ประสบการณ์ลี้ลับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Kingkong1, 5 พฤศจิกายน 2012.

  1. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    การกลับมาของพุทธศาสนาบริสุทธิ์

    พุทธศาสนาแบบจารีตประเพณีดำรงอยู่ในประเทศไทยมานานกี่ศตวรรษก็ไม่ทราบได้ บางยุคก็เจริญขึ้นในด้านการศึกษาประยัติธรรม บางยุคก็เสื่อมถอย โดยเฉพาะระดับสังคมหมู่บ้านแล้วเสื่อมถึงขั้นที่ผู้ใดปฏิบัติตามศีลธรรมและกรรมฐานอย่างถูกต้องจะถูกต่อต้านจากพระระดับผู้ปกครอง และชาวบ้านชาวเมืองทั่ว ๆ ไป ถ้าเดินทางจาริกหาความสงบเพื่อบำเพ็ญกรรมฐานไปถึงไหน จะถูกเจ้าคณะในถิ่นนั้น ๆ รวมถึงเจ้าหน้าที่บ้านเมืองพากันเบียดเบียนไล่หนี เป็นไปทั้งภาคเหนือและอีสาน

    แล้วพวกเขาประพฤติตัวกันอย่างไร ?

    ในยุคก่อนที่หลวงปู่มั่นจะพาคณะปฏิบัติกรรมฐานนั้น พระเณรเถรชี ทางอีสานมีการเป็นอยู่เหมือนชาวบ้าน ทำไร่ไถนา เลี้ยงวัวควาย เป็ดไก่หมู เพื่อขาย แม้ทางภาคเหนือก็ไม่ได้แตกต่างกัน การขบฉันก็แสวงหากินกันเอง ตอนเย็นก็กินได้ ชาวบ้านไม่ได้ถือสาหาความอะไร ไม่ได้ถือเป็นเรื่องผิดร้ายแรงประการใด ตอนเย็นพระเณรไปกินข้าวเย็นที่บ้านพ่อแม่ของตัวเอง ยกเว้นเรื่องผู้หญิงจะถือเคร่งครัดเป็นพิเศษ แม้หญิงสาวก็แทบจะไม่เข้าวัดผู้เดียว กลัวบาป ( เรื่องนี้กลับกันกับพระทางภาคกลางที่ถือเคร่งครัดในเรื่องกินข้าวเย็น แต่ไม่ค่อยถือสาในเรื่องผู้หญิง พระเณรจึงหยอกล้อกับสตรีได้ ชาวบ้านไม่ถือ)

    วันเวลาก้าวล่วงมาถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๔ คือระหว่าง พ.ศ.2400-2500 การพระพุทธศาสนาในประเทศไทยก็เริ่มเข้าสู่จุดเปลี่ยนแปลง เมื่อรัชกาลที่ ๔ สถาปนาพุทธศาสนาฝ่ายธรรมยุติกายขึ้นมาคู่กับมหานิกายซึ่งมีอยู่ดั้งเดิม แต่พระเณรพากันประพฤติย่อหย่อนจนกว่าที่จะแก้ไขฟื้นฟูได้ พระองค์ท่านสมัยเป็นพระภิกษุ (ก่อน 2400) จึงได้อุปสมบทในนิกายรามัญ ซึ่งถือเคร่งครัดกว่า จากนั้นก็ค่อย ๆ เผยแพร่ออกไป เมื่อทรงเป็นกษัตริย์แล้วก็ทรงอุปถัมภ์ฝ่ายธรรมยุติอย่างออกหน้า จึงทำให้เกิดวัดธรรมยุติแพร่กระจายไปทางอีสานหลายวัด โดยเฉพาะที่อุบลราชธานี อันเป็นถิ่นของสมเด็จพระมหาวีรวงค์ (อ้วน ติสโส) ธรรมยุติได้ปักหลักอย่างมั่นคงก่อนใคร ๆ

    จนมาถึง 20 มกราคม 2413 หลวงปู่มั่นถือกำเนิดขึ้นที่บ้านคำบง อำเภอโขงเจียมขณะนั้น (ปัจจุบันคืออำเภอศรีเมืองใหม่) ท่านได้อุปสมบทที่วัดเลียบ อันเป็นวัดธรรมยุติ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี เมื่อปี 2436 อายุได้ 22 ปี ได้ฝึกกรรมฐานกับหลวงปู่เสาร์ กันตะสีโล จากนั้นก็เดินเดี่ยวธุดงค์ไปหลายสถานที่ เมื่อได้รู้เห็นธรรมแล้วก็กลับมาชักชวนหลวงปู่เสาร์ออกปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง แล้วก็เกิดคณะนักกรรมฐานที่มุ่งสู่ความหลุดพ้น ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด เมื่อคณะพระกรรมฐานของหลวงปู่มั่นและหลวงปู่เสาร์เดินทางถึงที่ไหนก็มีการแสดงธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ประชาชนก็เชื่อฟัง เลิกละการปฏิบัติแบบดั้งเดิมมาถือพุทธศาสนาแบบพระป่าสั่งสอน

    ฝ่ายพระภิกษุสามเณรที่อยู่ตามวัดบ้านทั่ว ๆ ไปก็กระเทือน ต่างพากันปรับตัวกันยกใหญ่ ที่เคยเลี้ยงสัตว์ ทำมาค้าขาย ก็พากันหยุด ทำตัวให้เป็นพระภิกษุสามเณรที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยมาตั้งแต่บัดนั้น
     
  2. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    มหานิกายเริ่มฟื้นฟู

    เมื่อทางคณะธรรมยุติซึ่งเป็นนิกายใหม่ได้เผยแพร่วิปัสสนากรรมฐาน ไปทั่วแคว้นแดนอิสานอย่างรวดเร็ว จนเกิดวัดธรรมยุติลามไปทั่วทุกจังหวัด ชาวบ้านในแต่ละจังหวัดก็ให้ความเคารพนับถือเข้าเป็นลูกศิษย์และโยมอุปฐากจำนวนมาก ร้อนถึงพระฝ่ายบริหารของมหานิกาย ท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรม วัดมหาธาตุยุวราษฎร์รังสฤษฏ์ ซึ่งเป็นสังฆนายกฝ่ายการศึกษาของคณะสงฆ์ไทย ในปี พ.ศ.2495 จึงส่งพระมหาโชดก เปรียญ ๙ ประโยค ไปเรียนวิปัสสนากรรมฐานจากสำนักพระมหาสีสยาด่อ ที่ประเทศพม่า เป็นเวลา 1 ปี แล้วกลับมาเผยแพร่ที่ประเทศไทย พร้อมพระอาจารย์จากพม่าอีก 2 รูป คือพระภัททันตะ อาสภเถระ และพระอินทะวังสะเถระ เปิดสอนครั้งแรกที่วัดมหาธาตุในปี 2496 จากนั้นก็ขยายไปทั่วราชอาณาจักรในฝ่ายของมหานิกาย ที่รู้จักกันว่า “พองหนอ ยุบหนอ” นอกจากนั้นก็ได้นิมนต์พระภิกษุ สามเณร ที่กำลังปฏิบัติกรรมฐานมาก่อน ให้เปลี่ยนมาศึกษาและยึดเอา “พองหนอยุบหนอ” เป็นแนวปฏิบัติให้เหมือนกันหมดทั้งประเทศ

    แต่ในฝ่ายมหานิกายเช่นกัน หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษาเจริญ ก็ได้สั่งสอนวิชาธรรมกายมาตั้งแต่ พ.ศ.2463 แล้ว ก็ถือเป็นแนวปฏิบัติอีกแนวหนึ่ง ซึ่งมาดังในยุคหลัง ๆ ว่า “วิชาธรรมกาย” ซึ่งมีคนปฏิบัติตามจำนวนมาก

    เท่านั้นยังไม่พอ ทางภาคใต้ พระมหาเงื่อม อินทปัญโญ หรือพุทธทาสภิกขุ ก็ได้เผยแพร่แนวการปฏิบัติธรรมแบบ”มองด้านใน” และวิธีละตัวกูของกู ดังกระหึ่มขึ้นทางภาคใต้ และเป็นที่สนใจของนักการศึกษาปัญญาชนทั่ว ๆ ไป และได้พระมหาปั่น (ปัญญานันทภิกขุ)เป็นสหธรรมิก ช่วยกันเผยแพร่พุทธศาสนาแบบธรรมวาทะ จนโด่งดังไปทั่วประเทศ

    และในฝ่ายของสตรี ก็ก่อกำเนิดสำนักเขาสวนหลวง สำนักปฏิบัติกรรมฐานของสตรีขึ้น นำโดยอุบาสิกากี นานายน หรือ ก.เขาสวนหลวง ซึ่งได้นำให้สตรีปฏิบัติธรรมจนบรรลุธรรมระดับสูงกันหลายท่าน ในปี พ.ศ.๒๔๘๘

    การพัฒนาฟื้นฟูพุทธศาสนาและวงการคณะสงฆ์ให้เข้าร่องเข้ารอยจึงเกิดขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๔ นั่นเอง จนมาถึงทุกวันนี้ พุทธศตวรรษที่ ๒๕ นับได้ว่าเป็นยุคที่พระพุทธศาสนารุ่งเรืองที่สุดในประเทศไทย ทั้งฝ่ายปริยัติธรรมก็มีพระภิกษุสามเณรเล่าเรียนจนสอบได้เปรียญ ๙ ประโยคมากที่สุด โดยเฉพาะสามเณรเปรียญ ๙ ประโยคมีสอบผ่านปีละหลาย ๆ รูป ฝ่ายปฏิบัติธรรมกรรมฐานก็มีสำนักสอนกันทั่วราชอาณาจักร หลายแขนงหลายวิธีการ แตกแยกออกไปเรื่อย ๆ ทั้งพุทธศาสนาจากจีน จากญวน จากญี่ปุ่น ก็แผ่เข้ามาให้ศึกษาและประพฤติปฏิบัติกัน จนบางทีชาวบ้านไม่รู้จะเลือกปฏิบัติแบบไหน

    และทุกวันนี้ การพระพุทธศาสนาทั้งปริยัติและปฏิบัติ สามารถแสวงหาศึกษาได้ในห้องนอนของตัวเองผ่านทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีเว็บไซด์ให้ศึกษามากมาย จึงถือว่าเป็นยุคทองของพระพุทธศาสนา
     
  3. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ไม้เนื้อหวานอาหารของตัวด้วง

    ไม้เนื้อแข็งส่วนมากเปลือกจะบาง ไม่ค่อยมีตัวหนอนไปวางไข่ เปลือกต้นไม่มีรูเจาะ ทั้งนี้เพราะเปลือกไม่หวาน เนื้อไม่หนา เนื้อไม้แข็ง ไม่น่ากิน ไม่น่าอยู่อาศัย

    ไม้เปลือกหนาส่วนมากเนื้อไม่แข็ง พวกแมงปลีกแข็งชอบวางไข่ แล้วไข่ก็กลายเป็นตัวหนอนค่อย ๆ เจาะไซเข้าไปในเปลือกจนถึงเนื้อไม้ กัดกินเนื้อไม้เป็นอาหาร แล้วทำรังดักแด้ จนเป็นตัวแล้วก็เจาะออกมาบินสู่ท้องฟ้าหาสืบพันธุ์ต่อไป

    เมื่อพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งโรจน์ ชาวบ้านก็เคารพเลื่อมใส เลี้ยงดูนักบวชด้วยความเคารพเลื่อมใส ให้กินแล้วยังกราบแล้วกราบอีก ใครก็ตาม มาจากตระกูลต่ำหรือสูง เมื่อเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาก็ล้วนเสมอกันหมด ชาวบ้านให้ความเคารพเลื่อมใสเสมอกัน จึงทำให้มีคนนิยมเข้ามาบวชอาศัยพระศาสนาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ทำให้พระพุทธเจ้าต้องทรงบัญญัติพระวินัยควบคุมความประพฤติของพระภิกษุมากมายถึง 227 ข้อ

    ผู้ที่เข้ามาบวชในพระศาสนาจึงมี 2 ประเภท คือผู้มุ่งหวังความหลุดพ้น ก็ตั้งใจปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างเคร่งครัด ที่สุดก็ได้รับสมาธิ ปัญญา หลุดพ้นจากสังสารวัฏเป็นรางวัล อีกพวกคือพวกที่ไม่มีทางไป อยู่ในโลกก็ทำมาหากินลำบาก ก็เข้ามาบวชเพื่ออาศัยศาสนาอยู่กินไปวัน ๆ รอวันตายที่จะมาถึง แล้วก็ตายโดยไม่ได้มรรคได้ผลอะไร

    เมื่อวันเวลาผ่านไปนานเข้า ๆ พวกหลังก็มีมากขึ้น ๆ พวกแรกก็มีจำนวนลดลง ๆ จนแทบหาไม่พบ เพียงผ่านไปสองร้อยกว่าปี เมื่อมาถึงยุคพระเจ้าอโศกมหาราชเลื่อมใสพระพุทธศาสนา จึงได้ทำการสังคายนา ได้ไล่จับพระอลัชชีคือนักบวชไร้ยางอายสึกออกไปจำนวนมากมาย พระพุทธศาสนาจึงบริสุทธิ์ผุดผ่องขึ้น เหลือแต่เนื้อแท้ แล้วจึงส่งพระอรหันตสาวกนำพระพุทธศาสนาไปเผยแพร่ยังทิศทั้งปวง

    ประเทศไทยก็ได้รับพระพุทธศาสนามาแต่ครั้งกระโน้น คนที่อยู่ในบริเวณแหลมทองนี้ ไม่ว่าพม่า มอญ ไทย เขมร ลาว ญวน ก็ค่อย ๆ ได้รับการสืบทอดพระพุทธศาสนาอย่างทั่วถึง แต่แรกก็มีผู้ประพฤติปฏิบัติดีจนเป็นพระอรหันต์มากมาย นาน ๆ ไปก็มีคนเลื่อมใส และบำรุงอุปถัมภ์นักบวชมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้นไม้พุทธต้นนี้ก็กลายเป็นไม้เปลือกนารสหวาน จึงมีแมงมาวางไข่อาศัยอยู่กิน เจาะเข้าไปในเนื้อไม้จนเป็นรูพรุน ไม้ยิ่งโตใหญ่ เปลือกกระพี้ก็วิ่งหนายิ่งหวาน แมงปลีกแข็งก็ยิ่งเจริญเติบโต แพร่จำนวนมหาศาล เมื่อเนื้อไม้ถูกเจาะจนเป็นรูมากมาย คนตัดไม้ไปใช้ก็แทบเลือกไม่ถูกว่าจะเอาส่วนไหนดี

    มาถึงทุกวันนี้ เมื่อพระศาสนาล่วงเลยมาสองพันกว่าปี คำสอนอันเป็นเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนาก็ถูกสอดแทรก และพุทธศาสนาก็แบ่งแยกเป็นหลายลัทธินิกาย คำสอนแต่ละนิกายก็แตกต่างกันออกไป ถ้าเราเอาพระไตรปิฎกของฝ่ายมหายานและเถรวาทมาอ่านดู ก็คงงงเป็นไก่ตาแตก อันไหนผิดอันไหนถูก ถ้าไม่ใช่ผู้บรรลุธรรมไหนเลยจะแยกแยะพระพุทธพจน์ออก
     
  4. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    "ครูบา" เนื้อนาบุญของล้านนา
    ตามความเป็นจริงเกี่ยวกับเรื่องของ คำเรียกขานพระสงฆ์ว่า "ครูบา" คำว่า "ครูบา" เป็นภาษาบาลี มาจากคำว่า "ครุปิ อาจาริโย" แปลว่า เป็นทั้งครูและอาจารย์ มาจากคำว่า "ครุปา" ภายหลังเพี้ยนเป็น "ครูบา" ในที่สุด เป็นคำที่พบว่า ใช้กันเฉพาะในกลุ่มวัฒนธรรมล้านนาเท่านั้น เป็นตำแหน่งของพระสงฆ์ ผู้ที่ได้รับการพิจารณา เลือกสรรแล้ว ว่ามีศีลาจารวัตรเรียบร้อย มั่นคงอยู่ในพระธรรมวินัย เป็นที่ยอมรับทั้งในส่วนของคณะสงฆ์ และฆราวาส ศรัทธาประชาชนทั่วไป หรือ มีผลงานปรากฏแก่ชุมชน ในการก่อสร้างบูรณปฏิสังขรณ์ สร้างวัดวาอาราม เช่น ครูบาอภัยสารทะ(ครูบาหลวง วัดฝายหิน) ครูบาศรีวิชัย ครูบาขาวปี ครูบาบุญชุ่ม เป็นต้น หรือมีคุณสมบัติพิเศษอื่น ๆ ในการทำงานเพื่อพระศาสนา หรือเป็นที่พึ่งของประชาชน เช่น ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง อ.แม่แตง เป็นหมอยาแผนโบราณ ครูบากัญจนะ เมืองแพร่ เชี่ยวชาญเรื่องการจาร รวบรวมคัมภีร์ใบลาน
    ครูบา จึงเป็นคำนำหน้าเฉพาะพระสงฆ์ รูปนั้น ๆ ซึ่งพระภิกษุทั่วๆ ไปไม่มีสิทธิ์ใช้ หรือแต่งตั้งตัวเองเป็นครูบา ในระยะเวลาไม่เกิน ๑๐ ปีมานี้ ในเขตภาคเหนือตอนบนกลับปรากฏว่า มีพระภิกษุหนุ่ม ๆ พรรษายังไม่พ้นนิสัยมุตตกะ( ๓ พรรษา) ได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นครูบากันอย่างแพร่หลาย
    ส่วนใหญ่ก็ยึดเอาครูบาศรีวิชัยเป็นต้นแบบ ทั้งการนุ่งห่ม ถือไม้เท้า ห้อยลูกประคำ ถือพัดขนหางนกยูง ไปทางไหนก็เจอแต่ครูบา ผู้มีจริยาวัตรนำมาซึ่งความศรัทธาเลื่อมใสก็มาก นำมาซึ่งความสับสนของสังคมก็มีไม่น้อย
    หากไม่สามารถหยุดกระแสศรัทธาเรื่องครูบาได้ คณะสงฆ์ สำนักงานพระพุทธศาสนา สำนักวัฒนธรรม และสมาคมสหธรรม ทุกภาคส่วนน่าจะมีมีการทบทวนพิธีสถาปนาครูบาในล้านนา ว่ามีธรรมเนียม มีหลักเกณฑ์ปฏิบัติ คัดเลือกพระภิกษุสงฆ์เช่นไร และดำเนินการให้ถูกต้อง อย่างน้อยช่วยกลั่นกรองทำเนื้อนาดี ๆ ให้เป็นเนื้อนาบุญ ผืนนาใดดินไร้คุณภาพคณะสงฆ์คงต้องเร่งรัดปรับปรุงดินให้เหมาะแก่การหว่าน เมล็ดพันธ์คือบุญของศรัทธาประชาชน มิให้เสียเวลากับที่นาที่ไร้คุณภาพ นอกจากไม่ได้ผลผลิตแล้วยังทำศรัทธาไทยให้ตกไปอีกคงไม่มีหน่วยงานใดเหมาะสมไป กว่าองค์กรสงฆ์อีกแล้วครับที่จะเป็นเสาหลักในการ ทบทวนเรื่องนี้


    ครูบาล้านนา
    การสถาปนาครูบาในล้านนานั้นทำ ครั้งสุดท้ายในสมัยเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ชุดที่ได้รับการสถาปนา รดน้ำมุรธานั้นก็คือ ครูบาหลวงวัดฝายหิน(อภัยสารทะ) จากนั้นการคณะสงฆ์ล้านนา ก็ถูเรียกอำนาจการบริหาร-จัดการเข้าไปรวมศูนย์อยู่ที่ กรุงเทพมหานครฯ และครูบาหลวงอภัยสารทะก็ได้รับสถาปนาเป็นเจ้าคณะจังหวัดรูปแรกของ จังหวัดเชียงใหม่
    ประเพณีการสรงน้ำ หรือ รดน้ำพระสงฆ์ขึ้นเป็นครูบาจึงหายไปจากล้านนานับแต่นั้น ครูบาศรีวิชัย คือผู้ได้รับผลกระทบอย่างมากจากกระบวนการรวมศูนย์นี้ เนื่องเพราะมาในจังหวัดหัวเลี้ยวหัวต่อพอดี
    เมื่อพิธีกรรมดังกล่าวหายไปจาก ล้านนา กลับปรากฏว่า ในรัฐฉาน เมืองยอง และเมืองเชียงตุง อันเป็นบ้านพี่เมืองน้องของเชียงใหม่ และอำนาจทาง กทม.ยังไม่สามารถข้ามเข้าไปได้ ยังคงมีประเพณีในการสรงน้ำ สถาปนาครูบาสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีลำดับชั้นของพระสงฆ์ผู้จะเข้ารับการแต่งตั้งอยู่ ๔ ระดับ ดังนี้


    สมณศักดิ์ของคณะสงฆ์ นครเชียงตุง
    ๑. สมเด็จพระอาชญาธรรม เป็นตำแหน่งสูงสุดในคณะสงฆ์ เป็นผู้มีอายุ ๗๐ และมีพรรษา ๕๐ ขึ้นไป
    ๒. พระครูบา เป็นตำแหน่งของพระสงฆ์สงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นผู้มีอายุ ๔๐ และมีพรรษา ๒๐ ขึ้นไป
    ๓. พระสวามี เป็นตำแหน่งของสงฆ์ผู้อุดมด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นผู้มีอายุ ๓๐ และมีพรรษา ๑๐ ขึ้นไป
    ๔. พระสวาทิ เป็นตำแหน่งของสงฆ์ผู้ทรงศีล สมาธิ ปัญญา เป็นผู้มีอายุ ๓๐ และมีพรรษา ๑๐ ขึ้นไป






    ทั้ง นี้ การถวายสมณศักดิ์จะอยู่ในดุลยพินิจของคณะสงฆ์ และสำนักโฆปก(คล้ายสำนักงานพระพุทธศาสนา)ของนครเชียงตุง ซึ่งในบางกรณี อาจมีการพิจารณาเป็นกรณีพิเศษเพื่อความเหมาะสม เช่นครูบาบุญชุ่ม เป็นต้น
    ก่อนการสถาปนาจะมีการป่าประกาศให้ ประชาชนได้ทราบก่อนว่า จะยกยอพระภิกษุรูปนี้ขึ้นไปเป็นครูบาขอให้ศรัทธาชาวบ้านได้ไปร่วมอนุโมทนา สมเด็จอาชญาธรรม(ใส่) วัดเชียงยืนราชฐาน องค์ปัจจุบันโปรดเมตตาเล่าให้ฟังว่า“ หากพระภิกษุรูปใด ไม่มีศีลธรรม บ่มีคุณสมบัติตามที่นำเสนอมา อันเป็นการมุสาคณะสงฆ์ หลอกลวงเอาฐานะที่ไม่สมควรแก่ตน ยังแห่ไม่เสร็จก็จะเป็นไข้ ไม่สบาย แสดงว่าไม่มีบุญที่จะได้รับการสถาปนา แต่หากสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ นั้นย่อมหมายความว่า เป็นผู้มีบุญญาธิการ บุญศีลธรรมกัมมัฏฐานคุ้มครอง ควรแก่การยกยอขึ้นสู่ตำแหน่งนั้น ๆ”
    นอกเหนือจากตำแหน่งที่เป็นทางการ ทั้ง ๔ นี้ยังปรากฏว่าที่เชียงตุงยังมีตำแหน่งทางสังคมอีกตำแหน่งหนึ่ง ที่อยู่ในฐานะเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของปวงชนไม่เฉพาะบ้าน หรือเมืองใดเมืองหนึ่ง นั้นคือ ตำแหน่ง “เจ้าหน่อต๋นบุญ” จะใช้เรียกขานพระภิกษุ-สามเณรผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ มาตลอดอายุการบวช
    ประมาณเมื่อ ๔ ปีที่แล้วได้มีโอกาสไปร่วมงานประเพณีเข้ากรรมฐานของคณะสงฆ์ตำบลเมืองลัง วัดยางขวาย มีการเทศน์ธรรมมหาชาติ ขณะที่เรากำลังฉันข้าวกันอยู่นั้น ก็ได้ยินศรัทธาป่าวประกาศว่า “สามเณรศีลมั่นมาแล้ว” หันไปมองเป็นสามเณรน้อย อายุประมาณ ๑๑-๑๒ ปี ท่าทางสงบเสงี่ยมสำรวม ถามชาวบ้านว่า ทำไมเรียกว่า สามเณรศีลมั่น ได้รับคำอธิบายว่า“ตั้งแต่บวชมาเณรถือศีล กินเจ มาโดยตลอด ไม่ซุกซนเหมือนเณรน้อยทั่ว ๆ ไป ที่สำคัญการวัตรปฏิบัติก็ดี เรียบร้อย จึงเป็นที่เคารพรักของชาวเชียงตุง”
    จากนี้ไปหากยังมีความมั่นคงอยู่ถึงเป็นพระภิกษุ ก็จะเรียกว่า “ตุ๊เจ้าศีลธรรม” ดังที่ครูบาศรีวิไชยของล้านนาเรา ได้รับการเรียกขานอีกนามหนึ่งว่า “ครูบาศีลธรรม” หากท่านได้ตั้งใจประพฤติดี ไม่หวั่นไหว ถึงขั้นสัจจะอธิษฐานว่า ขอเป็นพระโพธิสัตว์ หรือขอบำเพ็ญบารมีช่วยเหลือผู้คนให้พ้นทุกข์ ขอเป็นพระพุทธเจ้าองค์ในอนาคต เช่นนี้ก็จะได้ชื่อว่า "เจ้าหน่อต๋นบุญ"
    เท่าที่ทราบ ที่รัฐฉานฟากฝั่งตะวันตกของลุ่มน้ำอิรวดี ตลอดระยะเวลา นับ ๒๐๐ – ๓๐๐ ปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน มีผู้ที่คณะสงฆ์และชาวบ้านยกย่อง ชาวบ้านแทบทุกหลังคาเรือนมีรูปของท่านไว้กราบไหว้บูชา และ เรียกขานขนานนาม ว่าเป็น เจ้าหน่อต๋นบุญนั้น มีเพียง ๒ รูป คือ
    ๑. พระพี่หลวงป่าบง เวียงยอง
    ๒. ครูบาบุญชุ่ม ญาณสงฺวโร (เมืองพงสยาดอ)


    เข้าใจว่า หากคณะสงฆ์จะเมตตาพิจารณา หลักคิดและวิธีการในการยกย่องสถาปนา ครูบาของนครชียงตุง เพื่อนำมาปรับประยุกต์ใช้ในบ้านเมืองของเรา ก็คงส่งผลดีต่อการคณะสงฆ์อยู่ไม่น้อย
    ๑. เพื่อเป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรมของคณะสงฆ์ล้านนาที่ยังมีการเคลื่อนไหวตามใจชอบ ให้กลับเข้าสู่กระบวนการของสงฆ์อีกครั้งหนึ่ง
    ๒. เพื่อเสริมสร้างมาตรฐานในการปกครองสงฆ์ ให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
    ๓. เพื่อเป็นฐานในการปฏิบัติของคณะสงฆ์ในปัจจุบันและอนาคตสืบไป
    น่า จะเข้าทำนองว่า “ใหม่ก็เอา เก่าก็ไม่ทิ้ง” ทั้งเก่าและใหม่ผสมผสานเพื่อความบริสุทธิ์ เพื่อความงามของวงการสงฆ์สืบไป

    พระมหาสง่า ธีรสํวโร
    สาขาวิชาศาสนา-ปรัชญา
    จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่
     
  5. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    เกี่ยวกับครูบาบุญชุ่ม

    เมื่อปี พ.ศ. 2540 พระอาจารย์สิทธา เชตวัน (นักเขียนชื่อดัง)ได้ชักชวนผมไปกราบหลวงปู่โง่น โดยมุ่งหวังจะให้ผมเขียนประวัติของท่าน เพราะท่านจะลามือกับการเขียนหนังสือ บอกว่านอกจากผมแล้วจะหาคนเขียนได้ดียาก ผมก็บ้ายุ ก็เลยตามท่านไป นอนพักที่วัดเขารวกหนึ่งคืน หลวงปู่โง่นได้เล่าเรื่องชีวประวัติของท่านให้ฟังมากมายหลายเรื่อง ล้วนพิสดารยิ่ง แต่มีเรื่องของครูบาบุญชุ่มผสมอยู่ด้วย ท่านเล่าว่า ครูบาบุญชุ่มเป็นลูกศิษย์ของท่านตั้งแต่เป็นสามเณร ท่านส่งไปบำเพ็ญธรรมบนยอดเขาหิมาลัย เอาไปฝากอยู่วัดฮินดู เอาไปทิ้งไว้ที่นั่นเลย สามเณรบุญชุ่มอยู่ในวัดไม่นานก็หนีเข้าป่าหาที่วิเวกนั่งภาวนา จนที่สุดก็กลับที่วัดอีก และได้เสวยอดีตกรรมบางอย่าง ทำให้ท่านเสียสติเป็นบ้าไป ทำท่าทางเหมือนลิง ไม่นุ่งผ้า คนหลายคนช่วยกันปล้ำจับมัดไว้ ต่อมาก็เอาท่านใส่ห้องกรงซึ่งมีซี่กรงเหล็กซี่ใหญ่ ท่านก็อยู่ข้างในห้องกรงนั้น ทางวัดจึงมีโทรเลขเรียกหลวงพ่อไปรับกลับ หลวงพ่อก็ไปกับคุณหญิง (ลืมชื่อแล้ว) ไปพบสามเณรบุญชุ่มอยู่ในกรงเหล็กนั้น พอเห็นหลวงพ่อเท่านั้นก็ใช้กำลังแขนม้างลูกกรงลอดออกมาได้ และมีสติกลับคืนมา แต่ก็เป็นพัก ๆ เดี๋ยวก็กลับไปเป็นบ้าอีก หลวงพ่อจึงวางยาแล้วพาขึ้นเครื่องบินกลับไทย เมื่อถึงไทยแล้วก็หายจากอาการบ้า

    ผมจำได้คร่าว ๆ เท่านี้นะครับ

    ส่วนประวัติหลวงปู่โง่นผมก็ไม่ได้เขียน เพราะตามรอยของท่านไปจนถึงอำเภอศรีวิไล พบกับหลวงปู่กอง อายุ 92 ปี เป็นน้าของหลวงปู่โง่น เลี้ยงหลวงปู่โง่นมาตั้งแต่เด็กน้อย อายุมากกว่าหลวงปู่โง่น 15 ปี แต่ในปีที่ผมไปสืบค้นนั้นหลวงปู่โง่นบอกว่าท่านอายุ 95 ปี มากกว่าหลวงปู่กองของท่านอีก และประวัติหลวงปู่โง่นที่ท่านเล่าให้ฟังนั้นเป็นคนละคนกับหลวงปู่โง่นที่เป็นหลานหลวงปู่กอง เพราะหลวงปู่โง่นวัดเขารวกเกิดที่บ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นบ้านเดียวกับครูบาศรีวิชัย เป็นลูกกำพร้า ฝรั่งที่มาเผยแพร่ศาสนาคริสต์เอาเป็นบุตรบุญธรรม แล้วพาไปอยู่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ได้รับการศึกษาอย่างดี เรียนจบวิชาแพทย์ และเรียนวิชาคอมพิวเตอร์สมัยที่เครื่องคอมพิวเตอร์ใหญ่คับห้อง เมื่อท่านกลับมาเมืองไทยก็มาเป็นหมอสอนศาสนา จนต่อมาได้สนทนาธรรมกับพระคุณเจ้าองค์ใดก็ลืมไปแล้ว ท่านจึงเลื่อมใสพุทธศาสนา เข้ามาบวชเป็นพระ แล้วไปอยู่ปฏิบัติธรรมกับครูบาวังบนภูลังกา (ตรงนี้กลับตรงกับประวัติของหลวงปู่โง่นหลานชายของหลวงปู่กอง และหลวงปู่บานซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่ตื้อ อยู่วัดป่าสันติธรรม บ้านข่า ได้เล่าว่ารู้จักหลวงปู่โง่น หลวงปู่โง่นแก่กว่า 3 ปี เป็นศิษย์ครูบาวังร่วมกัน หลวงปู่บานเกิด พ.ศ.2467) หลวงปู่โง่นหลานหลวงปู่กองนั้นสมัยหนุ่มล่องเรือค้าขายที่แม่น้ำศรีสงคราม พออายุครบอุปสมบทก็อุปสมบทในคณะธรรมยุติ ไปอยู่กับครูบาวังบนภูลังกา ต่อมาก็หายไปเลย หลวงปู่กองมาทราบอีกทีก็รู้ว่ามาเป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดเขารวก ท่านจึงไปเยี่ยม ปรากฎหลานชายของท่านไม่รู้จัก จำท่านไม่ได้ ท่านเสียใจมากจึงกลับวัดที่อำเภอศรีวิไล

    ผมสับสนเลยไม่รู้จะเขียนประวัติหลวงปู่โง่นแบบไหน ก็เพียงตกผลึกเป็นความจำอยู่ในสมองนี่แหละครับ
     
  6. sixth sense

    sixth sense สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    เสียใจด้วยเจ้าค่ะ...เป็นกำลังในการทดสอบ
     
  7. PITINATTH73

    PITINATTH73 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    2,991
    ค่าพลัง:
    +9,624
    สวัสดียามเช้าครับท่านอาจารย์ และ ญาติธรรมทุกๆท่าน
    ผมขอติดตามอ่านต่อไปเรื่อยๆครับ ขอโพสข้อความบ้างครับ :cool:
     
  8. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    สวัสดีครับ ด้วยความยินดีครับ มีความคิดเห็นอะไรก็เชิญช่วมแชร์กันนะครับ
     
  9. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ขอบใจจ๊ะ คุณหนูซิกเซ้นส์ ลองทายซิ ในกำมือของลุงมีอะไรซ่อนอยู่
     
  10. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    เรียนโหราศาสตร์

    เมื่อกลับมาอยู่วัดในกรุง นอกจากเรียนบาลีตามกฎของวัดแล้วผมก็ค้นคว้าหาความรู้ที่ตนเองอยากรู้ ไม่ใช่เรียนรู้เพื่อแสวงหาการรับรองจากใคร สิ่งที่ผมสงสัยมาหลายปีแล้วคือโหราศาสตร์ ก็ไม่รู้เพราะอะไร มันคาใจ อยากเรียนรู้ ดวงดาวเกี่ยวข้องกับชีวิตเราจริงหรือ แล้วกรรมล่ะ มันเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไร

    ผมไปสมาคมโหราศาสตร์ หน้าวัดบวรนิเวศน์ หมอดูอายุเจ็ดสิบกว่าปี ทำนายว่าผมจะเรียนจบเปรียญ ๙ ประโยค จะเป็นพระไปจนตาย จะเป็นสมเด็จในเบื้องปลาย เฮอะ..มันจะจริงรึ มาถึงทุกวันนี้ก็พิสูจน์แล้วว่าคำทำนายของคุณหมอท่านผิดทุกข้อ

    ผมไปเวิ้งนครเกษม ซื้อตำราโหราศาสตร์เรียนด้วยตนเอง เล่มหนาตั้ง 2 นิ้ว มานั่งอ่าน กินอ่าน นอนอ่าน ได้ 2 วัน ผมก็ผูกดวงเป็น อ่านได้ 1 อาทิตย์ ผมก็จดจำกฎโหราศาสตร์ได้ครบทุกข้อ ดาวเกษตร ดาวประ ดาวมหาอุจ ดาวนิจ ดาวมหาจักร ดาวราชาโชค ดาวเทวีโชค ปัสวะเกณฑ์ กีฏะเกณฑ์ นะระเกณฑ์ อำพุเกณฑ์ ดาวคู่ธาตุ ดาวคู่มิตร ดาวคู่ศัตรู ดาวคู่สมพล นี่คือหลักใหญ่ ๆ ของโหราศาสตร์ไทย ขั้นต่อไปก็หาดวงจริง ๆ มาดู คนอยู่กุฏิเดียวกันคือเหยื่อรายแรก แล้วค่อยกระจายออกไปเรื่อย ๆ ไป ๆ มา ๆ พระเณรและลูกศิษย์วัดโดนเอาดวงมาผูกและหัดทำนายหมด ไม่เว้นแม้เจ้าคุณบางองค์ ชักมีชื่อเสียงขึ้นมาแล้วสิ แต่ดูดวงไม่เอาเงินทองใครนะ ใครเอาเงินมาให้ก็โดนดุ” ไม่ได้รับจ้างดูดวง” แต่ถ้าเขาถวายไทยทานอื่น ๆ ตามปกติคนมาหาพระก็รับ เพราะไม่ได้ตั้งใจมาดูดวง ถ้าตั้งใจมาดูดวงก็ไม่รับอะไรของใคร เป็นโรคหยิ่งอย่างนี้ เดี๋ยวจะเข้าข่ายอวดอุตริ ทำเพื่อหวังลาภสักการะ

    เมื่อวันเสาร์ ๕ ปีที่แล้วนี่เอง ผมได้อัญเชิญหลวงปู่โตลงมาปลุกเสกพระเครื่องทั้งหลายที่ผมครอบครองอยู่ ผมถามท่านว่าทำไมผมครอบครองพระสมเด็จของหลวงปู่ตั้งมากมาย ท่านตอบว่า เพราะอดีตเจ้าเป็นพระยาโหราธิบดี ช่วยอาตมาตัดฤกษ์ ทำพิธีบวงสรวงต่าง ๆ เวลาทำพิธีปลุกเสก ก็เหมือนกับว่าได้มีส่วนสร้างพระเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้จึงมาหาเจ้าอย่างง่ายดาย

    ผมก็เลยได้คำตอบ ทำไมผมสนใจโหราศาสตร์เหลือเกิน และเรียนได้ง่ายมาก เข้าใจทะลุแจ่มแจ้งโดยไม่ต้องมีใครมาพร่ำสอน เพียงหาตำรามานั่งอ่านนอนอ่านก็กลายเป็นโหรน้อยแล้ว แต่มีอีกที่ผมปฏิเสธว่าไม่น่าใช่ ท่านว่าผมตายจากพระยาโหราธิบดีก็มาเกิดในรัชกาลที่ ๕ เป็นหมอ...ผู้มีชื่อเสียงยิ่ง และคนให้ความเคารพนับถือมาก ข้อนี้ผมไม่มีอะไรเหมือน ผมไม่ใส่ใจกับคาถาอาคม หรือลัทธิไสยเวทเลย ผมเอาคำสอนบริสุทธิ์พุทโธของพระพุทธเจ้า มุ่งสู่ความดับทุกข์โดยตรง และผมไม่เกิดความรู้สึกผูกพันกับหลวงปู่ศุข แต่ผูกพันรักเคารพหลวงปู่โตมาก

    แต่มันมีเหตุแปลกประหลาดอยู่ 2 เรื่อง

    ผมอยู่บ้านนอกผมไม่เคยไปอยู่ในวัดใหญ่ประจำจังหวัด ไม่ได้คุ้นเคยกับเจ้าคณะจังหวัด แต่เมื่อผมมาแสวงหาวัดอยู่กับเพื่อน ๆ จากวัดพระบาทตากผ้า ป่าซาง ลำพูน เพื่อน ๆ เลือกได้วัดกันหมด แต่ผมไม่เลือกวัดไหนเลย ยกเว้นวัดที่รัชกาลที่ ๕ ทรงสร้าง ผมมุ่งจำเพาะจะอยู่วัดนี้ให้ได้ ถ้าไม่ได้อยู่วัดนี้ผมก็ไม่อยู่กรุงเทพ ฯ ผมจึงไปสำรวจดูว่าวัดนี้มีพระเณรชาวจังหวัดเดียวกับผมอยู่หรือไม่ ก็พบว่ามีถึง 2 กุฏิ และมีสามเณรอยู่ 1 กุฏิ ซึ่งสามเณรไม่มีสิทธิ์เป็นผู้ปกครองกุฏิ ผมก็รู้แล้วว่าผมได้อยู่วัดนี้ชัวร์ ผมจึงกลับบ้านเกิด เข้าไปกราบหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัด ให้ท่านทำหนังสือฝากให้อยู่วัดนี้ให้ด้วย

    หลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดเคยเห็นหน้าผมครั้งหนึ่งตอนที่ผมสอบบาลีได้ เป็น 1 ในจังหวัด ท่านจึงให้คนเรียกไปหาอยากดูหน้า แล้วชักชวนให้ไปอยู่วัดในเมืองด้วย แต่ผมปฏิเสธ บอกว่าจะไปเรียนที่วัดพระบาทตากผ้า จังหวัดลำพูน ท่านก็ยินดีด้วย มาคราวนี้เมื่อผมไปกราบท่านก็จำได้ ท่านว่าจะอยู่วัดไหนล่ะ วัดสุทัศน์มั้ย วัดโพธิ์ท่าเตียนมั้ย วัดมหาธาตุมั้ย วัดอรุณ ฯ มั้ย ว่าไปแต่ละวัด ผมปฏิเสธทุกวัด เจาะจงเอาวัดประจำรัชกาลที่ ๕ เท่านั้น ท่านบอกว่าแล้วมีที่อยู่หรือเปล่าน่ะ จะอยู่วัดนี้ได้เจ้าของกุฏิต้องยินยอมจึงอยู่ได้นะ ผมก็เรียนว่าไปดูมาแล้ว ขออนุญาตเจ้ากุฏิแล้ว เป็นสามเณรบ้านเรานี่แหละ เขายินยอมให้อยู่ด้วย ท่านว่า ถ้างั้นก็ไปอยู่ได้เลย จะโทร.บอกเจ้าอาวาสให้

    แค่นั้นแหละครับ ผมก็เลยได้มาอยู่วัดที่ใคร ๆ ก็อยากอยู่อย่างง่ายดาย แม้แต่พระรูปหนึ่งที่อยู่กับหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดซึ่งเรียนเก่งมาก ๆ ขอมาอยู่วัดนี้ ท่านยังไม่สามารถฝากให้อยู่ได้ เพราะไม่มีใครรับรอง

    เมื่อผมอยู่มาได้หลายปีแล้วผมเกิดอุบัติเหตุแข้งหักด้านขวา ก็ใส่เฝือกอยู่ 3 เดือนกว่า เอาเฝือกออกแล้วขาก็ลีบ ก็ถือไม้เท้าหัดเดินอยู่หน้ากุฏิ จนวันหนึ่งก็มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งมาพบเข้า ก็นิมนต์ให้เข้าไปคุยกันที่กุฏิ ถามผมว่า ท่านเคยไปสมุทรสาครมั้ยคะ ผมตอบว่าเคยไป เขาถามว่าเคยรู้จักใครที่นั่นมั้ย ผมตอบว่าไม่รู้จัก เขาถามว่ารู้จักร่างทรงขององค์พ่อรัชกาลที่ ๕ มั้ย ผมว่าไม่รู้จักใคร อาตมานั่งรถไฟเที่ยว ถึงที่นั่นก็นั่งรถไฟกลับ ไม่ได้ไปหาใครเลย

    โยมพูดว่า น่าแปลกใจนะคะ ดิฉันไปหาเสด็จพ่อ ร.๕ มา ท่านว่าชีวิตของดิฉันต้องมีความทุกข์ระทมอยู่เสมอ มีปัญหาอุปสรรค เพราะเจ้าเคยทำกรรมเวรไว้กับใครคนหนึ่ง ให้เจ้าไปวัดของฉันที่ใกล้วังสวนจิตร เมื่อเจ้าไปจะพบพระหนุ่มรูปหนึ่งถือไม้เท้าเดินอยู่หน้ากุฏิ แข้งท่านหักด้านขวา ให้เจ้าหาไทยทานไปถวายท่าน แล้วขออโหสิกรรมต่อท่าน เรื่องใดที่เคยทำล่วงเกินกันมาขอให้ท่านอโหสิให้ แล้วเจ้าจะพ้นกรรม

    ดิฉันมาพบท่านเดินด้วยไม้เท้าก็ขนลุกชูชัน เหลือเชื่อจริง ๆ ดิฉันขอถวายไทยทานนี้แด่พระคุณท่าน กรรมใดที่ดิฉันเคยกระทำต่อท่านในอดีตชาติ ขอให้ท่านจงอโหสิกรรมให้ดิฉันด้วย ขอให้ดิฉันจงพ้นเวรพ้นภัย ชีวิตจงประสบแต่ความสุขตั้งแต่นี้ต่อไปเถิด

    ผมก็บอกว่า อาตมาก็ไม่รู้เหมือนกันนะ เพราะระลึกชาติไม่ได้ ไม่มีญาณใด ๆ ที่จะระลึกได้ ถ้ามันมีอะไรที่เคยล่วงเกินกันมาก็ขออโหสิให้ และถ้าอาตมาเคยล่วงเกินโยมมาก่อนโยมก็ขออโหสิให้อาตมาด้วย ต่างก็ขออโหสิกันด้วยประการฉะนี้

    เมื่อผมมาอยู่ปากช่อง ก็มีสุภาพสตรีมีฐานะสูงส่งคนหนึ่งตามหาตัวจนพบที่นี่ ก็เช่นเดียวกัน บอกว่าชาติที่แล้ว เมื่อผมเป็นหมอ...เขาก็เป็น 1 ในหลาย ๆ คนของหมอ...ได้ทำกรรมกับท่านมาทำให้ชาตินี้ต้องผจญกับวิบากกรรมบางอย่าง จึงมาหาท่านขออโหสิกรรมให้ ผมก็อโหสิกรรมให้เช่นกัน

    นี่ก็เป็นเรื่องแปลก ซึ่งผมก็ไม่เคยเกิดความรู้สึกว่าผมจะเป็นพระองค์ท่านไปได้อย่างไร

    เพียงแต่ว่ามาชาตินี้ผมเป็นทั้งนักโหราศาสตร์ ที่เคยนั่งดูดวงอยู่โรงแรมมณเทียร สุริวงศ์ ในขณะที่ผมมีอายุเพียง 31 ปี และต่อมาผมก็เป็นหมอเมือง หมอยาสมุนไพรมีชื่อที่ผู้คนรู้จักมากมาย จากเรื่องยาหัวกวาวเครือ จนมาถึงเรื่องว่านขันหมากเศรษฐี ในทุกวันนี้
     
  11. PITINATTH73

    PITINATTH73 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    2,991
    ค่าพลัง:
    +9,624
    ผมขอถามแบบโง่ๆนะครับ และไม่มีเจตนาจะลบหลู่ผู้ใดทั้งสิ้นนะครับ ว่าถ้าหากพระสงฆ์ที่มีอภิญญา5 สมาบัติ 8 สามารถเข้านิโรธ ได้ไหมครับ หรือจะต้องมี อภิญญา 6 สมาบัติ 8 เท่านั้นถึงจะเข้านิโรธได้ครับ
    ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ
     
  12. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,863
    อ่านจากอักษรลิขิตบรรยายจนเห็นภาพ อยากทราบว่าท่านไปวัดพระพุทธบาทตากผ้าช่วงราวปี 2537-2838 หรือไม่ ช่วงนั้นคุณแม่ของดิฉันบวชเป็นแม่ชีอยู่ที่วัดพระพุทธบาทตากผ้า เย็บสบง จีวร สังฆาติ ชำนาญมากคือเย็บมุ้งกลดถวายพระอยู่เป็นเนืองนิจ

    ข้อสำคัญคุณแม่ดิฉันเป็นคนจังหวัดสมุทรสาครด้วยค่ะ


    ปล.อยากให้ท่านทำนายดวงมั่งเลยค่ะ รวมทั้งอยากเรียนวิชาสมุนไพรกับท่านอีกค่ะ
     
  13. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,863
    ดูแล้วน่าจะต้องได้อภิญญา 6 สมาบัติ 8 แล้วเท่านั้นถึงเข้านิโรธได้ 7 วัน 7 คืนโดยไม่ขยับกาย ไม่ฉันอาหาร เห็นหนังสือบอกไว้ว่าจะต้องเป็นพระอริยบุคคล ระดับพระอรหันต์และพระอนาคามี....

    ส่วนคนที่เข้านิโรธได้แป๊บๆก็คงมีค่ะ แต่ถ้าถึง 7 วันสงสัยจะตายเสียก่อนเพราะฝืนธรรมชาติมากค่ะ.....

    เข้ามาแจมด้วยจ้า...
     
  14. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    พ.ศ. 2518 โน่นแน่ะ 2519 เข้ากรุงเทพ ฯ ตอนที่พวกทหาร ตำรวจ ลูกเสือชาวบ้าน นวพล กระทิงแดง พากันล้อมฆ่านักศึกษามือเปล่าที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมก็อยู่กรุงเทพ ฯ แล้วครับ ก็ลองคิดดูสิครับ ผมไปท่องธุดงค์แถวเมืองกาญจนบุรีต้นปี 2521 นะครับ ตอนนี่มีคนมาหาผมเรื่องเสด็จพ่อ ร.๕ เป็นปี 2529 ครับ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเซ็นจอห์น
     
  15. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ฤาษีนอกพุทธศาสนาก็สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ตั้ง 45 วัน เคยทดสอบกันสมันอังกฤษครองอินเดีย โดยฤาษีนอนในโลงศพให้เขาเอาฝังดินไว้ 45 วัน พอครบกำหนดก็ให้ขุดขึ้นมา ฤาษีก็ฟืนขึ้นมาตามแรงอธิษฐาน

    ในเมืองไทยไม่มีใครบรรลุสมาบัติ 8 สักคนหรอกครับ อย่าหลงเชื่อเป็นเหยื่อใคร ถ้าสมัยหลวงปู่มั่นยังมีชีวิตอยู่ ท่านและศิษย์อีกหลายองค์อาจบรรลุถึงก็ได้ ทางสายพองหนอยุบหนอเคยมีแม่ชีนั่งเงียบถึง 7 วันนะครับ นั่นอยู่ระดับฌานเท่านั้น
     
  16. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,863
    ปี 21 เรียน มศ.5อยู่ค่ะ ตอนนั้นแม่ยังไม่ได้บวช แต่มีพระมาปริวาสกรรมที่สำนักสงฆ์วัดเขารักในค่ายกองพลที่ 9 ถ้าท่านมาก็คงได้ใสบาตรตอนนั้นค่ะ
     
  17. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    หรือครับ คุณก็เกิดมานานเหมือนกันนะครับ คนวัยนี้ที่ใช้อินเตอร์เน็ตนี่มีไม่กี่คนหรอกครัับ แต่น้องสาวที่พายเรือพาผมข้ามแม่น้ำแควน้อยน่าจะรุ่นเดียวกับคุณนะครับ

    ผมไม่นิยมไปเข้างานปริวาสกรรมกับใคร มันเป็นประเพณีที่พระเอาไปหากินกันหมดแล้ว ปริวาสเป็นพิธีลงโทษพระที่ทำผิดอาบัติสังฆาทิเสส มาถึงทุกวันนี้กลายเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว พระที่หากินกับงานปริวาสก็มีส่วนหนึ่ง รู้ว่าเขาเข้าปริวาสที่ไหนเป็นต้องไปให้ได้ ขอให้รู้เถอะ แต่ที่เขาเข้ากรรมฐานมุ่งมั่นหลุดพ้นนี่ไม่ค่อยมีใครเอา มันไม่สนุกเหมือนเข้าปริวาส
     
  18. kawpunt

    kawpunt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,276
    ค่าพลัง:
    +3,086
    ได้ความรู้ดีนะครับ เข้ามาติดตามอ่าน สนใจอ่านแบบนี้มานานแล้วครับขอบคุณเจ้าของกระทู้ครับ
     
  19. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ขอบคุณครับที่มาช่วยดึงไปไว้ข้างบน ช่วย ๆ กันหน่อยครับ เพราะเน็ตผมช้ามาก กว่าจะเปิดเข้าดูแต่ละครั้งนี่หืดจับเลยครับ ใครได้อ่านแล้วก็ช่วยโพสต์อะไรลงหน่อย ถ้าตรงกับตัวเลขดี ๆ ถูกใจเดี๋ยวจัดรางวัลให้นะครับ
     
  20. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ไปอยู่วัดหนองป่าพง

    ปี 2523 เป็นปีคลี่ ร้อนที่อยู่อีกล่ะ ช่วงต้นปีประมาณเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากสอบบาลีเสร็จแล้ว พระรุ่นพี่ที่เป็นอาจารย์สอนกรรมฐานประจำสำนักก็ชวนไปเที่ยวกราบครูบาอาจารย์ทางอีสาน ช่างโชคดีอะไรเช่นนั้น เพราะจากนั้นท่านเหล่านั้นก็พากันเรียงแถวเข้านิพพานกันหมด หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกองเพล หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หนองคาย หลวงปู่ดี วัดถ้ำผาบิ้งเมืองเลย ไปกราบศพพระอาจารย์ที่เครื่องบินตกที่ทุ่งรังสิตครบทุกองค์ กราบศพอาจารย์จวนแล้วปีนภูทอก หัวใจจะวายตาย ไปกราบศพหลวงปู่ฝั้น ที่พรรณนานิคม ไปกราบเจดีย์หลวงปู่มั่นวัดป่าสุทธาวาส สกลนคร ไปกราบหลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด ไปกราบหลวงปู่ผาง ที่มัญจาคีรี ขอนแก่น ไปกราบหลวงปู่ดูล ที่อุบล ไปกราบหลวงปู่ชอบ อุบลหรือเปล่าไม่แน่ใจ จนไปสิ้นสุดที่หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง ใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนมั้ง วัดนอกจากนี้และครูอาจารย์ที่ไม่ดังก็ไม่พูดถึง ไปคราวนี้ตั้งใจหาครูบาอาจารย์ที่ถูกใจจะได้อยู่ภาวนาด้วย ตั้งใจว่าปีนี้ทั้งปีจะอยู่วัดป่าตลอด

    ปัญหาของคณะสงฆ์ไทยคือการแตกออกเป็น 2 นิกาย ผมอยู่วัดมหานิกาย ทั้ง ๆ ที่เป็นวัดตัวอย่างที่รัชกาลที่ ๕ สร้างขึ้นมา โดยรวบรวมพระที่ดี ๆ เก่ง ๆ ทั้งนั้นไปอยู่ ยกระดับขึ้นมาให้เท่าธรรมยุติว่าพระมหานิกายก็มีดี มิใช่ดีแต่ธรรมยุติ ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมรับ และวัดกรรมฐานทางอีสานส่วนมากเป็นธรรมยุติ ยากที่จะอยู่กับเขาได้ ทั้งนี้เพราะท่านเคร่งครัดในจารีตประเพณียิ่งนัก เราเป็นพระบ้านพระเมือง บริขารของเราแต่ละชิ้นนี่ล้วนได้มาอย่างไม่บริสุทธิ์ ผิดวินัยทั้งสิ้น สบง จีวร สังฆาฏิ บาตร ล้วนเป็นมลทินที่พระธรรมยุติเขารังเกียจเดียดฉันท์ พูดโดยรวมเลย แม้การบวชของเราก็ไม่ถูกต้อง ทางธรรมยุติถือว่าพระฝ่ายมหานิกายบวชมาไม่ถูกต้อง เป็นพระไม่ครบ 100% ไม่สามารถทำอุโบสถร่วมสังฆกรรมกันได้ ถ้าเปรียบกับศาสนาพราหมณ์แล้วมหานิกายนี่เกิดวรรณะจัณฑาลเลยทีเดียว เป็นวรรณะที่พราหมณ์เขาไม่แตะต้อง จะทำให้เขาเป็นมลทินไปด้วย ผมก็ได้แต่กราบครูบาอาจารย์เอาบุญ แต่ไม่สามารถอยู่ร่วมกับเขาได้ ก็ดูไปเรื่อย จนถึงวัดหนองป่าพง หลวงพ่อชาเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นก็จริง แต่ท่านไม่ยอมให้บวชเป็นธรรมยุติ ให้อยู่เป็นตัวอย่างแก่มหานิกาย ผมก็เลยตัดสินใจอยู่วัดหนองป่าพง
     

แชร์หน้านี้

Loading...