บทความให้กำลังใจ(พรที่คู่ควรกับชีวิต)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,900
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,041
    ตามหาคนเข้าใจ
    ภาวัน
    “ทำอย่างไรคนที่ฉันรักและรักฉันจึงจะเข้าใจฉัน ”

    นี้เป็นคำถามที่อยู่ในใจของหลายคน คำถามนี้เกิดขึ้นกับใครย่อมเป็นทุกข์อย่างมาก แต่ก็คงน้อยกว่าคนที่เอาแต่ตัดพ้อว่า “ทำไมเขาไม่เข้าใจฉันเลย ”

    ผู้คนเป็นอันมากพยายามอย่างมากที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจตน แต่ก็มักไม่ประสบผล สาเหตุเป็นเพราะส่วนใหญ่มักเรียกร้องจากคนอื่น แทนที่จะกลับมาเริ่มต้นที่ตนเอง นั่นคือ พยายามเข้าใจคนอื่นให้มาก

    เป็นเพราะเราไม่เข้าใจคนอื่น เช่น มองเขาในแง่ลบ คลางแคลงสงสัยในความตั้งใจดีของเขา น้ำเสียงและอากัปกิริยาของเราที่แสดงออกไป จึงโน้มน้าวให้เขามองเราในลักษณะเดียวกัน การที่เขาไม่เข้าใจเราอาจเป็นเพราะเราเป็นฝ่ายไม่เข้าใจเขาก่อน

    การกระทำของเขาอาจเป็นปฏิกิริยาตอบโต้การกระทำของเราก็ได้ พ่อแม่ที่บ่นว่าลูกไม่ฟังตนเองนั้น เมื่อสืบสาวสาเหตุก็พบว่า เป็นเพราะพ่อแม่ไม่ฟังลูกก่อน เอาแต่สั่งสอนหรือดุด่าว่ากล่าว โดยไม่ฟังเหตุผลหรือสอบถามความเห็นของลูกเลย เมื่อลูกโตขึ้น จึงเป็นฝ่ายไม่ฟังพ่อแม่บ้าง

    มองในอีกแง่หนึ่ง เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่จริงเขาเข้าใจเราดี เห็นความดีของเรา และชื่นชมเรา แต่เราต่างหากที่เข้าใจเขาผิด ตีความคำพูดและการกระทำของเขาในทางลบ จึงนึกว่าเขามองเราในแง่ร้าย

    ดังนั้นแทนที่จะตัดพ้อหรือกล่าวโทษคนอื่น การกลับมามองตนและแก้ที่ตนเอง ด้วยการพยายามเข้าใจเขาให้มาก ๆ หรือมองเขาให้ถูกต้อง จะช่วยให้ปัญหาดังกล่าวหมดไปได้ไม่ยาก หรือไม่กลายเป็นปัญหาต่อไป

    มีบางคนรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในตนเองและไม่พอใจคนอื่น โดยเฉพาะคนที่ตนรักและเคารพ เพราะไม่ว่าตนจะทำดีอย่างไร ก็พบว่าเขาเหล่านั้นเห็นแต่ด้านที่ไม่ดีของตน ไม่เคยจดจำความดีของตนได้เลย เอาแต่ตำหนิติเตียนเวลาตนเองทำผิดพลาด

    แต่แน่ใจหรือว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นอย่างที่เราคิด อันที่จริงเขาอาจเห็นความดีของเราและชื่นชมเรา อีกทั้งยังทำดีกับเราด้วย แต่เราต่างหากที่ไม่เห็นหรือจดจำเวลาเขาทำดีกับเรา ครั้นเขาทำไม่ดีกับเราหรือทำไม่ถูกใจเราในบางครั้ง เรากลับจดจำได้แม่น

    ไม่ใช่เขาหรอกที่เห็นแต่ด้านไม่ดีของเรา เป็นเราต่างหากที่เห็นแต่การกระทำด้านลบของเขา

    ถ้าเราพยายามมองเขาให้รอบด้านมากขึ้น ก็อาจพบว่าเขามองเรารอบด้านเช่นกัน หากเรารับรู้ใส่ใจยามที่เขาทำดีกับเรา เราก็จะพบว่าเขาเห็นความดีของเราด้วย ไม่ใช่เห็นแต่ความไม่ดีของเรา ถึงตอนนั้นเสียงตัดพ้อในใจก็จะหายไป ไม่เพียงเรารู้สึกดีต่อเขามากขึ้นเท่านั้น หากยังจะรู้สึกดีต่อตัวเองมากขึ้นด้วย

    ปัญหาทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากการมองแต่ข้างนอกจนลืมมองตน หรือคิดแต่จะแก้ที่คนอื่น จนลืมแก้ที่ตนเอง เมื่อใดที่เรากลับมาเริ่มต้นที่ตนเองก่อน แทนที่จะตัดพ้อว่า “ทำไมเขาไม่เข้าใจฉันเลย” หากลองถามใหม่ว่า “ฉันเข้าใจเขาดีแล้วหรือ ” ก็อาจพบคำตอบหรือทางออกได้ในที่สุด

    อย่าว่าแต่การพยายามเข้าใจคนอื่นเลย แม้แต่การเข้าใจตนเอง ผู้คนส่วนใหญ่ก็มักมองข้าม มัวแต่เสาะแสวงหาคนที่รู้ใจตน อยากได้เพื่อนที่รู้ใจตน คู่ครองที่รู้ใจตน ลูกน้องที่รู้ใจตน ฯลฯ แต่กลับละเลยที่จะรู้ใจตนเอง เมื่อความโกรธเกลียดเกิดขึ้นก็ไม่รู้ทัน ปล่อยให้ความทุกข์เล่นงานจิตใจ หากใจของเรา เราเองยังไม่รู้ จะหวังให้คนอื่นมารู้ใจเราได้อย่างไร

    จะว่าไปแล้วที่ผู้คนทุกข์ระทมทุกวันนี้ก็เพราะไม่รู้ใจตนมากกว่า หาใช่เป็นเพราะไร้คนรู้ใจหรือเข้าใจตนไม่
    :- https://visalo.org/article/Image255801.html


     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,900
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,041
    ถอนพิษความทรงจำอันเจ็บปวด
    ภาวัน
    ในชีวิตของเราย่อมมีเหตุการณ์มากมายที่ยากจะลืมเลือนได้ จะวิเศษเพียงใดหากเหตุการณ์เหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องที่หวานชื่นระรื่นใจ แต่ความจริงก็คือมันมักเป็นเรื่องราวที่ขมขื่น หนาวเหน็บและเจ็บปวด นึกทีไรความเศร้าโศก โกรธแค้น หรือรู้สึกผิดก็เกาะกุมใจ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่อยากกำจัดมันออกไปจากความทรงจำ แต่ยิ่งพยายามกำจัด มันก็ยิ่งประทับแน่น ยิ่งผลักไสมันให้ไกล มันก็ยิ่งโผล่หน้ามาหลอกหลอน

    จะว่าชะตากรรมชอบเล่นตลกกับเราก็ได้ แต่อันที่จริงแล้วตัวการมิใช่อะไรอื่นเลย หากเป็นธรรมชาติของใจเราเอง สิ่งใดที่เราเกลียดหรือรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ มันจะมีแรงดึงดูดต่อใจของเรา สังเกตไหมเวลาเราโกรธเกลียดใคร เราจะนึกถึงคน ๆ นั้นบ่อย ๆ เศร้าโศกเสียใจเรื่องอะไร มันก็จะยิ่งผุดโผล่ขึ้นมาในใจ แต่นั่นยังไม่เท่าไร ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อเราพยายามผลักไสหรือกำจัดมัน มันยิ่งตามมารบกวนจิตใจบ่อยขึ้น แม้กระทั่งในยามหลับ

    ที่ออสเตรเลียเคยมีการทดลองกับนักศึกษาจำนวน ๑๐๐ คน โดยให้แต่ละคนเลือกความนึกคิดมาหนึ่งเรื่องที่เขาไม่ชอบแต่มักปรากฏในจิตใจ จากนั้นก็ให้นักศึกษาครึ่งหนึ่งกดข่มความคิดนั้นก่อนนอน ๕ นาที เมื่อตื่นขึ้นมาให้ทุกคนรีบเขียนบันทึกเกี่ยวกับความฝันในคืนนั้นทันที การวิเคราะห์พบว่า นักศึกษากลุ่มหลังนี้ฝันถึงความคิดดังกล่าวมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้กดข่มมัน

    การทดลองนี้ยืนยันว่ายิ่งอยากกำจัดความคิดหรือความทรงจำอย่างใดอย่างหนึ่ง มันยิ่งตามมารบกวนทั้งในยามตื่นและหลับ

    ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

    การค้นพบทางด้านประสาทวิทยาอาจให้คำตอบในเรื่องนี้ได้ เมื่อประสบเหตุการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด โกรธแค้น หรือเศร้าโศก ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งไปกระตุ้นให้อามิกดาลา (สมองส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับอารมณ์) สั่งการให้มีการบันทึกความจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น ฮอร์โมนดังกล่าวหลั่งออกมามากเท่าไร ความจำในเรื่องนั้น ๆ ก็จะยิ่งฝังลึกโดยมีอารมณ์ความรู้สึกเข้าไปย้ำ

    อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดจากเหตุการณ์เหล่านั้นจึงเป็นตัวการสำคัญที่ตอกย้ำความทรงจำให้ประทับแน่นมากขึ้น ยิ่งเจ็บปวดมากเท่าไร ก็ยิ่งลืมเลือนได้ยาก แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนี้เท่านั้น ตอนที่หวนระลึกถึงเหตุการณ์นั้นอีก แล้วเราเกิดความรู้สึกเจ็บปวดตามมา แถมยังพยายามจะไปกำจัดมัน ความเครียดที่เกิดจากกระบวนการดังกล่าว ยิ่งทำให้ความทรงจำนั้นฝังลึกมากขึ้น

    ดังนั้นถ้าไม่อยากให้มันฝังลึกมากไปกว่านี้ อย่างแรกที่ต้องทำก็คือ อย่าไปรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับความทรงจำดังกล่าว เมื่อเหตุการณ์ใด ๆ ผุดโผล่ขึ้นมาในใจ อย่าไปหงุดหงิดหรือโกรธเกลียดมัน ปล่อยมันไป ไม่ต้องสนใจมัน รวมทั้งไม่ต้องอยากไปกำจัดมันด้วย เพราะถ้าเราหงุดหงิดใส่มัน โกรธเกลียดมัน หรืออยากกำจัดมันเมื่อไร ฮอร์โมนความเครียดจะหลั่งออกมาและทำให้ความทรงจำในเรื่องนั้นฝังลึกขึ้น

    เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ในอดีตได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงท่าทีหรือความรู้สึกต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ แทนที่จะพยายามปฏิเสธมัน หรือผลักไสกดข่มความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านั้น เราลองหันมายอมรับมันหรือวางใจเป็นกลางกับมัน ใหม่ ๆอาจทำได้ยาก แต่เราสามารถฝึกใจได้ ด้วยการนั่งนิ่ง ๆ ทำใจให้สงบ แล้วค่อย ๆ นึกถึงเหตุการณ์นั้น เมื่อความรู้สึกเจ็บปวดเกิดขึ้น ก็ให้รับรู้เฉย ๆ โดยไม่พยายามกดข่มหรือปฏิเสธมัน เปิดใจต้อนรับเสมือนเป็นเพื่อนสนิทของเรา หากอยากร้องไห้ ก็ขอให้ร้องไห้ออกมา หากมีเพื่อนหรือประจักษ์พยานรับรู้ด้วย ก็ยิ่งดี การที่เรากล้าเปิดเผยเรื่องราวเหล่านี้ให้เขาฟัง แสดงว่าเราทำใจยอมรับมันได้มากขึ้นแล้ว

    เมื่อใดก็ตามที่เราวางใจเป็นกลาง สงบ ไม่หวั่นไหวกับเหตุการณ์ในอดีต เหตุการณ์เหล่านั้นก็ไม่อาจโบยตีหรือหลอกหลอนเราได้อีกต่อไป มันอาจจะไม่เลือนรางในเร็ววัน แต่ก็จะรบกวนจิตใจเราน้อยลง ถึงจะมาปรากฏในมโนสำนึกอีก แต่ก็ไร้พิษสง ไม่ทำให้เราเจ็บปวดอีก แต่เดิมที่เคยเป็นเสมือนแผลเรื้อรัง ที่แตะต้องเมื่อไร ก็เจ็บเมื่อนั้น บัดนี้แผลได้สมานสนิท แม้จะเป็นแผลเป็น แต่ก็แตะต้องได้โดยไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป

    ความทรงจำเกี่ยวกับความผิดหวัง พลัดพราก สูญเสียในอดีตนั้น ไม่จำเป็นต้องพ่วงมากับความรู้สึกเจ็บปวด โกรธแค้น เศร้าโศกเสมอไป และมันมิใช่สิ่งเลวร้ายไปเสียหมด แต่ยังสามารถเป็นต้นทุนที่เพิ่มประสบการณ์ชีวิต ทำให้เราเข้มแข็งและมีปัญญามากขึ้น ใช่หรือไม่ว่านี้คือหัวใจสู่ชีวิตที่สงบเย็นและเป็นสุข

    :- https://visalo.org/article/Image255207.htm
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,900
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,041
    Buddhasunrise.jpg
    มรดกที่ปฏิเสธไม่ได้

    ภาวัน
    รู้กันมานานแล้วว่า พ่อแม่สามารถมีอิทธิพลต่อลูกได้ ทั้งรูปร่าง สุขภาพ และนิสัยใจคอ โดยผ่านทางสายเลือด(หรือพันธุกรรม) กับการเลี้ยงดู ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เช่น การสร้างบรรยากาศแวดล้อม หรือการประพฤติตัวให้เด็กเห็นโดยไม่ตั้งใจ

    แต่เพิ่งไม่นานมานี้เองที่เราพบว่าพ่อแม่สามารถถ่ายทอดคุณสมบัติบางอย่างให้ลูกโดยกลไกอย่างอื่นได้ด้วย ยิ่งกว่านั้นคุณสมบัติดังกล่าวยังสามารถ่ายทอดไปยังหลานและเหลนได้อีก แม้จะไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันเลย

    การค้นพบดังกล่าวมาจากหลายทิศทาง หนึ่งในนั้นก็คือการวิจัยเกี่ยวกับหนู ที่ออสเตรเลียมีการเลี้ยงหนูตัวผู้ด้วยอาหารอุดมไขมัน จนตัวอ้วนฉุและกลายเป็นโรคเบาหวาน(ประเภทที่ ๒ ซึ่งไม่ได้เกิดจากกรรมพันธุ์) ที่น่าแปลกใจก็คือลูกเพศเมียของหนูเหล่านี้เมื่อโตขึ้นก็เป็นเบาหวานประเภทเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยกินอาหารอุดมไขมันเลย และแม้ว่าแม่ของพวกมันมีน้ำหนักปกติและกินอาหารที่มีคุณภาพดีขณะตั้งท้องก็ตาม

    ตามปกติอาหารที่แม่กินย่อมมีผลต่อสุขภาพของลูกเมื่อโตขึ้นเพราะมีสายรกเป็นตัวเชื่อม แต่ในกรณีนี้สุขภาพของลูกกลับเป็นผลมาจากสุขภาพของพ่อ คำถามก็คือมันเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อพ่อไม่เคยสัมผัสกับลูกเลย แล้วเขาก็พบว่าน้ำเชื้อของพ่อคือต้นเหตุ อาหารอุดมไขมันของพ่อได้เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติบางประการในน้ำเชื้อของมัน ซึ่งทำให้เกิดเบาหวานในตัวลูก การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมิใช่การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม เพราะยีน(หรือการเรียงตัวของดีเอ็นเอ)ยังเหมือนเดิม แต่มีการทำงานที่เปลี่ยนไปในบางจุด คือยีนบางตัวที่ควรทำงานแต่กลับไม่ทำงาน ขณะที่ยีนตัวอื่นไม่ควรทำงานแต่กลับทำงาน

    ที่ชิคาโกมีการศึกษาความเปลี่ยนแปลงของหนูเช่นกัน แต่เน้นพฤติกรรมของมันแทนที่จะเป็นเรื่องสุขภาพ เขาให้หนูเพศเมียอายุ ๑๕ วันวิ่งเล่นเป็นเวลา ๒ สัปดาห์ในสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นเร้าผัสสะ เช่น มีจักรให้ถีบ มีของแปลก ๆ ใหม่ ๆ ให้เล่น และมีกิจกรรมมากมายให้ทำ ผลก็คือหนูเหล่านี้มีความจำดีและเรียนรู้ไว นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก ที่แปลกก็คือ ลูกของหนูเหล่านี้มีความจำดีและเรียนรู้ไวเหมือนแม่ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยอยู่ในบรรยากาศแวดล้อมที่กระตุ้นเร้าความสนใจอย่างที่แม่ประสบเลย

    กรณีดังกล่าวชี้ว่านอกจากคุณสมบัติทางพันธุกรรมแล้ว คุณสมบัติที่เกิดจากประสบการณ์ของแม่สามารถถ่ายทอดไปยังลูกได้ ทั้งนี้โดยผ่านความเปลี่ยนแปลงในไข่ของแม่ กรณีนี้ยังสะท้อนว่า สิ่งแวดล้อมที่หล่อหลอมพฤติกรรมของแม่นั้นสามารถส่งผลข้ามไปถึงตัวลูกได้ด้วย

    ไม่ใช่แต่หนูเท่านั้น การศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์ก็ให้ข้อสรุปสอดคล้องกัน และชี้ว่าผลกระทบนั้นสามารถต่อเนื่องไปหลายชั่วอายุคนด้วย ที่สวีเดนมีการศึกษาพฤติกรรมสุขภาพของคนในเมืองโอเวอร์คาลิกซ์ (Overkalix) ซึ่งเก็บประวัติการเกิดและตายของประชากรอย่างดีมาก ผู้วิจัยพบว่าหากพ่อเริ่มสูบบุหรี่ก่อนอายุ ๑๑ ปี ลูกชายของเขาจะล่ำอ้วนกว่าลูกชายของคนที่เลิกสูบบุหรี่เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ขณะเดียวกันผู้ชายที่ขาดอาหารในช่วงอายุ ๘-๑๒ ปี ลูกชายของลูกชายมีโอกาสมากที่จะตายในวัยหนุ่ม ส่วนผู้หญิงที่ขาดอาหารในวัยเด็ก ลูกชายของลูกสาวก็มีแนวโน้มสูงที่จะตายในวัยสาว นอกจากนั้นเขายังพบว่า ผู้ชายคนใดที่กินมากในวัยเด็ก ลูกชายของลูกเขามีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดหัวใจ

    พฤติกรรมและประสบการณ์ของเรานั้นสามารถก่อผลกระทบกว้างไกลกว่าที่เราคิด แม้การศึกษาวิจัยเหล่านี้จะมิใช่บทสรุปที่ชี้ขาด แต่ก็มีความเป็นไปได้มากว่า การกิน การบริโภค และการใช้ชีวิตของเรา ไม่เพียงส่งผลต่อตัวเราและคนรอบข้าง ตลอดจนลูกของเราเท่านั้น แต่ยังสามารถส่งผลไปไกลถึงหลานและอาจถึงเหลนของเราด้วยก็ได้ เขาอาจเป็นเบาหวานหรือโรคหัวใจ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยกินอาหารตามใจปากหรือสูบบุหรี่เลย แต่เป็นเพราะพฤติกรรมของพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายต่างหาก ในทางตรงข้าม หากเราหมั่นดูแลสุขภาพ อารมณ์เย็น ใฝ่รู้ และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ประเทืองปัญญาและอารมณ์ ก็สามารถส่งผลให้ลูกหลานของเรามีสุขภาพดีและมีสติปัญญาตามไปด้วยก็ได้ แม้เขาไม่มีโอกาสอยู่ในสิ่งแวดล้อมดี ๆ เหมือนเรา

    มนุษย์เราต่างมีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างสลับซับซ้อนยิ่ง ทั้งกว้างและไกลไปถึงอนาคตอันกำหนดจุดจบได้ยาก เพียงแค่ดำรงชีวิตอย่างใส่ใจเท่านั้น เราก็สามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากมาย การอยู่อย่างมีสติจึงมิได้เป็นประโยชน์ต่อตนเองเท่านั้น หากยังเป็นความรับผิดชอบต่อโลกด้วย
    :- https://visalo.org/article/Image255406.htm
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,900
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,041
    TigerBali.jpg
    ใจดีสู้เสือ

    ภาวัน
    ประมวล เพ็งจันทร์ อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากหนังสือเรื่อง เดินสู่อิสรภาพ อันเป็นบันทึกการเดินเท้าจากเชียงใหม่ไปยังเกาะสมุยบ้านเกิดเยี่ยงนักจาริกแสวงบุญจนค้นพบความหมายของชีวิตในมิติทางจิตวิญญาณ ชีวิตและมุมมองที่เปลี่ยนไปของเขาเมื่อเกือบสิบปีที่แล้วได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมากมายจนทุกวันนี้

    เขาเคยเล่าประสบการณ์บางช่วงในวัยหนุ่มให้แก่นิตยสาร Way เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า วันหนึ่งเขากับเพื่อนเดินผ่านตลาด จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียง “แชะ”ดังจากซอกตึก เมื่อมองไปยังต้นเสียงก็พบว่ามีคนยืนถือปืนจ้องมายังทั้งคู่ เสียงนั้นคือเสียงลั่นไกปืนนั้นเอง เขาตกใจมาก วิ่งหนีสุดชีวิตด้วยความกลัวตาย แต่เพื่อนเขาไม่ได้วิ่งตามมาด้วย หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว เขาได้พบเพื่อนคนนั้นอีกครั้ง แทนที่จะแสดงความดีใจ เขากลับชี้หน้าด่าว่า “มึงอย่าทำแบบนั้นอีกเป็นอันขาด” เพื่อนเล่าว่า แทนที่เขาจะวิ่งหนี กลับกระโจนเข้าไปหามือปืนจนหมอนั่นตกใจวิ่งหนีไป

    คำพูดของเพื่อนผู้นั้น ได้สอนเขาว่า “เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความกลัว อย่าวิ่งหนี ต้องกระโจนเข้าหา เพื่อจะได้รู้ว่าความกลัวไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป”

    ไม่ว่าเรากลัวอะไรก็ตาม หากเราวิ่งหนีสิ่งนั้นอยู่ร่ำไป มันก็จะตามมาหลอกหลอนเราไม่หยุดหย่อน นักธุรกิจที่กลัวความล้มเหลว ไม่ว่าทำอะไร ก็กลัวว่าจะล้มเหลวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงมักเลือกสิ่งจำเจหรือย่ำเท้าอยู่กับที่มากกว่าที่จะกล้าริเริ่มสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าชีวิตแบบนี้ย่อมน่าเบื่อ คนที่กลัวความแก่ ก็จะประหวั่นทุกครั้งที่พินิจใบหน้าของตนในกระจกเพราะกลัวว่าจะเห็นรอยย่น ที่ร้ายก็คือ หลายอย่างที่เรากลัวนั้นไม่ว่าจะหนีอย่างไร ก็หนีไม่พ้น สักวันหนึ่งก็ต้องเจอเข้ากับตัว ความล้มเหลวและความแก่คือส่วนเสี้ยวของความจริงที่เราต้องเจอทุกคน ถ้ายังกลัวมันอยู่ ถึงตอนนั้นก็จะทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง

    ดังนั้นแทนที่จะคิดหนีมัน ไม่ดีกว่าหรือที่จะหันหน้ามาเผชิญกับมัน เพียงเท่านี้ก็ทำให้มันลดความน่ากลัวลงไปทันที พิษสงที่เคยคิดว่ามันมีอยู่มากมาย กลับละลายหายไป ถึงตอนนั้นก็จะพบว่า แท้จริงแล้วมันไม่น่ากลัวเลย สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือความกลัวในใจเราต่างหาก

    มีคำกล่าวว่า “ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับความกลัว” หลายคนพบว่า มะเร็งไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวมะเร็ง มะเร็งนั้นทำร้ายได้แต่ร่างกาย แต่ถ้ากลัวมะเร็งแล้ว มันสามารถบั่นทอนทั้งจิตใจและร่างกาย ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ ไร้ชีวิตชีวา เหมือนคนตายทั้งเป็น มีบางคนที่ร่างกายปกติ แต่หมอวินิจฉัยผิดว่าเป็นมะเร็ง ทันทีที่รู้ข่าวก็ทรุดทันที ตรงข้ามกับผู้ป่วยมะเร็งหลายคนที่ยอมรับความจริงได้ กลับมีสีหน้ายิ้มแย้ม ดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข

    เมื่อกลัวอะไรก็ตาม พึงรู้ว่าปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ความกลัวในใจเรา ดังนั้นสิ่งที่ควรจัดการเป็นอย่างแรกคือความกลัวในใจ อย่าปล่อยให้มันครอบงำใจหรือบงการชีวิตเรา แต่ควรรู้ทันมัน และถอนพิษสงของมัน ด้วยการทำตรงข้ามกับที่มันสั่ง เมื่อมันสั่งให้หนีสิ่งใด ก็ควรเดินหน้าเข้าหาสิ่งนั้น วิธีนี้นอกจากทำให้มันมีอำนาจเหนือจิตใจของเราน้อยลงแล้ว เรายังจะพบว่าสิ่งที่เรากลัวนั้น แท้จริงไม่น่ากลัวแต่อย่างใด เอาเข้าจริง ๆ มันกลับกลัวเราด้วยซ้ำ จนต้องล่าถอยไป เช่นเดียวกับมือปืนที่กระโจนหนีไปทันทีเมื่อเห็นเหยื่อกระโดดเข้าหา

    ใช่หรือไม่ว่า ที่คนโบราณสอนว่า “ใจดีสู้เสือ” ก็คงเพราะเสือจะเป็นฝ่ายกลัวเราทันทีที่เราไม่กลัวมัน

    :- https://visalo.org/article/Image255705.html
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,900
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,041
    เมื่อความสุขหลุดลอยไป
    พระไพศาล วิสาโล
    ความสุขนั้นใคร ๆ ก็ปรารถนา แต่เคยสังเกตไหมว่า ทันทีที่เราอยากได้ความสุข ความสุขกลับเลือนหาย ยิ่งอยากได้ความสุขมากเท่าไร เรากลับมีความสุขน้อยลง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?

    เหตุผลนั้นมีหลายประการ ทุกครั้งที่เราอยากมีความสุข เรามักจะนึกถึงสิ่งที่เรายังไม่มี เช่น เงิน รถยนต์ ชื่อเสียง ความสำเร็จ หรือสิ่งที่ยังไปไม่ถึง เช่น ห้างสรรพสินค้า สถานที่ท่องเที่ยว แต่พอคิดเช่นนั้น เราก็จะรู้สึกไม่พอใจกับสภาพปัจจุบันทันที เพราะตรงนี้เดี๋ยวนี้ไม่มีสิ่งที่เราอยากได้ อีกทั้งไม่ใช่สิ่งที่เราอยากไปถึง

    ทั้ง ๆ ที่สภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบันอาจให้ความสุขแก่เราอยู่แล้ว เช่น บ้านที่สะดวกสบาย ร่างกายที่ไม่ป่วยไข้ พ่อแม่และคนรักที่รู้ใจ แต่ความสุขเหล่านี้กลับถูกเรามองข้ามเพียงเพราะว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราอยากได้หรือไม่ใช่สิ่งที่เราอยากไปถึง ใช่แต่เท่านั้นเมื่ออยากได้สิ่งที่ยังไม่มี เราก็ต้องดิ้นรนหามันมาให้ได้ ระหว่างที่ดิ้นรนนั้นก็รู้สึกเป็นทุกข์ตลอดเวลาที่ยังไม่ได้มันมา ยิ่งมีคู่แข่งมากมายด้วยแล้ว จะมีความสุขได้อย่างไร

    กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทันทีที่เราอยากได้ความสุข เราจะไม่เห็นความสุขที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะใจนั้นมัวจดจ่อใส่ใจกับความสุขที่อยู่ข้างหน้า แค่นั้นก็ทำให้ความสุขเลือนหายไปจากใจแล้ว คนส่วนใหญ่ที่อยากมีความสุขนั้นที่จริงเขามีความสุขอยู่แล้ว แต่มองไม่เห็น เพราะเอาแต่มองออกไปนอกตัว เขามองข้ามปัจจุบัน ฝากความหวังไว้กับอนาคต จึงเสียโอกาสที่จะเก็บเกี่ยวความสุขที่มีอยู่ในปัจจุบัน

    เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือ ความอยากทำให้เราขวนขวาย และยิ่งขวนขวายไขว่คว้าความสุขมากเท่าไร มาตรฐานความสุขที่เราตั้งเอาไว้ก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น คนที่เข้าคิวรอกินอาหาร ยิ่งคิวยาวเท่าไร ความคาดหวังในรสชาติของอาหารก็สูงมากเท่านั้น ครั้นได้กินแล้ว แม้รสชาติจะอร่อย แต่หากไม่ถึงขีดที่ตั้งความหวังเอาไว้ ก็ย่อมไม่พอใจ อาหารราคา ๕๐ บาทซื้อจากร้านข้างถนน กินแล้วรู้สึกว่าอร่อย ครั้นไปโรงแรมระดับห้าดาว สั่งอาหารอย่างเดียวกัน แม้รสชาติจะเหมือนกับร้านข้างถนนที่เคยกิน แต่คราวนี้กลับรู้สึกว่าไม่อร่อยแล้ว ทั้งนี้ก็เพราะคาดหวังว่ามันต้องอร่อยกว่านั้นเนื่องจากอุตส่าห์ยอมจ่ายถึง ๓๐๐ บาท

    คนที่อยากได้ความสุขมาก ๆ ยังมักเจอปัญหาอีกประการหนึ่ง กล่าวคือ ยิ่งอยากได้ความสุข ก็ยิ่งนึกถึงแต่ตัวเอง คิดแต่ว่าทำไมตนถึงจะมีความสุขมาก ๆ ความคิดเช่นนี้ทำให้ไม่สนใจคนอื่น จนอาจถึงขั้นไร้น้ำใจต่อคนรอบตัว เท่านั้นไม่พอ ยังอาจเรียกร้องความสุขจากคนอื่น ๆ อีกด้วย จึงเป็นที่ระอาของผู้คน ใคร ๆ ก็ไม่อยากคบค้าสมาคมด้วย ผลที่ตามมาก็คือ ความรู้สึกโดดเดี่ยว ไอริส มอสส์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์คลีย์ พบว่า ยิ่งผู้คนให้ความสำคัญแก่ความสุขมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างโดยเฉพาะเวลามีเรื่องเครียดเกิดขึ้น

    ที่ตามมาควบคู่กันก็คือ ความรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นคนอื่นมีความสุขมากกว่า การวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่า มีผู้คนถึง ๑ ใน ๓ มีความสุขน้อยลงหรือมีความทุกข์มากขึ้นเมื่อใช้เฟซบุ๊ค เนื่องจากเห็นเพื่อน ๆ หรือคนรู้จักมีความสุขเพราะได้ไปเที่ยวต่างประเทศ กินอาหารตามห้างดัง หรือร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ ฯลฯ ในขณะที่ตนเองต้องอยู่กับบ้าน ทำงาน หรือเตรียมสอบ อันที่จริงการอยู่บ้านหรือที่ทำงานไม่ได้เป็นสิ่งที่แย่เลย แต่พอเห็นคนอื่นมีความสุข ก็พลอยทำให้ตนเองเป็นทุกข์ขึ้นมาทันทีเพราะไม่ได้สุขเหมือนเขา

    ศานติเทวะ ปราชญ์มหายานชาวอินเดีย เคยกล่าวว่า “ความทุกข์ใดในโลกหล้า ล้วนมาจากความปรารถนาให้ตนเองเป็นสุข” สอดคล้องกับโซโฟเคิลส์ นักคิดชาวกรีก ซึ่งกล่าวว่า “ยิ่งพยายามมีความสุขมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขน้อยลงเท่านั้น” นี้ก็ทำนองเดียวกับคนที่อยากได้ความสงบ ก็ยิ่งมีความสงบน้อยลง เพราะเมื่ออยากได้ความสงบ ก็ยิ่งไม่ชอบเสียงรบกวน และยิ่งไม่ชอบเสียงรบกวน ก็ยิ่งเป็นทุกข์เพราะเสียงนั้นมากขึ้น แค่เสียงรบกวนนิดหน่อยก็สามารถทำให้เขาหงุดหงิดรำคาญขึ้นมาได้ ตรงข้ามกับคนที่ไม่หมายมั่นความสงบ แม้มีเสียงรบกวน เขาก็ไม่รำคาญ จิตใจยังคงเป็นปกติ จึงพบความสงบใจได้ไม่ยาก

    คนที่อยากได้ความรัก มักลงเอยด้วยการไม่ได้ความรัก เพราะเมื่ออยากได้ความรักจากใคร ก็มักคาดคั้นหรือเรียกร้องความรักจากเขา ได้แล้วก็ยังไม่พอใจเพราะไม่มากเท่าที่ต้องการ ก็ยิ่งเรียกร้องอีก ทำให้อีกฝ่ายอึดอัดและระอาใจ ใช่แต่เท่านั้น เวลาเห็นเขาให้ความสนใจหรือความรักแก่คนอื่น ตนเองก็จะรู้สึกอิจฉาและโกรธขึ้ง อาจถึงกับอาละวาดอีกฝ่ายด้วยความหึงหวง เมื่อเป็นเช่นนี้หนักเข้า อีกฝ่ายก็ย่อมรู้สึกเหนื่อยหน่ายและหมางเมินเหินห่างในที่สุด

    ตรงข้ามกับคนที่ไม่ได้ต้องการความรักจากใคร กลับมักได้รับความรักจากผู้อื่น เพราะเขาไม่คิดเรียกร้องความรักจากใคร ไม่เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง แต่ใส่ใจคนอื่น คอยช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น จึงมักเป็นที่รักของผู้อื่น

    อยากได้อะไร กลับไม่ได้สิ่งนั้น ฉันใดก็ฉันนั้น ยิ่งอยากได้ความสุข กลับไม่ได้ ครั้นไม่อยากได้ความสุข กลับได้ ดังนั้นใครที่อยากมีความสุข ควรวางความอยากลงเสีย แล้วหมั่นทำความดี นึกถึงผู้อื่นให้มาก ๆ ลดความเห็นแก่ตัวให้น้อยลง เมื่อนั้นความสุขก็จะมานั่งในหัวใจเราเอง

    “ความสุขใดในโลกหล้า ล้วนมาจากความปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข” เป็นวาทะอีกตอนหนึ่งของศานติเทวะที่เตือนใจเราได้เป็นอย่างดี
    :- https://visalo.org/article/secret255605.htm
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,900
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,041
    ยาวิเศษ
    พระไพศาล วิสาโล
    ในฐานะพยาบาล เกื้อจิตร แขรัมย์ ตระหนักดีว่ากายกับใจนั้นเกี่ยวข้องกับมาก ดังนั้นผู้ป่วยทุกคนที่เธอดูแลนอกเหนือจากการเยียวยาร่างกายแล้ว เธอยังให้ความสำคัญกับจิตใจของเขาด้วย ประสบการณ์อันยาวนานทำให้เธอจัดเจนในการดูแลรักษาใจของผู้ป่วย จนเพื่อน ๆ ในโรงพยาบาลบุรีรัมย์มักขอความช่วยเหลือจากเธอเสมอ

    เด็กชายคนหนึ่งอายุ ๑๑ ปี เป็นโรคปวดหัวตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ แม่พาไปรักษาหลายโรงพยาบาล หมดเงินไปเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น ตอนที่มารักษาตัวที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์นั้น นอกจากปวดหัวอย่างหนักจนอาเจียนแล้ว เด็กยังมีอาการตาพร่ามัว มองเห็นภาพซ้อน

    หมอสันนิษฐานว่าเด็กมีเนื้องอกในสมอง จึงส่งตรวจซีทีสแกน แต่ไม่พบความผิดปกติ หมอจึงคิดว่าเด็กอาจมีปัญหาทางจิต แต่ก่อนที่หมอจะส่งเด็กไปหาหมอจิตเวช พยาบาลที่เห็นเหตุการณ์ได้ขอให้เกื้อจิตรมาดูผู้ป่วยรายนี้ เพราะเกรงว่าถ้าเด็กได้รับยาจากหมอจิตเวช อาจจะมึนงงจนเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง

    เมื่อเกื้อจิตรไปถึง แม่เด็กเฝ้าแต่ถามว่าลูกเธอจะหายไหม เกื้อจิตรดูอาการของเด็กแล้วถามแม่ว่ามีลูกกี่คน แม่เด็กตอบว่ามีสี่คน “คนโตเรียนมหาวิทยาลัย หน้าตาดี เรียนเก่ง คนที่สองอยู่ม.๕ เรียนเก่ง คนที่สามคือเขานี้แหละ ส่วนคนที่สี่เป็นผู้หญิงอยู่ป.๒ อายุ ๘ ขวบ”
    “รักลูกเท่ากันไหม” เกื้อจิตรถาม “รักเท่ากันเลย” คือคำตอบ
    “ลูกสี่คน ถ้ารักลูกเท่ากัน ด่าเท่ากันไหม”
    “ไม่เท่ากัน ฉันด่าเจ้าคนป่วยนี้แหละมากที่สุด ทั้งด่าทั้งตี” แม่เด็กยังพูดต่อว่า “มันดื้อค่ะ มีวันหนึ่งฉันด่ามัน ไล่มัน มึงไปพ้น ๆ กู”
    “เคยบอกรักลูกคนนี้ไหม”
    “ไม่เคยซักที ไม่เคยบอกรักลูก....มีแต่ด่ากับตี” เธอยังเล่าต่อว่า “ลูกชายคนนี้โง่มาก ไปโรงเรียนครูก็ด่าว่าควาย ทำไมแกไม่เก่งเหมือนพี่เหมือนน้องแกบ้าง”

    คุยไปสักพัก เกื้อจิตรก็ย้อนถามถึงประวัติของแม่เด็ก ซักไปได้หน่อย แม่เด็กก็ร้องไห้ แล้วยอมรับว่า พ่อแม่ไม่ค่อยรักเธอเท่าไหร่ เพราะชอบดุด่าเธอ ถึงตรงนี้เธอก็ได้คิดว่า เธอทำกับลูกชายคนนี้เหมือนกับที่พ่อแม่ของเธอทำกับเธอตอนเด็ก ๆ

    มาถึงตรงนี้เกื้อจิตรจึงบอกว่ามี “ยาวิเศษ” ที่จะช่วยลูกของเธอได้ นั่นคือ “ให้เธอกลับไปกอดลูก แล้วบอกว่าแม่รักลูกนะ” รวมทั้งบอกตายายที่บ้านด้วยว่า ให้ทำอย่างเดียวกัน เท่านั้นไม่พอเกื้อจิตรยังแนะนำให้ไปบอกครูที่โรงเรียนว่า อย่าดุด่าหรือตีเด็กคนนี้อีก “ไปบอกเลยว่าหมอเกื้อโรงพยาบาลบุรีรัมย์สั่งมา ถ้าไม่กล้าพูด เดี๋ยวฉันจะไปพูดให้”

    หนึ่งเดือนต่อมา เกื้อจิตรตามไปดูเด็ก ปรากฏว่าเด็กไม่มีอาการปวดหัวอีกเลย ปัจจุบันอายุ ๒๐ ปี รูปร่างสูงใหญ่ สุขภาพเป็นปกติ

    เป็นเพราะขาดความรัก ถูกต่อว่าจากคนรอบข้างเป็นประจำ เด็กจึงรู้สึกว่าตนไร้คุณค่า ส่งผลให้อมทุกข์และเครียดหนักจนปวดหัวเรื้อรัง กล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นเพราะป่วยใจ กายจึงป่วย ไม่ว่ารักษากายอย่างไร ก็ไม่หายป่วย ต่อเมื่อใจได้รับการเยียวยาด้วยความรัก กายจึงกลับมาเป็นปกติ

    ความรักนั้นเป็น “ยาวิเศษ” ใครที่ป่วยเรื้อรังทั้ง ๆ ที่ไม่พบความผิดปกติในร่างกาย ยาวิเศษขนานนี้อาจช่วยได้
    :- https://visalo.org/article/secret256105.html
    . EndLineMoving.gif
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,900
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,041
    Budddha2.jpg
    ไม่รักไม่เกลียด

    พระไพศาล วิสาโล
    ใครๆ ก็รักสุขเกลียดทุกข์กันทั้งนั้น ที่เรามุ่งแสวงหาทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง เกียรติยศ หรือเข้าวัดปฏิบัติธรรม ก็เพราะรักสุข ขณะเดียวกันการที่เรามีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายอยู่รอบตัว ก็เพราะเกลียดทุกข์ กล่าวได้ว่าความรักสุขเกลียดทุกข์เป็นตัวผลักดันให้มนุษย์สร้างความเจริญก้าวหน้าอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

    แต่ความรักสุขเกลียดทุกข์บ่อยครั้งก็สร้างปัญหาให้แก่เราอยู่ไม่น้อย ทั้ง ๆ ที่เรามีความสุขสบายทางกายมากขึ้น แต่เหตุใดความสุขใจหาได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วยไม่ กลับลดลงไปด้วยซ้ำ ไม่ผิดหากจะกล่าวว่าขณะที่ความทุกข์กายของคนสมัยนี้ลดลงแต่ความทุกข์ใจกลับเพิ่มมากขึ้น สาเหตุสำคัญประการหนึ่งก็เพราะความรักสุขเกลียดทุกข์ที่ฝังแน่นในใจนั่นเอง


    ความรักสุขจะไม่ก่อปัญหาแก่เราเลยหากว่าเมื่อดิ้นรนพากเพียรได้ความสุขมาครอบครองแล้ว ความสุขนั้นจะอยู่กับเราตลอดไป แต่ความจริงมีอยู่ว่า ความสุขหรือสิ่งที่ให้ความสุขแก่เรานั้นล้วนแล้วแต่ไม่เที่ยงทั้งนั้น ไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องจากเราไป ยิ่งรักสุข รักทรัพย์ รักชื่อเสียง มากเท่าใด ก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้นเมื่อมันหลุดลอยไปจากเรา คุณยายวัย ๘๐ รักพลอยเม็ดงาม แต่เมื่อพบว่าพลอยหายไปเพราะหลานสาวเผลอกวาดลงถังขยะ ก็ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับจนล้มป่วย นักการเมืองท้องถิ่นมีความสุขมากเมื่อได้รับเลือกเป็นนายกอบจ.สมใจ ไปไหนมาไหนก็มีบริวารล้อมหน้าล้อมหลัง อยากเป็นสมัยที่สอง แต่เมื่อแพ้เลือกตั้งก็เป็นทุกข์จนเสียศูนย์ ไม่กล้าปรากฏตัวในที่สาธารณะเพราะรู้สึกอับอาย ยิ่งได้ไปเยือนสถานที่ที่ตัวเองผลักดันก่อตั้ง แล้วพบว่าไม่มีใครมาห้อมล้อมเหมือนเคย ก็เสียใจร่ำไห้และเครียดจัดจนนอนไม่หลับ

    จะว่าไปแล้วทันทีที่รักสุข อยากได้อะไรมาครอบครองให้สุขสบาย ความทุกข์ก็เกิดขึ้นโดยพลัน เพราะเมื่ออยากได้อะไร ก็ย่อมมีความกลัวหรือวิตกกังวลว่าจะไม่ได้สิ่งนั้น และตลอดเวลาที่ยังไม่ได้มันมา ก็เป็นทุกข์เพราะรู้สึกพร่องหรือไม่สมหวัง กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทันทีที่รักสุขซึ่งอยู่ข้างหน้า สุขที่มีอยู่เดิมก็หายไป มีความทุกข์มาแทนที่

    ความเกลียดทุกข์ก็เช่นกัน แม้มันจะผลักดันให้เราหนีความทุกข์อยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีใครเลยที่จะหนีความทุกข์พ้น ใช่หรือไม่ว่าสักวันหนึ่งเราทุกคนก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ แต่เป็นเพราะเกลียดความแก่ความเจ็บ ดังนั้นเมื่อพบว่าผมหงอกผิวย่นหน้าตกกระ จึงทุกข์ใจเป็นอย่างมาก และเมื่อพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง จึงไม่เพียงแต่ป่วยกายเท่านั้น ใจก็ป่วยด้วย กลายเป็นการซ้ำเติมตัวเอง ทำให้ทุกข์สองชั้น มิหนำซ้ำความทุกข์ใจนั้นยังฉุดกายให้ทรุดหนักกว่าเดิมด้วย บางคนพอรู้ว่าเป็นมะเร็ง อยู่ได้แค่สองสัปดาห์ก็ตายทั้ง ๆ ที่หมอบอกว่ามีชีวิตอยู่ได้อีกสามเดือน

    บางคนรักความสงบ เวลาทำสมาธิจนจิตสงบ ก็เป็นสุขอย่างมาก แต่พอความสงบหายไป ทำเท่าไรความสงบก็ไม่กลับมา จึงเป็นทุกข์อย่างมาก บางครั้งกลับกลุ้มใจยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมด้วยซ้ำ ในทำนองเดียวกันบางคนเกลียดเสียงรบกวน พอได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง หรือเสียงคนคุยกันขณะนั่งสมาธิ จะรู้สึกหงุดหงิดมาก เพ่งโทษและพุ่งความโกรธไปที่เสียงเหล่านั้น ทั้งๆ ที่มันไม่ได้ดังอะไรเลย แท้จริงแล้วเสียงไม่เป็นปัญหา ความรู้สึกเกลียดเสียงต่างหากที่เป็นปัญหา นี้ก็ไม่ต่างจากลิงที่เกลียดกะปิ หากกะปิเปื้อนมือมัน มันจะถูมือกับหินหรือเปลือกไม้จนเป็นแผลเลือดไหลซิบ ถามว่าอะไรทำให้ลิงมีแผล กะปิใช่ไหม เปล่าเลย ความเกลียดกะปิในใจลิงต่างหาก

    นักปฏิบัติธรรมจำนวนไม่น้อยมีความทุกข์เวลาเกิดความฟุ้งซ่านหรือความเครียด แท้จริงแล้วปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความฟุ้งซ่านหรือความเครียด แต่อยู่ที่ความรู้สึกเกลียดที่มีต่ออาการเหล่านั้นต่างหาก ถ้าหากมองว่ามันเป็นธรรมดาของใจ หรือวางใจเป็นกลางต่ออาการเหล่านั้น ความทุกข์จะลดลงมาก ยิ่งผลักไสไล่ส่งมัน มันก็ยิ่งเป็นศัตรูกับเรา หาทางก่อกวนเราไม่เลิก แต่ทันทีที่ยอมรับมันหรือยิ้มรับมัน อย่างที่เราทำกับแขกผู้มาเยือน มันก็จะกลายมาเป็นมิตรกับเรา รบกวนเราน้อยลง และพร้อมจะจากไปในเวลาไม่นาน เหมือนอาคันตุกะที่รู้เวลาของตัวเอง

    แม้เราจะรักความสุขมากมายเพียงใด ความสุขก็หาได้รักเราไม่ วันดีคืนดีความสุขก็จากเราไป ถึงจะกลับมาใหม่ ก็อยู่กับเราประเดี๋ยวประด๋าว ส่วนความทุกข์นั้นแม้เราจะเกลียดเพียงใด แต่มันก็มักจะมาหาเราอยู่เสมอ ยิ่งพยายามหนีมัน มันก็ยิ่งเข้ามาพัวพัน เคยสังเกตไหมว่า ยิ่งเกลียดอะไร ก็ยิ่งเจอสิ่งนั้น ในทางตรงข้ามยิ่งรักอะไร ก็มักสูญเสียสิ่งนั้น หรือเหนื่อยกับการไล่ล่ามากขึ้นเพราะมันเอาแต่หนีห่างออกไป

    ลองวางใจเป็นกลางต่อสุขและทุกข์ดูบ้าง สุขมาก็ไม่ยินดี ทุกข์มาก็ไม่ยินร้าย เมื่อได้รับคำชมก็ไม่ระเริง เมื่อถูกตำหนิก็ไม่ห่อเหี่ยว ยามสำเร็จก็ไม่ลิงโลด ยามล้มเหลวก็ไม่ซึมเซา แต่ถ้าอาการดังกล่าวเกิดขึ้นกับใจ ไม่ว่าบวกหรือลบ ก็แค่รับรู้เฉย ๆ ด้วยใจเป็นกลาง ดีใจก็รู้ว่าดีใจ ไม่ไขว่คว้าคลอเคลีย เสียใจก็รู้ว่าเสียใจ ไม่ปฏิเสธผลักไส ถือว่าต่างคนต่างอยู่ ไม่นานก็จะพบว่าพอไม่รักสุข สุขกลับมา พอไม่เกลียดทุกข์ ทุกข์กลับลาจาก แม้ทุกข์กายยังต้องเจออยู่ แต่ใจไม่ทุกข์ แม้เสียทรัพย์ แต่ใจไม่เสียไปด้วย

    มาถึงตรงนี้ก็อยากจะบอกว่า รักสุขไปเถิดถ้าคิดว่าสุขนั้นเที่ยง เกลียดทุกข์ไปเถิดถ้าคิดว่าหนีทุกข์พ้น แต่ถ้าหนีทุกข์ไม่พ้น ก็ควรเกลียดมันให้น้อยลง ยอมรับมันให้มากขึ้น และถ้าไม่แน่ใจว่าสุขที่มีนั้นเที่ยงแท้แน่นอน ก็ควรรักหรือหวงแหนมันให้น้อยลง
    :- https://visalo.org/article/secret255509.htm

     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,900
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,041
    ภูมิคุ้มกันความทุกข์
    พระไพศาล วิสาโล
    ครั้งหนึ่งเคยมีความคิดในหมู่นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำว่า มนุษย์สามารถเอาชนะเชื้อโรคทั้งหลายได้ สักวันหนึ่งจะไม่มีใครล้มป่วยเพราะโรคติดเชื้ออีกต่อไป แต่มาถึงทุกวันนี้ก็เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า นั่นเป็นความฝัน เชื้อโรคจะต้องอยู่คู่กับมนุษย์เราไปตลอดกาล มิใช่อยู่รอบตัวเราเท่านั้น หากยังอยู่ในตัวเราด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อป้องกันมิให้ล้มป่วยก็คือ การสร้างภูมิคุ้มกันโรค

    ภูมิคุ้มกันโรคเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็มาจากการที่ร่างกายของเราได้รับเชื้อโรคจากภายนอก หากเป็นเชื้อโรคที่ไม่แรงถึงกับทำให้ตาย ร่างกายเราจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคนั้น ๆ ขึ้นมา ทำให้ไม่ป่วยหากเชื้อโรคนั้นเข้ามาในร่างกายอีก การฉีดวัคซีนมิใช่อะไรอื่น หากเป็นการฉีดเชื้อโรคอ่อน ๆ หรือเชื้อที่ตายแล้ว เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายของเรานั่นเอง


    เชื้อโรคฉันใด ความทุกข์ก็ฉันนั้น มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราที่ไม่อาจหนีพ้นได้ ไม่ว่าเราจะมีเทคโนโลยีล้ำหน้า มีความมั่งคั่งและอำนาจยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ต้องเจอความทุกข์อยู่นั่นเอง ดังนั้นแทนที่จะคิดหนีความทุกข์ (ซึ่งเป็นไปไม่ได้) เราจึงควรหาทางรับมือกับความทุกข์ วิธีหนึ่งก็คือ สร้างภูมิคุ้มกันความทุกข์ขึ้นมาในจิตใจ

    ชีวิตที่มีแต่ความสะดวกสบาย ได้ทุกอย่างที่ปรารถนา ไม่รู้จักความผิดหวังนั้น ดูเหมือนเป็นชีวิตที่น่าอิจฉา แต่แท้จริงเป็นชีวิตที่เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง เพราะขาดภูมิคุ้มกันความทุกข์ หากวันใดพบกับความผิดหวังหนัก ๆ ก็อาจเสียศูนย์ หรือถึงกับฆ่าตัวตาย เคยมีมาแล้วที่คนเรียนดีตั้งแต่เล็กจนโตแต่สุดท้ายกลับฆ่าตัวตายเพราะทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกไม่สำเร็จ หรือลูกที่พ่อแม่เลี้ยงดูอย่างประคบประหงมกลับฆ่าตัวตายเมื่ออกหัก ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเขาเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องร้ายแรงหรือคอขาดบาดตาย แต่เป็นเพราะไม่มีภูมิคุ้มกันความทุกข์มาก่อน จึงโดนความทุกข์ท่วมทับจนไม่เห็นทางออกอย่างอื่นนอกจากความตาย

    ดังนั้นใครที่ประสบความสำเร็จอยู่เสมอ มีชีวิตราบรื่นเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ จึงไม่ควรด่วนดีใจว่าเป็นคนมีโชค เพราะนั่นอาจเป็นเคราะห์ที่แฝงมาในรูปของโชคก็ได้ ส่วนคนที่เจออุปสรรคและความยากลำบากเป็นนิจ ก็อย่าน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ลองสำรวจให้ดีก็จะพบว่าความทุกข์ให้สิ่งดี ๆ แก่คุณ อย่างน้อยก็ช่วยให้คุณอดทนมากขึ้น และไม่กลัวความยากลำบาก

    นักธุรกิจคนหนึ่งเป็นผู้ที่กลัวความล้มเหลวอย่างมาก ไม่ว่าลงทุนอะไร จะเลือกแต่กิจการที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด แม้เป็นกิจการที่ตนไม่ชอบก็ตาม จึงทำงานอย่างไม่ค่อยมีความสุข แล้ววันหนึ่งกิจการของตนก็ประสบปัญหา ขาดทุนอย่างหนัก จนต้องเลิกกิจการ แม้เขาจะเสียใจ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาพบก็คือ ความล้มเหลวนั้นไม่ได้เลวร้ายน่ากลัวอย่างที่เขาคิด ฟ้ายังไม่ถล่ม แผ่นดินยังไม่ทลาย นับแต่นั้นเขาก็ไม่กลัวความล้มเหลวอีกเลย เขากล้าเสี่ยงกล้าลงทุนมากขึ้น ทำให้มีความสนุกกับการทำงานอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน

    ความล้มเหลวนั้นมีประโยชน์อย่างหนึ่ง ก็คือ ทำให้เรามีภูมิคุ้มกันความล้มเหลว ไม่เสียศูนย์ง่าย ๆ เมื่อเจอมันอีก สามารถปรับใจรับมือกับมันได้ดีขึ้น พูดอีกอย่างก็คือ ทำให้มันมีอิทธิพลในทางลบต่อเราน้อยลง นี้ก็เช่นเดียวกับสิ่งต่าง ๆ ที่มากระทบกับเรา แม้ไม่น่าพึงพอใจ แต่การที่ได้เจอมันบ่อย ๆ หรือเจอมันนาน ๆ ก็ทำให้เราเป็นทุกข์กับมันน้อยลง

    เคยมีการทดลองแบ่งคนเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้นั่งอยู่ในห้องซึ่งมีเครื่องดูดฝุ่นส่งเสียงดังนาน ๔๕ วินาที อีกกลุ่มหนึ่งอยู่ในห้องที่ดังก้องด้วยเสียงเครื่องดูดฝุ่นเช่นกัน แต่เสียงดังแค่ ๕ วินาที จากนั้นผู้ทดลองขอให้ทุกคนตอบคำถามว่ารู้สึกรำคาญมากน้อยเพียงใดในช่วง ๕ วินาทีสุดท้าย ปรากฏว่ากลุ่มที่รู้สึกรำคาญมากที่สุดคือ กลุ่มที่สอง ส่วนกลุ่มแรกนั้นไม่รู้สึกรำคาญเท่าใดเพราะหลังจากที่ฟังมาตลอด ๔๕ วินาทีก็รู้สึกทนกับเสียงนั้นได้

    กลุ่มที่สองนั้นดูเผิน ๆ เหมือนโชคดีที่มีเสียงรบกวนแค่ ๕ วินาที แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับทุกข์มากกว่า ทั้งนี้เพราะยังไม่คุ้นกับเสียงนั้นนั่นเอง ตรงข้ามกับกลุ่มแรกซึ่งเจอเสียงนั้นมาก่อนแล้วจึงมีภูมิคุ้มกันเสียงนั้น

    ใครที่ไม่เคยเจอน้ำท่วมบ้าน ย่อมเป็นทุกข์อย่างมากเมื่อเจอมันเป็นครั้งแรก แต่ถ้าคุณเจอมันเป็นครั้งที่สอง เชื่อได้ว่าคุณจะรู้สึกเป็นทุกข์น้อยลง นี้เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนส่วนใหญ่ มีการวิจัยพบว่า เมื่อเกิดเหตุร้าย ผู้คนจะมีความรู้สึกเป็นบวกมากขึ้น หรือเป็นลบน้อยลงต่อเหตุการณ์ดังกล่าว หากว่าเคยประสบมันมาแล้วในอดีต ไม่ว่าเหตุร้ายนั้นจะได้แก่ความสูญเสีย ความล้มเหลว หรือความเจ็บป่วยก็ตาม ในทำนองเดียวกันคนที่เคยประสบกับความเจ็บปวดที่รุนแรงมาก่อน (เช่น จากอุบัติเหตุ) จะสามารถทนความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในภายหลังได้มากขึ้น

    ภูมิคุ้มกันความทุกข์นั้น ในเบื้องต้นเกิดจากความเคยชินและความสามารถในการปรับตัวปรับใจของมนุษย์ แต่ยังมีภูมิคุ้มกันความทุกข์อีกระดับหนึ่ง ซึ่งเกิดจากปัญญาที่เข้าใจความทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง จนตระหนักว่ามันเป็นธรรมดา ที่ไม่มีใครหนีพ้น อีกทั้งยังเห็นความจริงต่อไปด้วยว่า ความสูญเสีย ความเจ็บป่วย ความล้มเหลว ไม่ทำให้ใจเป็นทุกข์ได้เลย หากไม่ยึดติดถือมั่นกับสิ่งต่าง ๆ ว่าต้องเป็นไปดั่งใจ เมื่อรู้เช่นนี้ก็ปล่อยวาง ไม่ยึดติดถือมั่น แต่ยังเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ ตามเหตุปัจจัยมากกว่าตามความอยากของตน

    ภูมิคุ้มกันความทุกข์ประเภทหลังนี้แหละที่คุ้มกันใจให้ปลอดพ้นจากความทุกข์อย่างแท้จริง แม้มีเหตุร้ายแรงใด ๆ เกิดขึ้นกับชีวิต ไม่เว้นแม้กระทั่งความตาย

    แต่ภูมิต้านทานประเภทหลังนี้ใช่ว่าจะเกิดได้ง่าย ๆ ไม่อาจได้มาจากการคิดเอา แต่ต้องเกิดจากการเจอความทุกข์บ่อย ๆ จนเกิดปัญญา เพราะมีแต่เจอทุกข์เท่านั้นจึงจะเห็นธรรม
    :- https://visalo.org/article/secret25550501.htm

     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,900
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,041
    เห็นค่าของทุกข์ ใจก็เป็นสุข
    พระไพศาล วิสาโล
    หญิงวัย ๔๐ ป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เธอเป็นชาวคริสต์ ทุกวันเธอจึงสวดวิงวอนพระเจ้าขอให้ช่วยเธอให้พ้นจากโรคร้าย เธอไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ยังทำเพื่อลูก เธอไม่อยากเห็นลูกซึ่งยังเล็กต้องเห็นเธอในสภาพที่ทุกข์ทรมานด้วยโรคร้าย แต่ไม่ว่าเธอจะวิงวอนพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจเพียงใด อาการของเธอกลับแย่ลงเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับความเจ็บปวดที่รุนแรงขึ้น แม้หมอจะให้มอร์ฟีนเต็มที่แล้วก็ตาม ในที่สุดเธอก็เข้าสู่ระยะสุดท้ายของโรค เธอรู้ดีว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา ไม่ใช่เป็นปีหรือเป็นเดือน แต่เป็นแค่อาทิตย์เท่านั้น

    เธอทุกข์ทั้งกายและใจ นอกจากปวดกายแล้วยังรู้สึกผิดหวังที่พระเจ้าไม่ช่วยเธอเลย ใครที่มาเยี่ยมเธอ อดสงสารไม่ได้ที่เห็นเธอมีสีหน้าอมทุกข์และกระสับกระส่าย แต่แล้ววันหนึ่งเธอกลับมีอาการนิ่งสงบ เธอพูดกับเพื่อนที่มาเยี่ยมว่า เธอยอมรับความตายได้แล้ว

    เธออธิบายต่อว่า “ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าความตายคือสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ความเจ็บปวดสิ้นสุด มันเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ลูกไม่เห็นฉันทุกข์ทรมานอีกต่อไป ฉันยังจะได้สอนลูก ๆ ด้วยว่า จะตายอย่างไรโดยไม่กลัว นี้คือสิ่งที่ฉันจะทำให้แก่ลูกได้ในฐานะที่เป็นแม่”

    นับแต่นั้นเธอก็ไม่มีอาการกระสับกระส่ายอีกเลย แม้ความเจ็บปวดไม่ได้ลดลง สุดท้ายเธอก็จากไปอย่างสงบท่ามกลางลูก ๆ และมิตรสหาย ซึ่งอดแปลกใจไม่ได้ในความเปลี่ยนแปลงของเธอ

    ทั้ง ๆ ที่กำลังจะตาย แต่อะไรทำให้เธอนิ่งสงบได้ คำตอบก็คือ การเห็นชัดถึงคุณค่าของความตาย ความตายไม่เพียงยุติความเจ็บปวดที่รุมเร้าร่างกายของเธอเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสที่เธอจะได้สอนลูกว่าคนเราควรตายอย่างไร สำหรับเธอ นี้เป็นคำสอนที่สำคัญมาก ซึ่งแม่ควรจะมอบให้แก่ลูก ด้วยการเป็นแบบอย่างให้ลูกเห็น

    จะว่าไปแล้ว นอกจากการสอนให้ลูกรู้จักการดำเนินชีวิต อะไรจะสำคัญเท่ากับการสอนให้ลูกรู้วิธีตาย อย่างหลังนั้นใช่ว่าจะสอนกันได้ง่าย ๆ และไม่ค่อยมีคนสอนกันเท่าใด แต่ถ้าจะมีใครสักคนเป็นผู้สอน คนนั้นควรเป็นแม่

    เป็นเพราะเห็นชัดถึงคุณค่าของความตาย เธอจึงยอมรับความตาย โดยไม่ผลักไสหรือต่อต้านขัดขืน จะว่าเธอยิ้มรับความตาย ก็คงไม่ผิด และนั่นทำให้ใจเธอไม่เป็นทุกข์แม้กายจะปวดก็ตาม

    อะไรเกิดขึ้นกับเรา ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า เรามองหรือรู้สึกกับมันอย่างไร แม้จะเป็นเหตุร้าย แต่ถ้าเห็นคุณค่าของมัน มองมันในแง่บวก หรือยอมรับมันได้ ใจก็ไม่เป็นทุกข์ แม้สิ่งนั้นได้แก่มะเร็ง ความเจ็บปวด หรือความตายก็ตาม

    ความเจ็บปวดหรือโรคร้าย หากมองว่ามันกำลังสอนธรรมให้แก่เรา เช่น แสดงไตรลักษณ์ หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใจเราก็จะเปิดรับ และใคร่ครวญด้วยปัญญามากขึ้น ในทางตรงข้ามหากเห็นมันเป็นสิ่งเลวร้าย ใจก็จะโอดครวญ ก่นด่า หรือผลักไสต่อต้าน ซึ่งมีแต่ทำให้ทุกข์มากขึ้น แม้แต่ความอยากให้มันหายไป ก็ทำให้เราทุกข์ได้

    หลวงปู่ขาว อนาลโย จึงแนะนำว่า “อันความอยากหายจากทุกขเวทนานั้น อย่าอยาก ยิ่งอยากให้หายเท่าไรก็ยิ่งเพิ่มสมุทัยตัวผลิตทุกข์มากยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ให้อยากรู้อยากเห็นความจริงของทุกขเวทนาที่แสดงอยู่กับกายกับใจเท่านั้น”

    ท่านอาจารย์พุทธทาสก็สอนเช่นกันว่า “ความเจ็บไข้มาเตือนให้เราฉลาด” คือ มาสอนให้เราเห็นสัจธรรมของสังขาร จะได้คลายความยึดติดถือมั่น ซึ่งเป็นต้นตอแห่งความทุกข์ใจ

    แม้จะทำได้ยาก แต่หากเราลองนำคำสอนนี้ไปใช้กับเหตุการณ์อื่น ๆ ที่เบาบางกว่า เช่น อุปสรรค ความล้มเหลว คำต่อว่าด่าทอ หากเราเห็นคุณค่าของมัน เช่น ฝึกให้เราเข้มแข็ง ฉลาดกว่าเดิม มีประสบการณ์มากขึ้น รวมทั้งรู้ว่ามันเป็นธรรมดาโลก เราก็จะยอมรับมันได้มากขึ้น และเป็นทุกข์เพราะมันน้อยลง

    สุขหรือทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่อยู่ที่ว่าเรารู้สึกหรือมองมันอย่างไรต่างหาก
    :- https://visalo.org/article/secret256102.html
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,900
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,041
    ask a question.jpg
    อยู่กับทุกข์ให้เป็น ก็ไม่เป็นทุกข์

    พระไพศาล วิสาโล
    ทุกวันนี้ผู้คนมีชีวิตที่สะดวกสบายมากขึ้น ความรู้และเทคโนโลยีนานาชนิดทำให้เราสามารถหลีกเลี่ยงความทุกข์ได้มากมาย ร้อนก็เปิดแอร์ อาบน้ำก็ไม่ต้องกลัวหนาวเพราะมีเครื่องทำน้ำอุ่น ไปไหนมาไหนก็ไม่เหนื่อยเพราะมีรถยนต์และเครื่องบิน ฯลฯ

    แต่ถึงแม้จะมีความสามารถในการพาตัวให้ไกลจากความทุกข์ได้มากมายเพียงใด ความจริงอย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ มีความทุกข์หลายอย่างที่เราไม่อาจหนีพ้นได้ ร่ำรวยเพียงใดก็ยังต้องเจอกับความพลัดพรากสูญเสีย ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ต้องพบกับความไม่สมหวัง เก่งเพียงใดก็ต้องประสบกับความล้มเหลว ที่แน่ ๆ ก็คือ ไม่มีใครหนีพ้นความแก่ชรา ความเจ็บป่วย และความตายไปได้

    คนเป็นอันมากเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นกับตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะคร่ำครวญ ตีโพยตีพาย หรือวิตกกังวล จนเครียดหนัก หรือถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ กลายเป็นการเอาความทุกข์มาซ้ำเติมตนเองให้หนักกว่าเดิม แทนที่จะเสียแต่เงิน ใจก็พลอยเสียไปด้วย แทนที่จะป่วยกายอย่างเดียว ใจก็ป่วยด้วย พูดอีกอย่าง แทนที่จะเจอธนูดอกเดียว กลับเจอถึงสองดอก ธนูดอกแรกนั้นอาจ มาจากคนอื่นหรือสิ่งนอกตัว แต่ธนูดอกที่สองนั้นเกิดจากน้ำมือของเราเอง ร้ายกว่านั้นก็คือธนูดอกที่สองนั้นมักก่อความทุกข์ที่รุนแรงหนักหนากว่าธนูดอกแรกเสียอีก

    หญิงสูงวัยผู้หนึ่งไปหาหมอครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่รู้ว่าตนเองเป็นโรคอะไร แล้ววันหนึ่งหมอก็เรียกเธอไปพบ แล้วบอกว่า “ ป้าเป็นมะเร็งตับนะ อยู่ได้ไม่เกินสามเดือน” เธอตกใจมาก นับแต่นั้นมาก็เศร้าซึม หมดอาลัยตายอยาก ไม่พูดไม่คุยกับใคร ผ่านไปได้แค่ ๑๒ วัน เธอก็เสียชีวิต

    ก้อนมะเร็งนั้นแม้จะบั่นทอนร่างกายของเธอ แต่ก็ไม่ร้ายแรงเท่ากับใจที่ตื่นตระหนกและวิตกกังวล นั่นเป็นเพราะเธอไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น แต่พยายามปฏิเสธต่อต้านตลอดเวลา ใจที่ดิ้นรนขัดขืนนั้นสามารถตัดรอนชีวิตของเธอได้เร็วยิ่งกว่าก้อนมะเร็งเสียอีก

    จะว่าไปแล้วความทุกข์ของคนสมัยนี้ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากใจที่ปฏิเสธต่อต้านความจริงที่เกิดขึ้นยิ่งกว่าอะไรอื่น ดังนั้นแม้แต่เหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น รถติด ก็ทำให้ผู้คนขึ้งเครียดหงุดหงิดอย่างหนัก ทั้ง ๆ ที่เครียดหรือกังวลเท่าใด ก็ไม่ช่วยให้รถเคลื่อนได้เร็วขึ้น มีแต่จะทำให้เป็นทุกข์มากขึ้น

    อะไรเกิดขึ้นกับเรา ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเรารู้สึกกับมันอย่างไร มีสิ่งร้ายเกิดขึ้นกับเราก็ไม่ทำให้เราทุกข์มากเท่ากับใจที่ปฏิเสธต่อต้านสิ่งนั้น พูดอีกอย่าง ยิ่งเราปฏิเสธต่อต้านสิ่งใด ความทุกข์ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเจอสิ่งนั้น การวิจัยพบว่า คนที่กลัวเข็มฉีดยานั้น เมื่อถูกเข็มแทงจะรู้สึกปวดมากกว่าคนที่วางเฉยต่อเข็มนั้นถึงสามเท่า คงไม่ผิดหากจะกล่าวว่าใจที่ปฏิเสธต่อต้านความทุกข์ย่อมทำให้ความทุกข์นั้นทบทวีหรือตรีคูณ

    ในทางตรงข้ามทันทีที่เราหยุดต่อต้านขัดขืน ยอมรับเหตุร้ายที่เกิดขึ้น ความทุกข์จะลดลงไปมาก คนที่ยอมรับความจริงได้ว่าตนเองเป็นมะเร็ง ไม่ต่อต้านขัดขืน หรือคร่ำครวญตีโพยตีพายอีกต่อไป จะพบว่ามีแต่กายเท่านั้นที่ทุกข์ แต่ใจไม่ทุกข์ด้วย

    เป็นธรรมดาของคนเราเมื่อเจอภัยคุกคามหรือสิ่งที่ไม่ชอบ ย่อมมีปฏิกิริยาในทางใดทางหนึ่งเสมอคือ ถ้าไม่หนี ก็ต่อสู้ แม้ตัวจะหนีไม่พ้น แต่ใจก็ยังดิ้นรนขัดขืนหรือต่อสู้ ซึ่งก็ยิ่งทำให้เป็นทุกข์มากขึ้น แต่หากเรามีสติรู้ทันใจที่ดิ้นรนขัดขืน มันก็จะค่อย ๆ สงบลง ไม่ว่าการดิ้นรนขัดขืนนั้นจะแสดงออกมาในรูปของความกลัว ความวิตกกังวล ความโกรธแค้น ความน้อยเนื้อต่ำใจ ก็สามารถสงบลงได้เมื่อมีสติหรือรู้ตัว

    ในทางตรงข้ามการกดข่มหรือพยายามกำจัดมันกลับทำให้มันดำรงคงอยู่ต่อไป แม้ดูเหมือนจะหายไป แต่แท้จริงมันกลับหลบซ่อน และพร้อมจะปรากฏตัวอีกด้วยอาการที่รุนแรงกว่าเดิมหากมีอะไรมากระทบหรือสะกิดใจเรา จะว่าไปก็คงไม่ต่างจากการเกาให้หายคันเวลาถูกยุงกัดหรือเป็นลมพิษ แทนที่ความคันจะหายไป มันกลับเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกาหนักขึ้น กลายเป็นว่ายิ่งเกาก็ยิ่งคัน การอยู่เฉย ๆ รับรู้ความคันที่เกิดขึ้นกับกาย และรู้ทันใจที่ดิ้นรนกระสับกระส่าย กลับช่วยให้ความทุกข์ทุเลาเบาบางลง

    การยอมรับความจริง มิได้หมายถึงการยอมจำนนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ที่จริงแล้วมันกลับช่วยให้เราสามารถรับมือกับเหตุร้ายได้ดีขึ้น คนที่ยอมรับความเจ็บป่วยได้ นอกจากใจจะทุกข์น้อยลงแล้ว ยังมีเวลาใคร่ครวญหาทางเยียวยารักษา สามารถใช้สติปัญญาอย่างเต็มที่ ไม่ถูกรบกวนด้วยอารมณ์ต่าง ๆ ผิดกับคนที่ไม่ยอมรับความจริง จะมัวแต่ตีโพยตีพาย คร่ำครวญวิตกกังวล จนไม่เป็นอันทำอะไร สิ่งที่ควรทำจึงไม่ได้ทำ ปัญหาที่ควรแก้จึงไม่ได้แก้

    ลองถามตัวเองว่าแต่ละวันเราเสียเวลาและพลังงานไปกับการคร่ำครวญหรือวิตกกังวลมากมายเพียงใด บางเรื่องเกิดขึ้นนานแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ ป่วยการที่จะนึกถึง ขณะที่บางเรื่องก็ยังไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ แต่เรากลับตีโพยตีพายไปล่วงหน้าแล้ว แม้แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ก็เถอะ ลองตั้งสติและมองให้รอบด้านอาจพบว่า มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหนักหนาเลย เป็นแต่ไม่ตรงกับความคาดหวังของเราเท่านั้น ลองปล่อยวางความคาดหวังนั้น ก็จะพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เหลือบ่ากว่าแรง อีกทั้งอาจมีแง่ดีบางอย่างที่ไม่เคยนึกมาก่อนก็ได้ ที่สำคัญก็คือ อย่ามัวจดจ่อปักใจอยู่กับสิ่งแย่ ๆ ที่เกิดขึ้น จนลืมว่าชีวิตนี้ยังมีสิ่งดี ๆ อีกมากมายที่รอการชื่นชมจากเรา

    ความทุกข์บางอย่างเราหนีไม่พ้นก็จริง แต่หากเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้เป็น ใจก็ไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป
    :- https://visalo.org/article/secret255403.htm
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,900
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,041
    พรที่คู่ควรกับชีวิต
    พระไพศาล วิสาโล
    สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ แห่งวัดสะแก จังหวัดอยุธยา เป็นพระที่มีผู้คนเคารพนับถือมาก หลายคนมาหาท่านเพราะได้ยินกิตติศัพท์ของท่านในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์และอิทธิปาฏิหาริย์ มีเรื่องเล่าว่า ชายผู้หนึ่งมาบวชที่วัดสะแกอยู่พักใหญ่ เมื่อจะลาสิกขาก็มาหาหลวงปู่เพื่อขอให้ท่านพรมน้ำมนต์และให้พร ขณะที่หลวงปู่พรมน้ำมนต์ให้ พระรูปนั้นตั้งจิตอธิษฐานในใจว่า “ขอความร่ำรวยมหาศาล ขอลาภขอผลพูนทวี มีกินมีใช้ ไม่รู้หมด จะได้แบ่งไปทำบุญมาก ๆ”

    พอท่านอธิษฐานเสร็จ หลวงปู่ก็มองหน้าพร้อมกับพูดว่า “ท่าน...ที่ท่านคิดน่ะมันต่ำ คิดให้มันสูงไว้ไม่ดีหรือ แล้วเรื่องที่ท่านคิดน่ะจะตามมาทีหลัง”

    เมื่อพูดถึงพรหรือสิ่งประเสริฐ ผู้คนมักคิดถึงแต่เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ แต่แท้จริงแล้ว มีสิ่งที่ประเสริฐกว่านั้นอีก ซึ่งจะช่วยนำความสุขมาให้แก่ชีวิตอย่างยั่งยืน สิ่งนั้นได้แก่คุณธรรมหรือคุณภาพจิตที่ดีงาม อาทิ วิริยะ ศีล สมาธิ สติ และ ปัญญา หากมีขึ้น นอกจากความสงบเย็นและมั่นคงในจิตใจแล้ว ความสำเร็จทางโลกก็จะตามมา

    ด้วยเหตุนี้พระสุปฏิปันโนซึ่งเปี่ยมด้วยปัญญาอย่างหลวงปู่ดู่จึงเตือนพระรูปนั้นให้นึกถึงสิ่งที่ประเสริฐกว่าความร่ำรวยและโชคลาภ

    เรื่องราวของหลวงปู่ดู่ยังสอดคล้องกับชาดกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องราวของพระพุทธเจ้าสมัยยังเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ชื่อกัณหาฤาษี ฤาษีท่านนี้ทำความเพียรและบำเพ็ญคุณธรรมจนท้าวสักกะหรือพระอินทร์ยกย่องนับถือ วันหนึ่งท้าวสักกะเสด็จมาเยี่ยมกัณหาฤาษีเพื่อประทานพร ๔ ประการ แต่แทนที่ฤาษีจะขอให้มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ หรือทรัพย์สมบัติ กลับบอกท้าวสักกะว่า “หากพระองค์จะประทานพรแก่อาตมา อาตมาหวังเฉพาะความประพฤติของตน คือ อย่ามีความโกรธ อย่ามีโทสะ อย่ามีความโลภ และอย่ามีความเสน่หา ขอพระองค์ทรงประทานพรทั้ง ๔ ประการเหล่านี้แก่อาตมาเถิด”

    ท้าวสักกะคาดไม่ถึงว่าจะเจอคำตอบแบบนี้ แน่นอนว่าพระองค์ไม่สามารถประทานให้ได้ เพราะเป็นสิ่งที่เจ้าตัวเท่านั้นที่จะทำให้เกิดขึ้นแก่ตนได้

    มีชาดกอีกเรื่องที่คล้าย ๆ กัน อกิตติฤาษีเป็นอีกผู้หนึ่งท้าวสักกะเสด็จมาเพื่อประทานพร ๔ ประการแต่คำตอบที่ได้จากฤาษีก็คือ “ขอให้อาตมาไม่พึงพบเห็นคนพาล ไม่พึงได้ยิน ไม่พึงอยู่ร่วมกับคนพาล ไม่พึงทำการเจรจาปราศรัย และไม่พึงพอใจการเจรจาปราศรัยกับคนพาลเลย” ฤาษีคงรู้ว่าท้าวสักกะประทานพรดังกล่าวให้ไม่ได้ จึงเปลี่ยนใจ ขอพรเพียงแค่ข้อเดียวคือ “ขอมหาบพิตรอย่าเสด็จมาหาอาตมาอีกเลย” ทั้งนี้ท่านให้เหตุผลว่า การเสด็จมาของท้าวสักกะ อาจทำให้ท่านประมาทในการบำเพ็ญเพียร “การพบเห็นมหาบพิตรจะเป็นภัยแก่อาตมา”

    เมื่อได้อ่านเรื่องราวของหลวงปู่ดู่และฤาษีทั้งสองแล้ว ผู้มีปัญญาย่อมตัดสินได้เองว่าอะไรคือพรอันประเสริฐที่ตนควรตั้งจิตปรารถนาให้บังเกิดขึ้นกับตน แน่นอนว่าการตั้งจิตปรารถนาอย่างเดียวย่อมไม่พอ แต่จะต้องลงมือทำด้วยความเพียรของตนด้วย

    ดังนั้นในโอกาสปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ อาตมาขออวยพรให้ผู้อ่านซีเคร็ตทุกท่านมีความเพียรพยายามในการสร้างคุณงามความดีและบ่มเพาะคุณภาพจิตให้เจริญงอกงาม จนพบความสงบเย็นในชีวิต มีปัญญาพาจิตออกจากความทุกข์ เข้าถึงสุขอันเกษมคือพระนิพพานในปัจจุบันชาติด้วยเทอญ
    :- https://visalo.org/article/secret256101.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...