครชั่วหรือผิด จะต้องบอกด้วยว่าชั่วหรือผิดตรงไหน? หรืออย่างไร? จึงจะสมกับเป็นชาวพุทธผู้มีปัญญา***

***เมื่อเอาความโง่ออก ก็จะพบพระพุทธเจ้าตัวจริง***

-----------------------------

(ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )

 

ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

(คุณเตชะ อย่ากลายเป็นศิษย์คิดล้างครู การศึกษาอะไรควรศึกษาในเชิงลึกด้วยครับ)
-------------------------

***เอ??? อาตมาคิดล้างครูตรงไหน?***

*** หรือสอนผิดจากครูตรงไหน?***

***ช่วยอธิบายให้แจ่มแจ้งด้วย จักเป็นพระคุณยิ่ง***

--------------
(ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
-----------

 

ถ้ารู้เพียงแค่นี้ "ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัย"ก็อย่าไปเที่ยวสอนใครเลยจะดีกว่า
พูดแต่ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายเกิดเท่านั้น

พระพุทธองค์สอนมากกว่านี้
แต่คุณนอกรีตรู้แค่เนี๊ยะ (อย่างฮา) เด็กยังรู้มากกว่านี้เลย ^_^

อ้อ ไม่ต้องกลัวหนีไปไหนนะ
แต่เราต้องทำมาหากิน ไม่ใช่กาฝากที่แฝงตัวอยู่ในพระพุทธศาสนา
จะได้มีเวลาว่างวนเวียนเข้าบอร์ดตอนไหนก็ได้

 

เรียนท่านห่มเหลือง ควรพิจารณาตนเองบ้างนะค่ะ ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้า 63 แล้ว คะแนนโหวตก็มีอยู่พาดหัวทุกหน้า ความเห็นและข้อโต้แย้งทุกข้อความ ท่านได้พิจารณาในตัวเองบ้างรึไม่

อย่าว่าแต่ผู้รักและพึงกราบครูบาอาจารย์ผู้ปฎิบัติดี ปฏิบัติชอบตามแนวทางแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของตนเลย แม้แต่ศิษย์ร่วมแนวทางที่ท่านนับถือคือท่านพุทธทาสท่านเองก็ยังเตือนท่านว่า ท่านเองก็เริ่มเพี้ยนแล้ว มีแต่ผ้าเหลืองใช้ครองตนเท่านั้นหรือ

 

ท่านอยากรู้มากไหมล่ะ แล้วกล้าพิสูจน์ความจริงไหมล่ะ ยิ้มเคยท้าทายให้ท่านไปจุดธูปหน้าพระประธานที่ท่านเคารพนับถือ และเรียนถึงความคิดอันถูกต้องของท่านว่าจริงเท็จประการใด โปรดพิสูจน์ให้ท่านประจักษ์ด้วยตัวตนของท่านเอง

ท่านทำไมไม่กล้าทำล่ะ....ในเมื่อแค่นี้ยังไม่กล้า แล้วจะมากล้าสั่งสอนคนอื่นได้ไง...ผู้จะพึงปฏิบัติชอบ ย่อมต้องละกิเลส ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานต้องมอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามิช่ายหรือค่ะท่าน

 

ฯลฯ<O</O
<O</O
เราจึงต้องอบรมจิตตภาวนาให้ธรรมชาติของจิตที่ไม่มีกิเลสชั่วคราว<O</O
เป็นจิตที่ไม่มีกิเลสตลอดกาล เรียกว่า ประภัสสรตลอดกาล :<O</O
เรียกชื่อว่าเป็นจิตบริสุทธิ์, นี่เรื่องของพระอรหันต์มันก็จบลงที่ตรงนี้ !<O</O
ฯลฯ<O</O
<O</O
ถ้าใช้ภาษาจริงภาษาไม่สมมติ ใช้คำว่า

 

ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

***เอาอย่างนี้ดีกว่า อาตมาจะสรุปหลัก "ธรรมะที่ไม่มีทางผิด" ให้ลองศึกษาดู***

***เป็นหลักพื้นฐานที่ไม่มีใครจะกล้าคัดค้าน เพราะมันเป็นความจริงที่ทุกคนยอมรับ (ใครคัดค้านก็เท่ากับเป็นคนไม่ยอมรับความจริง)***

***และมันจะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ หรือทำให้เกิดความเข้าใจพื้นฐานธรรมชาติทั้งหลายได้อย่างแจ่มแจ้ง(มีดวงตาเห็นยธรรม)***

***แต่มันจะขัดแย้งกับความเชื่อ หรือขัดแย้งกับตำรา หรือขัดแย้งกับครูอาจารย์ ซึ่งก็จะทำให้ไม่มีใครยอมรับ ทั้งๆที่มันเป็นความจริงที่ค้านไม่ได้ด้วยเหตุผล***

***นั่นคือความจริงที่ว่า "ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัย"***

***และ "ไม่มีอะไรที่จะเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุปัจจัย"***

***ซึ่งนี่คือความจริงที่ไม่มีใครคัดค้านได้ ใช่หรือไม่?***

***ถ้าพิจารณาความจริงนี้อย่างหยาบๆก็ดูว่าไม่เห็นมีอะไร***

***แต่ถ้าพิจารณาอย่างละเอียดเราจะพบว่า***

***ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัยนั้น จะไม่มีตัวตนเป็นของตนเองเลย(อนัตตา)***

***เพราะมันถูกสร้างขึ้นมาจากเหตุปัจจัยทั้งสิ้น***

***เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วมันจึงไม่เที่ยง(อนิจจัง) หรือต้องดับสลายไปในที่สุดไม่ช้าก็เร็ว***

***และยังต้องทน(ทุกข์)อยู่ตลอดเวลา มากบ้างน้อยบ้าง***

***นี่คือกฎไตรลักษณ์ ที่มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง***

***แล้วก็อยากจะถามคุณโยม ธรรมะสวนัง ว่า***

***สิ่งที่คุณโยมบอกว่าเป็นตัวเรา ซึ่งก็ได้แก่ จิต หรือวิญญาณธาตุนั้น มันเกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยอะไร?***

***ตอบคำถามนี้ตามความเป็นจริง (ห้ามเดา)****

***ถ้าตอบไม่ได้ ก็แสดงว่า สิ่งที่คุณโยมเชื่อว่ามีนี้(วิญญาณธาตุที่เป็นตัวเรา) มันไม่ได้มีอยู่จริง(เป็นแค่คิดไปเอง)***

***แต่ถึงจะตอบได้ ก็แสดงว่า สิ่งนี้(ตัวเรา) ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยมาปรุงแต่งขึ้นมา ดังนั้นมันจึงเป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน) ถึงแม้มันจะมีกิเลสครอบงำหรือไม่ก็ตาม***

***มีอะไรจะโต้แย้งอีกหรือไม่?***

(ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com

 

ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

***วิญญาณธาตุ เป็นแค่ธาตุอย่างหนึ่งตามธรรมชาติที่ไม่มีรูปร่างเหมือนวัตถุเท่านั้น***

***และใครจะมายึดถือว่าเป็นตัวตนของใครๆไม่ได้***

***และมันก็ต้องอาศัยระบบประสาทของร่างกายที่ยังดีอยู่เพื่อเกืดขึ้นมา(ตามกฏที่ว่าทุกสิ่งต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัย)***

***อย่างเช่น เมื่อรูปมากระทบตา ก็เกิดวิญญาณธาตุขึ้นมาที่ตา และมาเรียกว่า วิญญาณทางตา เป็นต้น***

***วิญญาณธาตุ จึงจัดเป็นพวกวิญญาณขันธ์นั่นเอง***

***ถ้าไปแยกว่าวิญญาณธาตุ ไม่ใช่วิญญาณขันธ์ ก็เท่ากับบอกว่ามีอีกขันธ์หนึ่งเพิ่มเข้ามาในชีวิต***

***การไปบอกว่าวิญญาณธาตุเป็นเรานั้น จึงเป็นแค่การเดาเอาตามสัญชาติญาณของสัตว์ที่โง่เขลาเท่านั้น***

***และถ้าบอกว่า "วิญญาณธาตุเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่อาศัยเหตุปัจจัยอะไรเพื่อเกิดขึ้นมา" ก็ผิดจากความจริงของกฏอิทัปปัจจยตา ที่เป็นกฏสูงสุดของธรรมชาติตาอีก***

***ถ้าพบความว่างจากตัวตน(สุญญตา)แล้ว ก็จะตาสว่าง ทำให้ปัญหาต่างๆที่เคยมีหมดสิ้นไปได้อย่างสิ้นเชิง***

***และไม่ต้องไปถามใครว่า "ทำไม?" อีกต่อไป***

***รวมทั้งเมื่อพบความว่างจากตัวตนของใครๆแล้วก็จะเกิดปัญญา(สัมมาทิฏฐิ) ที่จะนำมาใช่เพ่ง(สมาธิ)พิจารณาชีวิตทั้งหลาย ก็จะทำไห้จิตหลุดพ้นจากความยึดมั่นในขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวเรา-ของเราได้(แม้ชั่วคราว)***

***เมื่อจิตหลุดพ้น มันก็ไม่มีทุกข์ ***

***เมื่อไม่มีทุกข์ มันก็สงบเย็น(นิพพาน)***

***นี่ก็คือหลักอริยสัจ ๔ โดยสรุป***

***แต่ถ้ายังเชื่อว่ามีตัวเราอยู่ ก็จะไม่มีทางคลายความยึดถือได้จริง***และทุกข็ก็จะไม่ดับลงจริง***


(ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )

 

อนุโมทนาด้วยนะคะ...ตกลงยอมรับแล้วนะว่ามี ตนเอง

เพราะ อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ ไม่มีตน

เอาแบบชัดๆประโยคที่เขียนมาก็จะเป็นดังนี้ค่ะ

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัยนั้น (คือ ขันธ์ ๕ หรือ สังขารปรุงแต่งนั้น)
ไม่ใช่ตัวตนที่เราจะยึดถือว่าเป็นของตนเองได้เลย ^_^

 

ฯลฯ<O</O
บางเวลาจิตของเราสนใจอยู่กับเรื่องของร่างกาย คือ รูปขันธ์<O</O
เวลานั้นเราก็มีรูปูปาทานักขันธ์ คือ ยึดมั่นในรูป ก็มีความทุกข์เพราะรูป<O</O
<O</O
บางเวลาจิตมันไปสนใจอยู่กับเรื่องเวทนา ไปขลุกอยู่กับเรื่องของเวทนา<O</O
มันยึดมั่นในเวทนานั้น ก็เรียกว่าเวลานั้นมีเวทนูปาทานักขันธ์<O</O
ก็เป็นทุกข์อยู่ด้วยขันธ์ คือเวทนาที่มีความยึดถือ.

สังเกตให้ดีนะ, ถ้าไม่มีความยึดถือ ไม่เป็นทุกข์ :<O</O
ทางไหนก็ตามเถิด, ถ้าไม่มีความยึดถือก็ไม่เป็นทุกข์<O</O
<O</O
บางเวลาจิตมันไปสนใจ ไปขลุกอยู่กับสัญญาขันธ์-สำคัญมั่นหมายอย่างนั้น มั่นหมายอย่างนี้<O</O
จึงเกิดยึดถือสัญญานั้นว่า เป็นตัวเองบ้าง ว่าเป็นของตัวเองบ้าง<O</O
เวลานี้ก็ยึดมั่นในสัญญาขันธ์ ก็เรียกว่า สัญญูปาทานักขันธ์<O</O
<O</O
บางทีก็ไปยึดมั่นในสังขารขันธ์ : มีความคิดอย่างใดอย่างหนึ่ง<O</O
แล้วเกิดความรู้สึกว่า เราคิดก็ดี, มีความรู้สึกว่าความคิดของเราก็ดี<O</O
อย่างนี้เรียกว่า จิตมันไปยึดมั่นในสังขารขันธ์ ; สังขารนั้น ก็เรียกว่า สังขารูปาทานักขันธ์<O</O
<O</O
แต่ถ้ามันยึดตาม

 

บุคคล ๔ จำพวก คือ
๑.อุคฆฏิตัญญู ผู้รู้เข้าใจได้ฉบพลัน แต่พอท่านยกหัวข้อขึ้นแสดง
๒.วิปจิตัญญู ผู้รู้เข้าใจต่อเมื่อท่านขยายความ
๓.เนยยะ ผู้ที่พอจะแนะนำต่อไปได้
๔.ปทปรมะ ผู้ได้แค่ตัวบทคือถ้อยคำเป็นอย่างยิ่ง ไม่อาจเข้าใจความหมาย
พระอรรถกถาจารย์เปรียบบุคคล ๔ จำพวกนี้กับบัว ๔ เหล่าตามลำดับ คือ
๑.ดอกบัวที่ตั้งขึ้นพ้นน้ำ รอสัมผัสแสงอาทิตย์ก็จะบานในวันนี้
๒.ดอกบัวที่ตั้งอยู่เสมอน้ำ จักบานในวันพรุ่งนี้
๓.ดอกบัวที่ยังอยู่ในน้ำ ยังไม่โผล่พ้นน้ำจักบานในวันต่อๆ ไป
๔.ดอกบัวจมอยู่ในน้ำที่กลายเป็นภักษาแห่งปลาและเต่า (ในพระบาลี ตรัสถึงแต่บัว ๓ เหล่าต้นเท่านั้น)
[คัดลอกจากธรรมะ พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ประมวลศัพท์]

พี่น้องครับ หากเราพิจารณาความดื้อรั้นของผู้ที่ยกตนขึ้นเป็นพระอย่างเตชปญฺโญ ภิกขุ ว่าเป็นคนเหล่าที่ 4 ซึ่งยากแก่การสอน ปล่อยให้ปลา ให้เต่ากินไป
แล้วพี่น้องเราใช้อุเบกขามาเป็นตัวตั้ง ไม่สนับสนุนหรือให้โอกาสเขาสำแดงผิด ไม่รู้ว่าความคิดของกระผม ผิดหรือไม่ อย่างไร โปรดชี้แนะด้วยครับ
ขอบคุณมากครับ

 

สาสปสูตร
(สังยุตนิกาย นิทานวรรค ข้อ ๔๑๓ หน้า ๒๑๖ บาลีฉบับสยามรัฐ) "ดูกรภิกษุ! เราตถาคตจะยกอุปมาให้เธอฟัง เหมือนอย่างว่า พระนครที่ทำด้วยเหล็ก มีความยาว ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ ซึ่งเป็นพระนครที่เต็มไปด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีเมล็ดพันธุ์ผักกาดรวมกันเป็นกลุ่มก้อน ยังมีบุรุษผู้หนึ่งพึงหยิบเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่งๆ ออกจากพระนครนั้น โดยกาลล่วงไป ๑๐๐ ปี ต่อเมล็ดหนึ่ง การที่เมล็ดพันธุ์ผักกาดกองใหญ่นั้น จะพึงถึงความหมดไป สิ้นไป เพราะความพยายาม ของบุรุษนั้น ยังเร็วกว่า แต่เวลาที่เรียก กัปหนึ่ง นั้น ยังไม่ถึงความหมดไป สิ้นไปเลย กัปหนึ่งนั้น ยาวนานอย่างนี้ ก็บรรดากัปที่ยาวนาน อย่างนี้แหละ พวกเธอท่องเที่ยวไปๆ มาๆ อยู่ในวัฏสงสาร มิใช่ ๑ กัป มิใช่ ๑๐๐ กัป
มิใช่ ๑๐๐๐๐๐ กัป (แสนกัป- deedi)
เพราะว่า วัฏสงสารนี้ กำหนดที่สุดและเบื้องต้นมิได้ ในเมื่อเหล่าสัตว์ทั้งหลายถูกอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น ถูกตัณหาผูกพันเข้าไว้ ก็ย่อมจะต้องท่องเที่ยวไปๆ มาๆ อยู่โดยที่สุดและเบื้องต้น ย่อมไม่ปรากฏเลย"

----------------------------------------------------------------------
พุทธพจน์อย่างนี้หมายถึงตายแล้วสูญหรือครับ

 

พระสูตรเกี่ยวกับความยาวของวัฏสงสารจาก "ภูมิวิลาสินี" หน้า ๔๕๓ - ๔๕๖
โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี
(วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)
*********************************************

 

ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

(อนุโมทนาด้วยนะคะ...ตกลงยอมรับแล้วนะว่ามี ตนเอง )

***คำว่าไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง ไม่ได้หมายว่าจะมีตนเอง ต้องเข้าใจให้ดี***

***อย่าแกล้งบ่ายเบี่ยงแบบเด็กๆที่จะหลอกคนโง่ให้เชื่อ***

***คำว่า ตนเอง นั้น เป้นแค่คำสมมติขึ้นมาเพื่อใช้สื่อสารเท่านั้น หาได้หมายความว่าจะมีอยู่จริงไม่***

***หรือเมื่อไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง แล้วจะมีอะไรเป็นของตนเองอีกเล่า?**

***คุณโยมตอบคำถามมาหรือยัง ว่า วิญญาณธาตุหรือจิตที่คุณโยมเชื่อว่ามีนั้น เกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัยอะไร?***

***อย่าเลี่ยงตอบปัญหานี้ซิ ไม่ใช่คนจริงนี่ เอาแต่แถไถหนีความจริงไปวันๆ แล้วก็คอยทิ่มแทงแบบเด็กๆไร้สาระ***

***ทำไมถึงได้เป็นเด็กดื้อรั้นไม่ยอมรับความจริง ไม่สมกับเป็นชาวพุทธเลย***

***แล้วจะเป็นคนจริงได้อย่างไร?***แล้วจะได้พบของจริงได้อย่างไร?***


(ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )

 

ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

(เป็นโจรปล้นพระศาสนา เป็นกบในกะลาแถมตาบอดสนิท อย่ามาอ้างเลยว่าเห็นธรรม)

***ขอทีเถอะ อย่าใช้วิธีแบบการเมือง ของประเทศด้อยพัฒนาเลย***

***ขอให้ใช้วิธีการของพระพุทธเจ้า คือใช้ปัญญาแก้ปัญหา จึงจะสมกับเป็นชาวพุทธที่แท้จริง***

***หรือไม่ก็ใช้วิธีของราชการ คือแจ้งความกับตำรวจไปเลย***

***หรือไม่ก็แสดงภูมิปัญญาออกมา หรือบอกว่าการเห็นธรรมที่ถูกต้อง ตามที่คุณโยมปฏิบัติมาแล้วนั้นเป็นอย่างไร?***

***หรือคุณโยมเชื่ออย่างไร?(ถ้ายังปฏิบัติไม่ได้?)***

***หรือจะอ้างใคร หรือจะหาผู้ทรงความรู้มาช่วยก็ได้***

***กรุณาทำตัวให้สมกับเป็นชาวพุทธ ที่เป็นพวกพ้องของผู้มีสติปัญญาหน่อย***

(ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )

 

ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

(ถ้าไม่ ก็ช่วยอธิบายที่ท่านพุทธทาสพูดมาด้วยว่า หมายความว่าไง?
ท่านพุทธทาสพุดตรงไหนว่า ขันธ์ ๖ อย่าไปยึดขันธ์ ๕
ท่านพุทธทาสก็พูดชัดเจนอยู่แล้วว่า จิตไม่ใช่ วิญญาณขันธ์)

***ตรงไหนที่บอกว่า จิตไม่ใช่วิญญาณขันธ์***

***ท่านหมายถึงว่า จิตอย่าไปยึดขันธ์ ๕ ต่างหาก***

***จิตก็เกิดขึ้นมาจากขันธ์ ๔ (วิญญาณขันธ์,เวทนาขันธ์,สัญญาขันธ์,สังขารขันธ์) ที่ทำงานร่วมกันอยู่ จึงเกิดเป็นจิตขึ้นมา***

***เมื่อจิตไปยึดถือสิ่งที่ประกอบให้เกิดเป็นตนเองขึ้นมา แล้วสิ่งที่มาประกอบนั้นไม่เที่ยง จิตจึงไม่เที่ยงตามไปด้วย ***

***ดังนั้น จิตจึงไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง หรือเท่ากับไม่มีจิตจริง (มีแต่ของหลอกลวง หรือของชั่วคราว)***

(ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )