พระพุทธเจ้าประเภท สัทธาธิกะพิเศษ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ลัญจกร_ssj, 17 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]จากหนังสือปฏิปทาท่านผู้เฒ่า เรื่องการลาพระโพธิญาณ[/FONT]

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]สำหรับการแนะนำในการเจริญพระกรรมฐาน ในวันนี้ก็จะขอนำปฏิปทาท่านผู้เฒ่ามาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติหรือการทรงกำลังใจ แต่ทว่าบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายหรือว่าพระโยคาวจรทุกท่าน อย่าลืมคุมกำลังใจให้เป็นสมาธิ เรื่องการรักษาอารมณ์ให้เป็นสมาธินี่มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะอานาปานสติกรรมฐานนี่ให้ทรงตัว แล้วก็จริตหกประการ ใคร่ครวญอยู่เสมอ จงอย่าเป็นผู้ยอมแพ้นิวรณ์ นี่อันดับต้น ถ้าอันดับต้นเรายอมแพ้นิวรณ์ เราก็ไม่อาจจะทรงฌานได้ แล้วก็จงอย่าเป็นผู้ยอมแพ้กิเลส ถ้าเรายอมแพ้กิเลสแล้ว เราก็ไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้ คุณธรรมที่เป็นเครื่องบำรุงใจ [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif][/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ดูตัวอย่างท่านมหาบาลที่ผ่านมาแล้ว เมื่อครู่นี้ ใช้กำลังใจส่วนนี้ให้เหมือนท่าน จงคิดว่าท่านเป็นฆราวาส ท่านเป็นกระฎมพีหรือว่าเป็นเศรษฐีมีทรัพย์มาก ท่านยังสามารถตัดสินใจอย่างนั้นได้ แล้วก็เรา ถ้าจะกล่าวกัน ท่านมีกี่นิ้ว เรามีกี่นิ้ว หรือว่าท่านมีรูปร่างลักษณะอย่างไร มีอาการสามสิบสามหรือสามสิบห้า ความจริงท่านก็มีอาการสามสิบสองเป็นร่างกายเท่ากับเรา เราก็มีอาการสามสิบสอง ท่านกินข้าว เราก็กินข้าวท่านเป็นคนเราก็คน ถ้าหากว่าท่านเป็นคนดีได้ เราเป็นคนดีไม่ได้ เรามันก็เลวเกินไป นี่ขอท่านทั้งหลายตั้งใจฟังเรื่องท่านแล้วก็นำมาประพฤติปฏิบัติด้วย [/FONT]


    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]สำหรับปฏิปทาของท่านผู้เฒ่า ความจริงมีหลายคนเดาว่าเป็นเรื่องคนนั้น เดาว่าเป็นเรื่องคนนี้ นี่ความจริงไม่ใช่เรื่องของคนๆ เดียว มันเป็นเรื่องของบุคคลกลุ่มหนึ่งที่มีความเอาจริงเอาจังในอดีตที่ใกล้ปัจจุบันนั่นเอง อดีตที่ไม่ใช่นานมาแล้วถึงชาติก่อน [/FONT]


    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]สำหรับปฏิปทาของท่านผู้เฒ่าตอนนี้ เราก็มาพูดกันถึงตอนที่ท่านกลับวัดเพื่อปฏิบัติปรารถนาสาวกภูมิ แล้วก็รับฟังมาจากหลวงพ่อเนียมแล้วก็มาซ้อมกับท่านอาจารย์เก่า แล้วก็เดินทางท่องเที่ยวไปหาพระที่ทรงคุณธรรมพิเศษที่เราเรียกกันว่าพระอรหันต์ แต่ว่าสมัยนั้นเราก็ไม่ทราบกันว่าพระอรหันต์ เพราะว่าไม่มีใครปิดป้ายไว้ที่หน้าวัด แล้วก็ไม่ปิดป้ายไว้ที่หน้าอกว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ความจริงท่านเป็นผู้ที่หมดกิเลสแล้ว ตามที่เขาทราบกันในตอนหลัง เป็นอันว่าพระสมัยนั้นท่านปิดกัน ท่านเก็บของดีของท่านไว้เป็นเครื่องทรงความดี ไม่ใช่เอาดีมาวางกลางถนน เป็นเครื่องให้คนเล่น เมื่อศึกษามาหลายอาจารย์ กี่สิบอาจารย์ก็ตามพูดเหมือนกันหมด เมื่อรับการยืนยันมาเหมือนกันกำลังใจก็มี กลับมาท่านก็ใช้สมาธิตั้งแต่ต้นถึงสมาบัติแปดถอยหลังมาทรงอภิญญา ใช้มโนมยิทธิ ความจริงท่านมีอภิญญาใหญ่ แต่ว่าใช้[/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]อภิญญาเล็ก[/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif][/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif] ใช้มโนมยิทธิท่องเที่ยวไปตามจุดต่างๆ ที่ท่านเคยได้ฟังรัชนีพูดไว้ในบันทึกเสียง ตามนั้นนั่นแหละ ตามสายนั้นแล้วก็ไปศึกษาต่อลงมา ในไม่ช้าเพื่อนทั้งสองก็บรรลุมรรคผลเป็นอรหัตผล แต่คนในตำบลนั้นจะรู้จักพระอรหันต์ก็ไม่มี จะรู้จักท่านทั้งสามนี้ว่าเป็นพระดีสักหน่อยหนึ่งก็ไม่ปรากฏ มีแต่เขาเหยียดหยามดูถูกดูหมิ่นด้วยนานัปการ นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนมีกิเลสอยากจะไปอเวจีมหานรก เมื่อเขาต้องการอย่างนั้นก็ไม่มีใครห้ามเขาได้ [/FONT]


    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]สำหรับอีกท่านหนึ่งที่เป็นเจ้าของต้นบันทึกท่านเล่าให้ฟังต่อมาว่า สมัยนั้นท่านก็มุ่งหน้ามุ่งตาปรารถนาพุทธภูมิ ทำทุกอย่างเพื่อความบรรลุมรรคผลเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล กำลังใจมุ่งมั่นประกอบความดีหลายประการ รวมความว่าทุกอย่างที่คิดว่าดีตามที่ครูบาอาจารย์สอน คำว่าครูบาอาจารย์สอนนี้ก็หมายความว่าตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา ตามพระธรรมวินัย คือ ตามตำรับตำราบ้าง ตามคำสอนของครูบาอาจารย์บ้าง ตามปฏิปทาที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนบ้าง ทำทุกอย่าง เสียสละทุกอย่าง ตนเองจะไม่มีกินไม่มีใช้ไม่เป็นไร ขอให้บรรดาภิกษุสามเณรด้วยกันมีความสุข ชาวบ้านมีความสุข ที่อยู่ที่อาศัยของตนปล่อยรกเหมือนรังกา แต่ที่อยู่ของคนอื่นสั่งสร้างสมทำความสะอาดสร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นทั้งภายในวัดของตนเองแล้วก็ภายนอก [/FONT]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มีนาคม 2015
  2. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    5000 ปีเอง !!!
    ไม่น่าจะนานนะ
    ก็สมัยนั้น โลกสุขเกือบๆ สวรรค์
    เวลาแห่งความสุขผ่านไปเร็ว สองชั่วโมงบางทีคิดว่าเพิ่งผ่านไป 15 นาทีเอง
    เวลาแห่งความทุกข์ซิ นานแสนนาน 5 นาที ยาวนานเหมือนชั่วโมง
     
  3. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]แต่ทว่าท่านพระโยคาวจรทั้งหลายหรือบรรดาพุทธบริษัท พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า นัตถิ โลเก อนินทิโต คนที่ไม่ถูกนินทาว่าร้ายเลยไม่มีในโลก นี่เป็นเรื่องจริง ท่านไปสร้างความดีที่ไหนก็ถูกเขาด่าที่นั่น ถ้าเรื่องนี้บรรดาท่านทั้งหลายปฏิบัติมาบ้าง กระทบกระทั่งบ้างว่าเป็นเรื่องปกติ สร้างโบสถ์วิหารการเปรียญให้เขา สร้างศาลาการเปรียญให้เขา สร้างที่อยู่อาศัยให้เขา สร้างความสุขความเจริญทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม อะไรที่ไหนที่เป็นส่วนสาธารณประโยชน์ ความสุขของตนเองไม่ได้เคยคิด คิดอย่างเดียวว่าเรามุ่งมั่นเพื่อพระโพธิญาณ มีความต้องการอย่างเดียวจะสร้างสรรค์ บุคคลอื่นให้มีความสุข [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif][/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ความลำบากแค่นี้ไม่มีความหมาย ต่อไปเราจะทำให้ยิ่งๆ ขึ้นไปเพื่อพระโพธิญาณ แต่ทว่าบรรดาท่านทั้งหลาย อาศัยทำอะไรให้กับคนที่มีกิเลส ถ้าเราจะหวังเอาดีกับคนที่มีกิเลสแล้ว ขอท่านทั้งหลายจำให้ดี จงอย่าคิด เพราะว่าคนที่มีกิเลสมีความมุ่งมั่นอยู่คือ หนึ่งหวังประโยชน์ส่วนตนในตอนต้น ถ้าจะช่วยเราก็หวังผลตอบแทน ถ้าผลตอบแทนตามประสงค์เขาไม่ได้ ไม่ช้าเขาก็เลิก แต่เขาไม่เลิกเปล่าเขาชวนคนอื่นเลิกไปด้วย ชวนให้คนอื่นเลิกไม่พอ ยังไปแนะนำยุยงส่งเสริมบุคคลอื่นไม่ให้ร่วมมือในการปฏิบัติความดี [/FONT]

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ท่านผู้เฒ่าผู้นี้ท่านบันทึกไว้ว่าท่านโดนทั้งฆราวาสทั้งพระ จนกระทั่งในที่สุดระยะกาลผ่านไปใกล้จะยี่สิบพรรษา ใกล้จะครบเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือน ท่านก็มานั่งใคร่ครวญดูว่า โอหนอนี่เราตั้งใจทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประชาชนเพื่อภิกษุสามเณร การสร้างวัดสร้างวาเป็นสาธารณประโยชน์ของคนทั่วไป ไม่เฉพาะพระเฉพาะเณร แล้วก็ทำเพื่อการสงเคราะห์พระภิกษุสามเณรเป็นส่วนใหญ่ ตนเองจะไม่มีกินไม่มีใช้ไม่สำคัญ หวังตั้งใจให้เขามีความสุข พระทั้งที่มีความรู้ดีในด้านปริยัติ บางท่านก็มีศักดิ์ศรีสูง มียศมีตำแหน่งสูง ต่างคนต่างก็รวมกันกินโต๊ะท่าน หาทางประฌามกลั่นแกล้งด้วยประการทั้งปวง [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif][/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]จนกระทั่งตัวท่านเองเคยเล่าให้ฟังว่า เคยคิดว่าคนพวกนี้น่าจะเก็บเอาลงไปไว้ใต้ดินดีกว่า แต่เข้ามามองดูตัวเห็นว่าห่มผ้าเหลือง คลำดูหัวเป็นว่าผมสั้น คลำดูคิ้วๆ ไม่มี ก็มาตัดสินใจว่าเมื่อเขาเลวเราจงอย่าเลวตอบ ท่านก็นั่งนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงดีแสนดี คนจะดีเกินพระพุทธเจ้านั้นไม่มีเพราะว่าหนึ่ง พระองค์ทรงตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน เป็นพระอรหันต์ที่มีความสุข [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif][/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]เมื่อพระองค์ทรงมีความสุขแล้วก็ต้องทนกับความเหนื่อยยาก นอนกลางดินกินกลางทรายนอนในป่านอนในเขา ข้าวที่จะฉันเข้าไปก็เลือกไม่ได้ ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์สุขุมาลชาติ ไม่บวชก็มีความสุข แต่นี่ท่านสละสุขส่วนที่เป็นโลกียวิสัยมาแสวงหาสุขที่เป็นโลกุตรธรรม พระองค์จึงได้มีพระมหากรุณาธิคุณสอนใครต่อใครโดยไม่มีสินจ้างรางวัล แต่ถึงกระนั้นเทวทัตที่เป็นญาติกันแท้ๆ ก็ยังหาทางกลั่นแกล้งพระองค์ด้วยประการทั้งปวง บรรดาประชาชนบางหมู่บางเหล่าและคณาจารย์ทุกคณะที่ตั้งใจทำลายท่านด้วยประการทั้งปวงเหมือนกัน ไปที่ไหนมีคนเขาด่าเขานินทาที่นั่น [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มีนาคม 2015
  4. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ท่านคิดว่าองค์สมเด็จพระภควันต์ถูกมาแบบนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ไม่ทรงท้อถอย กลับมุ่งมั่นสงเคราะห์บุคคลทั้งหลายให้มีความเข้าใจในเรื่องของความสุขและความทุกข์ แล้วเรานี่ถูกประทุษร้ายด้วยวาจา ด้วยการกลั่นแกล้งจากบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและฆราวาสที่เราสร้างสถานที่ให้อยู่ให้อาศัย ให้ปัจจัยเป็นเครื่องบริโภคมีความสุข ที่เราถูกนี้ไม่ถึงพระพุทธเจ้าขนาดพระนางมาคันทิยาจ้างคนติดตามด่า จะไปเทศน์ที่ไหนก็ยืนด่าที่นั่น บิณฑบาตที่ไหนก็ยืนด่าที่นั่น ทำอย่างนี้องค์สมเด็จพระภควันต์ก็ยังไม่ท้อถอย ทำไมเราจึงจะไปคิดทำลายล้างบุคคลประเภทนั้น [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif][/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ท่านคิดต่อไปว่าคนชั่วไม่มีที่ไหนที่นั้นก็หาคนอยู่ไม่ได้เพราะต่างคนต่างมีความสุขเสียแล้ว ขึ้นชื่อว่าสุขในปัจจุบันเป็นเครื่องพอ ก็ไม่แสวงหาความสุขยิ่งไปกว่านี้ จึงมาตัดสินใจว่าคนชั่วเหล่านี้เป็นครูของเรา นี่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกล่าวว่า นัตถิ โลเก อนินทิโต คนที่ไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก เมื่อตัดสินใจแบบนี้แล้วก็วางภาระไม่สนใจกับคำด่า ไม่สนใจกับคำสรรเสริญ พยายามมุ่งมั่นทำความดีต่อไป [/FONT]


    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]แต่ต่อมาหลังจากนั้นแล้วก็มีความเบื่อหน่ายจริงๆ คิดว่าชีวิตเดียวกับเราเท่านี้ โลกยังสร้างความทุกข์ให้เราถึงขนาดนี้ ถ้าหากว่าเราปรารถนาพระโพธิญาณต่อไป ก็จะต้องเกิดอีกกี่แสนกัปก็ไม่รู้ หมายความว่าไม่รู้นี่ว่าจะต้องเกิดอีกกี่แสนกัปหรือกี่อสงขัย แต่ละกัปอาจจะเกิดหลายครั้ง แต่ละคราวก็จะเกิดเรื่องราวแบบนี้นี่ท่าทางไม่ดี พระอุปัชฌาย์บอกแล้วว่าหลังจากการบวชแล้วยี่สิบปีไป ความปรารถนาทุกอย่างที่เธอตั้งใจจะสำเร็จผล ฉะนั้น จะคิดว่าการที่จะทำตนให้ถึงพระโพธิญาณต่อไปไม่เป็นเรื่อง ขอลาพระโพธิญาณ เมื่อจุดธูปจุดเทียนบูชาพระรัตนตรัยละพระโพธิญาณ [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif][/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ในขณะนั้นเองก็ปรากฏว่ามีพระลอยมาในอากาศ มีฉัพพรรณรังสีรัศมีหกประการพวยพุ่งออก เข้ามายืนใกล้ ก็ทราบว่าพระองค์นั้นเป็นใคร พระองค์แย้มพระโอษฐ์แล้วตรัสว่า สัมภเกสี เธอปรารถนาพระโพธิญาณมามีเปอร์เซ็นต์เข้าไปตั้งแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ถ้าเธอจะลาทำไมไม่ลาเสียตั้งแต่เมื่อหลายร้อยชาติมาแล้ว เพราะอารมณ์สาวกภูมิของเธอเต็มมานานแล้ว เวลานี้เลยเข้ามาแล้วจนจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ชาติที่จะพึงเกิดต่อไปเพียงเจ็ดชาติเท่านั้นทนไม่ได้หรือ ขอให้ทนต่อไป [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มีนาคม 2015
  5. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ท่านบอกว่าพอฟังคำเท่านั้นใจก็อ่อน ปรารถนาโพธิญาณต่อไป มุ่งมั่นปฏิบัติต่อไปตามจริยาของพระโพธิสัตว์มาอีกหนึ่งปี มันไม่ไหวอีก บรรดาพระบรรดาฆราวาสรุกรานเต็มที่เอาลาใหม่ ท่านก็ตรัสอย่างนั้น ตั้งต้นกันใหม่ ว่าไปอีก ต่อมาในครั้งหลังที่สุดที่ไม่ต้องการพระโพธิญาณ นั่นก็คืองานคณะสงฆ์เกิดขึ้นในดินแดนแห่งหนึ่งที่เป็นความร้ายแรงที่สุด เพราะว่า พระที่ทรงศักดิ์เขตจังหวัดนั้นรุกรานพระผู้น้อย เข้าปล้นทรัพย์สินของวัดต่างๆ โดยใช้อำนาจของตนที่มีอยู่ยึดทรัพย์สินต่างๆ ของวัดต่างๆ ถ้าเจ้าอาวาสวัดไหนฝ่าฝืนก็สั่งถอดเสียบ้างสั่งพักบ้าง จับสึกบ้างโดยที่เจ้าตัวไม่เต็มใจจะสึก [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif][/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]เมื่อโดนเข้าแบบนี้ก็เห็นว่า โอหนอ ทำไมพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาจึงมีจริยาเลวอย่างนี้ หน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติอยู่ในงานนั้นเป็นหน้าที่โดยตรง จึงหาทางสืบสวนว่าพระที่ทำตัวเป็นโจรท่านนี้ท่านเอาอำนาจมาจากไหน รุกรานเขา ยึดทรัพย์สมบัติของวัดทั้งหลายอันเป็นของสงฆ์ เอามาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว ซื้อขายจ่ายแจกทำแบบฆราวาส ขุดกรุบ้าง ทำลายพระพุทธรูปเสียบ้าง ทำทุกอย่างที่มันจะพึงได้เป็นประโยชน์ แต่เขาไม่มีโทษ ถูกฟ้องร้องเข้าไปเมื่อไรก็ปรากฏว่าท่านผู้นี้ได้รับเลื่อนยศเมื่อนั้น สืบไปสืบมาพบต้นตอใหญ่ มีตำแหน่งใหญ่ในการบริหารคณะสงฆ์ พอทราบกิจนี้จิตก็ตกลง กำลังใจตก คิดว่าปรารถนาพระโพธิญาณต่อไปไม่ได้แล้ว [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif][/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงยับยั้งนั่นเป็นความดี แต่ทว่าเพียงชีวิตนี้แต่เพียงชีวิตเดียวเราก็ประสบกับความชั่วขนาดนี้ ถ้าต้องเกิดอีกเจ็ดครั้งมันไม่ยิ่งไปกว่านี้หรือนี่ นี่ชีวิตเดียวเท่านี้คงทนไม่ไหว ในขณะนั้นจึงได้ตั้งใจลาพระโพธิญาณต่อไปอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ตัดสินใจเด็ดขาด ถึงแม้ว่าองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถจะเปล่งฉัพพรรณรังสีรัศมีหกประการมาปรากฏเฉพาะ ยังยั้งเพียงใดก็ตามท่านก็ไม่ยอม เพราะว่าเพียงชีวิตนี้ชีวิตเดียวยังทนไม่ไหว ถ้าพระเน่าอย่างนี้ชาตินี้ชาติเดียวไม่เป็นไร ชาติหน้าถ้าไปพบพระเน่าอย่างนี้เข้าอีกดีไม่ดีจะกลายเป็นสัตว์นรกไปเพราะท่านที่ปรารถนาพระโพธิญาณไม่มีโอกาสเป็นพระอริยเจ้ายังฆ่าคนได้ ยังทำอันตรายชีวิตเขาได้ ถ้าบังเอิญนิสัยเก่ามันกลับมาเมื่อไรก็หมายถึงเมื่อนั้นแหละจะต้องเข้าคุกเข้าตะรางกัน เวลาตายก็จะลงอเวจีมหานรก ขอลาไม่อยู่ต่อ [/FONT]


    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ในเมื่อตั้งใจจริงๆ ท่านก็ไม่ขัด จึงได้มีพระพุทธดำรัสตรัสว่า สัมภเกสี เธอปรารถนาพระโพธิญาณมา ฉะนั้น เมื่อลาก็ต้องทำกิจของพระโพธิญาณต่อไปอีกสองปี ถ้ากิจนั้นหมดเมื่อไรจบเมื่อไรแล้ว กิจส่วนตัวของเธอจบแล้วจงทำกิจของโพธิญาณต่อไปอีก ๑๒ ปี ภายใน ๑๒ ปีนี้จะตายไม่ได้ ก็ได้แต่แปลกใจมีแต่เขาให้ตาย นี่ห้ามตาย ก็คิดว่ามันจะเป็นได้ก็ช่างเถอะ ระยะ ๑๒ ปีดีกว่า ๗ ชาติ เพราะหนึ่งชาตินี่มันหลายสิบหลายร้อยปี ถ้าเกิดต้นกัปก็เกิดเป็นอายุเป็นหมื่นๆ ปีก็แย่ ก็รับคำ เมื่อรับคำแล้ว ก็มีพระพุทธบัญชาว่า สัมภเกสี นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป กลางวันเธอจะมีกิจอะไรก็ตามที กลางคืนมักจะมีแขกคุยดึกๆ เจ้าจงละกิจนั้นเสีย เมื่อถึงเวลาสี่ทุ่ม จงเลิกการติดต่อกับแขก เข้าทำกิจส่วนตัวให้เคร่งครัด [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มีนาคม 2015
  6. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif][FONT=trebuchet ms,sans-serif]ในบันทึกของท่านได้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ว่า ลาพุทธภูมิแล้วโอกาสจะบรรลุมรรคผลขั้นที่สุดมีไหม ท่านบอกว่ากระแสขององค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่า เวลานี้เธอเทียบสัตตักขัตตุง คำว่าสัตตักขัตตุงก็หมายความว่าจะต้องเกิดอีก ๗ ชาติ ในที่นี้หมายความว่าพระโสดาปัตติผลเบื้องต้น พระโสดาแบ่งเป็นสามขั้น คือ เอกพีชี อันดับสูงสุด จิตละเอียดที่สุด เกิดมาเป็นมนุษย์อีกชาติเดียว โกลังโกละ จิตละเอียดระดับกลาง เกิดเป็นมนุษย์อีก ๓ ชาติ สัตตักขัตตุง เกิดเป็นมนุษย์อีก ๗ ชาติ ก็เป็นอันว่าจิตเทียบเข้าพระโสดาปัตติผลอันดับต้น กราบทูลองค์สมเด็จพระทศพลต่อไปว่า ถ้าจะปฏิบัติไปแล้วกิจในพระพุทธศาสนาจะจบเมื่อไร ตามภาพนิมิตขององค์สมเด็จพระจอมไตร นี่พูดถึงตามบันทึกของท่านผู้เฒ่า ท่านกล่าวว่าถ้าเธอขยันหมั่นเพียรดี ทำจิตให้พอดีคือมัชฌิมาปฏิปทา ไม่ขยันเกินไปไม่ขี้เกียจเกินไป อย่างเร็วเธอจะได้บรรลุจบกิจของเธอภายในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ ถ้ากำลังใจของเธอย่อหย่อน เธอก็จะจบกิจของเธอภายในเดือนพฤศจิกายนปีหน้า เดือนที่ท่านบอกนั้นจวนจะถึงเดือนกรกฎาคม เป็นกลางๆ เดือนมิถุนายน [/FONT][/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif][/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]
    [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]เป็นอันว่าท่านก็ดีใจว่าปีนี้หรือปีหน้าก็ช่างประไร ถ้าเราจะมีโอกาสจบกิจพระพุทธศาสนาอย่างกับเพื่อนของเรา อันนี้เป็นความดี จึงไปรับปากกับองค์สมเด็จพระชินสีห์ว่า ถ้าหากว่าข้าพระพุทธเจ้าบรรลุมรรคผลตามที่พระองค์ตรัส ก็จะขอปฏิบัติตามพระพุทธฎีกาทุกประการ ภายใน ๑๒ ปีที่กล่าวนั้นจะไม่ยอมเข้าสู่พระนิพพาน จะยากจะลำบากสักเพียงไรก็ตามที จะขอสนองคุณองค์สมเด็จพระชินสีห์ด้วยชีวิต หลังจากนั้นองค์พระธรรมสามิสร์ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ว่า ดีแล้วสัมภเกสี ผลที่เธอตั้งปณิธานปรารถนาไว้จะไม่ช้าไปกว่านั้นตามที่กล่าวไว้ ฉะนั้นนับตั้งแต่นี้ไปถือว่าเธอลาจากพุทธภูมิ มีจริยาของสาวกภูมิต่อไป ฉะนั้น เวลาสี่ทุ่มทุกคืนจง เข้าห้องบูชาพระ แล้วตั้งใจปฏิบัติตามกระแสที่จะตรัสสั่งสอนด้วยพระองค์เอง [/FONT]


    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ปฏิปทาตอนปลายของท่านผู้เฒ่านับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป จะเห็นกำลังใจของท่านผู้เฒ่า ใช้กำลังอย่างใดจึงสามารถบรรลุมรรคผลถึงที่สุดได้ ความจริงมรรคผลขั้นที่สุด ขั้นอรหัตผลของท่านไม่ใช่เดือนพฤศจิกายนปีหน้าตามที่ท่านกล่าวและก็ไม่ใช่เดือนพฤศจิกายนปีปัจจุบันอย่างที่ท่านกล่าว เป็นการจบกิจถึงแค่เดือนกรกฎาคมนั่นเอง [/FONT]


    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย กาลเวลาที่จะคุยกันก็หมดแล้ว ขอบรรดาท่านทั้งหลายผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จงยึดปฏิปทาของท่านมหาบาลตามที่กล่าวมาแล้วในตอนต้น ปฏิบัติตนให้เข้าถึงมรรคถึงผลตามที่องค์สมเด็จพระทศพลตรัส และตามที่ท่านทั้งหลายมุ่งหมายไว้ ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงตั้งอยู่ในอิริยาบถสี่อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ นั่ง นอน ยืน เดินตามความต้องการของท่าน จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นว่าสมควร[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มีนาคม 2015
  7. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    สมเด็จพระเจ้าตากสินลาพุทธภูมิ

    "..เมื่อพ.ศ. 2500 อาตมาป่วยหนัก ไปนอนพักรักษาตัวที่กรมแพทย์ทหารเรือ (ปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า) ไปนอนอยู่ที่ตึก 1 เป็นห้องพิเศษ เวลาประมาณ 4 ทุ่มเศษๆ ไฟฟ้าในห้องยังไม่ดับและประตูก็ใส่กลอนแล้ว ถึงเวลานอน นอนคนเดียวยังไม่หลับ ปรากฎว่ามีคนๆหนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียง เป็นชายลักษณะเป็นคนล่ำๆ ท่าทางแข็งแรงทะมัดทะแมงปราดเปรียวมาก เป็นคนผิวขาว หน้าค่อนข้างจะสี่เหลี่ยมนิดๆ แต่มีเนื้อเต็ม นุ่งกางเกงขาสั้นสีขาว

    เหนือเข่านิดหนึ่ง ใส่เสื้อแขนสั้นสีขาวเหนือศอกหน่อย
    ก่อนที่อาตมาจะเห็นท่านผู้นี้ ก็เพราะขณะที่ไปนอนป่วยอยู่ที่นั่นก็มีความรู้สึกว่า บรรดาผีทั้งหลายอาจจะแกล้งได้ง่าย เนื่องจากกำลังใจของคนป่วยความเข้มแข็งน้อย ก็นึกว่าในที่นี้เป็นเขตพระราชฐานของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงขอพึ่งบารมีท่านให้คุ้มครอง พอท่านมายืนก็มองเห็นไม่ต้องหลับตาไม่ต้องเข้าฌาน ในเมื่อผีแสดงตัวให้ปรากฏ แต่ความกลัวไม่มีเพราะเรื่องนี้ชินมาตั้งแต่บวชพรรษาที่ 1 ก็เลยถามท่านว่า

    "ท่านเป็นใคร" ท่านผู้นั้นก็ถามว่า "เมื่อกี้ท่านนึกถึงใคร" ก็ตอบท่านว่า "นึกถึงสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช"ท่านก็บอกว่า "ผมนี่แหละ พระเจ้าตากสินมหาราช" ก็เลยมองไปมองมา ดูลักษณะการแต่งตัวของท่าน ท่านก็ถามว่า "มองอะไร" ก็บอกว่า "มองลักษณะ
    พระเจ้าตากสินมหาราช" ท่านถามว่า "เชื่อหรือยังว่าเป็นพระเจ้าตากสินมหาราช"


     
  8. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ตอบว่า "ยังไม่เชื่อ ที่มองนี่เพราะยังไม่เชื่อ" ท่นถามว่า "ไม่เชื่อตรงไหน" ก็บอกว่า "ไม่เชื่อตรงกางเกงกับเสื้อเพราะพระมหากษัตริย์ไม่น่าจะนุ่งแบบนี้" ท่านถามว่า "กษัตริย์ต้องทรงเครื่องกษัตริย์นอนเชียวหรือ นี่มัน 4 ทุ่มกว่าแล้วนะ" ก็บอกว่า "จะรู้ได้อย่างไรในเมื่อเป็นกษัตริย์ เวลาเป็นผีมาแสดงตนให้ปรากฎก็ต้องใช้เครื่องทรงแบบกษัตริย์" ท่านบอกว่า "ใช้เครื่องทรงกษัตริย์ก็ได้" พอพูดจบเครื่องทรงก็เป็นกษัตริย์ ท่านถามว่า "เชื่อหรือยัง" ตอบว่า "ตอนนี้เชื่อแล้ว"


    ต่อมาก็คุยกันตั้งแต่ 4 ทุ่มเศษๆ ถึงตี 5 ครึ่ง คุยกันในเรื่องอดีต ความเป็นมาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชตั้งแต่เป็นเด็กชายสินไว้หางเปีย จนกระทั่งถึงขั้นวางแผนให้รัชกาลที่ 1 เป็นพระมหากษัตริย์ เป็นการยืนยันว่าพระองค์ไม่ได้ถูกรัชกาลที่ 1 ประหาร เมื่อรัชกาลที่ 1 ขึ้นเถลิงราชสมบัติแล้ว ก็นำสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

    ท่านบวชเป็นพระแล้วนั่งคานหามไปส่ง ออกทางปากท่อตอนกลางคืไปส่งที่ถ้ำในจังหวัดนครศรีธรรมราช ลูกชายของท่านมีสองคน คนพี่ให้เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช จะได้บำรุงพ่อ คนน้องก็ให้ทุนเป็นพ่อค้าสำเภาเป็นการหาทรัพย์สินเข้าเมือง เป็นการยืนยันว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก่อนสวรรคตเป็นพระสงฆ์ ไม่ได้ถูกฆ่าตาย พระองค์สวรรคตที่นครศรีธรรมราช ถ้ำที่ท่านพักก็ยังอยู่กุฏิหลังนั้น

    เขาทำเลียนแบบไว้ แต่ความจริงกุฏิที่อยู่จริงๆ ดีกว่านั้น เขาทำให้มีความผาสุกกว่านั้นออกจากถ้ำท่านก็มีที่พัก มีห้องพักแบบสบายๆ ความจริงท่านไม่ได้สั่งแต่ลูกชายเป็นคนสร้างให้ ท่านอยู่ด้วยความสงบ คนที่เป็นกษัตริย์มาแล้ว เป็นทุกอย่างมาแล้ว มันก็หมดความโลภ ความโกรธ ความหลงและก็เป็นคนแก่ด้วยก็หมดความรักฉะนั้นการปฏิบัติธรรมของท่านก็เป็นไปด้วยความเคร่งครัดแต่ไม่ได้เคร่งเครียด คำว่า "เคร่งครัด" คือ "ปฏิบัติตรงไปตรงมาในมัชฌิมาปฏิปทา"

     
  9. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ก่อนท่านจะลากลับ อาตมาถามว่า "ขอหวยสัก 2 ตัวได้ไหม" ท่านก็บอกว่า "สมัยผมมีแต่หวยจับยี่กี หวยแบบเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว แบบนี้ไม่มี เรื่องหวยนี่ผมไม่รู้จักหรอก แต่เวลานี้ผมมีสตางค์ติดกระเป๋ามาเพียงแค่ 25 สตางค์ ผมขอถวายหมด"พูดแล้วท่านก็หยิบเหรียญโยนไปใต้เตียงเห็นเลข 25 ใสแจ๋ว พอตอนเช้าบรรดาพยาบาลและนายทหารประจำตึกมาถามว่า "เมื่อคืนมีอะไรบ้างครับ"
    ก็เลยเล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมาเยี่ยม ขอหวยท่าน ท่านบอกว่าไม่มี มีแต่เงินเหรียญ 25 สตางค์ แล้วท่านก็โยนไปใต้เตียง ปรากฏว่าภายในวันนั้นข่าวกระจายไปทั่วกรมอู่ ทุกคนเล่นเลขท้าย 2 ตัว ถูกกันมาก


    ต่อมาวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2533 วันนั้น พ.อ.สถาพร ได้นำดาบเล่มหนึ่งมาจากเมืองตาก เขาบอกว่าเป็นดาบของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อมาให้เจ้ากรมสัตว์ทหารบกที่จังหวัดนครปฐม คืนนั้นก็นำดาบตั้งไว้ในที่มีเครื่องสักการะ พอตอนดึกเวลาประมาณสัก 6 ทุ่ม เวลาจะนอนก็ทำจิตเป็นสมาธิตามปกติของพระ ก็เห็นภาพสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สวยงามมากมาที่ดาบ ถามท่านว่า"มาทำไม"

    ท่านบอกว่า "ก็เขาว่าดาบของผมนี่ครับ ผมก็มาทำให้มันหน่อย" ถามว่า "ทำแล้วจะมีประโยชนอะไรบ้าง" ท่านก็บอกว่า "ประโยชน์มี"หลังจากนั้นก็คุยกันถามว่า "เวลานี้ลาจากพุทธภูมิหรือยัง" ท่านบอกว่า "ยังไม่ได้ลา"จึงถามว่า "ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆหรือ" ท่านก็บอกว่า "เวลานี้พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็มรอคิวกันยาวเหยียด ผมก็อยากจะลาพุทธภูมิเหมือนกัน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าถ้าลาแล้วจะมีผลเป็นประการใด" ก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นไปคุยกับพระกันดีกว่าไปด้วยกันไหม" ท่านก็บอกว่า "ไปซิ ที่มานี่ก็จะมาชวนไปหาพระด้วยกัน"


    เมื่อไปถึงกราบพระท่านแล้วก็ถามว่า "เวลานี้เทวดาสินเป็นพระโพธิสัตว์ อยากจะทราบว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เท่าไหร่ หลังจากพระศรีอาริย์ไปแล้ว" พระท่านก็บอกว่า "จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 30 หลังพระศรีอาริย์นิพพานแล้ว" ก็เล่นเอาเทวดาสินต้องไปนั่งยิ้มที่ชั้นดุสิตอีกถึง 30 พระพุทธเจ้า ก็เลยถามพระท่านว่า "ถ้าเทวดาสินจะลาจากพระพุทธภูมิ เมื่อไรจะไปนิพพาน" ท่านบอกว่า "เทวดาสินนี่ ถ้าหากลาจากพุทธภูมิเป็นสาวกภูมิ กำลังเต็มมานานแล้ว ก็เหลือแค่ เอหิภิกขุ เท่านั้นก็พอแล้วถ้าตรัสว่า เอหิภิกขุ เทวดาสินก็เป็นพระสมบูรณ์แบบ" ท่านก็เลยเข้าไปกราบพระ

    พระท่านก็บอกว่า "เอหิภิกขุ เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด" เพียงเท่านี้ เทวดาสินก็กลับสภาพจากเทวดาเป็นวิสุทธิเทพ
    นี่เป็นเรื่องของนิมิตลืมตา ไม่ใช่นิมิตหลับตา ไม่ได้เข้าฌานสมาบัติ ถ้าถามว่า "ถ้าไม่เข้าฌานสมาบัติ แล้วรู้ได้อย่างไร" ก็บอกว่า "ท่านแสดงภาพให้รู้ มันก็รู้ด้วยกันทุกคนแหละ ไม่ว่าใคร" คนที่เห็นผีเข้าฌานหรือเปล่า เดินไปแล้วก็ถูกผีหลอก ต้องเข้าฌานหรือเปล่า สภาพนี้ก็เหมือนกัน ผีไม่ได้หลอกแต่ว่าผีมาชวนคุยผีมาบอกตามความเป็นจริง ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าฌานสมาบัติ..


    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน จากหนังสือ "ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน"
     
  10. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ชัดๆอีกสักครั้งว่าทำไมพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุงลาพุทธภูมิ

    ผู้ถาม :- “ขอกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อมีทุนพุทธภูมิผ่านมากน้อยเพียงไร…ขนาดไหน…และเพราะเหตุใด…จึงกล้าตัดสินใจลา โดยชนิดที่เรียกว่าไม่อาลัยอาวรณ์ต่อไปครับ?”

    หลวงพ่อ :- “ตอบไม่ยาก…อยากลา มันจะไปยากอะไร ศัพท์ภาษาไทยชัดๆ เห็นทุกข์ คือความวุ่นวายของพระ เวลานั้นพระผู้ใหญ่ก็เป็น “พูใหญ่” ไป ร่างกายเราก็ไม่ดี เขาถามว่า ทุนพุทธภูมิขนาดไหน ฉันก็ไม่ตอบหรอกนะ ถ้าขืนตอบเพราะว่าไม่มีสัญลักษณ์ ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าจะออกไปเฉยๆ ไม่ได้ ต้องลาก็แล้วกัน

    ทีนี้ประการที่ ๒ ลาก็ต้องมีเงื่อนไข คือว่าจะให้ลาได้ แต่เมื่อบอกว่าจะไม่ตายภายใน ๑๒ ปี ให้ทำงานพุทธภูมิไปก่อน เมื่อครบ ๑๒ ปีก็ต่ออีก เวลานี้ยังต่ออยู่ เป็นนักเรียนทุน ทุนถาวร ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องกำหนดหรอกครับ มันตายเมื่อไรก็เมื่อนั้นแหละ…ขี้เกียจ ถึงกำหนดจริงมันจะป่วยหนัก หนักมาก แล้วท่านก็มาต่อให้ เราก็ขี้เกียจป่วยขนาดนั้นใช่ไหม…ไม่มีความจำเป็น ก็เลยบอกท่านว่า ผมเป็นคนไม่มีทุกข์ ขันธ์ ๕ มีทุกข์จริงแต่ใจผมไม่ได้ทุกข์ไปด้วย ในเมื่อกำลังยังมีอยู่ก็พร้อมทำงานเพื่อพุทธภูมิ แต่ว่าถ้าพูดไม่ออกเมื่อไร ก็อยากจะตายเมื่อนั้น”

    ผู้ถาม :- “อ้อ…นี่ที่หลวงพ่ออยู่ได้ ก็เพราะว่าได้พูดได้”

    หลวงพ่อ :- “ใช่…”

    ผู้ถาม :- “ตกลงว่าไม่ต้องต่อกันแล้วนะ…อายุนะ”

    หลวงพ่อ :- “ไม่เอา…ไม่ต้องต่อกันแล้ว คือว่าไม่มีกำหนดแน่นอน เราก็คิดว่าเมื่อวานซืนนี้มันจะตาย ก็บอกว่า คุณ…งานโน้นมีงานนี้มา นี่ไอ้วัดมันไกล้จะเสร็จ ถ้าน้ำไม่ท่วมไม่ถ่วงเวลาเสีย ๔ เดือน ก็เสร็จมีนาคมนี้ ทีนี้พอวัดไม่เสร็จ ท่านก็สั่งเพิ่มต่อ สร้างต่อใช่ไหม… และก็ต่อไปขยายไปสร้างภายนอก โดยให้ทุนเล็กน้อย ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ถ้าวัดไหนสามารถจะทำได้ก็ให้ทำ ก็รวมความว่า งานของท่านไม่หยุด ตายหรืออยู่ อยู่หรือตาย ก็ช่างหัวมัน ไม่สนใจ สนใจที่เดียว…นิพพาน”

    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๗ หน้า ๙๕-๙๗
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
     
  11. moonoiija

    moonoiija เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2014
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +198
  12. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ก็รับด้วยใจแทนหมู่คณะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...