ผม...พระ...และ...สาระยุคก่อน

................................
.....................
...ขอบคุณในคำชมเช่นกัน..
เรื่อง..รัก..นี้นะ..ความจริงไม่ยาก..ถ้า..ดูของจริงๆบ่อยๆ..สังเกตรายละเอียดให้ดี..ว่ายุคไหนเป็น..ยุคไหน..ขอเขาดูไปเรื่อย..ไม่ต้องเป็นพระดัง..ขอให้ลงรักเก่า..ก็พอ..แบบหุ้มตะกรุด..หรือ..ของขลังอื่นๆ..
ก็ดูให้หมด..แล้วมันจะไม่ต้องจำเพราะ..ภาพมันจะติดตา..ลักษณะ..การกระเทาะออกเป็นยังไง..รอยปริ..เป็นแบบไหน..ผิวรุ่นเก่า..ต้องมันเลื่อม..เพราะมันแข็ง..ต้องไม่ทึบ..และ..ต้องแยกให้ออก..เพราะบางคนปลอม..โดยโดยใช้แชล็ก..หรือ..แล็กเกอร์สีแข้ม..เอามาแทนรักน้ำเกลี้ยง..แต่ถ้าเราได้เห็นของจริงบ่อยๆ..จะทราบเอง(..พวกแชล็ก..หรือ..แล็คเกอร์..
นั้น..เมื่อเราดม..มันจะมีกลิ่น..ของทินเนอร์ตัวทำละลายที่ผสมอยู่..ออกมา..มันกลบกลิ่นยาก..ถ้าได้กลิ่นก็วางได้เลย)...............
....เรื่องพระปลอม..ก็อย่างว่า..อย่าริไปเล่นพระแพง..เพราะยิ่งแพง..ก็ปลอมยิ่งเหมือน..
..พวกพระ..หลักแสน..หลักล้าน..ของจริงนะ.งเขาไม่มาเร่ขาย..หรือวางขายตามแผงธรรมดา..หรือ..มาขายในเน็ต..หรอก..ของพวกนี้ส่วนใหญ่มีใบจอง..
...ถ้าเริ่มเล่นใหม่..ให้เล่นของถูกเข้าไว้..ของแพงหน่อยโผล่เข้ามา..ก็ไม่ต้องไปมองมัน..จะได้ไม่มีกิเลิศ...ไม่ใช่เล่นพระได้ปี..สองปี..เอาเหรียญหลักล้านเที่ยวมาโชว์เขา..แถมบอกว่า..เช่าเองไม่มีกุนซือประกบ..แบบนี้..บอกได้อย่างเดียวว่า..เรียบร้อย..
.................................
...เรื่องล็อกเก็ต..ในหลวงนี่..ผมขอบอกตรงว่า..
..ไม่ทราบรายละเอียดครับ..ขอโทษที...

 

ปีที่แล้วสงกรานต์ พาคุณแม้ไปไหว้หลวงพ่อทอง รู้สึกศรัทธามาก และ ได้ฟังเรื่องราว ที่เป็นอดีต ที่เป็นความลับ ยิ่งน่าศึกษาเรียนรู้

 

สวัสดีครับคุณอา มาติดตามตอนต่อไปครับ

 

สวัสดีวันเริ่มต้นทำงานครับคุณอา และพี่่ๆ ทุกท่านครับ

 

....เรื่องของหลวงพ่อทอง..ตอนที่๓.....
..............มันมีที่มาครับ.....ท่านเล่าให้ผม..กับ..พ่อ..ว่า..ปัญหาคือ..เรื่องถนนเข้าวัด(..ปัญหานี้..ทั้ง
ผม..และ..พ่อก็ทราบดีอยู่แล้ว..)...เดิมนั้นถนนเดิม..เป็นถนนลูกรังแคบๆ..ที่จะมีสภาพดีหลังจาก
ซ่อมประจำปี..ได้แค่ประมาณ ๖ เดือน..คือหน้าหนาว..ต่อ..หน้าแล้ง..พอเข้าหน้าฝน..ก็เริ่มจมดิน
ยุบตัว..ยิ่งถ้ามีรถบัสเข้ามาวัด..บ่อยๆยิ่งไปกันใหญ่..หน้าฝนนี่..รถเก๋งธรรมดา..แทบจะเข้าวัดไม่ได้
เพราะผิวถนนยุบตัวตามร่องล้อ..รถบัส..พอเข้าเดือนตุลา..น้ำทะเลหนุนสูง..คราวนี้..ถนนจมน้ำอีก
ต่างหาก..รถกะบะ..ยังเข้าแทบไม่ได้ช่วงที่น้ำขึ้น.....
...........ทั้งหมดมาจาก...สถานที่ตั้งเนื่องจาก..ดินแถวนี้เป็นตะกอนดินงอกใหม่..ดินด้านล่างก็เหมือน
เลน..เดิมก็เป็นป่าโกงกางทั้งสิ้น..(คล้ายๆแถบบางขุนเทียน)...ดังนั้น..การทำถนน..จะต้องปรับฐาน
ให้ดี..ลงวัสดุหินคลุก..มีมาตรฐาน..และ..ต้องลาดยาง..กันผิวถนน..ยุบเป็นร่อง..และ..ไม่ไหลไปกับน้ำ
.....วัดนั้น..เงินทำบุญ...ที่ผ่านๆมาหลายสิบปี..ทุกปี..หมดไป..กับ..ถนนมากว่า..อย่างอื่น....
......และเป็นสาเหตุที่..หลายๆคนที่เคยไปทำบุญที่นี่..แล้วไม่อยากไปอีก..เพราะลำบากเรื่องการเดินทาง
..ผิดจากพี่น้องท่าน..อย่างหลวงพ่อวัดบ้านแหลม..หรือ..หลวงพ่อโสธร..นี่ถือว่า..อยู่ติดเมืองเลยสะดวก
สบาย..ไปเมื่อไหร่..ไปแบบไหน..ได้หมด........
......มันเกาะกินใจท่านมาหลายสิบปี....ขณะเดียวกัน..ค่าซ่อมแซมถนนก็แพงขึ้นทุกๆปี...จนท่านไม่ไหว
..แล้วเหมือนเช่นเคย..ในกลางดึก..ท่านอยู่ในโบสถ์..กับ..หลวงพ่อสองต่อสอง...เหมือนเช่นเคย..แต่คราว
นี้..ท่านก็ระบายเรื่องนี้ยาว..และบอกหลวงพ่อว่า..อยากจะทำให้ปัญหามันหมดไป...ท่านบอกกับหลวงพ่อ
ว่า..เคยให้ผู้รับเหมามาประเมินค่าใช้จ่ายเบื้องต้น..ในการทำถนนลาดยาง..โดยปรับพื้นทางฐานรากให้ดี..
แล้วก็ลาดยาง..ให้มีมาตรฐานไปเลย..จะได้ไม่ต้องคอยมาซ่อมใหญ่กันทุกปีอีกอย่างเคย...ซึ่งผู้รับเหมา
ก็บอกมา..ว่าต้องใช้ราคาสูงมาก...ท่านก็บอกกับหลวงพ่อว่าผมกลุ้มใจมาก..ไม่รู้จะหาเงินขนาดนั้น..
มาจากไหน..แค่เงินซ่อมแซมธรรมดาแต่ละปีก็แย่อยู่แล้ว..อยากให้หลวงพ่อหาทางช่วยให้หน่อย...
...เมื่อท่านออกจากโบสถ์ไปกลับไปจำวัด...ท่านก็นิมิต..แล้วหลวงพ่อก็เข้ามาในนิมิต..อย่างเคย...
......แต่ตราวนี้..หลวงพ่อบอกกับท่านว่า..เข้าใจปัญหาดีแล้ว..หลวงพ่อก็รับปากจะช่วยให้สำเร็จ.....
...................ตอนนั้น..หลวงพ่อท่านยังประดิษฐานอยู่ที่โบสถ์..เชิงเขานะครับ..ไม่ได้ลงมาอยู่ข้างล่าง
อย่างปัจจุบันนี้.....แล้วในคืนต่อมานั้นเอง..กลางดึกสงัด..พระจำวัดกัน..หมดแล้ว...ท่านเจ้าคุณสุข
บอกว่า..ท่านก็จำวัดแล้วเช่นกัน..ได้ยินเสียงระเบิดสนั่นดังเปรี้ยง..ท่านบอกเหมือนเสียงยิงปืนใหญ่
เลย...พระทั้งหมดก็ตื่นรีบออกมาที่ลานวัดถามกันวุ่น..ปรากฏว่า..มีพระอยู่องค์เข้าใจว่ายังหลับไม่
สนิท..แล้ว..หน้าต่างกุฏินั้น..มองเห็นตัวโบสถ์..พอได้ยินเสียงระเบิดก็ลุกขึ้นทันที..แล้วมองออกไป
ด้านนอก..มองเห็น..แสงสว่างสีทองกระจายออกมารอบตัวโบสถ์..แสงนี้นานพอสมควร..เพราะพระ
ที่รีบวิ่งออกไปนอกหมู่กุฏิ..ก็มองกันเห็นหลายคน..เมื่อ..พระรายงานท่าน..ท่านก็รีบเดินไปที่โบสถ์
ทันที..ท่านบอกว่า..ตอนแรกนึกว่ามีใครมาระเบิดประตูโบสถ์..เพื่อจะลอกทอง..ออกจาก..องค์..
หลวงพ่อ...............เมื่อไปถึงตัวโบสถ์..กลับปรากฏว่า..ประตูโบสถ์ก็ยังอยู่ในสภาพเดิม..ใส่กุญแจ
เหมือนเดิม...ท่านก็เลยให้พระที่มีหน้าที่เปิดปิดโบสถ์..นำไขกุญแจ..เปิดประตูโบสถ์..และเปิดไฟ
แล้ว..ท่านก็ต้องตะลึง..ร่วมกับ..พระทุกองค์ที่ตามหลังเข้าไป............


.............

...นี่คือภาพ..สมัยที่หลวงพ่ออยู่ที่โบสถ์เชิงเขา..ซึ่งตอนที่ระเบิดทองออก..นั้น
ทองหุ้มมากกว่านี้...ด้านหลังองค์บนสุดพระพุทธรูปทรงเครื่องนั้นคือ..หลวงพ่อเทวฤทธิ์....
(..ขอบคุณภาพจาก tinyZone.tv..)


............................ต่อตอนหน้า..........................

 

ติดตามครับ กำลังจะไคลน์แม็กซ์ ครับผม

 

................
..หวัดดี..หลานสวนพลู..punthai..และ.เฉียวฟงหลานรัก..
รวมถึง..ทุกคนในครอบครัวผม.........
.................................
..ต่อจากตอนที่แล้ว......
...........................
................................................
...แล้วการที่..คนไทยได้ซึมซับ..กับ..เรื่องรามเกียรติ์กันเป็นอย่างดี..นั้น
....จึงเข้าใจได้ดี..ถึง..การที่พระนารายณือวตารลงมาปราบทุกข์เข็ญ..โดยอยู่ใน
รูปของกษัตริย์..ปกครองบ้านเมือง..แบบธรรมดา..เหาะเหินเดินดินไม่ได้..คล้าย
กับ..คนธรรมดาสามัญ(..แต่ขอโทษที..มีจรวดSAM(SURFACE to AIR MISSILE)และ
SSM(SURFACE to SURFACE MISSILE)..ใช้ส่วนตัวแบบปริมาณไม่จำกัด..นี่จะเรียกว่า
ธรรมดา..ก็ไม่น่าจะธรรมดาสัญเท่าไหร่(ลูกศรวิเศษ))..ดังนั้น..เมื่อเหล่าพราหมณ์ที่ปรึกษา..เสนอ
แนวคิดแบบนี้..ประกอบกับ..ด้านจิตวิทยา..ที่ตามมาคือ...
๑. พสกนิกร..จะเคารพมากขึ้น..เพราะจะได้คิดว่าความจริงเป็นเทพ..แต่ลงจากสวรรค์
ลงมาเกิด..เป็นมนุษย์
๒. พสกนิกร..หรือ..ตนที่จะคิด กบฏ..มันจะได้ไม่กล้าลบหลู่...หรือ..คิดก่อการ
เพราะผลสุดท้าย..ของคนเหล่านั้น..จะเหมือน..ทศกัณฐ์....ที่หาญท้ารบกับ..นารายณ์
อวตาร....
๓. สร้างความสูงส่งให้สายเลือดผู้สืบทอด..และ..แบ่งระดับชั้น
..ส่วนผล..พลอยได้ของเหล่าพราหมณ์..ก็คือ..รักษาศาสนาและความเชื่อได้ต่อเนื่อง
โดยมีกษัตริย์..เป็นผู้อุปถัมภ์..เพราะเป็นความผูกพันกับเทพ..พิธีกรรมทางพราหมณ์ก็จะได้
สืบเนื่องต่อไปนานเท่านาน.....
......ผมว่า..กษัตริย์ผู้เริ่มต้น..ตั้งแต่ยุคขอมมา..ที่ยึดตามนี้..ก็คงรู้ว่าจริงๆไม่ใช่แต่..พสกนิกร
ของตัว..นั้นเพราะความที่..ไม่ได้นับถือเทพเป็นหลักแต่นับถือผี..นั้น..จะได้หันมาสนใจ
เรื่องเทพมากขึ้น..ตัวเอง..ก็จะมีคนเคารพศรัทธา..มากขึ้นด้วย..ถึงจะไม่ได้นับถือพราหมณ์
เป็นศาสนาหลัก..แต่ชอบขอ..ก็เข้าทาง..สร้างเทวสถานเยอะๆ..กระจายไปให้..มันขอกันได้
ทั่วถึง..คนชอบขอ..มีอะไรมันที่เขาว่าศักดิ์สิทธิ์..มันก็ขอหมด..ทำให้ทุกคนรู้ว่ากษัตริย์ของ
ตัวเอง..คือ..เทพอวตาร..โดยโยงใยกับ..รามเกียรติ์..มันก็เข้าใจได้ง่ายขึ้น........
....ดังนั้นจะเห็นว่า..ตามปราสาทเขมรทั้งในเขมร..และ..ไทย..ก็จะมีเรื่องรามเกียรติ์..
จำหลักไว้ด้วยไม่น้อย.....
.........รูปแบบแนวทาง..มันก็ได้ส่งต่อมาถึงไทย..แม้หลังที่เราเริ่มมีอาณาจักรของตน
เองไม่ได้ผูกพัน..อะไรกับใคร..เป็นเอกราช..อย่างอยุธยา..กษัตริย์ก็ยังคงมี..พราหมณ์
ปุโรหิต..เป็นที่ปรึกษา..และก็คงเห็นดีกับรูปแบบแนวนี้..ที่ต่างกันหน่อยคือ..เมื่อถึง
ยุคนี้..ในไทยนั้น..เรานับถือพุทธศาสนา..เป็นหลัก..เราไม่ได้นับถือ..ผี..ควบคู่กันไป
อย่าง..ลาว..และ..เขมร....
....และ..เช่นกัน..แต่เน้นมากขึ้นคือ..สังคมกษัตริย์..เราใช้แม้กระทั่งชื่อ..เพื่อสื่อ....
..ไม่ว่า..จะชื่อเรียกธรรมดา..เมื่อเล็ก..หรือ..ครองราชย์แล้ว..ชื่อก็จะอิงไปกับ...พระราม
..พระนารายณ์..พระอินทร์..(โดยเฉพาะ..พระอินทร์นั้น..ทางความเชื่อนั้น..ถือว่า..
เป็นรองแค่..พระนารายณ์..หรือ..พระราม..เปรียบได้..กับแขนขวาของ..พระนารายณ์
เลย..)..หรือแม้กระทั่ง..พระอิศวร..(..อย่าง..พระนเรศวร..เป็นต้น...)
และที่ตอกย้ำชัดๆ..ให้ผู้คนได้สำนักว่า..กษัตริย์ของตนนั้นเป็น..พระนารายณ์
อวตาร(ลงมาเป็น..พระราม)..ก็คือ..เมืองหรือ..อาณาจักรที่ปกครองนั่นเอง......
...............กรุงศรีอโยธยารามเทพนคร..........
.....ชื่อก็เป็นชื่อ..เดียวกัน..กับเมืองของพระรามใน..รามเกียรติ์..........
......อ้าวอย่างงั้น..ทำไม..ไม่ใช้..พระรามเป็นสัญญลักษณ์..ของกษัตริย์ซะเลยละ....
..........นี่แหละ..คือ..ปัญหาละครับ.........................

..................

...นารายณ์ทรงครุฑยุดนาค..ที่เก่าแก่ที่สุดของ..ภูมิภาคนี้..เป็นลายจำหลัก
บนหินทรายทับหลัง..ที่ปราสาทวัดภู ลาวตอนใต้..ซึ่งเป็นเทวสถานฮินดู..ของขอม
ยุคต้น..ในพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ..ซึ่งร่วมสมัยกับ..ยุคทวาราวดี....
(ขอบคุณภาพจาก oknation.com)

.................ต่อตอนหน้า...........

 

ได้ความรู้มากมายเลยครับอา รอติดตามตอนต่อไป พร้อมเป็นกำลังใจให้คุณอาเสมอครับผม

 

..นำไขกุญแจ..เปิดประตูโบสถ์..และเปิดไฟ
แล้ว..ท่านก็ต้องตะลึง..ร่วมกับ..พระทุกองค์ที่ตามหลังเข้าไป............ อยากติดตามตอนต่อไปมากๆ ครับ....

 

.....................................................
..เรื่องของหลวงพ่อทองตอนที่ ๔....
......................................................
....ภาพที่ปรากฏนั้น..คือ..ทองคำเปลว..ที่ปิดองค์ท่านอย่างหนามาก(..ถ้าท่านสังเกต..บางภาพ
ของหลวงพ่อ..สมัยที่ท่านอยู่ที่โบสถ์..เชิงเขา..โดยเฉพาะ..ภาพก่อนหน้าเหตุการณ์จะเกิดนั้น
..หลวงพ่อมีสภาพเหมือน..”ก้อนตุ๊กตาทองคำ”..คือ..นอกจากที่ไม่มีใครได้เห็น..ตา ..หู..จมูก
ปาก..หลวงพ่อ..มานานหลายปีแล้ว..ตอนหลัง..เศียรท่าน..กลายเป็นก้อนกลมๆ..คล้ายๆกับ..
ตุ๊กตาหิมะ..ของฝรั่ง..มียอดเกศ..เป็นตุ่มรีๆ..ติดอยู่ด้านบน...คอ..ไม่มี..มีลำตัวอ้วนแบบ..ตุ๊กตา
ของเด็ก..แขนกับ..ลำตัวแยกกันไม่ออก..ส่วนขาที่นั่งขัดสมาธิ..กลืนกันไปหมด..เป็นชิ้นเดียว
ไม่มีขาซ้ายขาขวา...)...นั้นแยกออกจากองค์ท่าน...ออกหมด..และ..ติดห้อยๆ..อยู่......ทั้งท่าน
เจ้าคุณ..กับ..พระทั้งหมด...หลังจากหายตะลึง..ก็ก้มลงกราบ..ในปาฏิหารย์ของท่าน..พระองค์
อื่น..ไม่มีใครทราบที่มา..ของการเกิดเหตุครั้งนี้..เพราะท่านเจ้าคุณไม่ได้บอกใคร....ท่านบอก
ผมกับพ่อว่า..ดีใจเป็นที่สุดที่..หลวงพ่อทำตามที่บอก..ความจริงท่านก็นอนคิดอยู่ว่า...หลวงพ่อ
จะทำยังไง..แต่มั่นใจอยู่แล้ว..เพราะหลวงพ่อรับปาก..ต้องสำเร็จแน่....เรียกว่า...ได้ผลทันใจเลย
..ไม่ต้องไป..สร้างพระป่าวประกาศ..แล้วเงินที่ได้ก็ไม่พออยู่ดี..เพราะวัดนี้..เป็นวัดชาวบ้านไม่
สร้างพระหากำไรเกินควรอยู่แล้ว...
..........ท่านสั่งให้..รองเจ้าอาวาส..พระลูกวัด..เด็กวัด..มานอนค้างกันในโบสถ์..เป็น มากกว่าสิบองค์
ผลัดกัน..อยู่ยาม..จนเช้า...พอรุ่งขึ้น..ท่านจึงขึ้นโบสถ์ไป..และ..เป็นคนที่แกะทองออกจากองค์ท่าน
โดยมีพระลูกวัดมาช่วย..กรรมการวัด..โดนปลุกแต่เช้า..และต้องเรียกตำรวจ..มาช่วยคุ้มกันด้วย....
..ท่านบอกว่า..มากกว่า ๒ อาทิตย์..ตั้งแต่วันรุ่งขึ้น..(ขนาดตอนนั้นยังไม่มีมือถือ..)..ข่าวแพร่สะพัด
อย่างรวดเร็ว..คนแห่มาวัดยิ่งกว่า..งานวัดประจำปีอีก....................
......ทองคำที่ได้..ผมจำได้ว่าท่านบอกว่า..มากกว่า..สิบกิโล....คือจากจะได้ถนนลาดยางอย่างดีแล้ว..
ยังเหลือ..มาใช้ในกิจการวัด..ปรับปรุงอาคาร..สถานที่ได้อีกด้วยซ้ำ........
.......................................
..............หลายท่านที่ไปวัดซักร่วมประมาณสิบปีหลัง..นี่..แปลกใจกันว่า...เอ๊ะทำไม..หลวงพ่ออยู่
ที่โบสถ์..เชิงเขา..ก็สง่างามดี..โบสถ์ก็ใหญ่สวยงาม...อยู่ดีๆ..ท่านเจ้าคุณเอาท่าน..มาอยู่ที่ศาลาข้างล่าง
..ผมเคยได้ยิน..มีหลายคนคิดออกไปแนวไม่ดีว่า..สงสัย..คนมาวัดไม่เยอะพอมั้ง..หรือ..เงินทำบุญ
น้อยไป..ก็..เลย..บริการเอาหลวงพ่อ..ลงมาถึงที่เลย..เรียกว่า..เข้ามาถึงศาลา..ก็ได้เจอท่านจะได้ทำบุญ
สะดวก..และบางคนก็ตำหนิว่า..ไม่เหมาะสม..ไม่สมศักดิ์ศรีท่าน..มาอยู่เหมือนศาลาชั่วคราว..
..ทำยังกะ..วัดโสธร..ตอนช่วงทำวิหารใหม่..แต่นี่ผิดกัน..เพราะที่ท่านก็มีอยู่แล้วเอาท่านลงมาทำไม..
......ก็ไม่ต้องคนอื่นหรอก..ผมเองครั้งแรก..ที่มาเจอท่านที่ศาลาข้างล่างก็งง..ไม่เข้าใจ..ท่านเจ้าคุณ..
...อดรน..ทนไม่ได้..ก็เลยต้องถามท่าน...ท่านหัวเราะชอบใจ...แล้วก็เล่าที่มาให้ฟัง...

.......................

....ดูกันใกล้ๆอีกที..แต่ผมยืนยันว่า..ตอนที่หลวงพ่อระเบิดทองออกนั้น..ท่านอ้วนกว่านี้เยอะ..คือ..ร่องแขน..ร่องขา..แทบไม่มี..เพราะผมไปตอนนั้นยังอ้วนกว่าในรูปนี้อย่าง
เห็นได้ชัด....(ภาพนี้ยังอยู่ที่โบสถ์เชิงเขา)
..(ขอบคุณภาพจาก gungold.com)

.................ต่อตอนหน้า................

 

สงกรานต์ปีที่แล้ว ที่ผมไปไหว้ ก็สงสัยเรื่องนี้เช่นกัน ว่าทำไมพระพุทธรูป ที่โด่งดังระดับประเทศ นำมาวางไว้แบบบ้านๆ....ความสงสัย ถูกเก็บมาจนถึงวันนี้....ตอนต่อไป...

ที่มาเจอท่านที่ศาลาข้างล่างก็งง..ไม่เข้าใจ..ท่านเจ้าคุณ..
...อดรน..ทนไม่ได้..ก็เลยต้องถามท่าน...ท่านหัวเราะชอบใจ...แล้วก็เล่าที่มาให้ฟัง...

 

โห ปาฏิหารย์แท้ๆ กราบ กราบ กราบ หลวงพ่อทอง ในชีวิตนี้ ต้องไปปิดทองท่านให้ได้ครับ ยังไม่เคยได้ไปกับเขาเลย สาธุๆๆ

 

วันนี้เข้ามา แต่ไม่เห็นบทความใหม่ รู้สึกคิดถึงเหมือนขาดอะไรไปอย่างในชีวิตปกติ
เพราะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว ที่ต้องเปิดอ่านบทความใหม่จากพี่ modpong

มารายงานตัวครับว่ายังเป็นแฟนคลับ ติดตามอ่านอยู่เสมอครับ

 

เหมือนผมเลยครับ ต้องให้เวลา คุณอาพักบ้าง ธุระบ้าง แต่ยังไงก็ยังติดตามอยู่เสมอๆครับ

 

...........
พอดี..ช่วงนี้มันไม่ค่อยมี..อารมณ์ยังไง..ไม่ทราบ..ก็เลยเบื่อๆ...
...เอ้าตามคำขอ....
..............................
................................
หวัดดี...หลานสวนพลู..และ..น้องThong....
...............................
...ต่อจากตอนที่แล้ว......
............................
...............................................
...บอกตรงๆ..ว่า..พระราม..และ..พระลักษณ์..ในงานจิตรกรรม..ถ้าไม่ใช้..สี
กาย..มาแบ่ง..ก็จะไม่ทราบ..เพราะ..เป็นตัวพระ..เป็นเชื้อกษัตริย์..ก็แต่ง..
เหมือนกันหมด..และ..มันยิ่งดู..เป็นธรรมดาๆ..เป็นคนธรรมดา..ที่แต่งกาย
แบบกษัตริย์..แล้วก็ถือ..ศร...ก็ไม่ต่างจาก..พระลักษณ์..พระพรต..พระสัตรุศ..
....ก็เลย..ต้องกลับไปใช้..ต้วตนจริง..เพราะ..เพราะจะทำให้ดู..ทรงอำนาจ...
..และ..เหนือ..มนุษย์ทั่วไป..ดูยังไง..ก็เป็นเทวดา..แหงๆ...เพราะมี..สี่กร..
อาวุธ..ครบมือ..แต่แค่นั้น..มันก็ยังไม่เท่ห์..เพราะในบรรดา..๓ เทพ..ผู้ยิ่งใหญ่
(ไม่นับ..พระอินทร์ที่เป็นเทพชั้นรอง..ขี่ช้างเอราวัณ..ไม่มีใครเท่ห์เท่าอีกแล้ว)
..พาหนะ..ของพระนารายณ์..เท่ห์สุด...พระอิศวร..ก็..แค่..วัว..เห็นกันดาษดื่น..
..พระพรหม..ก็.เป็น..หงษ์..ดูออกแนวสวยงาม..สง่า..ก็แค่นั้น...เมื่อเทียบกับ
....................พญาครุฑ......กึ่งอินทรีย์..กึ่งมนุษย์....ไม่ติดฝุ่น................
...มันจึง..ลงตัว..เหมาะที่จะแสดง..เป็น..สัญญลักษณ์..แทนกษัตริย์ได้..สมบูรณ์แบบ
....และเพื่อจะให้เห็นว่า..ทรงพระราชอำนาจยิ่งใหญ่..ก็เลยหาเหยื่อ..มาเป็นตัวโปรโมท
ปรากฏ..ว่า..สัตว์ที่รับบท(รับกรรม)นี้..ก็คือ..อาหารโปรดของ..ครุฑ..นั่นเอง...นาค..
................นี่แหละครับ..ที่มาของ...
..................นารายณ์ทรงครุฑยุดนาค......................
...ดังนั้น..ตั้งแต่มีอาณาจักรอยุธยาเป็นต้นมา..ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น...
..เราจึงได้เห็นรูปนี้เป็น..สัญญลักษณ์ที่แสดงแทน..ตัวตนของกษัตริย์..ดังที่ปรากฏ..ตาม
หน้าบันโบสถ์..ของพระอารามหลวงต่างๆ..แสดงให้พสกนิกรทราบได้ว่า..วัดนี้..
อยู่ในความอุปถัมภ์..และ..คุ้มครองโดยกษัตริย์...
.....นอกจากนั้น...เราจะได้เห็นอีก..คือในเงินพดด้วงสมัยอยุธยา..ซึ่งผู้ชำนาญการ
คาดเอาว่า..น่าจะเป็นเงินสมัยสมเด็จ..พระนารายณ์..แต่เป็นแค่รูป..ครุฑยุดนาค...
ไม่มีองค์พระนารายณ์ขี่อยู่บนหลังครุฑ...ทำไมถึงไม่เป็นเช่นนั้น..ตอบได้ง่ายมาก
ครับ...เพราะ..ภาพที่เกิดจากตัวตอกที่..ตอกลงไปนั้น....เล็กมาก....
.....ถ้าทำให้ครบเครื่องก็จะมองไม่รู้เรื่อง...สู้ทำรูปครุฑยุดนาค..แค่นี้ก็..พอแล้ว..
...คนเห็นสัญญลักษณ์..ครุฑ..ก็จะบอกความแตกต่างได้...
.........เราจะสังเกต..ความเชื่อ..หรือธรรมเนียมปฏิบัตินี้..สืบต่อ..ตลอดมา..เมื่อ
เข้ายุครัตนโกสินทร์..หน้าบันโบสถ์ของพระอารามหลวงที่สร้างขึ้นในยุคนี้..
...ก็ยังปรากฏ..รูปแบบนี้อยู่...
..........แต่เนื่องจากสมัยรัชกาลที่ ๑ นั้น..วังหน้า...นั้นมีอำนาจเรียกว่า..ทัดเทียม
วังหลวง..(จนมีปัญหาให้..ร.๑ หารูปแบบและวิถีทาง..ที่จะกำจัดหรือ..ลดพระ
ราชอำนาจ..ของวังหน้าลง)..ดังนั้น..วังหน้า..หรือ..พระองค์เสือ..ท่านจึงได้สิทธิ
ที่จะใช้เครื่องหมายนี้เช่นกัน....ไม่ว่า..จะเป็นในส่วนพระราชวัง..หรือ..วัดของท่าน

.................

....เงินพดด้วงสมัยอยุธยา..ที่เขาว่าน่าจะเป็นสมัยสมเด็จพระนารายณ์.....
(ถ้าเป็นสมัยรัชกาลที่ ๒ ครุฑจะขาถ่าง)

.......................

....ดูเอา..พระราม..ก็คือ..ตัวพระ..ธรรมดาๆ...ถ้าเปลี่ยนสีกาย..เป็นสีทอง..ก็กลาย
เป็นพระลักษณ์..ไม่มีอะไรโดดเด่น..

......................
.......................

..............เสมาติดผนัง..ที่เป็นเอกลักษณ์..ของวัดที่เป็นของ..วังหน้า กรมพระราชวังบวร..ที่วัด มหาธาตุ..และ..วัดชนะสงคราม...พระองค์ทรงใช้..เพราะพระองค์ถือว่า..มีศักดิ์เทียบเท่า..กษัตริย์เช่นกัน.......
......................ต่อตอนหน้า....................

 

ขอบคุณครับอา รอติดตามตอนต่อไปครับ

 

ขอบพระคุณครับคุณอา ผมขอลาไปเที่ยวกระบี่ซักสี่ห้าวัน อาจจะไม่ได้เข้ามาทักทายครับ แต่เดี๋ยวย้อนอ่านครับ

 

ขอบพระคุณครับคุณอา.. ติดตามและเป็นกำลังใจให้คุณอาเสมอครับ

 

ขอบคุณครับ ยังติดตามอยู่เสมอครับ แม้ว่าจะมีโอกาสมาอ่านแค่ช่วงเวลาดึก ๆ ก็ตาม

 

สวัสดีครับ ติดตามผลงานของคุณอามาตลอด ไม่เคยเข้ามาทักทายซักที เห็นคุณอาบ่นเบื่อๆช่วงนี้ เลยมาทักทายเป็นกำลังใจให้คุณอา ถ่ายทอดเรื่องราวเก่าๆ ความรู้ที่สั่งสมมาจากรุ่น สู่รุ่นต่อไปครับ ชื่นชอบมากครับ