เว็บพลังจิต ปฎิทินพลังจิตธรรมสัญจร 54

เล่าสู่กันฟังตามประสา กับ... อีกหนึ่งบททดสอบของจิตใจ

​

วันนี้...ย่างเข้าสู่วันที่ ๗ ของอาการป่วย ซึ่งยอมรับว่าหนักมากในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา ช่วงบ่ายมีอาการหายใจไม่ออก จมูกตีบตัน หายใจทางปากก็ไม่ทันเกิดความรู้สึกเหมือนจะขาดใจตาย ใจเกาะภาพพระและคิดว่า จะตายก็ตายไป อยากจะทำอะไรกับร่างก็ขอเชิญทำได้ตามสะดวก ผลปรากฎว่า หายใจโล่งขึ้นมาดื้อ ๆ

ตลอดหลายวันที่ผ่านมามีหลายคนในคณะส่งข่าวมาตลอดว่า ป่วยและไม่สบายด้วยอาการแตกต่างกันไป รวมถึงมีกัลยาณธรรมที่ไม่รู้จักส่ง SMS ข้อความแสดงความห่วงใยมาให้ แต่ด้วยความที่ตัวเองอาการหนักและสลึมสลือจากฤทธิ์ยาทำให้ไม่ค่อยได้ใส่ใจ จนมาวันนี้ที่เกิดเหตุปางตาย จึงส่ง SMS แจ้งหลายคนว่าเ็ป็นเช่นไร มีพี่เพื่อนน้องหลายคนตอบให้กำลังใจ และแจ้งว่าก็ป่วยเช่นเดียวกัน พอได้อ่าน กำลังใจมันฟื้นกลับมาทันที่ มีความรู้สึกว่า "เราไม่ได้ป่วยคนเดียว หลายคนที่เดินทางไปกับเราก็ป่วยกลับมา แล้วทำไมเราต้องมาอ่อนแอ นอนงอมืองอเท้าอยู่เช่นนี้" เรี่ยวแรงไม่รู้ว่ามาจากไหน ลุกขึ้นจากเตียงได้โดยอัตโนมัติ อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายได้ด้วยตัวเอง แล้วก็เข้ามาขอเล่าความรู้สึกสู่กันฟังตามประสา

ขอแจ้งว่า...กำลังใจที่ได้รับจากทุกท่านนั้น มีคุณค่าและประเสริฐยิ่งนัก โดยเฉพาะพี่ญาติธรรมที่นับถือ ที่ส่งความห่วงใยมาตลอด วันนี้ไม่ได้มึนงงเพราะฤทธิ์ยา มีสติกลับคืนมาครบถ้วน จึงอยากจะขอบอกทุกท่านสั้น ๆ ว่า "ขอบคุณค่ะ"

 

ขอบพระคุณทุกคำแนะนำ ทุกความห่วงใยจากทุกคนและทำตามด้วยความยินดีค่ะ เมื่อคืนตอนใกล้รุ่ง ซึ่งตรงกับวันพระขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๔ มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองเยอะ เช้าวันนี้ รู้สึกร่างกายฟื้นตัวดีมากขึ้นเรื่อย ๆ (พระเมตตา)

คิดว่า "เตียวขึ้นดอย" ที่ตั้งใจเดินเท้าร่วมสืบสานประเพณีถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชาจากวัดหนองก๋ายถึงวัดพระพุทธบาทสี่รอย ในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ สามารถที่จะมีกำลังกายพาทุกคนขึ้นไปจนถึงยอดเขาพระพุทธบาทแน่นอน และพร้อมกับกิจกรรมบุญอื่น ๆ ต่อไป

โมทนาค่ะ

 

บทส่งท้ายของธรรมเฉพาะกิจ (๑)

บทส่งท้ายของธรรมเฉพาะกิจ (๑) ร่วมพิธีพระราชทานเพลิงพระสรีระสังขารพระธรรมวิสุทธิมงคล (องค์หลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน) ณ พระเมรุชั่วคราว วัดเกษรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) จ.อุดรธานี วันที่ ๔-๖ มีนาคม ๒๕๕๔

[ame="http://www.youtube.com/watch?v=11hUocrel84"] ตามรอยบัว[/ame]
[ame="http://www.youtube.com/watch?v=eXO9RA9Ssgk&feature=related"]พระอริยเจ้าของแผ่นดิน[/ame]
[ame="http://www.youtube.com/watch?v=wHC6c0OgzsE"]อาจาริยบูชา หลวงตามหาบัว[/ame]

และขออนุญาตนำเอา Link ที่กัลยาณธรรมหลายท่านส่งให้ทางเมล์ มาลงไว้ที่หน้ากระทู้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกสำหรับทุกท่านที่ต้องการเก็บเอาไว้อ่านในเวลาว่างและเก็บไว้เป็นที่ระลึก เครดิตของทุกข้อมูลขอมอบให้กับกัลยาณธรรมทุกท่านที่สงเมล์มาให้

Link File หนังสือที่ระลึกงานพระราชทา<wbr>นถวายเพลิงสรีระสังขาร องค์หลวงตา วันเสาร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๔
Link ภาพพิธีพระราชทานเพลิงฯ แบบพาโนรามา
Link เจาะใจหลวงตามหาบัว (๑)
Link เจาะใจหลวงตามหาบัว (๒)
Link เจาะใจหลวงตามหาบัว (๓)
Link เจาะใจหลวงตามหาบัว (๔)

หนังสือที่ระลึกในพิธีพระราชทานเพลิงพระสรีระสังขาร (ชุดด้านล่างนี้ เป็น .pdf)
ไม่น่าเกิดมาตาย เีรียกว่าชาติสุดท้าย
<wbr>
กายคตาสติ
กิเลสเป็นภัย
เข้าสู่แดนอวกาศของจิตของธรรม
ความลึกลับซับซ้อนของจิตวิญญาน
คุยกันกับลูกศิษย์
ชาติสุดท้าย
ธรรมชุดเตรียมพร้อม
ปฎิปทา พระธุดงค์ธรรมฐาน
ประวัติ พระอาจารย์มั่น
ปัญญาอบรมสมาธิ
มหัศจรรย์มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่
มารู้จักวัดป่าบ้านตาด
วิธีทำสมาธิแบบหลวงปู่มั่น
หยดน้ำบนใบบัว

อานิสงส์ผลบุญที่ชาวคณะทุกท่านได้ร่วมเดินทางเป็นตัวแทนไปในครั้งนี้ ขอให้เป็นพละกำลังอันยิ่งใหญ่ในการเป็นกำลังแห่งการมุ่งมั่นทำความดี ยึดตามหลักคำสอนสมดั่งเจตนารมณ์ขององค์หลวงตาที่ไ้ด้มอบให้ไว้ ขออุทิศผลบุญนี้เพื่อประเทศชาติ ศาสนา องค์พระมหากษัตริย์ ขอสืบสานปฎิธานมุ่งมั่นทำความดีเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และขออุทิศผลบุญนี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรของทุกท่าน ทุกผู้ ทุกนาม ขอให้มาร่วมโมทนาในผลบุญนี้ด้วยกันทุกประการเทอญ

​

 

​

 

แจ้งสรุปความคืบหน้าของทริปเฉพาะกิจ (๒)

... เรียนสมาชิกร่วมเดินทางทุกท่านทราบ ขออนุญาตแจ้งความคืบหน้าเรื่อง ทริปธรรมเฉพาะกิจ (๒) ประเพณี "เตียวขึ้นดอย" สรงน้ำพระพุทธบาทสี่รอย-พระธาตุลำปางหลวง-พระธาตุหริภุญชัย จ.เชียงใหม่-ลำปาง-ลำพูน วันที่ ๑๘-๑๙ มี.ค. ๕๔ รวม ๒ วัน ๑ คืน ให้ทุกท่านทราบโดยพร้อมเพรียงกัน ดังนี้

๑. การเดินทาง
รถตู้ปรับอากาศ VIP ๑๐ ที่นั่ง จำนวน ๑ คัน/ขนาด ๑๓ ที่นั่ง ๑ คัน
- พลังจิต ๑ จำนวน ๑๓ คน
- พลังจิต ๒ จำนวน ๑๐ คน

รวมสมาชิกร่วมเดินทาง ๒๓ คน
​

(อ้างอิงจากหน้า ๑๐ คคห.ที่ ๑๙๑)

๒. ผังที่นั่ง
เมื่อสมาชิกเดินทางถึงจุดนัดพบ ขอให้แจ้งชื่อ-หมายเลขรถ (พลังจิต ๑-พลังจิต ๒) และแถวที่นั่งให้กับเจ้าหน้าที่ทราบ เพื่อรับป้ายชื่อ-ขนม-น้ำดื่ม ก่อนที่จะขึ้นนั่งประจำที่บนรถ

​

๓. วัน, เวลา/สถานที่ขึ้นรถ
วันศุกร์ ที่ ๑๘ มี.ค.๕๔
เวลา ๐๔.๐๐ น. จุดนัดพบ ปั๊มน้ำมัน ปตท.สนามเป้า
๐๔.๑๕ น. ล้อหมุน

๔. การแต่งกาย
- ผ้าไทย หรือตามอัธยาศัย
- วันศุกร์ ช่วงเดินขึ้นดอย แนะนำเป็นชุดขาวหรือสีสุภาพ
- รองเท้า ขอให้เป็นรองเท้าแตะแบบรัดส้น

๕. อาหารและน้ำดื่ม
- บริการขนม น้ำดื่ม ๑ มื้อ
- โรงทาน และตามอัธยาศัย

๖. กิจกรรมบุญในทริปนี้
- ร่วมถวายปัจจัย-วิหารทาน-ธรรมทาน-สังฆทาน-ชำระหนี้สงฆ์ วัดพระธาตุลำปางหลวง
- ร่วมถวายปัจจัย-วิหารทาน-ธรรมทาน-สังฆทาน-ชำระหนี้สงฆ์ วัดพระธาตุหริภุญชัย
- ร่วมถวายปัจจัย-วิหารทาน-ธรรมทาน-สังฆทาน-ชำระหนี้สงฆ์ วัดหนองก๋าย
- ร่วมถวายปัจจัย-วิหารทาน-ธรรมทาน-สังฆทาน-ชำระหนี้สงม์-ผ้าป่าสามัคคี วัดพระพุทธบาทสี่รอย

๗. ยอดเงินรวมบุญ ณ วันที่ ๑๕ มี.ค.๕๔ จำนวน ๑,๖๘๐ บาท
(อ้างอิงจากหน้า ๑๐ คคห.ที่ ๑๙๑)

๘. ทั่วไป

- การปฎิบัติ
​

ทริปนี้หัวใจหลักคือ ร่วมสืบสานประเพณี "เตียวขึ้นดอย" ตามรอยองค์ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้่านนาไทย ซึ่งต้องเดินเท้าเป็นระยะทาง ๑๖ กิโลเมตร ขอให้สมาชิกทุกท่านวางกำลังใจและกำลังกายให้ดี สมาชิกท่านใดไม่ไหว อย่าฝืน ให้นั่งรอรถที่จะเก็บ (ตก) ผู้ร่วมบุญระหว่างทาง สมาชิกท่านใดไหว ขอให้เกาะกลุ่มเดิน ตัว จขกท.เองตั้งจิตอธิษฐานเดินไว้ตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นขอให้สบายใจได้ว่าจะเดินไปจนถึงยอดโดยไม่มีการทิ้งสมาชิกทั้ง ๒๒ ท่านระหว่างทางแน่นอน

- สภาพเส้นทาง
เส้นทางเป็นถนนราดยาง จะเริ่มชันตั้งแต่กิโลเมตรที่ ๖ และชันขึ้นเรื่อย ๆ มีจุดบริการน้ำดื่มเป็นระยะ ๆ ใช้ระยะเวลาในการเดินเท้าประมาณ ๑๐ ชั่วโมง (เิริ่มเดินเวลา ๒๐.๐๐ น.ของวันศุกร์ - เวลา ๐๖.๐๐ น.ของวันเสาร์)

- สภาพอากาศ
ช่วงนี้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย
กลางวัน อากาศร้อน เตรียมแว่นกันแดด ร่ม หมวก
กลางคืน ตลอดเส้นทางอากาศบนเขาหนาวเย็น โดยเฉพาะช่วงใกล้รุ่ง ขอให้ทุกท่านจัดเตรียมอุปกรณ์กันหนาว อาทิ เสื้อกันหนาว หมวกไหมพรม รวมถึงท่านที่มีโรคประจำตัว อย่าลืม นำยาของท่านไปด้วย

 

ตอบคุณ PORNPIMOL

พาพระอรหันต์ในบ้านไปทำบุญ โมทนาด้วยจ้ะหนิง

ตอบ คุณ bhothisata
ยินดีที่พี่รอดพ้นเหตุการณ์สินามิมาได้และเดินทางกลับถึงประเทศไทยได้โดยสวัสดิภาพ เห็นภาพข่าวตั้งแต่วันที่เกิดเหตุแล้ว ก็ได้คิดนะว่า ถึงเวลาธรรมชาติเอาคืนและช่างเป็นการเอาคืนที่รุนแรงเกรี้ยวกราดพอสมควร ก็ขอไว้อาลัยกับทุกคนที่เสียชีวิต ขอให้ทุกดวงวิญญานไปสู่สุคติ ไปเกิดในภพภูมิใหม่ที่ดี และขอแสดงความเสียใจกับญาติพี่น้องที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักหรือเป็นเสาหลักของครอบครัว ขอให้มีกำลังใจที่เข็มแข็งเพราะชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป

เมื่อมองไปถึงเหตุการณ์แล้วย้อนกลับมาดูตน ก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย จขกท.ใช้ร่างกายหนักเกินไปด้วยความประมาท คิดว่าอายุน้อยยังแข็งแรง แต่ลืมคิดไปว่า ร่างกายที่ประกอบขึ้นมาจากสิ่งต่าง ๆ นั้นมันไม่จีรังยั่งยืน เมื่อใช้งานเขามากถึงเวลาเขาก็ประท้วง ซึ่งก็หนักไม่แพ้กัน ทุกอย่างล้วนเป็นเหตุและผลในตัวเอง เป็นสัจธรรมและกฎแห่งความไม่เที่ยง เพียงแต่ก็ยังนึกดีใจที่เมื่อเวลาแห่งความตายมาถึงกับวินาทีเฉียดตาย สติยังมีอยู่เต็มร้อย จับภาพพระได้แม่นยำและไม่ได้มีความหวาดกลัว สองครั้งแล้วนะสำหรับตัวเองกับเหตุการณ์แบบนี้ ปีที่แล้ว ๒ วันก่อนที่จะเดินทางไปพระพุทธบาทพลวง (คิชฌกูฎ) เกิดอุบัติเหตุถูกรถยนต์ชนจนเดี้ยง แต่ก็ยังไปขึ้นเขาได้ด้วยใจเกินร้อย มาปีนี้ป่วยหนักก่อนขึ้นพระบาทสี่รอย แต่กำลังใจก็ยังไม่ตก...

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำเรื่องน้ำป้องกันหวัด ไม่เคยรู้มาก่อน แต่เพราะเป็นคนที่ดื่มน้ำเก่งมากเหมือนอูฐ และดื่มทุกเช้าจนกลายเป็นความเคยชินที่ต้องปฎิบัติ จนมารู้จากพี่และคิดว่านั่นคงคือเหตุผลหนึ่งที่ทำไมทำให้ร่างกาย จขกท.แข็งแรงมาได้ตลอดในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาทั้ง ๆ ที่มีโรคประจำตัวคือ โรคภูมิแพ้

 

มีสอบถามหลังไมค์มาหลายท่าน เกี่ยวกับประเพณี "เตียวขึ้นดอย" จริง ๆ เอารายละเอียดมาลงให้อ่านแล้ว แต่คิดว่าหลายท่านคงไม่อยากไปค้น เลยต้องขออนุญาตนำมาวางให้ได้อ่านกันอีกครั้งกับสถานที่ ๆ จะเดินทางไปในธรรมเฉพาะกิจ (๒) ค่ะ

๑. วัดพระพุทธบาทสี่รอย

ตั้งอยู่ ต.สะลวง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เป็นที่ประดิษฐาน รอยพระพุทธบาท แห่งองค์สมเด็จพระโลกนาถ สัมมาสัมพุทธเจ้าถึง ๔ พระองค์

เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในศาสนาปัจจุบันนี้ ได้เสด็จจาริกประกาศธรรมและโปรดเวไนยสัตว์มายังปัจจันตประเทศ (ประเทศไทยปัจจุบัน) จนกระทั่งมาถึงเทือกเขาทางตอนเหนือของประเทศชื่อ เขาเวภารบรรพต ซึ่งขณะนั้นได้เสด็จพร้อมกับพุทธสาวก ๕๐๐ องค์และได้แวะฉันจังหันอยู่บนเขาเวภารบรรพตแห่งนี้ เมื่อพระพุทธองค์ฉันจังหันเสร็จขณะประทับอยู่ที่นั้นก็ได้ทราบด้วยญาณ สมาบัติว่าบนเทือกเขาแห่งนี้ได้มีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ามาประทับอยู่ บนก้อนหินใหญ่ คือ พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ภัทรกัลป์นี้แล้ว พระพุทธองค์ก็ทรงเล็งดูรอยพระพุทธบาทแห่งพระ พุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ คือ พระพุทธเจ้ากกุสันธะ พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ พระพุทธเจ้ากัสสปะ อันมีในที่นี้พุทธสาวกทั้งหลายมีพระสารีบุตรเป็นประธาน เมื่อเห็นเช่นนี้จึงทูลถามว่าพระพุทธองค์ทรงเล็งดูด้วยเหตุใด พระพุทธองค์ตอบว่า ดูก่อนท่านทั้งหลายสถานที่แห่งนี้ แม้นว่าพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ที่ล่วงมาแล้วในอดีตกาลก็มาประทับรอยพระบาทไว้ ณ ที่นี้ทุก ๆ พระองค์ และแม้นว่าพระศรีอาริยเมตไตรก็จักเสด็จมาประทับรอยพระบาทไว้ ณ ที่นี้และจักประทับรอยพระบาทสี่รอยนี้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว (คือ ประทับลบทั้งสี่รอยให้เหลือรอยเดียว )

เมื่อพระพุทธองค์ตรัสแก่สาวกทั้งหลายเสร็จแล้วพระองค์ก็เสด็จไปประทับรอยพระ บาทซ้อนรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ จึงมีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์จึงกําเนิดเป็นพระพุทธบาทสี่รอย เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาทของ พระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์นั้นแล้วก็ทรงอธิษฐานว่าในเมื่อกูตถาคตนิพพานไปแล้ว เทวดาทั้งหลายก็จักนําเอาพระธาตุของกูตถาคมมาบรรจุไว้ที่รอยพระบาทที่นี่ ในเมื่อกูตถาคตนิพพานไปแล้ว ๒,๐๐๐ ปี พระพุทธบาทสี่รอยนี้ก็จักปรากฏแก่ปวงคนและเทวดาทั้งหลายก็จักได้มาไหว้และ บูชา เมื่อทรงอธิษฐานและทํานายไว้ดังนี้แล้ว พระพุทธองค์ก็เสด็จไปเชตวันอารามอันมีในเมืองสาวัตถีวันนั้นแล เมื่อพระพุทธเจ้าทรงนิพพานไปแล้วเทวดาทั้งหลายก็นําเอาพระธาตุของพระ พุทธองค์มาบรรจุไว้ที่พระพุทธบาทสี่รอย

เมื่อพระพุทธองค์นิพพานล่วงแล้วประมาณ ๒,๐๐๐ วัสสา เทวดาทั้งหลายต้องการอยากให้พระพุทธบาทสี่รอยปรากฏแก่คนทั้งหลายตามที่พระ พุทธองค์ทรงอธิษฐานไว้ก็จึงเนรมิตเป็นรุ้งตัวใหญ่ ( เหยี่ยว ) ก็บินลงจากภูเขาเวภารบรรพตอันเป็นที่ตั้งแห่งพระพุทธบาทสี่รอยในปัจจุบันนี้ เพื่อบินลงไปเอาลูกไก่ชาวบ้าน ( พรานป่า) ที่อยู่ตีนเขาเวภารบรรพต แล้วก็บินกลับขึ้นไปอยู่ยอดเขา พรานป่าโกรธมากจึงตามขึ้นไปคิดว่าจะยิงเสียให้ตาย ติดตามไปค้นหาดูแต่ก็ไม่เห็นรุ้งตัวนั้นอีก แต่เห็นรอยพระพุทธบาทสี่รอยอันอยู่พื้นต้นไม้และเถาวัลย์ พรานป่าผู้นั้นก็ทําการสักการะบูชา เสร็จแล้วก็ลงจากภูเขา พอมาถึงหมู่บ้านก็เล่าบอกแก่ชาวบ้านทั้งหลายฟังความอันนั้นก็ปรากฏสืบ ๆ กันไป คนทั้งหลายที่ทราบก็พากันไปสักการะบูชามาก แต่นั้นมาจึงได้ชื่อว่า พระบาทรังรุ้ง (รังเหยี่ยว)

ในสมัยนั้นมีพระยาตนหนึ่งชื่อว่าพระยาเม็งราย เสวยราชสมบัติในเมืองเชียงใหม่ได้ทราบข่าว จึงมีพระราชศรัทธาอยากเสด็จขึ้นไปกราบบูชาพระพุทธบาทสี่รอย ก็นําเอาราชเทวีและเสนาพร้อมกับบริวารทั้งหลาย เมื่อพระยาเม็งรายกราบนมัสการเสร็จแล้ว ก็นําเอาบริวารของตนกลับมาสู่เมืองเชียงใหม่ ก็ตั้งอยู่เสวยราชมบัติตราบเมื่อสิ้นอายุขัยแล้วก็เจริญตามรอยและได้ขึ้น มากราบพระพุทธบาททั้งสี่รอยทุก ๆ พระองค์ หลังจากนั้นมาพระบาทรังรุ้งหรือรังเหยี่ยวก็เปลี่ยนชื่อเป็น" พระพุทธบาทสี่รอย " เพราะมีรอยพระพุทธบาทประทับซ้อนกันถึงสี่รอย คือมีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ที่ล่วงลับมาแล้วในภัทร กัลป์นี้ คือ

๑. รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากกุสันธะ รอยแรกเป็นรอยใหญ่ยาว ๑๒ ศอก
๒. รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ เป็นรอยที่ ๒ ยาว ๙ ศอก
๓. รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากัสสปะเป็นรอยที่ ๓ ยาว ๗ ศอก
๔. รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโคตะมะ (ศาสนาปัจจุบัน) เป็นรอยที่ ๔ รอยเล็กที่สุด ยาว ๔ ศอก

เมื่อมาถึงสมัยพระยาธรรมช้างเผือก ผู้ครองนครเชียงใหม่ พร้อมด้วยบริวาร ๕๐๐ คนก็ขึ้นไปกราบสักการะบูชาพระพุทธบาทสี่รอย และได้สร้างวิหารครอบพระพุทธบาทสี่รอยไว้ชั่วคราว โดยแต่เดิมถ้าใครจะดูรอยพระพุทธบาทบนยอดหินก้อนใหญ่ต้องใช้บันไดพาดขึ้นไป หรือปีนขึ้นไปดูซึ่งก็คงจะขึ้นได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ดังนั้น พระยาธรรมช้างเผือกจึงตรัสสร้างแท่นยืนคล้าย ๆ นั่งร้านรอบ ๆ ก้อนหินที่มีพระพุทธบาทสี่รอยและได้สร้างหลังคาชั่วคราวมุงไว้ ต่อมาในสมัยพระชายาเจ้าดารารัศมีก็ได้ขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอยและ ได้มีพระราชศรัทธาก่อสร้างวิหารเป็นการกราบบูชารอยพระพุทธบาทไว้หนึ่งหลัง เล็กปัจจุบันได้บูรณะปฏิสังขรณ์แล้วทั้งหลัง

พอมาสมัยเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทยก็ ได้ขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย และได้รื้อพระวิหารที่เจ้าพระยาธรรมช้างเผือกสร้างไว้ชั่วคราว และได้สรางพระวิหารครอบรอยพระพุทธบาทไว้ใหม่ และได้ฉาบปูนครอบรอยพระพุทธบาทสี่รอย พระพุทธบาทสี่รอยนี้เป็นพระพุทธบาทที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย

ประเพณีเตียวขึ้นดอย (เดินขึ้นดอย) หรือประเพณีสรงน้ำพระพุทธบาทสี่รอย ผู้ริเริ่มคือ ท่านครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย ซึ่งท่านเป็นผู้นำญาติโยมศรัทธาสาธุชนเดินขบวนแห่ฆ้อง กลองขึ้นไปวัดพระพุทธบาทสี่รอย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีถนนหนทาง ต้องเดินบุกป่าฝ่าดงไปด้วยความยากลำบาก ต้องขึ้นเขาข้ามลำห้วย ๓๒ ท่า ขึ้นไปถึงเช้าวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ และทำบุญตักบาตร เจริญพระพุทธมนต์ สรงน้ำรอยพระพุทธบาท และตั้งแต่นั้นก็เป็นประเพณีปฎิบัติสืบต่อกันมา ๓๐ ปี จนท่านมรณภาพก็ถูกละเลือนไป

พอมาถึงปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ประเพณีจึงถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ โดยเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทสี่รอยในปัจจุบัน คือ พระครูพุทธบทเจติยารักษ์ (ครูบาพรชัย ปิยวณฺโณ) และได้จัดประเพณีสรงน้ำพระพุทธบาทสี่รอยมา่ทุกปี โดยมีการขอพระราชทานน้ำสรงทุกปีเพื่อน้อมนำมาสรงรอยพระพุทธบาทสี่รอย ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ และจะรักษาประเพีอันดีงามและทรงคุณค่านี้ต่อไป

วัตถุประสงค์ในการอนุรักษ์ประเพณีเตียวขึ้นดอย เพื่อ เป็นการสืบทอดเจตนารมณ์ของครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย และพุทธศาสนิกชนผู้เฒ่าผู้แก่ที่ได้ประพฤติปฎิบัติเป็นแบบอย่างแนวทางให้ชน รุ่นหลังได้เดินตามแนวทางปฎิบัติสืบต่อไป และเพื่อให้เป็นการชักจูงศรัทธาสาธุชนได้แสดงออกถึงความสามัคคีและความตั้ง มั่นในพระพุทธศาสนา มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งทางใจในการดำเนินชีวิต เป็นกำลังใจให้ประกอบแต่คุณงามความดี ประพฤติปฎิบัติ ทาน ศีล ภาวนา สืบทอดอายุพระพุทธศาสนายั่งยืนยาวไปตลอดกาล

หมายเหตุ
งานประเพณีสรงน้ำพระพุทธบาทสี่รอยในทุก ๆ ๓ ปี จะตรงกับวันมาหบูชาครั้งหนึ่ง หากปีไหนเป็นเดือน ๘ สองหนทางเหนือ (เดือน ๑๐ ภาคกลาง) ปีนั้นก็จะตรงกับวันมาฆบูชา

ขอบคุณที่มา : วัดพระพุทธบาทสี่รอย/วัดหนองก๋าย



​

๒. วัดพระธาตุลำปางหลวง

ตั้งอยู่ในเขต ต.ลำปางหลวง อ.เกาะคา จ.ลำปาง อยู่ห่างจากตัวเมืองลำปางไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ ๑๘ กิโลเมตร ตัววัดตั้งอยู่บนเนินสูง มีการจัดวางผังและส่วนประกอบของวัดสมบูรณ์แบบที่สุด มีสิ่งก่อสร้าง และสถาปัตยกรรมต่าง ๆ บริเวณพุทธาวาสประกอบด้วย องค์พระธาตุลำปางหลวง มีบันไดนาคนำขึ้นไปสู่ซุ้มประตูโขง ถัดซุ้มประตูโขงขึ้นไปเป็นวิหารหลวง บริเวณทิศเหนือขององค์พระธาตุมีวิหารบริวารตั้งอยู่ คือ วิหารน้ำแต้ม และวิหารต้นแก้ว ด้านตะวันตกขององค์พระธาตุประกอบด้วย วิหารละโว้ และหอพระพุทธบาท ด้านใต้มีวิหารพระพุทธและอุโบสถทั้งหมดนี้จะแวดล้อมด้วยแนวกำแพงแก้วทั้งสี่ ด้าน นอกกำแพงแก้วด้านใต้มีประตูที่จะนำไปสู่เขตสังฆาวาส ซึ่งประกอบด้วยอาคารหอพระำไตรปิฎก กุฎิประดิษฐาน พระแก้วดอนเต้า อาคารพิพิธภัณฑ์และกุฎิสงฆ์

ตามตำนานกล่าวว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระเถระสามองค์ ได้เสด็จจาริกไปตามบ้านเมืองต่าง ๆ จนถึงบ้านสัมภพการีวัน (บ้านลำปางหลวง) พระพุทธเจ้าได้ประทับเหนือดอยม่อนน้อย มีชาวลัวะคนหนึ่ง ชื่อ ลัวะอ้ายกอน เกิดความเลื่อมใสได้นำน้ำผึ้งบรรจุกระบอกไม้ป้างมะพร้าวและมะตูมมาถวายพระ พุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้ฉันน้ำผึ้งแล้วทิ้งกระบอกไม้ป้างไปทางทิศเหนือ แล้วทรงพยากรณ์ว่า สถานที่แห่งนี้ต่อไปจะมีชื่อว่า ลัมพกัปปะนคร แล้วได้ทรงลูบพระเศียร ได้พระเกศามาหนึ่งเส้น มอบให้แก่ลัวะอ้ายกอนผู้นั้น ลัวะอ้ายกอนได้นำพระเกศานั้น บรรจุในผอบทองคำและใส่ลงในอุโมงค์พร้อมกับถวายแก้วแหวนเงินทองเป็นเครื่อง บูชา แล้วแต่งยนต์ผัด (ยนต์หมุน) รักษาไว้ และถมดินให้เรียบเสมอกัน แล้วก่อเป็นพระเจดีย์สูงเจ็ดศอกเหนืออุโมงค์นั้น ในสมัยต่อมาก็ได้มีกษัตรยิ์เจ้าผู้ครองนครลำปางอีกหลายพระองค์ มาก่อสร้างและบูรณะซ่อมแซม จนกระทั่งเป็นวัดที่มีความงามอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ในทางประวัติศาสตร์นครลำปาง วัดพระธาตุลำปางหลวงมีประวัติว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๗๕ นครลำปางว่างจากผู้ครองนครและเกิดความวุ่นวายขึ้น สมัยนั้นพม่าเรืองอำนาจได้แผ่อิทธิพลปกครองอาณาจักรล้านนาไว้ได้ทั้งหมด พม่าได้ยึดครองนครเชียงใหม่ ลำพูน โดยแต่งตั้งเจ้าผู้ครองนครอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์พม่า ท้าวมหายศ เจ้าผู้ครองนครลำพูนได้ยกกำลังมายึดนครลำปาง โดยได้มาตั้งค่ายอยู่ภายในวัดพระธาตุลำปางหลวง ครั้งนั้น หนานทิพย์ช้าง (ปัจจุบันอยู่อำเภอห้างฉัตร) วีรบุรุษของชาวลำปาง ได้รวบรวมพลทำการต่อสู้ทัพเจ้ามหายศ โดยลอบเข้ามาในวัด และใช้ปืนยิงท้าวมหายศตาย แล้วตีทัพลำพูนแตกพ่ายไป ปัจจุบันยังปรากฏรอยลูกปืนอยู่บนรั๊วทองเหลืองที่ล้อมองค์พระธาตุเจดีย์ ต่อมาหนานทิพย์ช้างได้รับสถาปนาขึ้นเป็น พระยาสละวะลือไชยสงคราม เจ้าผู้ครองนครลำปาง และเป็นต้นตระกูล ณ ลำปาง เชื้อเจ็ดตน ณ เชียงใหม่ ณ ลำพูน ณ น่าน

ขอบคุณที่มา : วิกิพีเดีย

​

๓. วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร

เป็นพระอารามหลวง ชั้นเอกชนิดวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ใจกลางเมืองลำพูน มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ ๒๗ ไร่ ๓ งาน ๘๘ ตารางวา สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๗ โดยที่แห่งนี้ เคยเป็นพระราชฐานของพระองค์ซึ่งพระราชทานอุทิศถวายให้เป็นวัดพระธาตุฯ เพื่อเป็นพุทธบูชาหลังจากทีพระบรมสารีริกธาตุได้ปรากฏให้พระองค์ได้ทอดพระ เนตรในบริเวณดังกล่าว มวลสารผงจากองค์พระบรมธาตุหริภุญชัยใช้ทำระสมเด็จจิตรลดา

พระบรมธาตุหริภุญชัย เป็นโบราณสถานอันสำคัญของนครหริภุญชัยที่พระเจ้าอาทิตยราช เป็นผู้สถาปนาขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ อันมีธาตุกระหม่อม ธาตุกระดูกอก ธาตุกระดูกนิ้วมือ และธาตุย่อยอีกเต็มบาตรหนึ่ง ตามพุทธทำนายลักษณะทางสถาปัตยกรรมขององค์พระธาตุหริภุญชัย ตามที่ปรากฏในหนังสือตำนานพระธาตุหริภุญชัย กล่าวว่ามีลักษณะเป็นสถูปสี่เหลี่ยมทรงปราสาทที่มีซุ้มทวารเข้า-ออกทะลุกัน ได้ทั้งสี่ด้าน มีปราสาทสี่เหลี่ยมอยู่ตรงมุมละองค์ ก่อด้วยศิลาแลงซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีมากอยู่ในเมืองนี้ ภายในเป็นแท่นสำหรับประดิษฐานพระโกศที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ในสมัยของพญาสรรพสิทธิ์ กษัตริย์แห่งราชวงศ์จามเทวีวงศ์ ทรงโปรดให้ปฎิสังขรณ์เจดีย์เดิมที่พญาอาทิตยราชทรงสร้างไว้ และได้ขุดร่องทวารประตูเข้า-ออกทั้งสี่เพื่อความปลอดภัย รูปทรงสันฐานขององค์พระบรมธาตุยังคงเป็นลักษณะเดิม คือ เป็นทรงปราสาทสี่เหลี่ยมที่กว้างใหญ่และสูง เมื่อพญามังรายตีเมืองหริภุญชัยได้ โปรดให้ซ่อมแซมดัดแปลงองค์พระธาตุขึ้นใหม่ การปฏิสังขรณ์ครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงทรวดทรงขององค์พระธาตุฯ จากทรงปราสาทกลายเป็นทรงเจดีย์ฐานกลมแบบทรงลังกา ในสมัยของพระเจ้าแสนเมืองมาประมาณปี พ.ศ. ๑๙๕๑ โปรดให้มีการปิดทององค์พระธาตุ

พ.ศ. ๑๙๙๐ พระเจ้าติโลกราช กษัตริย์องค์สำคัญแห่งเมืองเชียงใหม่ ทรงร่วมกับพระมหาธังกรเถระ ก่อพระมหาเจดีย์ให้สูงขึ้นเป็น ๙๒ ศอก กว้างยาวขึ้น ๕๒ ศอก เป็นรูปร่างที่เห็นเป็นอยู่ในปัจจุบัน ในรัชสมัยของพญาอาทิตยราช กษัตริย์แห่งราชวงศ์จามเทวีวงศ์

ขอบคุณที่มา : วิกีพีเดีย
​

 

ส่วนรายละเอียดกำหนดการเดินทางของกิจกรรมบุญประจำเดือนมีนาคมอีก ๒ กิจกรรม และรายชื่อผู้ร่วมบุญ-ร่วมเดินทาง ทั้งของธรรมเฉพาะกิจ (๒) และธรรมสัญจร (๔) ขอให้เข้าไปอ่านได้ที่หน้า ๑๐ คคห.ที่ ๑๙๐-๑๙๑ เพราะข้อมูลจะเก็บไว้ที่นั้น คลิก

​

​

 

แจ้งเปลี่ยนแปลงรถ

วันนี้...มีสมาชิกแจ้งความประสงค์ร่วมเดินทาง "เตียวขึ้นดอย" เพิ่มอีก ๒ คน จริง ๆ มีแจ้งไว้ตั้งแต่วันปิดยอดแล้ว ๑ คน แต่เนื่องจากขณะนี้ไม่มีสมาชิกท่านใดถอนตัว และเหลือเวลาอีกเพียง ๓ วันก่อนการเดินทาง จึงต้องขออนุญาตปรับเปลี่ยนรถจากเดิม ๑๐ ที่นั่ง ๒ คัน เป็น ๑๐ ที่ั่นั่ง ๑ คันและ ๑๓ ที่นั่งอีก ๑ คัน โดย จขกท. ต้องขอเรียนเชิญสมาชิกที่เคยร่วมเดินทางกันหลายครั้งไปนั่งเพื่อเป็นเกียรติและเพื่อเพิ่มความอบอุ่นกันในคัน ๑๓ ที่นั่ง (รวม จขกท.ด้วย) ส่วนคัน VIP จะจัดที่นั่งให้สำหรับสมาชิก สว.

สรุป จำนวนสมาชิกที่ร่วมเดินทางในธรรมเฉพาะกิจ (๒) ณ วันนี้มีจำนวน ๒๒ คน เป็นพระสงฆ์ ๑ รูป ฆราวาส ๒๑ คน โดยในส่วนของพระสงฆ์จะมีคุณ bhothisata และ จขกท. ร่วมถวายค่าพาหนะคนละครึ่ง

และทางคุณ bhothisata แจ้งมาว่า ขอร่วมกิจกรรมบุญเพื่อช่วยค่าพาหนะของกัลยาณธรรมทุกท่าน เนื่องจากเห็นว่าเดินทางกันบ่อย โดยจะมอบให้ที่นั่งละ ๖๐๐ บาท จำนวน ๒ ที่นั่ง จะเป็นใครใน ๒๐ คน ให้รอลุ้นจับสลากวันเดินทาง ใครจะเป็นผู้โชคดีมีเงินติดกระเป๋าสำหรับทำบุญก็รอลุ้นในวันศุกร์นี้ เวลา ๐๔.๐๐ น. ค่ะ

 

รับทราบและโมทนาค่ะ

ยินดีต้อนรับผู้กล้าคนที่ ๒๒ วันศุกร์นี้เจอกันด้วยภาษามือ เพราะพี่ยังไม่มีเสียงพูดค่ะ

 

พี่หญิงครับ ทริปเขาคิชกูฏ ขอยกเลิก 2 ที่นะครับ ผมติดเรียนหนังสือ ส่วนแม่ติดภารกิจครับ ต้องขออภัยด้วยนะครับ

 

รับทราบและไม่เป็นไรค่ะ ตามธรรมะจัดสรรค่ะ