ประสบการณ์เมื่อเรามีคนทักว่าเรามีองค์ (แนวให้ความรู้)

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย กาลีนะ, 13 มิถุนายน 2013.

  1. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... น้อมรับไว้คะ ... กาลีนะก็เห็นเป็นเช่นเดียวกัน ... เพราะเพื่อนเป็นมนุษย์กาลีนะมีน้อย และ ห่างไกลกัน แต่เพื่อนที่เป็น ภพภูมิรู้สึกจะเยอะ เห้อ ๆ เยอะขึ้นเรื่อย ๆ ทำใจแล้วคะ .. ส่วนเรื่อง " ตบตี " กาลีนะก็ไม่นิยมหรอกคะถ้าไม่จำเป็น เห้อ ๆ ชีวิตจริงไม่เคยนะคะ .. แต่ถ้าในนิมิต หรือ ฝัน มันมีที่มาคะ .. เดี๋ยวคงเอาลงให้รับฟังกันบ้างในคราวต่อไป ...

    ... กราบขอบพระคุณป๋ามากเลยคะที่มาแนะนำ ถ้าไงก้อยากฟังเรื่อง ระเบิดฟอร์ม ฯ บ้างนะคะ เผื่อได้ทรรศนาบ้างคะ ... อิอิ
     
  2. Asvel

    Asvel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +822
    [​IMG]

    งานสรงน้ำเทวรูปปีใหม่(ไทย)ผมก็เห็นมีเทวรูปท่านเฮ่งเจียให้ได้ทรงน้ำเหมือนกันนะ ตั้งไว้รวมกับปู่พระอินทร์,พระแม่ธรณีด้วย
    -__-"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2013
  3. Asvel

    Asvel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +822
    เรื่องของญาติข้างบ้านที่เคยถูกองค์ตามและได้ไปรับขันธ์

    เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ราวๆ 2 ปีโดยประมาณ ญาติของผมคนนี้อุปนิสัยจะน้อมไปในทางกระเทยอยู่นิดๆ แต่ไม่ถึงกับตุ้งติ้งเดินเหวี่ยงไปมา หรือแต่งเป็นผู้หญิง คือก็เหมือนผู้ชายแต่มีนิสัยกระเทยอยู่บ้าง แต่ที่แน่ๆเป็นคนที่ "ขวัญอ่อน จิตอ่อน" ตอนที่เรียนอยู่ที่ ม.เกษตร จ.นครปฐม แกก็ชอบไป ดูดวง ให้เขาทำนายทายทัก ตามตำหนักทรงบ้าง หมอดูบ้าง ซึ่งน่าจะเยอะพอสมควร คิดว่ามันเป็นแฟชั่นในหมู่นักศึกษาเขานิยมกัน พออยู่มาวันดีคืนดีก็เป็นเรื่อง.. คือเพื่อนๆเขาบางคนมองเห็นเป็นผีใส่ชุดโบราณเดินตาม บางครั้งก็พูดจาภาษาประหลาดออกมาเอง ไม่รู้เนื้อรู้ตัว จนเพื่อนทั้งคณะคิดว่าเขาเป็นบ้า เป็นอันเรียนแทบไม่ได้ต้องกลับมาอยู่บ้านพักหนึ่ง แรกๆเขาคิดว่าโดนของเข้าเสียแล้ว ภายหลังองค์ที่มาตามนั้นแสดงตัวกลายเป็นว่าต้องถ่อไปรับขันธ์ที่กรุงเทพ ถึงสองครั้ง เสียเงินไปมากพอสมควรทั้งค่าเดินทาง ค่าที่พัก และอาจจะมีค่าอย่างอื่นอีกในสำนัก ซึ่งองค์ที่จะมาเข้าทรงนั้นประกาศว่าเป็น เจ้าแม่กาลี(ไม่มี "นะ") พระศิวะ และอีกหลายองค์ซึ่งเป็นเทพชั้นสูงๆทั้งนั้น

    แต่ว่าตอนที่ไปรับขันธ์ครั้งแรกนี่ เข้าๆออกๆ พูดคุยกับร่างของทางสำนักที่กรุงเทพฯ แย่งกันจะเข้าทรงญาติของผมกัน มีเถียงกัน ด่ากัน "มึงจะออกหรือไม่ออก" วุ่นวายไม่ได้หลับไม่ได้นอน(ถ้าพูดภาษาหยาบๆ ผมจะใช้คำว่า รุงรัง,อีเหล่ะเขะขะ) พอรับขันธ์ไปแล้วก็ไม่สำเร็จ ครั้งสองไปอีกก็ไม่สำเร็จ ชักจะยังไงๆ ทีนี้พอกลับมาอยู่บ้านเพราะไปเรียนก็ไม่ได้ ผีคอยแต่จะเข้าตลอด จนเดือดร้อนถึงพระแม่และเจ้าพ่อที่คุ้มครองเมือง (รู้จักกันดีในประวัติศาสตร์หริภุญไชย) ต้องมาเข้าประทับทรงอยู่เรื่อยๆเพื่อไม่ให้ผีพวกนั้นมาเข้าร่าง ตอนที่ท่านมาประทับทรงคุ้มครองไว้ ญาติผมบอกว่า แกไม่กล้าออกบ้านเพราะแกจะเห็นเป็นผียืนรออยู่เต็มหน้าบ้านหลายสิบตน คือเวลาที่ท่านประทับทรงอยู่แกจะเห็นโลกวิญญาณตลอดแต่ถ้าท่านออกไปแกก็จะมองไม่เห็นอะไร เหมือนคนปกติทั่วไป

    ภายหลังได้รับขันธ์จากพระพรหม ก็เลยหมดเรื่องหมดราว ท่านมาเองแล้วรับเองที่บ้านเลยหรือเปล่าก็ไม่ได้ลองถาม แต่ไม่ได้ไปรับตามสำนักใหญ่ๆหรือที่กรุงเทพฯแน่นอน จึงไม่มีผีที่ไหนมาตามเข้าร่างอีก ความจริงตอนนี้รับได้หลายองค์แต่ว่าพระพรหมท่านเป็นประธาน ปัจจุบันญาติผมก็อยู่ปกติธรรมดาเหมือนร่างทรงอื่นในหมู่บ้าน ไมได้เปิดสำนัก แต่ถ้าลงทรงใครจะเข้าไปถามอะไรก็ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2013
  4. Asvel

    Asvel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +822
    ในส่วนของการประทับทรงพระพรหม ข้าพเจ้าเคยได้มีโอกาสเข้าไปในวันที่แกไหว้ครู ช่วงแรกๆแม่ผมเข้าไปตอนท่านลงทรงและออกจากร่าง แม่ผมเล่าว่าช่วงที่จะลงทรงหรือออกไป ตัวของร่างทรงจะลอยขึ้นสูงราวๆ 1 เมตรแล้วก็ตกลงกระแทกพื้นแรงมาก 4-5 รอบ จนเสียงดังตึงๆๆ แม่ผมก็นึกอยู่ว่าแคนน่อนบอลของร่างทรงที่เป็นญาติผมน่ากลัวจะแตกเอา แต่ก็ไม่เป็นอะไร พอท่านเข้าทรงแล้วแววตาจะเปลี่ยนไปเลย คือส่วนตาดำจะเล็กนิดเดียว แต่ตอนที่ผมเข้าไปแล้วท่านไม่แสดงแบบนั้นเพราะว่า วันไหว้ครูร่างทรงเจ้าพ่อที่เป็นเทวดาคุ้มครองเมืองที่พำนักอยู่บริเวณวัดโบราณในหมู่บ้านท่านมา ท่านก็ตำหนิท่านว่า “จะมาทำไมท่านไม่มาดีๆ จะไปทำให้ชาวบ้านเขาใจหาย ใจคว่ำทำไม” ท่านก็เลยไม่ทำแบบนั้น แต่ผมเห็นหลังจากที่เข้าทรงแล้วแววตาเปลี่ยนไปคือลูกตาของญาติ สีดำหดเล็กลงเหลือนิดเดียวเป็นจุดเล็กๆอย่างกับในหนังแวมไพร์ (ทรงกันในบ้านร่างทรงนั่งห่างจากผมแค่4-5ศอก) น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปคนละขั้ว วิธีพูดท่านไมได้พูดจาภาษาคำกลอน ก็พูดคำธรรมดาทีเราเข้าใจได้ง่ายๆเพียงแต่ท่านจะไม่เรียกชื่อบุคคล และท่านมีสี่หน้า แต่คงไม่ได้มีแบบในเทวรูปหรือภาพวาด คือท่านจะเปลี่ยนหน้าไปมาได้ ความหมายของแต่ละหน้าจะหมายถึง การดูแลหน้าที่การงาน สุขภาพ ฯลฯ

    การลงทรงพระพรหมนั้นท่านไม่ลงง่ายๆ เรื่องเงินต้องใช้เฉพาะในการใส่พานเชิญซึ่งมี 2 หรือ 3 พาน คือใส่พร้อมกับดอกไม้ ตามจำนวนที่กำหนดซึ่งรวมกันแล้วราวๆ 24 หรือ 27 บาทก็จำไม่ได้เพราะผมไม่ได้ร่วมออกเงินกับเขา :p เงินที่ผ่านพิธีเชิญแล้วจะเอามาใช้เชิญอีกไม่ได้ และญาติผมแยกออกไปเอาไปใช้ในงานกุศลเท่านั้น รวมๆแล้วไม่มีค่าจ้างมีแต่ใช้เป็นของในพิธีเชิญ ซึ่งเชิญครั้งเดียวท่านก็มาตามเวลาที่ท่านกำหนด ช่วงที่ท่านมาใครจะมาเข้าหา ถามปัญหาอะไรได้ทุกคน ท่านสั่งกับร่างทรงว่าเป็นหน้าที่ต้องช่วยเหลือเขา และท่านจะไม่อยู่ในช่วงเวลาเที่ยงวันและหกโมงเย็น

    ญาติของผมนั้นปกติชอบกินเหล้า แรกๆที่รับขันธ์ท่านมาแกก็แอบกินเหล้า พอกินเข้าไปได้นิดเดียวไม่ทันไร ท่านให้อ้วกออกมาจนหมดกระเพาะเลยทีเดียว และบังคับให้นั่งสมาธิทุกๆวันอังคารห้ามเว้นขาด ภายหลังพวกเจ้าพ่อฤาษีที่ลงทรงญาติผมได้ เขาขอเว้นไว้ เพราะเจ้าพ่อฤาษีพวกนี้กินเหล้าอยู่ แรกๆพระพรหมท่านก็ไม่ยอมท่านห้ามโดยเด็ดขาด ปัจจุบันถ้าท่านจะลงทรง ร่างทรงต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ 7 วันถึงครึ่งเดือนท่านถึงจะมา ไม่ได้มาลงทรงกันอย่างง่ายๆเลย แต่จากที่ผมได้เข้าไปในครั้งนั้นทำให้ได้เข้าใจว่า พิธีกรรมหลายอย่าง อย่างเช่นการไหว้ครู การทำพานไหว้ครู ก็ไม่ใช่พิธีกรรมที่มนุษย์เราคิดขึ้นเองเสียทีเดียว โดยมากมีรากฐานมาจากเทวโลก พรหมโลก(แค่ความคิดส่วนตัว)


    ก็นำมาเล่าอย่างย่อๆเป็นบางส่วน ซึ่งก็มีอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ใช่รูปแบบของการทรง แต่ต้องคิดดูก่อนจะเอามาพูดดีไหม เพราะอยู่ใกล้ตัว และคนละสายกับแบบแรก เดี๋ยวท่านจะว่าให้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2013
  5. ทิกเกอร์_ทิกเกอร์

    ทิกเกอร์_ทิกเกอร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +914
    ไม่ได้เป็นร่างทรง ชอบอ่าน .. นั่งอ่านตาปริบๆ
    แต่ชอบ บรรยากาศ ของแต่ละสำนัก...
    ชอบตามคนรู้จักไปดู เวลาเค้าไปหาที่พึ่งกับร่างทรง
    ว่าเค้าทำยังไงกัน อะไรมาประทับ พูดตอบ ยังไง คุยยังไง ...
    พิธีกรรมน่าตื่นเต้นมั้ย ฯลฯ

    บางทีขอแอบลองๆ ให้ร่างทรงดู ด้วย...


    แต่ก็...........................................จบ...!!!!!
     
  6. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    เตี่ยผมเนี่ย เชื่ออย่างมาก และให้ความเคารพอย่างมาก กับเจ้าพ่อเฮ้งเจีย ที่สวนผัก...
    ผมยังต้องมีหน้าที่ขับรถพาไป แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไรนัก...
    ทั้งนี้เพราะอะไร....



    .. แต่แม่หนุไม่เชื่อเรื่องพวกนี้คะ .. ด่าตลอด .. มีตอนหลังนี้แหละคะ ที่แกถุกหวยบ่อย และ เหมือนจะโดนร้านแถวนี้เขาเล่นของ เลี้ยงผีเรียกลุกค้าเยอะขึ้น ... แกเลยเลิกด่า .. แล้วใช้ให้หนูเอาน้ำมนต์มาล้างหน้าบ้านทุกวันเพื่อไล่เสนียดออกจากร้าน อิอิ

    เฮ้งเจีย คือ ลิงที่เกิดจากก้อนหิน ซึ่งเป็นนิยายที่แต่งขึ้น ไม่เคยมีตัวตนจริงๆในประวัติศาสตร์ เป็นบุคคลาธิษฐาน คือสมมติเอาตัวบุคคลที่เป็นรูป แทน นาม...เช่น วรรณกรรมเรื่อง ธัมมาธัมมะสงคราม...ที่สมมติให้เทพตัวดำเป็นผู้ร้าย เทพตัวขาวเป็นฝ่ายผู้ดี อย่างนี้เป็นต้น...
    เฮ้งเจียถูกแทนด้วย ปัญญา ...เพื่อจะบอกว่า มีแต่ปัญญาอย่างเดียว ขาดสมาธิควบคุม ขาดสติ มันก็จะฟุ้งซ่านวุ่นวาย...
    ตือโป้ยก่าย แทนด้วย ศีล ในขณะที่การแสดงออกคือ การทุศีล เพื่อชี้ให้เห็นว่า การบกพร่องจากศีลนี้ มีข้อเสียอย่างไร...
    ซัวเจ๋ง แทนด้วย สมาธิ เพื่อจะแสดงว่าสมาธิที่ขาดปัญญา มันทื่อๆทึ่มๆอย่างไร...
    ส่วนพระถังซำจั๋ง แทนด้วย ขันติ ....

    เมื่อเป็นการสมมติแล้ว เจ้าพ่อเฮ้งเจีย หรือ เฮ้งเจียกง ที่สวนผัก มาจากไหน เกิดขึ้นได้อย่างไร...
    ถ้าการสมมติของตัวละครในวรรณกรรม สามารถเอามาเป็นร่างทรงได้จริง...ดังนี้แล้ว เราต้องเห็นร่างทรง โดราเอม่อน , โนบิตะ, ลอร์ดวันเดอร์มอร์ ฯลฯ


    ... หนูเคยอ่านจากตำราหนึ่งบอกไว้ว่า .. สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บางครั้งก้เกิดมาจากศัทธาของคนเราต่อสิ่งศักดิ์นั้นแล้วก่อตัวเป็นตนขึ้นมา .. เพราะถ้าไปดูตำราของชาวฮินดูแล้ว พระศิวะ ท่านเกิดมาจากความศัทธาของคนโบราณต่อธรรมชาติ แล้วสมมตินามท่านขึ้นมา .. รวมทั้งเทพเจ้าหลาย ๆ ท่าน อย่างสุริยะเทพ ก็มาจากความเชื่อศัทธาต่อพระอาทิตย์ที่ให้แสงสว่างแก่โลกก่อกำเนิดทุกสิ่ง เริ่มมาจากธาตุต่าง ๆ มารวมกัน ... หนูก็อธิบายไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่เอาคราว ๆ ไปก่อนนะคะ เดี๋ยวจะไปลองค้นมาคะ ..

    ผมพาเตี่ยไปที่ศาลเจ้าพ่อเฮ้งเจียที่สวนผัก คนจีนไปกันมากมาย ใส่ชุดขาว ร่างทรงพูดจาเหมือนคนธรรมดา ดูไม่ออกว่าทรงอยู่ พูดไทยก็ได้จีนก็ได้ ปนกันไป...
    ผมมีหน้าที่ขับรถไปส่งก็พาไป แล้วก็แยกตัวออกมายืนห่างๆ ห่างมาก...
    เตี่ยเข้าไปยกมือไหว้ปะหรกๆ ... คนมุงกันมากมาย มีธงเล็กๆ ไม่ได้เอาไว้ฟัน แต่เอาไว้โบก...
    คนทรงกวักมือเรียกผมเข้าไปหาใกล้ๆ พูดทำนายทายทัก แต่ไม่ตรงเลยสักอย่าง เป็นเรื่องที่เตี่ยผมคงไปบ่นเอาไว้ เกี่ยวกับฤกษ์แต่งงานมั๊ง...
    คนทรงยังทำเหมือนกับว่า ผมนี่มีองค์ มีฤทธิ์ มีเดช อะไรทำนองนั้น ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีอะไรเลย...ไปส่งเตี่ยเฉยๆ...ไม่ได้ท้าทายอะไรใดๆ...แต่เวลาจะไปก็อารธนาบารมีพระผู้พระภาคเจ้าด้วย ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ด้วย เท่านั้นเอง...

    สิ่งที่คนทรงเจ้าพ่อเฮ้งเจี่ยสั่งเตี่ยผมมาคือ ให้หยุดสูบบุหรี่ได้แล้ว ปอดลื้อไม่ไหวแล้ว(แปลเป็นไทยได้ประมาณนี้) เตี่ยผมเอาบุหรี่ห่อใส่ หงิ่งเตี๋ย แล้วโยนเข้าไปเผาไฟ เลิกบุหรี่ ณ บัดนาว...นี่ผมเห็นคุณของ ร่างทรงเจ้าพ่อเฮ้งเจีย ก็ในตอนนั้น..

    หลวงพ่อฤษีท่านก็เคยเล่าว่าท่านเคยไปหา ร่างทรง เจ้าพ่อตือโป้ยก่าย เมื่อสมัยที่บวชพระไม่นาน แล้วยังเคยเล่าให้ฟังถึง เรื่องที่หลวงพ่อปานมาเข้าสิง ร่างทรงคนหนึ่ง มาคุยกับหลวงพ่อฤษีก็เคยมี....

    คือถ้าบุคคลที่สมมติในวรรณกรรมไซอิ๋ว สามารถมีตัวตนได้จริง ก็อยากให้คุณแม่กาลีนะ ทรงเจ้าแม่แมงมุม แม่หม้ายดำ ในไซอิ๋วให้หน่อยสิ...หรือจะให้คุณดัชเชส ประทับทรง เมดูซ่า ให้จ้องหน้าแล้วกลายเป็นหินกันเสียให้หมด...
    ในเมื่อเป็นเพียงตัวละครที่สมมติขึ้นมาอย่างนี้แล้ว จะเข้าทรงเป็นจริงเป็นจังได้ไง...แม่กาลีนะ มาไขปัญหาให้หน่อย...



    .... จะให้ประทับทรงปีศาจแมงมุมดำเหรอคะ ... อิอิ .. ไม่ต้องทรงก็ดำอยู่แล้วคะ อิอิ ... ดำดีสีไม่ตกด้วยสิคะ 5555555

    .... ก้อย่างที่ทราบกันนั้นแหละคะ ว่าส่วนมากที่มาลงทรงมักไม่ใช่ " ตัวจริงเสียงจริง " แต่เป็นพวกแอบอ้างเสียส่วนมาก ... เราต้องดูที่ " การกระทำ และ เจตนารมณ์ " ที่แท้จริงของเขาดีกว่าคะ ... หากทำไปเพื่อช่วยคนจริง .. มันก็น่าให้อภัยกันได้อยู่ ... แต่ถ้าไม่ใช่อันนี้ก็ว่ากันตามสมควรดีกว่านะคะ ..


     
  7. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    .... แสดงว่า คุณ Asvel อยู่ที่ลำพูนสินะคะ ก้เป็นการลงทรงที่แปลกดีคะ ไปมาหลายที่ยังไม่เจอแบบนี้เลย เวลาทรงแล้วร่างลอยขึ้นจากพื้นดินได้ ...

    .... ส่วนตัวก็ชื่นชอบพระนางจามเทวีเหมือนกันนะคะ คิดไว้แล้วว่าถ้าขึ้นเหนออีกรอบจะไปกราบท่านสักครั้งเพื่อเป็นบุญแก่ตนเอง .. แต่คงต้องเตรียมความพร้อมให้ตนเองมากกว่านี้ เพราะรอบที่แล้วที่ไปวิญญาณแฟนที่แพร่แล้วต่อไปปายนั้น ... เจอศึกหนักจนแทบเอาชีวิตไม่รอดเหมือนกัน .... ช่วงก่อนเมษา 56 จะขึ้นไปเสี่ยงทายที่บ้านแล้วท่านไม่ให้ไป ... จอมปลวกขึ้นเยอะมาก ... เลยอดไป เห้อ ๆ
     
  8. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ,,,,,,,,,,,,,,,,,, ข้อปฏิบัติเมื่อรับขันธ์มาแล้ว ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,

    1. สร้างกำลังใจของเราให้เต็มเปี่ยมไปด้วยการรักษาศีล5
    หมั่นไปทำบุณทำทาน ทำจิตใจให้สะอาดไม่วิตกกังวลไม่ยึดติดในรูป
    รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งถือเป็น การบำเพ็ญ เนกขัมมะบารมี
    หรือ การบวชด้วยใจ ทำให้มีปัญญามองดูทุกสิ่งใดๆ
    ในโลกพังสลายไม่คงทนทั้งหมด มีความเพียรในการเอาชนะอารมณ์ชั่ว
    อารมณ์เศร้าหมอง และ สามารถขจัดออกไปจากจิต
    ด้วยการภาวณากำหนดลมหายใจเข้าออก นึกถึงพระคุณความดีขิงพระพุทธเจ้า
    พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่ามีดีอย่างไร

    2. ต้องมีเมตตาธรรมเป็นที่ตั้ง โดยหมั่นฝึกฝนด้านอารมณ์
    โดยฝึกอดทนฝืนใจระงับอารมณ์ที่ไม่ชอบ ไม่หวั่นไหวมีอารมณ์อดกลั้น
    ไม่โกรธตอน ใช่ความเย็นระงับความงุดงิดมีเมตตาสงสาร
    เป็นเมตตาบารมี หน้าตาเบิกบ่านแจ่มใส
    มีความจริงใจที่จะทำจิตใจให้ว่างจากกิเลส ด้วยการพิจารณาโลก
    คน สัตว์ ทั้งหมด ว่า เป็นสุขจริงๆ หรือ ทุกข์จริง มีความจริงใจพิจารณาร่างกายคนว่า
    หอม หรือ เหม็น ร่างกายเป็นคุณ หรือ โทษ ร่างกายอยู่ในความควบคุมของจิตหรือไม่
    ร่างกายต่ายสุดท้ายเหลือแต่ความว่างเปล่า ทำจิตให้ว่างจากการเรา กายเขา
    คิดอย่างเข้าใจ ทำแบบจริงจัง แต่ทำให้สบาย

    .... มีความจริงใจในการปฏิบัติธรรม สร้างกำลังใจว่า เราจะทำคุณงามความดี
    ทั้งกาย วาจา ใจ จนกว่าจะหมดลมหายใจ มีจิตมั่นคงไม่สงสัยในพระธรรม
    ปฏิบัติตามพระพุทธองค์ จิตเราจะเข้าถึงพระนิพพานได้แน่นอน
    โดยตั้งจิตอธิฐานในชาติปัจจุบันนี้ ไม่ต้องอธิษฐานไปนิพพานชาติหน้า
    ให้เสียเวลาเกิดเป็นคนอีก และต้องมาพบความทุกข์แบบนี้อีก
    ทำจิตให้มีกำลังใจใจ อุเบกขาบารมีครบถ้วน ด้วยการมองทุกสิ่งทุกอย่าง เป็น
    ธรรมดาของโลก ซึ่งล้วนเป็นไปตามธรรมชาติ

    3. เอาจิตพิจารณามองทุกสิ่งทุกอย่างในโลก
    สัตว์ คน วัตถุสิ่งของ ลาภ ยศ สรรเสริญ ความเจริญสุขทางโลก
    ไม่มีอะไรเป็นของจริง ทั้งหมดล้วนเป็นของสมมติทั้งหมด
    ไม่มีอะไรแน่นอนคงที่ ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง เป็นสาระแก่นสารได้
    ทุกสิ่งย่อมสูญสลายหายสาบสูญไปหมดทั้งสิ้น
    การเตือนจิตตนแบบนี้ตลอดเวลา จิตจะว่างจากกิเลส ตัณหา
    อุปาทาน อวิชชา ว่างจากกายขันธ์5 ของตน ว่างจากกายขันธ์5 ของคนอื่น
    ไม่มีวิตกกังวลอยู่ในจิตในใจเราอีกต่อไป มองเห็นทุกสิ่งเป็นความว่างเปล่า

    4. การปรนนิบัติต่อผู้มีพระคุณด้วยความเคารพอย่างสูง
    คนที่มีความกตัญญูรูจักตอบแทนผู้มีพระคุณทุกวิถีทางที่กระทำได้
    กระแสบุญที่เกิดขึ้นนั้นจะช่วยหนุนให้ชีวิตเจริญก้าวหน้าไม่มีวันตกต่ำ
    และควรต้องพยายามชดใช้หนี้เวรหนี้กรรมให้หมด ทั้งของชาตินี้และในอดีตชาติ
    ต้องพยายามอุทิศบุญเพื่อขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวร และ
    ผู้มีพระคุณตลอดเวลาเท่าที่ทำได้ เพื่อให้คลายจากวิบากกรรมที่จะได้รับ

    5. หมั่นทำบุญ และ อุทิศบุญให้เหล่าองค์เทพ เทวดา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้ทครองเรา
    เมื่อจิตสอาดแล้ว จิตก็จะเป็นสมาธิมีความบริสุทธิ์ สามารถมีพลังพอจะเป็นสื่อกลางที่ดี
    กับองค์เทพ หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ได้ แต่เพียงเท่านั้นยังไม่เพียงพอ
    เราก็ต้องทำบุญสร้างบุญเพิ่ม รวมทั้งอุทิศบุญกุศลต่างๆ ไปให้กับองค์เทพ และ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
    ให้ท่านดลจิตดลใจเราได้มีโอกาสสร้างพลังบุญมากขึ้นไปอีก

    6. หมั่นสวดมนต์ทุกวัน
    การสวดมนต์ในแบบพุทธที่แท้จริงนั้น มีจุดประสงค์เพื่อบูชา
    คุณของพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงค์
    อันถือเป็นสิ่งสูงสุดใรพระพุทธศาสนาและเป็นการอบรมจิตใจพื้นฐาน
    มากกว่าจะเป็นการหวังขอพรจากองค์เทพใดๆ

    .... การสร้างบุญ และ อุทิศบุญเพื่อให้เหล่าองค์ เป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก
    ด้วยการยึดหลักการทำบุญแห่งบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ
    ที่ถูกต้องตามที่พระพุทธองค์ประทานสั่งสอนไว้
     
  9. Asvel

    Asvel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +822
    อาการลอยนี่เหมือนกับเราให้เด็กนั่งขัดสมาธิแล้วจับยกขึ้นสักเมตรนึงแล้วก็ปล่อยมือให้เด็กตกลงพื้นในท่านั่งขัดสมาธิ ประมาณนั้นแหละครับ
    ร่างทรงที่เป็นญาติผมมันก็ไม่รู้เรื่องพิธีกรรมหรือของใช้ในพิธีหรอก เอามาวางๆแล้วท่านจึงบอกให้มันทำอย่างนั้น อย่างนี้ มันไม่เคยจำ ก่อนลงทรงเห็นมันใส่เสื้อยืดกางเกงธรรมดาๆนี่แหละ พอทำเสร็จแล้วท่านจะมา มันถึงรีบวิ่งไปเปลี่ยนชุดขาวแล้วมานั่ง เหอๆ

    แต่ความยุ่งยากทั้งหมดมาจาก การที่เป็นคนขวัญอ่อนแล้วชอบพากันไปเข้าสำนักทรง ดูดวง ทำนายทายทักหลายๆสำนัก (ส่วนตัวเชื่อว่าเทพปลอมๆเยอะ หมอหลอกเอาเงินกเกลื่อนกลาด) เลยเจอผียกพวกมาตามจะเข้าร่าง แถมแอบอ้างเป็นเทพใหญ่ๆเสียด้วย.. :boo::boo::boo:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2013
  10. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... แต่ตอนนี้เท่าที่ฟังเขาคงไม่มีอะไรน่าหวงแล้ว .. ตอนนี้ขึ้นอยู่กับตัวเขาแล้วละคะ .. ว่าจะสามารถรักษาตนได้แบบนี้ตลอดไปหรือเปล่า .. เพราะการเป็นร่างทรงนั้นมันไม่ใช่แค่การได้ยืมความสามารถบารมีของผู้มาทรงเท่านั้น .. นั้นยังหมายถึงการที่เราไปเปลี่ยนชะตาชีวิตของผู้ที่มาอาศัยพึ่งเรา เป็นการก้าวล่วงกรรมของผู้อื่น .. คงไม่ต้องเดานะคะว่าเราหมายถึงอะไร ... นั้นหมายถึงเราต้องไปช่วยคนเหล่านั้นแบกภาระกรรมต่าง ๆ ของพวกเขา เราต้องมีจิตใจที่เมตตา อดทน และ เสียสละ อย่างสูงมาก และ เมื่อพวกท่านเหล่านั้นละจากร่างไปแล้วจะเหลือแต่ " กรรม " อยู่กับเรา .. ส่วนท่านเหล่านั้นจะไม่ได้เอากรรมต่าง ๆ นั้นติดตัวไปด้วยนะคะ ... ท่านเอาไปแต่ " บุญบารมี " เท่านั้นเองคะ ส่วนกรรมเหล่านั้นเหลือแต่ " กรรม " ไว้ให้ร่างทรงหากพลาดเมื่อไหร่นั้นแหละจะเกิดจุดพลิกผลันของชีวิตเขา .. ทางรอดมีให้เลือกไม่มากนักหรอกคะ ..
     
  11. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    ตรงนี้เท่าที่ค้นมาได้นะค่ะ
    ตัวละครต่างๆ ใช้เปรียบเทียบเพื่อให้เห็นเป็นภาพ
    เช่นองค์เฮ่งเจีย ด้านปัญญา แต่ซนยุกยิก เปรียบเหมือนจิตของคนเรา

    เช่น เรื่องขององค์หญิงเมี่ยวซ่าน เปรียบเทียบกับ องค์พระโพธิ์สัตว์กวนอิม
    ข้อมูลจาก เจ้าแม่กวนอิม - วิกิพีเดีย


    ส่วนเราเองก็คงไม่เข้าไปสถานที่มีทรงอื่นแล้วนะค่ะ เพราะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
    (ที่เข้าไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์) และท่านก็เสียแล้ว
    แต่ที่เชื่อว่า ท่านทรงจริง เพราะคนที่มาบอกกลับเป็นญาติธรรม (ที่ไม่รู้เรื่องว่า เราเคยไปนะค่ะ)


    ส่วนตรงนี้เป็นความรู้เพิ่มจากญาติธรรม
    หากต้องเข้าไปสถานที่ (หรือศาล) แม้จะไม่มีทรง แล้วรู้สึกว่า อึดอัด ไม่สบายตัว ไม่สะอาด

    อย่างอ่านเรื่องประสบการณ์ของคุณ nopphakan บ้างค่ะ ตั้งเป็นกระทู้เลยน่าจะมีคนอ่านเยอะ เพราะแอบตามอ่านของคุณ nopphakan หลายอันอยู่ค่ะ

    ไม่ต้องไหว้นะค่ะ เพราะอาจจะเป็นอย่างอื่น พวกมาขโมยบารมีจากคนที่มาไหว้เคารพนะค่ะ
     
  12. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ,,, ความรู้เกี่ยวกับ "สิ่งศักดิ์ที่มาลงประทับทรง",,,,,

    ... จากเว็ป คเณศวร ..

    ส่วนที่เห็นทรงเจ้ากันอยู่ทั่วๆไปนั้น มีอยู่ 3 ประเภท คือ

    1. " เทพ เทวดา คนธรรพ์ วิทยาธร และ วิญญาณที่บุญยังไม่ถึงพอ "

    ..... มาเข้าทรงเทวดาและวิญญาณเหล่านี้ บางกลุ่มที่เป็นอมนุษย์ จะมีศัพท์เรียกกันว่า "วิทยาธร" โดยวิทยาธรนี้ จะมีวิชาอาคม เหาะเหินเดินอากาศ มีความสามารถในการรักษาโรค ปรุงว่านยา บีบนวดตามแผนโบราณ ทำนายดวงชะตา สามารถจำแลงตัว มาเข้าสิงมนุษย์ เป็นการมาเพื่อโปรดมนุษย์ เพื่อสั่งสมบุญของวิทยาธรเองให้มีมากพอแล้วก้าวต่อไปยังภาคหน้า ร่างทรงประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นคนดี มีความเอื้ออาทรต้องการให้ผู้คนพ้นทุกข์

    ..... ร่างทรงจะไม่สามารถเรียกเทพ เทวดา และวิทยาธรมาได้เอง แต่วิทยาทรจะเป็นผู้เลือกเอง ว่าจะประทับทรงที่ใคร ผู้นั้นมีจิตใจดีงามและมีเมตตาหรือไม่? มีการสั่งสมบุญบารมีมากพอหรือไม่? ร่างทรงประเภทนี้จะไม่เรียกร้องเอาทรัพย์สินใดๆ ไม่เรียกร้องให้ผู้คนมาเชื่อ ไม่มีการอวดอิทธิฤทธิ์บารมี จะมีการรวมกลุ่มกันเพื่อทำบุญ ไหว้ครู หรือรักษาโรค ตามตำราโบราณ มีการช่วยเหลือผู้ที่ถูกไสยศาสตร์ โดยเน้นไปที่การช่วยเหลือเพื่อสาธารณประโยชน์ ไม่มีการเรียกร้องเอาเงินค่าอะไรทั้งสิ้น (อาจจะมีเพียงค่าครู แต่จำนวนน้อยมาก เช่น 3-29 บาท) ร่างทรงแบบนี้มีอยู่จำนวนน้อยมากๆ ตามที่เราได้แจ้งไว้แล้ว คือ ในประเทศไทยมีเพียง 1% เท่านั้น ส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ ที่มีจิตใจเมตตา อาศัยอยู่ตามชนบท และร่างทรงประเภทนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับมหาเทพ มหาเทวี ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเลยแม้แต่น้อย

    2. โดนผีสาง เข้าสิง

    ..... แล้วแอบอ้างว่าเป็นการทรงของมหาเทพ มหาเทวี หรือเป็นเทพเจ้าระดับสูง แบบนี้จะพบเห็นได้ประมาณ 10% ตามตำหนักทั่วประเทศ ร่างทรงเหล่านี้เกิดจากการ เล่นของ ทำไสยศาสตร์ บางครั้งตัวคนที่เป็นร่างทรงเอง ก็จะถูกแอบอ้างจากพวกผีสาง มาร หรือวิญญาณที่มาทรงนั่นแหละ มาโกหกว่า ข้านี้คือพระศิวะ...ข้านี้คือพระพรหม...ข้านี้คือพระแม่... ฯลฯ และเจ้าจะต้องเป็นร่างทรงของข้าเพื่อโปรดมนุษย์ .. ( มีทั้งแอบอ้างว่าเป็นเทพฮินดู เทพจีน และเทพไทย )

    ......จากนั้นก็จะแสดงบารมีระดับต่ำ ทำการเล่นของ ทำไสยศาสตร์ ทำสเน่ห์ ทำเสนียด ฯลฯ ซึ่งคนที่เป็นร่างทรงของผีสาง ก็จะเข้าใจผิดว่าตนเองนั้นเป็นร่างทรงของมหาเทพ หรือเทพเจ้าชั้นผู้ใหญ่ คิดว่าตนนั้นมีบุญบารมีมาก เกิดความหยิ่งยะโส ยกตนขึ้นข่มผู้อื่น แท้ที่จริงก็คือตนจิตอ่อนเกินไป ไม่มีความเข้มแข็ง ผีสางเลยเข้าสิง เมื่อร่างทรงโดนผีมาหลอก ร่างทรงก็ไปหลอกลวงผู้อื่นต่อเป็นทอดๆ กิเลศเข้าครอบงำก็ไม่รู้จักหยุด บรรดาลูกศิษย์หัวอ่อน จิตอ่อน ก็จะกรูกันเข้าตำหนัก ก็ชักชวนกันทำบาปเข้าไปอีก ผลสุดท้ายก็ลงนรกด้วยกันทั้งหมด... ร่างทรงประเภทนี้พราหมณ์หลวงทุกท่านต่อต้านครับ อย่าไปยุ่งเกี่ยวดีที่สุด...

    3. ไม่มีอะไรทรง ไม่มีอะไรสิง แค่ทำตัวสั่นเฉย ๆ

    ...... แบบนี้จะพบเห็นได้ประมาณ 90% ตามตำหนักทั่วประเทศ และก็คือร่างทรงประเภทที่พราหมณ์ทุำกฝ่ายกำลัง ต่อต้านเต็มกำลัง นั่นเอง (พราหมณ์คนไหนที่สนับสนุนร่างทรงประเภทที่ 2 และ 3 แสดงว่าเขาผู้นั้นไม่ใช่พราหมณ์ตามบัญญัติของพระศิวะมหาเทพครับ) ตำหนักทรงเหล่านี้มีการจัดสถานที่ให้ดูขลัง น่ากลัว ดูน่าเลื่อมใส จุดธูปให้มีกลิ่นตลบอบอวล มีองค์พระพุทธรูป เทวรูป มหาเทพ มหาเทวี เจ้าพ่อ เจ้าแม่ กุมารทอง นางกวัก เศียรปู่ฤาษี อยู่มากมาย มีการจัดหิ้งพระโดยเอาพระพุทธรูปและเทวรูปจากหลายๆศาสนา หลายๆ คติ มาตั้งรวมๆกัน โดยไม่ให้เกียรติ เช่น พระพุทธเจ้า พระแม่กวนอิม กุมารทอง พระศิวะ พระแม่กาลี เสด็จพ่อ ร.5 ก็เอามาตั้งรวมๆกันในหิ้งเดียว แสดงให้เห็นถึงการขาดความรู้ในการจัดหิ้งพระ
     
  13. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    .... มีการถวายหัวหมู เป็ดไก่ สุรา ของคาวต่างๆ แก่เทพเจ้า ซึ่งหากมีความรู้ในการจัดเครื่องถวายจริงๆ ก็จะต้องรู้ว่าพระพุทธเจ้า มหาเทพ มหาเทวี และฤาษีนั้น ห้ามใช้เครื่องถวายที่เป็นเนื้อสัตว์โดยเด็ดขาด

    มีการเชิญเทพมาประทับ นึกจะเรียกให้ท่านมาเมื่อไหร่ก็เรียก ทำตัวสั่นๆ ทำหน้าบูดเบี้ยวอุบาทว์ โวยวายเสียงดัง พูดจาหยาบคาย กูๆ มึงๆ นึกจะให้ออกเมื่อไหร่ก็ออก เมื่อออกจากร่างไปแล้ว นึกจะเรียกกลับมาวันไหนก็เรียกมาอีก มหาเทพไม่ใช่ทาส...ที่จะเรียกให้มาหาเมื่อไหร่เวลาใดก็ได้

    " ร่างทรงเหล่านี้เป็นผู้ที่แอบอ้างพระนามของมหาเทพ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ฯลฯ แล้วทำการรีดไถ ล่อลวงเอาเงินทองของผู้ศรัทธา บ้างก็ว่าสามารถรักษาโรคได้ บ้างก็ว่าจะช่วยให้พ้นกรรม บ้างก็ว่าโดนของและให้เอาของออก บ้างก็ว่าลูกศิษย์คนนั้นมีองค์พ่อ คนนี้มีองค์แม่ และจะต้องรับขันธ์ หรือเซ่นไหว้ ล้วนแล้วแต่ยกมาอ้างเพื่อให้เสียเงิน บ้างก็ดูดวงให้ส่งเดช ถ้าดูแม่น ทายถูกต้อง ก็จะเกิดศรัทธาเพิ่มขึ้นไปอีก
    ผู้ศรัทธาก็ไปชักชวนญาติสนิทมิตรสหายมาร่วมเป็นลูกศิษย์ งมงายกันไปทั่วประเทศ เกิดเป็นวงจรอุบาทว์ ร่างทรงประเภทนี้ขอให้หลีกห่างให้มากที่สุด"

    ....... คนเราเกิดมามีกรรมติดตัว และต้องชดใช้กรรมไปจนหมดวาระของชีวิต ไม่มีใครช่วยให้เราพ้นกรรมได้ มนุษย์ควรยอมรับในกรรมที่สร้างขึ้น เมื่อผลกรรมส่งผลแก่ตัวเราในปัจจุบัน จะเล็กน้อยหรือร้ายแรงก็ตาม ก็ขอให้ยอมรับสภาพ และอดทนก้าวผ่านไปให้ได้ จากนั้นให้เริ่มสั่งสมบุญด้วยการตั้งอยู่ในศีล ตั้งอยู่ในพรหมวิหาร มีความเมตตากรุณาต่อผู้อื่น ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง หมั่นทำบุญ ทำทาน ไม่สร้างกรรมชั่วเพิ่มขึ้นอีกในชาตินี้ และสวดมนต์ต่อมหาเทพ มหาเทวี ตลอดจนสวดมนต์ต่อพระพุทธเจ้า เราเชื่อว่าบุญบารมีที่ทุกท่านได้สะสม จะส่งผลดีให้เกิดขึ้นในชีวิตของท่านอย่างแน่นอน ....

    ............................. สาธุ .....
     
  14. mind_heart

    mind_heart Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2013
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +69
    สนใจเรืองนี้อยู่พอดีค่ะ

    แล้วถ้าเกิด เผลอไปรับขันธ์โดยไม่ได้ตั้งใจ
    จะมีวิธียกเลิกยังไงค่ะ

    เท่าที่ลองศึกษาหลายๆที่
    หากเรามีสิ่งศักดิสิทธิ์คุ้มครอง มีองค์จริงๆ คงไม่จำเป็นต้องรับขันธ์
    แค่เราปฏิบัติดี มีศีล มีธรรม ขันธ์ห้าตามคำสอนของพุทธองค์ พวก เวทนา สัญญา ฯลฯ เทวดาประจำตัวก็คุ้มครองเราอยุ่แล้ว

    เพราะกลัวรับขันธ์มา จะเป็นวิญญาณ ผี มาอยู่กะเราแทนนะซิ :cool:
     
  15. Asvel

    Asvel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +822
    เรื่องรับขันธ์นี่ผมไม่รู้ ไม่มีประสบการณ์เลย
    แต่กระทู้นี้เป็นคำสอนของหลวงปู่ดู่(พรหมปัญโญ) เกี่ยวกับคนที่ไปรับขันธ์แล้วเปลี่ยนใจครับ

    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%88-%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C.244410/
     
  16. mind_heart

    mind_heart Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2013
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +69
    บทความนี้อ่านแล้วค่ะ.. ขอบคุณนะค่ะ
    เด่วรอคนอืนๆ มาแนะนำเพิ่มเติม ปกติก็ไหว้พระ สวดมนต์บ้าง ตามโอกาส
    แต่กลัว พวกวิญญาณไร จะติดตามเรามาเฉยๆ กลัวจะทำไม่ถูกวิธี ตามมาหลอน ซวยเลย 55
     
  17. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    เคยเจอะแบบ ไม่ได้รับขันธ์ แต่กลับมีอย่างอื่นมาหลอน (หรือแฝง) ทั้งที่เจ้าตัวปฎิบัติธรรมตลอด สวดมนต์ทุกวัน แต่คิดว่า คงไม่เน้นไปที่เจริญสติ
    พิมพ์เฟซแชทรวมอยู่ เริ่มๆเปลี่ยน สำนวนการใช้คำไม่ค่อยเหมือนคนเดิม ญาติธรรมคนอื่น ก็เอะใจ (ทำไมคิดอย่างนี้ คิดอะไรไม่เหมือนคนพุทธ) ถามอะไรเป็นเหตุผลกลับไม่ตอบ
    โทรมาหาเรา การใช้เสียงก็เปลี่ยน (กระชากเสียง ) ความคิดก็คนละบุคลิกไปเลย บังคับคนนั้นคนนี้ไปทั้่ว


    ญาติธรรมเลยฝากฝังให้ช่วยสังเกตุว่ากลับมาเป็นคนเดิมแล้วหรือยัง เราสังเกตุจากการใช้สำนวนการเขียน

    สุดท้ายกลับมาได้ คิดว่า เจ้าตัวก็ไม่ทราบด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น

    การเจริญสติปฎิฐาน 4 จึงจำเป็นมากๆ
     
  18. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... เท่าที่อ่านมาก็คงจะเป็นอย่างที่คิดแหละคะ ... เพราะถ้าฝั่งนั้นเขาจิตสูงกว่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะเข้ามาคุมได้ ... เมื่อเรามีสติครบบริบูรณืเขาก็คุมไม่ได้ .. หรือ คนนี้อาจจะไปทำอะไรผิดมา หรือ อยู่ในช่วง ภาวะจิตตก ฯ มันมีปลายสาเหตุคะ
     
  19. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    สนใจเรืองนี้อยู่พอดีค่ะ

    แล้วถ้าเกิด เผลอไปรับขันธ์โดยไม่ได้ตั้งใจ
    จะมีวิธียกเลิกยังไงค่ะ


    เรื่องนี้เท่าที่ทราบมีหลายวิธีคะ ..

    1. รับจากใครเอาไปคืนคนนั้น

    2. สังเกตการเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเองว่า ดีขึ้น หรือ แย่ลง .. เพราะบางทีขันธ์ที่รับมาบางทีก็เก๊นะคะ

    3. ถ้าขันธ์นั้นจริง และ ไม่สามารถเอาไปคืนครูได้ ก็จะมีอีกหลายวิธี

    4. ต้องดูความหนักเบาของสิ่งที่เกิดก่อน ถ้าหนักมากต้องไปให้คนที่มี " ตบะบารมีสูงกว่า " เป็นคนถอนขันธ์ให้ ซึ่งหมายถึงต้อรับขันธ์เพิ่มอีก เช่น รับขันธ์ 5 เวลาถอนก็ต้องรับเพิ่มเป็นขันธ์ 8 เป็นต้น .. ที่นี้ต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมากกว่าเดิมจะย่อหย่อนไม่ได้เหมือนเดิม

    .. เพราะโดยส่วนมากคนที่ชีวิตมีอันต้องพลิกผลันนั้นเกิดจากการปฏิบัติตนผิดจาก " คำสัญญา " ที่ได้ให้ไว้ตอนที่รับขันธ์นั้นมาแทบทั้งสิ้น .. ฉะนั้น พวกที่รับมาโดยไม่รู้ตัวจึงมักเป้นเหยื่อได้ง่าย ๆ ..

    5. " หักดิบ " คือ ไม่ไปรับขันธ์ใหม่ ไม่ต้องไปคืนขันธ์ แต่ต้องทำหลายอย่าง เช่น รักษาศีลไม่ให้พร่อง หัดนั้งสมาธิให้จิตมีกำลังแข็งแกร่ง หมั่นทำบุญสร้างกุศลสร้างบารมีแก่ตนเอง ฯลฯ เป็นต้น

    6. หาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กล้าแข็งกว่ามาคุ้มครอง ทั้งที่ตัว ที่บ้าน พาหนะ .. อาบน้ำมนต์บ่อย ๆ ทำบุญบ่อย ๆ เป็นต้น

    7. บวชพระ บวชชี พราหมณ์ ตลอดชีวิต

    ... คือ มันต้องดูแล้วแต่กรณี แล้วแต่ที่มา ความเหมาะสม พลังที่จะเข้ามาช่วย และ กรรมของคนนั้นด้วย ..


    เท่าที่ลองศึกษาหลายๆที่
    หากเรามีสิ่งศักดิสิทธิ์คุ้มครอง มีองค์จริงๆ คงไม่จำเป็นต้องรับขันธ์
    แค่เราปฏิบัติดี มีศีล มีธรรม ขันธ์ห้าตามคำสอนของพุทธองค์ พวก เวทนา สัญญา ฯลฯ เทวดาประจำตัวก็คุ้มครองเราอยุ่แล้ว


    .... ใช่คะ เราก้ถือว่าท่านเป็น ผู้มีพระคุณ เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราไป .. เวลาทำบุญต่าง ๆ ก็ระลึกถึงท่าน แผ่ส่วนกุศลถวายให้ท่านเหล่านั้นไปคะ และ อธิฐานขอท่านอันนี้ก็แล้วแต่ ... สไตร์ใครสไตร์มันนะคะ

    เพราะกลัวรับขันธ์มา จะเป็นวิญญาณ ผี มาอยู่กะเราแทนนะซิ

    .... ใช่คะ อัตราเสี่ยงสูงมากคะ .. อันนี้แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคนนะคะ
     
  20. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    แต่ไม่รู้ว่า ทำไมเจ้าตัวไม่เอะใจบ้าง (หลังจากกลับมาเป็นคนเดิมแล้ว) หรืออาย ฯลฯ ไม่ติดต่ออีก ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา
    เพราะข้อความที่เขียนไว้ ยังเหลือหลักฐานให้กลับไปอ่านได้ ว่าไม่ใช่สำนวนเขา จริงๆแล้วเขามีองค์บารมีสูงนะ แต่จิตทางนั้นก็เก่ง แปลงร่างให้เจ้าตัวเข้าใจผิดได้ด้วย

    ไม่ต้องไปรับขันธ์ หรือ แม้ตัวเองก็มีบารมีสูง ก็ยังถูกหลอกได้เหมือนกัน

    จิตพวกนี้ ต้องการร่างที่มีบารมี ต้องการรูปขันธ์

    คำว่า อย่าประมาทยังคงใช้ได้เสมอค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...