ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>แกะรอย ‘เขมรมุสลิม’ ร่วมจุดไฟเผาปลายด้ามขวานไทย </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>14 มิถุนายน 2550 14:56 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>

เหตุร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
​

ศูนย์ข่าวหาดใหญ่... รายงาน

แม้จะไม่มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนใดในรัฐบาลออกมายืนยันข้อมูลเรื่องชาวกัมพูชามุสลิมมาเข้าร่วมก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยในขณะนี้ แต่จากข้อมูลแหล่งข่าวหน่วยงานด้านการข่าวทหารในพื้นที่ ระบุว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่กำลังรบของฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบส่วนหนึ่งที่ปฏิบัติการอยู่ในภาคใต้ เป็นชาวมุสลิม จากประเทศกัมพูชา

โดยการเคลื่อนไหวของกองกำลังมุสลิม กัมพูชา มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองฝ่ายค้านของประเทศมาเลเซีย ที่มีแผนต้องการเพิ่มจำนวนประชากรมุสลิมในพื้นที่เพื่อเหตุผลทางการเมือง ซึ่งจากการสืบทราบของหน่วยข่าวทหารไทยพบว่าพรรคปาส หรือพรรคอิสลามแห่งมาเลเซีย ซึ่งมีนายอับดุล อาซิส นิก มัต เป็นประธานพรรค ได้มีการจัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาภายใต้ชื่อ “กองกำลังเคเอ็มเอ็ม” หรือ “กรัมปูรัน มูจาฮีดีน มาเลเซีย” ที่ต่อต้านรัฐบาลกลางมาเลเซีย โดยมีนายอับดุล อัดลี นิก มัต บุตรชายคนที่ 3 ของนายอับดุล อา ซิส เป็นผู้บัญชาการกองกำลัง

รายงานข่าวระบุว่ากองกำลังนี้ไม่เคยปฏิบัติการในมาเลเซีย แต่มีการปฏิบัติการทั้งใน อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย และที่ผ่านมาประเทศมหาอำนาจได้กดดันจนรัฐบาล ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในขณะนั้น ทำการจับกุมตัวนายอับดุล อัดลี นิก มัต ได้ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2544 เป็นต้นมา โดยนายอับดุล อัดลี นิก มัส ถูกคุมขังภายใต้กฎหมายความมั่นคงภายใน จากข้อมูลยังพบอีกว่านายอับดุล อัดลี นิก มัต มีภรรยาชื่อนางเซเลส โมนิกา ไซเลส เป็นชาวกัมพูชา ภูมิลำเนาเดิมอยู่แนวชายแดนติดกับประเทศไทย

ต่อมาในวันที่ 18 ตุลาคม 2549 นายอับดุล อัดลี นิก มัต ก็ถูกรัฐบาลมาเลเซียปล่อยตัว ซึ่งวันดังกล่าวตรงกับวันที่พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท๎ นายกรัฐมนตรี เดินทางไปเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการพอดี และทันทีที่กระแสการปล่อยตัวนายอับดุล อัดลี นิก มัต แพร่กระจายออกไปเพียงไม่กี่วันก็เกิดปฏิบัติการอพยพชาวมุสลิมกัมพูชาหลั่งไหลเข้าประเทศไทย และมาเลเซีย อย่างต่อเนื่องจวบจนปัจจุบันนี้

และข้อมูลซึ่งพบโดยบังเอิญ “ผู้จัดการรายวัน” นำมาเปิดเผยเป็นครั้งแรกเป็นข้อมูลที่สามารถนำมาสนับสนุนข้อมูลของหน่วยข่าวกรองในพื้นที่ถึงการเคลื่อนไหวของกองกำลังชาวกัมพูชามุสลิมในแถบจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เป็นอย่างดี ข้อมูลนี้ถูกพบโดยแหล่งข่าวผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นผู้สื่อข่าวโทรทัศน์สำนักหนึ่ง ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้สแกนพบการสื่อสารผ่านเครือข่ายวิทยุของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ขณะกำลังมีการสั่งการพอดี

แต่ที่น่าแปลกใจคือมีการสั่งการเป็นภาษาเขมร! แทนที่จะเป็นภาษามลายูท้องถิ่น และบังเอิญเหลือเกินที่แหล่งข่าวผู้นี้มีพื้นเพเป็นชาว จ.สุรินทร์ ติดกับประเทศกัมพูชา ฟังและพูดภาษาเขมรได้เป็นอย่างดี จึงทำให้สามารถจับใจความในการสั่งการนี้ได้

“ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นเป็นช่วงประมาณเดือนมีนาคม หรือเมษายน ของปี 2549 ผมพักอยู่ในโรงแรมที่ จ.ปัตตานี บังเอิญช่างภาพเขาเปิดวิทยุสื่อสารทิ้งไว้เพื่อรับฟังเหตุการณ์ทั่วไป ขณะที่เครื่องกำลังสแกนหาคลื่น ก็ปรากฏว่าไปติดเอาคลื่นหนึ่งที่กำลังมีการสื่อสารกันด้วยภาษาเขมร ก็พยายามฟังว่าเขาคุยอะไรกัน เพราะตอนนั้นมีกระแสข่าวชาวเขมรเข้ามาร่วมก่อความไม่สงบด้วย แรกๆ ยังฟังไม่ค่อยชัดเพราะคลื่นไม่ดี

แต่พอปิดทีวีและตั้งใจฟังอีกที ก็พบว่าเสียงที่ได้ยินคือเสียงที่ออกจากเครื่องแม่ข่ายวิทยุสื่อสาร ซึ่งน่าจะตั้งอยู่แถบ อ.ยะหริ่ง กำลังสั่งการให้คนที่อยู่ปลายทางเร่งลงมือปฏิบัติการอะไรบางอย่าง ทั้งกำชับด้วยว่าให้ลงมือเลย ไม่ต้องกลัว แต่ไม่ได้ยินเสียงปลายสาย เพราะเข้าใจว่าเครื่องปลายสายเป็นเครื่องขนาดพกพา จึงไม่ได้ยินเสียง ก็นั่งรอว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มีการสื่อสารผ่านทางวิทยุอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นคลื่นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แจ้งเหตุ ว.19 คือมีการยิงถล่มฐานทหารในพื้นที่ ต.ตะโละกะโป อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ผมมั่นใจว่าเป็นฝีมือของกลุ่มที่มีการสั่งการด้วยภาษาเขมรก่อนหน้านี้” แหล่งข่าวระบุ

ข้อมูลนี้เป็นที่ชัดเจนว่ากองกำลังที่ก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีชาวกัมพูชาร่วมอยู่ด้วย ทั้งในระดับปฏิบัติการ และระดับผู้สั่งการ และที่น่าสนใจคือเมื่อเร็วๆ นี้ ทหารพรานกองร้อยที่ 1207 กรมทหารพรานที่ 12 พร้อมเจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรอรัญประเทศ ได้ทำการตรวจค้นชาวกัมพูชาซึ่งนับถือศาสนาอิสลามที่จะเดินทางไปประเทศมาเลเชียกว่า 20 คน

จากการตรวจค้นดังกล่าวเจ้าหน้าที่สามารถตรวจพบชิ้นส่วนในการประกอบวัตถุระเบิดจำนวนหนึ่ง และจากการตรวจสอบ เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ตชด.12 ยืนยันว่า อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถนำมาประกอบเป็นระเบิดแสวงเครื่องได้ โดยจะบรรจุดินระเบิดได้ประมาณ 1 ปอนด์ แรงระเบิดมีรัศมีทำลายได้ 100 เมตร และที่สำคัญอุปกรณ์ชุดนี้มีชุด SCR ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการทำระเบิดชนิดแสวงเครื่องได้เป็นอย่างดี สามารถใช้โทรศัพท์มือถือเป็นตัวจุดชนวนระเบิดได้

นอกจากนี้จากข้อมูลของทางการไทยพบว่าช่วงเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา มีชาวกัมพูชามุสลิมเดินทางลงไปจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยโดยผ่านด่านชายแดน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว อย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีจำนวนเกือบ 2 หมื่นคน โดยแยกเป็น ปี 2548 จำนวน 8,488 คน ปี 2549 จำนวน 7,270 คน และ ปี 2550 จำนวน 2,524 คน รวมทั้งหมด 18,282 คน และจากการตรวจสอบการเดินทางกลับ พบว่าในจำนวนดังกล่าวมีการเดินทางกลับมาเพียง 10% เท่านั้น

ทั้งนี้ พล.อ.วัธนชัย ฉายเหมือนวงศ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ก็ยอมรับว่าที่ผ่านมามีรายงานว่ามีชาวกัมพูชามุสลิมเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเพื่อทำงานและหายตัวไปจำนวนหลายพันคน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะต้องติดตามว่ากัมพูชามุสลิมกลุ่มนี้หายไปยังส่วนใดของไทย และเกี่ยวข้องอย่างไรกองกำลังเคเอ็มเอ็ม ที่ต่อต้านรัฐบาลมาเลเซีย หรือเกี่ยวข้องอย่างไรกับกลุ่มก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย

รวมทั้งจะต้องได้คำตอบว่ากองกำลังเคเอ็มเอ็ม เข้ามาร่วมจุดไฟเผาปลายด้ามขวานของเราด้วยหรือไม่ เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง เห็นทีจะไม่ง่ายดายนักที่รัฐไทยจะทำให้ไฟกองนี้มอดดับลงได้ในเร็ววัน

ที่มา http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9500000068933​

 

ขอให้ทุกคนมีความสุขนะจ๊ะ^o^

 

<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=5></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%"><TBODY><TR><TD></TD></TR><TR><TD height=5></TD></TR><TR><TD>ทหารพิการ<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O></O>
จากเหตุการณ์ชุมนุมของมวลชนคนเสื้อแดง ที่ขย่มประเทศไทยจนสะเทือนไปทั่วโลกในครั้งนี้ คงต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว เพราะมีเหตุการณ์รุนแรงที่ผิดจากการชุมนุมประท้วงทั่วๆไป...มีคนตายทั้งประชาชนคนธรรมดา และเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหารจำนวนหลายราย มีกองกำลังติดอาวุธปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ประท้วง ประเทศชาติต้องเสียหายทั้งทางเศษฐกิจและชื่อเสียง ถึงแม้ว่านายกอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ จะประกาศแผนปรองดองขึ้นมาเพื่อยุติศึกชุมนุมศิษย์เก่าเสื้อแดงแล้วก็ตาม หรือว่ามวลชนคนเสื้อแดงจะสลายไปแล้วด้วยเหตุใดก็ดี อย่าเพิ่งคิดว่าทุกอย่างมันจะจบ มันไม่จบมันจะเกิดเหตุขึ้นอีก เป็นเหตุรุนแรง เป็นเรื่องน่ากลัว พ่อค้านักธุรกิจยังต้องหูไวตาไวคอยเงี่ยหูฟังและเบิ่งตามองให้ดี เพราะเศรษฐกิจยังจะย่ำแย่ ท่องเที่ยวยังยับเยินอยู่เพราะมีกองกำลังไม่ปรากฎสัญชาติหรือนักรบรับจ้าง จะก่อเหตุรุนแรงขึ้น ใต้ดินจะเร่งเครื่องเต็มที่ อยากจะขอให้ระวังการลอบยิง ลอบสังหารบุคคลสำคัญ ให้ระวังการก่อวินาศกรรมตามที่ต่างๆ ในขณะเดียวกันถึงแม้ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมยังไม่สลายตัวก็ต้องระวังถูก “บึ้ม” เพื่อให้สถานการณ์รุนแรง หรือแกนนำเสื้อแดงอาจถูกลอบฆ่าเพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้น ถ้าถึงตอนนั้นเหตุจราจลคงจะเกิดขึ้นทั่วบ้านเมือง ประเทศไทยขณะนี้กำลังมีกรรม กรรมที่เกิดจากมนุษย์ที่ไม่มีจิตใจเป็นมนุษย์กรรมที่มีผู้นำดีเกินไป จะว่าผู้นำคนเดียวไม่ได้เพราะประเทศไทยจะดีขึ้นหรือเลวลงก็ต้องมองที่ทหารด้วยจะไปว่าทหารทั้งหมดก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะทหารทั้งประเทศขึ้นอยู่กับ “ผู้นำทหาร” เพียง 2 คนเท่านั้นในขณะนี้ ประเทศไทยมีกรรมที่มี”ทหารพิการ” ถ้าเป็นทหารพิการเพราะผ่านศึก สงครามมันน่ายกย่องในความเป็นชายชาติทหาร ทหารเป็นรั้วของชาติที่เฝ้าปกป้องรักษาตามแนวชายแดนนั้นสมควรที่จะได้รับการสรรเสริญ ทหารในประเทศไทยนั้นมีทหารที่เป็น”รั้วของชาติ” และทหารที่เป็น”รั้วของสนามม้า-สนามมวย” ในประเภทหลังนี่จะได้ยศตำแหน่งและอำนาจเร็วมาก ทหารป่าน่าเห็นใจ ต.ช.ด.น่าสงสาร แต่ใครจะมองเห็น”คุณค่า”ของพวกเขาเหล่านั้นบ้างหรือไม่ผมไม่รู้<O></O>
“ทหารพิการ”ทางจิตใจจะไม่รับรู้ ไม่สนใจความมั่นคงของประเทศ จะเป็นห่วงแต่อนาคตของตัวเองและครอบครัวเท่านั้น”ทหารพิการ” ทางจิตใจนั้นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงประเทศ โดยเฉพาะบ้านเมืองของเราในขณะนี้ ในยามนี้ประเทศชาติต้องการผู้นำทางการเมืองและผู้นำทหารมีความกล้าในการตัดสินใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ทหารออกมาฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์<O></O>
ก็ไม่รู้ว่าผู้นำทหารคนต่อไปจะเป็นใคร แต่ก็น่าเป็นห่วงที่คนมีฝีมือ จะถูกสกัดเหมือนที่ผ่านมาในอดีต ประเทศไทยมีกรรมอาจจะทำให้มีคนตัดสินใจแต่งตั้ง ผบ.ท. บ.ห่วยๆขึ้นมาเหมือนในอดีตเช่นกัน มันเป็นกรรมของประเทศที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ที่มีจิตพิการ ใจพิการมาบริหารประเทศผู้ที่มารับตำแหน่งใหม่นั้นถ้าเป็นคนดีก็ต้องเหนื่อย เหนื่อยเพราะต้องมาทำงานใหญ่ให้กับประเทศ แต่ถ้าได้คนที่ทำงานไปตีกอล์ฟไป”ประเทศชิบหาย”ครับท่าน ดวงเมืองวิกฤติโอกาสที่คนชั่วจะครองเมืองก็เป็นไปได้สูง ประเทศไทยยังไม่พ้นวิบากกรรม บ้านเมืองยังวุ่นวายไม่จบง่ายๆ ถ้ามองเพียงผิวเผินก็ดูเหมือนทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว อยากให้จับตามอง”คลื่นใต้น้ำ”คลื่นลูกใหม่ที่จะถาโถมเข้าใส่ประเทศไทยเร็วๆนี้ ยิ่งปล่อยไว้นานยิ่งรุนแรงขึ้น บ้านเมืองยังมีภัยตราบใดที่ทหารบางคนยังพิการทางใจอยู่อย่างนี้<O></O>
“คนเป็นใหญ่จะเสียชีวิต”คงอีกไม่นานก็จะได้รู้ได้ยินข่าวว่าคนเป็นใหญ่จะเสียชีวิตจะเป็นใครผมไม่รู้ จะเป็นคนมีสีหรือไม่ หรือจะเป็นนายพล? ก็ติดตามลุ้นเอาเอง ผมรู้ ผมเห็น แต่ผมไม่บอก แต่ขอกระซิบที่ข้างหูว่า ใครๆก็ตายได้ทั้งนั้น อีกสองเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นคือ”มองหาคนรูปหล่อไม่เห็น”จะเป็นเรื่องเดียวกันกับ ผู้เป็นใหญ่จะเสียชีวิต หรือไม่ผมไม่รู้ หรือว่าจะมองหาคนรูปหล่อไม่เห็นทางการเมืองก็เป็นไปได้ อีกเรื่องหนึ่งคือ “บุคคลVIPจะบินออกนอกประเทศ”ก็จะเกิดขึ้นเช่นกัน ผมอาจจะทำนายคลาดเคลื่อนวันเวลาไปบ้างคงจะไม่ว่ากัน แต่ขอยืนยัน มันต้องเกิด อย่างน้อยหนึ่งถึงสองเรื่องที่กล่าวมา<O></O>
นับจากนี้เป็นต้นไปเป็นการเริ่มต้นของสงคราม สงครามที่พ่อค้าประชาชนจะเดือดร้อน สงครามที่เกิดจากนักการเมือง สงครามใต้ดิน สงครามทหารพิการ สงครามแย่งชิงอำนาจ ขอให้จำไว้ สุดท้าย ทหารจะมีบทบาท ทหารจะมีอำนาจเหนือนายกทุกคน หากผู้นำทหารคนปัจจุบันยังไม่ฟื้นจากจิตพิการประเทศไทยจะต้องพิการตลอดไป ทั้งกระทรวงกลาโหมและผู้บังคับบัญชาทหารบกจะมัวแต่ก้มหน้าก้มตา”สีเหย” เพียงอย่างเดียวหรือ จะทนดูประเทศไทยถูกข่มขืนอย่างนี้หรือ นับจากนี้เป็นต้นไปเกมการเมืองจะร้อนระอุมากยิ่งขึ้น ความดุเดือดคงหนีไม่พ้น เดือนพฤษภาคมนี้เป็นเดือน ซิงจี๋ ดิถีบนเป็นธาตุทองดิถีล่างเป็นธาตุไฟ นับว่าเป็นเดือนอริกับนายกเป็นอย่างมากคงจะหลีกไม่พ้นที่นายกต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตทางการเมือง ผลดีหรือแย่ลงก็อยู่ที่การพิจารณาด้วยเหตุผลและผู้นำทางการทหารด้วยว่าหายป่วยทางจิตหรือยัง นายกมีดาบอาญาสิทธิ์อยู่ในมือ แต่นายกคิดว่าตัวเองกำลังถือ”สากกระเบือ”อยู่ ขอบอกให้นายกทราบเอาไว้ด้วยว่าเดือนพฤษภาคมนี้ ติดต่อไปถึงเดือนมิถุนายนสิ่งที่นายกหวังในด้านดีจะไม่สมหวัง จะผิดหวังอย่างรุนแรง งานใหญ่กำลังรออยู่ทั่วโลกกำลังจับตามอง จะมีคนไปเกิดใหม่ ร้านขายโลงจะขายดีกว่าสินค้าอื่น พระตามวัดต่างๆงานชุก รถเฮียปอ รถเฮียร่วม รถเฮียกู้งานเข้า ร.พ.ต่างๆผู้คนจะพลุกพล่าน ขอให้ประชาชนทุกคนช่วยกันไปบริจาคเลือด ด่วนที่สุด<O></O>
ด้วยความเคารพ<O></O>
หมอนิด (กิจจา ทวีกุลกิจ)<O></O>
12พ.ค.53<O></O>



</TD></TR></TBODY></TABLE>

 

คาดว่าจะมาจาก รอยเลื่อนระนองคลอง-มะรุ่ยหรือเปล่าครับ ซึ่งเป็นรอยเลื่อนที่ยังมีพลังอยู่ หนึ่งในหลาย ๆ รอยเลื่อนมีพลังในประเทศไทย
ถ้าไปแล้วช่วยหาตำแหน่งหรือพิกัดมาด้วยนะครับ พอดีเคยไปสำรวจเมื่อประมาณ 3 ปีก่อน

จากพิกัดข้างบน ใช่แล้วครับ อยู่บริเวณรอยเลื่อนมีพลังระนอง-คลองมะรุ่ย เลยครับ "น่ากลัวแฮะ"

รอยเลื่อนระนอง-คลองมะรุ่ยเป็นรอยเลื่อนที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวที่ประจวบฯ เมื่อหลายปีก่อนด้วยนะครับ ลองไปหาเอกสารหรือข่าวเก่าดูครับ

 

ข้อมูลน่าสนใจครับ
ต้องเฝ้าจับตามองใกล้ชิด

 

วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 เวลา 09:29 น. ข่าวสดออนไลน์


สรุปยอดตายเจ็บวันที่13 พ.ค.เผยเสธ.แดงเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ

<STYLE> P { margin: 0px; } </STYLE>
เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 14 พ.ค. ศูนย์บริการแพทย์ฉุกเฉินกรุงเทพมหานคร (ศูนย์เอราวัณ) รายงานจำนวนผู้บาดเจ็บและเจ็บป่วยจากเหตุการณ์เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุม เมื่อวานนี้ (13 พ.ค.) มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ทราบชื่อนายชาติชาย บัวเหลา อายุ 25 ปี บาดเจ็บ 11 ราย และเจ็บป่วย 21 ราย จากการดื่มกาแฟจากบริเวณแยกสารสิน นำส่งโรงพยาบาลเลิดสิน ซึ่งรับไว้เป็นผู้ป่วยใน 18 ราย สังเกตอาการ 2 ราย รับยากลับบ้าน 1 ราย

เมื่อวันที่ 14 พ.ค. นายแพทย์ชัยวัน เจริญโชคทวี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิรพยาบาล เปิดเผยอาการล่าสุดของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก หลังถูกคนร้ายลอบยิงเมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา ว่า เมื่อคืนทำการผ่าตัดสมองให้เสธ.แดงโดยใช้เกล็ดเลือด 10 ถุง ตอนนี้อยู่ห้องพักฟื้นศัลยกรรมพิเศษ 3 เบื้องต้นการผ่าตัดพบถูกยิงด้วยอาวุธที่มีอานุภาพสูงจากด้านขวาทะลุซ้าย ไม่มีกระสุนฝังอยู่ในศีรษะ จึงไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นกระสุนชนิดใด อาวุธประเภทใด เป็นเหตุเยื่อสมองเสียหายบางส่วน การผ่าตัดเพื่อเข้าไปซ่อมแซมบางส่วนของสมองที่เสียหาย ขณะนี้สมองยังบวม หลังผ่าตัดความดันลดน้อยลง ใช้ยากระตุ้นน้อยลง การตอบสนองลึกๆดีขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเสธ.แดงอาจจะเสียชีวิตได้ตลอดเวลา ต้องประเมินสถานการณ์นาทีต่อนาที ถ้าหากไม่เลวร้ายลงก็อาจจะดีขึ้นบ้าง คาดว่าจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

ด้านน.ส.ขัตติยา สวัสดิผล บุตรสาวของ เสธ.แดง ให้สัมภาษณ์ว่า บิดายังอยู่ในระหว่างการพักฟื้นและไม่รู้สึกตัว แต่ตนและบิดามีกำลังใจดี ขณะเดียวกันก็ยังไม่อยากให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนและอยากให้เรื่องจบแค่นี้ก่อน เท่านี้ครอบครัวก็บอบช้ำมากพอแล้ว

สำหรับเหตุการณ์ยิงเสธ.แดง เมื่อช่วงค่ำวานนี้ เริ่มจากเวลา 18.30 น. ที่บริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 พล.ต.ขัตติยะ พร้อมด้วยผู้ติดตาม เดินตรวจเยี่ยมการ์ดนปช.ตามด่านต่างๆ ที่บริเวณแยกศาลาแดง จากนั้นสัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ และช่อง 5 สักพักมีเสียงปืนดังขึ้น 3 นัดซ้อน พล.ต.ขัตติยะ ล้มฟุบลงกับพื้น บรรดาการ์ดที่ติดตามตะโกนเสียงดังว่า เสธ.ถูกยิง

บึ้มซุกเก๋งย่านรามอินทรา ผวา!คาร์บอมบ์

<STYLE> P { margin: 0px; } </STYLE>เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. วันที่ 14 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดได้เข้าตรวจสอบรถเก๋งซีวิค สีบรอนซ์ ทะเบียน กพ 5773 เชียงใหม่ จอดที่ลานจอดรถบ้านริมน้ำอพาร์ทเม้นต์ ซ.รามอินทรา 34 แยก 17 หลังมีผู้แจ้งเบาะแสว่ารถคันดังกล่าวจอดทิ้งไว้ประมาณ 1 เดือน หลังเข้าตรวจสอบที่ท้ายกระโปรงรถ พบ ระเบิดซุกถังดับเพลิงจำนวน 3 ถัง มีถุงบรรจุปุ๋ยยูเรียมัดปากถุงปิดทับระเบิดอีกชั้นหนึ่ง เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาดว่ารถคันดังกล่าวเป็นทะเบียนปลอม

พระโคกินหญ้า-นาที่ลุ่มได้ผล




<TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
แรกนา - นายยุคล ลิ้มแหลมทอง ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ทำหน้าที่พระยาแรกนา หว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทาน ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยปีนี้พระโคกินหญ้า ทำนายว่าน้ำท่าบริบูรณ์พอควร เมื่อวันที่ 13 พ.ค.


</TD></TR></TBODY></TABLE>
เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 13 พ.ค. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง พร้อมด้วย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เสด็จฯ ยังพลับพลาที่ประทับบริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง ทรงเป็นประธานในงานพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญประจำปี 2553 โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีเฝ้าฯ รับเสด็จ

สำหรับพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญในปีนี้ ผู้ทำหน้าที่พระยาแรกนาคือ นายยุคล ลิ้มแหลมทอง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ยาตราพร้อมเทพีหาบทองและหาบเงินออกจากโรงพิธีพราหมณ์ โดยเทพีคู่หาบทอง ได้แก่ น.ส.ณุทนาถ โคตรพรหม นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการ กองอาหารสัตว์ กรมปศุสัตว์ และน.ส.สุนีลา รู้สุกิจกุล นักวิชาการปฏิรูปที่ดินปฏิบัติการ สำนักบริหารกองทุน สปก. ส่วนเทพีคู่หาบเงิน ได้แก่ น.ส.เดือนเพ็ญ ใจคง เจ้าพนักงานธุรการชำนาญงาน กองแผนงานและวิชาการ กรมวิชาการเกษตร น.ส.สรชนก วงศ์พรม นายช่างโยธาชำนาญงาน ฝ่ายโยธา ส่วนวิศวกรรมประมง สำนักพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการประมง กรมประมง

ต่อมาเวลา 08.40 น. พระยาแรกนา ทำพิธีเสี่ยงทายผ้านุ่งแต่งกาย โดยหยิบได้ผ้านุ่ง 6 คืบ พยากรณ์ว่าน้ำจะน้อย นาในที่ลุ่มจะได้ผลบริบูรณ์ดี แต่นาในที่ดอนจะเสียหายบ้าง ได้ผลไม่เต็มที่ จากนั้นราชบัณฑิตและพราหมณ์นำผ่านพลับพลา หน้าพระที่นั่ง พระยาแรกนาเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายบังคมแล้วไปยังลานแรกนา เจ้าพนักงานจูงพระโคเทียมแอก ซึ่งพระโคที่นำมาใช้ในปีนี้คือ พระโคฟ้า และพระโคใส โดยมีพระโคสำรองอีก 1 คู่ คือ พระโคเทิด และพระโคทูน จากนั้นพระยาแรกนาเจิมพระโค ก่อนที่จะไถดะไปโดยรี 3 รอบ เพื่อพลิกดินให้เป็นก้อน ไถโดยขวาง 3 รอบ เพื่อย่อยดินให้ละเอียดพร้อมหว่านเมล็ดธัญพืช พนักงานประโคมฆ้องชัยเครื่องดุริยางค์แล้วไถกลบอีก 3 รอบ เพื่อกลบเมล็ดธัญพืชลงในดินเสร็จแล้วพนักงานปลดพระโคออกจากแอก พระยาแรกนาและเทพีกลับไปยังโรงพิธีพราหมณ์ พราหมณ์เสี่ยงทายของกิน 7 สิ่งที่ตั้งเลี้ยงพระโคประกอบด้วย ข้าวเปลือก ข้าวโพด ถั่วเขียว งา เหล้า น้ำ และหญ้า ซึ่งพระโคกินหญ้า

เวลา 09.15 น. น.ส.สุพัตรา ธนเสนีวัฒน์ รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ ถวายรายงานผลการเสี่ยงทาย พิธีการเสี่ยงหยิบผ้านุ่ง และผลการเสี่ยงทายพระโคกินของกิน 7 อย่าง ว่า พระยาแรกนาหยิบได้ผ้านุ่ง 6 คืบ พยากรณ์ว่า น้ำจะน้อย นาในที่ลุ่มจะได้ผลบริบูรณ์ดี แต่นาในที่ดอนจะเสียหายบ้าง ได้ผลไม่เต็มที่ และพระโคกินหญ้า พยากรณ์ว่าน้ำท่าจะบริบูรณ์พอสมควร ธัญญาหาร ผลาหาร ภักษาหาร มังสาหารจะอุดมสมบูรณ์

ในงานนี้กระทรวงเกษตรฯ คัดเลือกเกษตรกร สถาบันเกษตรกร และสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2553 เข้ารับพระราชทานโล่รางวัลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แยกเป็น เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ 14 สาขาโดย อาชีพทำนา ได้แก่ น.ส.ธันชพร บุญท้วม จ.นครนายก , อาชีพทำสวน ได้แก่ นายบุญชอบ เอมอิ่ม จ.สุโขทัย, อาชีพทำไร่ นายบุญศรี ใจเป็ง จ.เชียงใหม่, อาชีพไร่นาสวนผสม นายกิมฮก แซ่เตีย จ.อุบลราชธานี, อาชีพเลี้ยงสัตว์ นายธนศักดิ์ คำด่าง จ.นครพนม, อาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ นายสุวิน นะวะชีระ จ.มหาสารคาม

อาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกร่อย นายเอกพจน์ ยอดพินิจ จ.สุราษฎร์ธานี, อาชีพปลูกสวนป่า นายบัวลอย ตุ้มสุข จ.พิษณุโลก, อาชีพเพาะเลี้ยงปลาสวยงามและพรรณไม้น้ำ นายอนุชิต สนธิสถาพร กรุงเทพมหานคร, สาขาบัญชีฟาร์ม นายสุธรรม จันทร์อ่อน จ.นครปฐม, สาขาการพัฒนาที่ดินเพื่อเกษตรกรรม นายสำรอง แตงพลับ จ.เพชรบุรี, สาขาการใช้วิชาการเกษตรดีที่เหมาะสม นางธนิดา ขุนนา จ.สระบุรี, ที่ปรึกษากลุ่มยุวเกษตรกร นายชาตรี ต่วนศรีแก้ว จ.นครปฐม และสมาชิกยุวเกษตรกร น.ส.นันธา ใหม่เจริญ จ.ฉะเชิงเทรา

นอกจากนี้ ยังมีสถาบันเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติประจำปี 2553 จำนวน 12 กลุ่ม และสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ 7 สหกรณ์ ขณะที่สาขาปราชญ์เกษตรเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่ นายผาย สร้อยสระกลาง อายุ 80 ปี อาชีพเกษตรกร อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างพิธีมีประชาชนจำนวนมาก ทยอยมารอชมพิธี และหลังจากที่เสด็จกลับ ประชาชนจำนวนมากก็กรูเข้าไปในพื้นที่ประกอบพิธี เพื่อแย่งเมล็ดข้าวจากงานพิธีเพื่อนำไปบูชาและเป็นสิริมงคลแก่อาชีพเกษตรกร ส่วนประชาชนที่ไม่สามารถแย่งข้าวได้ ก็ต้องซื้อจากคนที่เก็บได้ ราคาตั้งแต่เมล็ดละ 1 บาท 2 บาท จนถึงราคา 7 เมล็ด 20 บาท


ยากที่ดวงตาเห็นธรรม

เลาะเลียบคลองผดุงฯ

ตุลย์ ณ ราชดำเนิน tulacom@gmail.com



ความจริงแล้วการดึงเยาวชนให้ประพฤติปฏิบัติตนถึงด้วยการหันหน้าเข้าวัดด้วยการบวชเรียน เพื่อเรียนรู้ศึกษาปฏิบัติธรรมตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา อย่างน้อยย่อมส่งผลให้เกิดศรัทธาในศีล สมาธิ ปัญญา และช่วยลดปัญหาในสังคมได้ทางหนึ่ง

และในกรณีสมาคมพุทธศาสตร์สากล หรือ ชมรมพุทธศาสตร์สากลฯ ในอุปถัมภ์สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ มีความมุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานศีลธรรมเชิงบูรณาการ ตามโครงการฟื้นฟูศีลธรรมโลกที่กำลังมีการลงนามข้อตกลงร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ก็น่าจะได้รับการสนับสนุน

แต่บังเอิญว่า มีหลายเรื่องราวสังคมยังระแวงถึงเจตนาที่มีวัดดังย่านปทุมธานีแห่งหนึ่งเกาะเกี่ยวอยู่

เมื่อวิเคราะห์ถึงเป้าหมายประกอบด้วย เยาวชน ผู้นำการศึกษา ข้าราชการครู ผู้บริหารการศึกษา และงบประมาณที่ใช้เฉพาะในสังกัดศธ.แล้ว นับว่ามากมายเกินคิดจริงๆ เมื่อได้เห็นตัวเลขต่อปีการศึกษา ดังนี้

ทุนสำหรับสถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการทุกขั้นตอน 6,000 บาทต่อผู้เข้าร่วม 45 คน ประมาณ 120 ล้าน

ทุนการศึกษานักเรียนดีเด่นด้านศีลธรรมให้สถานศึกษาที่เข้าร่วม 300,000 ทุน ทุนละ 1,000 บาท

ทุนสำหรับหน่วยงานทางการศึกษา สถานศึกษาที่ผ่านเกณฑ์ ฯ 600 ทุน รวม 10 ล้าน

ทุนสำหรับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เขตละ 10,000-25,000 บาท

ทุนเพื่อการพัฒนาสถานศึกษาและหน่วยงานการศึกษานำร่องศีลธรรม 30 ล้าน

ตามด้วยหมายเหตุ ทุนการศึกษานี้ไม่รวมค่าดำเนินการ ซึ่งทุนเหล่านี้ไม่เคยมีการนำแจงให้สังคมรับรู้

โครงการนี้ดีแต่ว่า สพฐ.ยังไม่ได้ลงนามในข้อตกลง และถูกสั่งให้ระงับไปก่อน

แต่ที่แน่ๆ คุรุสภา ได้ร่วมกับ ชมรมพุทธศาสตร์สากล ทำโครงการเสริมสร้างศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา จัด ณ ศูนย์จังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง

งานนี้ล่อใจด้วยใบประกาศเกียรติคุณ และต่างชิงกันเป็นผู้ดีเด่นเพียง 25 คน รับเข็มและวุฒิบัตรทองคำ

เนื้อนาบุญนี้ ถ้าไม่มีอามิสสินจ้างเข้าล่อ ย่อมยากที่จะทำให้ดวงตาเห็นธรรม

การทำดีต้องมีค่าจ้างด้วยแระ

วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 เวลา 08:30:22 น. มติชนออนไลน์ <!--อ่านล่าสุด คน-->

<CENTER>
</CENTER>
[FONT=ms sans-serif, Tahoma, DB ThaiTextFixed, Thonburi]เผยกระสุนไรเฟิล "ลาปัว.308"เจาะกะโหลก"เสธ.แดง" อีกนัดติดอยู่ที่เสื้อเกราะ[/FONT]

[FONT=ms sans-serif, Tahoma, DB ThaiTextFixed, Thonburi]<STYLE> P { margin: 0px; } </STYLE>
ผู้สื่อข่าวรายงานถึงกรณีที่มีการลอบยิงพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกเมื่อค่ำวันที่ 13 พฤษภาคมที่ศรีษะซึ่งในเบื้องต้นสันนิษฐานว่า เป็นปืนไรเฟิลความเร็วสูงว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบลูกกระสุน 2 นัดฝังอยู่ในหัวและอยู่ในเสื้อเกราะ พล.ต.ขัตติยะ ทราบว่า เป็นกระสุนยี่ห้อ "ลาปัว" ".308 วินเชสเตอร์ ลาปัว ไรเฟิล" ซึ่งใช้สำหรับซุ่มยิงโดยเฉพาะ โดยกระสุนเข้าศีรษะ 1 นัด อีก 1 นัดถูกหน้าอก แต่ พล.ต.ขัตติยะสวมเสื้อเกราะกระสุนจึงไม่ทะลุเข้าไปในตัว แต่หัวกระสุนมาจากที่ติดอยู่บนเสื้อเกราะบริเวณหน้าอกของเสธ.แดง
[/FONT]
<!-- <script Language="JavaScript">function BackPage() {history.back();}</script>

กลับสู่หน้าแรก ​

-->

 

- โลกร้อน

- โลกร้าว

- โลกรั่ว (น่าจะมาถึงขั้นนี้แล้ว ใต้เปลือกโลกเป็นแม็กม่าถ้ารั่วแม็กมาก็ปะทุ)

 

รอฟังผลครับ

 

อ้างอิง:
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ถาวโร(ถา-วะ-โร)
คุณ Falkman ครับ

ประสานกับคุณต้นอ้อแล้วว่าเกิดบริเวณแหลมเส็ดตะกวด

แลตติจูด 10 องศา 6 ลิบดา 3.74 ฟิลิบดา เหนือ

ลองจิจูด 98 องศา 38 ลิบดา 41.43 ฟิลิบดา ตะวันออก

</TD></TR></TBODY></TABLE>

 

บุญกุศลพอแต่กาย จิตใจ ยังไม่พอ ขอเวลาอีกสัก2ปีได้ไหม

 

ข่าวจากช่อง 7 เรื่องทะเลที่ระนอง ครับ

ได้เกิดปรากฏการณ์ "น้ำทะเลเดือด" ในทะเลอันดามัน ด้านจังหวัดระนอง ในสองตำบล เป็นทางยาว 10 กิโลเมตร ทำให้ปลาเล็กลอยตายจำนวนมาก ส่วนปลาใหญ่ อาทิ ปลากระพง, ปลาดุกทะเล และปลากดทะเล จะจมอยู่ใต้ทะเล ชาวบ้านจึงใช้อวนลอยเข้าไปดักจับปลาที่ลอยตายได้ถึงวันละ 10 กิโลกรัม แต่ยังไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุใด ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดระนอง กล่าวว่า ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดได้ แต่คาดว่ามาจากสภาพอากาศร้อนจัด ทำให้น้ำทะเลอุณหภูมิสูงขึ้น

นายนิพนธ์ พงศ์สุวรรณ นักวิชาการประมง ชำนาญการพิเศษ สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน กล่าวว่า ขณะนี้ในทะเลฝั่งอันดามัน เกิดปัญหาปลาดาวหนามระบาดเป็นบริเวณกว้าง ในพื้นที่เกาะ 9 หมู่เกาะสิมิลัน จังหวัดพังงา และเกาะแอว จังหวัดภูเก็ต เนื่องจากปลาที่กินปลาดาวหนามเป็นอาหาร อาทิ ปลาปักเป้า และปลาวัว ถูกจับจากการทำประมง ทำให้ปลาดาวหนามขยายพันธุ์เพิ่มมากขึ้น และกัดกินปะการังเขากวางเป็นอาหาร ทำให้ระบบนิเวศน์เปลี่ยนไป

http://www.ch7.com/news/news_thailand_detail.aspx?c=2&p=376&d=83878

 

คำทำนายของ อ.คนเมืองบัว​

๑. ภูเขาไฟระเบิดใต้น้ำ ในรอยแตกเดิม ที่มีความเหลื่อมล้ำของพื้นดินถึง ๔๐ เมตร ปากหลุมกว้าง ๑ กิโลเมตร ยาวเป็นพันเมตร ภูเขาไฟใหม่นี้อาจจะระเบิดต่อเนื่องเจ็ดวันเจ็ดคืนจึงดับ ทรัพยากรทางน้ำจะเสียหายมาก อิสลามกับคริสต์อาจจะตายเพิ่มขึ้นอีก เป็นล้านคน ​

๒. จะเกิดภัยสงครามมากขึ้นทั่วโลกแน่นอน ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่หลวงพ่อราชพรหมยานได้บอกไว้แล้วขอบเขตเท่านั้น คริสต์และอิสลามจะตายอย่างละครึ่ง ที่เหลือกลัวความตาย รอดได้ด้วยพุทธานุภาพหรือบุคคลที่เคยประกอบบุญกุศลเนื่องด้วยพุทธศาสนาส่วนใหญ่ จะเป็นบริวารของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ที่หลงเหลืออยู่ จะได้แนวทาง แห่งมโนมยิทธิ สายวัดท่าซุงเป็นแนวทางหลักในการปฏิบัติ ลูกหลานของหลวงพ่อที่ได้มโนฯ จะช่วยกันเผยแพร่งานพระศาสนาอย่างยิ่งยวดไม่มีวันหยุดไม่เหน็ดไม่เหนื่อย พระพุทธศาสนา จึงจะรุ่งเรือง ถึงขีดสุด ​

<TABLE width=550 border=0><TBODY><TR align=right><TD>

จากคุณ คนเมืองบัว เมื่อวันที่ 11/5/2548 0:51:37

​

</TD></TR></TBODY></TABLE>
ที่มา http://www.konmeungbua.com/webboard/...n.asp?GID=4540​

 

ขอขอบคุณทุกข่าวสารที่พวกพี่ๆทุกคนได้นำมาลงให้พวกเราได้อ่านกัน สถานการณ์น่าเป็นห่วงจริงๆค่ะ เล็กมีพี่ชายสองคนทำงานอยู่ที่ภูเก็ตด้านท่องเที่ยว ยังไม่รู้ว่าจะรอดไหม วันนี้ได้อ่านข่าวไทยรัฐหน้าที่ 12 บอกว่ามีถนนทรุดตัวเป็นทางยาวที่ ต.มารวิชัย อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา ชาวบ้านแตกตื่นพากันมาดูเพราะถนนทรุดตัวลึกประมาณ 2.5 เมตร ท่วมหัวคน ถนนใช้การไม่ได้ รถติดไม่สามารถสัญจรไปมาได้ และลำกับเหตุการณ์ดูตอนนี้ถ้าจำได้ มีแผ่นดินทรุดแล้วหลายที่ ที่โคราช ลึกประมาณ 15 เมตร ที่ตรัง 15 เมตร ที่เขตถนนสุขุมวิทพัทยา ชลบุรี และเมื่อวาน อยุธยา 2.5 เมตร พอจะเห็นภาพแล้วว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นจริงเล็กคิดว่าทุกคนต้องเตรียมตัวเก็บกระเป๋ากันแล้วพร้อมรับทุกสถานการณ์ ตอนนี้ไม่รู้ว่าข้างใต้ดินจะร้าวไปถึงไหนๆ แล้ว ขอเป็นกำลังใจช่วยให้ทุกคนรอดจากภัยพิบัติค่ะ สงสารก็แต่ชาวบ้านที่ได้แต่ทำมาหากินกันไปวันๆ จนไม่รู้ว่าภัยจะมาถึงตัวในเร็ววัน แต่ต้องขอบอบคุณทุกฝ่ายที่ได้มีส่วนในการกระจายข่าวสารให้คนทั่วไปได้รับรู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ไปขั้นไหนแล้ว พวกชาวบ้านที่เขาไปหาปลาในทะเลพอเขาเห็นความผิดปกติก็รับแจ้งเลยขอบคุณจริงๆ เล็กหวังว่าศูนย์ระวังภัยสึนามิในฝังอันดามันและอ่าวไทยด้วยจะทำงานกันเต็มที่และระวังภัยเพื่อช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์ที่เป็นเพื่อนร่วมโลกของเราให้มากที่สุดค่ะ และหวังเหลือเกินว่าประเทศไทยของเราจะพบกับความสงบสุขอีกครั้งและ กลับมาเป็นสยามเมืองยื้ม เมืองที่ผู้คนใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขมีไมตรีจิตที่ดีต่อกันเอื้อเฟื้อต่อเพื่อนมนุษย์และรักกัน

 

เมื่อก่อนสัก 2 ปีที่แล้ว เริ่มเข้ามาบอร์ดภัยพิบัติใหม่ๆ

ก็ไปร่วมฟังสัมมนา ด้วย เดี๋ยวนี้ ก็อยากให้มีอีก เพราะ ภัยพิบัติกำลังเข้ามาใกล้มากขึ้น และแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น

เท่าที่ฟัง ก็มีภัยหลากหลายรูปแบบ เช่น ภัยจากนิวเคลียร์ น้ำท่วมพายุไต้ฝุ่น ไซโคลนอย่างนากิส แผ่นดินไหว สึนามิ สตอร์มเซิจ

แต่ที่ผมให้ความสำคัญมากที่สุด และทำอุปกรณ์ฉุกเฉินเตรียมไว้เองมากที่สุด คือเรื่อง "แผ่นดินไหว"

ผมเชื่อว่า สิ่งที่คนไทยอาจจะต้องเจอ คือ เรื่องแผ่นดินไหว และสึนามิ อย่างหนัก แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ

ยิ่งฟังเรื่องที่จะต้องลุ้น ช่วง เดือนมิถุนายน ด้วยแล้ว ยิ่งต้องเตรียมพร้อมรับมือไว้ ครับ

 

ผมได้รับ FW Mail บ่อยๆ เรื่อง 2012 แต่ไม่ค่อยได้อ่าน เพราะศึกษามาตลอดอยู่แล้ว

แต่เรื่อง 12 มิถุนายน นี้ ผมเชื่อว่า คนรับรู้ยังมีน้อยอยู่ เพราะอีกไม่ถึง 1 เดือน ก็จะถึงวันที่ 12 มิถุนายน แล้วครับ

ก็เลยลองทำ FW Mail ส่งต่อให้เพื่อนๆ ได้อ่าน มีข้อความที่ว่า...

....................................................

ในวันที่ 12 มิถุนายน คศ 2010 จะมีปรากฏการณ์ดาวเคราะห์เรียงตัวกันครั้งใหญ่อีกครั้งหนี่ง เป็นการเรียงตัวกันระหว่าง โลก ดาวพฤหัส และ ดาวยูเรนัส นอกจากนั้น แล้ว ยังมีการเรียงตัวกันระหว่าง โลก พระจันทร์ และ ดวงอาทิตย์ ในเวลาประมาณ 11:30 UTC.

คาดว่าเราะจะเริ่มเห็นเปลวพลังงานขนาดใหญ่ที่ดวงอาทิตย์ในวัน ที่ 10-11 มิถุนายน รวมถีงจำนวนจุดดับบนดวงอาทิตย์จะเพิ่มตัวสูงขี้น เปลวพลังงานี้จะหลุดออกมาในวันที่ 12 มิถุนายน และจะทำให้เกิดแผ่นดินไหวบนโลกตามมาในวันนั้น และส่งผลกระทบต่อเนื่องอีกสองวันหลังจากนั้น

ปรากฏการณ์ครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อโลกโดยตรงในรูปแบบของสภาพอากาศแปร ปรวน แผ่นดินไหว หรือ ภูเขาไฟระเบิด ซึ่งตำแหน่งที่จะเกิดนั้นขี้นอยู่กับช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ปลดปล่อยพลังงาน ออกมา ซี่งเป็นการยากในตอนนี้ที่จะบอกตำแหน่งอย่างเที่ยงตรงเพราะโลกหมุนรอบตัว เองอยู่ตลอดเวลา เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่พระอาทิตย์ขี้นจะส่งผลกระทบต่อทุกโซนบนโลกในแนวเดียว กันหรือตั้งฉากกับพระอาทิตย์ ถ้าคาดการณ์พี้นที่ผิดพลาดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

พี้นที่ๆจะได้รับผลกระทบนั้นมีหลายพี้นที่ ซี่งถ้าใช้สมมุติฐานว่าเหตุการณ์จะเกิดขี้นครั้งแรกในวันที่ 12 มิถุนายน เวลาประมาณ 11:30 UTC พื้นที่ๆ ได้รับผลกระทบโซนแรกได้แก่ บริเวณเอเซียตะวันออกเฉียงเหนือ ซี่งอาจะเป็นหมู่เกาะสุมาตรา ขนาดของแผ่นดินไหวจะอยู่ระหว่าง 7-8.5 ริตเตอร์ ซี่งอาจจะทำให้เกิดสีนามิตามมาก็เป็นได้ โซนที่สองได้แก่ประเทศในยุโรปแถวอิตาลี สเปน หรือ กรีก ส่วนโซนที่สามได้แก่ประเทศในอ่าวเม็คซิโก หรือทางฝั่งตะวันตกของประเทศอเมริกา

นอกจากนั้นการเกิดปรากฎการณ์แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นแทบทุกเดือน และจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นอยู่ในระหว่าง 7-9 ริตเตอร์ จนถึงปี 2013 (ถ้าเป็นไปอย่างที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์)

อ้างอิง : จากรายการ เจาะข่าวเด่นกับสรยุทธ์ สัมภาษณ์ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ข้อมูลจาก ดร.ก้องภพ อยู่เย็น นักวิทยาศาสตร์จากองค์การนาซ่า

สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2553 กลับไปดูทีวีย้อนหลัง ช่อง 3ได้ที่ http://www.thaifreetv.tv/ ช่วงเวลา 17.00-17.59 นาทีที่ 42 (17.42)


...................................................................

ถ้าส่งต่อไปเยอะๆ ก็ดีครับ ได้รับรู้ ได้อ่านไว้ ก็ยังดี แต่อย่าตื่นตระหนกก็พอ ครับ

ก๊อบบทความ ส่งต่อเยอะๆ ก็ดีครับ

 

ภัยแม่น้ำโขงอีก

 

ยัน'ดาวเรียง'ไร้เหตุโลกวิกฤตินักวิชาการดังโต้ข่าวกระพือทำคนไทยผวา'แผ่นดินไหว'

ข่าวทั่วไป หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- พฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2553 00:00:00 น.
<STYLE>.expanded { width: 620px; z-index: 9999 }</STYLE>ไทยโพสต์ อย่าตื่นตูม! หลังมีคนปั้นข้อมูลดาวเคราะห์เรียงตัวสะเทือนโลก นักฟิสิกส์-ดาราศาสตร์ ชี้ปรากฏการณ์ดาวเรียงตัวกันไม่มีแรงดึงดูดพอที่จะทำให้เปลือกโลกขยับจนเกิดแผ่นดินไหว ซัดข้อมูลมั่ว ไม่อิงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เผยดวงจันทร์และดวงอาทิตย์มีอิทธิพลโดยตรงต่อโลกเกิดน้ำขึ้น-น้ำลงเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ได้มีการปลุกกระแสความหวาดกลัวเกี่ยวกับการเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงระดับ 7-8 ริกเตอร์ในประเทศไทย เนื่องจากปรากฏการณ์การเรียงตัวของดาวเคราะห์ ในวันที่ 12 มิถุนายน 2553 ข้อมูลดังกล่าวมาจากการให้สัมภาษณ์ของนายสมิทธ ธรรมสโรช ผ่านทางรายการข่าวโทรทัศน์ช่องหนึ่งที่ได้นำข้อมูลการวิเคราะห์ของ ดร.ก้องภพ อยู่เย็น วิศวกรไทยในองค์การนาซา ว่าจะมีพลังงานลมสุริยะของดวงอาทิตย์ส่งมายังโลก ทำให้เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ทั้งแผ่นดินไหว สึนามิ และภูเขาไฟระเบิดหลายครั้งในรอบปี 2553 ขณะเดียวกันได้มีเว็บไซต์หลายแห่งนำข้อมูลดังกล่าวไปเผยแพร่อย่างต่อเนื่อง จนทำให้ประชาชนแตกตื่นและหวั่นวิตกว่าจะเกิดเหตุภัยพิบัติขึ้นจริง
ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงข้อมูลดังกล่าวว่า เป็นรายงานวิจัยของประเทศอินเดียที่ ดร.ก้องภพ อยู่เย็น เป็นผู้นำมาเผยแพร่ และเป็นข้อสังเกตส่วนตัวของ ดร.ก้องภพ ซึ่งไม่ได้ศึกษาในนามตัวแทนองค์การนาซา อีกทั้งยังไม่มีหลักฐานใดๆ ยืนยันว่าจะเกิดเหตุแผ่นดินไหวในวันที่ 12 มิถุนายนปีนี้ อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ดาวเคราะห์เรียงตัวกัน ไม่มีแรงดึงดูดมากพอที่จะขยับเปลือกโลกให้เกิดแผ่นดินไหวได้ นอกจากนี้ การเกิดแผ่นดินไหวอาจจะวิเคราะห์พื้นที่ได้จากรอยเลื่อนเปลือกโลก แต่ไม่สามารถระบุวัน-เวลาที่จะเกิดขึ้นอย่างชัดเจนได้ เพราะขณะนี้ยังไม่มีเทคโนโลยีใดๆ ที่จะคาดการณ์แผ่นดินไหวได้ล่วงหน้า
"ต่อให้ดาวเคราะห์ทั้ง 8 ดวงในระบบสุริยจักรวาลเรียงตัวพร้อมกันทุกดวง ก็ไม่มีแรงดึงดูดมหาศาลถึงขนาดที่จะทำให้โลกเกิดแผ่นดินไหว เนื่องจากแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ทำหน้าที่โดยปกติอยู่ทุกวัน นั่นคือแรงน้ำขึ้น-น้ำลง ดังนั้น ดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ แม้จะอยู่ในแนวเส้นตรงกับโลก ก็ไม่มีพลังที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเปลือกโลกได้" ดร.สธนกล่าว
รศ.บุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สดร. กล่าวยืนยันว่า การเรียงตัวของดาวเคราะห์เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ส่งผลต่อพื้นผิวโลกในแง่ธรณีวิทยา มีเพียงดวงจันทร์เท่านั้นที่มีแรงดึงดูดทำให้เกิดน้ำขึ้น-น้ำลงของโลก ส่วนข้อมูลที่จะมีพลังงานลมสุริยะมายังโลกทำให้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผล เพราะพายุสุริยะเกิดจากสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ ไม่เกี่ยวกับการเรียงตัวของดาวเคราะห์เลย
อีกทั้งเมื่อสำรวจปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ในวันที่ 12 มิถุนายน 2553 กลับไม่พบการเรียงตัวเป็นแนวเดียวกันของดาวเคราะห์แต่อย่างใด แสดงว่ามีการให้ข้อมูลผิดพลาดโดยไม่ตรวจสอบให้รอบคอบก่อนเปิดเผยต่อสาธารณชน
ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ นักวิชาการจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สวทช. บอกว่า ดาวเคราะห์เรียงตัวกันจะทำให้เกิดแผ่นดินไหวนั้น เป็นเรื่องที่เข้าข่ายวิทยาศาสตร์เทียม กึ่งจริงกึ่งเท็จ เป็นการนำข้อมูลมาจับแพะชนแกะ ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ หากแต่เลือกที่จะนำหลักฐานหรือสถิติบางช่วงมาสนับสนุนความเชื่อของตนเอง เพราะปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานที่ชี้ชัดว่า การเรียงตัวของดาวเคราะห์จะทำให้เกิดธรณีพิบัติภัยบนโลกได้ ดังนั้น ประชาชนจึงควรรับฟังข้อมูลด้วยสติปัญญาและไม่ควรหลงเชื่อเรื่องดังกล่าว

ที่มา : ยัน'ดาวเรียง'ไร้เหตุโลกวิกฤตินักวิชาการดังโต้ข่าวกระพือทำคนไทยผวา'แผ่นดินไหว'

ถ้าข่าวที่โพสต์ไม่เหมาะสม ลบได้เลยนะครับ เพิ่งโพสต์ครั้งแรกครับ<SCRIPT type=text/javascript><!--$('pre.xff').click( function() { $(this).toggleClass('expanded');});--></SCRIPT>

 

ถึงเวลาขบวนการลดจำนวนประชากรบนโลกในอัตราเร็วขึ้นเรื่อยๆ
จะเห็นภาพคนตายมากขึ้นไม่นานก็จะชิน
ทำจิตให้อยู่หลุดออกจากความขัดแย้งให้ได้
เราจะเห็นไม่ว่าฝ่ายไหนต้องเป็นไปตามกรรมที่ทำไว้
ถ้าเราปรุงแต่ง(คิดตามคนให้ข่าว)เราจะโดนลากเข้าขบวนกรรมทันที
พอจิตปรุงแต่งให้รู้สึกตัวไว้ท่อง"มันเป็นไปตามกรรม"ไว้