พระพุทธเจ้าประเภท สัทธาธิกะพิเศษ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ลัญจกร_ssj, 17 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    สำหรับพระติสสะนั่นเมื่อท่านตายจากความเป็นคน อาศัยจิตใจที่รักจีวร ความจริงศิล สมาธิ ของท่านดี ต้องถือว่าดีมาก จะถือว่าจะเป็นพระโสดาบันได้หรือไม่ได้ก็ไม่ทราบ พอพ้นจากความเป็นเล็นแล้วท่านไปเกิดเป็นเทวดาชั้นดุสิตก็รวมความว่าท่านมีความละอายต่อบาป ด้วย เอาผ้าจีวรหยาบไปให้พี่สาวจัดการ พี่สาวทำเป็นผ้าเนื้อละเอียดไปให้ ท่านยังบอกว่ารับไม่ได้ เพราะผ้าผืนนี้ไม่ใช่ของท่าน ผ้าของท่านเป็นผ้าเนื้อหยาบ คงจะให้พี่สาวเย็บตัดเป็นจีวรกระมัง

    พี่สาวก็บอกว่าเป็นผ้าผืนเดิม แต่ไปสะไปสาง ไปล้างเสียใหม่ กรอเสียใหม่เป็นผ้าเนื้อนิ่ม เป็นด้ายเล็ก ๆ ทำให้ผ้าเป็นผ้าเนื้อละเอียด น่ารัก ท่านจึงรับ นี่จิตท่านสะอาดขนาดนี้ ก็รวมความว่าพระติสสะตายแล้วไปเกิดเป็นเล็น เอาร่างกายเล็ก ๆ ไปสิงอยู่ในกลีบของจีวร เมื่อพระสงฆ์ตายบอกแล้วว่าทรัพย์ทั้งหลายต้องเป็นของสงฆ์ บรรดาพระทั้งหลายก็ไปจัดการว่าทรัพย์สมบัติของพระติสสะเวลานี้มีอะไรบ้าง ก็หยิบโน่นหยิบนี่นั่นตามที่มีอยู่ คงมีไม่มาก เพราะอยู่กับสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า

    ก็ไม่แน่นักนะเพราะว่ามหาเศรษฐีทั้งหลายมีความเคารพ อย่างพระอานนท์นี่มีผ้าสาฎกเป็นพัน ๆ ผืน แต่พระอานนท์ท่านก็เป็นพระแท้ ไปที่ไหนท่านก็แจก ที่ไหนใครไม่มีท่านก็แจกท่านก็ทำบุญของท่านเรื่อยไปไม่แปลก อย่างท่านพระติสสะนี่อาจจะมีจีวรมากก็ได้ เพราะว่าท่านมหาเศรษฐีบ้านญาติโยมทั้งหลายบ้าง มาถวายกันอาจจะมีเยอะ จึงมีการตรวจค้นทรัพย์สมบัติขึ้นมา หยิบอย่างอื่นไม่มีเรื่อง พอไปจับจีวรผืนนั้นเข้า เล็นติสสะร้องตะโกนเสียงดังว่า "ไอ้โจรปล้นจีวร ไอ้โจรปล้นจีวร" แต่ก็เป็นการบังเอิญจริง ๆ พระที่ไปนั่นไม่มีพระหูทิพย์เลย ฟังแบบสบายไม่รู้เรื่องไม่ได้ยิน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กุมภาพันธ์ 2015
  2. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    พระพุทธเจ้าอยู่ในพระคันธกุฏี ได้ยินเสียงเล็นตะโกนแบบนั้นก็บอกพระอานนท์ว่า "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ รีบไปที่กุฏิท่านติสสะเดี๋ยวนี้ บอกพระทั้งหลายว่าจีวรผืนนั้นให้วางไว้ก่อน อย่าแตะต้อง จากนี้ไป ๗ วันอย่าแตะเด็ดขาด วันที่ ๘ จึงแตะต้องได้"พระอานนท์ก็ไปบอกแบบนั้น ทีหลังกลับมาถามองค์สมเด็จพระทรงธรรม์ว่าเป็นเพราะอะไร พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า "ก็เล็นติสสะสิคุณ ก่อนที่เธอจะตายเธอห่วงจีวรผืนนี้ เธอมีความรักในจีวรผืนนี้มาก เพราะเนื้อมันดีมาก ดีกว่าทุกผืนที่เคยมีอยู่

    เธอตั้งใจจะครองจะใช้ผ้าผืนนี้มีอยู่แต่ว่าโอกาสไม่มีเธอมาตายเสียก่อน ก่อนจะตายจิตใจก็นึกถึงจีวร เธอก็ต้องเกิดเป็นเล็นเฝ้าจีวรอยู่ ๗ วัน" เพราะเล็นมีอายุแค่ ๗ วัน หลังจากนั้นวันที่ ๘ เล็นตัวนี้ก็จะตาย คือไม่ต้องใครทำให้ตาย อายุขัยของเขาแค่นั้น เขามีอายุขัยแค่ ๗ วัน เหมือนกับยุง ยุงนี่ถ้าไม่มีใครฆ่าถ้าเธออยู่เต็มอายุ เธอก็อยู่ได้แค่ ๗ วันเหมือนกับเล็น ถึง ๗ วันเล็นตัวนั้นก็จะตาย ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต นี่ละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ถึงแม้ว่าท่านทั้งหลายจะมีความรู้สึกนึกถึงความตายเป็นปกติและก็ไม่ประมาทในชีวิต มีจิตเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และก็มีศีลบริสุทธิ์ บางท่านหรือหลายท่านอาจจะคิดว่าถ้าเราตายคราวนี้ขอไปนิพพานจุดเดียว

    ความจริงแล้วอารมณ์อย่างนี้ดีมาก ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "บุคคลประเภทนี้พ้นอบายภูมิแน่นอน" ถ้าจำเป็นที่จะเกิดในมนุษย์อีกกี่ชาติก็ตามทีขึ้นชื่ออบายภูมิทั้ง ๔ ประการ ไม่สามารถจะแตะต้องท่านได้ อบายภูมิ ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัชฉาน แต่ก็จงอย่าลืมว่ากำลังใจของท่านต้องมีความมั่นคงจริง ๆ อย่าไปหลงใหลใฝ่ฝันกับสิ่งที่ไม่มีประโยชน์เกินไป อย่างพระติสสะ เป็นต้น ให้คิดถึงความจริงของคนว่าถ้าตายไปแล้วไม่มีโอกาสที่จะครองทรัพย์สมบัติใด ๆ ได้อีก ทุกสิ่งทุกอย่างปล่อยมันไว้ ตายแล้วก็เลิกกัน ถ้าจิตใจของท่านเป็นอย่างนี้อารมณ์จิตก็จะผ่องใส ฉะนั้นการที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จะทรงกำลังใจไว้ด้วยสมาธิและปัญญาไว้ในส่วนดี มีอนุสสติประจำใจ จนเป็นฌาน ซึ่งเป็นของดีมาก ซึ่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคสอนเอาไว้

    เพื่อไม่ให้หลงไปในอบายภูมิต่อไป เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายวันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบายเวลาบอกว่าหมดแล้ว ประกาศแล้ว ร้องกริ๊ง ๆ นั่นเป็นของตั้งเวลา เมื่อหมดเวลา ๓๐ นาที ต้องขอลาก่อนขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแต่บรรดาพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กุมภาพันธ์ 2015
  3. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ในส่วนของพี่บุญทรงที่หมกมุ่นการสร้างพระ สร้างถาวรวัตถุไว้ในพระพุทธศาสนา ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สร้างพระถือว่าเป็นพุทธบูชา การเป็นห่วงในการก่อสร้างถือว่าเป็นพุทธานุสติกรรมฐานถือว่าจิตแบบนี้ เป็นห่วงในการก่อสร้างต้องการให้เสร็จสมบูรญ์ ไม่ได้ห่วงด้วยอารมณ์ของภาวะหนี้สินในการก่อสร้าง ไม่ได้ทุกข์ร้อนใจ ทรงอารมณ์แบบว่า ได้แค่ใหนเอาแค่นั้น วางอารมณ์แบบว่าทำวันเดียวไม่เสร็จ เมื่อมืดค่ำแล้วไม่เสร็จก็หยุดก่อน พรุ่งนี้มาต่อใหม่ อารมณ์ห่วงแบบนี้ไม่ได้ห่วงแบบเศร้าหมอง ห่วงแบบมีปีติที่ได้ทำ ทั้งยังทำกับมือด้วยเต็มใจด้วยตั้งใจ มีความภาคภูมิใจที่ได้ทำ

    สิทธิการิยะวันนี้วันพระขึ้นแปดค่ำไทย ตามตำราบอกว่าอารมณ์แบบนี้ตายแล้วเขาห้ามไปอบายภูมิ

    แต่หากพี่บุญทรงจะดันทุรังไปมันก็เรื่องของพี่ หลวงพ่อก็บอกกับวิริยาธิกะพิเศษรุ่นน้องคนหนึ่งที่วัดท่าซุง ว่านรกมีไว้สำหรับคนชั่วนะลูก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 กุมภาพันธ์ 2015
  4. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559


    เรียน พี่บุญทรง ผมเองก็เคยได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟัง เหมือนตามที่พี่เขียน ว่าในกัปป์นี้ มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 10 พระองค์

    แต่มันก็นานมาก จนผมลืมไปแล้ว และจำไม่ได้แล้ว ไม่รู้จะไปค้นหาที่ไหน

    และภายหลังจากนั้นมา ก็มาได้ศึกษาคัมภีร์ "พระอนาคตวงศ์" ที่มีท่านผู้แต่งหลายท่านได้แต่งไว้ ซึ่งก็มีเนื้อหาใจความ สอดคล้อง ทำนองเดียวกัน จนผมยึดถือเป็นความเชื่อ ดังนี้ คือ

    กัปป์นี้ ชื่อว่า ภัทรกัปป์ มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ(ตรัสรู้) 5 พระองค์

    กัปป์ต่อไปเป็นสุญญกัปป์ ไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้

    และกัปป์ต่อ ชื่อว่า มัณฑกัปป์ มีพระพุทธเจ้าจัมาอุบัติ(ตรัสรู้) 2 พระองค์ คือพระราม และพระเจ้าปเสนทิโกศล

    และกัปป์ต่อไป.........(ขอละไว้เป็นที่เข้าใจ)

    ณ เวลานี้ ผมได้มีความคิดสงสัย ขัดแย้งในตัวเอง ว่าจะเชื่อ ยึดถือ อันไหนดี

    ก็เลยจะขอรบกวนพี่บุญทรง ช่วยหาข้อมูลมาเพิ่มได้ไหมครับ ว่าท่านใดกล่าวไว้ หาอ่านได้จากที่ไหน และองค์ที่ 8, 9, 10 คือพระท่านองค์ใดครับ

    ขอบคุณครับ

    หรือท่านใด มีข้อมูล ช่วยสงเคราห์ จะเป็นพระคุณครับ
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
  6. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814



    :cool:({) สวัสดีครับคุณ Sirius Galaxy ผมเอง ก็จำได้ ไม่หมดหรอกครับ จำได้นิดๆหน่อยๆเองครับ คือว่า ฟัง มาจากเทป หลวงพ่อ วัดท่าซุง อ่านหนังสือ ท่านบ้าง นั่งฟังเวลาท่านเทศบ้างบ้าง จนกลายมาเป็นเทป และหนังสือ เดี๋ยวนี้ ผมไม่ได้อ่านมานานแล้ว ผมอ่านตั้งแต่ พ.ศ. ไม่ถึง ๒๐ จนถึงพ.ศ. ๒๐ กว่าๆ ไม่ถึง พ.ศ. ๓๐ ผมก็เลิก อ่าน นานๆจะมีการอ่านนิดหน่อยๆครับ จนมันเกิด ความจำลืมไป เกือบหมด เหลือเล็กๆน้อยๆ เป็นกระสายยา ด้วยว่า ร่างกายแก่ ความจำเสื่อม แต่ถ้าใคร ฟื้น ความจำนั่นแหละ มาเล่า หรือพิม มาให้อ่านในกระทู้ พลังจิต สมองมันก็จะโลดแล่น มาทันที ในบางส่วนครับ


    และได้ โอกาศ ฟัง จากพระหลายๆองค์ และที่จำได้อีกที่ ปู่บุญเหลือ ท่านอยู่ศาลาแก้วกู่ หนองคาย ตอนนี้ ท่านดับขันข์ไปแล้วหลายปี อ่านประวัติท่านๆ จะมาตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าในกัปนี้ครับ และที่สำนักท่านๆจะปั้น รูปพระพุทธเจ้าในกัปนี้ ที่ตรัสรู้ มาแล้ว ๔ พระองค์ และปั้นรูป พระโพธิสัตว์ อีก ๖ พระองค์ ที่จะมาตรัสรู้ ในกัปนี้ มีอายุเท่าไหร่ ในกัปนั้นชื่ออะไร ท่านบอกไว้หมดครับ แต่ได้แค่ใจความ ยังไม่ละเอียด แบบที่คุณต้องการมากนัก เรื่องแบบนี้ ไม่ต้องสนใจ มาก นักหรอกครับ พอได้ใจความก็พอ เพราะ พระโพธิสัตว์ ที่จะมาตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า อีกต่อไป มากมายนัก จนนับไม่ถ้วน แม้พระญาณ ของพุทธองค์ ก็กล่าวไม่หมดได้


    พระพุทธองค์ที่ตรัสรู้มาแล้ว ไม่รู้กี่ล้านๆพระองค์ ชื่อซ้ำ กันมากมาย องค์นี้ ลาพุทธภูมิ องค์อื่นก็มาใช้ชื่อตรัสรู้แทน เหมือนตำแหน่ง พระอินทร์ กับตำแหน่ง ท้าวมหาราช เทวดา พรหม ชั้นต่างๆ ก้เหมือนกันหมด องค์นี้หมดบุญ องค์อื่นก็มาเป็นแทนครับ แค่คิดแบบง่ายๆ มันสำคัญมาก ก็ ที่เราทำการปราถนานี่แหละ สำคัญยิ่ง อย่าให้อย่างอื่น มาตัดรอนทอน กำลังเรา เพราะว่า กัปหนึ่ง มันนาน มาก คำอุปมา ฟังดูมันน่าใจหาย ถ้าเปรียบในโลกมนุษย์ อายุนะ ไม่รู้ว่า กี่แสนๆ กี่ล้านๆปี ในเมืองมนุษย์ มันเท่ากัป อายุ ๑ กัปน่ะครับ แล้วในกรณี การเรียกนี้ ผมไม่ได้เรียนมา ผมว่ายังมีอีกเยอะ ในการเรียกชื่อ


    สมมุติว่า กัปนี้ พอไปถึงอายุ ได้สัก ๒ ล้านปี มนุษย์ เขาเรียก มัณฑกัป ไปถึง ๕ ล้านปี มนุษย์ มันญกัป ๘ ล้านปี เขาเรียก สิญกัป ๑๕ ล้านปี สิญทัสกัป ๒๐ ล้านปี เอสิญกัป ๕๐ ล้านปี ทศกัป เหมือนกับ ทศวรรศ เท่ากับ ๕๐ ปี ๑๐๐ ปี เขาเรียก ศัตวรรค์ ผมเห็นคนนี้เขาอ้างเรียกกันอย่างนี้ อย่างนั้น ผมก็พอจะเข้าใจ เหมือน ๑ ปี ๕-๑๐-๒๐-๔๐-๘๐-๑๐๐ ปี ๑,๐๐๐ปี ๑๐,๐๐๐ ปี ๑๐๐,๐๐๐ปี ๑,๐๐๐,๐๐๐ ล้านปี กาลเวลามันต่างกันอย่างนี้ กาลเวลาเรียก ก็ต่างกันอย่างนี้ ที่ครู บาอาจารย์ต่างๆ ท่านกว่าวไว้ ว่ากัปนี้ จะทรงไว้ซึ่งพระพุทธเจ้าถึง ๑๐ พระองค์ ผมเองคิดเอาภาษาผม ก็คงทำนองนี้ครับ มันอยู่ที่ว่า กาลเวลา มันนาน ท่านจึงเรียกต่างๆออกกันออกไปครับ


    เราเอาข้อความสำคัญดีกว่าครับ จริงๆ การพิมนี้ไม่เหมือนมาคุยกันแบบกันเอง มันคุยกันได้มากกว่านี้ครับ จริงๆผมไม่ได้สงสัยแบบนี้ แต่มันสงสัย เรื่องที่มันละเอียดกว่านี้ครับ เพราะว่า ผมเอง ก็ประสบการณ์ ตรงมาจากท่าน ที่เป็นพระโพธิสัตว์ ระดับใหญ่ หลายๆท่าน ทั้งเป็นพระ ฆราวาส ผู้หญิงผู้ชาย แม้เวสยพระชาติเป็น สัตว์เดรัชฉาน และท่านที่มีบารมี ที่ไม่ใช่ปรมัต เข้าใจตามท่านว่าอย่างนั้นครับ บางองค์ก้ปิด ไม่ยอมรับ แต่ใช้บอกแบบเทียบเคียง แบบนี้มีหลายองค์ที่บอกแบบนี้ครับ บอกมาสร้างบารมี


    ตอนนี้ผมก็สร้างบารมีอยู่ ยังไปไม่ถึงไหน เอาตัวยังไม่รอด ยิ่ง ตอนนี้แล้ว แม้แต่ที่พิมอยู่นี้ ร่างกายไม่ดี มันยึดรัดรึง ตึงตาไปหมด ทั่วร่างกาย ปวด ทุกข์ทรมาร พอสมควร ได้แต่ ทำใจ ให้ สบายแต่ก็ยากครับ ถ้าจิตเศร้าหมอง มันก็จะทุกข์มากกว่าเดิม การวางใจ และยอมรับมันให้ได้อย่างมั่นคง นี่ทำได้ยาก แท้จริงๆ ต้องขอโทษนะครับ ที่ผมให้ความกระจ่างได้ไม่หมด แค่เล็กน้อยๆเท่านั้น แต่ผมคิดว่า มันมีในพลังจิตนี้แล้ว แต่ต้องไปค้นคว้าเองครับสวัสดี
     
  7. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    ขอบคุณครับ พี่บุญทรง
    ผมได้ลองเข้าไปค้นดู "ศาลาแก้วกู่"
    น่าทึ่งมากครับ
    ผมไปอยู่ไหนมา สี่สิบกว่าแล้ว เพิ่งรู้จัก "ศาลาแก้วกู่"
    ตอนนี้กำลังค้นหา ชีวประวัติ "หลวงปู่บุญเหลือ"

    ขอเรียนถามพี่บุญทรง เรื่อง พระยามาร (องค์ที่มีบทบาทในพุทธประวัติ และในสมัยพระเจ้าอโศก)

    จริงไหมครับ พยามารท่านนี้ ลาพุทธภูมิ
    เพราะผมเองก็เคยได้พบ ได้อ่านมา น่าจะเป็นหลวงพ่อฤษี กล่าวไว้
    ซึ่งอาจจะขัดกับ อนาคตพุทธวงศ์

    แต่ถ้าเปิดใจผมแล้ว ผมเชื่อหลวงพ่อฤษี

    ผมลองเอาเรื่องนี้ไปโพสในเฟสบุ๊ค
    โดนทันทีเลยครับ มีผู้เห็นต่าง เพราะยึดพุทธพยากรณ์ และ อนาคตพุทธวงศ์

    ขอบคุณครับ
     
  8. Veeravit

    Veeravit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +278
    ขอถกเรื่องนี้ด้วยคนนะครับ

    ในความเชื่อผม ทั้งคัมภีร์อนาคตวงศ์ และที่อาจารย์บางท่านเล่าว่ากัปป์นนี้จะมีพระพุทธเจ้า 10 พระองค์ เกิดจากการใช้อำนาจสมาธิไปตรวจดู หรือไม่ก็เจตนาแต่งขึ้นมาตรงๆเลย จึงอาจจะมีถูกหรือมีผิดขึ้นได้เพราะไม่ใช่ญานของพระพุทธเจ้า

    ดังนั้นเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าในอนาคต(ยกเว้นพระศรีอาริย์) ส่วนตัวผมก็ฟังหูไว้หูก่อน อย่างในคัมภีร์อนาคตวงศ์ผมคิดว่าใน9รายชื่อ มีเพียงพระเจ้าปเสนธิโกศลที่ผมมั่นใจว่าเป็นพระโพธิสัตว์100% เพราะท่านได้ถวายอสทิสทานคู่กับพระนางมัลลิกา ซึ่งเป็นทานที่ทำได้ยากในศาสนา1 จะมีเพียงครั้งเดียว และคนที่ทำจะเป็นหญิง พระนางพิมพาก็เคยถวายทานนี้ อีกทั้งเพราะเจ้าปเสนธิโกศล ถือเป็นอุบาสกที่ไม่ใช่พระอริยเจ้าที่สำคัญที่สุดได้ช่วยงานพระศาสนามากมาย

    ส่วนอีก 8 ท่านก็มีความน่าจะเป็นพระโพธิสัตว์ลดหลั่นกันไป ที่ใกล้เคียงรองไปคือช้าง ปาลิไลย์ เพราะตามชาดกจะพบว่าทุกชาติที่ที่พระโพธิสัตว์พบพระพุทธเจ้า หากเป็นมนุษย์ถ้าไม่บวชก็จะเป็นกษัตรย์ที่ช่วยเผยแพร่พระศาสนาแบบพระเจ้าปเสนธิโกศล หากเกิดเป็นสัตว์ก็จะทำบุญอุปัฐากพระพุทธเจ้าแบบที่ช้างปาริไลย์ทำ

    ส่วนที่มีอาจารย์ท่านกล่าวว่าในกัปป์นี้จะมีพระพุทธเจ้า 10พระองค์ อันนี้แล้วแต่คนจะเชื่อดีกว่า
     
  9. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ตำราเล่มของผม พระเจ้าปเสนทิโกศล และพระแม่เจ้ามัลลิกาเทวีองค์ที่ท่านถวายอาทิสทานสมัยพุทธกาล องค์นี้ท่านมาลาพุทธภูมิสมัยชาติปัจจุบันนี้ เข้าพระนิพพานพร้อมทั้งคณะที่ทยอยติดตามท่านไป ท่านแม่มัลลิกาท่านยืนยันว่าลูกๆและคณะของท่านไปได้หมดในชาติปัจจุบัน

    ส่วนพระเจ้าปเสนทิโกศลองค์พ่อในอดีต องค์บูรพาจารย์ในชาติปัจจุบัน ที่จะไปตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระองค์ที่สาม นับจากองค์สมเด็จพระศรีอาริยะเมตไตรนั้นคนละองค์กัน อดีตท่านบอกว่าท่านเป็นพ่อเป็นลูกกันมาหลายแสนชาติ ตำราว่าไว้อย่างนี้ครับ

    ก็เอาเป็นว่าแล้วแต่ความเชื่อและก็ความชอบ ตายเมื่อไรค่อยตามไปดูท่านว่าตวามจริงคืออะไร ตอนนี้ผมก็ว่าตามตำราผิดถูกจริงไม่จริงก็ยกให้ตำรานั่นแหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กุมภาพันธ์ 2015
  10. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และบรรดาเพื่อนพระภิกษุสามเณร สำหรับตอนนี้ก็เป็นเรื่องพระสูตร [FONT=verdana, geneva, lucida,]ถือว่าเป็นการอ่านพระสูตรก่อนหลับหรือว่าก่อนนิทรา เห็นใครเขาเขียนว่าเป็นพระสูตรก่อนนิทราหรือนิทานก่อนหลับ [/FONT][FONT=verdana, geneva, lucida,]เนื้อความก็มีอยู่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระเชตวัน ทรงปรารภอสทิสทาน เนื้อความมีอยู่ว่า [/FONT][FONT=verdana, geneva, lucida,]ในเมืองพาราณสีในตอนนี้ท่านบอกว่า พระราชากับบรรดาราษฎรมีการแข่งขันกันทำบุญ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ควรจะคิด [/FONT][FONT=verdana, geneva, lucida,]แต่เรื่องนี้ยาวหน่อยจะจบในเล่มเดียวหรือไม่ก็ไม่ทราบ เนื้อความมีอยู่ว่า[/FONT]
    [FONT=verdana, geneva, lucida,]พระเจ้าปเสนทิโกศลถวายทาน[/FONT]

    [FONT=verdana, geneva, lucida,][FONT=&quot]สมัยหนึ่งเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงจาริกไปหรือเที่ยวไป[/FONT][FONT=&quot] มีภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นบริวาร เสด็จเข้าไปถึงพระเชตวัน [/FONT][FONT=&quot]พระราชาเสด็จไปที่วิหาร คำว่าพระราชานี้หมายถึงพระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จไปที่วิหารที่พระเชตวัน แล้วกราบทูลองค์สมเด็จพระภควันต์ ทูล[/FONT][FONT=&quot]นิมนต์พระพุทธเจ้าว่า ในวันรุ่งขึ้นจะทรงเตรียม อาคันตุกะทาน หรือในวันรุ่งขึ้นจะถวายทานแด่พระพุทธเจ้าพร้อมไปด้วยพระสงฆ์ ที่[/FONT][FONT=&quot]เรียกว่าอาคันตุกะ หมายถึงผู้มา คือว่าพระที่มาทั้งหมดนี้พระองค์จะถวาย แล้วจึงได้ตรัสเรียกชาวพระนครว่า จงมาดูทานของเรา[/FONT][/FONT]


    [FONT=verdana, geneva, lucida,][FONT=&quot]นี่เป็นอันว่าเมืองนี้เขาแข่งขันกันทำความดี เขาไม่ได้แข่งขันกันโกง แข่งขันกันให้ว่าท่านทั้งหลายจงดูทานของเรา ชาวพระนครมาเห็นทานของพระราชาแล้ว วันรุ่งขึ้นจึงนิมนต์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมพระสงฆ์ทั้งหมด เตรียมจะถวายทานบ้าง และส่งข่าวไปกราบทูลพระราชาคือพระเจ้าปเสนทิโกศล ขอพระองค์ผู้สมมุติเทพจงมาทอดพระเนตรทานข้าพระองค์ทั้งหลาย เขาก็พยายามจัดทานให้ยิ่งกว่าพระราชาที่ถวาย เมื่อพระราชาได้ทอดพระเนตรแล้ว ก็กราบทูลองค์สมเด็จพระประทีปแก้วอีก ทรงดำริว่าทานอันยิ่งกว่าเราที่ชนทั้งหลายเหล่านี้ทำแล้วเราจักถวายทานอีกย่อมต้องถวายให้ยิ่งกว่า เราจะยอมแพ้ชาวบ้านไม่ได้[/FONT][/FONT][FONT=verdana, geneva, lucida,]​

    [FONT=&quot]จึงทรงรับสั่งให้เตรียมทานเสร็จเรียบร้อยในวันรุ่งขึ้น แล้วก็บอกให้ชาวพระนครมาดู ชาวพระนครมาดูแล้วเห็นว่าทานของพระราชายิ่งใหญ่กว่าของพวกตนมาก จึงมีการเตรียมตัวถวายทานกันอีก และก็กราบทูลให้พระราชาทรงทราบว่า วันพรุ่งนี้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอพระองค์เสด็จมาดูทานของข้าพระพุทธเจ้า เป็นอันว่าทานของชาวบ้านนี่เขารวมกันเต็มอัตรา และมีจิตใจเสมอกันเป็นคนดี ทานเขาก็มากกว่าพระราชา พระราชาองค์เดียวสู้เขาไม่ได้[/FONT]

    [FONT=&quot]นี่ก็เป็นอันว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลท่านเป็นพระราชาที่ไม่ยอมแพ้คนในด้านทำความดี ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ท่านเองปรารถนาพุทธภูมิ ต้องการจะเป็นพระพุทธเจ้าในวันหน้า และขอบรรดาท่านทั้งหลายโปรดทราบว่า ในเมืองพาราณสีนี้ พระราชาทุกองค์มีนามว่าปเสนทิโกศลเหมือนกันหมด และพระบรมราชินีก็มีนามว่าพระนางมัลลิกาเหมือนกันหมด ในเมื่อเหมือนกันอย่างนี้โดยชื่อ แต่ว่าจริยาก็ดี ความคิดเห็นก็ดี ความประพฤติก็ดี จะไม่เหมือนกัน ฉะนั้นถ้าหากว่าไปอ่านพบว่าเมืองพาราณสีมีพระเจ้าปเสนทิโกศล หรือว่าพระนางมัลลิกาที่ประพฤติตัวไม่ดี ให้ทราบว่า เป็นองค์ไหนกันแน่ ไม่ใช่องค์นี้[/FONT]
    [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กุมภาพันธ์ 2015
  11. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    <TABLE class="sites-layout-name-one-column sites-layout-hbox" cellSpacing=0 xmlns="http://www.w3.org/1999/xhtml"><TBODY><TR><TD class="sites-layout-tile sites-tile-name-content-1">
    ก็เป็นอันว่าพระราชาไม่สามารถจะเอาชนะชาวบ้านได้ จึงคิดในใจว่าเราจะไม่ยอมแพ้ ต่อมามีวาระที่ 6 คือว่ากันไปว่ากันมาถึงวาระที่ 6 ชาวพระนครก็เพิ่มขึ้น 100 เท่า 1,000 เท่า พระราชาให้เท่าไหร่ฉันให้เท่านั้น เพิ่มเตรียมให้สู้ขึ้น ตระเตรียมทานโดยที่คิดว่าอะไรที่ไม่มีจะต้องไม่มีในทานอันนี้ ท่านคราวนี้ต้องมีทุกอย่าง เพราะเรามากด้วยกัน เราจะต้องเอาชนะพระราชาของเราให้ได้ ท่านเป็นพระราชาก็จริงแหละ แต่ว่ากำลังของท่านน้อยกว่าเรา เราชาวพระนครทั้งหมดช่วยกัน ก็ถือว่าไม่ใช่เฉพาะชาวพระนคร ชาวบ้านทั้งหมดช่วยกัน เขาป่าวประกาศ

    พระราชาหรือพระเจ้าปเสนทิโกศล ไปทอดพระเนตรทานนั้นแล้ว ทรงดำริว่าถ้าเราจักไม่อาจทำทานให้ยิ่งกว่าของชาวพระนครทั้งหมดนี้ ให้สูงกว่าเขาชีวิตของเราจะอยู่เพื่ออะไร คนอย่างเราจะยอมแพ้ไม่ได้ ถ้าเราไม่สามารถชนะทานของชาวบ้านได้เราตายดีกว่า เมื่อคิดแบบนี้แล้วทำอย่างไร ก็คิดไม่ตก ตั้งใจว่าจะหาอะไรมาบ้าง ไปดูแล้วชาวบ้านแกมีทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่าอะไรไม่มี ไม่มีในทานนั้น มีทุกอย่างครบถ้วน ในที่สุดก็หาอุบายไม่ได้ ทำอย่างไร ก็นอนบรรทม นอนดำริถึงอุบายที่จะต้องทำอยู่ นอนผึ่ง ตอนนอนก็รู้สึกว่าไม่ค่อยอยากจะกินข้าว กินปลา ใครมาพูดก็ไม่ค่อยอยากจะพูดด้วย นั่งคิดอย่างเดียวว่าเราจะเอาอะไรมาให้ทานดีหนอ ให้ยิ่งกว่า ชาวบ้าน เขาไม่ยอมแพ้เรา เราก็ยอมแพ้ไม่ได้ นี่ทุกคนต้องฟัง ถ้าทุกคนที่ฟังแล้วมาแข่งขันกันทำความดีอย่างนั้นจะมีประโยฃน์มาก ขอตลุยเรื่อง

    ตอนนั้นมาพระนางมัลลิกาก็เข้ามาเฝ้าท้าวเธอ พระนางมัลลิกาเทวี นี่ชื่ออย่างนี้มันเหมือนกัน จะต้องวงเล็บว่า พระนางมัลลิกาเทวี โดยตำแหน่งพระราชินี แต่ชื่อจริง ๆ ที่ยังไม่มาเป็นพระราชินีชื่อว่า ศรีระจิตร ศรีระจิตรนะ เข้าไปเฝ้าท้าวเธอแล้ว ทูลถามว่าข้าแต่มหาราชเจ้าเพราะเหตุไรพระองค์จึงเป็นผู้บรรทมคือนอนแบบนี้ และทำไมร่างกายของพระองค์นี้ดูเหมือนกับคนที่มีความเหนื่อยมาก นอนถอนใจ บรรทมถอนใจ ร่างกายก็ซูบซีด หน้าก็ซูบซีด ตาก็เหม่อลอย พระองค์ทรงคิดถึงเรื่องอะไรหรือพระเจ้าข้า หรือว่าจะไปเจอเทวีที่ดีกว่านี้อีก หม่อมฉันจะไปติดตามมาให้

    พระราชาก็ตรัสว่า พระเทวีนี่น้องหญิงเธอยังไม่เข้าใจนะ เวลานี้ฉันแพ้ชาวบ้านเขารู้ไหม ฉันให้ทานเท่าไหร่ ชาวบ้านก็รวมใจกันให้มากกว่านั้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า แล้วฉันจะเอาอะไรดีไปชนะชาวบ้านเขา เออน้องหญิง ทราบว่าน้องหญิงเป็นคนมีปัญญาดี มีความละเอียดรอบคอบและก็สุขุม มีความรู้จักประโยชน์และสิ่งที่ไม่ใช่ประโยชน์ จะมีอะไรช่วยฉันคิดได้บ้างไหม

    เวลานั้นพระนางมัลลิกาก็กราบทูลท้าวเธอว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์อย่าทรงคิดมากไปเลย เรื่องทาน ไม่ใช่ของหนัก พระราชาเป็นผู้ใหญ่ในแผ่นดิน ฉะนั้นชาวพระนครทั้งหลายจะให้แพ้น่ะไม่ได้ พระองค์เคยทอดพระเนตรหรือว่าเคยสดับแล้วที่ไหนหม่อมฉันจะจัดแจงทานแทนพระองค์ นั้นก็หมายความว่าเคยเห็นไหมที่พระราชายอมแพ้ชาวบ้าน พระราชานี่ความจริงไม่ใช่มีมานะหนัก แต่ต้องทำความดี ให้เหนือเพื่อเป็นการจูงใจคนให้มีความดีปฎิบัติความดีตาม ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเด็กย่อมเห็นว่า ผู้ใหญ่ทำดีก็อยากจะดีบ้าง ทำอย่างไรก็ชอบทำตามนั้น ฉะนั้นเมื่อพระราชาชอบให้ทานชาวบ้านก็ต้องให้ทาน


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กุมภาพันธ์ 2015
  12. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    พระนางจึงได้กราบทูลท้าวเธออย่างนี้ว่าความที่พระนางเป็นผู้ใคร่จะจัดแจงอสทิสมาน คือหมายความว่าตั้งใจไว้แล้วจะถวาย อสทิสทาน มานานแล้วแต่โอกาสมันยังไม่มี ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอพระองค์จงรับสั่งให้เขาทำดังนี้คือ หนึ่งทำมณฑปสำหรับนั่งในวงเวียน คือทำวงเวียนแล้วก็ทำมณฑปสำหรับนั่งใช้ไม้เรียบ ๆ ที่ทำด้วยไม้สาละและใช้ไม้ขานาง ขานางเอาไว้ถ่างขาทำเป็นโต๊ะเพื่อบรรดาพระสงฆ์ 500 รูปนั่ง สำหรับพระที่เกิน 500 จะนั่งนอกวงเวียน ในวงเวียน 500 ทำตั่งทำโต๊ะนั่งสบาย ๆ และขอให้จงรับสั่งให้ทำเศวตฉัตร 500 คัน ช้างประมาณ 500 เชือก ช้าง จะถือเศวตรฉัตรทั้งหลายเหล่านั้นกั้นอยู่เบื้องหลังให้ภิกษุ 500 รูป งานมันใหญ่มาก

    และขอจงรับสั่ง ให้ทำเรือสำเร็จด้วยทองคำอันมีสีสุก คำว่าสำเร็จหมายความว่าสั่งทำเรือทองคำ ทองคำ แท้ ๆ ที่มีสีสุกสัก 8 ลำ หรือ 10 ลำ และก็เรือเหล่านั้นจะอยู่ท่ามกลางมณฑป และจะมีเจ้าหญิงองค์หนึ่ง ๆ จะนั่งบดของหอมอยู่ในระหว่างภิกษุ 2 รูป คือภิกษุพระ 2 องค์ มีเจ้าหญิง 1 องค์ นั้นบดของหอมถวาย และ เจ้าหญิงอีกองค์หนึ่งจะถือพัดถวายแก่พระภิกษุ 2 รูป พระ 500 นี่ก็เจ้าหญิง 500 เข้า ไปแล้ว เจ้าหญิงที่เหลือจะนำของหอมที่บดแล้วมาใส่ในเรือทองคำทุก ๆ ลำ และบรรดาเจ้าหญิงทั้งหลายเหล่านั้น เจ้าหญิงบางพวก จะถือดอกอุบลเขียวคือดอกบัวเขียวเคล้าของหอมที่ไส่ไว้ในเรือทองคำ จะให้ภิกษุรับเอากลิ่นอบ

    ที่ทำอย่างนี้นะจะเอาชนะชาวบ้าน เพราะว่าชาวบ้านเขาจะไม่มีเจ้าหญิงใช้ คือเจ้ามีเฉพาะกลุ่มเจ้า คำว่าเจ้า ชาวบ้านจะมีเจ้าหญิงไม่ได้ และอีกประการหนึ่งชาวบ้านก็ไม่มีเศวตฉัตร และชาวบ้านจะมีช้างก็ไม่มากเท่าช้างของพระราชา นี่ถือเอาชนะกันตอนนี้ และชาวบ้านจะแพ้ด้วยเหตุผลเหล่านี้พระเจ้าข้า ก็ได้กราบทูลต่อไปว่า ขอพระองค์จงรับสั่งให้ทำอยางนี้เถิด

    พระเจ้าปเสนทิโกศลฟังแล้วก็ดีใจหายเหนื่อยลุกผลุนผลันมาทันที ว่าดีแล้วน้องหญิง เรื่องอันงามเจ้าบอกพี่แล้ว จึงได้ทรงรับสั่งให้ทำกิจทั้งสิ้นโดยทำนองที่นางกราบทูลมาแล้ว ช้างเชือกหนึ่งยังไม่พอต่อภิกษุรูปหนึ่ง และหมายความว่าภิกษุแต่ละองค์ต้องใช้ช้างแต่ละเชือก แต่นับไปนับมาแล้ว ช้างมันไม่พอ ช้างไม่พอไม่ใช่อะไร ช้างน่ะมีมาก แต่ไม่พอ ฟังเหตุผลไปก่อน เป็นอันว่าช้างเชือกหนึ่งเฉพาะพระภิกษุรูปหนึ่ง 500 รูปน่ะไม่พอ จะทำอย่างไร

    พระนางมัลลิกาจึงได้กราบทูลถามว่าช้าง 500 เชือก เรามีไม่พอหรือมีไม่ถึง 500 เชือกหรือ พระนางทราบว่ามีมาก พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ตรัสว่ามี น้องหญิง ช้างที่ว่าไม่พอน่ะ มันเหลือแต่ช้างตัวดุร้ายน่ะซี ถ้าช้างทั้งหลายเหล่านั้นไปเห็นพระเข้าล่ะก็ มันจะทำร้ายพระ เพราะว่าช้างเห็นพระนี่ไม่เชื่องกับพระ ก็เหมือนกับควายที่ไม่เชื่องกับพระ ไล่ขวิดพระนั่นเอง เหมือนกับลมพาไล่พระ พระนางก็ได้กราบทูลให้ทรงทราบว่า ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันทราบที่เป็นที่ยืนถือฉัตรของลูกช้างซึ่งดุร้ายเชือกหนึ่ง หมายความว่ามีลูกช้างเชือกหนึ่งพร้อมที่จะถือฉัตรได้ ถึงแม้ว่ามัจะดุร้ายก็สามารถปราบได้ด้วยกำลังใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กุมภาพันธ์ 2015
  13. Veeravit

    Veeravit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +278
    คือผมออกตัวว่าไม่ได้ชวนทะเลาะนะครับ
    เรื่องเกี่ยวกับบิดาพระเจ้าปเสนธิโกศล(พระเจ้ามหาโกศล)ผมอ่านเจอในเว็ปเมื่อเร็วๆนี้ว่า ท่าน(คนพ่อ)ได้มาบวชเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มันและมีชื่อเสียงรูปหนึ่งและปรินิพพานไปแล้ว

    ส่วนการลาพุทธภูมิสำหรับคนที่ได้รับพยากรณ์ไปแล้ว ไม่มีทางคืนกลับมาเป็นสาวกปกติได้หรอกครับ เพราะพระพุทธเจ้ามีทรงมีวาจาสิทธิ์ตรัสเรื่องใดเรื่องนั้นเป็นจริงเสมอ ถ้าทำนายแล้วผิดพลาดมันไม่ใช่วิสัยของพระพุทธเจ้า

    ที่ครูอาจารย์หลายท่านบอกว่าลาพุทธภูมิไปแล้ว ผมแยกเป็น
    1 ลาสำเร็จ กลุ่มนี้คือคนที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์ เช่นหลวงปู่มั่น

    2 ลาไม่สำเร็จแต่คิดว่าลาสำเร็จ

    3 ลาไม่สำเร็จ และกลับมาสร้างบารมีต่อ ตย. หลวงปู่สิงห์ ขันตยาโม


    อัธยาศัย ที่ทำให้พระโพธิญานของนิยตโพธิสัตว์แก่กล้ายิ่งขึ้น มี 6 ประการ
    1 เนกขัม พอใจในการรักษาศีล การบวช หรือบรรพชา
    2 วิเวก พอใจอยู่ในที่สงบ
    3 อโลภ พอใจในการบริจาคทาน
    3 อโทส พอใจในความไม่โกรธ เจริญเมตตา
    4 อโมห พอใจในการพิจารณาคุณและโทษ เจริญปัญญา
    5 นิพพาน พอใจที่ยกตนออกจากภพ ไม่ยินดีในการเวียนว่ายตายเกิด ประสงค์นิพพานเป็นอย่างยิ่ง
    การปราถนานิพพานจึงฝั่งแน่นอยู่ในใจของพระโพธิสัตว์ตลอด เรียกได้ว่าบำเพ็ญบารมีไปพลาง ปราถนานิพพานไปพลาง พระโพธิสัตว์(ปรมัตบารมี)ที่ไม่เข้าใจ จึงคิดจะลาพุทธภูมิ แต่ท้ายที่สุดก็ต้องเวียนกลับมาสร้างบารมีต่อนั่นเอง แต่อาจมีบางท่านหลงว่าลาขาดอันนั้นเป็นการเข้าผิดของตน
     
  14. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ถามว่าเราจะเอาช้างมาอยู่ที่ตรงไหนล่ะ พระนางมัลลิกาก็กราบทูลว่า ยืนที่ใกล้ๆ พระผู้เป็นเจ้าชื่อว่า องคุลิมาน หมายความว่าลูกช้างตัวที่มันดุเอามายืนใกล้ ๆ องคุลิมาน ได้สู้กัน องคุลิมาน ไม่ใช่ก้อย แต่ว่าเวลานี้ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว พระราชารับสั่งให้ราชบุรุษทำอย่างนั้น คือว่า พระราชารับสั่งให้เอาช้างตัวนั้นมายืนใกล้ องคุลิมานถือฉัตร พอมาใกล้องคุลิมาน ก็อาศัยบารมีความดีของท่าน ลูกช้างก็สอดหางเข้าไปในระหว่างขา ได้ปรบหูทั้งสองหรือตั้งหูทั้งสองขึ้นหลับตายืนอยู่

    มหาชนแลดูช้างซึ่งทรงเศวตฉัตรเพื่อพระเถระหรือองคุลิมานนั้น จึงพากันคิดว่านี่เป็นอาการของช้างดุร้ายที่ว่าเห็นปานนี้ ท่านองคุลิมาน พระเถระย่อมทำได้ หมายความว่าปราบพยศของช้างได้

    พระราชาทรงถวายภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานด้วยอาหารอันปราณีตแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญสิ่งใดที่เป็นกัปปิยะ คือเป็นของสมควรหรือกัปปิยภัณฑ์ของที่สมควรที่ของใช้ในโรงทานนี้ทั้งหมด หม่อมฉันถวายทุกสิ่งทุกอย่างแด่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าคือถวายทั้งหมดของนะไม่ใช่คน สิ่งที่เป็นวัตถุทั้งหมด เรือทองคำก็ดีอะไรก็ดี เตียงตั่งก็ถวายหมด เป็นอันว่าพระราชา ทรงถวายเสร็จ ท่านกล่าวว่าในทานทั้งหลายเหล่านั้น ทรัพย์มีประมาณ 14 โกฎิ อันพระราชาทรงบริจาคในวันเดียวนั้นของ 4 อย่างก็คือ เศวตฉัตรหนึ่ง บรรลังก์สำหรับนั่งหนึ่ง เชิงบาตรหนึ่ง ตั่งสำหรับเช็ดเท้าหนึ่ง เป็นของที่หาค่าไม่ได้ เป็นของมีราคาสูง

    เมื่อพระศาสดาคือสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ารับทราบแล้ว ท่านกล่าวว่าใคร ๆ ผู้สามารถทำทานถึงปานนี้แล้วไม่มี ไม่สามารถจะทำได้ ถวายทานในพระพุทธเจ้าทั้งหลายในครั้งใหม่อีกไม่ได้ ทานประเภทนี้เขาถวายกันคราวเดียวเพราะเหตุว่า อสทิสทาน ประเภทนี้จะปรากฎแก่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนึ่งองค์ต่อหนึ่งครั้ง คือถวายกันครั้งเดียวของมันหนักปริมาณมันสูง และผู้ที่ถวายทานประเภทนี้ได้ก็เป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย ก็เรื่องราวมันก็มีมาก มันก็จบไม่ได้ จะลัดก็ลัดไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าต้องเอาหนังสือมากางแล้วก็เล่าสู่กันฟัง เรื่องของท่านมีความละเอียด

    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท วันนี้ก็หยุดกันแค่นี้นะสำหรับท้องเรื่อง เหลือเวลาอีก 5 นาที ก็มานั้งคิดกันว่าในเมืองพาราณสี น่ะ พระเจ้าปเสนทิโกศลความจริงก็เป็นสหายกันกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่กล่าวว่าเป็นพระสหายคือเป็นลูกกษัตริย์เหมือนกัน อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และก็มีศรัทธาในองค์สมเด็จพระพระภควันต์บรมศาสดามาก และในการทำทานคือพระโพธิสัตว์ไม่ยั้งในการทำทาน และแถมมีพระมเหสีคือ พระนางมัลลิกาเทวี อย่าลืมนะ มัลลิกาเทวี องค์นี้ชื่อเดิมของท่านชื่อ ศรีระจิตร เป็นผู้ที่ทรงทานมาก มีศรัทธามาก จริยาของท่านยังมีมากไปกว่านี้ แล้วก็จะคุยกันวันหน้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กุมภาพันธ์ 2015
  15. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    รวมความว่าทานที่ท่านให้อาศัยบุญบารมีเดิม คือว่าถอยหลังในชาติต่อ ๆ ไปก็ปรากฎว่าทั้งสองท่าน นี่ท่านผู้รู้ท่านบอกให้ฟัง ในธรรมบท อาจจะไม่บอกไว้ ท่านบอกว่าทั้งสองท่านนับแต่อดีต ตั้งแต่ปรารถนาพระโพธิญาณมาตั้งแต่เริ่มแรก ก็เป็นผู้หนักในทาน บางครั้งบางคราว ท่านเกิดในสภาวะของคนยากจน ผ้านุ่งก็เก่าแสนเก่า จะต้องประกอบอาชีพด้วยแรงงาน คือทำไร่ทำผัก

    ฐานะทางสมบัติก็ไม่ค่อยจะมีกิน ก็ปรากฎว่ามีคนยากจนเข็ญใจมาเมื่อไหร่ อาหารของท่านแม้จะเกือบไม่อิ่มก็พยายามแบ่งให้ แบ่งให้ไม่มาก ก็แบ่งให้น้อย ๆ พอที่ประทังชีวิตไปชั่วคราว นี่กำลังใจของท่านเป็นอยางนี้ในเรื่องในทาน โดยเฉพาะพระนางมัลลิกาเทวี ท่านผู้รู้ ผู้นั้นบอกให้ทราบว่า พระนางมัลลิกาเทวีนี่ถวายทานหนักเป็นพิเศษ ในอดีตที่ผ่านหรือว่าชาตินี้ก็ตาม จะเป็นคู่ปรับกับนางวิสาขามหาอุบาสิกา คือหนึ่งจริยาก็มีความนิ่มนวล

    สองการสละทานก็หนักมาก ในชาติก่อน ๆ มา อันนี้จะอ้างถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคไม่ได้นะ ท่านผู้รู้บอกว่าในชาติก่อนๆ ท่านชอบบูชาทาน บูชาธรรมด้วยเครื่องประดับ ในบางคราวซึ่งเกิดเป็นพระราชินีของพระมหากษัตริย์องค์ใดองค์หนึ่งในชาตินั้น ๆ มาฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระภควันต์คือสมเด็จพระพุทธเจ้าก็ดี ฟังเทศน์จากพระอรหันต์ก็ดี พอใจในธรรมะ

    ถอดเครื่องประดับที่มีราคาสูงที่ชาวบ้านไม่สามารถจะมี ถวายบูชาธรรมแล้วก็ตีราคาเป็นเงิน ตีราคาเป็นเงินให้มันสูงกว่าราคาปกติ แล้วก็ประกาศขาย เพราะพระใช้เครื่องประดับไม่ได้ ท่านทราบ เมื่อไม่มีใครซื้อท่านก็ซื้อเอง เอาเงินจำนวนนั้นบำรุงพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
     
  16. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    เพราะอานิสงส์อย่างนี้ การให้ทานหนักมาในกาลก่อน ต่อมาสมัยเมื่อพบองค์สมเด็จพระชินวร พระราชสวามีในสมัยนั้นก็มาเกิดเป็นพระเจ้าปเสนทิโกศล พระนางศรีระจิตรก็มาเกิดเป็นพระนางมัลลิกาเทวี นี่ชื่อสำหรับพระราชินีนะ แต่ชื่อจริง ศรีระจิตร ท่านว่าอย่างนั้น ผิดถูกก็เป็นเรื่องของท่าน การถวายทานในครั้งนี้จึงเป็นของไม่หนัก

    เพราะสมัยนั้นมีมหาเศรษฐีมีเงินนับเป็น 80 โกฎิบ้าง 160 โกฎิบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นบ้าง คนที่มีมากหนักจริงคือ นางวิสาขามหาอุบาสิกา ในเมื่อชาวบ้านมีทรัพย์อย่างนั้นมาก พระราชาก็ต้องมีทรัพย์มากยิ่งขึ้น ฉะนั้นจึงทรงพระราชทานการบำเพ็ญกุศลได้ถึงวันละ 14 โกฎิ 14 โกฎินี่หมายความว่าแม้แต่พระนางมัลลิกาเทวี ก็มีสิทธิจะใช้ในเงินนี้ คือวันหนึ่ง ๆ พระราชาสามารถจับจ่ายใช้ถึงวันละ 14 โกฎิ และมีผู้สงสัยว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลสมัยนั้นมีลูกเท่าไหร่

    ภรรยาไม่ใช่คนเดียว พระนางมัลลิกาเทวี เป็นภรรยาเอก เอกอัครมเหสี นอกจากนั้นจะมีเท่าไหรก็ดูลูก ลูกสังเกตตามเรื่องนี้ปาเข้าไปเลย 1,000 คน บ้างเป็นหลาน เป็นเหลนบ้าง และก็จริง ๆ แล้วคำว่า เจ้าหญิง ส่วนใหญ่จะเป็นลูกของกษัตริย์ แต่ว่าเป็นลูกของกษัตริย์ข้างเคียงคือน้อง ๆ รองลงไป ก็รวมความว่าพระราชาท่านมีทรัพย์ใหญ่ ฐานะก็ใหญ่ มีลูกก็มากตามฐานะ เรื่องราวในตอนนี้ยังไม่สรุปเรื่องธรรมะ

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า สัญญาณบอกหมดเวลาผ่านไปแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแต่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี เรื่องนี้นะจะต่อในวันพรุ่งนี้ต่อไป สวัสดี.

    จากหนังสือรวมคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่ม 15
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กุมภาพันธ์ 2015
  17. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814





    :cool:({) สวัสดีครับคุณ Sirius Galaxy เรื่องแบบนี้ มันเป็นเรื่อง ที่ละเอียดอ่อน ลงไป คนที่ไม่ได้ ปราถนา พุทธภูมิ จะเข้าใจยาก และผมใช้คำว่า แม้แต่ปราถนาพุทธภูมิ ก็เถอะ ก็ยังเข้าใจยากอยู่ ถ้ากำลังใจ ไม่ใกล้เคียงกัน หรือ ภูมิรู้มันไม่ใกล้เคียงกัน มันก็ จะค้านกัน แถมบางครั้ง ตัวทิฏฐิ เยอะมากกว่าคนธรรมดา หลายร้อยพันเท่า แม้ผมเอง ได้เจอะเจอ ท่านทั้งหลาย มาพอสมควร ก็ยังมิวาย มีทิฏฐิ เยอะอยู่ บางที ถือว่า ตัวเอง มีประสบการณ์สูง ทำให้หยิ่งในศักศรี ถึงแม้ จะไม่ได้เรียนรู้ มาสูง ผมเรียนแค่ ป. ๔ แต่คนมัน ที่เรียนมาสูง ใช้ความรู้เหยียบย่ำ รังแก และอำนาจ ข่มเหง หลายกรณี แต่ผมไม่เคย ก้มหัวให้ ใคร มีโอกาศ ผมจะจัดการทันที ที่ผ่านมา หนีได้ผมจะหนี ส่วนใหญ่หนีครับ ฮ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


    แต่พูดถึงหลัก ความจริง ผมกลัวคนดีมากกว่า แม้เกิดมาในวันนี้ ให้ผมกราบ ผมกราบได้อยู่แล้วครับ มาพูดถึง คนที่มีบารมีมาดีๆกว่าครับ จะเอ่ยให้ฟัง ปู่โทนหลำแพ นี่ตอนที่ผมไปกราบท่าน ที่ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ อายุท่าน ๑๐๖ ปี แต่มองดู เหมือนอายุของท่าน แค่ ๖๐ กว่าๆ แต่มีปัจจบันของท่านในสมัยนั้นแค่ ๔๐ เศษๆ คนดังๆพระดังในประเทศ ไทย ไปศึกษาหาความรู้ จากท่าน มากมายครับ ลองไปหาประวัติ ท่านอ่านดูนะครับ อีกท่าน อ.สุบิน อยู่สำนักอะไร จำไม่ได้ นี่ก็เก่ง สร้างสำนักเอง เจ้าของสำนัก สร้างวัด รอบเขา สร้างพระใหญ่ๆ ด้วยมือตนเอง พระเถร เณรชี ไปหาท่านหรือไปอยู่ กับท่าน ต้องอยู่ในกฎระเบียบ ที่ท่านวางไว้ ถ้ารองไม่เคารพ เจ้าของสถานที่ ขับออก สถานเดียวครับ


    ท่านเป็นลูกศิษย์ หลวงพ่อเดิม กับหลวงพ่อเงินบางคลาน วันนั้นผมไปหาท่านกราบท่าน กับ หลวงพี่อ๋า สุโขทัย เอาซองไปให้ ท่านบอกว่า คุณ อ๋า ทำแบบผมนี้ซิ่ พิจรณา เอา ขี้เยี่ยว ในกายคุณ ออกให้หมดแบบผม เดี๋ยวมันก็มาเอง แบบผม ผมนั่งเฉยๆ ก็มีคนเอาเงินมาให้ผมสร้างโน่น สร้างนี่ วันๆ เป็นหมื่น เป็นแสนเป็นล้านๆบาท เห็นไหม แต่บังเอิญวันนั้นอีกแหละ มีพระ นุ่งเหลืองห่มเหลือง ไปลองดีกับท่าน หลายประการ ท่านเลยเรียกและบอก เรียก ไอ้เณร มาลองดีอะไร วันนั้นทำให้ผมทึ่ง และหัวเราะออกมา ที่ท่านเรียกพระแบบนั้น ลองของว่าไปลองดีกับท่าน หรือ ไม่เคารพกัน ท่านฟันไม่เลี้ยงครับ ในด้านคำพูด เผลอ ไล่ตะเพิดด่าไปเลย


    คนดีมันต้องมีเหตุผล ใช้ปัญญาไตร่ตรองดู ไม่มีใคร ชลาดมาก่อนครับ ต้องโง่มาก่อนฉลาด ผมยังมีฆราวาส อีกหลายท่านเอ่ยถึง ส่วนใหญ่ตายไปแล้ว ปราณบุรี นี่ ๒ ท่าน พระก็ ๒ ท่านที่ผมพอรู้จัก แต่ตายไปแล้วครับ หลวงพ่อนิ่ม วัดเขาน้อย หลวงพ่อพัน วัดหนองตาเมือง พระน้องพระพี่กัน ครูทัน รุจิเรข กับ อ.สวย ปราณบุรี กับ เขาสามร้อยยอด นี่ท่านเป็นเพื่อนกัน นี่ก็เอ่ยไม่ไหวหรอกครับ ตอนนี้ เหลืออยู่คน อยู่โคราช เป็นผู้หญิง แต่ท่านไม่รับใครแล้ว ผมเอง ปีหนึ่งไปทำบุญกับท่านครั้งเดียว ยิ่งปัจจุบัน มีเยอะแยะ ผมเองไม่ไปหาใครแล้ว ตระเวนแบบเมื่อก่อนนะ ท่านรุ่นเก่าตายไป รุ่นไหม่ก็มาแทน


    พระโพธิสัตว์ ที่มีบารมีเต็ม ใกล้เต็ม มีจำนวนเป็นแสน แล้วบารมี ต้นกับบารมีกลางนี่ ผมว่านับไม่ถ้วน การลา ถ้าอ่านเข้าใจ มันไม่ยาก พระโพธิสัตว์ ที่มีบารมีไม่ใกล้เต็ม ท่านไม่ลาพุทธภูมิหรอกครับ พูดตามครูบาอาจารย์ท่านกล่าวไว้ ไอ้ที่ท่านต้องลา เพราะว่า ต้องมาช่วยพระพุทธศาสนา ในยุคนั้นๆ พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆ ไปอ่านประวัติ หลวงปู่หลวงพ่อต่างๆ ดูสิครับ หลังครึ่งพุทธกาล มาจาก พุทธภูมิลามาช่วยพระศาสนาทั้งนั้น พระยามารลาพุทธภูมิ ผมก็รู้มาจาก หลวงพ่อ ฤาษี ส่วนใหญ่ในสายท่าน ก็มาจากพุทธภูมิลา ทั้งสิ้น แล้วที่ไม่ลาพุทธภูมิก็ยังมีอีกเยอะครับ คุณคงอ่านที่ผมบอกไปแล้ว พยามารก็มีลูกศิษย์ บริวารเขาติดตามกันมามากมาย ถ้าจิตท่านเป็นสัมมาทิฏฐิเมื่อไหร่ ถ้าก็หันมา ทางดี ดูพระเทวทัตสิครับ ท่านได้ ถูกพยากรณ์ไว้แล้ว ท่านจะมาเป็นพระปัจเจกะพุทธเจ้า


    คุณลอง ย้อนไปดูข่าวสิครับ แทบทุกวัน มีคนฆ่า พ่อ แม่พี่น้องกัน มากเข้าไปๆทุกๆวัน นี่ยังไม่สิ้นพระศาสนานะครับ พระโพธิสัตว์ก้ไปเป็นมารได้ เมื่อจิตเขาตกต่ำ การสวม ชื่อ คุณไม่ต้องไปดูยุคไหนหรอก ลองดูปัจจุบัน หลายๆที่ หลายๆสำนักอ้างกูเป็นพระศรีอาริย์ บ้าง หลวงพ่อนั้นหลวงพ่อนี้บ้าง นี่ การแอบอ้างๆอิง มันมีทั้งนั้น แล้วการเปลี่ยนแปลง ชื่อเสียงเรียงนาม ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ครับ ผมก็พูดไปแล้ว คนนี้ไป แต่ตำแหน่งเดิม ยังอยู่ คนอื่นมาแทน หรือดวงจิต ผู้อื่นมาเป็นแทน ไม่ต้องไปดู ตำแหน่งอื่นหรอกครับ ตำแหน่ง พระอินทร์ เง็กเซียนฮ่องเต้ ท้าวสักกะเทวราช และอีกหลายชื่อ มันองค์เดียวกันเปล่าครับ มันองค์เดียวกัน แต่ท่านหมดบุญ ท่านก็ไป แต่ตำแหน่งไม่ได้ไปด้วยครับ นี่ผมอุปมาอุปไมย ให้ดู ผมเผื่อคนอื่นด้วยครับ ผมคิดว่าคุณเข้าใจ แต่คนอีกมากไม่เข้าใจขอบคุณครับ
     
  18. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    อ่านของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเรื่องการลาพุทธภูมิ

    การเจริญพระกรรมฐานที่เราศึกษากัน พวกเรามาเจริญกรรมฐานที่นี่แล้วไปฟังที่อื่นไม่รู้เรื่องน่ะ อย่าว่าท่านนะ อย่าไปว่าสำนักนั้นสอนไม่ดี เพราะเราไม่ได้ตามกันมา คือ จะต้องตามกันจึงจะพูดรู้เรื่อง คนที่เขาศรัทธาในสำนักอื่นก็เหมือนกัน มาสำนักเราเขาอาจจะฟังไม่รู้เรื่อง เพราะไม่ได้ติดตามกันมา
    ไม่ใช่ว่าเขาไม่ดี เขาก็ดีเหมือนกัน คนที่จะพูดให้คนทุกประเภทรู้เรื่องได้น่ะ มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว แต่สำหรับพวกสาวกนี่ต้องอาศัยเป็นคนที่ติดตามกันมาแต่ในอดีตชาติ ทำบุญร่วมกันมาแบบนี้แหละ ฉันก็เกิดเป็นพระเรี่ยไรญาติโยมอยู่ตลอดเวลายังงี้ มันน่าเกิดทุกชาตินะ แต่มันไม่ยังงั้นน่ะซิ บางชาติก็พาพวกไปรบกับเขาสนุกสนาน ไอ้ฉันก็หัวโจกผู้หยงผู้หญิงก็คว้าดาบเข้าฟันกับเขา

    ตีกับเขา โอ๊! สนุก! เผลอ ๆ ก็ลงนรกกันสนุกเสียที แต่คิดว่าพวกเรานี่คงจะไม่ลงนรกมาประมาณ ๑,๐๐๐ ชาติแล้วนะ แล้วอย่ากลับไปอีกเลย ถ้าหัวหน้าไม่ลงลูกน้องก็ไม่ลงหรอก ใช่ไหม...

    ความจริงอาตมาไม่รู้เอง มีอยู่คราวหนึ่ง เมื่อคราว พ.ศ. ๒๔๙๗ ปีนั้นนั่งนึก ๆ ดู เอ..ไอ้กูนี่ตายแล้วจะไปไหนดีหว่า...มานั่งคิดบัญชีตั้งแต่เกิดมา มันทำบาปมากกว่าทำบุญ รู้ตัวว่าทำบาปมาเยอะ แต่การทำบาปก็เป็นสาธารณประโยชน์ ถึงเป็นสาธรณประโยชน์ก็จริง แต่ไอ้การฆ่าเขานี่มันก็บาป ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นโจรเป็นผู้ร้าย ก็มานั่งคิดว่าน่ากลัวจะไปนรกเล่นสบาย ๆ นั่งเลือกเอาสักขุม ขุมไหนก็ช่างมันเถอะ!

    รำพึงดูว่าจะเปลื้องตัวเองให้พ้นนรกจะทำยังไง การเจริญพระกรรมฐานน่ะจริง เจริญมาตั้งแต่วันบวช แต่ก็เกรงกำลังใจว่าเวลาตาย ถ้าจิตเราเสียนิดหนึ่งอาจจะไปนรก พอคิดถึงตอนนี้ก็มีเสียงไม่แว่วหรอก ดังชัด! เสียงถามว่า "จะไปขุมไหนดีล่ะ?" เสียงจากข้างบน ถ้ามาจากข้างล่างล่ะยุ่งแน่ เสียงเพราะนะ เหมือนเสียงเด็กก็ไม่ใช่ เป็นเสียงเด็กกับเสียงผู้หญิงบวกกัน เสียงประเภทนี้มาจาก ๒ แห่ง คือ จากพรหมหรือจากนิพพาน แต่ตอนนั้นเข้าใจว่าจะเป็นเสียงพรหม ถามว่า "จะไปขุมไหนดี ตัดสินใจแล้วหรือยัง?" ตอบไปว่า "ยังหาที่เลือกไม่ได้"

    แล้วเสียงนั้นก็ตอบมาบอกว่า "จะไปได้ยังไงในเมื่อท่านไม่ไปมา ๑,๐๐๐ ชาติแล้ว..." เราเลยนึกว่าแกโกหกน่ะซิ! ๑,๐๐๐ ชาติถอยหลังไป โอ้โฮ! ขนาดหนักเลย ฆ่านับหัวไม่ถ้วน รบทัพจับศึกนี่ฆ่ากันมาเท่าไหร่ ก็ถามว่า "มันจะแน่ได้ยังไง ไม่ตกนรก ๑,๐๐๐ ชาติ" แกบอกว่า "ถอยหลังไปดูซิ! ทุกชาติเล่นฌานสมาบัติ รบก็รบกัน เวลาเลิกจากรบก็ทำบุญสุนทาน สร้างวัดสร้างวาให้ทาน เจริญกรรมฐานก็ใช้กำลังฌานหนีนรกมาทุกชาติ แล้วทำไมชาตินี้จึงจะไปล่ะ?"
     
  19. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    เอ..ชักครึ้ม ๆ ค่อยยังชั่วหน่อย ก็เลยร้องถามไป "ถ้าฉันตายเวลานี้ไปอยู่ที่ไหน?" อีตอนนั้นความจริงยังไม่ถอนจาก "พุทธภูมิ" เขาเลยตอบว่า "ชาตินี้ก็เลือกเอาซิ! อยากจะไปอยู่พรหมหรืออยู่ดุสิต?" ก็เลยนั่งนึกนอนนึกจะไปไหนดีหว่า .. จะไปอยู่ชั้นดุสิต ผู้หญิงมากนี่ ดูท่าจะไม่ไหว เพราะอีตอนนั้นข้าง ๆ วัดแกทะเลาะกันเรื่อย พูดกันแค่คนละคำเราก็แย่แล้ว ถ้าจะไปอยู่พรหมก็นานเกินไป เลยคิดว่า เอ้า! อยู่ไหนก็ช่างมันเถอะ! ใช้ได้..ถ้าเขาพูดกันมากนัก เราทำเฉย ๆ เสียมันก็หมดเรื่อง..

    ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๐๓ หลายปีนะ ปีนั้นนั่งอยู่คนเดียว พระเขาไปหากินผีกันหมด เขานิมนต์ไปมาติกาบังสุกุลหมดวัด ฉันมันเป็นคนขี้เกียจนี่ ถ้าไม่มาป้อนถึงวัดก็ไม่ค่อยจะเอาหรอก แล้วก็เป็นห่วงถ้าไปกันหมดเดี๋ยวขโมยลักวัด เลยนั่งอยู่คนเดียวประมาณสัก ๔ โมงเช้า ลองนึกดู เออ..ไอ้กูมันเกิดมาเป็นคนมากี่ชาติหนอ แล้วเป็นสัตว์มากี่ชาติ นึกเท่านี้ก็มีเสียงกังวานมา เสียงเพราะมาก เสียงผู้หญิงบวกผู้ชายเหมือนกัน แต่กังวานมากนี่เป็นเสียงจากนิพพาน แต่ฟังชัดมากเหมือนกับเราคุยกันใกล้ ๆ บอกว่า "คุณอยากจะรู้หรือว่าเกิดเป็นคนกี่ชาติ? เกิดเป็นสัตว์กี่ชาติ?"

    ก็เลยตอบว่า "พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าอยากจะทราบ" ท่านก็บอกว่า"ดูข้างหน้านี่ซิ!" ก็มองไปข้างหน้า ไอ้ชาติที่เกิดเป็นคนนี่นอนเรียงกันยาวสัก ๑๐ กว้าง ๑๐ นี่นะเรียงขึ้นไป มันเลยเขาพลองตั้ง ๒ เท่า ส่วนภาพเสดงชาติที่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นอีก ๔ เท่า จากสัตว์เล็กถึงสัตว์ใหญ่สูงเท่า ๆ กันแหละ คิดเฉลี่ยแล้วเป็นสัตว์มากกว่าเป็นคนมาก แหม...เรามีบุญเยอะ ท่านก็เลยบอกว่า "นี่แค่สัตว์กับคนนะ นรกยังไม่ได้คิด" แหม..ขนาดนรกยังไม่ได้คิด ท่านก็เลยบอกว่า"เราทิ้งอัตภาพมาขนาดนี้แล้ว ร่างกายเต็มไปด้วยความทุกข์
     
  20. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ขณะที่เราเกิดเราก็คิดว่าเราไม่ตาย แต่ทุกชาติเราก็ตาย ทำไมชาตินี้เราจะห่วงใยอะไรต่อไปอีกรึ ยังคิดว่าเราจะเกิดต่อไปรึ เห็นไหม.. แต่ละอัตภาพที่เกิดมาน่ะมันก็เต็มไปด้วยความทุกข์ แล้วการเกิดแต่ละชาติมันไม่ใช่เป็นมนุษย์เสมอไป ไปเป็นสัตว์เดรัจฉานจากสัตว์เล็กไปถึงสัตว์ใหญ่ก็มี บางคราวเกิดเป็นเทวดาก็มี เป็นพรหมก็มี เป็นสัตว์นรกก็มี แต่ไอ้เทวดากับพรหมน่ะมันน้อยกว่าสัตว์นรกและสัตว์เดรัจฉาน แล้วคุณจะหวังเกิดมาทำไมล่ะ .. ?"

    เราก็นั่งตาปริบ ๆ ไอ้เราก็ไม่อยากจะเกิด แต่มันก็เกิดจะไปว่ายังไงมัน เลยถามท่านว่า "ถ้าอย่างนั้นล่ะ! จะไม่เกิดได้ไหม?" ท่านบอกว่า "ไม่เห็นมันยากนี่" แน่ะ! พูดกับคนไม่ยากนี่ พูดกับคนที่ไม่รู้จักเกิดก็ "ไม่ยาก!" ถามว่า "ไม่ยากจะทำยังไง?" ไอ้ที่ทำอยู่นี่ก็เพื่อความไม่เกิด แต่ว่ากำลังใจยังไม่ได้ตัดสินแน่นอนนัก ยังมีจังหวะห่วงหน้าห่วงหลัง มีจุดหนึ่งที่คิดว่าเราต้องกาสงเคราะห์ประชาชนให้มีความสุข เพราะอาศัยพุทธภูมิเป็นสำคัญ

    จิตอีกดวงหนึ่งคิดว่าทำบาปขึ้นมานี่ เป็นพระอรหันต์ไปนิพพานเสียดีกว่า ท่านบอก "อย่าให้มันแย่งกันซิ! เอาด้านใดด้านหนึ่ง" ถามว่า "ถ้าด้านใดด้านหนึ่งใช้เวลานานไหม?" ท่านบอก "ไม่นาน" ถามว่า "เท่าไหร่?" ท่านก็ตอบ แต่จะไม่บอกนะว่าท่านบอกว่าไง ท่านก็กะเวลาให้ อ๋อ! เรื่องเล็ก ๆ แต่ว่าต้องเป็นนักเรียนทุน พอเรียนจบแล้วต้องทำงานใช้หนี้ ๑๒ ปี ก็ทำตามท่านรู้สึกว่าง่าย ที่ง่ายเพราะอะไร เพราะว่าอันดับต้นที่บวชใหม่ ๆ เล่นสมาบัติ ๔ ถึงสมาบัติ ๘ พอถึงสมาบัติ ๘ อาศัยที่ปรารถนาพุทธภูมิ มันก็ยั้งตัวอยู่แค่นั้น ก็ฟัดกันเรื่องสาธารณประโยชน์

    "พุทธภูมิ" นี่ห่วงคนอื่นมากกว่าห่วงตัว ตัวเองจะมีกินหรือไม่มีกินไม่สำคัญ ขอให้สาธารณชนเขามีความสุข จิตใจมันขยายไปแบบนั้นนะ ไอ้ที่นอนก็เป็นเสื่อขาด ๆ เก่า ๆ ของใหม่ไม่มีในกุฏิ เวลานี้ที่วัดมีของดี ๆ มาก ชาวบ้านเขาจัดให้ ถ้าชาวบ้านเขาให้ชนิดไม่จำกัดล่ะหมด แจกเรียบ!!!...
     

แชร์หน้านี้

Loading...