พระพุทธเจ้าที่เป็นผู้หญิง

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย จันทโค, 25 กุมภาพันธ์ 2010.

  1. DevaIsis

    DevaIsis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,005
    ค่าพลัง:
    +4,600
    และนี่ คือสาเหตุที่ ในยุคพระศรีอาริยเมตตรัย ผู้หญฺง และผู้ชาย หน้าตาเหมือนกันหมด แยกไม่ออกได้ด้วยสายตา ค่ะ
     
  2. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    ตอบกระทู้บน กระทู้นี้มันนานแล้วล่ะครับ มันตกไปนานแล้ว แต่ ผมขอตอบเล่นแล้วกัน มันคือภาพวาดครับ จะวาดให้ใครมายืน เคียงใครก็ได้ครับ แล้วแต่คนวาด จะสมมุติให้ คนในภาพเป็นใคร ^^
     
  3. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ตอบตามภาพนะครับ
    ด้านซ้ายของพระพุทธเจ้า คือ องค์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร(พระโพธิสัตว์กวนอิม)
    ด้านขวาของพระพุทธเจ้า คือ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์

    ครับ
     
  4. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    อิอิ
    แต่ละกระทู้ ไมมีตกหรอกครับ
    ถ้ามีคนมาตอบ มันก็จะโชว์นะครับ ถ้าไม่มีคนตอบมันก็หายไปแค่นั้นเองนะครับ
     
  5. sakara

    sakara Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2006
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +80
    ตามที่ผมคิดนะ ผมว่าชาย หญิงมีขันธ์ 5 ที่แตกต่างกัน เราต้องยอมรับให้ได้ว่า เมื่อไม่เหมือน ย่อมมีข้อดี และข้อด้อย มันแตกต่างกันไป ในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่เท่าเทียมกัน คนเรามีระดับของสติปัญญาที่แตกต่างกัน มีกำลังกายที่แตกต่างกัน ตามขันธ์ 5 ที่ถืออยู่

    ผู้หญิง-ผู้ชาย ก็ย่อมแตกต่างกัน ความเท่าเทียมหาได้เกิดขึ้นไม่ การจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ ย่อมมีเงื่อนไขของมัน ตามที่พุทธองค์ท่านได้ตรัสเอาไว้

    ขออนุโมทนากับทุกท่านที่มาสนธนาธรรมกันครับ แม้จะต้องถกเถียงกันบ้าง แต่ขอให้ชาวพุทธสามัคคีกันเอาไว้ครับ
     
  6. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,306
    แล้วตอนสร้างบารมี เคยเกิดเป็น ผู้หญิงบ้างหรือเปล่าค่ะ
     
  7. jakrapat

    jakrapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +127
    อันว่าสตรีเพศนั้นเกิดมามีบารมีและความเข็มแข็ง และกำลังใจไม่เท่ากับบุรุษเพศ เพราะผู้ที่เกิดมาเป็นผู้หญิงนั้นมีบารมีและกำลังใจอ่อนกว่าผู้ชาย แม้ปราถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้ายังจ้องปราถนาเป็นผู้ชาย ก่อน แล้วจึงปราถนาเป็นพระพุทธเจ้า
     
  8. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    อย่าว่า แต่หญิงเลย แม้แต่ชาย ก็ใช่ว่าจะเป็นได้หมดทุกคนครับ
     
  9. DevaIsis

    DevaIsis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,005
    ค่าพลัง:
    +4,600
    ถามต่ออีกซักนิดนะคะ

    ญาณของพระอรหัตสาวกหญฺงในสมัยพุทธกาล มีบ้างไหมที่ลงมาโลกมนุษย์ ?

    และหยิน-หยาง ในลัทธิเต๋า มีไว้ทำไม

    หยางตัวเดียวก็พอเพียงที่จะบรรลุพระนิพพาน มิใช่หรือ ?
     
  10. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ญาณของพระอรหันต์สาวกฝ่ายหญิงนะ มีครับ แต่ท่านจะลงมาโลกมนุษย์ทำไมละครับ ก็ท่านนิพพานไปแล้ว

    ส่วนพลังหยิน-หยาง นั้น เกี่ยวอะไรกับนิพพานครับ งง....
    มันเป็นพลังธรรมชาติของชีวิต(คนเราจะมีชีวิตที่มีแต่พลังหยิงหรือพลังหยางอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีทั้งสองอย่าง) ไม่ใช่เหรอครับ
    มันจะมาเกี่ยวข้องอะไร กับการหมดกิเลสละครับ ผม งง....มากเลย
     
  11. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ถึงจะเกิดก่อนก็คง ไม่ได้เป็นหรอกครับ
    ขนาดเกิดหลังท่าน ยังไม่บรรลุธรรมอะไรเลยนะ(ไม่ได้ว่าท่าน เล่าจื้อนะครับ)

    สาธุ โมทนาครับ
     
  12. itipizo

    itipizo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +86
    ความคิดมนุษย์นี้ สุดบรรเจิด จริงๆ
    ช่างสรรหา มาคิด มาตั้งประเด็น

    นับถือๆ
     
  13. ตุ๊โต้ง

    ตุ๊โต้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +223
    ใครรู้ก็บอกมา ว่าพระพุทธเจ้าที่เป็นหญิงมีนามว่ากระไรถ้าจะเกิดขึ้นในอนาคต
    รู้หรอกครับคิดจะเอาเรื่องสิทธิมนุษยชนมาคิดว่า ชายทำงานนั้นได้ หญิงก็ทำงานนั้นได้
    ใช่ไหมล่ะพูดขึ้นมาลอยๆหรือยกความคิดเห็นใครที่ยังไม่บรรลุสรรเพชญุตญาณมาอ้างน่ะควร
    แล้วเหรอครับต่อให้เค้าว่าเค้่าตรัสรู้แล้วผมก็ไม่เชื่อ ถ้าอยากจะเคารพบูชาพระนางยโสธราผมก็ไม่ขัดข้องหรือประนามเท่าคนดึงเอาพระบรมศาสดามาล้อเล่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มกราคม 2011
  14. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    โอ้โห ! มีด้วยหรือ กระทู้พระพุทธเจ้าเป็นผู้หญิง ไม่เคยรู้มาก่อนเลย อย่างไรเสียก็ขอแจมด้วยคนครับ คงไม่ว่านะครับ

    <O:p</O:p
    ก็ขอสาธุ เจ้าของกระทู้ด้วยครับ และขอสาธุกับพระพุทธเจ้าที่เป็นผู้หญิงด้วยครับ (ถ้าหากว่ามี แต่คิดว่าคงไม่ อิ อิ)


    <O:p</O:p
    กระทู้นี้ถือว่าเป็นมุมมองอีกมิติหนึ่งที่มีความหลากหลายนะครับ ผมชอบครับ
    <O:p</O:p

    ก่อนที่ผมจะพูด หรือเขียนอะไรไป ผมขอตั้ง นโม ก่อนครับ

    <O:p</O:p
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุท ธัสสะ ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

    <O:p</O:p
    ก็จะขอเล่าเรื่องบอกกล่าวเพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชายหญิงทั้งหลายที่ปราถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า สัก 3 เรื่อง ต่อไปนี้
    <O:p</O:p

    .....1. พระพุทธเจ้า (พระโพธิสัตว์) จะต้องบริจาคลูกและเมีย (กรณีพระพุทธเจ้าเป็นเพศชาย) หรือบริจาคลูกและผัว (กรณีพระพุทธเจ้าเป็นเพศหญิง) ซึ่งอันนี้เป็นหลักสูตรบังคับ หรือข้อบังคับ ที่กำหนดให้ผู้ปราถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าต้องปฏิบัติ (ไม่เชื่อก็แล้วแต่ท่าน) เหตุผลก็คือเพื่อเป็นการวัดกำลังใจของผู้ปราถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งการบริจาคลูกและเมีย (กรณีพระพุทธเจ้าเป็นเพศชาย) หรือบริจาคลูกและผัว (กรณีพระพุทธเจ้าเป็นเพศหญิง) เป็นทานที่ทำได้ยากยิ่ง
    <O:p</O:p

    .....2. ในชาติที่พระโพธิสัตว์จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระโพธิสัตว์ต้องแต่งงานมีครอบครัว มีลูกและเมีย (กรณีพระพุทธเจ้าเป็นเพศชาย) หรือมีลูกและผัว (กรณีพระพุทธเจ้าเป็นเพศหญิง) อันนี้เป็นหลักสูตรบังคับ หรือข้อบังคับ ที่กำหนดให้ผู้ปราถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าต้องปฏิบัติ (ไม่เชื่อก็แล้วแต่ท่าน) เหตุผลก็คือเพื่อเป็นการวัดกำลังใจของผู้ปราถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า ที่จะละ ที่จะตัด ความผูกพัน ความอาลัยอาวรณ์ ได้หรือไม่
    <O:p</O:p

    .....3. ในชาติที่พระโพธิสัตว์จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระโพธิสัตว์จะมีมหาปุริลักษณะ คือลักษณะของผู้เป็นมหาบุรุษ 32 ประการ (กรณีพระพุทธเจ้าเป็นเพศชาย) หรือมหาปุริลักษณะ คือลักษณะของผู้เป็นมหาสตรี 32 ประการ (กรณีพระพุทธเจ้าเป็นเพศหญิง)
    <O:p</O:p

    .....สำหรับมหาปุริลักษณะ คือลักษณะของผู้เป็นมหาสตรี 32 ประการ (กรณีพระพุทธเจ้าเป็นเพศหญิง) นั้น ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าจะมีลักษณะเป็นอย่างใด แต่ถ้าจะให้มีลักษณะเหมือนอย่างมหาบุรุษเพศชายทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้ เช่นมีอยู่ข้อหนึ่งที่ว่า มีองคชาต (บาลีใช้คำว่า คุยหะ หรือของลับ) ตั้งอยู่ในฝัก คืออวัยวะเพศชายจะมีลักษณะเหมือนของเด็กที่ยังไม่คลิบปลาย คือจะไม่โพล่ส่วนหัวออกมาเหมือนอยู่ในฝัก ที่อธิบายนี้ไม่ใช่หยาบคายลามกแต่เพื่อเป็นวิทยาทาน
    <O:p</O:p

    .....สรุปก็คือในชาติที่พระโพธิสัตว์จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ถ้าเป็นชายก็หุ่นดี หล่อ สมาร์ท เป็นที่หลงไหลของสตรีทั้งหลาย ถ้าเป็นหญิงก็สวยงามได้รูปทรงเป็นที่ยั่วยวนมีเสน่ห์เป็นที่ดึงดูดเพศชาย เป็นที่หลงไหลและเป็นที่ต้องการของผู้ชายทั้งหลาย
    <O:p</O:p

    .....ที่นี้เรามาดูกันต่อ สมมุติมีพระโพธิสัตว์หญิงลงมาเกิดที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น แน่นอนเธอต้องสวยงามเป็นที่อันดับหนึ่งในโลก กิตติศัพท์ความงามของเธอต้องขจรไปไกลทั่วทุกสารทิศน้อยใหญ่ กษัตริย์ในแคว้นต่าง ๆ ต้องมาสู่ขอเธอเป็นภรรยา อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดสงครามแย่งชิงพระโพธิสัตว์หญิง ซึ่งเป็นเหตุผลที่เกิดขึ้นได้

    <O:p</O:p
    .....และเมื่อพระโพธิสัตว์หญิงแต่งงานมีลูก เธอก็จะต้องเลียงดูให้นมลูก เพราะผู้หญิงเป็นผู้ตั้งท้องและมีน้ำนมให้ลูกดื่มกิน ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าแม่กับลูกน้อยย่อมมีความผูกพันธ์กันมาก ดังนั้น เป็นการยากที่พระโพธิสัตว์หญิง จะทิ้งลูกในขณะที่ยังเป็นทารกแล้วออกบวช
    <O:p</O:p

    .....เมื่อพระโพธิสัตว์หญิงออกบวช แน่นอนเธอต้องมีพระสหายที่เป็นหญิงพาเธอไปส่ง ณ สถานที่ ที่เธอจะปลงผม และเมื่อเธอถือเพศบรรพชิตนุ่งห่มเป็นพระและภิกขาจาร ธุดงค์ไปเพียงตามลำพังตามป่าเขา ย่อมผจญกับภยันอันตราย และสัตว์ร้ายนา ๆ ชนิด รวมทั้งความสวยงามของเธอก็จะเป็นภัย เพราะจะมีพวกผู้ชายมาหลงไหลและตามรังควาน
    <O:p</O:p

    .....อีกประการหนึ่ง การที่เธอเป็นหญิง เธอจะต้องนุ่งห่มให้รัดกุม จะเดิน จะนั่ง จะนอน หรือขับถ่าย รวมทั้งการสรงน้ำ (อาบน้ำ) ก็ต้องระมัดระวัง ดูตาม้าตาเรือให้ดี (เป็นสำนวนครับ) เพราะในป่าโจรผู้ร้ายก็ชุกชุม
    <O:p</O:p

    .....เมื่อเธอสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เธอก็ควรจะต้องมีพระอัครสาวกซ้ายขวาที่เป็นหญิง ทั้งนี้ เวลาเธอไปไหนมาไหนถ้ามีพระอัครสาวกซ้ายขวาที่เป็นชาย ชาวบ้านเขาจะติฉินนินทาได้ และเช่นเดียวกัน เธอก็จะต้องมีพระอุปัฏฐากที่เป็นหญิง และแพทย์ประจำพระองค์ที่เป็นหญิง เพื่อป้องกันการติฉินนินทา
    <O:p</O:p

    .....และที่สำคัญเมื่อเธอเป็นพระพุทธเจ้า เธอย่อมจะมีพระวรกายผุดผ่องทำให้ชายหลงรัก เสน่หาในตัวเธอ หลงไหลในตัวเธอ ไม่เป็นอันกินอันนอน และไม่เป็นอันปฏิบัติธรรม
    <O:p</O:p

    .....อีกประการหนึ่งเมื่อเธอเป็นพระพุทธเจ้า เราคิดว่าสาวกส่วนใหญ่ของเธอจะเป็นหญิง และเวลาสาวกหญิง (ภิกษุณี) และสาวกชาย (ภิกษุ) ที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมวิเศษขั้นใดมาเจอกันมาเห็นกัน ทำให้ขาดสติ ย่อมเกิดความกำหนัดขึ้นได้ และถ้าเธอให้สาวกชาย (ภิกษุ) กับสาวกหญิง (ภิกษุณี) แยกออกจากัน ไม่รวมกลุ่มกัน ปฏิบัติธรรมกันคนละที่คนละแห่ง เราขอถามว่าชีวิตประจำวัน หรือกิจวัตรประจำวันของเธอนั้น เธอจะอยู่ในกลุ่มใด หรือคลุกคลีอยู่ในกลุ่มใด ยกตัวอย่างเช่น พระพุทธเจ้าที่เป็นชายจะมีกิจวัตรประจำวัน หรือใช้ชีวิตประจำวันคลุกคลีอยู่กับพระภิกษุ มากกว่าพระภิกษุณี เช่นเวลาพระองค์จะเดินทางไปไหนก็จะมีพระภิกษุเดินทางไปด้วย เป็นต้น

    .....การโพสต์ข้อความนี้ ข้าพเจ้าไม่มีเจตนาที่จะหลบลู่ หรือปรามาสพระรัตนตรัยประการใดทั้งสิ้น เป็นการแสดงความคิดเห็นเชิงพรรณาให้ผู้อ่านได้เห็นภาพ ให้ผู้อ่านได้ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้ และความเป็นไปไม่ได้
    <O:p</O:p

    .....อย่างไรเสีย ถ้าหากข้าพเจ้าได้ล่วงเกินพระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ข้าพเจ้าก็ขอกราบ ขอขมาลาโทษ ต่อพระพุทธเจ้า ขอให้พระพุทธเจ้าจงงดเว้นโทษให้แก่ข้าพพุทธเจ้าด้วยเทอญ
    <O:p</O:p

    บทความนี้ ถ้าจะมีความดีความชอบ ก็ขอให้ท่านทั้งหลายจงรับความดีความชอบนั้นไป ส่วนข้าพเจ้าขอรับผิดเองแต่เพียงผู้เดียว


    รัตตะนัตตะเย ปมาเทนะ ทะวาระ ตะเยนะ กะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ ภันเต

    .....สรุป จากการอ่านโพสต์ในแต่ละโพสต์ ของกระทู้ "พระพุทธเจ้าเป็นผู้หญิง" นี้ ยังไม่เจอโพสต์ใด ที่สามารถยืนยันได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ว่าผู้หญิงก็สามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้ และข้าพเจ้าก็มีความคิดเห็นส่วนตัวเหมือนกับหลาย ๆ กระทู้ที่ว่า พระพุทธเจ้าต้องเป็นชายเท่านั้น<!-- google_ad_section_end -->
     
  15. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    กระทู้บน ชัดเจน ดี อนุโมทนาด้วยจ้า ผมก็เห็นด้วยเรื่อง สตรี จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้
    เพราะเพศไม่เหมาะสม แต่สตรี มีโอกาศ ให้กำเนิดบุคคลที่จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าได้อันนี้ เห็นด้วย ไม่ใช่แค่เภทภัยที่จะมาอีกมากมายในความเป็นสตรี แต่ก็ยังมีส่วนภารกิจเฉพาะตัวอีก ประจำเดือน / ตั้งครรค์ได้ / เหนื่อยง่ายกว่าบุรุษ / ประกาศศาสนาต้องเจอหมด ดินฟ้า อากาศ สารพัด ก็พอคร่าวๆ นะ
    ใช่ไหมท่านทั้งหลาย ประจำเดือนมา กลางป่าเขา จะทำยังไง แล้ว ร่างกายโดยรวม อ่อนแอกว่า ชาย ทั้งหมด หรือ สตรีเพศทั้งหลาย จะลองแข่งสิทธิตรงนี้ไหม เรื่องความต้านทานของร่างกายโดยกำเนิด แล้ว นิสสัย ของสตรีเพศ ปกติ รักสวยงามเป็นปกติกว่าจะบรรลุก็คง ผัดหน้าไปไม่รู้กี่รอบ จริงไหม ถ้าพระพุทธเจ้าที่เป็นสตรี มีจริง คง ทำให้ ชาวประชาเสื่อมศรัทธามาก เพราะ เพศ เป็นเหตุ ขันธ์ ของ สตรีไม่เหมาะที่จะดำรง หน้าที่ของพระพุทธเจ้าได้ ทำให้การ ประกาศศาสนา ไม่เป็นผล ก็เพิ่มเติมในแนวคิดส่วน ตัว ประมาณนี้นะจ้ะ ไม่ล่วงเกินใคร ผู้ใดทั้งนั้นนะจ้ะ สตรี ก็คือเพศแม่ และ เพศ นี้นี่ล่ะ ที่ เรา ตอบแทนยังไง ก็ได้ แต่ ไกล้เคียง แม้เราจะสอนให้ท่านบรรลุได้ก็ตามแต่ก็ไม่มีวันเสมอ ได้กับ พระคุณของมารดาได้ พระพุทธเจ้า แม้พระองค์ จะทรงบำเพ็ญบารมีมามากเพียงใด ก็ต้อง อาศัยแดนเกิด คือท้องของ พระพุทธมารดา เป็นแดนเกิด ไม่ทรงเนรมิตตัวเองมาจุติได้ ใช่ไหม?
    พระคุณของมารดาจึงยิ่งใหญ่เทียมเทียบได้กับ พระอรหันต์เจ้า ดีๆ นี่เอง อย่าน้อยใจในเพศกันไปเลยคุณ ไม่มีใครบอกว่าเพศไหน ห้ามทำความดีละเว้นความชั่วนี่ครับ^^ ขอ กราบเท้า บุคคลที่ได้ชื่อ ว่า มารดาทั้งปวง ขอบูชาท่านนี้ไปจนกว่าจะเข้าถึงซึ่งแดนพระนิพพาน
     
  16. DevaIsis

    DevaIsis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,005
    ค่าพลัง:
    +4,600
    ขั้นตอนการไปพระนิพพานนั้น จะต้องมีการ รวมญาณ ก่อนด้วย เรียกได้ว่า หากไม่ผ่านขั้นตอนนี้ก่อน ก็จะไม่สามารถขึ้นไปแดนนิพพานได้

    เหตุที่ท่านเล่าจื๊อ และนักปราชญ์อีกหลายท่าน หลบหนีออกจากสังคม ทิ้งเพียงปริศนาธรรม เพราะผู้คนมักจะเกิดคำถาม หรือ ข้อสงสัย ทำให้เกิดการถกเถียงกัน เช่น ตัวอย่างในกระทุ้นี้ คนที่ไปแดนนิพพาน หากมาได้อ่าน คงจะ ปวดหัวกันเป็นแถว เพราะก็จะบอกว่า

    แหล่งน้ำอยู่ตรงหน้านี่เอง ไปหาจอบหาเสียมมาขุดเอาเองแล้วกัน

    สรุปว่า คนที่ใช้จอบ ใช้เสียมขุดไปได้ไม่เท่าไร พากันหอบ แฮ่ก แฮ่ก แล้วโยนเสียม โยนจอบทิ้ง แล้วบอกว่า โอ๊ย...นี่มันบ้าบออะไรกัน ขุดตั้งนาน ไม่เจอแหล่งน้ำ

    ส่วนคนที่เอาแต่ยืนมอง ก็สมทบ ผสมโรงว่า ใช่ ใช่ คนอื่นขุดลงไปตั้งนาน ยังไม่เจอแหล่งน้ำ แค่เรายืนมอง ก็เห็นแล้วว่า พวกนี้เหนื่อยฟรี ไม่มีหรอกแหล่งน้ำ ซึ่งพวกหลังนี่ ยังไม่ได้ลองขุดดูเลย เอาแต่ยืนมองเฉยๆ เพราะอุปกรณ์ไม่มี แถมขี้เกียจ

    พวกหลังนี่ ยังบอกว่า ตัวเองฉลาดกว่าพวกที่ลองขุดไปแล้วเสียอีก เหตุเพราะตัวเองไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ยืนมองเฉยๆ

    อุปมาเช่นที่ยกตัวอย่างค่ะ ส่วนไอนับถือศาสนาอะไรนั้น คงจะไม่เกี่ยวข้องกับกระทู้นี้ เหตุเพราะ ไอก้าวข้ามผ่าน ศาสนาและหลักการ มาตั้งนานแล้วนั่นเอง

    ท่านจี้กง.jpg

    แสดงว่า ท่านยังไม่ได้ศึกษาแก่นของ หยิน-หยาง อย่างแท้จริง จึงโยนว่า หยินมีความหมายดังกล่าว ให้ลองเข้าไปที่นี่นะคะ http://en.wikipedia.org/wiki/Yin_and_yang


    normally referred to in the West as yin and yang) is used to describe how polar or seemingly contrary forces are interconnected and interdependent in the natural world, and how they give rise to each other in turn. Opposites thus only exist in relation to each other. The concept lies at the origins of many branches of classical Chinese science and philosophy, as well as being a primary guideline of traditional Chinese medicine,<SUP class=reference id=cite_ref-Porkert1974_0-0>[1]</SUP> and a central principle of different forms of Chinese martial arts and exercise, such as baguazhang, taijiquan (tai chi), and qigong (Chi Kung) and of I Ching divination. Many natural dualities — e.g. dark and light, female and male, low and high, cold and hot — are thought of as manifestations of yin and yang

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2011
  17. DevaIsis

    DevaIsis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,005
    ค่าพลัง:
    +4,600
    ท่านทั้งหลายที่ ถกเถียงปริศนาธรรม ในกระทู้นี้นั้น

    โปรดทำความเข้าใจ กับ สภาวะธรรม ของนักปราชญ์ต่างๆ ให้ได้ก่อน

    อันมีทั้ง สายจีน สายไทย สายอินเดีย สายต่างๆ มากมาย

    ก่อนที่จะไปเข้าใจ สภาวะธรรมของพระโพธิสัตว์ และพระพุทธองค์

    รวมทั้ง รวบรวมแหล่งข้อมุล ของลัทธิ+ศาสนาต่างๆ ก่อนว่า ที่เขียนเป็นพระคัมภีร์ หรือ อักขระทั้ง 5 พัน นี้นั้น มีความหมาย นัยยะ ต่างๆ เช่นไร จึงเขียนมาบอกเล่ากันเช่นนั้น

    อย่าเสียเวลาอันมีค่า มาโต้แย้ง ด้วยหัวข้อที่พวกท่าน ยังมิได้ ถือจอบ ถือเสียมเลยนะคะ

    ขนาดหลินปิง หลินฮุ้ย ในกรง ท่านยังไม่เข้าใจ ปริศนาธรรมเลย

    สาธุ
     
  18. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603
    โอ....ดีครับ ศึกษาทุกวิชา ศึกษาหลายศาสตร์ ศึกษาหลากหลายลัทธิ ศึกษาทุกศาสนา...

    แต่เวลาไปศึกษาหาความรู้เอาอย่างแจ่มแจ้ง ขอให้ตั้งมั่นเอาจริงเอาจังแล้วกัน
    ถือจอบและเสียมไปด้วยแล้วลงมือขุดด้วยตัวเอง อย่าให้เป็นอย่างที่ว่าแบบยืนดูแล้วกันนะครับ...

    --------------------------------------------------
    อวิชชา นั้น พึงบังเกิดขึ้นแก่ปุถุชนทุกคน ที่ถือกำเนิดเกิดขึ้นมาเป็นธรรมดาหรือตถคตา
    จนกว่าจะได้สดับหรือเรียนรู้ในธรรมของพระองค์ท่านอย่างแจ่มแจ้ง กล่าวคือ จนกว่าจักได้วิชชาของพระองค์ท่าน
    ซึ่งเป็นวิชชาที่ล้วนเนื่องสัมพันธ์ด้วย เรื่องของทุกข์ เพื่อการดับไปแห่งทุกข์เท่านั้น เพื่อความเป็นโลกุตตระ
    ธรรมทั้งปวงจึงล้วนเนื่องสัมพันธ์เกี่ยวกับการให้รู้จักทุกข์เพื่อใช้ไปในการดับทุกข์ จึงเป็นไปดังพระพุทธดำรัสที่ตรัสไว้ว่า

    " ในกาลก่อนก็ตาม ในบัดนี้ก็ตาม
    เราตถาคต บัญญัติขึ้นสอนแต่เรื่องทุกข์ และ การดับไม่เหลือแห่งทุกข์เท่านั้น "


    ครับแต่กว่าจะรู้ทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง และทำให้ที่สุดแห่งทุกข์นั้นก็เอาการทีเดียวเชียวแหละนะครับ...และตัวที่ปิดบังทุกข์ได้อย่างเฉียบขาดหมดจรด
    จนน้อยคนนักที่จะมองเห็นทุกข์ได้อย่างแจ่มแจ้งนั่นคือ อวิชชา สังโยชน์ข้อสุดท้าย ข้อที่ ๑๐
    และพระพุทธเจ้าทรงจัดไว้เป็นลำดับสุดท้าย...


    ทำอย่างไรจึงจะกำจัด อวิชชา ให้หมดสิ้นไปได้โดยเด็ดขาด...?

    ใช้ วิชชา ที่พระพุทธองค์ทรงบอกวิธีไว้แล้วอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งนั่นเอง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2011
  19. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    ก็ตามแต่จะเข้าใจนะครับ จอบเสียม ขุดไม่เข้าที่ ก็ไม่เจอน้ำหรอกครับ ตามที่กล่าวมานั่นล่ะ

    ปริศนาข้อนี้ เขาจะสื่อให้ เห็นถึง อะไรรึเปล่า ก็ลองดูนะครับไม่ว่ากันๆ ตามแต่จริตคน

    เวลามีเยอะครับ ลอง ศึกษาดู ครับ ไปๆมาๆ อาจจะได้มา อยุ่ใน คำสอน เดียวกันก็ได้นะ

    ก้าวข้าม ศาสนา หรือ ไม่ได้ลงหลักปักฐาน ที่ศาสนาไหน ตรงนี้ ขอให้คิดทบทวนสักนิดนะ

    ครับ ติงไว้ จุดหนึ่ง นัก พิศูจย์ที่ ดี ไม่ค่อยจะบอกหรอกครับ ว่า ทิ้งหรือวางอะไรไปได้เท่า

    ไหร่ เพราะ ยังต้องศึกษาอยู่ ถ้าบอกว่า ข้ามได้ แปลว่า คุณตัดสินใจ นับถือหรือ วางฐานไว้

    ที่ใดแล้ว ผมคิดว่า คงเป็นเช่นนั้น เพราะถ้า ข้ามได้แล้ว ต้องมีผลบอกว่าหลักฐาน ในตัวเอง

    ที่บอกเหตุ ว่า ข้ามได้แล้ว คำสอน ศาสนา ลัทธิ หรืออะไรก็ตาม ผมก็ ไปทำมาแล้วนะ

    เพราะมันไม่จบ ผมถึงมาเดินตามพระพุทธเจ้า เพราะ ทางอื่นๆ สุดท้ายก็คือ ทางตัน หมด

    หนทางไปต่อไม่มี ทาง พรามณ์ ผมก็ลองมาแล้ว เป็น ฤาษี ก็เคยลองมาแล้ว จบได้แค่ สมาธิ

    ทาง หลักปรัชย์ญา ต่างๆ ก็ดี แต่ ไม่พ้นอยู่ดี ทุกข์เท่าเดิม ไม่ลดเลย เข้าทำนอง กินไม่ได้

    แต่เท่ ผมก็ลองมาแล้ว ไอหลักปรัชย์ญาชาวจีน ที่แพร่หลายกันนี่ ทำมาแล้วครับ แต่ละอย่าง

    แต่ละ แขนงใช้ เวลา 2 ปี ขึ้นไป ผมก็หยุด ถ้า ไม่มีอะไรงอกเงยนะ ผมมาหยุดหา เมื่อได้ ฟัง

    คำสอน ของพระ รูปหนึ่ง ขอไม่เอ่ยนาม ท่านสอน เรื่อง ทุกข์ ของข้าวคำเดียว ให้ผมได้

    ฟัง ที่ผมหยุดก็เพราะ ฟังเรื่องนี้ นี่ล่ะ ส่วนใหญ่ สอนไป คำแรกก็ ว่าง กับ วาง ก่อนเลย ผม

    ทำมา 3 ปี ไอว่างๆ วางๆ เนี่ย ไม่เห็นมันจะวางเลย หนักกว่าเดิม คือ ไปหลงว่าตัวเอง พ้น

    แล้ว กลับตัวแทบไม่ทัน ผมก็เป็นคนนึง ที่ ค้นหา ความไม่ผุดไม่เกิด ก่อนจะมารู้จักคำ

    สอนของพระพุทธเจ้าอีก ผมไป ที่ไหนขอคำสอนเขา เขาก็สอนมั่งไม่สอนมั่ง แต่ ที่เห็นๆ

    คือ มักสอนแต่ ว่างๆ วางๆ ทั้งนั้นเลย กินเจ อะไรเอาหมด ขอให้หลุดให้ได้ ผมก็ยังไม่หลุด

    เลย เสียบผม จอบผม ขุดมาจนแทบ เหี้ยน จนผมเริ่มท้อ ผมจึง เริ่มหัน มาฟัง สิ่งที่ผม ไม่

    ชอบเลยตั้งแต่เด็ก คือ พระสงฆ์เทศ เพราะเคยเห็นพระ ท่านหลอกเอาเงิน คน ไป ซื้อนั่นนี่

    ผมเลยเกลียด แล้วเลยลองมาฟัง ทำให้ผมรู้ อย่างนึงว่า ผมโง่ โง่ที่ไปดิ้นรนให้มันมากมาย

    ทั้งๆที่ เรื่องพวก นี้อยู่กับเราหมด ธรรม ที่ดิ้นรนกันแทบตาย อยู่กับเรา อยู่รอบตัวเรา ทั้ง

    หมด ทำไมจึงแสวงหา ให้มันมากมายนัก เพราะ อะไร ถึงแสวงหา เพราะเรา ยัง วางไม่ได้

    ไงครับ วางกับคำว่าอยากหลุดพ้นให้ได้ อยากนั่นนี่ สารพัด ทำให้มีการ ดิ้นไปเรื่อยๆ ดิ้นไป

    ก็มาตายรังเหมือนเดิม ที่แสวงหาเพราะมันยังไม่จบ นี่คือ คำตอบในตัวอยู่แล้ว เพียงแต่ ถ้า

    เราไม่ยอมรับว่า เรา วางไม่ได้จริง ก็ดิ้นไปเรื่อย คน ที่เขาไปกันหมดแล้วก็ ยืนยิ้มดูเรา เดิน

    เข้าไป เดิน วน เข้าไป เหมือนพายเรือในอ่าง ถึงเราจะ บอกว่าวาง แต่ พฤติกรรมหรือ

    ธรรมชาติ ในใจเรา มันบอกครับมันแสดงออกมาเองทั้งหมด ว่าเราเป็นยังไง เรา จะรู้ทัน

    ธรรมชาติได้ ต่อเมื่อเราเข้าใจธรรมชาติแล้ว ถ้า ยังต้องเดินแสวงหา ไปนั่นนี่ เพื่อ ค้นหา

    สิ่งนี้ ก็แปลว่ายังไม่จบ เรายังไม่ได้วาง นั่นเอง แล้ว ศาสนา ต่างๆ ผมกล้ายืนยันเลยว่า ที่

    ได้ไปลองมาทั้งหมดนะครับ ที่เดินไม่จบ เพราะ เขา ไม่สามารถ ชีแจง เหตุ ของทุกข์ได้

    ผม มา ฟังคำสอนพระพุทธเจ้านี่ล่ะ เห็นมีอยู่ แต่ คำสอนนี้ล่ะ ที่ บอกเหตุ และผลได้ ครบ

    ถ้วน พอเราเข้าใจ มันก็ เฉย ไปเอง เพราะเรารู้แล้วว่า เป็นเพราะอะไร ถึงได้เป็นแบบนี้

    คุณ ลอง ดูก็ได้นะครับ ลอง ดูได้เลยว่า เขาสอนเหตุแห่งทุกข์และหนทางดับทุกข์ มั้ย

    ผมท้าได้เลย เอาหัวเป็นประกันเลยว่า เขาไม่สอนเพราะ เขา ไม่ทราบถึงเหตุ ที่แท้จริง ยอด

    ของ ศาสนาพุทธ หรือ อะไร ก็ตามเถอะ แล้วแต่คุณจะเรียก คือ อริยสัจ 4

    ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่คือยอด ทั้งหมดของคำสอน รวมเข้าที่เดียวคือที่นี่

    เคยเห็น ลัทธิ ศาสนา หรือ องค์เทพพรม ที่ไหนสอนไหม เหตุแห่งทุกข์และการดับทุกข์

    ผมลองมา หลายแนว ก็ เพิ่งจะได้ยิน นี่ล่ะ ว่า หนทางนี้ยังมีอยู่ ตอนแรกกะจะไป ลองทำตัว

    ไม่มีศาสนาไม่นับถือใคร นรกไม่มีสวรรค์ไม่มีอยู่แล้ว โชคดี ได้ฟังก่อน ไม่งั้น เข้าตารางไป

    ละ เพราะ บาปไม่มีจะทำอะไรก็ได้ บุญก็ไม่มี ทำไปก็เท่านั้น ดีนะได้มาฟังก่อนจะไปกันใหญ่

    ที่ผมเขียนเล่าให้อ่าน ทั้งหมด ไม่ได้ต้องการ เปลี่ยนแนวความคิดหรือแนว อะไรของผู้ใดนะ

    ครับ แต่เล่า เพื่อเป็น อุทาหรณ์ ก็ได้ หรือ เป็นแนวคิดอีกมุมนึง ของ คนๆนึง ที่ ลองเล่นมา

    หลายแนว อ่านเป็นนิทานไปก็ได้ ถ้าเป็นประโยชน์ ก็ดีครับ ถ้าไม่เป็นประโยชน์ก็ เฉยๆ ไป ก็

    ไม่มีอะไร

    สุดท้าย ก็ ขอขอบคุณ ครูบาอาจารย์ ที่ได้ ให้โอกาศ ผม ศึกษา วิชชา ความรู้ และการทำ มาโดยตลอด ขอบพระคุณ ท่านทั้งหลาย มาก ครับ

    กรรมใดก็ตามที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอท่านทั้งหลายโปรด อโหสิกรรมให้ แก่ข้าพเจ้า ตราบเท่าเข้าสู่ นิพพานด้วย เทอญ
     
  20. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    แถม ให้อีกนิด หยินหยาง ในความหมาย ก็คือ ธรรมชาติ อันเป็นของคู่กัน ในความหมาย ของสองสิ่งนี้ครับ เช่น มีดีก็มีชั่ว เมื่อรู้จักชั่ว จึงรู้จักดี ฉะนั้น สองสิ่งนี้จึงทิ้งกันไม่ได้ครับ ตามที่ได้ทำการศึกษามาในแบบของผม ทำให้รู้ว่า หยิน หยาง คือ ปริศนาอย่างหนึ่ง ที่หมายถึง ธรรมอันประกอบด้วย โลกธรรม หรือ ธรรมชาติของโลกนี้ ที่ มีของคู่ กันเสมอๆ มีเกิดก็มีตาย มีชั่วจึงมีดี มีมืดถึงมีสว่าง ทำนองนี้ แต่ เมื่อ 2500 กว่าปี ทีแล้ว ได้มี มหาบุรุษ ผู้หนึ่งค้นพบ เส้นทาง ของความเป็นกลาง คือ ไม่เอนไปทางหยินและหยาง ตามที่กล่าวมาแต่อยู่ตรงกลางของธรรมชาติทั้งสองนี้ จึง ได้เกิดเส้นทางใหม่ ในโลก ชื่อว่าทางสายกลาง อัน มีมรรค เป็นองค์ 8 คำว่า องค์ ในที่นี้ ควรจะแปลได้ว่า การดำเนิน หรือ เส้นทางชีวิต อันประกอบไป ด้วย เจริญ ใน ศีล ใน สมาธิ ใน ปัญญา จุดประสงค์ของการ ศึกษาหยินและหยาง เพื่อ เรียนรู้ทางเส้นกลางนี่ล่ะครับ เพราะต้องรู้จัก สมดุล ของหยินและหยาง ตามที่ นักพรตชาวจีนหรือลัทธิต่างๆ ปฏิบัติ เพื่อรักษาสมดุลของพลังทั้งสองนี้นั่นเอง เพื่อ ทำตนให้เข้าถึงทางสายกลาง
    เขาจึงแยกส่วน หยินหยางออกมาให้ศึกษากัน ในทางพุทธ เขาเรียก โลกธรรม ครับ เขาทำแบบนี้เพื่อง่ายต่อการแยกแยะ และหา จุดกลาง ทั้งที่ ทางเส้นนี้ได้มีการค้นพบและ ชี้แนวทางการ ปฏิบัติไว้ทั้งหมดแล้ว โดย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เขาเหล่านั้น ก็ยังมา ค้นกันอยู่ สุดท้ายถ้าเขาหาเจอก็ต้องมาสายกลางกันหมดมาทำตามที่พระพุทธเจ้าสอนกันหมด แต่ทำไม ถึงยัง เดิน ถอยหลังไปทำ ในสิ่งที่ มีผู้สอนครบหมดแล้ว วิจัยมาหมดแล้วทำมาหมดแล้ว นี่ล่ะ คือสิ่งที่ น่าคิดนะครับ ว่า ทำไม เขาถึง ยังหาในสิ่งที่ มีคำตอบไปแล้ว เห็นกันชัดแล้ว ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันก็ยังมีผู้ทำได้อยู่ นี่่ล่ะครับ ผมจึงเชื่อว่า กำลังใจ ถ้ายังไม่พร้อมฉันใด การเดินเข้ามาสู่คำสอนของพระพุทธเจ้าได้ย่อมไม่มีฉันนั้น ผม เห็นชัดจาก การกระทำของ เขาเหล่านั้นและตัวผมเองด้วย ก็ขอจบการ อธิบายเรื่องหยินหยางที่ได้ศึกษามา ในแบบของผมเองนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...