ปุถุชน....คนช่างสงสัย...

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 4 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731


    แบบนี้ต้องให้คุณนพฯพาเชื่อม .. แต่ดิฉันต้องสร้างกำลังสติให้มากขึ้นก่อนใช่ไหมคะ ไม่อยากโดนน๊อคสลบเหมือดคาเวทีค่ะ
    น่ากลัวค่ะ
     
  2. ผู้ธรรมดา

    ผู้ธรรมดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2015
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +369
    อ่าวันนี้มีคำถามมาถามไถ่สนทนาทุกท่านให้สมกับชื่อห้องสักหน่อยครับ

    เคยสงสัยกันไหมครับว่าทำไม "การบรรลุธรรมนั้นต้องถึงวาระซะก่อน ถ้ายังไม่
    ถึงวาระก็จะยังไม่สามารถบรรลุธรรมได้" คำกล่าวนี้มีเหตุผลเพียงพอมากแค่
    ไหน มีที่มาที่ไปกันอย่างไร จริงแท้หรือเปล่าหนอ ไอ้คำว่า "วาระ" ในที่นี้มัน
    คืออะไรกัน ทำไมต้องมีวาระด้วยล่ะ จะไปพ่วงกับ ดิถีปีใหม่ก็คงจะไปกันใหญ่
    แล้วจิตแต่ละจิตมีวาระของตนเองด้วยเหรอครับ ประมาณว่ากฏของกรรมล็อคไว้
    แล้วใช่ไหมครับ ว่าหมอนี่อีกกี่ปีวาระบรรลุธรรมนั้นจะมาถึง และพอถึงเวลาตาม
    นั้นปั๊บก็ปิ๊งป่อง แบบนี้เลยไช่มั้ย

    อื่อ แต่จะว่าไปแล้วนะครับผมเคยได้ฟังหลวงพี่ท่านจิตโต ศิษย์หลวงพ่อฤๅษี
    ชื่อจริงท่านชื่อหลวงพี่สมปองหรือเปล่าน้า ท่านจิตโตคงเป็นนามปากกาอะไร
    สักอย่างละมั้ง ไงก็เอาเถอะนะ ผมฟังท่านเล่าประวัติ ท่านมาอยู่วัดท่าซุงท่าน
    ปฏิบัติแบบเคร่งเลย แบบว่าไม่ยอมยิ้มให้ใครเลย เงินไม่แตะแม้แต่บาทเดียว
    เอาแต่นั่งสมาธิและเดินจงกรมโดยไม่ให้ขาดเลยมา 5 ปีเต็ม ผลที่ได้ออกมา
    ท่านบอกว่าไม่ได้อะไรเลย ผิดทางเพราะเคร่งเกินไป ท่านก็เลยปล่อยยานๆ
    หน่อย ปล่อยๆอารมณ์ตามปรกติธรรมดาๆ และยอมจับเงินแล้ว หุหุ และตั้ง
    จิตปรารถนาไว้ที่เดียวเลยคือ "ตายเมื่อไร เราไปนิพพาน ขึ้นชื่อว่าการเกิดจะ
    ไม่มีสำหรับเราอีก" เอากันเข้าใจง่ายๆเลย ท่านพิจารณาแบบนี้อีก 5 ปี โดยที่
    เรื่องของสมาธิ ท่านบอกว่าผ่อนแล้วไม่ตึงแล้ว สบายๆปรกติไม่เน้นทรงอารมณ์
    ตลอดเหมือน 5 ปีแรก ผลปรากฎว่า ได้ผลดี ท่านว่าอย่างนั้น พอบทจะสรุปกัน
    จริงๆ ท่านเล่าว่า มีอยู่วันหนึ่งนั้น ท่านปล่อยอารมณ์ปรกติเลย ไม่ได้ทรงอะไร
    สักอย่าง เดินออกมาหน้ากุฏิแล้วเหม่อมองดูดวงจันทร์ (เหมือนในหนังหรือป่าวน้า)
    ปรากฎว่าทันใดนั้น จิตท่านก็ปิ๊งขึ้นมาเองโดยไม่ได้ตระเตรียมการอะไรไว้
    ล่วงหน้าเลยว่า

    "ไอ้นี่ไม่ใช่เรา ไอ้นี่น่ะคือเรา เราคือไอ้นี่ ส่วนไอ้นี่ไม่ใช่เรา" จิตท่านปิ๊งขึ้นมา
    เพียงเท่านี้ ทุกอย่างก็จบลงอย่างสงบตลอดไป โอ้โฮ! บทจะปิ๊งก็ปิ๊งกันเอา
    ดื้อๆแบบไม่ได้ตั้งท่าตั้งทางอะไรเลย ดู่ดู้ดู นี่สินะที่ว่า "เมื่อถึงเวลาทั่วฟ้าจบดิน
    ก็ต้านเจ้าไม่อยู่" ปิ๊งง่ายปิ๊งดายจริงๆ ไม่รู้ว่าชาติก่อนหลวงพี่ท่านได้ทำบุญด้วย
    อะไรมา กะจะลอกข้อสอบสักหน่อยแต่เผอินว่าท่านไม่ได้บอกไว้ เลยอดรู้กันเลย
    แล้วอย่างนี้เมื่อไรเราจะถึงวาระปิ๊งๆอย่างหลวงพี่ท่านบ้างน๊า หรือเรามันยังไม่มี
    วาระอะไรกับเขาซักกะอย่างเลย อยากรู้จริงจิ๊ง ใครมีความรู้ช่วยอธิบายเหตุผลที :cool:
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ประเด็นหลักๆที่ต้องมีกำลังสติทางธรรมกับสมาธิสะสมนะครับ..
    เรื่องการป้องกันตัวเอง ผลกระทบต่อร่างกายอะไรพวกนี้ มันเป็นเพียงแค่เรื่องรองครับ...
    ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ว่า ตัวกำลังสติทางธรรมของเรานี่หละครับ
    นอกจากว่ามันจะทำให้เราเข้าใจสัมผัส กิริยาต่างๆทางด้านนามธรรม
    ที่เราได้พบได้เจอด้วยตัวเอง ตลอดจนความเข้าใจวัตถุประสงค์
    ของการเห็น การสัมผัสต่างๆแล้ว...หน้าที่หลักของ
    มันจะเหมือนตัวที่คอยควบคุมพฤติกรรมของจิต ควบคุมพฤติกรรมของความคิด
    ให้เค้าคลายตัวจิตออกจาก ๑.ความคิดที่เกิดจากจิต(ปรุงแต่งได้ไม่ว่าดีหรือไม่ดี)
    และคลายตัวจิตออกจาก ๒.ความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    (ความคิดที่ผุด
    ขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ไม่เลือกเวลา ไม่เลือกสถานที่ บังคับเรื่องที่จะขึ้นมาไม่ได้
    เปลี่ยนแปลงเรื่องไม่ได้ และเป็นเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาแล้วทั้งสิ้น)
    สติทางธรรมมันจะจับ ความคิดทั้ง ๒ ตัวนี้ได้ การจับได้ก็หมายถึงสติทางธรรม
    มันรู้ว่าจิตไปเชื่อมกับทั้ง ๒ ความคิดนี้นั้นเอง และกำลังสมาธิสะสมที่เราได้จาก
    การฝึกสติทางธรรมหรือได้จากกรรมฐานกองไหนๆก็ตาม.. ทั้งกำลังสติทางธรรม
    และกำลังสมาธิสะสม ก็จะเป็นตัวมาหนุนให้เราตัวจิตเรา มีกำลังเพียงพอในการ
    ผลักกระแสความคิดหรือเราเรียกรวมๆว่ากระแสวิบากหรือกระแสจรก็ได้
    ทั้งกระแสวิบาก ๒ อย่างที่มันมาเกาะตัวจิตเรา ผ่านตัววิญญานการรับรู้ของเรา
    ตัวใดไม่ว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต ซึ่งกระแสพวกนี้พอมันมาเชื่อมกับจิตเราแล้ว
    มันก็จะทำให้ตัวจิตเราไม่โปร่ง ไม่คลาย ไม่โล่งตัว กลายเป็นการแช่ การจม
    ที่สำคัญมันจะกลายเป็นตัวเรา กลายเป็นของๆเราได้อย่างที่เราคาดไม่ถึงครับ
    การจ้องที่ใช้งาน การตั้งท่าที่จะใช้งาน เหมือนๆที่ คุณน้องเกาะนิพพาน เล่าเรื่องท่าน
    จิตโตในสมัยก่อนนั่นหละครับ...เมื่อมีกระแสพวกนี้ ในลักษณะที่ ตั้งท่า ต้องอย่าง
    โน้นอย่างนี้ บิดบังตัวจิตอยู่ มันก็จะมาขวางการพัฒนาทางจิตของเราได้
    ทำให้เราไปได้ช้า ตะกุกตะกัก ไปเป็นไปตามธรรมชาติหรือเนื้อหาของจิตนั้นเองครับ..
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    คำว่าวาระมาถึง ในทางปฏิบัติ ก็คือ วิบากกรรมทางสมมุติ และกระแสวิบากจร
    มันคลายนั่นหละครับ..วิบากกรรมทางสมมุติคลายก็คือ ทางโลกเราไม่มีห่วงอะไร
    แล้ว ความเป็นอยู่แบบเรียบร้อยตามเหตุตามผล..
    ถ้ามันคลายแล้วทั้งสองอย่าง
    ''ถึงเวลาแม้ว่าไม่อยาก.วางอยากว่าง
    มันก็จะวางก็จะว่างได้ของมันเอง''

    ซึ่งตรงนี้กำหนดเวลาไม่ได้ เป็นไปตามเหตุและปัจจัยเฉพาะบุคคล

    กระแสวิบากจรมันคลายในที่นี้ก็คือ
    ตัวจิตเรามันไม่ไปยึดเกาะกับสิ่งๆต่างๆ ตัวจิตมันไม่อะไร
    กับสิ่งนั้นสิ่งนี้นั่นหละครับ...เข้าใจเนาะ

    ''ไม่มีอะไรไม่ใช่ว่า จิตไม่มี แต่ตัวจิต
    มันไม่อะไรกับอะไร กับสิ่งนั้นสิ่งนี้''
    เค้าพูดกันให้เข้าใจง่ายๆว่าปล่อยวาง..
    ปล่อยวางในที่นี้ไม่ใช่ว่า

    ''ไม่เคยแบก ไม่เคยถือ แต่ว่าเคยแบก เคยถือ แต่วางมันลงได้''
    และปัจจุบันไม่เผลอถือ เผลอแบบ
    เหมือนเมื่อก่อนอย่างไม่รู้ตัวอีก
    ไม่ว่า สติ ปัญญา ตบะ ฌาน ญาณ
    กำลังจิต ความรู้ทางโลก เรื่องราวในอดีตทั้งหมด
    เรื่องราวในอนาคตทั้งหมด
    และก็วางมันลงให้อยู่กับสภาวะปัจจุบัน...

    การไปตั้งท่า ไปจ้อง ไปแช่ ไปจม ไปยึด ไปติด
    กับอะไรก็ตามอย่างใดอย่างหนึ่ง
    ก็ถือเป็นวิบากกรรมอย่างหนึ่ง
    เพราะตัวจิตไปเกาะไปเชื่อม
    ไปยึดเอาพวกนี้
    ไม่ว่าตัวใดตัวหนึ่งมาบิดบังตัวจิตไว้อย่างไม่รู้ตัวนั่นเอง...

    ปล.ประมาณนี้พอเข้าเนาะ..คุณน้อง เกาะนิพพาน
     
  5. ผู้ธรรมดา

    ผู้ธรรมดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2015
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +369


    อื่อคุณพี่ครับ ประเด็นนี้ผมมีข้อสงสัยอีกแล้ว

    ที่ว่าการไปจ้องไปแช่ที่หมายถึงนี่น่าจะประเภทสมะถะอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ใช่
    ไหมครับ ประมาณว่า พยายามรู้ลมหายใจตลอดเวลา ภาวนาอยู่ตลอดเวลา คิด
    อยู่ตลอดเวลา น่าจะใช่นะครับ

    แต่ถ้าอย่างสำหรับเด็กๆเตาะแตะอย่างผมนี่ พูดตรงๆว่ายังปิดอบายไม่ลงนี่ถ้าไม่
    ยอมภาวนาไม่เกาะอะไรไว้เลยมันจะเป็นการประมาท หรือเสี่ยงเกินไปหรือ
    เปล่าครับ

    และประเด็นที่ว่าเมื่อถึงเวลาปล่อยมันจะปล่อยของมันเอง อันนี้ล่ะครับ อย่าง
    ตอนนี้ผมเกาะ ภาวนาถึงสมเด็จพ่อองค์ปฐมชนิดติดท่านแจเลย และนึกถึงพระ
    นิพพานตามสูตรที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำสอนว่า ก่อนนอนและตื่นนอน และเวลา
    ใดๆที่เราคิดว่าเราจะต้องตายอีกประเดี๋ยวนี้ก็พุ่งใจไปนิพพานที่เดียวเลย แบบนี้
    ก็เรียกว่าเป็นประเภท "เกาะไว้ก่อนแล้วค่อยปล่อยทีหลังอาจจะยังพอจะทันอยู่
    ละมั้ง" เรียกเป็นประเภทนี้พอจะได้ไหมครับ

    หรือว่าเราควรปล่อยทั้งวันเลย ไอ้คำว่าปล่อยของผมนี่มันก็ปล่อยไม่จริงอีกล่ะ
    คือเวลาถ้าเราไม่หาคำภาวนามาให้จิตมันภาวนาไปเรื่อยๆนะครับ แน่นอนมันเล่น
    ไปเกาะเอาสัญญาเก่าๆบ้าง นี่สังขารตัวระยำจัดฟุ้งได้ทุกวินาทีทั้งอดีตอนาคต
    วิญญาณไปกระทบไรหน่อยก็ ต่อมาที่สังขารเวทนาในจิตเสริมกันไปเอ้าคิดปรุง
    กันสะบั้นหั่นแหละ แบบนี้ก็คงจะไม่เรียกว่าปล่อยอยู่ดี ถ้าเป็นแบบนี้การเริ่ม
    เกาะบันใดไปทีละก้าวก่อน แล้วถ้าถึงเวลาค่อยปล่อยนี้มันจะพอไหวไหมครับ
    คือตอนนี้ผมยังไม่ใช่พระโสดาบันนะครับ นรกยังเปิดอ้าซ้าอยู่เลย ไม่มีอะไรให้
    เกาะไว้เลย นี่มันหวั่นๆน่าดูเลยนะครับคุณพี่ แนะนำผมหน่อยครับ หุหุ
     
  6. *ธรรมดา*

    *ธรรมดา* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +924

    คำถามของคุณพี่ เกาะนิพพาน เป็นปัญหาของกระผมเช่นกันครับ ยังไม่ทราบเช่นกันว่าจะทำอย่างไรดี เลยได้แต่ภาวนาบ้างปล่อยบ้าง
     
  7. บุษบรรณ

    บุษบรรณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    2,212
    ค่าพลัง:
    +8,603
    เนื้อคู่นี้มีแทรกไขมันมิใช่น้อยนะเนี่ย:d:d:d
     
  8. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731

    คำว่าวาระมาถึง ในทางปฏิบัติ ก็คือ วิบากกรรมทางสมมุติ และกระแสวิบากจร
    มันคลายนั่นหละครับ..วิบากกรรมทางสมมุติคลายก็คือ ทางโลกเราไม่มีห่วงอะไร
    แล้ว ความเป็นอยู่แบบเรียบร้อยตามเหตุตามผล..
    ถ้ามันคลายแล้วทั้งสองอย่าง

    """""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

    พวกเราทั้งหลาย ต่างมีกรรมเป็นของๆตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด กระทำสิ่งใดไว้ จักต้องได้รับผลสืบต่อไป ....

    เรื่องเนื้อคู่ดูโอ้ ... ตั๋วไผตั๋วมันเด้อพี่น้อง ๕๕๕๕๕๕๕๕๕

    ส่วนตัวถืออพรัมจริยามาได้ระยะหนึ่งแล้ว คงราวๆ ๓-๔ ปีนี่แหละ เรื่องอย่างว่าในตอนนี้จะบอกยังไงดี มันรับไม่ได้ จิตมันบอกว่าเป็นอกุศล นี่ เวลามันจะเปลี่ยนมันพลิกกันแบบท้องฟ้ากับปะการัง หรือที่เรียกว่าหน้ามือกะหลังเท้า ไปโน้นนนเลย จะพูดให้ใครฟังเดี๋ยวเขาก็หมั่นไส้หมั่นตับหมั่นไตเอาได้ ๕๕๕๕๕๕
    แต่ๆๆๆ ดิฉันไม่ไว้ใจมันหรอก และไม่ไว้ใจตัวเองด้วย ประมาณว่าอย่าไว้ใจทางอย่าวางใจกิเลสนั่นเอง ....
    ตราบใดที่ยังดับไม่เหลือเชื้อ แสดงว่าเชื้อนั้นๆมันไม่ได้หายไปไหน มันยังคงซ่อนอยู่ไหนสักแห่ง ที่สำคัญกิเลสตัวนี้ยังตามหลอกตามหลอนในบททดสอบต่างๆนาๆ ไม่อยากบอกเลยว่า หนัก หนักมาก คงไม่ต้องบอกแล้วว่าไอ้ที่ยังมาเกิดได้เนี่ย เพราะกรรมและกิเลสตัวไหนกัน
    ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2015
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เข้าใจนัยยะนี้ไหม จะพูด
    เชิงเปรียบเทียบให้ฟังเฉยๆ ยกตัวอย่าง

    ''ผู้ทรงฌานในทางกิริยา
    ไม่ได้หมายความว่า
    ทั้งวันจะเข้าฌานอยู่ตลอดเวลานั่นมันคือการจม
    การแช่ การตั้งที่จะใช้งาน การตั้งท่าอยู่ในฌาน...
    แต่ในทางกิริยาหมายความว่า ถ้าจะเข้าฌานเมื่อไร
    เวลาใด ที่ไหนก็ตาม สามารถเข้าฌานนั้นๆได้ภายใน
    เวลาเสี้ยววินาที..ทำนองเดียวกันการระลึกถึงพระพุทธฯ
    ท่านต่างๆ ครูบาร์อาจารย์ท่านต่างๆนั้น ทางกิริยา
    ไม่ได้หมายความว่า ทั้งวี่ทั้งวัน เราจะต้องไประลึก ไปนึกถึง
    ท่านอยู่ตลอดเวลา ทางกิริยาหมายความว่า เวลาเรานึก คิด
    ถึงท่าน ไม่ว่าที่ไหน เวลาใด ตัวจิตเราเชื่อมถึงท่านได้ตลอด
    ภายในเวลาเสี้ยววินาที''
    แต่ในเวลาปกติ
    ให้เราปล่อยวางทุกเรื่อง....เข้าใจไหม..

    ที่ครูบาร์อาจารย์ท่านสอนมา ถ่ายทอดเป็นตำรามา
    และเราไปฟังมานั่นนะ ไม่ผิดหรอกจะบอกให้...
    ท่านบอกให้ยึดพระไว้ตลอดก็ไม่ผิด..
    แต่ที่เราอ่านเจอแล้วไม่เข้าใจ
    อ่านแล้วหูไม่ค่อยกระดิกก็คือ..
    ตอนที่ท่านบอกให้รู้จักปล่อยวางทุกๆเรื่อง
    แม้แต่ตัวท่านก็ไม่ให้ยึด ตำราก็ไม่ให้ยึด..
    และให้วางความเห็นส่วนตัวเอาไว้ก่อน
    แล้วไปฝึก ไปปฏิบัติ ให้รู้ ให้เข้าใจ
    และสุดท้าย เมื่อรู้และเข้าใจแล้วก็ให้วาง...
    แต่นัยยะของคำว่า วางเรายังไม่เข้าใจจริงๆ..
    ปล่อยวางในที่นี้ ไม่ใช่ว่าเราไม่ต้องทำอะไรเลย
    ไม่ต้องฝึกอะไรเลย ไม่เคยรู้อารมย์อะไรเลย..

    แล้วไปบอกว่าวางซะ มันจะเอาอะไรมาวาง..
    และก็ไม่ใช่ไปจม ไปแช่อยู่อย่างนั้น กับทุกๆเรื่อง
    ไปตั้งท่าที่จะทำโน้น ทำนี่ อยู่ในอารมย์โน้นนี่
    อยู่ตลอดเวลา การที่ตัวจิตเรามันไปยึดไปเกาะสิ่งหนึ่ง
    สิ่งใดอยู่ตลอดเวลา มันเป็นโมหะชนิดหนึ่ง
    พูดง่ายๆก็คือว่า ตัวจิตมันยังหลงยึดติดอยู่....
    ถ้าตัวจิตมันหลงยึดติดอยู่กับสิ่งหนึ่งก็ตาม..
    ไม่ว่าจะอะไร ถามหน่อยว่า มันจะไปนิพพานได้ไหม...

    ถึงแม้ว่ามันจะยึดกับสิ่งที่ดีที่สุด มีผลรองรับว่ายึดสิ่ง
    นั้นดี..มีที่ไปดี แต่มันก็ยังจะต้องไปรับประทานกองบุญ
    กองกุศลอยู่ ซึ่งมันก็ยังเป็นเหตุให้เราไปเสวยกองบุญ
    ตรงนี้ยังไงๆ เราก็ยังจะต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด
    ใน ๓ ภพนี้แน่นอนไม่ช้าก็เร็ว พอเข้าใจไหม..


    มันก็เหมือนไปยืนดูคนป่วย เราถามอาการเค้านั้นหละ
    เราจะรู้ได้อย่างไรว่าที่เค้าพูดมาลึกๆมันเป็นอย่างไร
    ถ้าเราไม่เคยป่วยเหมือนเค้ามาก่อน..
    เราจะไปฟังมาแล้วบอกว่า อาการป่วยมันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
    ถามว่า ร่างกายมันเคยป่วยแบบเค้าไหม และจิตเรามันจะรู้ไหม
    ว่าไอ้ที่ป่วยๆนั้นอาการที่มันแสดงต่อร่างกายเป็นอย่างไร..

    เด่วต่ออีก #Rep
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040

    ไม่เป็นไร ไม่ว่ากัน แสดงว่ายังไม่เคยอ่านเจอ
    หรืออ่านๆผ่านไปแล้วแต่ยังไม่เข้าใจ..
    ที่เขียนไว้ประมาณว่า

    "ถึงเวลาจะใช้งานค่อยดำริขึ้นมาใช้งาน ใช้แล้วก็แล้วไป
    ในเวลาปกติให้วางในทุกๆเรื่อง''
    ...จะว่าไปนัยยะนี้ใครอ่านก็น่าจะงง
    มาสอนอะไรทำไมมันคือจะง่ายแถ้ ไม่ต้องฝึกอะไรเลยหรือ
    แค่วางๆ ผลักๆก็จบแล้วหรือ...
    ถ้ามีแค่นี้ คงไม่มาแนะนำให้เสียเวลาหรอก ถ้ามองแค่ระดับ
    น้ำท่วมตาตุ่มแค่นี้..ที่เขียนไม่ได้ว่านะ คือปกติ
    ในชีวิตประจำวัน ตัวจิตเรามันไม่คลาย ไม่โปร่ง ไม่โล่ง
    เพราะว่า มันไปเกาะเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาไว้
    ไม่ว่าจะเป็น สติ ปัญญา สมาธิ ตบะ ฌาน ฌาน กำลังจิต..
    ไปยึดเกาะครูบาร์อาจารย์ พระพุทธฯท่านต่างๆ
    และอีกหลายๆเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตประจำวันฯลฯ เรียกได้
    ว่าตัวจิตมันเกาะตัวใดตัวหนึ่งอยู่นั่นเอง โดยที่เราไม่รู้ตัว
    หรืออาจคาดไม่ถึง...
    ถ้าเรายังไม่เคยใช้ความ
    สามารถทางจิตมาก่อนในระดับหนึ่งจนกระทั่งไปยึดติดกับ
    กับการใช้งานทางจิตนั้นๆโดยไม่รู้ตัวและต่อมาก็มาสังเกตุเพิ่ม
    อีกว่าผลที่ได้มันกลับไม่ค่อยดีเท่าไร..


    แต่ทีนี้พอบอกว่า เคยใช้งานทางจิต
    ก็จะไปคิดอีกว่าคงเป็นเรื่องที่มันพิเศษ
    พิศดารอะไรอีกอย่างเดียวอีก
    ..ความจริงแล้วการใช้งานทางจิต.
    มันก็คือการทำอะไรก็ตามที่ตัวจิตเรามันไปมีส่วนร่วมทั้งหมดนั่นหละครับ...

    มันไม่ใช่แค่ว่า จะต้องทำอะไรที่มันพิเศษได้
    หรือทำแต่เรื่องที่มันพิเศษๆ..
    ต้องยกตัวอย่างน่าจะเข้าใจได้เช่น เราต้องทำงานและใช้ความคิดในการแก้ปัญหา
    อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่...แต่ถ้าไปใช้ความพยายามในการคิด
    ใช้ความพยายาม
    ในการตีความ
    พยายามที่จะเข้าใจอย่างฝ่ายเดียว เผลอๆทำให้เราหงุดหงิด รำคาญ
    อารมย์เสีย อาละวาด พูดจาไปเรื่อยเปื่อย..
    นั่นเพราะเราไม่รู้ปล่อยวางเรื่องที่จะแก้ปัญหานั่นก่อนเลย..
    ปล่อยวางไม่ใช่ว่าไม่ทำ แต่ทำใจให้มันว่างๆให้ได้ก่อน..
    แล้วค่อยทำงานต่อ..

    และยิ่งถ้าเราเป็นคนคิดมาก ไม่รู้จักปล่อยวางความคิด
    มันก็จะเก็บเรื่องนั้นมาคิดอยู่นั่นหละ คิดทั้งวัน.เดินก็คิด กินก็คิด
    ไปเจอสังคมภายนอกก็คิด ทั้งคิดทั้งพูด เวลานอนก็คิด นอนหลับไป
    แล้วก็ยังฝันอีก สุดท้ายก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้..
    แม้ว่าในช่วงนั้นพยายามลองผิดลองถูก
    มันก็แก้ปัญหาแท้จริงยังไม่ได้ ต้องทำแล้วทำอีก
    เพราะเราไปพยายามที่จะแก้ปัญหามัน..
    และก็เพราะว่าคิดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆอยุ่นั่นนั่นหละ..
    มัวแต่คิดๆๆๆๆๆๆ มัวแต่พยายาม ..
    แล้วปล่อยวางไม่เป็น..
    มันเลยเป็นที่มาของคำว่า ''ตะกุกตะกัก"

    แต่ในบางกรณีพอเราไม่ได้สนใจเรื่องนั้นแล้ว..
    เรียกว่าลืมไปแล้ว พอเราอยู่เงียบๆ
    เช่น นั่งเล่นดูทีวีเพลินๆ นั่งในห้องน้ำ
    กำลังอาบน้ำ อยู่ดีๆคำตอบของปัญหามัน
    ก็ผุดขึ้นมาดื้อๆซะงั้น เราก็เลยอ่อๆๆๆ
    อือออออ โอ้มันเป็นอย่างนี้เอง ทำอย่างนี้นั่นหละครับ

    ถามว่าการตั้งเป้าไปนิพพานนะผิดไหม ไม่ผิดหรอก
    การยึดกับพระพุทธฯตลอดเพื่อหวังไปนิพพานผิดไหม ไม่ผิดหรอก
    กำลังใจคนเรามันต่างๆกัน แต่ถามว่านิพพานมันไปได้ด้วยการยึด
    การคิดถึงมันตลอดได้ไหม เพราะสภาวะนั้นมันต้องไม่มีอะไรมาเกาะ
    ตัวจิตเลย ไม่ว่าเรื่องอะไร มันต้องปล่อยวางๆทุกๆเรื่อง
    ไม่ว่าตัวจิตก็ต้องปล่อยวางการเกิด การที่ตัวจิตยังนึกถึง
    ระดับพระพุทธฯอยู่ถามว่า จิตมันยังเกิดอยู่ไหม..
    และการยึดการตั้งเป้าก็เป็นโมหะ แล้วมันจะ
    ไปเข้าถึงนิพพานได้อย่างไร.
    อย่างมากก็ติดแอ๊กอยู่ที่ชั้นพรหม
    สุดท้ายได้ลงมาเกิดเหมือนเดิม
    ..
    จึงเป็นที่มาของการแนะนำ ให้รู้จักอโหสิ ให้อุทิศส่วนกุศล
    ใครจะโส ก็สุดแล้วแต่ เพื่ออะไร? ก็เพื่อในระหว่างวันให้ตัว
    จิตมันได้คลายตัว ได้โปร่ง ได้โล่ง ได้ไร้สภาวะการที่มีสิ่งใด
    มายึดเกาะกับตัวจิตเราในระหว่างวันแบบที่เราไม่รู้ตัว
    หรือคาดไม่ถึงมาก่อนให้มันได้บ้าง.. ให้จิตมันคุ้นเคยบ้าง
    ถึงบอกไปหลายทีแล้วว่า เอาให้ได้ซักวินามีก่อน.
    แล้วค่อยรักษาระยะเวลาให้นานขึ้นเรื่อยๆในระหว่างวัน..
    จนกระทั้งเข้าสู่สภาวะที่จิตไม่มีอะไรมายึดเกาะได้ทั้งวัน
    เหมือนๆท่านที่เราเชื่อว่าท่านพ้นแล้วนั่นหละครับ
    เราถึงจะมีโอกาสเข้าถึงสภาวะนิพพานได้นั่นเอง

    ปล.ประมาณนี้ หัดหยุดใช้ความคิดบ้าง
    อยู่เฉยๆให้จิตมันว่างๆก่อน ทำความรู้สึกรับรู้อยู่กับลมหายใจก่อน
    พอมันว่างๆ แล้วถ้าจะคิดก็ถึงค่อยคิด ความคิดมันจะได้ไหลรื่น
    เป็นอัตโนมัติ มัวแต่คิดๆๆๆๆโน้นคิดนี้ไปร้อยแปดพันเก้าเรื่อง
    เรื่องอะไรเข้ามาก็คิดตามตลอด.ไปเรื่อยเปื่อย..
    ไม่รู้จักควบคุมความคิด ไม่รู้จักปลอยวางความคิด
    เด่วนี้ก็จะเอา เดี๋ยวนั้นก็อยากได้ เด่วนี้ก็อยากรู้ เด่วโน้นก็อยากเป็น
    เปลี่ยนไปเรื่อย วันๆไม่รู้กี่เรื่อง
    ถามว่า มันจะได้ มันจะรู้ มันจะเป็นให้ซักทีไหมหละ..
    ถ้าจิตมันไม่เคยวาง ไม่เคยว่าง ซักที..
    ก็เพราะมันแต่จะคิดๆๆๆ เอาที่จะได้ คิดเอาที่จะเป็น คิดเอาที่จะรู้
    อยู่นั้นหละ มันเลยไม่ได้ซักที ไม่เป็นซักอย่าง ไม่รู้ซักเรื่อง
    คิดไปคิดมากลายเป็นฟุ้งซ่าน เพ้อเจ้อไปวันๆแค่นั้นเอง..
    จบ แบบจมดิน ๕๕๕๕๕
    ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2015
  11. DEEJAI243

    DEEJAI243 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2015
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +1,445
    กระทู้ที่ 407 และ 408 ที่ท่านอาจารย์นพกล่าว
    โดนทะลุกลางใจเจ้าค่ะ สาธุ....สาธุ.....สาธุ

    ทางจิตวิทยา เค้าเรียกเทคนิคนี้ว่า " การหยุดความคิด"
     
  12. ถวายบูชา

    ถวายบูชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +560
    ต้องได้ฟังบรรยายธรรมเรื่องต่างๆของท่านที่สอนถึงจะเข้าใจ ที่ท่านพี่นพกล่าวแนะนำได้ละเอียดลึกซึ้งขึ้นชี้แจงที่กล่าวมาตั้งแต่หน้าแรกๆจนเดินมาเรื่อยในการแนะนำ บางท่านอาจจะงงหรือไม่เข้าใจหรือสงสัย เพราะผมก้อเป็นหมดทุกข้อ งง สงสัย ไม่เข้าใจ เป็นอยู่ทุกวัน ส่วนตัวรู้สึกว่าผู้ที่ปฏิบัติได้ สติ สมาธิ. ฌาณ ญาณ แล้วน่าจะง่ายกว่ากว่าผู้ที่ยังไม่ได้อะไรในการที่ให้ โปร่ง โล่ง คลาย วางในตัวมันอยู่แล้ว ในที่ท่านพี่นพกล่าวไว้ข้างต้น
     
  13. DEEJAI243

    DEEJAI243 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2015
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +1,445
    มองปัญหา มิใช่ปัญหา
    เป็นเพียงแค่ ปัจจัยที่เข้ามา
    ทดสอบ ความแกร่งกล้า ของจิตใจ
    จงประคองสติไว้ เพื่อมุ่งไปสู่ปัญญา

    ปัจจัยที่ก่อเกิด ล้วนกำเนิดมีที่มา
    ปรุงแต่งด้วยอัตตา นำเข้าหาวิบากกรรม
    จงระวังรักษาจิต อย่าได้คิดก้าวถลำ
    ใช้พุทธจิตเข้าน้อมนำ ให้เห็นธรรมตามครรลอง

    ฉันแต่งเอาไว้เตือนสติตัวเองค่ะ
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ก็ทําให้นึกถึงนายคนตกปลาของหลวงพ่อฤาษีที่บอกให้เกาะพระพุทธเจ้าอยู่ประจํา พอตายโน่นไปเกาะท่านอยู่ข้างบนโน่น (นิพพาน) ฟังดูแล้วง่ายจังเลย ตาสีตาสาเข้าเวปไม่เป็นก็ไปนิพพานเอาง่ายๆ อโหสิ อโหสิ อโหสิ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. ผู้ธรรมดา

    ผู้ธรรมดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2015
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +369

    ข้อความเปิดใจอย่างหมดเปลือก อิอิ

    ผมต้องขอขอบพระคุณคุณพี่นพมากๆครับ ที่เมตตาแนะนำสิ่งดีๆให้และก็แกะ
    แงะที่ตรงจุดเลยทีเดียว ผมก็พึ่งมารู้ด้วยใจของผมเองนี่แหละครับว่า อื่อ! บาง
    สิ่งบางอย่างเขาบอกเราในสิ่งที่ดีที่สุดในทางเดินที่ดีที่สุดแล้วแท้ๆ แต่เรากลับ
    ไม่เอาหรือไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาสอนเลย ไม่เข้าใจในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแปลไม่
    ออกว่าพี่นพเขียนสื่อออกมาถึงอะไรบ้างแก้ไขอะไรบ้างควรทำอย่างไรบ้าง สิ่ง
    นั้นอ่านแล้วเข้าใจหมด แต่ที่ว่าไม่เอาหรือไม่เข้าใจนั้นคือ ถ้ามองอีกมุมหนึ่งอาจ
    จะเป็นเพราะว่ามันอาจจะยังไม่ถึงวาระของผมหรือยังไงที่จะปิ๊งป่องในสิ่งที่คุณ
    พี่นพกล่าวมาแล้ว และสามารถทำได้แบบสบายใจโล่งใจที่สุด ซึ่งแท้จริงแล้ว
    ผมกลับรู้สึกว่ามันยากที่จะทำได้แบบนั้น

    ถ้าจะพูดถึงแต่เพียงวิธีการมันก็คงจะไม่ยากหรอกถ้าจะทำ แต่คำว่ายากในที่นี้
    คือผลของผู้มีจิตขั้นละเอียดสุดยอดที่ได้สิ่งเหล่านั้นมาด้วยตนเอง สอนใจตนเอง
    มาโดยตลอด กับอีกคนหนึ่งที่ยังไม่ได้มีจิตละเอียดอะไรเลย ได้ฟังแต่เขาพูดมา
    ซึ่งมันก็คงจะไม่ถึงใจเหมือนคนที่ได้ปฏิบัติพบเองเห็นผลเองและได้สัมผัสผล
    มาแล้วเองใช่ไหมล่ะครับ

    ผมไม่ได้จะตำหนิอะไรใครนะครับ แต่ผมคิดทบทวนแล้วว่า คงจะเป็นที่จริตนิสัย
    ของแต่ละคนที่บำเพ็ญบารมีธรรมมาไม่เท่ากันและไม่เหมือนกัน มันเลยทำให้
    บางอย่างรู้สึกว่าง่ายสำหรับอีกคน แต่พอเอาไปให้อีกคนอาจจะเป็นเรื่องที่มึน
    ตื๊บหรือเป็นสิ่งที่ยากเกินไป(ทั้งๆที่ความจริงความยากมันก็เท่าเดิม)

    ซึ่งถ้าพูดตามแนวความคิดผมแล้วทางพี่นพท่านเป็นนักปฏิบัติที่ลองเล่นรู้ปฏิบัติ
    มาแล้วจนเห็นและเข้าใจด้วยตนเองมาแล้วทุกอย่างเวลาท่านมาบอกพวกเราที่
    ยังเตาะแตะอยู่ ท่านก็จะนำสิ่งที่ท่านเห็นและรู้และเข้าใจว่าดีที่สุดแล้วของท่าน
    มาให้เรา ซึ่งความจริงแล้วมันก็ดีจริงๆนั่นแหละ แต่สำหรับเด็กๆหัดเดินอย่างเรา
    ที่ยังเข้าปฐมฌานไม่คล่องเลย อาจจะรู้สึกว่าละเอียดเกินไปยากเกินไปทำไม่
    ไหวทำไม่ได้ ซึ่งอันนี้ก็คงจะไม่โทษใครเพราะสิ่งต้นขั้วที่แนะนำมาทุกอย่างน่ะดี
    อยู่แล้ว ที่เหลือก็ถือว่าตามบุญวาสนาของแต่ละท่านก็แล้วกัน ขนาดพระกรรม
    ฐานยังมีตั้ง 40 กองที่จะให้ทุกคนเรียนรู้และปฏิบัติ และยังซอยย่อยได้อีกเป็น
    ล้านๆแบบปฏิบัติ

    ที่ผมชอบแนวของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำเพราะท่านอธิบายให้คนธรรมดาที่ยังไม่มี
    ฌานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ก็รู้สึกและรับสัมผัสได้ถึงความไม่ซับซ้อนและไม่
    ยากเกินไปของกำลังใจที่เขามีอยู่ ซึ่งสำหรับเด็กหัดเดินอย่างผมก็พอจะทำไหว
    บางทีอาจจะรู้สึกว่าวิธ่ีการที่หลวงพ่อบอกนี้ง่ายจัง แค่นี้กำลังใจเราถึงเราทำได้
    ของแบบนี้มันก็คงจะอยู่ที่บุญบารมีที่เราสั่งสมมาด้วยเหมือนกันว่าจริตเราชอบ
    แบบไหนยังไง แบบปฏิบัติยังไงที่เราชอบที่สุด ยังไงที่เราทำแล้วรู้สึกดีกับมัน
    ที่สุด ส่วนเรื่องของผลการปฏิบัตินั้นก็ขอให้เป็นเรื่องของบุญวาสนาบารมีของ
    แต่ละคนก็แล้วกัน ถ้าถึงเวลาแล้วจริงๆส่วนตัวผมเชื่อว่า จะปฏิบัติมาสายไหน
    อย่างไรก็ตามแต่เถอะ ยังไงก็ต้องผ่านไปได้ทั้งหมด แต่ที่ยังไม่สามารถผ่าน
    อะไรไปได้เลยมันก็คงจะอยู่ที่ว่าเราอาจจะทำยังไม่เพียงพอ อาจจะขาดนี่นิด
    พร่องนั่นหน่อย ซึ่งก็อย่างว่าล่ะนะใครจะมาพูดให้ตรงกับใจเราที่สุดเท่าใจเรา
    พูดให้ใจเราเองก็คงจะไม่มี

    ทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องผุดรู้ผุดเห็นมาจากใจของเราเอง เราถึงจะหมดความ
    สงสัย ถ้ามันยังไม่ผุดรู้ผุดเห็นอะไรออกมาจากใจของเราเลย ต่อให้พระอรหันต์
    มาสอนเราซะหมดเปลือก เราก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านพูดมาอยู่ดี เพราะสิ่งนั้นมัน
    ยังไม่ใช่เป็นสมบัติของเราอย่างแท้จริง เพราะนั่นคือสมบัติของพระอรหันต์ผู้นั้น
    แต่สำหรับเราแล้วเป็นแต่เพียงสัญญาดีๆนี่เอง

    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมของใครก็กรรมของมัน ข้อนี้ตรงที่สุด เถียง
    ไม่ได้ซักแอะ ยังไงก็ขอขอบพระคุณพี่นพอีกทีมากๆครับ ที่เมตตาชี้จุดบกพร่อง
    และแนะนำสิ่งล้ำค่าให้ทุกคนรวมทั้งผมด้วยตลอดมา ส่วนเรื่องที่ผมจะเข้าใจ
    มากเข้าใจน้อย นำไปใช้ประโยชน์ได้มากน้อยเพียงใดนั้น ก็สุดแท้แต่บุญ
    วาสนาบารมีของผมล่ะครับ ถ้าจริตผมมาแบบพี่นพ แน่นอนพี่ปล่อยของมาล้าน
    ผมรับได้ล้าน แต่ถ้าจริตผมไปคนละทาง ไม่เป็นไรครับผมก็คงมึนตึ๊บต่อไป 55

    ปล.ทางไปมีเป็นร้อยล้านเส้น เจ้าต้องเป็นผู้เลือกเองและเดินไปด้วยตัวของเจ้าเอง
    หากเจ้าไม่เลือกเองและลงมือเดินไปเองแล้ว เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าทางไหนดี
    ที่สุดสำหรับเจ้า:'(

    <ขอบคุณพี่นพการมากครับ>
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ประมาณนั้นหละ แล้ววันหนึ่งจะรู้ว่า
    ไม่ว่าจะกรรมฐานกองไหน ฝึกสายไหน
    มันมีนัยยะสัมผัสสัมพันธ์กันอย่างที่เราคาดไม่ถึง
    ไม่ว่าภาคทฤษฎีภาคปฎิบัติและภาคส่วนภพภูมิข้างบน
    ปล.เด่วอนาคตจะเข้าใจได้เอง
    ตอนนี้ฟังแล้วงงๆไปก่อนนะ๕๕๕
     
  17. [-VaLentine-]

    [-VaLentine-] กระผมสมาธิและกำลังจิตกากสุดในเวปนี้

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +486
    โห...มีห้องนี้ก็ไม่บอกกันเลยครับ ตรงจริตดีแท้... เข้ามาซึมซับต่อจากห้องกสิน 5555+
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เอ๊า! อ่านที่เขียนก่อนหน้านั้นในกระทู้นี้ให้งงๆไปก่อนเน้อ
    เพื่อปรับพื้นฐานความงง ๕๕๕
     
  19. [-VaLentine-]

    [-VaLentine-] กระผมสมาธิและกำลังจิตกากสุดในเวปนี้

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +486
    อ่านไปๆจะให้พี่นพ เอาไม้เท้ากายสิทธิแท่งแก้วใสๆเปิดตาที่สามให้สะหน่อย. แต่พอดูๆเรื่องภพภูมิมีฤทธิ์นิสัยไม่ดีเข้าแทรกแล้วผมนี้ถอยดีกว่าคร้าบบ. 555555
     
  20. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,516
    ได้ข่าว ว่า พี่ติง แกเปิดที่ ๓ ไป สัก ๓ หนเห็นจะได้

    ก็อิจฉาแกค่ะ กะว่าจะไปเปิดเพิ่มให้เป็นพันตา แบบ ท่านท้าวมหัศนัยไตรตรึงษ๊า จะเอามาข่ม พี่ครูติง ค่ะ แต่พี่ติงไล่ให้ไปเป็นสัปปะรด(พืช) แทน



     

แชร์หน้านี้

Loading...