ประสบการณ์ลี้ลับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Kingkong1, 5 พฤศจิกายน 2012.

  1. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ดูตัวเลขกำลังสวย ถ้าใครโพสต์ตรงกับหมายเลขผู้เข้าชม 2555 จะได้รับพระสมเด็จวัดระฆัง 1 องค์ ผมจะดูแถวหน้าจำนวนการโพสต์เป็นชื่อของใคร แล้วดูแถวหลังตรงกับ 2555 เอ๊ะ ไม่ได้นี่ เลขแถวหลังมันแปรเปลี่ยนตลอดเวลา จะหาเกณฑ์กันตรงไหน ใครรู้ช่วยบอกที
     
  2. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    สมเด็จวัดระฆังกรุวัดพระแก้วหรือเปล่า

    มีประวัติและเรื่องเล่าไหมครับเกี่ยวกับรุ่นวัดพระแก้วที่ช่างไปรื้อเพดานแล้วเจอ

    แต่จะเะป็นองค์ที่ฝังเม้ดแก้วบ้าง กระเบื้องบ้าง พลอยบ้างหลายๆสี
     
  3. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    เป็นนายพรานส่องสัตว์

    ผมอยู่สวนโมกข์ได้ 4 เดือนกว่า ได้แนววิปัสสนาแบบนายพรานส่องสัตว์ไปใช้

    คือการจะดูจิตตัวเองนั้นมันต้องมีที่ให้จิตนั่ง เพราะเราจะมาเพ่งดูจิตไม่ได้ จิตมันไม่มีตัวตนเป็นรูปเป็นร่าง มันเคลื่อนไหวเป็นรูปแบบความนึกคิด ถ้ามันไม่คิดมันก็ว่าง ถ้าเราจ้องมันมันก็ไม่คิด คือมันว่าง ๆ แต่เราจะจ้องอยู่อย่างนั้นมันก็เกิดอาการตื้อ กดถ่วงที่หัว หรือที่กระบอกตา มันไม่ได้อะไรขึ้นมานอกจากความโง่ ก็พลิกแพลงหาแนวอยู่หลายวัน จึงได้แนวว่าต้องหาที่ให้จิตนั่ง ตัวนั่งคือตัวสตินั่นเอง สติก็เป็นอาการของจิตอย่างหนึ่ง คือตัวรู้ที่เกิดจากเจตจำนงอันแน่วแน่ที่จะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง มันอยู่คู่กันทั้งสติและสัมปชัญญะ จะแยกแยะให้ชัดเจนก็ยาก เพราะมันอยู่รวมกัน เหมือนอุ้งมือมันก็อยู่ที่มือ พูดถึงมือมันก็มีอุ้งมืออยู่ด้วย พูดถึงอุ้งมือมันก็มีมืออยู่ด้วย ทั้งมีส่วนประกอบอะไรอื่น ๆ อยู่ในอุ้งมือนั้น เช่นหนัง เนื้อที่อยู่ใต้หนัง เส้นลายมือ ก็ล้วนอยู่ในอุ้งมือ ดังนั้นเมื่อพูดถึงจิตก็เป็นการพูดโดยองค์รวม แต่มันก็มีองค์ประกอบหลายอยบ่างอยู่ในตัวจิตนั้น รวมถึงความคิดปรุงแต่งด้วย

    เราต้องหาที่นั่งเพื่อดูความคิดปรุงแต่ง สถานที่ให้จิตนั่งที่เหมาะที่สุดคือลมหายใจเข้า-ออก เอาตัวสติจับที่ลมหายใจเข้า-ออก นั่นหมายถึงสติได้ที่นั่งแล้ว

    ทีนี้จิตนี้มันมีธรรมชาติคิดปรุงแต่งเป็นอุปนิสัย มันเวียนว่ายตายเกิดมานับชาติไม่ได้ มันก็คิดปรุงแต่งของมันอย่างนั้นทุกลมหายใจเข้า-ออก แม้แต่เวลาหลับมันก็คิดปรุงของมัน แต่เราไม่เคยสนใจที่จะดูมัน มันก็เลยพาคิดเตลิดเปิดเปิงไปไม่รู้กี่เรื่องราวใน 1 นาที คิดแบบไม่เกิดประโยชน์อะไร แล้วเราก็ไม่ค่อยรู้สึกกันด้วยว่าเราคิดอะไรบ้าง คนส่วนมากจึงมักจะพูดว่า “ฉันไม่ได้คิดอะไรเลย”

    นายพรานคือตัวสติ และสัมปชัญญะคืออาวุธที่อยู่ในมือ
    ลมหายใจเข้า-ออก คือที่นั่งบนคาคบไม้
    จิตที่คิดนี่คืออารมณ์ คือกิเลสตัณหาทั้งหลาย เราจะเปรียบเหมือนสัตว์ที่เดินเพ่นพ่านอยู่ตามพื้นดิน

    หน้าที่ของนายพรานคือนั่งอย่างตั้งอกตั้งใจที่จะดูสัตว์ที่มันโผล่มาจากพุ่มไม้ทุกทิศทาง เมื่อมันเห็นสัตว์อาวุธในมือก็ถูกทำงานพุ่งใส่สัตว์ไปโดยอัตโนมัติ นายพรานที่ตั้งใจจริงก็จะมีอาวุธที่แหลมคม จึงประหารสัตว์ได้มากมาย และนายพรานก็รู้จักสัตว์ได้ชัดเจน สามารถจำแนกได้ว่าสัตว์ตัวนั้นชื่ออะไร สีอะไร ตัวเล็กตัวใหญ่ สัตว์ใจดีหรือสัตว์ใจร้าย

    แต่ถ้านายพรานเผลอมันคืออะไร แทนที่นายพรานจะนั่งดูอยู่บนคาคบไม้ นายพรานกับกระโดดลงจากคาคบไม้เข้าไปหาสัตว์ที่ตัวเองดู แล้วนายพรานก็โดนเสือลากตัวเข้าป่าไปเลย

    โดยอุบายนี้ก็ได้แนววิปัสสนาส่วนตัวขึ้นมา ไม่ว่าจะยืน เดือน นั่ง นอน ก็เป็นนายพรานส่องสัตว์ ปัญญามันก็ค่อย ๆ แหลมคม เข้าใจตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ ความทุกข์ก็ค่อย ๆ จางไปเรื่อย ๆ ด้วยประการฉะนี้
     
  4. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ต้องเข้าไปอ่านใน sanyasi.org นะครับ
    ตกลงคุณmummammanได้รางวัลก็แล้วกัน เพราะตอนนี่ผมโพสต์นี่ตรงกับ 2557 ตอนคุณโพสต์ให้เป็น 2555 ก็แล้วกัน ผมจะให้สมเด็จวัดระฆัง ที่บรรดาลูกศิษย์นั่งทำพระต่อหน้าหลวงปู่โตที่วัดระฆัง แล้วเจ้านายระดับสูงเป็นผู้เก็บสะสมใส่หีบอย่างดี เก็บไว้บนเพดานพระอุโบสถวัดพระแก้วมรกต คุณต้องการองค์ไหน คุณก็เข้าไปเลือกเอาเองในอัลบั้มชื่อ "สารพัดพิมพ์วัดระฆัง" เข้าไปเว็บ sanyasi.org แล้วคลิกที่พระสมเด็จองค์ใหญ่ซ้ายมือองค์ล่าง มันมีหลายอัลบั้ม คุณคลิกที่อัลบั้มสารพัดพิมพ์ เมื่อได้องค์ที่พอใจแล้วก็ส่งเมลถึงผมละกันพร้อมที่อยู่อย่างละเอียด sanyasi95@gmail.com
     
  5. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +329
    ผมมีพระสมเด็จเบญจรงค์ กรุเจดีย์ทอง เอามาโชว์สักหน่อย​

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 พฤศจิกายน 2012
  6. PITINATTH73

    PITINATTH73 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    2,991
    ค่าพลัง:
    +9,624
    เีรียนท่านเจ้าของกระทู้
    พอจะมี พระสมเด็จวัดระฆัง แจกอีกสักองค์ไหมครับ ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ
    ผมขออนุโมทนาสาธุครับ
     
  7. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +329
    พระสมเด็จวัดระฆัง กรุวัดพระแก้ว
    [​IMG]
     
  8. เทพสิริ

    เทพสิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +576
    ถ้าเป็นไปได้ขอร่วมสักองค์ครับ...ตามมาอ่านทั้งกระทู้...อภินิหารพระอาจารย์ในดง...ร่วมลงชื่อเรียนวิชาด้วย....ก็แล้วแต่จะเห็นควรครับ...กลัวจะเป้นการรบกวนก็ขออภัยด้วยครับ...ขอขอบคุณครับ
     
  9. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    โอ้..คุณโรบิน พระสวยจัง เก่าแ้ท้ แก่แน่ ไม่ต้องให้เซียนดู ดีใจด้วยครับ
     
  10. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,863
    (good)เข้ามาติดตามและให้กำลังใจท่านเจ้าของกระทู้ค่ะ เขียนได้น่าอ่านชวนติดตาม ยามนอนไม่หลับเปิดนั่งอ่าน อ่านไปอมยิ้มไป สนุกจริงๆค่ะ(smile)
     
  11. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมและให้กำลังใจ อันไหนพอมีสาระกับชีวิตก็เชิญหยิบเอาไป อันไหนไม่เข้าท่าก็ทิ้งเสียที่นี่ ผมใช้เวลาว่าง ๆ และเน็ตเดินดีเข้ามาโพสต์ให้อ่านกัน ทุกเรื่องไปตามอารมณ์ ใครอยากได้พระก็อ่านไป เดี๋ยวมีอะไรถูกใจก็ให้เองครับ

    คุณพรหมณี โพสต์เข้ามาอับดีตัวเลขสวยเลย 111 ขอมอบพระสมเด็จให้ 1 องค์ เลือกเอาว่าจะเอาวัดพระแก้วหรือวัดระฆัง เลือกแล้วส่งเมลเข้ามาเลยครับ บอกไว้แล้วที่โพสต์ก่อน ๆ นะครับ
     
  12. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,863
    อนุโมทนาค่ะ ขอเป็นวัดระฆังค่ะ เดี๋ยวส่งที่อยู่ทาง pm นะคะ

    (deejai)
     
  13. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ลิงติดตัง

    คนเราเกิดมาแทบจะทุกคนจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันอยู่บางประการ เช่นหวงข้าวของ หวงที่อยู่ ติดที่อยู่ บางคนตั้งแต่เกิดจนตายไม่เคยเดินทางออกจากบ้านเกิดเลย บางคนไปก็ต้องรีบกลับ เพราะการห่างที่ที่เคยอยู่มันอ้างว้างว้าเหว่ หวังเหวิด มันมีความกลัว วิตก กังวล ในหลาย ๆ เรื่อง อยู่ในนั้นเสร็จ

    ตัวผมเองก็ไม่ได้แตกต่างจากผู้อื่น ผมอยู่สวนโมกข์มา 4 เดือนกว่า ผมรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของผม เป็นเพียงที่อาศัยชั่วคราว ผมอยู่มา 4 เดือนกว่า ผมแทบไม่รู้จักใครเลยแม้กระทั่งโยมที่ใส่บาตรให้ผมกินทุกวัน ผมเคยศึกษาคัมภีร์วิสุทธิมรรค ท่านกล่าวถึงภิกษุผู้สำรวมระวังในศีลว่าแม้กระทั่งเดินก็แทบจะไม่ได้มองออกนอกทางเดิน แม้เจอคนก็แทบไม่มองหน้า ผมก็ประพฤติตามนะครับ ผมจึงแทบจำผู้คนที่ผมพานพบไม่ได้ นี่ยังดีนะที่ผมยังจำหลายเรื่องมาเล่าให้ฟัง ผมยังจำพระอาจารย์พะยอม พระอาจารย์โพธิ์ (เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน) พระอาจารย์ทองสุก หลวงตาไสว หลวงตาเดชขาเป๋ พระดร.วีรศักดิ์ และอีกท่านคือหลวงตากวง ซึ่งพระที่พาผมไปอยู่กุฏิแต่แรกบอกว่าเป็นพระสิงคโปร์ ผมก็เพิ่งมารู้ในเรื่องจากบันทึกของผู้ปฏิบัติ ณ เขาสวนหลวง ว่าพระกวงเอาแม่ไปฝากเขาสวนหลวงแล้วไปบวชอยู่สวนโมกข์ และท่านก็เก็บตัวปฏิบัติอย่างจริงจังจึงไม่ค่อยได้พบเห็นหน้าท่านบ่อยนักนอกจากวันฟังปาฏิโมกข์

    ถึงผมจะปฏิบัติกรรมฐานอย่างเข้มงวด แต่ผมก็คิดถึงวัดบ่อย ๆ ผมก็ยังคิดถึงเพื่อน ๆ ที่เคยเรียนหนังสือมาด้วยกันจากสำนักเดิมก่อนมาอยู่กรุงเทพ ฯ (วัดพระพุทธบาทตากผ้า) ก็ยังดีที่ผมยังรู้ว่ามันเป็นเพียงความคิดความจำและความปรุงแต่ง คนที่ไม่รู้ก็จะเกิดอาการโหยหา และส่วนมากของผู้ที่พลัดพรากจากญาติมิตรไปอยู่คนเดียวมักหลั่งน้ำตาให้กับความคิดถึง เช่นพระรูปหนึ่งจากสำนักเดิมของผม เมื่อเห็นผมไปปฏิบัติอยู่วิเวกอาศรมก็อยากไปอยู่บ้าง เพื่อน ๆ ก็พาไป แต่ท่านอยู่ได้ 3 วันก็รีบกลับวัดเดิม เพราะทนว้าเหว่ไม่ไหวจนถึงกับร่ำไห้ยังกะเด็กน้อยขาดแม่

    ผมถามตัวเองว่าทำไมผมไม่อยู่สวนโมกข์ต่อไป เหตุผลที่แท้จริงคือผมห่วงกุฏิในวัดในกรุงเทพ ฯ ที่ผมอยู่มาแค่ 2 ปี ผมก็ผูกพันกับมันราวกับเป็นของผมจริง ๆ เพราะวัดนี้มีพิเศษกว่าวัดอื่น ถ้าเราได้อาศัยอยู่กุฏิไหนมันก็เหมือนเราได้เป็นเจ้าของกุฏิ เราจะอยู่จนตายก็ได้ เราจะเอาใครมาอยู่ทดแทนก็ได้ มันถูกยึดเป็นของกูเข้าไปแล้ว ดังนั้นการไปอยู่ที่ไหนนาน ๆ ก็จะทำให้ขาดจากการเป็นเจ้าของกุฏิ เพราะตอนออกจากวัดเราก็ไปกราบลาเจ้าอาวาสว่าจะไปปฏิบัติธรรม ไม่ได้บอกว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น หนังสือสุทธิของเราก็ยังสังกัดเดิม ดังนั้นผมก็ต้องกลับสังกัดเดิม กลับเพื่อไปเรียนหนังสือตามกฎของวัด คือต้องเรียนพระปริยัติธรรม (เรียนบาลี ไม่ใช่เรียนมหาวิทยาลัยสงฆ์)

    ดังนั้น ก่อนถึงวันเข้าพรรษาไม่กี่วันผมก็ขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพ ฯ จำได้ว่าผมเขียนจดหมายถึงเพื่อนสนิทที่มาจากวัดพระบาทตากผ้า แต่มาอยู่กรุงเทพ ฯ คนละวัด ให้เขาส่งค่ารถให้ เพื่อนก็ส่งให้ 300 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลยในสมัยนั้น ทราบว่าเขาก็ขอจากเพื่อนองค์อื่น ๆ คนละเล็กน้อยรวมรวมส่งให้

    ทำไงได้ ญาติโยมทำให้พระเสียพระมาหลายศตวรรษแล้ว ถ้าโยมไม่สนับสนุนให้พระใช้เงินทอง พระก็ยังคงเป็นพระที่ดี แม้ไม่มีเงินทองก็อยู่ได้ และผู้ที่จะอยู่เป็นพระได้นานก็คือผู้ตั้งใจบวชปฏิบัติเท่านั้น ไม่เหมือนทุกวันที่ผู้เข้ามาบวชหวังเพียงอาศัยผ้าเหลืองหาเงินทองเป็นส่วนมาก
     
  14. PITINATTH73

    PITINATTH73 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    2,991
    ค่าพลัง:
    +9,624
    ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้พระสมเด็จด้วยนะครับ
    จริงๆแล้วผมก็ติดตามอ่านอยู่เช่นกันครับ แต่ไม่ค่อยได้โพส คือ ชอบอ่านไม่ชอบโพส ครับ
    ผมขออนุโมทนาสาธุครับ
     
  15. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    อยู่อย่างเขา

    เมื่ออยู่ในวัดบ้านวัดเมืองก็ต้องทำตัวให้เหมือนเขา จะมาทำท่าเคร่ง ๆ ขรึม ๆ เป็นพระกรรมฐานไม่ได้ เพราะอาการอวดนี้มันมาจากใจ เมื่อมันอวดท่าอวดทางมันก็หวังให้โดดเด่น ให้คนเห็น ให้เขาศรัทธา เป็นกิเลสที่ใหญ่โตคับอกเจ้าของทีเดียว แต่ส่วนมากเจ้าของกิเลสไม่ค่อยจะรู้ตัวหรอก ในวิสุทธิมรรคท่านจารนัยพระวินัยข้ออวดอุตริมนุสธรรมไว้ละเอียดยิบ ว่าแม้พระภิกษุพูดว่า “อาตมาภาพเป็นพระอยู่ป่า ถือธุดงค์เป็นวัตร” พูดเพื่อให้คนฟังเลื่อมใสศรัทธา ก็เป็นปาราชิกได้

    แต่พูดแล้วก็เหมือนเป่าขลุ่ยให้วัวฟัง ทุกวันนี้เขาอวดกระทั่งเขาจะเข้านิโรธสมาบัติเท่านั้นวันเท่านี้วัน โดยหวังว่าเมื่อครบวันแล้วจะมีคนหลั่งไหลมาทำบุญด้วย คงได้เงินทองมหาศาล คนอวดก็ไม่หวั่นไหวต่อกิเลสเจ้าของ ไม่กลัวบาปกลัวกรรม ไม่กลัวนรกหมกไหม้ คนฟังก็ไม่เข้าใจ เจ้ากูจะเข้านิโรธสมาบัติ โอ้..เป็นมหาบุญมหากุศล ข้าน้อยจะรอทำบุญใส่บาตร ชาตินี้ขอให้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีเถิด

    เชื่อมั้ยว่าบางองค์ประกาศเลยนะ อาตมาภาพจะเข้าสมาบัติเป็นเวลา 45 วัน ณ ห้องใต้ดิน ใต้ถุนกุฏิของอาตมาภาพเอง ดังนั้นห้ามมิให้ใครรบกวนในช่วงดังกล่าว

    พอประกาศไปแล้วก็หลบอยู่ในห้องใต้ดิน ซึ่งมีตู้เย็นอัดแน่นด้วยข้าวปลาอาหารอันบริบูรณ์ยิ่งกว่าชาวบ้านตาดำ ๆ แถมยังมีทีวีดู มีทีวีวงจรปิดตรวจดูคนภายนอกอีกต่างหาก เครื่องเล่นวีดิโอและภาพยนตร์ทั้งหลายก็เพียบพร้อม สุขใดไหนจะปาน

    พอครบกำหนด 45 วันก็ออกจากนิโรธสมาบัติ ร่างกายอ้วนท้วนสมบูรณ์ เดินพุงกระเพื่อมมาเชียว พร้อมบาตรใบโต โอ้โห..ญาติโยมยืนรอเป็นแถวยาวเหยียด รอมานานวัน หายใจเข้าออกก็นึกถึงแต่วันออกจากนิโรธสมาบัติของพระคุณเจ้า วันนี้ได้บุญเต็มอิ่มจริง ๆ ได้ใส่บาตรพระคุณเจ้า อธิษฐานขอให้ถูกหวยรางวัลใหญ่ ๆ สักงวดสองงวด พอแก้ชีวิตอันแสนรันทดนี่เสียที

    พระคุณเจ้าพุงพุ้ยร่ำรวยขึ้นมาทันตาเห็น ญาติโยมก็ฝันหวานกันต่อไป อย่าว่าแต่รางวัลใหญ่เลย แม้เลขท้ายสองตัวยังไม่เฉียด

    ชีวิตชาวพุทธไทยก็อยู่ไปอย่างนี้แหละ ตราบใดที่เรายังไม่สร้างปัญญาให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพระหรือเป็นโยมก็ยังโง่อยู่เหมือนเดิม พระก็ยังโง่ที่จะหลอกโยมอยู่เหมือนเดิม โง่ที่จะพาตัวเองไปตกนรกหมกไหม้เหมือนเดิม โยมก็ยังโง่ที่จะถูกพระหลอกเหมือนเดิม
     
  16. ineedo

    ineedo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,354
    การเข้านิโรธสมาบัติ ที่มีการป่าวประกาศกันยกใหญ่เห็นมีแต่พระทางเหนือ เป็นพระหนุ่มเณรน้อยทั้งนั้นเลย บางท่านก็บอกว่าเข้านิโรธกรรม ไม่รู้ว่าทำได้จริงจะมีสักกี่องค์ ส่วนใหญ่มุ่งหาแต่อติเรกลาภทั้งนั้น ชาวพุทธที่มีปัญญาน้อยก็จะคล้อยตาม เพราะสนใจแต่พิธีกรรม ไม่ปฏิบัติด้วยตนเอง พระก็มุ่งแสวงหาลาภโดยไม่กลัวนรก จริงๆแล้วการเข้านิโรธที่ผมเคยอ่านในชาดก พระท่านจะอยู่ในป่าบ้าง ในถ้ำบ้าง บางองค์จนน้ำท่วมทับมิดศรีษะและน้ำไหลผ่านไปแล้วเห็นมีหยากไย่เต็มศรีษะ ท่านก็ยังคงนั่งอยู่ในท่านั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำท่วม จนออกจากนิโรธนั่นแหละถึงจะรู้ ปัจจุบันถ้าพระเป็นอย่างที่ท่านว่าไว้ก็ตัวใครตัวมันหละครับ
     
  17. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ปัจจุบันนี้ยังมีพระที่เข้านิโรธสมาบัติอยู่ใกล้ ๆ กรุงเทพ ฯ นี่ก็มี แถวบางบัวทองนี่แหละครับ ไม่ต้องไปไกลหรอก เมื่อ 30 กว่าปีมาแล้วปรากฎขึ้นที่ลำพูน คือครูบาชุ่ม โพธิโก เดี๋ยวนี้มีพระหนุ่มหน้าใสทางเหนือบางองค์ก็เอาอย่างครูบาชุ่มบ้าง มีชื่อเสียงอยู่ในเว้บพลังจิตนี่แหละ ไม่ต้องหาไกลหรอกครับ

    มีผู้เข้าใจผิดที่ผมเขียนไว้ ก็เที่ยวตามหาท่านที่เข้านิโรธได้จริงแถวบางบัวทอง ไม่ใช่นะครับ หมายถึงของปลอมมันก็มีอยู่ใกล้ ๆ นี่แหละ มันไม่มีของจริงหรอก ถ้าจะมีของจริง ผู้ที่จะเข้าได้จริงต้องเป็นอรหันต์ฝ่ายเจโตวิมุตติ ซึ่งบรรลุถึงฌาน 8 แล้วเท่านั้น น่าจะมีอยู่ในสายหลวงปู่มั่น เช่นหลวงปู่อ่อน หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น เป็นต้น และท่านก็ไม่มาป่าวประกาศให้ใครรู้หรอก ถ้าประกาศนะของปลอมหน้าด้าน ๆ ทั้งนั้น พวกต้องอาบัติปาราชิกทั้งนั้น โปรดเข้าใจกันไว้ด้วยจะได้ไม่ถูกหลอก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2012
  18. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    สวัสดีค่ะ
    แวะเข้ามาอ่านเรื่องลี้ลับค่ะ...
     
  19. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ขอบคุณครับที่ติดตามอ่าน
    ใครโพสต์ตรงกับตัวเลขสวย ๆ จะได้รับรางวัลครับ
     
  20. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    วิถีแห่งจารีตประเพณีนิยม

    พระภิกษุ สามเณร ที่ประจำอยู่ตามวัดบ้าน วัดในเมือง วัดในกรุง ก็มีชีวิตการเป็นอยู่ที่ไม่แตกต่างกันนัก คือพระ-เณร ทุกวัด อยู่เป็นเพื่อนชาวบ้าน มีลัทธิประเพณีนิยมเป็นเส้นด้ายผูกพันไว้ พระอยู่วัดมีหน้าที่เฝ้าศาสนสถาน เป็นศูนย์กลางของสังคมในแต่ละหน่วย มีหน้าที่ให้การอบรมสั่งสอนกุลบุตร ต่อมาหน้าที่นี้ก็หมดไปในยุคการศึกษาของรัฐกระจายได้อย่างทั่วถึง ก็คงเหลือแต่บทบาทการสอนญาติโยมในหมู่บ้าน ซึ่งหน้าที่นี้มีประเพณีการอ่านคัมภีร์ที่จารึกมาแต่โบราณให้โยมได้ฟังกัน ก็ฟังกันเป็นประเพณีตั้งแต่เทศน์มหาวัตร ในช่วงกลางพรรษา จนออกพรรษาถึงวันยี่เป็น หรือเพ็ญเดือนสิบสองก็มีเทศน์มหาชาติ เป็นงานบุญใหญ่ประจำปี ซึ่งอาจแตกต่างกันในแต่ละภาค

    พระภิกษุสามเณร เป็นเจ้าพิธีในงานต่าง ๆ ตั้งแต่งานวันเกิดจนถึงวันตาย งานบวช การทำบุญขึ้นบ้านใหม่ การมงคลสมรส ต้องไปสวดมนต์อำนวยอวยพรให้เจ้าภาพมีความเจริญรุ่งเรือง ถ้าไม่มีพระทำหน้าที่ งานนั้น ๆ ก็ไม่มีความหมาย ถ้างานศพใครไม่มีพระสวด หรือชักบังสุกุล คนตายหรือจะได้ขึ้นสวรรค์ พระก็มีความสำคัญขึ้นมาอีกมาก

    วัดเป็นศูนย์รวมแห่งเครื่องใช้ไม้สอย เวลามีงานสำคัญที่บ้านของใครก็ไปหยิบยืมจากวัด ถ้าข้าวของเสียหายก็ซื้อชดใช้ หรือมีการบริจาครวมกันซื้อในแต่ละปี ก็ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ในแต่ละหมู่บ้านจะกำหนดขึ้นมา

    วัดเป็นสถานที่จัดประชุมเรื่องสำคัญต่าง ๆ ซึ่งมายุคหลัง ๆ นี้ก็เปลี่ยนไป เพราะมีการแยกหมู่บ้านออกเป็นหมู่ ๆ และมีที่ทำการของแต่ละหมู่ วัดก็ยังเป็นแหล่งประสานความสามัคคีของชาวบ้านแต่ละหมู่ให้รวมตัวกันในประเพณีทำบุญใหญ่แต่ละครั้ง

    ดังนั้นพระภิกษุ-สามเณร ที่อยู่ในแต่ละวัดก็ต้องทำหน้าที่แต่ละงานให้ถูกต้อง แค่นั้นชาวบ้านก็ให้การยอมรับนับถือ และถวายข้าวปลาอาหารเลี้ยงในแต่ละวัน

    นอกจากหน้าที่ที่กล่าวแล้วพระภิกษุสามเณรต้องเรียนพระปริยัติธรรม ตั้งแต่นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก จนถึงวิชาภาษาบาลีซึ่งมีเรียนกันในสำนักใหญ่ ๆ ในแต่ละจังหวัด องค์ไหนเรียนได้สูง มีการศึกษาดี ก็ได้รับการเคารพนับถือจากญาติโยมมากขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นพระผู้ใหญ่ฝ่ายปกครอง มียศศักดิ์เป็นพระครู เป็นเจ้าคุณ ความเคารพนับถือก็ยิ่งมากขึ้นเป็นทวีคูณ

    นี่คือวิถีชิวิตของพระภิกษุสามเณรฝ่ายคามวาสี หรือพระบ้าน ในประเทศไทยในสมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งอาจจะละม้ายคล้ายกันในแต่ละภาค จนถึงลาว เขมร ก็คล้ายกับไทย ที่เหมือนกันแน่นอนคือ พระภิกษุ-สามเณร ใน 3 ประเทศนี้ บวชได้ สึกได้ จะบวชกี่วันก็ได้ จะบวชตั้งแต่เป็นสามเณรน้อย จนอายุ 70 เกิดความเบื่อหน่าย นึกอยากจะสึกก็สึกได้ ไม่ถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเหมือนประเทศอื่น ๆ ที่บวชแล้วบวชเลย ถือว่าตัดสินใจแล้วนะ จะมาเปลี่ยนกลางคันไม่ได้ ใครบวชแล้วสึกคนก็เกลียดกันทั้งสังคมทีเดียว เหล่านี้คือจารีตประเพณีนิยม ไม่ใช่ตัวแท้ของพุทธศาสนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...