ปรัชญาแห่งพุทธศาสนาฝ่ายเหนือ (มหายาน-วัชรยาน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เทพธรรมบาล, 14 มกราคม 2012.

  1. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    [​IMG]



    นรกภูมิ


    เราจะเริ่มต้นด้วยนรกภูมอันเป็นภูมิที่ตึงเครียดที่สุด ในขั้นแรกพลังงานหรือภาวะอารมณ์จะก่อตัวขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง จนในบางครั้งคราว เราจะไม่แน่ใจว่าพลังงานควบคุมเราอยู่หรือเราเป็นฝ่ายควบคุมพลังกันแน่ บัดดลนั้นเราจะรู้สึกเสียสูญ จิตใจของเราจะจากไปสู่ ภาวะว่างเปล่า อันได้แก่ แสงสุกใส จากภาวะว่างเปล่านี้เองที่ความรู้สึกแรงกล้าที่จะต่อสู้ รวมทั้งความหวาดระแวงอันส่งผล ให้เราสะพรึงกลัว ทว่าเรากลับหาได้แน่ใจแจ่มชัดว่าใครกันแน่ที่เราต้องต่อกรด้วย และเมื่อทุกสิ่งได้ถูกสร้างขึ้นจนสมบูรณ์แบบความน่าสะพรึงกลัวนั้นก็หันก็หันมาเล่นงานตัวเราเอง เมื่อใดก็ตามที่เราพยายามต่อสู้กับเงาเบื้องหน้า เรากลับพบว่าเราได้จู่โจมด้านในของตัวเอง

    อุทาหรณ์เปรียบดังชายพเนจรที่แลเห็นขาแกะอยู่เบื้องหน้าปรารถนาจะหยิบฉวยและกัดกิน แต่อาจารย์ของเขาบอกให้เขาทำตำหนิรูปไม้ กางเขนไว้ ต่อมาภายหลังเขาพบว่ารูปไม้กางเขนนั้นปรากฏอยู่หน้าอกของเขาเอง นั่นเป็นตัวอย่างที่ดีมาก คุณคิดว่ามีบางสิ่งภายนอกที่ต้อง ทำการต่อสู้หรือเข่นฆ่าหรือฟันฝ่า ในหลาย ๆ กรณีความโกรธแค้นก็เป็นเช่นนี้ คุณโกรธแค้นในบางสิ่งและพยายามจะทำลายมัน ในเวลา เดียวกันการณ์กลายกลับเป็นว่าคุณสร้างความพินาศให้กับตัวเอง เป็นการหันศรสู่ด้านใน และหันหลังวิ่งหนี ทว่าดูจะสายไปเสียแล้ว คุณกลับเป็นเหยื่อเสียเอง ไม่มีที่ให้หลบหนีไปไหนได้ คุณไล่ล่าตนเองอย่างไม่หยุดหย่อน นั่นแหละคือพัฒนาการแห่งนรก

    การทรมาณอันน่าสะพรึ่งกลัวในนรกเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงภาพฉายทางจิตวิทยาของตัวเอง ในนรกภูมิคุณหาถูกลงทัณฑ์จริง ๆ ไม่ แต่กลับถูกข่มขู่ด้วยสภาพแวดล้อมอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งพรรณากันไว้ในรูปของท้องทุ่งและหุบเขาเล็กร้อนแดง และบรรยากาศที่ลุกไหม้ เป็นไฟโชนอยู่ หากคุณปรารถนาจะหลบหนีคุณจำต้องทะลวงผ่านสิ่งเผาผลาญเหล่านี้ และหากไม่หลบหนีคุณก็จะถูกเผาไหม้เป็นเถ้าถ่าน มีหายนะที่บีบคั้นคุณอยู่ ความร้อนสาดเผามาจากทุกหนทุกแห่ง โลกทั้งโลกกลายเป็นเหล็กร้อนแดง แม่น้ำลำธารกลายเป็นเตาหลอม ท้องฟ้าแผ่คลุมไปด้วยเปลวเพลิง

    รูปแบบของนรกอีกประการหนึ่งนั้นกลับเป็นไปในด้านตรงกันข้าม เป็นประสบการณ์แห่งหิมะและความหนาวเย็น เป็นโลกน้ำแข็งที่ทุกสิ่ง แข็งตัวไปหมด อันเป็นความก้าวร้าวอีกประการหนึ่ง ความก้าวร้าวที่ปฏิเสธการติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่น เป็นความขุ่นเคืองที่มาจากทิฏฐิ มานะอันแรงกล้า ทิฏฐิมานะเช่นนี้ได้กลายเป็นสภาพแวดล้อมอันหนาวเย็นที่เริ่มคลี่คลุมบรรยากาศและได้รับการเสริมแรงโดยความพึงพอใจ ส่วนรวม มันไม่ยินยอมให้เราแย้มยิ้มหรือเริงร่าหรือสดับฟังเสียงดุริยะใด ๆ



    เปรตภูมิ


    ครั้นแล้วจะปรากฏภูมิแห่งจิตอีกภูมิหนึ่ง เป็นภูมิแห่งพวกเปรตหรือภูติผีหิวกระหาย เราเข้าสู่แสงสว่างมิใช่เพราะความก้าวร้าว แต่เป็นเพราะความละโมบหิวกระหาย มีความรู้สึกยากไร้ แต่ขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกมั่งคั่งเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน

    ในภูมิแห่งเปรตมีความรู้สึกอันโอ่อ่าแห่งความรุ่มรวย รู้สึกเป็นเจ้าของสิ่งต่าง ๆ มากมาย เมื่อใดทีคุณเกิดความต้องการคุณไม่จำเป็นต้อง ออกไปเสาะหา คุณพบว่ามันมีอยู่ในมือแล้ว และจึงทำให้คุณหิวกระหายมากขึ้น พลัดพรากมากขึ้น เป็นเพราะว่าคุณได้รับความพึงพอใจ จากการแสวงหาด้วย ทว่าบัดนี้เรามีทุกอย่างพร้อมมูล เราไม่สามารถเดินทางไปยังที่อื่นเพื่อแสวงหาและได้มาซึ่งสิ่งพึงประสงค์ มันช่างน่า เศร้าใจนัก เป็นความโหยหิวที่เติมเต็มมิได้

    มันเหมือนกับตอนที่คุณเกิดอาการจุกแน่น คุณไม่สามารถจะกลืนกินอะไรลงไปได้อีก แต่คุณปรารถนาจะกินมันต่อไปอีก ดังนั้นคุณจึงเกิด ภาพลวงตาเกี่ยวกับรสชาติและความเอร็ดอร่อยในการรับประทาน กัดกิน กลืนและย่อยมัน กระบวนการดังกล่าวนี้ดูหรูหราโอชะ และคุณ จะรู้สึกอิจฉาเป็นยิ่งนักต่อบุคคลที่หิวโหยและยังกัดกินได้

    สัญลักษณ์ของเปรตได้แก่คนที่มีท้องใหญ่มโหฬาร แต่กลับมีลำคอเรียวบางและปากเล็กจ้อย มีประสบการณ์หลากรูปแบบในภูมินี้ ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับของความหิวกระหาย เปรตบางตนสามารถหยิบฉวยอาหารไว้ได้ แต่อาหารกลับมลายหายไปต่อหน้าต่อตาหรือ ไม่สามารถจะกลืนกินมันลงไปได้ บางตนก็หยิบฉวยได้จับยัดใส่ปากแต่กลับไม่สามารถกลืนลงไปในท้อง บางตนสามารถกลืนลงไปได้ แต่ครั้นพอตกถึงท้องมันกลับระเบิดออก ซึ่งจริงแล้วในโลกปัจจุบันของเรานี้ เราก็จะพบกับความหิวโหยระดับต่าง ๆ อยู่เสมอ

    ความสุขในการครอบครองหาได้สร้างปีติมากมายแก่เราเลยไม่ เมื่อเราได้อะไรบางอย่างมา เราก็จะออกหาอย่างอื่นอีก แล้วก็จะตกอยู่ใน แบบแผนเดิมอีก มันจึงกลายเป็นความหิวกระหายอย่างสม่ำเสมอที่ไม่ได้มีพื้นฐานมาจากความยากจน แต่เป็นเพราะความรู้สึกว่าแม้เราจะมีสิ่งของมากมาย เรากลับไม่มีความสุขและชื่นชมมันได้เต็มที่ พลังดังกล่าวหรือการแลกเปลี่ยน เช่น การแสวงหาของสะสม การโอบรัดจับฉวย การจัดวาง การกลืนกิน ดูน่าตื่นเต้นมากกว่า พลังงานเช่นนี้ดูเย้ายวนยิ่งนัก แต่พอถึงการจับฉวยมันกลับดูน่ากลัว ครั้งแรกที่คุณได้จับต้องสิ่งของใด ๆ คุณปรารถนาจะครอบครองมัน แต่แล้วคุณไม่มีความสุขในการครอบครองอีกต่อไป แต่คุณเองก็จะไม่อยากปลดปล่อยสิ่งใดไป เป็นความสัมพันธ์ทั้งเกลียดทั้งรักต่อสรรพสิ่งภายนอก ตัวอย่างเปรียบเปรยได้แก่การแอบชื่นชมสวนเขียวขจีของ เพื่อนบ้าน ครั้นเมื่อมันได้เปลี่ยนมือเป็นของเราเอง เรากลับหามีความชื่นชมยินดีเยี่ยงแรกเห็นไม่ คุณลักษณ์อันอ่อนหวานของความรักใคร่ ได้เจือจางลงไป



    เดรัจฉานภูมิ



    เดรัจฉานภูมิมีคุณลักษณ์เด่นที่การขาดแคลนอารมณ์ขันอย่างยิ่งยวด เราพบว่าเราไม่สามารถดำรงความเป็นกลางไว้ในแสงสุกใสอย่างไม่สั่นคลอนได้ ดังนั้นเราจึงแสร้งทำตนใบ้บ้า เป็นการปล่อยวางอย่างชาญฉลาดที่สุด อันบ่งว่าเรากำลังซ่อนเร้นความจริงบางประการไว้ เป็นการเก็บกดอารมณ์ขัน ภูมินี้มีสัญลักษณ์เป็นสัตว์เดรัจฉาน ที่ไม่สามารถ ยิ้มหัว หรือสรวลสันต์ได้ สัตว์เดรัจฉานล้วนรู้จักความสุขและความเจ็บปวดดี แต่มันกลับไม่คุ้นเคยต่ออารมณ์ขันหรือการประชดประชันเอาเลย

    คนเราอาจพัฒนาคุณลักษณ์เช่นนี้ได้โดยพึ่งพากรอบอ้างอิงทางศาสนาเทววิทยา หรือบทสรุปทางปรัชญาแนวคิดก็เป็นได้ หรือไม่ก็ทำตนด้านชา หรือไม่แยแส เมื่อเขาคิดว่าตนเองปลอดภัยดีแล้ว เขาย่อมประพฤติตนเป็นคนดี มีประสิทธิภาพและพึงพอใจกับชีวิต ยิ่ง เปรียบเสมือนชาวบ้านนอกที่เอาใจใส่ไร่นาเป็นอย่างดี เขาเฝ้าตรวจตรา หมั่นระวังระไว ไม่ย่อหย่อน หรืออาจเปรียบดังนักบริหารที่ ดำเนินธุรกิจ หรือหัวหน้าครอบครัวที่มีชีวิตมั่นคง เป็นสุข แน่นอนไม่มีอะไรผิดพลาด ไม่มีอะไรลึกลับสำหรับเขา หากเขาจะซื้อเครื่องมือ เครื่องใช้สักชิ้นเขาต้องแน่ใจว่ามันมีคู่มือประกอบด้วย ถ้ามีปัญหาในชีวิตเขาย่อมไปพบทนาย ผู้นำศาสนาหรือตำรวจ บุคคลมืออาชีพเหล่านี้ มั่นคงและปลอดภัยในที่มั่นของเขา ไม่มีอะไรพลาดคาดเดาได้แน่นอน และมีกลไกที่ย่ำอยู่อย่างสม่ำเสมอ

    สิ่งที่ขาดหายไปในที่นี้ได้แก่เมื่อมีบางสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น จักเกิดความรู้สึกหวาดระแวงขึ้นทันที อันเป็นการคุกคามขู่เข็ญ หากมีบุคคลใด ที่แลดูผิดแผกไป แลดูแตกต่างไป มีรูปแบบชีวิตอันไม่เหมือนใคร การดำรงอยู่ของบุคคลพวกนี้จะเริ่มสั่นคลอน สิ่งที่คาดเดาไม่ได้จักเริ่มขู่เข็ญ คุกคามพวกเขา ด้วยเหตุนี้ความซ้ำซากและความด้านชาจึงเป็นลักษณะเด่นแห่งเดรัจฉานภูมิที่ปราศจากอารมณ์
     
  2. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    [​IMG]
    * The Wheel of Life หรือ สังสาระ สังสารจักร วฏสงสาร




    มนุษย์ภูมิ




    มนุษย์ภูมิเป็นอีกสถานการณ์หนึ่งที่ไม่เหมือนเดรัจฉานภูมิในแง่ของการดิ้นรนและคุมขัง มนุษย์ภูมินั้นมีพื้นฐานจากอารมณ์ปรารถนา มีแนวโน้มที่จะสำรวจตรวจตราและแสวงหาแต่ความสุขสมหวัง เป็นภูมิแห่งการวิจัยและทะเยอทะยาน พยายามสร้างความร่ำรวยให้กับตนเองไม่สิ้นสุด อาจกล่าวได้ว่ามนุษย์ภูมินั้นไกล้เคียงกับเปรตภูมิในแง่ของการไขว่คว้าหาสรรพสิ่ง แต่ก็แอบแฝงคุณลักษณ์ แห่งเดรัจฉานภูมิไว้ด้วย ในแง่ที่จะทำแต่สิ่งที่คาดการณ์ล่วงหน้าได้ สิ่งพิเศษในมนุษย์ภูมิได้แก่ความสนใจอันแปลกประหลาดที่ติดมากับ ความปรารถนา อันทำให้มนุษย์เต็มไปด้วยเล่ห์มากอุบายและแปรเปลี่ยนไม่แน่นอน พวกเขาสามารถคิดผลิตเครื่องมือมากมายได้และนำ เอาไปใช้ในสถานการณ์อันซับซ้อน เพื่อใช้จัดการกับคนมากเล่ห์ ขณะเดียวกันบุคคลเหล่านั้นก็จะประดิษฐ์เครื่องมือแก้ลำขึ้นมาด้วย ดังนั้นเราจึงสร้างโลกของเราให้เต็มไปด้วยความสำเร็จและการบรรลุเป้าหมายมากมายไปหมด ทว่าการสร้างเครื่องมือและเครื่องมือตอบโต้ จะขยายตัวไม่หยุดหย่อน ก่อให้เกิดความปรารถนาและความสนเท่ห์ จนในที่สุดจะไม่สามารถทำงานใหม่นี้ให้เป็นจริงได้ เราต้องเกิดและต้องตายประสบการณ์ใหม่ ๆ อาจเกิดขึ้นได้ แต่มันก็เสื่อมสลายลงในที่สุดด้วย การค้นพบของเราอาจไม่จีรังหรือถาวรเอาเลย





    อสุรภูมิ

    ภูมิแห่งอสูุรหรือเทพริษยาเป็นภูมิสูงสุดเท่าที่การสื่อสารติดต่อจะเกิดขึ้นได้ เป็นภูมิแห่งสถานการณ์อันชาญฉลาด เมื่อคุณถูกแยกตนออก จากแสงสุกใสในฉับพลัน คุณจักบังเกิดความรู้สึกสับสนราวกับว่ามีใครบางคนได้นำคุณไปปล่อยทิ้งไว้กลางป่าดึกดำบรรพ์ คุณย่อมชะเง้อ และดูด้านหลังและสงกาสงสัยแม้เจ้าเงาของตัวคุณเอง ไม่ว่ามันจะเป็นเงาจริง ๆ หรือเล่ห์อุบายของใครบางคน ความหวาดระแวงเป็นระบบ ตรวจจับที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่อัตตาจะมีขึ้นได้ มันตรวจตราได้แม้สิ่งที่แผ่วบางและเล็กจ้อย สงสัยในทุกสิ่งอย่างและประสบการณ์ ทุกรูปแบบในชีวิตจะถูกมองว่าเป็นสิ่งที่บังคับขู่เข็ญ

    ภูมินี้เป็นที่รู้จักกันดีในนามของภูมิแห่งความอิจฉาริษยา แต่ไม่ใช่ริษยาในรูปแบบที่เราคุ้นเคย มันเป็นอารมณ์ริษยาที่มีพื้นฐานอยู่บนการดิ้นรน เพื่ออยู่รอดและแสวงหาชัยชนะ ซึ่งไม่คล้ายคลึงกับมนุษย์ภูมิหรือเดรัจฉานภูมิ เป้าประสงค์ของภูมิแห่งอสูรคือการทำงานภายใต้เล่ห์กระเท่ห์ ซึ่งเป็นทั้งทรัพย์สมบัติและความเพลิดเพลินใจของมัน เปรียบดังบุคคลที่ถูกเลี้ยงดูแบบนักการทูต เติบโตแบบนักการทูต และตายไปแบบนักการทูต เล่ห์กลและการติดต่อสัมพันธ์เป็นแบบแผนชีวิตและการดำรงอยู่ของเขา เล่ห์กลเหล่านี้ปรากฏอยู่ในความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ทางอารมณ์ ความสัมพันธ์ฉันมิตร หรือแม้แต่ในความสัมพันธ์ฉันครูและลูกศิษย์ก็ตาม






    เทวดาภูมิ



    ภูมิสุดท้ายได้แก่เทวดาภูมิ หรือเทวโลก เมือบุคคลได้ตื่นขึ้นในแสงสุกใสจักบังเกิดความสุขที่ไม่ได้คาดเดาเอาไว้และอยากจะถนอม ความสุขดังกล่าวนี้ไว้ แทนที่จะยินยอมสูญสลายสู่ปกติภาวะ ( นิพพานภาวะ ) เรากลับเกิดเห็นตระหนักถึงตนเองในฐานะของปัจเจกชน และปัจเจกชนนี้ได้นำมาซึ่งความรู้สึกชื่นชอบตนเองจนอยากจะรักษาตนเองในสภาพนี้ไว้ อันเป็นสภาวะแห่งสมาธิสุข เป็นสภาวะสงบ และซึมซาบดื่มด่ำยิ่งนัก ภูมิแห่งเทวดาเป็นที่รู้จักกันในฐานะ ภูมิแห่งมานะ มานะในแง่ที่มองทุกสิ่งโดยมีตนเองเป็นศูนย์กลาง เป็นการรักษาความสุขส่วนตัวไว้ ในอีกแง่หนึ่ง เป็นการเมามายอยู่กับตนเอง คุณเริ่มที่จะรู้สึกยินดีปรีดาในความมั่นใจที่คุณเป็นอะไรบางอย่าง แทนที่จะเป็นแสงสุกใสที่ปราศจากดินแดนพักพิง และเนื่องเพราะคุณเป็นอะไรบางอย่าง คุณจึงจำต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งตนเอง อันเป็นบ่อเกิดแห่งสภาวะอันสะดวกสบายและปีติสุข เป็นการซึมซาบดื่มด่ำกับตนเองอย่างยิ่งยวด

    ภูมิทั้งหกแห่งจักรวาลเป็นแหล่งอาศัยในสังสารวัฏ และเป็นบันไดก้าวต่อไปสู่ภูมิแห่งธรรมกาย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นการช่วยให้เข้าใจใน ความสำคัญของนิมิตที่บรรยายในคัมภีร์เกี่ยวกับภาวะบาร์โดแห่งการเกิด อันเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างโลกสองโลก เป็นประสบการณ์ของภูมิทั้งหก จากมุมมองแห่งตัวตนที่กำลังจะเคลื่อนสู่ภูมิใหม่ นิมิตต่าง ๆ อาจมองได้ว่าเป็นการแสดงออกของพลังงานอันปกติ มากกว่าจะมองว่าเป็นเทพที่ช่วยคุณให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ หรือเป็นเหล่าปีศาจที่ไล่ล่าคุณ
     
  3. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    บาร์โดแห่งธรรมดา

    นอกจากภูมิทั้งหกแล้วเรายังจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับแนวคิดพื้นฐานของบาร์โด คำว่า " บาร์ " หมายถึงในระหว่าง " โด " หมายถึง เกาะแก่งหรือตำแหน่ง รวมความหมายถึงดินแดนที่อยู่ระหว่างสิ่งสองสิ่ง คล้ายดังแก่งในใจกลางทะเลสาบ บาร์โดนั้นอยู่ท่ามกลาง ความปกติและความวิกลจริต หรือในระหว่างความสับสนและการเปลี่ยนแปลงของความสับสนสู่ปัญญญาณ เราอาจกล่าวว่าเป็นสถานภาพระหว่างการเกิดและการตาย สถานการณ์ในอดีตเพิ่งผ่านพ้นไปและสถานการณ์ในอนาคตก็ยังมาไม่ถึง ดังนั้นจึงบังเกิดช่องว่างขึ้น นี้คือ ประสบการณ์บาร์โด

    ธรรมดาบาร์โดคือ ประสบการณ์ที่เป็นแสงสุกใส ธรรมดาคือแก่นของสรรพสิ่งที่มันเป็นอยู่จริง เป็นคุณลักษณ์เช่นนั้นเอง ดังนั้นธรรมดา บาร์โดคือพื้นภูมิกลาง ๆ ที่เป็นสามัญ เปิดเผยและเป็นปกติและการรับรู้ถึงสภาพปกตินี้คือการได้ประจักษ์ชัดถึงธรรมกาย กายอันเป็นภาวะแห่งความจริงและกฎธรรมชาติ

    ธรรมดานั้นปรากฏแสดงไม่ใช่ในรูปวัตถุหรือสิ่งที่แลเห็นได้แต่เป็นในรูปพลังงาน พลังงานที่มีคุณลักษณ์แห่งธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และ อากาศธาตุ เราไม่ได้กำลังพูดถึงวัตถุธาตุในแบบธรรดาสามัญ ทว่าเราจักพูดถึงวัตถุธาตุที่คุณลักษณ์อันละเอียดอ่อน จากแง่มุมของผู้รับรู้ การประจักษ์ถึงตถาคตทั้งห้าในนิมิตมิใช่ตัวนิมิต และมิใช่การรับรู้และมิใช่ประสบการณ์ มันมิใช่นิมิต เพราะหากมันเป็นนิมิตคุณย่อมต้อง ดูแลมัน และการแลดูคือกระบวนการส่งออกนอกที่แยกตัวคุณเองออกจากสิ่งของ นัยเดียวกัน คุณไม่อาจรับรู้มันได้ เพราะหากคุณทำการรับรู้ คุณก็จะย่อยประสบการณ์ดังกล่าวนั้นสู่ระบบภายในตัวของคุณ อันเป็นรูปแบบสัมพันธ์แบบทวิลักษณ์ แม้คุณไม่สามารถรู้จักมันได้ เพราะตราบใดที่มีคนคอยแนะนำคุณว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นประสบการณ์เฉพาะตัวของคุณ คุณย่อมแยกแยะพลังงานทั้งหลายออกจากตัวคุณ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้สำคัญมาก และต้องทำความเข้าใจให้ดี เพราะมันเป็นกุญแจดอกสำคัญในการทำความเข้าใจสัญลักษณ์ในภาพจิตกรรมแห่งตันตระ มีคำอธิบายอย่างแพร่หลายว่าภาพเทพศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เป็นภาพของจิต แต่จริงแล้วภาพเหล่านี้กลับมีความหมายล้ำลึกกว่าที่คิด

    หนึ่งในรูปแบบการฝึกฝนชั้นสูงที่อันตรายที่สุด ได้แก่การฝึกฝนให้เผชิญหน้ากับภาวะบาร์โดซึ่งได้แก่การนั่งสมาธิในความมืดอย่างยิ่งยวด ๒ สัปดาห์ ซึ่งย่อมบังเกิดนิมิตธรรมดาที่มีพื้นฐานอยู่บนหลักการแห่งตถาคตทั้งห้าโดยจะมีสภาพแตกต่างไปตามแต่ละบุคคล ตำแหน่ง ศูนย์กลางดวงหทัย ดังนั้นคุณจะเห็นรูปดวงตาจำนวนมากหลากแบบที่หัวใจของคุณ และภาพแห่งเทพดุร้ายมีศูนย์กลางอยู่ที่สมองของคุณ อันทำให้คุณได้พบเห็นดวงตาจำนวนหลากแบบจ้องมองซึ่งกันและกันอยู่ในสมองคุณ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ใช่นิมิตธรรมดา มันอุบัติขึ้น เพราะมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดความวิกลจริตและการสุญเสียการติดต่อสัมพันธ์กับหลักธรรมดา

    ครั้นแล้วประสบการณ์อันเปี่ยมล้นและท่วมท้นแห่งแสงสุกใสจะพัฒนาต่อเนื่องไป จะเกิดอาการสว่างวูบและดับมิดสลับไป บางคราคุณจะเห็นแสงกระจ่างนี้ บางคราก็ไม่ หากแต่เข้าไปรวมตัวอยู่ในนั้นเลยทีเดียว ดังนั้นจึงเกิดมีการเดินทางติดต่อระหว่างธรรมกายและแสงสุกใส โดยทั่วไปแล้วราว ๆ สัปดาห์ที่ห้า จะบังเกิดความเข้าใจโดยพื้นฐานเกี่ยวกับตถาคตทั้งห้า นิมิตทั้งหลายจะอุบัติขึ้นแต่ไม่ได้เป็นไปในแง่ศิลปะ เราอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งนี้ได้เคยปรากฏมาก่อน แต่คุณลักษณ์เชิงนามธรรมจะเริ่มพัฒนา โดยอาศัยพื้นฐานจากพลังงาน เมื่อพลังงานเริ่มเป็น อิสระและสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น มันจักเริ่มหันมาดูตนเองและทำการรับรู้ตนเองซึ่งเป็นสิ่งที่เหนือกว่าการรับรู้แบบสามัญ เปรียบเสมือนการที่คุณ ตัดสินใจเดินเพราะคุณเชื่อว่าคุณเดินได้เองโดยไม่ต้องอาศัยเครื่องค้ำจุน คุณก้าวเดินอย่างไม่รู้ตัว หาใช่เรื่องเพ้อฝันไม่ แต่เป็นประสบการณ์ ซึ่งคุณไม่รู้ตัวเลย

    ธรรมชาติแห่งนิมิต


    นิมิตที่อุบัติขึ้นในสภาวะบาร์โด รวมทั้งลำแสงและสีสรรที่บังเกิดขึ้นอย่างพร้อมกันนั้น ไม่ได้ก่อเกิดจากองค์ประกอบใด ๆ ที่ต้องการ ประคับประคองของผู้รับรู้สัมผัส มันเพียงอุบัติขึ้นเป็นการแสดงออกของความเงียบงันและความว่างเปล่า การจะรับรู้นิมิตต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องนั้น ผู้รับรู้จำต้องละทิ้งการยึดมั่นในตนเองลงเสียก่อน ตัวตนของเราในที่นี้ได้แก่สิ่งซึ่งเป็นเหตุให้เราทำสมาธิภาวนาหรือรับรู้บางสิ่งบางอย่าง

    เมื่อใดก็ตามที่มีผู้รับรู้ บุคคลย่อมได้ประสบกับเหล่าเทพหรือสิ่งต่าง ๆ ที่อุบัติขึ้นนอกตัว การรับรู้เช่นนี้ช่างตื่นตาตื่นใจ และเป็นสุขยิ่งนัก นั่นเป็นเพราะว่ามันเป็นกระบวนการที่นอกจากจะมีผู้เฝ้ามองแล้ว ยังแฝงนัยบางอย่างที่ละเอียดอ่อน เป็นวิญญาณขั้นสามัญ เป็นแนวคิดและ แรงกระตุ้นอันละเอียดอ่อนลึกซึ้งที่มองสู่โลกภายนอก เป็นการเริ่มสัมผัสได้ถึงความงดงามแห่งความเปิดกว้าง ความว่างโล่งและความปีติสุข ซึ่งเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับจักรวาล ความรู้สึกเปิดเผยและว่างโล่งของสากลจักรวาลนั้นช่างดูง่ายดาย และสะดวกดายที่จะเข้าไป เปรียบเสมือน การเดินทางเข้าสู่ครรภ์มารดา เป็นแหล่งพักพิงอันปลอดภัย มีแรงดึงดูดให้เข้าร่วมที่แรงกล้ามาก ผู้คนดูอบอุ่นและมีมิตรไมตรี สนทนาด้วย ถ้อยคำอ่อนหวาน บางทีก็มีนิมิตศักดิ์สิทธิ์บางประการปรากฏขึ้นในสภาวะนี้ด้วย แสงสว่างวาบหรือคีตบรรเลงและสิ่งสวยหรูดูจเคลื่อนใกล้ เข้ามา

    ในกรณีของบุคคลที่สัมพันธ์กับตนเองไปในลักษณะเช่นนี้เป็นไปได้ว่า ภายหลังการตายเขาอาจเกิดขุ่นเคืองที่ได้เห็นนิมิตแห่งตถาคตทั้งห้า ในบาร์โดซึ่งจะมิได้ขึ้นตรงต่อการรับรู้ของเขา ในยามนี้นิมิตแห่งตถาคตทั้งห้าจะมิได้ปรารถนาการเข้าร่วมอีกต่อไป แต่กลับมีการต่อต้าน อย่างรุนแรง พวกเขาดำรงอยู่ที่นี้ อยู่ที่นั่นอย่างชวนขุ่นเคือง เพราะว่าพวกเขาจะไม่ตอบรับการติดต่อสัมพันธ์ในทุกรูปแบบ

    นิมิตแรกที่บังเกิดขึ้นได้แก่นิมิตแห่งเทพสันติ สันติในที่นี้มิได้หมายถึงประสบการณ์แห่งความรักและความอบอุ่นดังเรากล่าวถึงในข้างต้น หากเป็นสันติในแง่ของความนิ่งเงียบที่โอบล้อมเราอยู่ไม่เคลื่อนไหว ไม่อาจจะเอาชนะหักหาญได้ ไม่แก่ชรา ไม่มีจุดสิ้นสุด ไม่มีจุดเริ่มต้น สัญลักษณ์แห่งสันติในที่นี้ได้แก่วงกลมที่ปราศจากทางเข้าเป็นสภาวะแห่งนิรันดรกาล

    ไม่เพียงแต่ในประสบการณ์บาร์โดหลังการตายเท่านั้น แม้ในชีวิตประจำวันของเรา เหตุการณ์เช่นนี้ก็อุบัติขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ยามใดก็ตาม ที่บุคคลเกิดความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับกับจักรวาล ทุกสิ่งทุกอย่างจะดูสวยสด รื่นรมย์และน่าปรารถนา เป็นไปได้ที่จะมีบางสิ่งบางอย่าง ก้าวย่างเข้ามา เป็นอย่างเดียวกับกับนิมิตแห่งเทพสันติ คุณจะพบว่า เป็นไปได้ที่คุณจะสูญเสียภูมิพำนัก สูญเสียการเข้าร่วมรวมตัว สูญเสีย เอกลักษณ์แห่งตน และเริ่มเลือนหายไปในสถานการณ์แห่งแสงสุกใส สภาวะของสันติสุขอันเลอค่าดูจะน่าตื่นอกตื่นใจ บ่อยครั้งทีเดียวที่ ศรัทธาของบุคคลอาจสั่นคลอนได้โดยประกายสว่างไสวจากมิติอื่น ที่ซึ่งแม้กระทั่งแนวคิดแห่งเอกภาพก็ไม่อาจใช้การได้อีกต่อไป

    นอกจากนี้ยังปรากฏประสบการณ์ที่เป็นเทพพิโรธ อันเป็นรูปแบบแสดงออกอีกแง่มุมหนึ่งของสันติธรรม ความอำมหิต ที่ไม่ยินยอมให้เกิด การผิดพลั้งใด ๆ ถ้าคุณย่องเข้าหาพวกเขาและพยายามเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ พวกเขาจะจับคุณเหวี่ยงออกมา นั้นคือสิ่งซึ่งดำเนินอย่าง ต่อเนื่องพร้อมอารมณ์ในสถานการณ์อันมีชีวิตชีวา จะโดยเหตุใดก็ตาม การเข้าถึงเอกภาวะที่ซึ่งทุกสิ่งมีความสงบและกลมกลืน ไม่ใช่ตัว สัจธรรมสูงสุด เพราะเมื่อใดก็ตามที่การระเบิดออกทางอารมณ์ในรูปของความก้าวร้าวหรือมักใคร่บังเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน คุณจะตาสว่างขึ้น นั้นแลคือความโหดร้ายแห่งสันติสุข เมื่อคุณต้องเข้าเกี่ยวกับขบวนการผลิตอัตตา ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างเป็นที่น่าพอใจ สัจจะอันแท้จริงแห่งความเปล่าเปลือยทางจิตและสีสรรแห่งอารมณ์จักปลุกคุณให้ตื่นขึ้น อาจเป็นไปอย่างรุนแรง ราวกับอุบัติเหตุหรือความโกลาหลฉับพลัน

    แต่ก็แน่ละอาจเป็นได้ว่าพวกเราจะพากันเพิกเฉยต่อคำตักเตือนเหล่านี้ และพากันยึดมั่นอยู่แต่ความเชื่อดั้งเดิม ดังนั้นแนวคิดแห่งการละร่าง และเข้าสู่แสงสุกใส ครั้นแล้วก็ตื่นจากแสงสุกใสและได้รับรู้นิมิตเหล่านี้ในบาร์โดขั้นที่สาม อาจถูกมองในทางสัญลักษณ์ได้ว่าเป็นประดุจดัง การรับเข้าสู่อากาศธาตุอันว่างโล่ง เป็นอากาศธาตุที่ห้ามแม้กระทั่งร่างกายให้ล่องผ่าน เป็นอากาศที่ว่างที่คุณไม่อาจแสวงหาการรวมตัวได้ เพราะไม่มีสิ่งใดให้รวมตัวหรือพักพิง มีเพียงประกายแสงแห่งพลังงานที่ล่องลอยอยู่ ซึ่งอาจเบี่ยงเบนหรือส่งผ่านเข้าไปได้ นั่นคือนิยามแห่งจิตในกรณีเช่นนี้ จิตในที่นี้เป็นพลังงานลวงหลอกที่อาจเบี่ยงเบนไปสู่สถานการณ์แบบอื่น ๆ หรืออาจแปรรูปเป็นสถานการณ์ที่ถูกต้องได้ โอกาสที่บุคคลจะปลดปล่อยตนเองเข้าสู่สัมโภคกายภาวะแห่งตถาคตทั้งห้านั้นขึ้นอยู่กับว่า ยังมีความพยายามที่จะเล่นเกมส์แบบเดิมอยู่อีกหรือไม่

    ในเวลาเดียวกันที่เราประสบอยู่กับสถานการณ์อันคมชัดและเร้าใจอยู่นี้ก็จะบังเกิดอาการทวนกลับไปมาของภูมิทั้งหกแห่งประสบการณ์ บาร์โด การรับรู้ภูมิทั้งหกและการรับรู้ตถาคตทั้งห้านั้นจะเป็นภาวะเดียวกันแต่มีหลายแบบ ดูเหมือนว่าผู้ที่ได้พบเห็นตถาคตทั้งห้ามักเป็น ผู้ที่มีความสามารถอย่างใหญ่หลวง ในการธำรงสายสัมพันธ์ระหว่างกายเนื้อและจิตใจไว้ได้อย่างเป็นไปเอง ไม่มีการแบ่งแยกระหว่าง มโนวิญญาณของร่างกายกับจิตใจ ทั้งคู่เป็นสิ่งเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่มีความขัดแย้งใด ๆ บังเกิดขึ้น

    คัมภีร์เล่มนี้กล่าวไว้ว่า นับแต่คุณได้ตื่นจากภาวะซึมซาบดื่มด่ำใจกายอย่างไร้สำนึก คุณมีประสบการณ์แห่งนิมิต รวบรัดแจ่มชัด และแม่นยำ ใสสว่างและน่าเกรงขาม คล้ายดังการแลเห็นภาพลวงตาในทุ่งกว้างแห่งฤดูใบไม้ผลิ คุณจะได้สดับเสียงที่กึกก้องดุจดังสายฟ้าฟาดทั่งทั้งธรณี ในสภาพแห่งจิตมีความรู้สึกปลดปล่อยและลอยตัว ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกเหมือนถูกท่วมทับด้วยปัญญานานา เปรียบดังมีศีรษะ แต่ปราศจากกาย ศีรษะขนาดมโหฬารลอยล่องอยู่ ณ อากาศเวิ้งว้าง ด้วยเหตุนี้มิมิตอันแท้จริงในสภาวะบาร์โดจึงแจ่มใส ชาญฉลาด และ สุกสว่างยิ่งนัก แต่กลับจับต้องไม่ได้ คุณไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคุณกำลังอยู่ ณ แห่งหนตำบลใด มีเสียงกึกก้องระรัว คำรามอยู่เบื้องหลัง แผ่นดิน ก็สั่นไหว แต่กลับดูเหมือนว่าไม่มีสิ่งใดไหวติงเลยในขณะนั้น ถึงแม้ว่าภาพนิมิตในบาร์โดจะแจ่มชัดและดูลวงหลอกได้แนบเนียน อันเนื่อง มาจากการหย่าขาดจากร่างกายก็ตามที ประสบการณ์ไกล้เคียงกันนี้ก็อาจอุบัติได้ในชีวิตประจำวันเช่นกัน แม้ในชีวิตธรรมดาภาพลวงตา จะดูไม่สมจริง แต่ก็ยังมีคุณลักษณ์แห่งความไร้ชีวิตจิตใจทำงานอยู่ รวมทั้งความเปล่าเปลี่ยวและความไม่แน่ไม่นอนด้วย เมื่อผู้คนเริ่มตระหนัก ว่าพวกเขาสุญเสียที่มั่นที่ใช้สัมพันธ์อ้างอิงเช่นตัวตนไปแล้ว ประสบการณ์แห่งความอ้างว้างเหลือประมาณนี้ย่อมนำมาซึ่งความสั่นคลอนสั่นไหว อันสุดแสนจะทนทาน
     
  4. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    วันนี้พอแค่นี้ก่อนค่อยๆๆ อ่านเล่าเดี๋ยวจักสำลัก
     
  5. ไอ้นอกโลก

    ไอ้นอกโลก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    572
    ค่าพลัง:
    +72
    จขกท.เก็บตัวครับบ.....................
     
  6. โปรเซดอน

    โปรเซดอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2011
    โพสต์:
    376
    ค่าพลัง:
    +171
    ลุงเทพแกค้นพบสัจจะธรรมบางอย่างแล้วครับท่าน
     
  7. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    ขอบคุณค่ะสำหรับประสบการณ์บาร์โด
    กำลังอยากรู้อยู่พอดี อิอิ:cool:

    สิ่งที่เราอยากได้นักหนา พอได้มาแล้วมันก็งั้นๆ เหมือนอยากได้เสื้อตัวนี้จัง ใส่แล้วคงดูดี... พอได้มาแล้วก็งั้นๆ เห็นตัวใหม่สวย อยากได้ต่อไป พอได้มาแล้วก็งั้นๆ วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ ฮ่าๆๆๆ

    เมื่อก่อน อยากได้ อยากเห็นจัง"ความว่าง"
    พอได้แล้ว เห็นแล้ว มันก็งั้นๆแหล่ะ ฮ่าๆ^-^
     
  8. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +291
    ฉันยังอยู่................
     
  9. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,152
    ค่าพลัง:
    +1,487
    5555555555 หวัดดีครับคุณลุงเทพยังอยู่ดีนี่ครับ
     
  10. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    แลเจ้าธรรมบาลเพื่อนยาก ที่หายไปนั้นเพราะความทะเยอทะยานในทางโลก หรือ ทางธรรมเล่า หรือเจ้าพบแสงแห่งธรรมจริงอย่าข่าวลือเล่า จึ่งต้องเร่งรุดไปบนหนทางนั้นอย่างไม่รั้งรอข้า ขอท่านจงวานบอกข้าด้วยเล่า จักได้เลิกสงสัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กุมภาพันธ์ 2012
  11. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    จงสดับ ข้อความที่ข้าไปก็อปปี้เขามาต่อเถิดสหายทั้งหลาย แลข้าเป็นเทพที่มิค่อยมีเวลานัก เพราะจักต้องเร่งรุด ไปเฝ้าตามบ้านที่ตั้งศาลข้าไว้ เพื่อจักได้รับของเซ่นรูปในหลวงสีเทาๆไม่กี่สิบใบทุกวันที่สิบห้า แลไม่พอยาไส้ยิ่งนัก แต่จักไม่เอาก็ไม่ได้ เพราะข้ามิได้อิ่มทิพย์ แลมิได้เป็นเจ้าของศาลที่อยู่ทุกๆๆวันนี้ จึงมิได้มีเวลาเข้ามา ก็อปปี้วางนัก ขออภัยด้วย
    วันที่หนึ่ง



    มีข้อความกล่าวในคัมภีร์เล่มนี้ว่า ภายหลังที่ไม่รู้สึกตัวมาเป็นวันที่สี่ บุคคลจะตื่นขึ้นสู่แสงสุกใส อันก่อให้เกิดความเข้าใจในทันทีว่าตนเอง ได้อยู่ในสภาวะบาร์โด และวินาทีนั้นเองที่ประสบการณ์สังสารวัฏจะฉายฉาน มีการรับรู้ถึงแสงสว่างและจินตภาพอันเป็นด้านผกผันแห่งกายและรูป แทนที่มันจะปรากฏตนรูปอันจับต้องได้ มันกลับปรากฏตนในรูปที่จับต้องไม่ได้

    จากนั้นคุณก็ได้ประจักษ์กับแสงเจิดจรัส อันเป็นการเชื่อมโยงกันของกายและปัญญา ถึงแม้เราจะถูกดูดซึมเข้าสู่ภาวะสุกใส ภูมิปัญญาก็ยังคง ดำเนินต่อไปอย่างแหลมคมและแจ่มชัด พร้อม ๆ กับความเจิดจรัส และแล้วกายเนื้อ กายจิต ปัญญา และใจอันปราดเปรื่องก็จะสูญสลายสู่ อากาศธาตุ

    ในกรณีเช่นนี้ พื้นที่ว่างแห่งอากาศธาตุจักเป็นสีคราม นิมิตที่ปรากฏขึ้นไดพ้แก่พระไวโรจนพุทธ พระไวโรจนพุทธนั้นได้แก่พระพุทธองค์ที่ปราศจากด้านหน้าและด้านหลัง พระองค์เป็นรูปนิมิตที่แผ่ไพศาลซึมซาบไปในทุกแห่งหนโดยปราศจากศูนย์กลางแน่ชัด ดังนั้นพระองค์ จึงปรากฏกายในท่วงท่าขัดสมาธิมีพระพักตร์สี่ด้านทอดพระเนตรออกไปในทิศทั้งสี่ มีพระวรกายสีขาว นั้นเป็นเพราะว่าการรับรู้ของพระองค์ นั้นไม่ต้องการสีสันอื่นเจือปน คงไว้แต่สีสันเดิมอันเก่าแก่เท่านั้น อันได้แก่สีขาว พระองค์ทรงถือธรรมจักร อันเป็นสัญลักษณ์แสดงถึง การไปพ้นจากกาละและเทศะ สัญลักษณ์โดยรวมของพระไวโรจนะพุทธ ได้แก่การปราศจากที่มั่นศูนย์กลาง และการครอบครองมุมมอง อันไพศาล ทั้งจุดศูนย์กลางและวงรัศมีดำรงอยู่ ณ ทุกแห่งหน เป็นการเปิดเผยจิตใจอย่างสิ้นเชิง

    พร้อม ๆ กันนั้นก็บังเกิดนิมิตแห่งภูมิเทพเทวาขึ้น ภาพที่กว้างใหญ่ไพศาลปราศจากจุดศูนย์กลางก่อให้เกิดความหวาดหวั่นนั้นเป็นเพราะว่า เราไม่มีที่พักพิงอีกต่อไป ทว่าประกายนวลใสแห่งสีขาวจักเปรียบประดุจดังตะเกียงในพายุมืด ซึ่งเราจะมุ่งหน้าเข้าหามัน

    ภูมิแห่งเทพเทวานั้นมักปรากฏในชีวิตประจำวันของเราเสมอ เมื่อใดก็ตามที่เราอยู่ในภาวะดิ่งนิ่งอยู่ใต้สภาวะปีติสุขและเริงรื่นคล้ายกับเข้าฌาน เมื่อใดที่ความปีติสุขเช่นนี้บังเกิดขึ้น ด้านตรงข้ามของมันอันได้แก่การใช้ศูนย์กลางก็อาจเกิดขึ้น มันเป็นสิ่งที่น่าขุ่นเคืองอย่างยิ่ง ไม่น่ายินดีเลย เพราะไม่มีสิ่งใดให้เราได้คลอเคลีย ไม่มีที่ให้เราแสวงหาความเพลิดเพลินใจ เป็นการดีที่เราจะแลเห็นทุกสิ่งได้กว้างไกล แต่หากปราศจากคนที่รับรู้สิ่งเหล่านั้นเสียแล้ว เรื่องเช่นนี้กลับน่าหวาดกลัวยิ่งนัก ความขัดแย้งระหว่างภูมิแห่งเทพเทวากับคุณลักษณ์แห่งพระไวโรจนพุทธ นั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในชีวิตเรา บ่อยครั้งทีเราต้องเป็นผู้ตัดสินว่า เราจักยึดมั่นอยู่กับสิ่งซึ่งเป็นต้นตอศูนย์กลางแห่งความสุขใจ หรือว่า จะก้าวเข้าไปสู่ความเปิดโล่งอันบริสุทธิ์ผุดผ่องที่ปราศจากศูนย์กลางดี

    ประสบการณ์ดังกล่าวเกิดจากความก้าวร้าว เพราะความก้าวร้าวจะฉุดรั้งเราให้ถอยหลังกลับและปิดบังเราจากการแลเห็น พระไวโรจนพุทธ ความก้าวร้าวเป็นสิ่งทึบตันอึดอัด เมื่อเราตกอยู่ภายใต้ความเกลียดชัง ก็เปรียบเสมือนการกลายเป็นตัวเม่นที่ทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องตนเอง จากการแลเห็นได้กว้างไกล เราไม่ต้องการจะมีสี่หน้า แม้ดวงตาข้างเดียวเราก็ไม่ปรารถนา เป็นเรื่องของการหมกมุ่นกับตนเองอย่างรุนแรง นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมความก้าวร้าวจึงผลักไสเราจากคุณลักษณ์อันเปิดโล่งแห่งพระไวโรจนพุทธ

    วันที่สอง


    เมื่อพ้นจากธาตุน้ำ แสงนวลขาวก็ริบหรี่ลง และในทางทิศตะวันออก ณ ภูมิแห่งสุขาวดี พระตถาคตวัชรสัตว์ หรือพระอักโษภยพุทธจะ ปรากฏขึ้น

    คำว่า อักโษภยะแปลว่า ผู้ไม่หวั่นไหว และวัชรสัตว์ แปลว่า สรรพสัตว์ที่มีคุณลักษณ์ดุจดังวัชระหรือเพชร ทั้งสองคำนี้หมายถึง ความแข็งแกร่ง ความหนักแน่น ในตำนานโบราณของชาวอินเดีย วัชระ ได้แก่ อัญมณีสูงค่าหรือสายฟ้า ที่สามารถทำลายล้างอาวุธ หรืออัญมณีอื่น ๆ ได้ แม้กระทั่งเพชร ตำนานเล่าว่ามีฤษีตนหนึ่งบำเพ็ญเพียรอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุเป็นเวลานานนับศตวรรษ เมื่อ ฤษีตนนี้ดับชีพลง กระดูกของท่านได้กลายเป็นวัชระ พระอินทร์ได้เสด็จมาพานพบเข้าและนำติดตัวกลับไปทำเป็นอาวุธ เป็นวัชรศาสตรา ที่แหลมคมในทุกเหลี่ยมมุม วัชรศาสตรานั้นมีคุณลักษณ์เด่น สามประการ ได้แก่ หนึ่ง มันไม่อาจนำไปใช้อย่างพร่ำเพรื่อ สอง มันมีอำนาจสูงสุดในการทำลายคู่ต่อสู้ สาม มันจะย้อนกลับคืนสู่ผู้เป็นเจ้าของเสมอ มันเป็นอาวุธที่ทำลายไม่ได้ แข็งแกร่งและทรงพลังมาก

    พระตถาคตวัชรสัตว์-อักโษภยะทรงถือวัชระห้าแยก อันมี ความแกร่งเป็นเลิศ ประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์กุญชร ศักติหรือเทวีของพระองค์ ได้แก่ โลจนะพุทธะหรือดวงเนตรแห่งพุทธะ ในตำนานทางพุทธธรรมมีดวงเนตรอยู่ห้าประเภท เนตรแห่งกาย เนตรแห่งพุทธะ เนตรแห่งภูมิปัญญา เนตรแห่งสรวงสวรรค์ เนตรแห่งธรรมะ ในที่นี้เนตรแห่งพุทธะ หมายถึง การตรัสรู้แจ้งแล้ว คุณอาจครอบครอง สถานการณ์ที่แข็งแกร่ง มั่นคง แต่หากคุณไม่สามารถทำการสื่อสารกับสภาวะแวดล้อมได้ คุณจะเริ่มเซื่องซึมเฉื่อยชา ด้วยเหตุนี้คุณลักษณ์ แห่งอิตถีเพศจะเป็นตัวเปิดทางให้ นางเป็นผู้จัดการหาหนทางออกหรือการเคลื่อนไหวให้กับสรรพสิ่ง เป็นองค์ประกอบของการสื่อสาร ที่โยกย้ายความเย็นชาสู่การเลื่อนไหล เป็นสถานการณ์อันมีชีวิตยิ่ง

    ผู้ติดตามอีกท่านหนึ่งได้แก่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ คำว่า กษิติครรภ์ หมายถึง ครรภ์แห่งแผ่นดิน พระองค์เป็นตัวแทนแห่งความสมบูรณ์ และความงอกงาม เป็นรูปแบบของการเผยแพร่คำสอนอีกแบบหนึ่งของพระพุทธองค์ พระองค์มักร่วมทางมากับพระเมตไตรยโพธิสัตว์ โพธิสัตว์ผู้ทรงไว้ซึ่งความเมตตา ความแข็งแกร่งมั่นคง ความอุดมสมบูรณ์ ต้องพึ่งพาอารมณ์อ่อนโยนเมตตา เพื่อนำความมีชีวิตชีวา ถ่ายทอดสู่สิ่งที่แข็งกระด้าง ความกรุณาในที่นี้ก่อจากความรักอันไพศาล หาใช่ความกรุณาที่มุ่งแต่ตนเองไม่

    ลำดับต่อมาได้แก่โพธิสัตว์สตรีนาม ลาสยา เป็นโพธิสัตว์แห่งการเริงร่ายหรือท่วงท่ามุทรา นางเป็นเทพีที่เลศในการแสดงมากกว่าการเริงรำ เป็นผู้แสดงให้เห็นถึงความงามและความสูงค่าแห่งร่างกาย เป็นความสง่างามและความเย้ายวนแห่งอิตถีเพศ นอกจากนี้ยังตามติดด้วยบุษบา เทวีแห่งบุปผาลดาวัลย์อันเป็นองค์คุณโพธิสัตว์แห่งทัศนียภาพ ทิวทัศน์และฉากประเทศ

    สิ่งที่พ้นไปจากรูปขันธ์คือ ลำแสงที่สุกใสดุจกระจกแก้วและสว่างแวววาวแจ่มใสและเจิดจรัส ซึ่งฉายฉานจากดวงหทัยของวัชรสัตว์และชายาประจำองค์ พร้อมกันนี้ลำแสงจากนรกภูมิที่มีสีเทาสลัวปราศจากความใสสว่างก็จักบังเกิดขึ้นด้วย เมื่อผู้คนโดยทั่วไปได้ประสบพบกับคุณลักษณ์ อันสูงส่งแห่งวัชระเลอคำ เขาจักรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งซับซ้อน ดังนั้นเขาจึงหันเหความสนใจไปยังแสงสีเทาที่เกี่ยวโยงกับนรกภูมิ อันเป็นความ หวาดระแวงซึ่งสัมพันธ์เชื่อมโยงกับคุณลักษณ์ทางด้านปัญญาของวัชระ ในการจะทำความเข้าอกเข้าใจเหตุการณ์ได้อย่างถ่องแท้นั้น คุณจำต้องแลเห็นอย่างชัดแจ้งว่าเกิดข้อผิดพลาดประการใดขึ้น มากกว่าจะเฝ้าค้นหาในสิ่งที่ถูกต้อง นี่แลคือคุณลักษณ์แห่งปัญญาอันเป็นธรรมชาติ สูงส่งของวัชรสกุลเป็นทัศนคติที่เปี่ยมไปด้วยเหตุผล ปัญญาญาณของคุณจะตั้งอยู่บนพื้นแผ่นดินอันหนักแน่นหรือความเป็นปกติสามัญได้ มันย่อมกวนก่อความหวาดระแวงให้ตามติดมา
    วันที่สาม



    เมื่อเวลาผ่านไป คุณลักษณ์แห่งธรรมธาตุของไวโรจนพุทธจักสร้างขอบเขตที่ว่างอันเวิ้งว้างขึ้น ส่วนคุณลักษณ์แห่งพระวัชรสัตว์ - อักโษภยพุทธ จักก่อให้เกิดความแข็งแกร่ง แข็งกร้าว และแล้วนิมิตแห่งรัตนสัมภวพุทธ จักปรากฏขึ้น รัตนสัมภวพุทธเป็นนิมิต แห่งสกุลรัตนะ ซึ่งกำเนิดจากความรุ่มรวยและความสง่างามสมเกียรติ ความมั่งคั่งจักแผ่กระจายไปในทุกแห่งหน โดยมีพื้นฐานจากความแข็งแกร่งร่ำรวยและแผ่ไพศาล ด้านเลวร้ายของคุณลักษณ์แห่งรัตนะได้แก่ อาศัยความรุ่มรวยรุกล้ำไปในดพินแดนของผู้อื่น รุกล้ำเข้าไปใน ดินแดนอันว่างเปล่า เป็นการแผ่ขยายทานกรุณาอย่างเกินขอบเขต ทำให้ปิดกั้นการสื่อสารอันเหมาะควร

    รัตนสัมภวพุทธนั้นมีพระวรกายสีเหลืองอันหมายถึงโลก เป็นความงอกงามอุดมมั่งคั่ง พระองค์ทรงถือดวงมณีอันบ่งบอกถึง การหย่าขาด จากความยากจน ศักติของพระองค์มีนามว่ามามากอันหมายถึงสายน้ำ ความสมบูรณ์แห่งผืนแผ่นดินย่อมต้องพึ่งพาแหล่งน้ำเป็นสำคัญ

    พระโพธิสัตว์ที่ร่วมทางมาด้วยได้แก่ อากาศครรภ์ หรือ ครรภ์แห่งผืนฟ้า ผืนดินอันอุดมย่อมต้องการที่ว่างเพื่อใช้แลดูทัศนียภาพรอบ ๆ นอกจากนี้ยังมีพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ผู้ถึงพร้อมด้วยมหาจริยาและมหาปณิธาน ผู้คงความแข็งแกร่งของโลกโดยพื้นฐานไว้ ความแข็งแกร่งนั้นเป็นองค์ประกอบสำคัญในมณฑลทั้งหมดแห่งสกุลรัตนะ ในวัฒนธรรมเก่าแก่แห่งการเลือกที่เพาะปลูกหว่านไถ ใหม่นั้น ( ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลและพัฒนามาจากวัฒนธรรมบอนของธิเบต ) คุณไม่อาจสุ่มหาที่ตั้งโดยปราศจากปัจจัยทางจิตวิทยาเข้ามา เกี่ยวข้อง ตำแหน่งสถานที่ต้องกอปรด้วยความรู้สึกว่างโล่งแห่งทิศตะวันออก ( บูรพา ) ความหอมหวานชื่นใจแห่งทิศใต้ ( ทักษิณ ) โดยอาศัยลำธารและสายน้ำ ความรู้สึกหนักแน่นแห่งทิศตะวันตก ( ปราจีน ) โดยอาศัยก้อนหินศิลาเป็นสำคัญ ความรู้สึกปกป้องแห่งทิศเหนือ ( อุดร ) โดยอาศัยทิวเขาเป็นแนวหลัก รวมทั้งการพิจารณาการไหลบ่าของทางน้ำโดยยึดรูปร่างแผ่นดินเป็นหลัก และบริเวณที่ใกล้เคียงกับ น้ำพุหรือตาน้ำ มักจะมีจุดที่ไม่ชื้นแฉะและมีแหล่งหินอันเหมาะสมในการเพาะปลูกสร้างเคหะสถาน ตำแหน่งที่มีแหล่งหินล้อมรอบด้วย ที่ตั้งและรูปร่างลักษณะอันถูกต้องเรียกขานกันในนามว่า สมันตภัทรปริมณฑล นอกจากนี้ สมันตภัทรโพธิสัตว์ยังข้องเกี่ยวกับแรงบันดาลใจ และความคิดด้านบวก เป็นความเชื่อมั่นศรัทธาและจิตใจอันดีงามที่มองไปในอนาคตเบื้องหน้า

    รัตนะสัมภวพุทธจะร่วมทางกับศักตินาม มาลา เทวีที่ประทานให้ซึ่งเครื่องหอม พวงมาลา สร้อยคอ กำไลมือ และเครื่องประดับต่าง ๆ โพธิสัตว์สตรีอีกนางหนึ่งได้แก่ ธูป เทวีอันทรงไว้ซึ่งกำยานของหอม นางเป็นตัวแทนแห่งกลิ่นหอมจรุงใจในสภาพธรรมชาติแห่งพื้นพิภพ เป็นอากาศบริสุทธิ์ที่ปราศจากมลภาวะ เป็นสถานที่บริเวณอันพืชพันธุ์จะผลิใบแตกหน่อและสายน้ำจะไหลรินโคจร

    แสงสว่างที่ผูกพันกับสกุลรัตนะได้แก่่่่แสงเหลืองนวลที่สงบรำงับไม่พร่ามัว แต่ดูราวกับว่าคุณลักษณ์อันรุ่มรวยและละเอียดอ่อนของ รัตนปริมณฑลสูงส่งและซับซ้อนเกินไป ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ว่าบุคคลจะพลัดหลงไปสู่ซอกมุมโสมมและพึงใจอยู่แต่ตนเองอันเป็น มุมอับเล็ก ๆ ของความเย่อหยิ่ง ซึมเซา แห่งมนุษย์ภูมิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กุมภาพันธ์ 2012
  12. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    วันที่สี่



    ในวันที่สี่จักถึงคราธาตุบริสุทธิ์แห่งไฟ ที่ปรากฏตนในรูปพระอมิตาภพุทธในปัทมสกุล พระอมิตภพุทธ หมายถึง พระผู้มีรัศมีหาที่สุดมิได้ คุณลักษณ์สำคัญแห่งปัทมสกุลได้แก่ความดึงดูด ความเย้ายวน ความเชื้อเชิญและอบอุ่น ความเปิดโล่ง และกรุณาคุณ รัศมีนั้นหาที่สุดมิได้ นั่นเป็นเพราะมันได้สาดส่องไปตามธรรมชาติ มิได้ร้องหารางวัลตอบแทนใด ๆ เป็นคุณลักษณ์แห่งธาตุไฟที่มิใช่ความก้าวร้าวชิงชัง หากแต่ ทำการเผาผลาญในทุกสิ่งโดยปราศจากการเลือกที่รักมักที่ชัง

    พระอมิตาภพุทธทรงถือดอกบัวหรือปัทมะไว้ในมือ อันมีความหมายดังข้างต้น ดอกบัวจะแย้มบานเมื่อจันทราหรือสุริยาสาดฉายมาต้อง มันจะแย้มกลีบออกรับแสง ประดุจดังว่าทุกสถานการณ์จะได้รับการต้อบรับเสมอ นอกจากนี้มันยังแฝงคุณสมบัติแห่งความบริสุทธิ์เลอค่า ความเอื้ออาทรเช่นนี้อุบัติจากโคลนตมและฝุ่นผงแต่หาแปดเปื้อนแม้แต่น้อย พระองค์ทรงพาหนะมยุราอันหมายถึงความเปิดกว้างและ การตอบสนอง ในตำนานโบราณมยุราจักได้รับการชุบเลี้ยงโดยมียาพิษเป็นภักษาหาร สีสันบนตัวกำเนิดจากโอสถพิษอันร้ายแรง โดยอาศัยการเปิดเผย เปิดกว้าง ทำให้มันสามารถเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันเลวร้ายได้อย่างไม่หวั่นไหว จริงแล้วความกรุณาจักอาจหาญร่าเริงได้ถึงขีดสุดก็ต่อเมื่อยามเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันเลวร้ายเท่านั้น

    ชายาของพระองค์ได้แก่ปันฑราสาสินี หรือนางในอาภรณ์ชุดขาว อันเกี่ยวข้องกับตำนานเก่าแก่ของอินเดียที่กล่าวถึงภูษาอันถักทอ จากใยหิน ซึ่งจะชำระล้างมลทินได้โดยเปลวไฟเท่านั้น นางเป็นตัวแทนแห่งอัคคีที่เผาผลาญทุกสิ่ง และเผยให้เห็นถึงผลจากการแผดเผา อันได้แก่ความบริสุทธิ์และความกรุณาอันเปี่ยมล้น

    นอกจากนี้ยังปรากฏองค์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเจ้า ผู้ทรงความการุณย์ พระองค์ทรงทอดพระเนตรไปในทุกแห่งหน อันเป็นการแสดง ออกถึงปัญญาญาณขั้นสูงสุดของความกรุณา ที่ใดก็ตามที่ปรารถนาความกรุณา ท่านก็จักปรากฏตัวขึ้นดังสภาพธรรมดาสามัญ เฉียบคมและ เป็นไปโดยพลัน หาใช่ความกรุณาแบบบอดใบ้หรือปัญญาอ่อน แต่เป็นความกรุณาอันชาญฉลาดที่ปฏิบัติตนได้ดีเลิศ พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ที่ปรากฏตนในที่นี้ด้วยนั้น แสดงให้เห็นถึงกลไกแห่งความกรุณา เป็นกลไกที่อุบัติจากปัญญามากกว่าอาศัยแรงกระตุ้นทางอารมณ์เพียงถ่ายเดียว พระมัญชุศรีโพธิสัตว์เป็นผู้ก่อกำเนิดสรรพเสียงที่ใช้ติดต่อแสดงความกรุณา พระองค์เป็นตัวแทนแห่งถ้อยคำของความว่างอันเป็นบ่อเกิด ของถ้อยคำทั้งปวง

    สำหรับ คีตา โพธิสัตว์สตรีแห่งบทเพลง นางเป็นผู้ขับร้องท่วงทำนองแห่งพระมัญชุศรี ส่วนอโลคาเทวี คือโพธิสัตว์สตรีที่ถือดวงตะเกียง หรือคบเพลิง กระบวนการทั้งหมดแห่งความกรุณานั้นมีทั้ง จังหวะ ทำนอง และแสงสว่าง มีทั้งความลึกล้ำแห่งปัญญาและความแหลมคมอันทรงประสิทธิภาพ มีทั้งคุณสมบัติแห่งความบริสุทธิ์ของพุทธะเช่นเดียวกับคุณลักษณ์อันแผ่ไพศาลของพระอมิตาภพุทธ

    ทั้งหมดนี้คือเทพแห่งปัทมสกุล ที่อยู่เหนือสัญญาขันธ์และเจิดจ้าด้วยลำแสงสีแดงแห่งภูมิปัญญาอันตระหนักแจ้งไม่เบี่ยงเบนเป็นสมบัติ ความกรุณานั้นคมชัดและเที่ยงตรง มันจึงจำต้องอาศัยปัญญาที่รู้จักแยกแยะซึ่งมิได้หมายถึงการเลือกยอมรับหรือปฏิเสธ แต่หากหมายถึง การแลเห็นสรรพสิ่งดังความเป็นจริง

    ในคัมภีร์เล่มนี้ปัทมสกุลและความกรุณาเกี่ยวข้องกับเปรตภูมิอันทำให้เกิดข้อโต้แย้งบางประการ เพราะอารมณ์ปรารถนามักผูกพัน กับมนุษย์ภูมิเป็นที่ตั้ง คุณลักษณ์มากมายแห่งปัทมสกุลไม่ว่าจะเป็นความแหลมคม ความแจ่มชัด ความลึกล้ำ และความสูงส่งนั้นมักท่วมท้น มากล้นจนในบางครั้งคราบุคคลปรารถนาจะบอดใบ้อยากจะหลบหนีจากสิ่งสมบูรณ์พร้อมเช่นนี้และไปเพลิดเพลินกับอารมณ์อันเย้ายวนแทน


    วันที่ห้า



    ในวันที่ห้ากรรมสกุลจักปรากฏตนขึ้น พร้อมกับคุณสมบัติใสสะอาดแห่งอากาศหรือสายลม แสงสาดส่องฉายฉานในที่นี้ได้แก่แสงสีเขียว เป็นสีแห่งความอิจฉาริษยาจากดินแดนแห่งกรรมที่สั่งสม พระอโฆสิทธิพุทธได้ปรากฏขึ้น กรรมสกุลนั้นข้องเกี่ยวกับการกระทำ ความสำเร็จ และประสิทธิภาพ ที่บังเกิดมีนั้นช่างทรงพลังและยากจะต้านทานได้ ดังนั้นมันจึงถูกมองว่าเป็นตัวทำลายล้างด้วยเช่นกัน พระอโฆสิทธิ หมายถึงการสำเร็จกิจทุกประการและบรรลุถึงอำนาจทั้งปวง

    พระอโฆสิทธิพุทธทรงถือวัชระไขว้ไว้ในมือ วัชระนั้นเป็นเครื่องหมายแห่งความสำเร็จในทุกขอบข่ายแห่งการกระทำ เป็นความแข็งกร้าว แข็งแกร่ง และไม่อาจขจัดทำลายได้ดังที่ได้เคยกล่าวถึงวัชรสกุล วัชระไขว้เป็นตัวแทนแห่งกิจการงานที่ได้รับการตรวจตราอย่างถี่ถ้วน เป็นการใส่ใจในทุกแง่มุม เป็นวัชระอันหลากสีสัน

    พระอโฆสิทธิพุทธจะทรงประทับนั่งอยู่บนชาง-ชาง อันเป็นสัตว์จำพวกครุฑ ครุฑประเภทนี้เชี่ยวชาญอย่างล้นเหลือในทางดุริยศาสตร์ ชาง-ชางจะถือฉิ่งไว้ในมือทั้งสองข้างขณะที่แบกพระอโฆสิทธิพุทธไว้บนหลัง ก่อให้เกิดภาพพจน์อันน่าเกรงขามและเป็นสัญลักษณ์ แห่งความสำเร็จในกาลทั้งปวง ชาง-ชางเป็นยอดแห่งวิหค เป็นวิหคชั้นสูงที่สามารถโผบินไปทั่วสากลจักรวาล บุกฝ่าไปทุกแห่งหน

    ชายาประจำตัวของท่านนั้นได้แก่ สัมมายะ-ธารา เป็นเทพีแห่งถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์ หรือในนามแห่งสัมมายวาจา ในพระสูตรแห่งตันตระ มีการตีความคำว่าสัมมายะแตกต่างกันไป ทว่าในกรณีดังกล่าวนี้ มันมีความหมายถึงความสมหวังอันเต็มเปี่ยมในสถานการณ์ขณะนั้น

    พระโพธิสัตว์ที่ร่วมขบวนในกรรมสกุลนั้นได้แก่ วัชรปาณีหมายถึงผู้ทรงวัชระไว้ในฝ่ามือ เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงการธำรงไว้ซึ่งพละ กำลังอันมหาศาล ท่านทรงเป็นองค์คุณโพธิสัตว์แห่งพลังติดตามด้วยท่านศรวณี-วิศคันภิม ผู้ขจัดเสียซึ่งนิวรณ์ขวางอารมณ์หากนิวรณ์ เข้าครอบงำในระหว่างกระทำกรรม ซึ่งเกิดจากความเข้าใจผิดหรือความไม่สามารถสัมผัสกับปัจุบันขณะ ดังนั้นท่านจะเข้ามาขจัดล้าง นิวรณ์และเปี่ยมล้นด้วยอำนาจแห่งชัยชนะ

    โพธิสัตว์สตรีแห่งกรรมสกุลนั้นได้แก่ คันธะ และไนเวทยคันธะเป็นเทวีแห่งน้ำปรุงเครื่องหอม นางถือหัวน้ำหอมที่ทำจากโอสถ สมุนไพรนานาชนิด อันแสดงถึงประสาทสัมผัส ในการประกอบกิจการอันเป็นกุศล คุณจำเป็นต้องมีประสาทสัมผัสอันฉับไว ส่วน ไนเวทยะนั้นเป็นผู้ประทานซึ่งอาหารหล่อเลี้ยง เป็นภักษาหารแห่งสมาธิภาวนาที่บำรุงเลี้ยงกิจการอันเชี่ยวชาญ

    กรรมสกุลนั้นอยู่เหนือสังขารปรุงแต่ง และเชื่อมโยงอยู่กับอสุรภูมิ อีกครั้งหนึ่งที่ภูมิปัญญาได้ทำการเผชิญหน้ากับความสับสนหรืออวิชชา และทั้งคู่ต่างก็ปองหมายในสิ่งเดียวกัน อันได้แก่การครอบครองกักขัง ทว่าภูมิปัญญานั้นครอบครองโอกาสความเป็นไปได้ทั้งปวง ในขณะ ที่ความสับสนครอบครองกระบวนการคับแคบในการจัดการกับปัญหา นั้นเป็นเพราะว่าภูมิปัญญาล้วนแจ่มชัดต่อหนทางขจัดปัญหา นั้นเป็น ไม่ว่าจะเป็นในแง่อัตวิสัย - สภาววิสัย การใช้พลกำลัง พื้นผิว อารมณ์ ความเข้มข้น ความเร่ง พื้นที่ว่างหรือสิ่งใด ๆ อื่น ในขณะที่ความสับสนแทบไม่เคยพัฒนาตนเองหรือแผ่ขยายแนวคิดหนทางใด ๆ เลย ความสับสนเป็น ปัญญาล้าหลังต่ำทราม ในขณะที่ความชาญฉลาดคือปัญญาที่พัฒนาถึงขีดสุดแล้ว
     
  13. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ยังมีต่ออีกมากนักเล่มต่อไปข้าจักไปก็อปปี้นำเอาคัมภีร์ " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " ซึ่งคู่กันมากับคัมภีร์นี้มาให้อ่านกันหากรู้สึกขอบคุณ ที่ข้านำมาลง ก็ขอให้ส่งผ่านความรู้สึกนั้นไปยัง ท่านคุรุริมโปเชผู้เขียน ท่านกรรมะ ลิงปะผู้ขุด ท่านตรุงป้าผู้อธิบาย อนุสรณ์ ติปยานนท์ผู้แปลไทย แลมดเอ็กซ์วัชรยาน ผู้ลงทุนไปซื้อหนังสือเล่มนี้และ แหกขี้ตาพิมพ์เพื่อให้ได้อ่านกันแทนข้าเถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กุมภาพันธ์ 2012
  14. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    อา.... ช่างลึกซึ้งนัก ว่าแต่คนเขียนไปไหนแล้วละนี่ โอม.....มาเขียนให้จบเถิด ข้าศิษย์ริมโปเชแก่ๆๆ ท่านหนึ่ง รอสดับนัก....สายกาคิวของเอ็งนัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กุมภาพันธ์ 2012
  15. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +291
    เอ็งนั้นรึจักเข้าใจ ให้เบอร์ไปก็มิติดต่อ อย่า แอ๊บซูมะเอาเอง เจ้าโฮ้ดี้ข้ามีเรื่องจักสนทนากับเอ็งมาก
     
  16. barking dog

    barking dog เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +152
    วันนี้ sun dog ขออนุญาตกล่าวถึงประเพณีการโต้วาทีที่พบในกลุ่มพระธิเบตบ้างนะจ๊ะ​

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=YrfFVHGXXtg&feature=related]Tibetan Monks doing debate in Dzongsar Kangxie KX19-09-classBest - YouTube[/ame]
    วัชรยานบางนิกายใช้วิธีนี้ฝึกให้ผู้ปฏิบัติธรรมคุ้นเคยกับการเจริญสติปัญญา
    การถาม ฝึกใช้สติจับประเด็นในคำตอบของอีกฝ่ายมาตั้งคำถามให้ "เฉียบ" จนผู้ตอบตอบไม่ได้
    การตอบ ฝึกใช้ปัญญาชำแหละหาเหตุผลจนได้คำตอบที่ตรงกับคำถามและ "คม" จนผู้ถามถามต่อไม่ได้

    กิจกรรมนี้บางครั้งดุเดือด เอาแพ้ชนะอย่างเด็ดขาด มีการใช้เสียงและทีท่าจู่โจมฝ่ายตรงข้าม ทั้งนี้เพื่อให้มีพลังเพียงพอลับสติปัญญาให้เฉียบคม การแพ้ชนะในกิจกรรมโต้วาทีกับผู้อื่นก็คือแบบจำลองการแพ้ชนะเมื่อตัวเราโต้วาทีกับตนเองในการวิปัสสนาเพื่อความตรงต่อตนเอง

    หากเรามีสติที่จับประเด็นตั้งคำถามได้เฉียบ และมีปัญญาที่คมพอชำแหละคำถามหาคำตอบได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เราจะใช้เวลาไม่นานในการต่อสู้กับความขัดแย้งภายในตน

    เมื่อเรายังสองจิตสองใจ มีความขัดแย้งรุนแรงอยู่ภายใน เราก็จำเป็นต้องเอาแพ้เอาชนะให้เด็ดขาดการกระทำของเราจึงพุ่งตรงไปเบื้องหน้าได้ ทักษะในการโต้วาทีแบบนี้จึงมีประโยชน์มากในการปรับตนเองให้ตรง​
     
  17. ลุ่มน้ำชี

    ลุ่มน้ำชี สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2012
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +1

    ลึกซื้งมากเจ้าค่ะ.........
     
  18. barking dog

    barking dog เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +152
    เมื่อเราผ่านประสบการณ์การเอาแพ้เอาชนะในการโต้วาทีมาได้สักระยะ ศีลบารมีในการเจริญสติปัญญาของเราจะเพิ่มขึ้น เราสามารถใช้สติปัญญาภายใต้การถูกบีบคั้นด้วยคำถามจี้ๆแคบๆและทีท่าอันรุกรานก้าวร้าวของผู้อื่นได้อย่างปกติ เราสามารถถามตอบท่ามกลางสภาวะบีบคั้นได้โดยไม่ไถลออกนอกประเด็น ศีลแบบนี้จำเป็นมากในการเจริญสติปัญญาเพื่อความตรงต่อตนเอง

    เมื่อเราเริ่มตรงต่อตนเองบ้างแล้ว เราจะเริ่มมีความยืดหยุ่นในการต่อสู้ เราจะเริ่มคุ้นเคยกับกลไกการจู่โจมบีบคั้นและมองเห็นช่องว่างหรือความเป็นไปได้มากมาย เราจะเริ่มรู้จักวิธีปรับความขัดแย้งภายในตนเองแบบง่ายๆโดยใช้บารมีอื่นๆที่ตนมีเข้ามาเสริม เป็นทักษะเฉพาะตัวที่แต่ละคนจะพบ พบจากตัวอย่างที่ผู้อื่นแสดงให้ดูแล้วน้อมมาพิจารณา พบด้วยตนเอง ฯลฯ

    จ้า
     
  19. barking dog

    barking dog เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +152
    ปัญหาของนักปฏิบัติธรรมมักมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งภายในตนเอง เรามักมีหลักการบางอย่างที่ดีงามและเหมาะสม และเราก็มักจะพยายามใช้หลักการนั้นฝึกฝนตนเอง แรกๆเราสามารถทำได้ดี แต่ต่อมาเมื่อหลักการนั้นขัดแย้งกับสันดานเก่าที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก เราจะเกิดความขัดแย้งภายในตน ยกตัวอย่างเช่น ความกลัวตายกลัวจนกับการบำเพ็ญทานบารมี ความกลัวตายกลัวเจ็บกับการบำเพ็ญขันติบารมี ความต้องการทางเพศกับการถือพรหมจรรย์ ความยึดถือในหลักการปล่อยวาง ฯลฯ เวลานั้นคือเวลาที่กิเลสสองฝ่ายสู้กันเอง จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการโต้วาทีกับตนเองจนได้คำตอบอันเป็นมติจากกิเลสทั้งสองฝ่าย การพยายามวางความขัดแย้งนับว่าเป็นการเจริญทานบารมีและอุเบกขาบารมีที่ดีทีเดียว แต่เราย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าความขัดแย้งยังคงดำเนินอยู่ เราเพียงหันหน้าหนีจากมันไปเท่านั้น

    เมื่อถึงเวลาที่ความขัดแย้งภายในมีมากเกินกว่าจะวางได้ด้วยทานบารมีและอุเบกขาบารมี เราจะตระหนักได้เองว่าวิธีเดิมๆใช้ไม่ได้ผล เราจำเป็นต้องเจริญสติปัญญาตอบโต้กันเองเพื่อปรับให้กิเลสทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันพาตัวเราก้าวไปเบื้องหน้า มิฉะนั้นเราคงต้องหยุดชะงักอยู่ที่เดิมต่อไป มติที่เราได้จากการโต้แย้งของกิเลสทั้งสองฝ่ายจะค่อยๆเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามประสบการณ์ เมื่อสองฝ่ายเวียนมาปะทะกันครั้งแล้วครั้งเล่า เราจะเริ่มมองเห็นสัจธรรมและทางออกมากมายในความขัดแย้งนั้น

    ตันตระเป็นการจัดสถานการณ์เรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้ปฎิบัติให้เกิดขึ้นเลยโดยไม่อธิบายเหตุผลก่อน ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ปฏิบัติเรียนรู้การจัดการกับความขัดแย้งเดิมๆที่ตนมีอยู่แล้วในสันดานตามความเป็นจริง หากอธิบายเหตุผลในหลักการตันตระล่วงหน้า ผู้ปฏิบัติย่อมจะสร้างหลักการใหม่ๆขึ้นมาอีกอันจะเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งใหม่ๆขึ้นมาอีกมากมาย

    จ้า
     
  20. barking dog

    barking dog เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +152
    มีคำกล่าวว่าตันตระใช้กิเลสเป็นโพธิ ในที่นี้หมายถึงเมื่อกิเลสฝ่ายลบของเราแสดงตัวออกมาและเกิดความขัดแย้งกับกิเลสฝ่ายบวก ตันตระจะไม่เบือนหน้าหนีแต่จะเอาธุระกับทั้งสองฝ่ายจนถึงที่สุด หากฝ่ายลบมีพลังมากกว่าตันตระจะไม่ปฏิเสธแต่จะส่งผู้ปฏิบัติเข้าไปทำความเข้าใจกับมันให้แจ่มแจ้งด้วยอุบายอันแยบยล

    ความจริงในการปฏิบัติธรรมพวกเราล้วนใช้กิเลสบำเพ็ญอยู่แล้ว หากเราไม่ใช้กิเลสก็ย่อมไม่มีอะไรปฏิบัติธรรม ในความหมายนี้อาจกล่าวได้ว่า กิเลสคือโพธินั้นเป็นสากล ปฏิบัติธรรมจึงไม่ต้องกลัวกิเลส

    จ้า
     

แชร์หน้านี้

Loading...