ปิดรับบริจาค ประมวลภาพพิธีเททอง"หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์"/วางศิลาฤกษ์เจดีย์องค์ปฐมหน้า 14

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย ศิษปู่ใหญ่, 13 กันยายน 2013.

  1. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    จิต เป็น ผู้รู้ โดย ธรรมชาติ เป็นแต่เพียง สักว่า รู้ คือ รู้สึก รู้นึก รู้คิด รู้ร้อน รู้เย็น รู้ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง และ รู้ดมกลิ่น ลิ้มรส สัมผัส ถูกต้อง สิ่งสารพัด ทั้งปวง ไม่รู้จัก พินิจ พิจารณา วินิจฉัย ตัดสินอะไร ไม่ได้ ทั้งนั้น จึงเป็นอัน ว่า ไม่รู้จักดี ไม่รู้จักชั่ว ไม่รู้จักผิด ไม่รู้จักถูก สติ เป็น ตัวผู้รู้ มี อำนาจ อยู่เหนือ จิต สามารถ รู้เท่าทัน จิต และ รู้เรื่องของจิต ได้ดี ว่า เวลานี้ จิตดี เวลานี้ จิตไม่ดี ตลอดทั้ง มี ความสามารถ ทำการปกครอง จิตของเรา ให้ดีได้ จริง ๆ นักปฏิบัติ ใน พระพุทธศาสนา นี้ พึง กำหนดเอา ตัวผู้รู้ มี อำนาจ อยู่เหนือ จิต นั้น มาตั้งลงตรงหน้า เป็น สติ ทำหน้าที่ กำหนด รู้ ซึ่ง จิต และ รวมเอา ดวงจิต เข้าตั้งไว้ ใน จิต พยายาม จนกว่า จิต จะ รวมเป็นหนึ่ง ท่าน จึงจะเป็น ผู้มีสติมีสัมปชัญญะ พร้อม บริบูรณ์ ในขณะเดียวกัน หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม
     
  2. Noo Norway

    Noo Norway เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    23,623
    ค่าพลัง:
    +82,120
    [​IMG]
     
  3. Noo Norway

    Noo Norway เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    23,623
    ค่าพลัง:
    +82,120
    [​IMG]
     
  4. Noo Norway

    Noo Norway เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    23,623
    ค่าพลัง:
    +82,120
    [​IMG]
     
  5. Noo Norway

    Noo Norway เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    23,623
    ค่าพลัง:
    +82,120
    [​IMG]
     
  6. Noo Norway

    Noo Norway เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    23,623
    ค่าพลัง:
    +82,120
    [​IMG]

    "หลวงพ่อสิริ สิริวัฒฑโน" ท่านได้เมตตาสั่งบอกกับลูกศิษย์ให้บอกต่อกับศิษยานุศิษย์ทั้งหลายว่าให้จุดธูป 3 ดอกบอกทวยเทพเทวดาทั้งหลายให้อนุโมทนาบุญ บุญกุศลทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้กระแล้วขออุทิศน้อมถวายแด่องค์สมเด็จพระสังฆราช

    ขอให้พี่ๆน้องๆเพื่อนๆทุกท่านร่วมกันทำตามที่หลวงพ่อท่านเมตตาบอกกล่าวมานะคะ
     
  7. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    [​IMG]
     
  8. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295

    ทางคณะศิษย์สวนพุทธธรรมหลวงปู่ใหญ่ ได้เดินทางไปกราบนมัสการ พระเดชพระคุณ พระพิมลพัฒนาทร (เจ้าคุณหลวงปู่พวน วรมังคโล) อายุ 86 ปี วัดมงคลวราภรณ์ ( ช้างหมอบ ) ต.แนงมุด อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ เเละได้กราบเรียนเรื่องการหล่อพระ หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านอวยพรอนุโมทนา เเละเมตตาอธิษฐานจิตจารเเผ่นชนวนเป็นกรณีพิเศษพร้อมมอบปัจจัยร่วมบุญมาด้วย 300 บาท ขอกราบอนุโมทนากับพระเดชพระคุณหลวงปู่ครับ)))))))

    [​IMG]
     
  9. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    คติธรรม หลวงปู่ใหญ่ หลวงปู่เทพโลกอุดร การปฎิบัติธรรมทางด้านจิต จงเป็นผู้มีสติปัญญารู้เท่าทันความเคลื่อนไหวของจิตทุกลมหายใจเข้าออกและทุกอิริยบท เว้นเสียแต่หลับ เมื่อรู้ทันจิตแล้ว ต้องรู้จักรักษาจิต คุ้มครองจิต จงดูจิตเคลื่อไหวเหมือนเราดูลิเกหรือละคร เราอย่าเข้าไปเล่นลิเกหรือละครด้วย เราเป็นเพียงผู้นั่งดู อย่าหวั่นไหวไปตามจิต จงดูจิตพฤติการณ์ของจิตเฉย ๆ ด้วยอุเบกขา จิตไม่มีตัวตน แต่สามารถกลิ้งกลอกล้อหรือยั่วเย้าให้เราหวั่นไหวดีใจและเสียใจได้ ฉะนั้นต้องนึกเสมอว่าจิตไม่มีตัวตน อย่ากลัวตจิต อย่ากลัวอารมณ์ เราหรือสติสัมปชัญญะต้องเก่งกว่าจิต ความนึกคิดอารมณ์ต่าง ๆ เป็นอาการของจิต ไม่ใช่ตัวจิต แต่เราเข้าใจว่าเป็นตัวจิตธรรมชาติคือผู้รู้อารมณ์ คิดปรุงแต่งแยกแยะไปตามเรื่องของมัน แต่แล้วมันต้องดับไปเข้าหลักเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คือไม่เที่ยง ไม่จีรังยั่งยืนทนได้ยากเป็นทุกข์ และสลายไปไม่ใช่ตัวตน มันจะเกิดดับ ๆ อยู่ตามธรรมชาติ เมื่อเรารู้ความจริงของจิตเช่นนี้ เราก็จะสงบไม่วุ่นวาย เราในที่นี้หมายถึงสติปัญญา สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรม (สิ่งทั้งปวง ) เป็นอนัตตาคือไม่ใช่ตัวตน นิมิตที่เกิดขึ้นขณะนั่งสมาธิมีอยู่ ๒ ประการ คือ ๑ . เกิดขึ้นเพราะเทพบันดาล คือเทวดาหรือพรหมแสดงภาพนิมิตและเสียงให้รู้เห็น ๒. นิมิตเกิดขึ้นเพราะอำนาจสมาธิเอง นิมิตจะเป็นประเภทใดก็ตาม ขอให้ผู้เจริญกรรมฐานจงเป็นผู้ใช้สติปัญญาให้รู้เท่าทันนิมิตที่เกิดขึ้นนั้นด้วยปัญญา อย่าเพิ่งหลงเเชื่อทันทีจะเป็นความงมงาย ให้ปล่อยวางนิมิตนั้นไปเสียอย่าไปสนใจให้เอาจิตทำความจดจ่ออยู่เฉพาะจิต เมื่อจิตสงบรวมตัว จิตถอนตัวออกมารับรู้นิมิตนั้นอีก หากปรากฎนิมิตอย่างนี้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ หลายครั้งแสดงว่านิมิตนั้นเป็นของจริงเชื่อถือได้ แต่อย่างไรก็ตามนิมิตที่มาปรากฏนี้อยู่ในขั้นโลกียสมาธิ นิมิตต่าง ๆ จึงเป็นความจริงน้อย แต่ไม่จริงเสียมาก จงมุ่งหน้าทำจิตให้สงบเป็นอัปนาสมาธิ อย่าสนใจนิมิต หากทำได้อย่างนี้ จิตจะสงบตั้งมั่น เข้าถึงระดับฌานจะเกิดผลคือสมาบัติสูงขึ้นตามลำดับ จิตจะมีพลังอำนาจอันมหาศาล ฤทธิ์เดชจะตามมาเองด้วยอำนาจของฌาน
     
  10. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    [​IMG]
     
  11. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    "ยถาภูติญาณทัสสนวิปัสสนา" คือทั้งเห็นท้ังรู้ตามความเป็นจริง ขั้นนี้เป็นเบื้องต้นในอันที่จะดำเนินต่อไป ไม่ใช่ที่สุด พึงเจริญให้มาก ทำให้มาก จึงจะเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่งอีกจนรอบจนชำนาญ เห็นแจ้งชัดว่า สังขารความปรุงแต่งอันเป็นความสมมติว่า โน่นเป็นของเรา นั่นเป็นเรา เป็นความไม่เที่ยง อาศัยอุปาทานความยึดถือจึงเป็นทุกข์
    ความเข้าไปปรุงแต่ง คืออาการของจิตนั่นแลไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวเราของเรา ให้พิจารณาอริยสัจธรรมทั่้ง ๔ เป็นเครื่องแก้อาการของจิต ให้เห็นแนแท้โดยปัจจักขสิทธิว่ ตัวอาการของจิตนี่้เองมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ จึงหลงตามสังขาร เมื่อเห็นจริงลงไปแล้ว ก็เป็นเครืองแก้อาการของจิต
    หลวงปู่มั่น ภุริทัตโต
     
  12. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    พระเจ้าแผ่นดินเสด็จสนทนาธรรมเป็นการส่วนพระองค์ ในตอนเช้าของวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2522 หลวงตามหาบัวได้สั่งกำชับพระเณรในวัดว่า “วันนี้ จะมีบุคคลสำคัญเข้ามา พวกท่านทั้งหลายจงพากันทำความสะอาดวัดวาอาวาสให้เรียบร้อย อย่าให้บกพร่อง” พระทั้งหลายเมื่อได้ฟังดังนั้น ก็ไม่ได้เอะใจอะไร ต่างก็ทำข้อวัตรปฏิบัติไปตามปกติ” ...ในบ่ายวันนั้นเอง ชาวนาคนหนึ่งเดินสะพายแห เพื่อออกไปหาปลาเป็นอาหาร มีรถยนต์คันงามวิ่งมาจอดเทียบแล้วเรียกถามด้วยเสียงอันนุ่มนวลว่า “ลุงๆ ทางที่จะไปวัดหลวงตาบัวไปทางไหน” “ไปทางนี้...เด้อ...” เขากล่าวห้วนๆ แบบภาษาชาวบ้านพร้อมทั้งชี้มือและแหงนหน้าดูคนที่ถามไถ่ เมื่อเขามองดูใบหน้าบุคคลที่ถามทางอย่างเพ่งพินิจพิจารณา ภาพแห่งบุคคลผู้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าในสมองเริ่มปรากฏห้วงนึก เข่าเริ่มอ่อนและนั่งลงกับพื้น พร้อมกับพนมมือขึ้นเหนือเศียรเกล้า กล่าวข้อความปลาบปลื้มใจเป็นล้นพ้น ล้นเกล้าล้นกระหม่อม ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้สัมผัสสมมุติเทพด้วยตาเนื้อใกล้ๆแค่เอื้อมถึง “โอ! ในหลวง...สาธุเด้อในหลวง...สาธุ...สาธุ” เขาอุทานเสียงดัง น้ำตาคลอเบ้าด้วยความตื้นตันใจ หลังจากนั้นพระองค์ท่าน จึงเสด็จไปที่วัดป่าบ้านตาดเพื่อกราบนมัสการองค์หลวงตามหาบัว เมื่อถามไถ่สนทนากันจึงทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จมากับพระบรมศานุวงศ์ จากตำหนักภูพานราชนิเวศน์ ไม่ได้บอกแม้กระทั้งทหารใกล้ชิด ทหารทั้งหลายต่างสืบข่าวเป้นการโกลาหลว่า เมื่อเวลาบ่ายโมงพระองค์ท่านทรงขับรถออกจากพระตำหนัก ไม่รู้ว่าเสด็จไป ณ ที่ใด ถ้าบอกข่าวการเสด็จมาล่วงหน้า กลัวเป็นการเอิกเกริกรบกวน ต้องการเสด็จมาเป็นการส่วนพระองค์ หลวงตามหาบัว จึงให้โอวาทว่า “มหาบพิตร! พระองค์เป็นถึงพระเจ้าอยู่หัว เป็นเจ้าชีวิตของชนทั้งชาติ หากพระองค์เสด็จมาโดยลำพัง มีอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น จะเป็นความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองอย่างใหญ่หลวง ถ้าพระองค์เป็นอะไรขึ้นมา คนทั้งชาติจะไม่เหยียบหลวงตาบัวมิดแผ่นดินหรือ?” “กลัวจะเป็นการรบกวนองค์หลวงตา” พระองค์กล่าวพร้อมพนมพระหัตถ์ด้วยความศรัทธาเลื่อมใส “รบกวน ไม่รบกวนจะเป็นอะไร แผ่นดินนี้เป็นของพระองค์ พระองค์พึงมาได้ทุกเมื่อ” บันทึกของหลวงตามหาบัว เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จไปกราบหลวงตามหาบัว เป็นการส่วนพระองค์พร้อมพระบรมสานุวงศ์ที่วัดป่าบ้านตาด มีใจความดังนี้ “ วันที่ 10 พ.ย. 22 เวลา 16.20 น. พระเจ้าอยู่หัว-พระราชินี พร้อมกับเจ้าฟ้าหญิงทั้งสองพระองค์ เสด็จมาเยี่ยม ประทับอยู่ 2 ชม.กับ 20 นาที จึงเสด็จกลับสกลนคร คือ เสด็จมา 16.20 น. เสด็จกลับ 19.10 น. ทรงถวายผ้าห่มและไทยทานอื่นๆมากมาย พร้อมกับปัจจัย 3 หมื่นบาท (ใบละ 1 ร้อยล้วนๆ 300ใบ) เราได้ถวายธรรมะพอประมาณ เป็นธรรมะสำคัญหลายประโยค หลายข้อ” ที่องค์พระหลวงตามหาบัวเป็นห่วงเช่นนั้น เพราะสมัยนั้นคอมมิวนิสต์มีอยู่ทั่วไป หลังจากนั้นอีกไม่นาน เสียงรถทหารตำรวจที่สืบทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จมาวัดป่าบ้านตาด จึงติดตามมาอารักขาเป็นทิวแถว ชาวบ้านบางคนไม่รู้เรื่อง เห็นรถทหารตำรวจบึ่งมาเป็นทางยาว บางคนวิ่งหนีเข้าบ้านนึกว่าเกิดศึกสงคราม คัดลอกจากหนังสือ “หลวงตามหาบัว มหัศจรรย์มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่” เรียบเรียง เรียงร้อยถ้อยคำโดย พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร ลูกกราบนอบน้อมบูชาคุณ องค์พระหลวงตา พระอริยเจ้าผู้กู้ชาติกู้แผ่นดิน ลูกขอเทิดพระเกียรติสดุดี องค์พระมหาราชันย์ พระผู้เป็นดวงใจไทยทั้งชาติ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ "ท่องถิ่นธรรม พระกรรมฐาน"
     
  13. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    ...........หัดมองชั้นลึก..............


    ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเรา ล้วนมีความหมายชั้นลึกโดยตัวของมันเองอยู่เสมอ ไอน์สไตน์มองเห็นวัตถุ เขาคิดทะลุเลยไปถึงการที่จะสลายวัตถุให้เป็นปรมาณู สองพี่น้องตระกูลไรท์มองเห็นนกบินไปมาในอากาศ ก็คิดเลยไปถึงการสร้างเครื่องบินได้
    พระพุทธเจ้าแต่ครั้งเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ได้ทรงพบคนแก่ คนเจ็บ คนตาย ท่านก็มองเห็นถึงความไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
    หลวงปู่เคยเตือนสติลูกศิษย์รุ่นหนุ่มที่ยังมองเห็นสาว ๆ ว่าสวยว่างาม น่าหลงใหลใฝ่ฝันกันนัก ว่า...

    “แกมันดูตัวเกิด ไม่ดูตัวดับ ไม่สวย ไม่งาม ตาย น่า เหม็น ให้เห็นอย่างนี้ได้เมื่อไร ข้าว่าแกใช้ได้”


    โอวาทธรรม
    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
    วัดสะแก ต.ธนู อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา
     
  14. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    องค์หลวงปู่มั่นกล่าวตำนาน ' นโม " ไว้ในหนังสือมุตโตทัยไว้ดังนี้ “.....เหตุใดหนอ ปราชญ์ทั้งหลาย จะสวดก็ดี จะรับศีลก็ดี หรือจะทำการกุศลใดๆ ก็ดี จึงต้องตั้ง นโม ก่อน จะทิ้ง นโม ไม่ได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ นโม ก็ต้องเป็นสิ่งสำคัญ จึงยกขึ้นพิจารณา ได้ความว่า “น” คือธาตุน้ำ “โม” คือ ธาตุดิน พร้อมกับบาทพระคาถา ปรากฏขึ้นมาว่า มาตาเปติกสมุภโว โอทนกุมฺมาสปจฺจโย สัมภวธาตุของมารดาบิดาผสมกัน จึงเป็นตัวตนขึ้นมาได้ “น” เป็นธาตุของมารดา “โม” เป็นธาตุของบิดา ฉะนั้นเมื่อธาตุทั้ง ๒ ผสมกันเข้าไป ไฟ ธาตุของมารดาเคี่ยวเข้าจนได้นามว่า “กลละ” คือ น้ำมันหยดเดียว ณ ที่นี้เองปฏิสนธิวิญญาณเข้าถือปฏิสนธิได้ จิตจึงได้ถือปฏิสนธิในธาตุนโมนั้น เมื่อจิตเข้าไปอาศัยแล้ว กลละ ก็ค่อยเจริญขึ้นเป็น “อัมพุชะ” คือเป็นก้อนเลือด เจริญจากก้อนเลือดมาเป็น “ฆนะ” คือเป็นแท่ง และ “เปสี” คือชิ้นเนื้อ แล้วขยายตัวออกคล้าย รูปจิ้งเหลน จึงเป็นปัญจสาขา คือ แขน ๒ ขา ๒ หัว ๑ ส่วนธาตุ “พ” คือลม “ธ” คือไฟ นั้นเป็นธาตุเข้ามาอาศัยภายหลังเพราะจิตไม่ถือ เมื่อละจากกลละนั้นแล้ว กลละก็ต้องทิ้งเปล่าหรือสูญเปล่า ลมและไฟ ก็ไม่มี คนตาย ลมและไฟก็ดับหายสาบสูญไป จึงว่า เป็นธาตุอาศัย ข้อสำคัญจึงอยู่ที่ธาตุทั้ง ๒ คือ นโม เป็นเดิม ในกาลต่อมาเมื่อคลอดออกมาแล้วก็ต้องอาศัย “น” มารดา “โม” บิดา เป็นผู้ทะนุถนอมกล่อม เกลี้ยงเลี้ยงมาด้วยการให้ข้าวสุกและขนมกุมมาสเป็นต้น ตลอดจนการแนะนำสั่งสอนความดีทุกอย่าง ท่านจึงเรียกมารดาบิดาว่า บุพพาจารย์ เป็นผู้สอนก่อน ใครๆ ทั้งสิ้น มารดาบิดาเป็นผู้มีเมตตาจิตต่อบุตรธิดา จะนับจะประมาณมิได้ มรดกที่ทำให้กล่าวคือรูปกายนี้แล เป็นมรดกดั้งเดิม ทรัพย์สินเงินทองอันเป็นของ ภายนอกก็เป็นไปจากรูปกายนี้เอง ถ้ารูปกายนี้ไม่มีแล้ว ก็ทำอะไรไม่ได้ ชื่อว่าไม่มีอะไรเลย เพราะเหตุนั้นตัวของเราทั้งตัวนี้เป็น “มูลมรดก” ของมารดาบิดาทั้งสิ้น จึงว่าคุณท่านจะนับจะประมาณมิได้เลย ปราชญ์ทั้งหลายจึงหาได้ละทิ้งไม่ เราต้องเอาตัวเราคือ นโม ตั้งขึ้นก่อนแล้วจึงทำกิริยาน้อมไหว้ลงภายหลัง นโม ท่านแปลว่านอบน้อม นั้นเป็นการแปลเพียงกิริยา หาได้แปลต้นกิริยาไม่ มูลมรดกนี้แลเป็นต้นทุน ทำการฝึกหัดปฏิบัติตน ไม่ต้องเป็นคนจนทรัพย์สำหรับทำทุนปฏิบัติ นโม นี้ เมื่อกล่าวเพียง ๒ ธาตุเท่านั้น ยังไม่สมประกอบหรือยังไม่เต็มส่วน ต้องพลิกสระพยัญชนะดังนี้ คือ เอาสระอะจากตัว “น” มาใส่ตัว “ม” เอาสระโอ จากตัว “ม” มาใส่ตัว “น” แล้วกลับตัว “มะ” มาไว้หน้าตัว “โน” เป็น “มโน” แปลว่าใจ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงได้ทั้งกายทั้งใจเต็มตามส่วน สมควรแก่การใช้เป็นมูลฐานแห่งการปฏิบัติได้ มโน คือใจนี้เป็นดั้งเดิม เป็นมหาฐานใหญ่ จะทำจะพูดอะไรก็ย่อมเป็นไปจากใจนี้ทั้งหมด ได้ใน พระพุทธพจน์ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัติพระธรรมวินัย ก็ทรงบัญญัติออกไปจากใจ คือมหาฐาน นี้ทั้งสิ้น เหตุนี้เมื่อพระสาวกผู้ได้มาพิจารณาตาม จนถึงรู้จักมโน แจ่มแจ้งแล้ว มโนก็สุดบัญญัติ คือพ้นจากบัญญัติทั้งสิ้น สมมติทั้งหลายในโลกนี้ต้องออกไปจากมโนทั้งสิ้น ของใครก็ก้อนของใคร ต่างคนต่างถือเอาก้อนอันนี้ ถือเอาเป็นสมมติบัญญัติตามกระแส แห่งน้ำโอฆะ จนเป็นอวิชชาตัวก่อภพก่อชาติด้วยการไม่รู้เท่า ด้วยการหลง หลงถือว่าเป็นตัวเรา เป็นของเราไปหมด...”
     
  15. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    "พวกแกอย่าเอาแต่เที่ยวกราบพระที่นั่นที่นี่จนลืมพระที่บ้านนะ ทำบุญกับพ่อแม่ก็เหมือนกับทำบุญกับพระอรหันต์" หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา
     
  16. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    "จงจำไว้ว่า คำด่า คำนินทา หรือคำสรรเสริญ ไม่มีประโยชน์ เราจะดีจะชั่ว มันอยู่ที่ตัวเราทำเท่านั้น ถ้าเราทำดีอยู่แล้วใครเขาจะนินทาว่าชั่ว มันก็เป็นเรื่องของเขา" หลวงปู่ปาน โสนันโท
     
  17. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    ...................กิเลสแท้ธรรมแท้อยู่ที่ใจ.............................

    " กิเลสแท้ธรรมแท้อยู่ที่ใจ
    ส่วนเครื่องส่งเสริมและกดถ่วงกิเลสและธรรมนั้น
    มีอยู่ทั่วไปทั้งภายในภายนอก

    ฉะนั้น ท่านจึงสอนให้หลบหลีกปลีกตัวจากสิ่งยั่วยวน กวนใจ
    อันจะทำให้กิเลสที่มีอยู่ภายในกำเริบลำพอง มี รูป เสียง เป็นต้น
    และสอนให้เที่ยวอยู่ในที่วิเวกสงัด
    เพื่อกำจัดกิเลสชนิดต่างๆ ด้วยความเพียรได้ง่ายขึ้น
    อันเป็นการย่นวัฏฏะภายในใจให้สั้นเข้า "

    โอวาทธรรม
    หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
     
  18. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงของพวกเรา เคยกล่าวไว้ว่า ……."พ่อแจกพระเพื่ออะไร " …... ค่อยๆอ่าน ค่อยๆพิจารณากันนะครับ ก่อนนอนคืนนี้ ราตรีสวัสดิ์ _______________________________________________________ "การแจกพระ บางท่านอาจจะคิดว่า ไม่มีผลหรือทำให้คนติดในวัตถุ ถ้าถือว่าเป็นวัตถุก็น่าติแต่ถ้าคิดเป็นพระก็ต้องคิด ที่พ่อแจก พ่อไม่เคยโฆษณาว่า พระที่พ่อแจกไปมีอานุภาพอะไรมีความต้องการอยู่อย่างเดียวคือ ให้คนมีความรู้สึกว่ามีพระอยู่ที่ตัว อย่างน้อยอารมณ์ที่รู้สึกว่า มีพระที่ตัว อารมณ์ย่อมเป็นกุศล กุศลนิดหน่อยถ้ามีความรู้สึกบ่อย ๆ สามารถทำให้คนที่ตายไปเพราะนึกถึงพระเสมอ ๆ อย่างเบา ก็เกิดเป็นเทวดา อย่างกลาง ก็เป็นพรหม อย่างสูง ก็ไปนิพพาน แบบพ่อค้าที่หวังกำไรน้อย แต่ได้บ่อย ๆ ก็รวยได้ฉันนั้น แต่ทว่าความรู้สึกนึกคิดของคนอื่น เป็นอย่างไรนั้นพ่อไม่คำนึง คำนึงอย่างเดียวคือ สงเคราะห์คนที่มีบารมีอ่อน คนที่มีบารมีที่เป็นปรมัตถบารมีนั้นพ่อไม่ห่วง ท่านพวกนั้นท่านไม่ต้องเกาะราวหรือไม้เท้าก็เดินไหว สำหรับคนที่มีบารมีอ่อน ยังต้องเกาะราวและไม้เท้าจึงต้องอาศัยวัตถุคือพระพุทธรูปสงเคราะห์"
     
  19. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    น้ำสกปรก โคลนสกปรก แต่ดอกบัวไม่เปื้อนด้วยน้ำเหล่านั้น
    ดอกบัวเป็นดอกไม้สะอาด
    เราจึงเก็บไปบูชาพระ
    ชีวิตของพระพุทธองค์นั้น
    สะอาดปราศจากสิ่งเศร้าหมอง
    เราก็ต้องเป็นอยู่อย่างสะอาด
     
  20. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    "...รูป หมายถึง ตัว, นาม หมายถึง จิต รูปนามนี้ให้เห็นว่าไม่เที่ยงและให้เห็นว่าเป็นทุกข์ด้วย ที่เรามายึดมาถือว่าตัวเราของเราอยู่ ก็เพราะความไม่รู้.. จงรู้เห็นว่าอันร่างกายสังขาร จิตใจที่ยังมีกิเลส ความโกรธ โลภ หลง อยู่ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เป็นความหลง ความไม่รู้ในใจของตัวเอง นำมาปรุงแต่ง.. สิ่งที่ไม่เที่ยงก็จะเอาให้เที่ยง สิ่งที่เป็นทุกข์ก็จะให้เป็นสุข มันเป็นไปไม่ได้.. จึงให้นึกเอาจนใจสงบ ตั้งมั่น เที่ยงตรงคงที่ลงไป จนมีสติ มีสมาธิ จนเกิดปัญญาญาณ รู้แจ้งในกาย ในจิตของตัวเอง จิตใจของเราจะมีความสุขสบาย ไม่เดือดร้อน วุ่นวายประการใด..." หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
     

แชร์หน้านี้

Loading...