พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แถลงการณ์ฉบับ 7 ไม่มีพระปรอท บรรทมได้มากขึ้น



    แถลงการณ์ฉบับ 7 ไม่มีพระปรอท บรรทมได้มากขึ้น (ไทยรัฐ)

    แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ฉบับที่ 7 ไม่มีพระปรอท ผลการตรวจทางโลหิตวิทยา ปรากฏว่าอยู่ในเกณฑ์ปรกติ

    เวลา 18.28 แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ฉบับที่ 7 ความว่า วันนี้คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้รายงานว่า ไม่มีพระปรอท (ไข้) ผลการตรวจทางโลหิตวิทยา ปรากฏว่าอยู่ในเกณฑ์ปรกติ ทรงพระบรรทมได้มากขึ้น

    จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน

    สำนักพระราชวัง

    26 กันยายน 2552


    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระพุทธจริยาวัตร60ปาง ปางเรือนแก้ว

    คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ

    โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

    ˹ѧ��;������Ԫ�����ѹ : ˹ѧ��;�����س�Ҿ ����ͤس�Ҿ�ͧ������

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>พระพุทธรูปปางนี้ก็เช่นกัน เพิ่มเข้ามาใหม่ เพื่อเหตุผลอะไรบางอย่าง ดังจะสันนิษฐานต่อไป ก่อนอื่นขอเล่าประวัติความเป็นมาก่อน

    ในสัปดาห์ที่ 4 พระพุทธองค์เสด็จออกจากรัตนจงกรมเจดีย์ ไปยังทิศพายัพของต้นโพธิ์ ประทับ ณ เรือนแก้ว (รัตนฆระ) ว่ากันว่าเทวดาเนรมิตถวาย พระองค์ประทับ ณ เรือนแก้วนี้เป็นเวลา 7 วัน ทรงพิจารณาพระอภิธรรม

    พระอภิธรรมที่ว่านี้คือ พระอภิธรรม 7 คัมภีร์ ที่โบราณาจารย์ย่อให้สั้นเพื่อจำง่ายว่า สัง-วิ-ธา-ปุ-ก-ย-ป

    สัง คือ สังคณี (ประมวลธรรมเป็นหมวดๆ)

    วิ คือ วิภังค์ (จำแนกธรรมที่ประมวลไว้นั้นโดยพิสดาร)

    ธา คือ ธาตุกถา (แจงขันธ์, ธาตุ, อายตนะ ว่าแต่ละอย่างนั้นเข้ากันได้หรือไม่ อย่างไร)

    ปุ คือ ปุคคลบัญญัติ (บัญญัติเรียกคนตามคุณธรรม เช่นเรียกว่า โสดาบัน เพราะคุณธรรมอะไร)

    ก คือ กถาวัตถุ (แถลงทฤษฎีว่าอย่างไหนถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาเถรวาท)

    ย คือ ยมก (ยกธรรมขึ้นถามตอบ โดยตั้งคำถามเป็นคู่ๆ)

    ป คือ ปัฏฐาน (แจงปัจจัยหรือเงื่อนไขทางธรรมว่ามีอะไรบ้าง)

    ปัญหาเรื่องพระอภิธรรมนี้มีมานานแล้ว คือมีผู้ปฏิเสธว่า พระอภิธรรมนี้เกิดขึ้นภายหลังพุทธปรินิพพาน สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าทรงแสดงเฉพาะธรรมกับวินัย หลังพุทธปรินิพพานแล้ว ประมาณสองร้อยกว่าปี ธรรมกับวินัยจึงได้แตกแขนงออกเป็น 3 หมวด อันเรียกว่า พระไตรปิฎก โดยธรรม ได้แตกออกเป็น พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก วินัย ยังคงเป็นพระวินัยปิฎก

    พูดง่ายๆ ก็คือ พระอภิธรรม มาจาก "ธรรม" หรือเป็นส่วนหนึ่งของ "ธรรม" นั่นเอง

    เพราะฉะนั้น พระอภิธรรม จึงนับว่าเป็นพัฒนาการยุคหลัง

    แต่ฝ่ายที่ยกย่องพระอภิธรรมปิฎก ไม่ยอมรับในเรื่องนี้ จึงพยายามชี้ให้เห็นว่าพระอภิธรรมมีมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่สมัยพระพุทธองค์ตรัสรู้โน่นแน่ะ เพราะมีหลักฐานว่า หลังตรัสรู้แล้วเพียง 3 สัปดาห์เท่านั้น พระองค์ยังประทับพิจารณาพระอภิธรรมในเรือนแก้วเลย

    และหลังจากประกาศพระพุทธศาสนาแล้วประมาณ 7 ปี พระพุทธองค์ยังได้เสด็จขึ้นไปแสดงพระอภิธรรมแก่อดีตพุทธมารดา ซึ่งไปเกิดเป็นเทพบุตร ณ สวรรค์ชั้นดุสิต พระพุทธองค์เสด็จไปจำพรรษา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อดีตพุทธมารดา ได้ลงมาฟังพระอภิธรรมร่วมกับเหล่าเทพทั้งหลาย ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ใครกล่าวหาว่าพระอภิธรรมเป็นพัฒนาการในยุคหลัง เป็นไปไม่ได้เป็นอันขาด ว่าอย่างนั้นเถอะ

    ครับ ถ้าจะเอาหลักฐาน ก็มีดังที่กล่าวมานี้แหละ แต่หลักฐานเหล่านี้ ไม่มีในพระไตรปิฎก แต่งขึ้นภายหลัง โดยปราชญ์สำนักอภิธรรมนั้นแล

    พระอรรถกถาจารย์ คือ พระพุทธโฆสาจารย์ ผู้แต่งอรรถกถามากมาย เป็นพระสำนักอภิธรรม จึงจำเป็นอยู่เองที่ท่านต้องการยืนยันความเก่าของพระอภิธรรมเก่าแก่มาแต่สมัยพุทธกาล

    ไม่ผิดดอกครับที่ท่านเสริมเพิ่มเติมเข้ามาในภายหลัง เพราะไม่มีใครปฏิเสธว่าพระอภิธรรมนั้น มิใช่พุทธวจนะ หรือมิใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็นแน่นอนเพียงแต่ต้องการให้นักศึกษาสำเหนียกในแง่ของประวัติศาสตร์ว่า ธรรมะส่วนไหนของพระพุทธเจ้า เกิดก่อน เกิดหลัง ปิฎกไหนของพระไตรปิฎก เกิดก่อน เกิดหลังเท่านั้นเอง

    ใครไปนมัสการสังเวชนียสถาน 4 ตำบล ที่อินเดีย ก็จะเห็นสถานที่ต่างๆ ที่พระพุทธองค์เคยประทับ รัตนจงกรมเจดีย์ เขาก็สร้างไว้ข้างวิหารพุทธคยา มีดอกบัวสำหรับรองรับพระบาท (กี่ดอกไม่ได้นับ) รัตนฆรเจดีย์ ก็สร้างเป็นเรือนถัดจากรัตนจงกรมเจดีย์ ให้เห็นเป็นหลักฐานอยู่
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตาแดงระบาด จักษุแพทย์ แนะ ล้างมือบ่อย ๆ

    โรคตาแดง ตาแดง ระบาดหนัก จักษุแพทย์ แนะ ล้างมือบ่อย ๆ


    [​IMG]


    จักษุแพทย์ เตือน ตาแดงระบาด แนะล้างมือบ่อย ๆ (ข่าวสด)

    เมื่อวันที่ 25 ก.ย. นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า กล่าวถึงสถานการณ์การระบาดของโรคตาแดง ว่า สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้รายงานในรอบ 9 เดือน ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค.-14 ก.ย. 2552 พบผู้ป่วยแล้ว 64,816 ราย อัตราป่วยสูงสุดคือภาคใต้แสนละ 210 คน รองลงมาคือ ภาคเหนือ แสนละ 127 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แสนละ 80 คน และภาคกลาง แสนละ 68 คน ตลอดปี 2551 มีผู้ป่วยทั้งหมด 91,838 ราย โดยภาคใต้มีอัตราป่วยสูงสุด แสนละ 211 คน รองลงมาได้แก่ ภาคเหนือ แสนละ 198 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แสนละ 125 คน และภาคกลาง แสนละ 106 คน

    "โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ พบผู้ป่วยโรคตาแดงมารับการรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า เพิ่มสูงขึ้นผิดปกติ วันละกว่า 20 ราย ส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยเรียน ซึ่งมักพบอาการคออักเสบร่วมด้วย หากผู้ป่วยปฏิบัติตนไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง โดยเฉพาะเด็กนักเรียนอาจนำไปแพร่ในโรงเรียน ทำให้กระทบต่อการเรียนการสอบได้" นพ.ฐาปนวงศ์ กล่าว

    นพ.ฐาปนวงศ์ กล่าวว่า โดยปกติผู้ที่ป่วยด้วยโรคตาแดง อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ แต่หากยังมีอาการเคืองตาเหมือนมีทราย เข้าตา ตามัว อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนคือ ตาดำอักเสบ ควรรีบไปพบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจอย่างละเอียด และให้การรักษาที่เหมาะสม ที่สำคัญอย่าซื้อยามาหยอดตาเอง โดยเฉพาะยาหยอดตาที่ไม่รู้แหล่งที่มาหรือแหล่งผลิต หรือที่วางขายตามตลาดนัด รวมทั้งไม่ควรทำตามความเชื่อผิด ๆ เช่น ใช้น้ำนมหยอดตา เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อถึงขั้นตาบอดได้

    นพ.ฐาปนวงศ์ กล่าวว่า สาเหตุของโรคตาแดงส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ติดต่อกันทางการสัมผัสน้ำตา ขี้ตาของผู้ป่วย อาการสำคัญคือ ตาแดง อาจมีเลือดออกที่เยื่อบุตาขาว ตาขาวบวม มีขี้ตาเป็นเมือกใสหรือเหลืองอ่อน น้ำตาไหล เคืองตา และอาจเจ็บบริเวณต่อมน้ำเหลืองที่ข้างหู โดยอาการจะลุกลามจากตาข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่งอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 วัน บางรายอาจมีตาดำอักเสบ ทำให้เคืองตามาก และมีแผลที่ตาดำชั่วคราวได้ การป้องกันสามารถทำได้ง่ายๆ โดยการล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หลีกเลี่ยงการใช้มือแคะ แกะ เกาหน้าตา สำหรับผู้ที่กำลังป่วย แนะนำให้หยุดเรียนหรือหยุดงานอย่างน้อย 3 วัน ห้ามใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว แว่นตา ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน เป็นต้น




    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>จิบชา...กินขนม...ชมจันทร์...ในวันไหว้พระจันทร์
    Metro Life - Manager Online

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>25 กันยายน 2552 16:41 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=166 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=166>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ปีนี้เทศกาลไหว้พระจันทร์ตรงกับวันที่ 4 ตุลาคม ช่วงนี้เราจึงเริ่มเห็นขนมไหว้พระจันทร์อันเป็นสัญลักษณ์ของเทศกาลนี้ เริ่มวางขายกันเต็มไปหมด ไม่รู้จะเลือกกินของยี่ห้อไหนดี ?

    ความเป็นมาของเทศกาลไหว้พระจันทร์นั้น มีตำนานหลายเรื่อง แต่หัวใจสำคัญของเทศกาลคือ การสร้างความสามัคคีกลมเกลียว เพราะสมาชิกของครอบครัวจะมาอยู่พร้อมหน้ากันในวันสิ้นฤดูกาลเก็บเกี่ยวและเป็นช่วงที่พระจันทร์เต็มดวงสวยที่สุด

    ชาวจีนจะให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้ เป็นอันดับสองรองจากเทศกาลตรุษจีนเลยทีเดียว หลายๆ ประเทศที่มีชาวจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จะฉลองเทศกาลนี้กันอย่างสนุกสนาน มีทั้งการเชิดสิงโตตามท้องถนนเพื่อความเป็นสิริมงคล การไหว้เจ้า ซึ่งจะต้องมีของไหว้คือ ขนมไหว้พระจันทร์ และกระดาษ ส่วนตอนกลางคืนสมาชิกของครอบครัวจะมาอยู่พร้อมหน้ากันเพื่อกินขนมพร้อมจิบชาภายใต้แสงจันทร์ ส่วนเด็กๆ ก็จะถือโคมไฟกระดาษที่ทำเป็นรูปต่างๆ เดินเรียงแถวกันไปตามถนน เป็นบรรยากาศที่สนุกสนาน



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=280 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=280>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>สำหรับเมืองไทยนั้น ช่วงหลังๆ จะลดทอนพิธีการต่างๆ ลงไปมาก คงเหลือให้เห็นเพียงขนมไหว้พระจันทร์ที่ผุดขึ้นมาหลากหลายกลาย เป็นสีสันของเทศกาลนี้

    “ขนมไหว้พระจันทร์” เป็นหัวใจสำคัญอย่างหนึ่งในเทศกาลนี้ มีความหมายถึงความพรั่งพร้อม ความสมบูรณ์ และความสมหวัง ขนมก้อนเล็กๆ ชิ้นนี้มีกำเนิดที่ประเทศจีนเมื่อ 600 ปีมาแล้ว แต่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาสู่เมืองไทยเป็นครั้งแรก เมื่อประมาณ 70 ปีที่ผ่านมา ขนมไหว้พระจันทร์ดั้งเดิมมีเพียงไส้ลูกบัว ถั่วแดง โหงวยิ้ง จนถึงปัจจุบันขนมก้อนนี้ถูกพัฒนารสชาติให้เข้ากับยุคสมัยและรสปากของคนรุ่นใหม่มากขึ้น

    เรามาอัพเดตขนมไหว้พระจันทร์ปีนี้ว่า แต่ละยี่ห้อจะมีลูกเล่นอะไรแปลกใหม่มาสนองตอบคนกินกันบ้าง

    เริ่มจาก ร้านกอกใจ (ร้านเดิมชื่อกกจีเหลา เยาวราช) ใช้สโลแกนสืบสานรสชาติแท้แบบดั้งเดิม ที่พิถีพิถันกับไส้ลูกบัวต้องใช้ลูกบัวสดๆ มานึ่งและบดเอง เพื่อให้ได้รสและกลิ่นหอมของลูกบัวแท้ๆ ปีนี้ค่ายกอกใจออก 2 ไส้ใหม่คือ ไส้ลูกบัว-ลูกพรุน-ลูกเดือย เน้นสุขภาพ เพราะลูกพรุนมีวิตามินบี 1 แถมมีไฟเบอร์สูง ส่วนลูกเดือยนอกจากมีทั้งวิตามินมากมายแล้วยังเป็นยาเย็นแก้ร้อนใน บำรุงไต ม้าม ตับ และมีกรดอะมิโนที่กระตุ้นให้เซลล์สมองหลั่งสารที่ทำให้นอนหลับ ส่วนไส้ “นพเก้า” ออกมาเพื่อเอาใจวัยรุ่น ประกอบด้วยผลไม้อบแห้ง 9 ชนิด อาทิ แอปเปิล ลูกพรุน ลูกเกด ฯลฯ



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=280 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=280>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>สำหรับปีนี้ทางค่ายกอกใจปรับแพคเกจใหม่ สั่งกล่องผ้าแมกเนติกสวยงามจากประเทศจีนทั้งกล่องและใหญ่ และที่พิเศษคือกล่องผ้าไหมที่ดูดีมีราคาสำหรับบรรจุขนม 9 ชิ้นเพื่อเป็นของกำนัลแก่ผู้หลักผู้ใหญ่

    ภัตตาคารเชียงการีลา เจ้าของสูตรเปลือกบาง เนื้อนุ่ม ที่ได้รับความนิยมจากลูกค้ามากว่า 40 ปี เสนอไส้มังคุดและไส้เกาลัด-แมคคาเดเมีย พร้อมบรรจุภัณฑ์ใหม่สวยเก๋เป็นกล่องชุดมิตรสหาย กล่องโชคลาภ ชุดดาวล้อมเดือน สำหรับซื้อเป็นของฝาก ส่วนไส้อื่นๆ ก็มีให้เลือกอร่อยกว่า 20 ไส้ โดยเฉพาะขนมไหว้พระจันทร์ต้นตำรับอย่างไส้ทุเรียนหมอนทองไข่ 1 , ไส้ลูกบัวไข่ 1 , ไส้พุทราจีนไข่ 1 และไส้ทุเรียนไม่มีไข่ หาซื้อได้ที่ เชียงการีลาทุกสาขา และ เดอะมอลล์ ทุกสาขา



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=280 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=280>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>“ขนมไหว้พระจันทร์โคคา” มีให้อร่อยหลากหลายรสชาติ ไม่ว่าจะเป็นไส้ถั่วแดง ลูกบัว ลูกบัวขิง ทุเรียน โหงวยิ้ง คัสตาร์ด และใหม่ล่าสุดกับ ไส้ “คัสตาร์ดชาเขียว” โดยคัดสรรวัตถุดิบและส่วนผสมคุณภาพทั้งในประเทศและฮ่องกง มาเป็นสูตรต้นตำรับของโคคา ที่สืบทอดมามากกว่า 50 ปี รสชาติเป็นเอกลักษณ์ บรรจุในกล่องไม้ฉลุทำมือ (Handmade) ที่สวยงาม คงทน จำหน่ายที่ โคคาทั้ง 6 สาขา สุรวงศ์ สยามสแควร์ สุขุมวิท 39 ไทม์สแควร์ เซ็นทรัลเวิลด์ สยามเซ็นเตอร์ และร้านไชน่าไวท์ ข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 08-5123-4575


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=202 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=202>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ร้านอาหารสีฟ้า เจ้าแรกที่ทำขนมไหว้พระจันทร์ปิดทอง Golden Mooncake เพิ่มมูลค่าให้กับขนมหวานห่อแป้งให้ดูเริ่ดหรูอลังการกว่าเดิม ทำเป็นโฮมเมดสูตรต้นตำรับฮ่องกงที่อบวันต่อวัน มีหลายไส้ให้เลือก อาทิ ทุเรียนทอง โหงวยิ้งแฮมยูนาน และลูกบัว บรรจุในกล่องสีทอง สลับฝาสีแดงดีไซน์สวยทันสมัย เพื่อสื่อถึงความสุขและความเป็นศิริมงคล เหมาะสำหรับมอบเป็นของขวัญ หรือของฝากสำหรับผู้ใหญ่ ญาติมิตรและบุคคลใกล้ชิด

    พร้อมโปรโมชั่นสุดคุ้ม รับฟรีทันที 1 ชิ้นเมื่อซื้อขนมไหว้พระจันทร์ครบ 4 ชิ้น หรือเลือกรับส่วนลดสุดคุ้มถึง 20% ทุกวันจันทร์ และพิเศษ สำหรับผู้ถือบัตร Seefah Family Card สามารถรับส่วนลด 10 – 15% ได้ทุกวัน สำหรับลูกค้าที่สนใจ สามารถเลือกซื้อขนมไหว้พระจันทร์ปิดทองที่ร้านสีฟ้าทั้ง 19 สาขา หรือใช้บริการสีฟ้า ดิลิเวอรี่ 02 800 8080



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=280 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=280>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>บ้านกอไผ่ เป็นอีกรายหนึ่งที่สร้างสีสันให้กับวงการขนมไหว้พระจันทร์ ที่มักจะออกรสชาติแปลกใหม่เอาใจทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ปีนี้ขอเกาะกระแสไข้หวัด 2009 ด้วยการนำเสนอไส้ฟ้าทะลายโจร ที่มีสรรพคุณบรรเทาอาการหวัด หลอดลมอักเสบ แต่ปกติฟ้าทะลายโจรจะเหม็นเขียว แต่ไส้ฟ้าทะลายโจรลูกนี้นำลูกบัวมากวนกับฟ้าทะลายโจรและดับกลิ่นด้วยชายอดน้ำค้าง

    ไส้เก็กฮวยหล่อฮังก้วย นำเม็ดบัวมากวนกับสารสกัดดอกซากุระหรือดอกเก็กฮวยที่เป็นเหมือนยาของตระกูลดอกไม้ ช่วยให้ชุ่มคอ นอกจากนี้ ยังมีหล่อฮั่งก้วย สมุนไพรจีนนับร้อยปีที่ให้สรรพคุณดับพิษร้อน และไส้ทีรามิสุ เป็นการนำเค้กช็อกโกแลตแท้ มาห่อด้วยกาแฟเอสเพรสโซกับแป้งนุ่มลิ้นของบัวหิมะ ให้ความแปลกใหม่ฉีกแนวเดิม (ลูกละ 85 บาท )



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=195 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=195>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>นอกจากนี้ยังมี ไส้แปะก้วยรังนก ( ขนาด 60 กรัม กล่องละ 4 ลูก ราคา 220 บาท ) ไส้ลำไยสีทองรากบัวจีน ลูกละ 95 บาท ไส้เกาลัดลูกพลับญี่ปุ่น ลูกละ 95 บาท ไส้โหงวยิ้งแฮมแมคคาดิเมี่ยนัท ลูกละ 90 บาท สนใจซ้อชิมได้ที่ห้างเดอะมอลล์ทุกสาขา โลตัส เซ็นทรัล ท็อป คาร์ฟูร์ เอ็มโพเรียม พารากอน หรือซื้อจำนวนมากติดต่อคุณธรรมนูญ 087-515-9969

    ขนมไหว้พระจันทร์สูตรสตาร์บัคส์ ปีนี้มี 4 รสชาติให้เลือกอร่อยกันคือ ไส้กาแฟสตาร์บัคส์เอสเพรสโซ ไรสท์ สูตรต้นตำรับหอมของกาแฟ ไส้ทุเรียนหมอนทอง ไส้ชาเขียวสตาร์บัคส์และถั่วแดง และไส้โหงวยิ้ง

    สำหรับแพคเกจของสตาร์บัคส์ปีนี้เป็นกล่องบรรจุดีบุกและสีเงิน(สำหรับบรรจุ 2 ลูกรสใดก็ได้) หรือจะทานร่วมกับกาแฟหรือเครื่องดื่มสตาร์บัคส์ทั้งกาแฟดำ คาปูชิโนหรือลาเต้ จะช่วยให้กาแฟขมกับขนมหวานอร่อยยิ่งขึ้น



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=176 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=176>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>วกเข้าโรงแรมที่เชฟห้องอาหารจีนเกือบทุกแห่งคิดค้นสูตรเด็ดทำขนมไหว้พระจันทร์ออกมาขาย เริ่มที่ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ สุขุมวิท 11 ต้นตำรับบัวหิมะที่ใช้แป้งขนมโก๋สีขาวและสีเขียวมาห่อขนมแทนแป้งสีน้ำตาล อันเป็นที่นิยมในฮ่องกง ปีนี้ เชฟเหล่า ชิ หว่อง แนะนำบัวหิมะลูกพรุน บัวหิมะขิง และขนมไหว้พระจันทร์ทุเรียน-งาดำ ส่วนไส้เดิมๆ ที่ขายดี อาทิ บัวหิมะครีมใบเตย เป็นต้น

    พบโปรโมชั่นพิเศษ ซื้อ 10 กล่อง ฟรี 1 กล่อง (เฉพาะที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ กรุงเทพฯ) หรือสั่งซื้อตั้งแต่ 2 หมื่นบาทขึ้นไป ฟรี! บัตรรับประทานอาหารที่ฮ่องเต้มูลค่า 500 บาท



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>โรงแรมเพนนินซูล่า กรุงเทพฯ นำไส้คัสตาร์ดไข่แดง ดั้งเดิมที่ใช้ไข่เค็มแดงผสมกับคัสตาร์ดรสชาติหวานมันห่อด้วยแป้งพาสทรีบางนุ่ม อันเป็นสูตรลับเฉพาะที่โด่งดังของโรงแรมเพนนินซูล่า ฮ่องกง นอกจากนี้ ยังมีไส้เม็ดบัวและไส้อื่นๆ บรรจุในกล่องสวยงามที่สั่งพิเศษจากฮ่องกงในราคากล่องละ 480 บาท และระหว่างวันที่ 2-4 ตุลาคม ห้องเหม่ยเจียง มีเซ็ตเมนูพิเศษต้อนรับครอบครัวที่จะมาฉลองเทศกาลนี้ ในราคาคนละ 1,280 บาท ( สลัดไก่เย็นกับแมงกะพรุนซอสพริก , ซุปหูฉลามน้ำแดงเนื้อปู , เป็ดปักกิ่ง, หมูสันในผัดซอสพริกไทยดำ ,ปลากะพงนึ่งซีอิ้ว,ข้าวผัดหยางโจว,สาคูครีมลูกบัวอบ,ขนมไหว้พระจันทร์เพนนินซูล่า )


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=280 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=280>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>หรือราคาคนละ 1,880 บาท ( หมูหันกับปลาเงิน, ซุปหูฉลามน้ำแดงเยื่อไผ่ , กุ้งผัดซอสพริกเอ็กซ์โอ,ผักกาดขาวห่อเห็ดรวมราดซอสแฮมบด,ปลาหิมะทอดซอสพริกเกลือ,บะหมี่กรอบราดหน้าไก่ซอสเต้าซี่,สาคูครีมลูกบัวอบ,ขนมไหว้พระจันทร์เพนนินซูล่า)

    เชฟวิเชียร จากครัวดิ เอมเพรส โรงแรมรอยัล ปริ๊นเซส หลานหลวง รังสรรค์ขนมไหว้พระจันทร์ต้นตำรับ ที่อบสดใหม่ทุกวันจากเตา มีหลายรสให้เลือก อาทิ ทุเรียน เกาลัด ลูกบัว ถั่วดำ พุทราจีน และชาเขียว


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=190 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=190>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เชฟหว่อง กั๋ม เหยา จากครัวจีนโรงแรมคอนราด กรุงเทพฯ นำทีมพ่อครัวผลิตขนมไหว้พระจันทร์ ตำรับกวางตุ้งใหม่สดทุกวันจากเตาอบ ซึ่งมี 8 ไส้ยอดนิยม และแบบ East meets West ได้แก่ ไส้ครีมคัสตาร์ด ถั่วแดง ทุเรียน เม็ดบัว เกาลัด โหงวยิ้ง ช็อกโกแลต และพุทราจีน ในราคากล่องละ 289-1,500 บาท จำหน่ายที่ห้องอาหารจีนหลิว ชั้น 3 และร้านขนมเดลี ชั้น 2 ตึกซีอาร์ซี ออลซีซั่นส์ เพลส หรือ เซ็นทรัล ชิดลม, สยามพารากอน

    เชฟอูสร์ โรห์บาซ หัวหน้าพ่อครัวสวิส โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน กรุงเทพฯ ที่ผ่านโรงแรมระดับห้าดาวที่ฮ่องกง และจีนมาแล้ว ได้ตระเตรียมขนมไหว้พระจันทร์ที่ผสมผสานรสชาติแบบดั้งเดิมและรสชาติแบบตะวันตก อาทิ Hilton Signature cheese Moon Cake with Snow skin เป็นไส้ครีมเนื้อนุ่มในแบบบัวหิมะ ทั้งไส้ชีสชาเขียว และเม็ดบัว ไส้วอลนัท และคาราเมล หรือไส้ลูกพีชและครีมชีส เป็นต้น ในราคาลูกละ 90 บาท หรือกล่องละ 360 บาท (4 ชิ้น)



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>พิเศษ ! สำหรับคนรักช็อกโกแลต เชฟอูสร์เตรียม Hilton Chocolate Moon Cake สารพัดไส้ช็อกโกแลต ทั้งช็อกโกแลตสอดไส้ครีมรสส้ม และแกรนด์มาเนียร์ มิลค์ช็อกโกแลตสอดไส้คาราเมลบลูเล่ ไวท์ช็อกโกแลตสอดไส้ราคาเมลถั่วฮาเซลนัท หรือลองชิมเรดช็อกโกแลตสอดไส้ถั่วพิตาชิโอ และแมคคาเดเมีย ในราคาชิ้นละ 70 บาท นอกจากนี้ ยังมีไส้มาตรฐานทั่วไปจำหน่ายด้วย

    ชอบรสไหนเจ้าไหนก็ลองไปหาชิมกันได้ และขอให้อร่อยกับเทศกาลไหว้พระจันทร์กันถ้วนหน้า


    ***ก่อนจะหยิบขนมหวานชิ้นอร่อยนี้เข้าปาก ลองมาทำความรู้จักกับความเป็นมาของขนมไหว้พระจันทร์กันก่อน**

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ผ่าไส้ขนมไหว้พระจันทร์ หลายเรื่องราวที่ไม่เคยเปิดเผย
    Metro Life - Manager Online

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>25 กันยายน 2552 17:35 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ปีนี้เทศกาลไหว้พระจันทร์ตรงกับวันอังคารที่ 18 กันยายน แต่ตลาดขนมเปี๊ยะกลับเริ่มโหมโรงคึกคักกันมาตั้งแต่ 2 เดือนที่ผ่านมาแล้ว เสน่ห์ของขนมชิ้นเล็ก ๆ นี้ไม่เพียงแต่ความหวานอร่อยในรสชาติเท่านั้น แต่กลับเป็นตำนานขนมที่เดินทางมานานกว่า 600 ปีซึ่งไม่ธรรมดาเช่นกัน เพราะกว่าจะมาเป็นแป้งห่อด้วยไส้สวยงามเช่นนี้มีเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์บอกเล่าได้อย่างสนุกสนาน ถ้าอยากรู้ต้องลองไปผ่าไส้ขนมกันดู……

    “ขนมไหว้พระจันทร์” มีความหมายถึงความพรั่งพร้อม ความสมบูรณ์ และความสมหวัง ขนมก้อนเล็ก ๆ ชิ้นนี้มีกำเนิดที่ประเทศจีนเมื่อ 600ปีมาแล้ว แต่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาสู่เมืองไทยเป็นครั้งแรกเมื่อประมาณ 70 ปีที่ผ่านมา ในยุคที่เยาวราชเฟื่องฟูและเป็นแหล่งอาหารการกินอันลือชื่อที่สุดของเมืองกรุง ตอนนั้นมี 5 เสือภัตตาคารที่ขายอาหารจีนเลิศรสที่บรรดาเศรษฐีเชื้อสายจีนในเมืองไทยจะต้องแวะเวียนไปชิมอยู่เป็นประจำคือ กก จีเหลาหรือสากลภัตตาคาร , ห้อยเทียนเหลาหรือภัตตาคารหยาดฟ้า , ไล้กี่ภัตตาคาร , ภัตตาคารเยาวยื่น และภัตตาคารซาเยี๊ยะ
    อนันต์ อธินันต์พันธุ์ ทายาท "กก จีเหลา" ( ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น”กอกใจ” ) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่เปิดตำนานขนมไหว้พระจันทร์ของเมืองไทยเล่าว่าเมื่อเกือบ 70 ปีที่ผ่านมาภัตตาคารจีนเกือบทุกแห่งในเวลานั้นต่างก็เริ่มทำขนมไหว้พระจันทร์ขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ยกันเพราะแต่ละที่จะมีกุ๊กเป็นชาวฮ่องกงประจำทั้งนั้น
    สำหรับทางภัตตาคารกกจีเหลานั้นได้เชิญอาจารย์โหลวอึ่ง ซึ่งเชี่ยวชาญทางด้านขนมไหว้พระจันทร์มาเมืองไทยเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 “เฮียฮ้อ” ซึ่งเป็นเถาชิ้วเก่าแก่ของกกจีเหลาเล่าว่า
    “ ผมจำได้ว่าตอนอาจารย์โหลวมาเมืองไทยเพื่อทำขนมนั้นเมืองไทยยังมีโรงฝิ่นอยู่เลย พออาจารย์นวดแป้งขนมเสร็จเรียบร้อยก็จะต้องแวะไปสูบฝิ่นก่อน พวกเราก็ต้องนั่งเฝ้าแป้งจนกว่าอาจารย์จะสูบฝิ่นเสร็จค่อยกลับมาทำขนมได้”

    **กำเนิดขนมไส้ทุเรียน**
    สมัยก่อนถ้าอยากจะกินขนมไหว้พระจันทร์นั้นจะต้องอดใจรอให้ถึงช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์เสียก่อนเพราะปีหนึ่งจะทำขายกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น บรรดาชาวไทยเชื้อสายจีนจะเดินทางมาซื้อขนมไหว้พระจันทร์ที่ย่านเยาวราชเพราะถือเป็นแหล่งขายขนมชนิดนี้ที่ใหญ่ที่สุดและคึกคักที่สุดด้วย แต่ละร้านค้าจะตั้งตู้โชว์ไว้หน้าร้านขณะที่หลังร้านก็จะทำขนมไหว้พระจันทร์กันอย่างชุลมุนวุ่นวายทีเดียว



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ในยุคแรก ๆ นั้นไส้ขนมมีเพียงไม่กี่ไส้ตามแบบเมืองจีนคือ ไส้ลูกบัว ไส้โหงวยิ้ง ไส้โอวเต่าซา( ไส้ถั่วดำ) ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีไส้ทุเรียนแต่มีอยู่ปีหนึ่งถือว่าคุณอาของอานันต์เป็นคนแรกที่ให้กำเนิดขนมเปี๊ยะไส้ทุเรียน สืบเนื่องจากมีคนนำทุเรียนกวนจากภาคใต้มาให้กิน แต่คุณอากลับมีความคิดว่าปกติคนไทยชอบกินทุเรียนมาก ถ้าเอาไปทำเป็นขนมไหว้พระจันทร์น่าจะอร่อย จึงทดลองทำขึ้นมาแล้วไปแจกพวกลูกค้าที่เล่นไพ่นกกระจอกให้ช่วยชิมหน่อย ปรากฏว่าทุกคนชมว่าอร่อยจึงเป็นเจ้าแรกที่ทำไส้ทุเรียนออกมาขาย
    ปรากฏว่าเมื่อนำขนมไส้ทุเรียนออกมาขายเป็นครั้งแรกนั้นขายดีมาก ๆ ขนาดลูกค้าแย่งกันซื้อจนเกือบจะตบดีกันทีเดียว ทางร้านจึงต้องขอจัดระเบียบด้วยการวางกฎให้ซื้อได้คนละ 5 กล่องเท่านั้น

    **“น้ำเชื่อม”สุดยอดเคล็ดวิชา**
    ถ้าจะถามว่าขนมไหว้พระจันทร์ก้อนเล็ก ๆ นี้ ขั้นตอนไหนในการทำขนมให้อร่อยและยากที่สุดนั้น เชฟทุกคนจะตอบเหมือนกันคือ”น้ำเชื่อม”
    “น้ำเชื่อม” ที่จะนำมาทำเป็นเปลือกสำหรับห่อขนมนั้นจะมีสูตรลับพิเศษที่คนจีนโบราณไม่ค่อยจะยอมถ่ายทอดเคล็ดวิชานี้ให้แก่คนอื่นยกเว้นลูกหลานเท่านั้น เพราะน้ำเชื่อมที่ดีจะทำให้ขนมที่อบออกมาสีสวยงามสม่ำเสมอ สามารถปั้นแป้งให้บางจนเห็นไส้ข้างในชวนให้น่ารับประทานยิ่งนัก
    ส่วนผสมหลัก ๆ ของการทำน้ำเชื่อมนั้นมีน้ำตาลและน้ำนำไปเคี่ยวกับไฟประมาณ 5 ชั่วโมง จากนั้นใส่ไข่ขาวและน้ำมะนาวเข้าไป เหตุผลที่ต้องใส่ส่วนผสมอีก 2 อย่างนั้นถือเป็นภูมิปัญญาของคนโบราณโดยไข่ขาวจะช่วยฟอกสีของน้ำเชื่อมให้ขาวและยังทำให้สิ่งสกปรกที่อยู่ในน้ำเชื่อมตกตะกอน ส่วนน้ำมะนาวจะทำให้น้ำเชื่อมไม่คืนตัวเป็นเกร็ดน้ำตาล
    สูตรนี้ถ้าจะให้อร่อยสุดยอดแล้วจะต้องทำแบบค้างปี คือต้มน้ำเชื่อมปีนี้แล้วเก็บเพื่อนำไปทำขนมในปีหน้า โดยน้ำเชื่อมนี้จะไม่บูดหรือเสียเลย
    “ ทางร้านจะทำน้ำเชื่อมแต่ละปีเสร็จแล้วจะเก็บใส่โอ่งมังกรสิบกว่าโองแล้วนำไปเก็บไว้ที่ชั้น 3 ของภัตตาคาร พออีกปีจึงจะนำมาทำขนม” เฮียฮ้อกล่าว

    **ลาวปั้นจีนกิน**
    เป็นเรื่องที่แปลกแต่จริงซึ่งเป็นที่รู้กันในวงการทำขนมไหว้พระจันทร์ว่า แม้ขนมชนิดนี้จะนำสูตรมาจากประเทศจีน แต่กลุ่มคนที่ทำขนมไหว้พระจันทร์นี้เป็นกลับเป็นคนหมู่บ้านพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ในช่วงใกล้เทศกาลไหว้พระจันทร์นั้นว่ากันว่าในหมู่บ้านนี้เหลือเพียงคนแก่และเด็กเท่านั้น เพราะหนุ่มสาวจำนวน 300 – 400 คนจะพากันเดินทางเข้ากรุงเทพฯกันหมดเพื่อไปทำขนม
    เหตุผลที่มาของปรากฏการณ์นี้เริ่มในยุคแรก ๆ ที่กก จีเหลาเริ่มทำขนมไหว้พระจันทร์นั้นจะต้องใช้คนงานเป็นจำนวนมาก จึงต้องจ้างลูกจ้างชั่วคราวเกือบ 100 คนมาช่วยทำขนมในช่วงเทศกาล และเริ่มแรกก็มีคนจากหมู่บ้านพิบูลมังสาหารมาช่วย จากนั้นเมื่อถึงวันที่ 12 สิงหาคมของทุกปี บรรดาคนหมู่บ้านนี้ก็จะรู้ว่าถึงเวลานัดหมายกันโดยไม่ต้องส่งจดหมายหรือโทรศัพท์ไปบอกกล่าว บรรดาชาวบ้านกลุ่มนี้ก็จะรวมตัวกันเดินทางมารับจ้างทำขนมไหว้พระจันทร์ตามร้านต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=225 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=225>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>“ ยุคแรกที่เราทำขนมไหว้พระจันทร์นั้นขายดีมาก ๆ ต้องใช้คนงานผู้หญิงกวางตุ้ง 40 – 50 คนมานั่งแกะเม็ดบัวโดยเฉพาะ ที่เหลือก็ใช้คนงานประจำอีก 50 – 60 คน แล้วก็ต้องเรียกคนงานพวกที่มาจากหมู่บ้านพิบูลมังสาหารมาช่วยอีก 60 กว่าคน รวมแล้วต้องใช้คนทำไม่ต่ำกว่า 200 คน สำหรับขนมเปี๊ยะ 4 แสนลูกต่อปี “ เฮียฮ้อกล่าว

    **“มือเคาะ” มือทอง**
    ขนมไหว้พระจันทร์ทุกลูกนั้นไม่ว่าจะไส้อะไรหรือสูตรอร่อยแค่ไหน แต่ถ้า”คนเคาะ” ทำหน้าตาของขนมออกมาไม่สวยก็ทำให้ขนมชิ้นนั้นไร้เสน่ห์ได้เช่นกัน ดังนั้นคนทำหน้าที่เคาะขนมจึงสำคัญมาก คือเป็นผู้ที่จะต้องนำขนมที่ห่อไส้แล้วเป็นก้อนกลม ๆ เหมือนลูกบอลนำมากดลงบนพิมพ์แล้วใช้วิธีการเคาะ 3 จังหวะคือซ้าย ขวาและกลาง จากนั้นคว่ำพิมพ์ลงขนมก็จะหลุดออกจากพิมพ์ออกมาเป็นลูกกลมหรือเหลี่ยมอย่างสวยงาม
    ฟังดูอาจจะคิดว่าทำง่าย แต่ความจริงแล้วคนที่ทำหน้าที่เคาะขนมที่ชำนาญในยุคนี้แทบจะนับตัวได้เลย เพราะจะต้องใช้คนที่ชำนาญจนรู้จังหวะที่จะลงน้ำหนักมือให้เท่ากันไม่เช่นนั้นขนมจะเบี้ยวออกมาไม่สวยหรือทำให้ขนมชิ้นนั้นเสียไปเลย
    คนเคาะขนมนั้นจะได้ค่าตัวที่แพงกว่าทุกตำแหน่งอย่างปัจจุบันจ้างกันที่ราคา 500 – 600 บาทต่อวัน ดังนั้นใครที่มีความสามารถทางด้านนี้ก็จะถูกจองตัวผูกขาดจากร้านทำขนมเปี๊ยะพระจันทร์และจะต้องทำงานหนักตลอดเทศกาล เพราะหลังจากนี้ไปแล้วแต่ละคนก็ต้องกลับไปทำนา เป็นมอเตอร์ไซน์รับจ้าง หรือไปรับจ้างทาสี เลี้ยงชีพรอไว้ปีหน้าจึงจะเดินทางมาตามเวลานัด
    แต่ปัจจุบันคนนิยมกินขนมไหว้พระจันทร์มากขึ้น ความต้องการในช่วงเทศกาลมีหลายหมื่นลูกทำให้บางรายนำเข้าเครื่องทำขนมไหว้พระจันทร์สำเร็จรูป ที่ใช้แรงลมแทนการเคาะขนมออกจากพิมพ์ และสามารถผลิตได้ครั้งละ 8 ลูกจึงทำให้ขนมไหว้พระจันทร์สามารถผลิตได้ทันตามความต้องการของลูกค้า




    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>**“พิมพ์ไม้” นิยายคลาสสิก**
    จะมีใครสังเกตบ้างไหมว่าขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นสวย ๆ นั้นมีลวดลายอะไรและมีตัวหนังสือเขียนว่าอะไรบ้าง???
    บนหน้าขนมไหว้พระจันทร์นั้นนิยมทำเป็นรูปดอกไม้ ใบไม้ มังกร ยี่ห้อของร้าน เป็นต้น คนทำขนมรุ่นใหม่ ๆ จะไปหาซื้อพิมพ์เหล่านี้ได้ตามย่านพาหุรัดที่เป็นพิมพ์ไม้บ้าง พลาสติกบ้าง แต่ถ้าเป็นพิมพ์ขนมยุคเก่าดั้งเดิมนั้นจะต้องใช้พิมพ์ไม้เท่านั้นและที่สำคัญจะต้องไปสั่งแกะสลักกันที่ประเทศจีน
    อนันต์ เล่าถึงความเป็นมาของพิมพ์ขนมว่าในยุคแรกนั้นทางภัตตาคารกกจีเหลาจะสั่งทำพิมพ์ไม้มาจากฮ่องกง จนเมื่อประเทศไทยเปิดความสัมพันธ์กับประเทศจีนแล้วอนันต์จึงได้บุกไปที่มณฑลกวางเจาสืบเสาะจนพบตระกูลหนึ่งที่รับจ้างแกะสลักพิมพ์ไม้เพื่อใช้ทำขนมไหว้พระจันทร์สืบทอดต่อกันมากว่า 3 ชั่วอายุคนแล้ว
    “มีเพียงร้านเดียวเท่านั้นตั้งอยู่ในเมือง พอได้พบและพูดคุยกันแล้วถึงได้รู้ว่าพิมพ์เก่า ๆ ของที่ร้านกกจีเหลาที่เราสั่งทำที่ฮ่องกงนั้นก็ส่งมาให้เขาแกะเช่นกัน “ อนันต์กล่าว
    พิมพ์ไม้แกะสลักของร้านนี้ถือว่าไม่ธรรมดาอย่างยิ่งเพราะรุ่นปู่เขาจะเก็บไม้เนื้อแข็งเป็นชิ้น ๆ กว่าหมื่นชิ้น และไม้แต่ละชิ้นจะต้องเก็บเกือบ20ปีจึงจะนำมาใช้แกะได้เพราะไม้จะแข็งและไม่มีการหดตัว โดยจะเก็บไม้มาเป็นรุ่น ๆ ตามอายุของไม้ เมื่อมีการว่าจ้างให้แกะก็จะใช้ไม้รุ่นที่เก็บนานที่สุดมาใช้
    ฝีมือและเคล็ดวิชาการแกะสลักของตระกูลนี้ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นเพราะเป็นการแกะสลักไม้ที่ไม่ธรรมดาเช่นกันคือแกะลึกเป็นหลุมลงไปและด้านในจะแกะเป็นหน้าของขนมเปี๊ยะ ซึ่งจะต้องใช้ฝีมือและความชำนาญ เช่นถ้าแกะไม่เสมอกันเวลาเคาะแป้งก็จะไม่หลุดออกจากพิมพ์ หรือถ้าแกะลายคมเกินไปทำให้ขนมมีขอบเวลาอบแล้วจะไหม้ เป็นต้น
    ปกติพิมพ์ไม้ที่ดีแต่ละอันแม้จะถูกใช้เคาะทั้งวันแต่จะมีอายุการใช้งานเป็น 10 ปีเช่น กัน ซึ่งขณะนี้ทางร้านกกจีเหลายังเก็บพิมพ์ไม้รุ่นเก่าไว้จำนวนหนึ่ง บางอันเป็นพิมพ์ขนาดใหญ่ที่มีอายุกว่า 50 ปี ซึ่งในปัจจุบันคงจะหาไม่ได้อีกแล้วเพราะไม่มีไม้ขนาดใหญ่ให้ใช้อีกแล้ว



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=210 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=210>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>**“บัวหิมะ” ชิ้นแรกของเมืองไทย**
    ถ้าใครเป็นนักชิมขนมไหว้พระจันทร์คงจะเคยเห็นขนมชนิดหนึ่งที่หน้าตาแปลกไปตรงที่ใช้แป้งขนมโก๋เป็นสีขาวและสีเขียวห่อไส้แทนแป้งสีน้ำตาล ซึ่งขนมนี้ที่เมืองจีนที่เรียกขานกันว่า “ บัวหิมะ”
    “บัวหิมะ”เป็นขนมที่นิยมของคนฮ่องกงมาก สำหรับเมืองไทยนั้นรายแรกที่นำขนมเปี๊ยะบัวหิมะมาเผยแพร่ในเมืองไทยนั้นคือโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ กรุงเทพฯในยุคของชวลิต ทั่งสัมพันธ์ เจ้าของโรงแรมฯที่ได้ชื่อว่าชอบเสาะหาแต่ของอร่อย ๆ มาไว้ในโรงแรม เมื่อเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา ฟูเก๋ง เชฟชาวฮ่องกงที่มาทำขนมประจำโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ได้นำสูตรขนมเปี๊ยะบัวหิมะจากฮ่องกงมาทำขายเป็นครั้งแรกที่โรงแรมแห่งนี้
    “ ก่อนหน้านั้นเราเป็นโรงแรมแห่งแรกที่ทำขนมไหว้พระจันทร์ออกมา และประมาณปี 2526 เราก็ทำบัวหิมะออกมาขายปรากฏว่าขายดีมาก ๆ เพราะแปลกและไม่มีใครทำมาก่อน ลูกค้ากินแล้วชอบบอกว่าเย็นชื่นใจดี “ ป้าณี-ภารุณี ปิ่นถาวรลักษณ์ เชฟขนมไหว้พระจันทร์ของโรงแรมฯกล่าว
    แม้ว่าปัจจุบันจะมีหลายรายที่ทำ”บัวหิมะ” ขึ้นมา แต่ก็ไม่มีใครทำแป้งที่ห่อได้เหนียวนุ่มและอร่อยได้เท่ากับเจ้าตำรับแบบโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ บัวหิมะสูตรดั้งเดิมสมัยฟูเก๋งยังคุมอยู่นั้นจะมีแป้งสีขาวและสีเขียวจากใบเตย แต่ปัจจุบันจะมีสีแดงที่ทำจากน้ำหวานสละมาเป็นอีกทางเลือกให้แก่ลูกค้า โดยป้าณีเล่าว่าก่อนจะถึงช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์นั้นจะต้องเตรียมตัวประมาณ 2 เดือน และจะทำขนมไหว้พระจันทร์แบบสดใหม่ทุกวัน ขนมบัวหิมะจะมียอดขายดีที่สุด

    **S&P จุดประกายตลาด**
    ยุคก่อนนั้นถ้าอยากจะกินขนมไหว้พระจันทร์จะต้องรอให้ถึงเทศกาลเสียก่อนและต้องไปหาซื้อตามย่านเยาวราชที่เป็นแหล่งใหญ่ซึ่งจะมีขนมยี่ห้อเก่าแก่ที่ล้วนแต่เป็นชื่อภาษาจีนทั้งนั้น เช่นกก จีเหลา( ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นกอกใจ) ไล้กี่ , ท่องกี่ , แต้เล่าจิ้นเส็ง เป็นต้น
    แต่เดี๋ยวนี้อยากจะกินขนมไหว้พระจันทร์ไม่ยากเย็นอีกแล้ว ไปเดินตามห้างสรรพสินค้าก็จะมีซุ้มที่รวบรวมขนมไหว้พระจันทสารพัดยี่ห้อมาเรียงรายให้เลือกซื้อเลือกกินกันสะดวกสบาย ผู้ที่จุดประกายความเปลี่ยนแปลงนี้คงต้องยกให้ค่าย S&P
    และต้องยอมรับว่าค่ายS&P เป็นผู้สร้างตำนานขนมไหว้พระจันทร์หน้าใหม่ขึ้นมาเมื่อ 6 – 7 ปีก่อน เมื่อค่ายนี้หันมาเปลี่ยนโฉมขนมไหว้พระจันทจากสไตล์โฮมเมดแบบเดิม ๆ ให้กลายมาเป็นแบบแมสโปรดักส์ที่นำเครื่องมือมาช่วยในการผลิตเพื่อให้ได้ปริมาณเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดเปลี่ยนพฤติกรรมคนกินให้ซื้อขนมไหว้พระจันทร์ไม่เพียงแต่ซื้อเพื่อนำไปไหว้ตามประเพณีเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นขนมที่ซื้อฝากผู้ใหญ่โดยใช้การออกแบบกล่องให้สวยงามเพื่อดึงดูดจนถึงขนาดบางปีการแข่งขันเรื่องกล่องใส่ขนมเพื่อแย่งชิงลูกค้านั้นเข้มข้นดุเดือดยิ่งกว่ารสชาติของขนมเสียอีก
    จนถึงขณะนี้ขนมไหว้พระจันทร์มีมูลค่าการตลาดสูงถึง 200 กว่าล้านบาท โดยใช้เวลาขายเพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้น มีคนนิยมลิ้มลองรสชาติหวานอร่อยของขนมนี้ตั้งแต่คนจีนรุ่นเก่า ลูกหลานคนจีนรุ่นใหม่ จนถึงหนุ่มสาวรุ่นใหม่ และมีผู้ที่โดดเข้ามาทำขนมไหว้พระจันททั้งรายเล็กรายใหญ่เพิ่มขึ้นกว่า 10 ราย

    **ขนมไหว้พระจันทสำหรับคนรุ่นใหม่**
    จนถึงวันนี้วัฒนธรรมของขนมไหว้พระจันทร์เริ่มถูกสั่นคลอนด้วยคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาจับธุรกิจนี้เพื่อปูฐานสินค้าเข้าสู่คนรุ่นใหม่ที่มีนิสัยต้องการสัมผัสความแปลกใหม่ ไส้เดิม ๆ ที่เคยมีอยู่เพียง 3- 5 อย่างให้เลือกนั้นก็เริ่มมีไส้แปลก ๆ ใหม่ ๆ เพื่อเป็นทางเลือกมากขึ้น อย่างเมื่อ 2 – 3 ปีก่อนนั้นกระแสชาเขียวเพื่อสุขภาพกำลังมาแรงก็มีหลายรายที่นำชาเขียวมาทำเป็นไส้ขนมไหว้พระจันทร์ซึ่งก็ขายดิบขายดีเช่นกัน
    ส่วนเมื่อปีที่แล้วกระแสลูกพรุนเพื่อสุขภาพกำลังมาแรงก็มีหลายรายที่หันมาทำไส้ลูกพรุน และที่แหวกแนวคงเป็นค่ายเชียงการีล่าที่คว้าสาหร่ายสไปรูไรน่าที่มีสรรพคุณเพื่อสุขภาพมาทำเป็นไส้ขนมด้วย
    ธรรมนูญ สุภานุรัตน์ คนหนุ่มรุ่นใหม่เจ้าของขนมไหว้พระจันทร์ยี่ห้อร้านบ้านกอไผ่ เพิ่งจะเปิดตัวขนมไหว้พระจันทร์เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา โดยมีจุดเด่นที่ฉีกแนวเดิมอย่างสิ้นเชิงคือ “ไส้ขนม” แปลกใหม่ที่จับตลาดทั้งคนรุ่นเก่าที่ห่วงใยสุขภาพ โดยมีไส้ที่แปลกแหวกแนวคือ ลูกบัวแปะก๋วย งาดำเม็ดแตง ชาเขียวญี่ปุ่น เกาลัดลูกพลับญี่ปุ่น ลำใยรากบัว ลิ้นจี่จักรพรรดิ์รากบัว ลูกพรุนบีทรูท ชาอู่หลง และไฮไลท์แบบอลังการคือไส้โสมตังกุย ส่วนขนมไหว้พระจันทร์ที่นำมาเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่อาทิ ม็อคค่าโอริโอ ช็อคโกแลตบราวนี่ กาแฟคาปูชิโน เป็นต้น
    สำหรับปีนี้ร้านบ้านกอไผ่นำเสนอรสใหม่ อาทิ ขิงหอมผสมน้ำผึ้ง , งาขาวแม็คคา , ทุเรียนก้านยาว เป็นต้น
    และแทบไม่น่าเชื่อว่าค่ายสตาร์บัคส์ กาแฟชื่อดังของอเมริกาก็ดีเดย์ชักธงรบเข้าสู่ตลาดขนมเปี๊ยะไหว้พระจันทร์ในเมืองไทยเช่นกัน หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากที่ไต้หวันและฮ่องกงมาแล้ว
    “ สตาร์บัคส์เริ่มทำขนมไหว้พระจันทร์ครั้งแรกที่ไต้หวันและฮ่องกงเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา และไม่น่าเชื่อว่าจะขายดีมาก ๆ” สุมลพินทุ์ โชติกะพุกกะณะ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารการตลาด สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ ไทยแลนด์กล่าว
    ทั้งนี้ค่ายสตาร์บัคส์ในเมืองไทยได้เปิดตัวขนมเปี๊ยะไส้กาแฟเอสเพรสโซ่ โรส์ในราคาชิ้นละ 95 บาท โดยได้สูตรมาจากสตาร์บัคส์ที่ไต้หวัน และนำมาดัดแปลงให้เข้ากับลิ้นคนไทย โดยส่วนผสมหลักของไส้จะมีถั่วแมคคาเดเมีย เม็ดบัว และไข่แดงและที่ขาดไม่ได้คือกาแฟเอสเพรสโซ โรสท์ ที่เพิ่มกลิ่นหอมของรสกาแฟเข้าไป สำหรับปีนี้ค่ายสตาร์บั๊คมีไส้ใหม่มาเอาใจคอกาแฟด้วยไส้ทุเรียน
    ตำนานการเดินทางของขนมไหว้พระจันทร์ของเมืองไทยยังไม่จบเพียงเท่านี้ แต่อย่างไรก็ตามถ้าคุณอยากที่จะรู้จักกับขนมนี้ให้มากขึ้นคงต้องลองชิมดูจะดีกว่า ส่วนจะเป็นยี่ห้อไหนบ้างนั้นแล้วแต่ใจของคุณเถอะ


    หมายเหตุ...บทความนี้เคยตีพิมพ์ในผู้จัดการรายวันเมื่อวันที่10 กันยายน 2547


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เหรียญบาตรน้ำมนต์
    Daily News Online > โลกสีสวย > ศิลปวัฒนธรรม > พบกันวันอาทิตย์ > เหรียญบาตรน้ำมนต์

    [​IMG]

    ช่วงนี้เป็นระยะเวลาที่คนกรุงเทพฯกำลังเผชิญปัญหาการจราจรติดขัด

    การจราจรในกรุงเทพฯ นั้น จะติดเป็นประจำเกือบทุกวัน แต่จะติดเป็นบางถนน และบางช่วงเวลา เช่น ในตอนเช้าเพื่อไปทำงาน หรือเวลาเย็นเมื่อเดินทางกลับบ้าน

    แต่ทว่าในขณะนี้ การจราจรได้เพิ่มการติดขัดหนักขึ้นไปอีกเกือบทั้งวัน

    เพราะกรุงเทพมหานครได้ประกาศปิดสะพาน รวม 13 แห่ง เพื่อซ่อมแซม

    ค่อนข้างจะแปลกใจว่าทำไม สะพานลอยเหล่านี้จึงชำรุดทรุดโทรมเร็วมากเหลือเกิน

    ทางด่วนลอยฟ้าบางสายนั้นสร้างมาก่อนนานแล้ว ยังคงใช้ได้เป็นปกติ

    เป็นเพราะอะไรการสร้างสะพานของ กทม. จึงชำรุดทรุดโทรมเร็วนัก

    ต่อไป กทม. จะสร้างอะไรต้องคำนึงถึงความคงทน แข็งแรง เอาไว้ด้วย

    อีกเรื่องหนึ่งที่น่าคิดก็คือ ทำไม กทม. จึงมาซ่อมสะพาน 13 แห่ง ในระยะนี้

    ทำไม... ทำไม ไม่คิดซ่อมสะพานตอนปิดเทอมใหญ่ ซึ่งการจราจรเบาบางลง

    อาจจะเกิดจากความฉลาดน้อยของผู้บริหาร กทม. ก็เป็นได้ ที่คิดเพียงสั้น ๆ ตามความพอใจของตนเอง ไม่คำนึงถึงประชาชนทั้งหลาย

    เวลานี้ก็ยังสามารถแก้ไขได้ สะพานแห่งใดที่ยังไม่ถึงกำหนดเวลาซ่อม ก็เลื่อนไปทำตอนปิดเทอมปลาย ก็ยังสามารถทำได้

    คราวหน้า ถ้าจะซ่อมสะพานอีก คิดทำในตอนปิดเทอมปลายน่าจะดีกว่า

    วันนี้ได้นำเหรียญที่ระลึกในสมัยรัชกาลที่ 5 มาให้ชมพร้อมกัน 2 เหรียญ

    เหรียญบนเป็นเหรียญรูปรี สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 เรียกว่า เหรียญที่ระลึก มหาสมณุตตมาภิเศกแบบที่ 1

    เหรียญนี้สร้างขึ้นเป็นที่ระลึกในพระราชพิธีมหาสมณุตตมาภิเศก เลื่อนพระอิสริยยศ “พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ฯ ขึ้นเป็น “พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์” เมื่อวันที่ 27 พ.ย. พ.ศ. 2434

    เหรียญนี้ประชาชนโดยทั่วไป เรียกว่า “เหรียญบาตรน้ำมนต์” หรือ เหรียญปวเรศฯ

    เหรียญนี้เป็นเหรียญทองแดง ด้านหน้าเป็นรูปอัฐบริขาร พัดยศ และ เบญจปฎลเศวตฉัตร (ฉัตรบาล 5 ชั้น) มีอักษรภาษา มคธ ว่า “อยโข สุขิ โตโหติ นิท์ทุก์โข นิรุปททโล อนันตราโย ติฏเฐย์ย สัพพ์โสสถี ภวัณตุเต” แปลว่า ผู้นี้แลมีความสุขไร้ทุกข์ ไร้อุปัทวะ ไม่มีอันตราย พึงดำรงอยู่ ความสวัสดี จงมีแก่ท่าน

    ด้านหลังมีข้อความว่า ที่ รฦก งาน มหาสมณุตตมาภิเศก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์ วันที่ 27 พฤศจิกายน รัตนโกสินทร ศก ๑๑๐”

    ส่วนเหรียญด้านล่างเป็นเหรียญที่ระลึกในพระราชพิธีทรงผนวชสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้าวชิรุณหิศ เมื่อปี พ.ศ. 2434

    เหรียญนี้มี 3 ชนิด คือ กาไหล่ทอง เงิน และทองแดง ด้านหน้าเป็นรูปพระอรหันต์ 18 องค์ “จับโป้ยล่อหั่น”

    ด้านหลังมีอักษรไทยประดิษฐ์เลียนแบบอักษรจีน “การทรงผนวช” ด้านขวามีอักษรย่อ ส.พ.บ.ร.อ. และ ปี ร.ศ.๑๑๐

    เหรียญทั้ง 2 อันนี้ ตั้งราคาไว้ 6 หมื่นบาท

    พบกันอาทิตย์หน้า.

    สมเจตน์ วัฒนาธร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • p.jpg
      p.jpg
      ขนาดไฟล์:
      46.4 KB
      เปิดดู:
      2,532
    • 1246241585.jpg
      1246241585.jpg
      ขนาดไฟล์:
      693 bytes
      เปิดดู:
      48
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์รู้แต่แรกป้องกันพิการได้
    Daily News Online > โลกสีสวย > แรงงาน-สาธารณสุข > โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์รู้แต่แรกป้องกันพิการได้


    [​IMG]

    โรครูมาตอยด์ เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่ง เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เยื่อบุข้อเจริญรวดเร็ว ลุกลามไปทำลายกระดูกและข้อ แล้วยังต่อไปถึงระบบอื่น ๆ อีก ได้แก่ ทางประสาท ตา กล้ามเนื้อ และเท่าที่พบกันบ่อยอยู่เสมอ คือเรื่องปวดข้อ ปัญหาเรื่องปวดข้อมีหลายสาเหตุ รูมาตอยด์เป็นหนึ่งในเรื่องนี้ด้วย

    ในบ้านเราพบราว 0.03% คน 1,000 คน จะพบ 2-3 คน รวมทั้งประเทศคาดว่าจะมีอยู่ 200,000 คน อายุที่พบมากอยู่ระหว่าง 30-40 ปี เพศหญิงมีมากถึง 80-90% เป็นผลจากฮอร์โมนมามีส่วนเกี่ยวข้อง สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่นอน บางท่านว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อหรือจากพันธุกรรม

    อาการ พบมากบริเวณข้อนิ้วมือ ข้อเท้า ข้อนิ้วเท้า ข้อเข่า ไหล่ ข้อศอก ขากรรไกรก็พบได้ การอักเสบ จะดำเนินไปอย่างช้า ๆ แรก ๆ จะสังเกตจากตอนตื่นนอน ข้อจะติดขัดขยับไม่สะดวก ต้องเคลื่อนไหวหลาย ๆ ครั้ง ต่อมาจะปวด บวม เหยียดงอได้ไม่เต็มที่ การอักเสบจะลุกลามเพิ่มขึ้นมากเรื่อย ๆ ที่ทรมานมากที่สุดคือเรื่อง อาการปวด หายากินกันสารพัดชนิด เป็น ๆ หาย ๆ พอทุเลาลงได้บ้าง เป็นแรมปี ลงท้ายจะเห็นความพิการเกิดขึ้นหลาย ๆ รูปแบบ

    ความพิการ เมื่อกระดูกถูกทำลาย มีการอักเสบของพังผืดที่หุ้มข้อและเส้นเอ็นที่ยึดบริเวณข้อ ทำให้ข้อเคลื่อน ข้อหลุด เห็นเป็นปุ่มนูนแข็งขึ้นมา รูปร่างผิดปกติไป กล้ามเนื้อลีบไม่มีแรงเพราะไม่ได้ใช้งาน ลงท้ายข้อจะแข็งใช้งานไม่ได้ เรื่องปวดยังปวดทรมานอยู่อย่างเดิม

    เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมได้มีโอกาสไปดูออโธปิดิกส์แพทย์ นพ.พงษ์ศักดิ์ วัฒนา ไปออกหน่วยกับมูลนิธิแสง-ไซ้กี เหตระกูล ที่ จ.ร้อยเอ็ด คุณหมอได้มาช่วยตรวจคนไข้ที่ปวดข้อจากโรคข้อทั้งหลาย รวมทั้งจากรูมาตอยด์ด้วย คนไข้รูมาตอยด์มากันมาก คุณหมอก็ให้หลักในการตัดสินใจว่าหากจะเป็นรูมาตอยด์มักจะมีอาการดังต่อไปนี้

    โรครูมาตอยด์มักเป็น หลายข้อ และ จะเป็นทั้งสองข้าง ทั้งซ้ายและขวา มิได้เป็นโดด ๆ แห่งเดียวเหมือนโรคข้ออื่น อาการปวดบวมจะเห็นเหมือนข้ออื่นทั่วไป แต่ถ้าเรา ไปจับงอ ข้อส่วนนั้นจะปวดสะดุ้งทันที แสดงถึง มีการอักเสบอยู่ เมื่อตรวจข้อมัก พบมีน้ำแทบทุกราย เมื่อพบน้ำก็จะเจาะออก พอเจาะเอาน้ำออกคนไข้จะสบายทุเลาอาการปวดลดลงไปมาก อาจพบกระดูกนูนตรงข้อ นั่น คือข้อหลุด กล้ามเนื้อที่อักเสบหย่อนจะทำให้ข้อเคลื่อนออกมา สำหรับเรื่อง รูมาตอยด์ แฟกเตอร์ ถ้าผลเป็นบวก ก็ยืนยันว่าเป็นแน่นอน ส่วนใหญ่จะพบเป็นบวกราว 70% และจะต้องเป็น 5 ปีขึ้นไปจึงจะให้ผลบวก

    ปัญหาของรูมาตอยด์ คือเรื่องอาการปวดทรมานมาก สำหรับยาแก้ปวดชนิดต่าง ๆ ตั้งแต่ราคาถูกจนถึงราคาสูงหลายหมื่นบาทต่อเดือนก็อยู่ในดุลพินิจของออโธปิดิกส์แพทย์ ที่สำคัญสำหรับคนไข้คือต้องฝึกทำกายภาพบำบัดข้ออย่าง สม่ำเสมอ ถ้าข้อไม่เคลื่อนไหวนานเข้าจะติดแข็งขยับไม่ได้ จึงควรต้องป้องกันไว้ก่อน เรื่องการบริหารร่างกายเกี่ยวกับข้อนี้ ชมรมเรียนรู้สู้รูมาตอยด์จะช่วยให้ความกระจ่างได้หมด

    เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมได้มีโอกาสไปงานสัมมนาอยู่อย่างเป็นสุขกับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ทางเลือกใหม่...สู่ชีวิตที่ดีขึ้น ที่ รพ.ราชวิถี จัดโดย กลุ่มคนไข้กันเอง เป็นครั้งที่ 2 โดยชมรมเรียนรู้สู้รูมาตอยด์ ได้พบกับ คุณไพบูลย์ เอี่ยมแสงชัยรัตน์ ประธาน คุณจันทนา ท่วมสุข ผู้ช่วย, พิมพ์ฤดี เตชะปัญญาพล, นฤมล สหวงศ์วัฒนา ฯลฯ เป็นทีมงานที่เข้มแข็งมาก สามารถรวบรวมผู้มาเข้าประชุมราว 1,000 คน มีแพทย์ที่มีชื่อเสียงหลายท่านมาช่วยให้ความรู้แก่สมาชิก พญ.รัตนาวดี ณ นคร, พญ.ทัศนีย์ กิตอำนวยพงศ์ ฯลฯ และพิธีกรที่ มีชื่อเสียงอีกหลายท่าน ให้ทั้งความรู้ การออกกำลังกาย เพื่อกายภาพบำบัดข้อ บันเทิง และมีรางวัลของขวัญมากมาย อาหารพร้อม

    ต้องขอชม ชมรมเรียนรู้สู้รูมาตอยด์ เป็นกลุ่มภาคเอกชนที่เข้มแข็ง สามารถรวมตัวกันให้สมาชิกและผู้สนใจได้มาเรียนรู้ถึงเรื่องโรครูมาตอยด์ว่าเป็นอย่างไร เราจะหาทางป้องกันแก้ไขอย่างไร รู้ว่าโรคนี้ไม่หาย แต่ก็ต้องฝึกทำ กายภาพบำบัด ฝึกกล้ามเนื้อรอบข้อให้เคลื่อนไหวอยู่เสมอ ปล่อยละเลยข้อจะติดแข็งเร็ว ทำให้พิการใช้งานไม่ได้และปวด กายภาพบำบัดช่วยให้โรคทุเลาลง ข้อยังคงใช้งานได้ หรือหากจะติดแข็งก็ติดในท่าที่ทำงานช่วยตัวเองในชีวิตประจำวันได้

    ชมรมเรียนรู้สู้รูมาตอยด์ เป็นภาคเอกชนที่เข้มแข็ง รวบรวมสมาชิกและผู้สนใจมาร่วมสัมมนาโดยเชิญวิทยากร ผู้มีชื่อเสียงหลายท่านมาให้ทั้งความรู้และการปฏิบัติตัวป้องกันมิให้เกิดความพิการ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตดีที่สุด ข้อมูลเพิ่มเติม คุณไพบูลย์ 08-9142-5885 คุณพิมพ์ฤดี 08-5675-6472.
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    วันนี้ ผมมาแนะนำ พระพิมพ์นางพญา และ พิมพ์ผงสุพรรณครับ

    พิมพ์นางพญา
    [​IMG]

    พิมพ์ผงสุพรรณ
    [​IMG]

    สำหรับทั้งสององค์นี้ แท้หรือไม่แท้ครับ

    แท้ในที่นี้ คือ มีผู้ที่สร้างขึ้น และ ได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษก

    ไม่แท้ในที่นี้ คือ การสร้างจากโรงงาน อาจจะนำเข้าพิธีพุทธาภิเษกหรือไม่ได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษกก็ได้

    คิดว่าอย่างไร

    ติ๊กต๊อกๆๆๆๆๆๆๆๆ

    หุหุหุ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    หากดูเนื้อหาทรงพิมพ์ เป็น ก็จะทราบว่า ใช่หรือไม่ใช่

    เนื้อพระที่อายุไม่น้อยกว่า 100 ปี ดูไม่ยาก

    ผมเห็นมาเยอะแล้ว ที่ดูพระเนื้อที่อายุเป็นร้อยกว่าปี ไม่เป็น

    ส่วนพระสมเด็จ ที่ทางคุณทวดขำ ได้สร้างหลังจากสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ทิวงคตแล้ว และไม่ได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษก ก็มีมากเช่นกัน เหอๆๆๆๆๆ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    มาเฉลยครับ

    ทั้งสององค์เป็นพระแท้ สร้างขึ้นที่วังหน้า สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อธิษฐานจิตเดี่ยวครับ

    และการสร้างนั้น สร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ.2415 แน่นอน หุหุหุ

    ผมไปแอบเฉลยที่บอร์ดอกาลิโก เมื่อวานนี้ครับ
    "พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้" บอร์ดอกาลิโก
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post2458820 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">25-09-2009, 11:06 PM </TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #33897 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->sithiphong<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2458820", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 32,693
    Groans: 109
    Groaned at 106 Times in 58 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 21,380
    ได้รับอนุโมทนา 214,056 ครั้ง ใน 27,265 โพส
    พลังการให้คะแนน: 14873 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2458820 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start -->นำมาให้ชมกัน

    [​IMG]

    เป็นพระบูชา หลวงปู่กรมพระยาปวเรศทั้งสององค์ครับ

    ส่วนการสร้าง,การอธิษฐานจิต และอื่นๆ ผมขอไม่แจ้งบนบอร์ด(ในกระทู้พระวังหน้าฯ พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....<!-- google_ad_section_end -->

    [​IMG]
    ดาวน์โหลด 1 ครั้ง
    20-10-2008 05:57 PM<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    --------------------------------------------------

    [​IMG]
    75.1 KB, ดาวน์โหลด 3 ครั้ง
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หลวงปู่หลุยสยบพญานาค2ครั้ง!


    เมื่อพระอริยสงฆ์รูปหนึ่งต้องเผชิญหน้ากับพญานาค อะไรจะเกิดขึ้น!?


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD height=5></TD></TR>


    [​IMG]





    </TBODY></TABLE>


    หลวงปู่หลุย จันทสาโร (พรรษาที่ ๓๒) ท่านได้เดินทางมาปฏิบัติภาวนาที่ “ภูบักบิด” ชื่อ “ภูบักบิด” เป็นภูเขาเล็ก ๆ ห่างจากตัวจังหวัดเลยไม่มากนัก เป็นภูเขาซึ่งอยู่เหนือฟากฝั่งของแม่น้ำเลย โดยมีตัวเมืองเลยอยู่ฟากฝั่งตรงกันข้าม

    ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ หลวงปู่หลุยท่านจำพรรษาอยู่ที่บ้านกกกอก ซึ่งเป็นพื้นที่เชิงเขา ครั้นออกพรรษาแล้ว ท่านต้องการเปลี่ยนสถานที่บำเพ็ญเพียร จึงได้มุ่งหน้ามายัง “ภูบักบิด” เนื่องจากบนภูบักบิดเป็นป่าเขาอุดมสมบูรณ์ ไม่มีการตัดไม้ทำลายป่า สภาพธรรมชาติ จึงสงบวิเวก เป็นสัปปายะสำหรับพระธุดงคกรรมฐาน

    การขึ้นไปยังถ้ำบนภูบักบิดนี้ จะต้องไต่เขาขึ้นไปเป็นระยะทางประมาณ ๓ กิโลเมตร และทางขึ้นก็ยากลำบากไม่น้อย เนื่องจากต้องป่ายปีนผ่านก้อนหินตะปุ่มตะป่ำแหลมคม ซ้ำยังมีพงรก เถาวัลย์ กอหนาม กอหวายขวางทางไปตลอด แต่เมื่อขึ้นไปถึงถ้ำแล้ว กลับเป็นสถานที่อันเหมาะสมในการภาวนาอย่างยิ่ง ถ้ำที่หลวงปู่หลุบบุกป่าฝ่าเขาขึ้นไปบำเพ็ญเพียรภาวนานี้ ปากถ้ำออกจะเล็กแคบ แต่ภายในกว้างขวางร่มรื่น บรรยากาศสงัดเงียบเป็นที่พอใจของหลวงปู่หลุยอย่างยิ่ง

    วัน เวลา ที่หลวงปู่หลุยขึ้นไปบำเพ็ญภาวนาบน “ภูบักบิด" เป็นเดือนธันวาคม อากาศบนภูหนาวเหน็บเย็นเยือก เวลากลางคืนมาถึงเร็ว เพียงแค่ล่วงพ้นยามเย็น ความมืดแห่งรัตติกาลก็ครอบคลุมลงมาทั่วทุกอณูบนภูสูอันเปล่าเปลี่ยว

    คืนแรก... หลวงปู่หลุยนั่งภาวนาบนแท่นหินหน้าถ้ำ จิตรวมนิ่งสนิทอย่างรวดเร็ว แต่แล้ว ...ปรากฏการณ์ซึ่งหลวงปู่ไม่เคยคาดคิดก็พลันอุบัติขึ้น นั่นคือมีมือใหญ่มหึมา ขนยาวรุงรังยื่นออกมานอกถ้ำ มือนั้นชูร่อนไปมา

    หลวงปู่หลับตาก็มองเห็น ลืมตาก็มองเห็น...ท่านจึงกำหนดจิตถามไปว่า เจ้าของมือซึ่งชูร่อนเสมือนจะวิงวอนร้องขอสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น ปรารถนาอะไร...

    แล้วหลวงปู่หลุยก็ทราบว่า เป็นเปรตที่อยู่ในภาวะแห่งความทุกข์ทรมานมานาแสนนาน เปรตตนนั้นมาขอส่วนบุญ หลวงปู่จึงแผ่เมตตาให้... นับแต่นั้น เปรตก็หายไปไม่มารบกวนท่านอีก

    คืนต่อ ๆ มา กลวงปู่หลุยได้เผชิญกับสิ่งลึกลับซึ่งท่านต้องยอมรับว่ามีอยู่จริง ...
    นั่นคือ พญานาค !!

    หลวงปู่หลุยเผชิญกับพญานาคขณะมี่ท่านกำลังนั่งภาวนาอยู่ พญานาคแห่งภูบักบิดตนนี้เป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิมาแต่เดิม ไม่ยอมรับนับถือพระสุปฏิปันโน เมื่อหลวงปู่มาบำเพ็ญภาวนาในเขตของตน จึงแสดงฤทธิ์ปรากฏกายลองดีกับท่าน โดยใช้ส่วนหางพันรอบกายทานหลายรอบแล้วรัดแน่น !!

    หลวงปู่หลุยเล่าว่า ทันทีที่รู้สึกว่าพญานาคมารัดตัว ท่านตั้งสติไม่ทัน ทำให้ตกใจ...

    หลวกปู่บอกว่า “หนักอึ่กซึ่ก...” หนักอึ่กซึ่ก หมายถึง อึดอัดมาก

    อันที่จริงหลวงปู่หลุยเคยมีประสบการณ์เรื่องพญานาคมาเหมือนกัน แต่ไม่เคยพบถึงขั้นเข้ามารัดตัวท่าน จึงทำให้ท่านอดสะดุ้งหวั่นไหวไม่ได้ แต่เมื่อตั้งสติได้ ก็กำหนดจิต เอา “พุทโธ” เป่าเข้าไป ขดลำตัวพญานาคซึ่งรัดตัวท่านก็คลายออกอย่างรวดเร็ว กระทั่งหายวับไป

    แม้หลวงปู่หลุยจะเผชิญกับความน่ากลัวของพญานาคถึงปานนี้ ท่านก็ไม่ได้พรั่นพรึง ไม่ยอมหนีไปจากถ้ำภูบักบิด คงบำเพ็ญภาวนาต่อไปด้วยความมั่นคงแน่วแน่ พร้อมกันนั้นก็ได้แผ่เมตตาไปให้พญานาคตนนั้นไม่มีประมาณ ตราบจนจิตของพญานาคอ่อนลง ยอมรับนับถือท่านและกลายเป็นมิตรที่ดีของหลวงปู่

    ภายหลังหลวงปู่มักจะพาพระเล็กเณรน้อยไปบำเพ็ญเพียรที่ภูบักบิด และก็ได้พญานาคเป็นผู้ช่วยทรมานทดสอบความมั่นคงของจิตใจพระเณรเหล่านั้นอย่างได้ผล

    การทดสอบของพญานาค หลวงปู่หลุยท่านไม่ได้เล่าเอาไว้ แต่น่าเชื่อว่า พญานาคผู้ทรงฤทธิ์ในการแปลงกายและสามารถเนรมิตสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ได้ คงจะกระทำให้พระเณรเกรงกลัว จิตไม่กล้าส่งออกนอก จิตแนบแน่นอยู่กับการภาวนาจนรวมเป็นสมาธิได้อย่างรวดเร็ว

    การกระทำความเพียรที่ภูบักบิดนี้ หลวงปู่หลุยได้บันทึกเอาไว้ว่า...

    “ถ้ำภูบักบิด เป็นสถานที่ทำความเพียร ไม่เบื่อ จิตไม่คุ้นเคยในสถาน เกรงกลัวในสถานเสมอ นำมาซึ่งความเจริญ นิมิตไม่ร้าย เมตตาจิตเสมอภาค ไม่มีอคติ แผ่เมตตาจิตเยือกเย็นดี ถ้ำนี้ปรุโปร่งทั่ว ธันวาคม พ.ศ. ๙๙ ถ้ำนี้ได้พิจารณาตาย ตายที่สงัดดี เป็นหนทางพระอริยเจ้า ตายคนเดียว ตายด้วยกิเลส คือตายด้วยหมู่ไม่ดี”

    “ถ้ำนี้พิจารณาธรรมะแจ่มใส พิจารณาแห่งเดียวรู้ทั่ว ภาวนาได้ทะลุทั้งตัว ภาวนาลมหายใจทุกเส้นขน เทพ อมนุษย์ นาค ในที่นี้ชอบใจมาก แผ่เมตตาจิตนั้นชอบนัก มีเมตตาเสมอภาคต่อบุคคลทั้งปวง จิตสูง มีอำนาจมาก ความรู้เลื่อนจากฐานะเดิมสู่ที่สูงมาก ประหวัดถึงกึ่งพุทธกาลเสมอ มีปาฏิหาริย์ดีกว่าถ้ำอื่น ๆ ... จิตอุ้มหนุน เอื้อเรื่อย ๆ อยู่ถ้ำนี้ไปนาน ๆ จะมีความรู้ใหญ่โต จิตประหวัดคิดถึงกามไม่มี เหมือนที่ถ้ำผาปู่ นิมิตความฝันเป็นมงคล”


    พญานาคที่ถ้ำแก้งยาว

    ปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ... หลวงปู่หลุย จันทสาโร จำพรรษาอยู่ที่ถ้ำแก้งยาว อยู่บนภูเขาซึ่งเป็นเขตของวัดป่าถ้ำแก้งยาว

    ภูเขาที่ถ้ำแก้งยาวนี้ เชิงเขาทอดลงมาบรรจบติดกับทุ่งนา เป็นภูเขาไม่สูงนัก แต่ป่าที่ปกคลุมเขาอุดมสมบูรณ์ และสงบวิเวก เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรอย่างยิ่ง

    ถ้ำบนภูแก้งยาวไม่ใหญ่โตกว้างขวางนัก ทำแคร่เล็ก ๆ พอนั่งภาวนา กางกลดมุ้งได้ แต่หลวงปู่หลุยสรรเสริญถ้ำแก้งยาวมาก ท่านว่าเทพมาก มีพระปัจเจกพุทธเจ้าเสด็จมาอนุโมทนาการกระทำความเพียรของท่านด้วย

    หลวงปู่หลุยท่านมักเปลี่ยนที่ภาวนา หากเห็นก้อนหินเหมาะ เห็นร่มไม้ใหญ่ดี ท่านจะใช้ผ้าอาบปัด ๆ หินก้อนนั้น หรือพื้นที่ตรงนั้นให้สะอาด และท่านก็นั่งลงทำความเพียรทันที บางคราวหลวงปู่หลุยเห็นต้นไม้ใหญ่ล้มทอดไปตามพื้นดิน ท่านก็จะขึ้นไปเดินจงกรมบนขอนไม้ล้มนั้น ทำให้มีสติระมัดระวังดี มิฉะนั้นจะตกลงมาจากขอนไม้ล้ม

    วันหนึ่ง... หลวงปู่หลุยออกจากถ้ำไปวิเวกที่ร่มไม้ในป่า เมื่อสมควรแก่เวลาท่านก็กลับเข้ามาที่ถ้ำ ได้เห็นงูใหญ่ตัวหนึ่ง ขดอยู่ใต้แคร่ ซุกหัวอยู่ในขนดนิ่งเฉย ไม่ได้ส่อแสดงกิริยาดุร้ายใด ๆ ออกมา
    หลวงปู่คิดว่า ท่านอาจตั้งแคร่ปิดปากรูทางเข้าออกของงูยักษ์นี้ก็ได้ แต่เมื่อพิจารณาดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่เห็นปากรูหรือปากโพรงใด ๆ ผนังราบเรียบสนิท ไม่ปรากฏหลืบหินอันอาจอำพรางช่องทางใด ๆ ไว้

    เมื่อเป็นเช่นนี้ หลวงปู่หลุยจึงคาดเดาเอาว่า ก่อนหน้าที่ท่านจะกลับเข้ามาในถ้ำ งูใหญ่คงเลื้อยผ่านปากถ้ำอันเย็นและสงบสงัด จึงเข้ามาพักผ่อนนอนเล่นดังที่เห็นอยู่ หลวงปู่คิดว่าเมื่อเขารู้แล้วว่าท่านเข้ามา เขาก็คงจะกลับออกไปสู่ถิ่นที่อยู่เดิม ท่านจึงออกจากถ้ำไปทำกิจส่วนองค์เบื้องนอก เดินจงกรมอยู่นานพอสมควรก็กลับมายังถ้ำ

    ขณะนั้น...เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว แทนที่งูใหญ่จะเคลื่อนย้ายออกไป กลับนอนขดอยู่ใต้แคร่เช่นเดิม ส่วนหัวที่ซุกหลบในตอนแรก ตอนนี้ยกมาพาดวางบนลำตัวมหึมา หลวงปู่หลุยมีความรู้สึกชักจะคุ้นกับงูตัวนี้ จึงเข้าไปดูใกล้ ๆ เห็นนัยน์ตาของเขาจ้องมองกลับมานิ่งเฉย ในขณะที่นัยน์ตาของหลวงปู่หลุยเต็มเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณา

    เมื่องูใหญ่ไม่ยอมขยับเขยื้อนเคลื่อนย้ายไปจากใต้แคร่ หลวงปู่ท่านก็วางเฉยเสีย คิดว่าต่างฝ่ายต่างอยู่ ต่างฝ่ายย่อมใช้ชีวิตตามเพศตามชาติของตน ไม่ขัดเคืองขัดขวางกัน มีแต่เมตตาต่อกัน
    ในค่ำคืนนั้น... หลวงปู่หลุยกางมุ้งนอนกลดบนแคร่ของท่านตามปกติ ไหว้พระสวดมนต์ นั่งทำความเพียรตามวัตรปฏิบัติเป็นปกติ โดยมีงูตัวมหึมานอขดอยู่ใต้แคร่เงียบเชียบ

    ตอนเช้า...ตี ๓ ...หลวงปู่จะลุกขึ้นล้างหน้า สวดมนต์ภาวนา แผ่เมตตาไปโดยไม่มีประมาณ งูใหญ่ที่ขดอยู่ใต้แคร่ก็ย่อมได้รับกระแสธรรมจากหลวงปู่โดยตรงยิ่งกว่าผู้ใด

    น่าแปลกอย่างยิ่งที่งูใหญ่ตัวนั้นขดตัวนิ่งอยู่ใต้แคร่ของหลวงปู่หลุยถึง ๓ วัน ๓ คืน ประหนึ่งมาขอรับบารมีอันชุ่มเย็นจากหลวงปู่หลุยโดยตรง ซึ่งท่านก็แผ่เมตตาให้ด้วยความการุณย์

    อยู่ครบ ๓ วันแล้ว งูใหญ่จึงได้จากไปในขณะที่ท่านออกไปวิเวกนอกถ้ำ เวลาเลื้อยออกไปท่านไม่เห็น แต่เห็นรอยที่ผ่านไป ปรากฏว่าต้นไม้ใบหญ้าราบเป็นทางยาวตั้งแต่ปากถ้ำไปจนถึงเชิงเขาซึ่งเป็นชายทุ่ง

    ขณะนั้นนาข้าวกำลังขึ้นเขียวขจี รอยงูที่เลื้อยผ่านทุ่งนาเป็นช่องโล่ง แลลิบลิ่วไปไกลสุดสายตา แสดงว่าเป็นงูยักษ์ตัวมหึมาอย่างน่ากลัว เพราะต้นข้าวที่เขาปักดำเป็นแถวเป็นกอห่าง ๆ กันนั้น ถูกลำตัวงูทับราบไปถึง ๓ กอ ๓ แถว เป็นทางโล่งไปตลอด !!

    ทั้งนี้ หลวงปู่หลุยเล่าว่า ขณะที่งูใหญ่เข้ามานอนขดอยู่ใต้ปคร่ของท่านมองดูก็ใช่ว่าจะใหญ่โตเท่าใดนัก แต่ร่องรอยซึ่งปรากฏเป็นหลักฐานตั้งแต่ปากถ้ำไปจนถึงชายทุ่ง แล้วเลื้อยฝ่าท้องทุ่งกว้างใหญ่หายเข้าไปในป่าเขาลำเนาไพรอีกฟากหนึ่ง เป็นรอยพญางูตัวมหึมา ยากที่จะมีผู้ใดพบเห็นมาก่อน !!

    มีผู้ถามหลวงปู่หลุยว่า ชะรอยจะเห็นพญานาค การที่เขามาขดอยู่ใต้แคร่ของหลวงปู่โดยมีขนาดลำตัวไม่ใหญ่โตนักนั้น คงเนื่องจากการนิรมิตด้วยฤทธิ์ให้ตัวเล็กลง เพราะยังมีเณรน้อยไปคอยปรนนิบัติอุปัฏฐากท่านอยู่ด้วย พญานาคจึงไม่ต้องการให้เณรเกิดความตื่นตระหนกหวาดกลัว หลวงปู่หลุยไม่ตอบ หากท่านยิ้ม ๆ เท่านั้นแล้วท่านก็พูดเลี่ยง ๆ ไปว่า

    เวลาพญานาคออกไป เขาส่งเสียงดัง “อี๊...อึ่ด...อึ่ด...” มีคนได้ยินหลายคน แต่ไม่มีใครคิดว่าเป็นเสียพญานาค

    ที่มา หนังสือพระอริยสงฆ์เผชิญพญานาค ​

    :: INN online .- ʴ�ѹ�շ���բ��� ::
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ดอกไม้ทิพย์แห่งเมืองสวรรค์ที่ชื่อ มณฑาทิพย์ หรือ มณฑารพ นั้นในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่า



    [​IMG]



    ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จปรินิพพานได้ตรัสกับพระอานนท์ ปรากฎ ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของ มหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่๑๓ ทีฆนิกายมหาวรรคหน้า ๓๐๖ –๓๐๗ ข้อ๑๒๙ มหาปรินิพพานสูตร ทรงปรารภสักการบูชาดั่งว่า

    ดูกรอานนท์ไม้สาละทั้งคู่เผล็ดดอกบานสะพรั่งนอกฤดูกาลร่วงหล่นโปรยปรายลงยังสรีระของตถาคตเพื่อบูชา แม้ ดอกมณฑารพ อันเป็นของทิพย์ก็ตกลงมาจากอากาศ ดอกมณฑารพ เหล่านั้นร่วงหล่นโปรยปรายลงยังสรีระของตถาคต เพื่อบูชาแม้จุณแห่งจันทน์ อันเป็นของทิพย์ก็ตกลงมาจากอากาศจุณแห่งจันทน์เหล่านั้นร่วงหล่นโปรยปรายลงยังสรีระของตถาคต เพื่อบูชาดนตรีอันเป็นทิพย์เล่า ก็ประโคมอยู่ในอากาศเพื่อบูชาตถาคตแม้สังคีตอันเป็นทิพย์ก็เป็นไปในอากาศเพื่อบูชาตถาคต



    [​IMG]



    ดูกรอานนท์ตถาคตจะชื่อว่า อันบริษัทสักการะเคารพนับถือบูชานอบน้อมด้วยเครื่องสักการะประมาณเท่านี้หามิได้ผู้ใดแล จะเป็นภิกษุภิกษุณีอุบาสก หรือ อุบาสิกาก็ตามเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมปฏิบัติ ชอบปฏิบัติ ตามธรรมอยู่ผู้นั้นย่อมชื่อว่า สักการะเคารพนับถือบูชาตถาคตด้วยการบูชาอย่างยอดเ พราะเหตุนั้นแหละ อานนท์พวกเธอพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมปฏิบัติชอบประพฤติตามธรรมอยู่ดังนี้ฯ

    ในเวลาที่พระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้วทุกหนแห่งในเมืองกุสินาราเต็มไปด้วย ดอกมณฑารพ

    “...สมัยนั้นเมืองกุสินาราเดียรดาษไปด้วย ดอกมณฑารพ โดยถ่องแถวประมาณแค่เข่าจนตลอดที่ต่อแห่งเรือนบ่อของโสโครก และกองหยากเยื่อ ครั้งนั้นพวกเทวดา และ พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราสักการะเคารพนับถือบูชาพระสรีระพระผู้มีพระภาค ด้วยการฟ้อนรำขับร้องประโคมมาลัย และของหอมทั้งที่เป็นของทิพย์ทั้งที่เป็นของมนุษย์...”



    [​IMG]


    หลังจากพระพุทธองค์เสด็จสวรรคตแล้วพระมหากัสสปะเถระ ซึ่งอยู่ที่เมืองปาวาได้ทราบข่าวว่า
    พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับที่เมืองกุสินาราหลายวันแล้ว จึงตั้งใจจะไปเฝ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์บริวาร ๕๐๐ รูป ขณะที่กำลังเดินทางไปเมืองกุสินาราอยู่นั้น ได้หยุดพักหลบแสงแดดอยู่ใต้ร่มไม้ข้างทาง ได้เห็นนักบวชนอกศาสนาคนหนึ่ง ซึ่งมาจากเมืองกุสินาราถือ ดอกมณฑารพเดินสวนทางมาพระมหากัสสปะ ซึ่งเวลานั้นยังไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ก็นึกสังหรณ์ใจเพราะดอกมณฑารพ เป็นดอกไม้ทิพย์ที่ไม่มีในโลกมนุษย์





    [​IMG]



    และจะปรากฏเฉพาะตอนที่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นกับพระพุทธเจ้า เช่น ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน วันจาตุรงคสันนิบาตวันที่ทรงแสดงพระธัมมจักกัปปวัตนสูตร เป็นต้น ซึ่งเทพเทวดาจะบันดาลให้ ดอกมณฑารพ ตกลงมาจากเทวโลก พระมหากัสสปะจึงได้สอบถามข่าวคราวของพระพุทธองค์จากนักบวชผู้นั้น ซึ่งได้รับคำตอบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จสู่ปรินิพพานมา วันแล้วและ ดอกมณฑารพ นี้ก็ได้มาจากสถานที่ที่พระองค์ปรินิพพานนั่นเอง เมื่อได้ยินดังนั้น พระมหากัสสปะจึงรีบเร่งนำพระภิกษุสงฆ์ออกเดินทางไปยังเมืองกุสินารา

    นอกจากนี้ดอกมณฑารพ นี้ยังเป็นดอกไม้ของนางสงกรานต์ประจำวันพฤหัสบดีที่มีนามว่ากิริณีเทวีด้วยf

    <O:p</O:pคัดจากจากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลาฉบับที่๗๘ .. ๕๐ โดยเรณุกา<O:p</O:p


    ......................................................

    ที่มาข้อมูล<O:p</O:p
    http://www.bloggang.com/viewdiary.ph...roup=6&gblog=7 http://www.magnoliathailand.com/webboard/index.php?topic=2276.0<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->

    เวลานั้น พระมหากัสสปเถระเจ้า พาพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ เดินทางจากเมืองปาวา ไปเมืองกุสินารา เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน แสงแดดกล้า พระเถระเจ้าจึงพาพระภิกษุสงฆ์เข้าหยุดพักร่มไม้ริมทาง ด้วยดำริว่าต่อเพลาตะวันเย็น จึงจะเดินทางต่อไป


    ครั้นพระเถระเจ้าพักพอหายเหนื่อย ก็เห็นอาชีวกผู้หนึ่ง เดินถือ ดอกมณฑา กั้นศีรษะมาตามทาง ก็นึกฉงนใจ ด้วยดอกมณฑา นี้ หามีในมนุษย์โลกไม่ เป็นของทิพย์ในสุราลัยเทวโลก จะตกลงมาเฉพาะในเวลาสำคัญ ๆ คือ เวลาพระบรมโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์ เวลาประสูติ เวลาเสด็จออกสู่มหาภิเนกษกรม เวลาพระสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ เวลาแสดงธรรมจักร เวลาทรงทำยมกปาฏิหาริย์ เวลาเสด็จลงจากเทวโลก เวลาปลงอายุสังขาร และเวลาพระสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน เท่านั้น ไฉนกาลบัดนี้ จึงเกิดมีดอกมณฑา อีกเล่า ทำให้ปริวิตกถึงพระบรมศาสดา หรือพระบรมศาสดาจักเสด็จปรินิพพานแล้ว นึกสงสัย จึงได้ลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้อาชีวกผู้นั้น แล้วถามว่า


    "ดูกรอาชีวก ท่านมาแต่ที่ใด"
    "เมืองกุสินารา พระผู้เป็นเจ้า"
    "ท่านยังได้ทราบข่าวคราวพระบรมครูของเราบ้างหรือ อาชีวก" พระเถระเจ้าถามสืบไป
    "พระสมณโคดม ครูของท่านนิพพานเสียแล้วได้ ๗ วัน ถึงวันนี้" อาชีวกกล่าว "ดอกมณฑา นี้ เราก็ได้มาแต่เมืองกุสินารา เนื่องในการนิพพานของพระมหาสมณะโคดมพระองค์นั้น"




    [​IMG]

    เมื่อภิกษุทั้งหลาย ที่เป็นปุถุชน ได้ฟังถ้อยคำของอาชีวกบอกเช่นนั้น ก็ตกใจมีหฤทัยหวั่นไหวด้วยกำลังแห่งโทมนัส เศร้าโศก ปริเทวนาการ ร่ำไรถึงพระบรมศาสดา ฝ่ายพระสงฆ์ที่เป็นพระขีณาสพก็เกิดธรรมสังเวชสลดจิต

    เวลานั้น มีภิกษุรูปหนึ่ง <O:p</O:p
    บวชเมื่อภายแก่ ชื่อ สุภัททะ เป็นวุฑฒะบรรพชิตมีจิตดื้อด้าน ด้วยสันดาลพาลชน เป็นอลัชชีมืดมนย่อหย่อนในธรรมวินัย ลุกขึ้นกล่าวห้ามภิกษุทั้งหลายว่า<O:p</O:p
    " ท่านทั้งปวง อย่าร้องไห้ร่ำไรไปเลย บัดนี้ เราพ้นอำนาจพระมหาสมณะแล้ว เมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ย่อมจู้จี้ เบียดเบียนบังคับบัญชาห้ามปรามเราต่าง ๆ นานา ว่าสิ่งนี้ควร สิ่งนี้ไม่ควร บัดนี้ พระองค์ปรินิพพานแล้ว เราปรารถนาจะทำสิ่งใด ก็จะทำได้ตามใจชอบ ไม่มีใครบังคับบัญชา ห้ามปรามแล้ว"


    พระมหากัสสปเถระเจ้า <O:p</O:p
    ได้ฟังคำของพระสุภัททะกล่าวคำจ้วงจาบพระบรมศาสดาเช่นนั้น ก็สลดใจยิ่งขึ้น ดำริว่า <O:p</O:p
    …….. "ดูเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานไปเพียง ๗ วัน เท่านั้น ก็ยังเกิดมีอลัชชี มิจฉาจิต คิดลามก เป็นได้ถึงเช่นนี้ ต่อไปเมื่อหน้า จะหาผู้คารวะในพระธรรมวินัยไม่ได้ หากไม่คิดหาอุบายแก้ไขป้องกันให้ทันท่วงทีเสียแต่แรก เราจะพยายามทำสังคายนา ยกพระธรรมวินัยขึ้นไว้เป็นที่เคารพแทนองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าให้จงได้" <O:p</O:p
    .......... พระเถระเจ้าทำไว้ในใจเช่นนั้นแล้ว ก็กล่าวธรรมกถาเล้าโลมภิกษุสงฆ์ทั้งหลายให้ระงับดับความโศกแล้ว รีบพาพระสงฆ์บริวารเดินทางไปยังนครกุสินารา ตรงไปยังมกุฏพันธนะเจดีย์

    ครั้นถึงยังพระจิตรกาธาร ที่ประดิษฐานพระพุทธสรีระศพ พระบรมศาสดาแล้ว ก็ทำจีวรเฉวียงบ่า ประคองอัญชลี กระทำปทักษิณเวียนพระจิตรกาธารสามรอบแล้ว เข้าสู่ทิศเบื้องพระยุคลบาท น้อมถวายอภิวาทแล้วตั้งอธิษฐานจิตว่า
    <O:p</O:p
    "ขอให้พระบรมบาททั้งคู่ของสมเด็จพระบรมครู ผู้ทรงพระเมตตาเสด็จไปประทานอุปสมบทแก่ข้าพระพุทธเจ้าผู้มีนามว่ากัสสปะ ณ ร่มไม้พหุปุตตนิโครธ ทั้งยังทรงพระมหากรุณาโปรดประทานมหาบังสุกุลจีวรส่วนพระองค์ ให้ข้าพระองค์ได้ร่วมพระพุทธบริโภคโดยเฉพาะ จงออกจากหีบทอง รับอภิวาทแห่งข้าพระพุทธเจ้ากัสสปะ ซึ่งตั้งใจมาน้อมถวายคารวะ ณ กาลบัดนี้เถิด"
    <O:p</O:p
    ขณะนั้น พระบรมบาททั้งคู่ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ได้แสดงอาการประหนึ่งว่า พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่
    ได้ทำลายคู่ผ้าทุกุลพัสตร์ที่ห่อหุ้มอยู่ทั้ง ๕๐๐ ชั้น กับทั้งพระหีบทอง
    ออกมาปรากฎในภายนอก ในลำดับแห่งคำอธิษฐานของพระมหากัสสปะเถระเจ้า
    ดุจดวงอาทิตย์ที่แลบออกจากกลีบเมฆ ฉะนั้น
    พุทธบริษัททั้งปวง เห็นเป็นอัศจรรรย์พร้อมกัน




    [​IMG]<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ทันใดนั้น พระมหากัสสปะเถระ ก็ยกมือขึ้นประคองรองรับพระยุคลบาทของพระบรมศาสดา
    ขึ้นชูเชิดเทิดทูลไว้บนศีรษะ แล้วก็กราบทูลว่า <O:p</O:p
    …………"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์มิได้อยู่ปฏิบัติพระองค์ ไปอยู่เสียในเสนาสนะป่าอรัญญิกาวาส แม้พระองค์จะทรงพระกรุณาประทานโอกาสว่า <O:p</O:p
    …………"กัสสปะ ชราแล้ว ทรงบังสุกุลจีวรเนื้อหนา พานจะหนัก จะทรงคหบดีจีวรอันทายกถวายบ้าง ก็ตามอัธยาศัย จงอยู่ในสำนักตถาคต แม้จะทรงพระมหากรุณาถึงเพียงนี้ กัสสปะก็มิได้อนุวัตรตามพระมหากรุณา ได้ประมาทพลาดพลั้งถึงดังนี้ ขอภควันตะมุนี ได้ทรงพระกรุณาโปรดอดโทษานุโทษแก่ข้าพระองค์ อันมีนามว่า กัสสปะ ณ กาลบัดนี้"

    <O:p
    ครั้นพระมหากัสสปะ กับพระสงฆ์บริวาร ๕๐๐ <O:p</O:p
    และมหาชนทั้งหลายกราบนมัสการ พระบรมยุคลบาทโดยควรแล้ว
    พระบาททั้งสอง ก็ถอยถดหดหายจากหัตถ์พระมหากัสสปะ นิวัตตนาการคืนเข้าพระหีบทองดังเก่า ทุกสิ่งทุกอย่างได้ตั้งอยู่เป็นปกติ มิได้ขยับเขยื่อนเคลื่อนไหวจากที่แต่ประการใด <O:p</O:p
    เป็นมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่อีกวาระหนึ่ง
    ขณะนั้น เสียงโศกาปริเทวนาการของมวลเทพดาและมนุษย์ ซึ่งได้หยุดสร่างสะอื้นแล้วแต่ต้นวัน
    ก็ได้พลันดังสนั่นขึ้นอีก
    <O:p</O:p
    เสมอด้วยวันเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

    ที่มาข้อมูล : http://www.larnbuddhism.com/puttapra...inipan/28.html<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->



    http://palungjit.org/posts/2454064
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สิริบุญส่งเทพธิดามีวิมานเรืองรองจรุงด้วย กลิ่นดอกมณฑารพ เหตุอันเกี่ยวเนื่องจากการเป็นผู้มีศีล และบูชาด้วยเกสรดอกไม้
    พร้อมนี้ ขอเชิญพระอรรกถามาเล่าเพื่อศรัทธาธรรม ความดั่งว่า<O:p</O:p


    <O:p</O:p


    อรรถกถา ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ จิตตลดาวรรคที่ ๒
    ๕. ภัททิตถิกาวิมาน
    อรรถกถาภัททิตถิกาวิมาน <O:p</O:p


    ภัททิตถิกาวิมาน มีคาถาว่า นีลา ปีตา จ กาฬา จ ดังนี้เป็นต้น.
    ภัททิตถิกาวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร? <O:p</O:p


    พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกะ กรุงสาวัตถี.
    สมัยนั้น ในกิมิลนครมีคหบดีบุตรผู้หนึ่งชื่อโรหกะ มีศรัทธาปสาทะ ถึงพร้อมด้วยศีลและอาจาระ ในนครนั้นแล มีทาริกาเด็กหญิงคนหนึ่งในตระกูลที่มีโภคทรัพย์มากทัดเทียมกับนายโรหกะนั้น เป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใส มีนามว่าภัททา เพราะเจริญแม้ตามปกติ. <O:p</O:p

    ครั้นต่อมา มารดาบิดาของโรหกะได้เลือกกุมารีนั้น นำนางมาในเวลานั้น ได้ทำอาวาหวิวาหมงคลกัน. สองสามีภริยานั้นก็อยู่ร่วมกันด้วยสามัคคี ก็เพราะอาจารสมบัติของตน นางจึงได้เป็นคนเด่น รู้จักกันไปทั่วพระนครนั้นว่า ภัททิตถี แม่หญิงภัทรา. <O:p</O:p

    ก็สมัยนั้น พระอัครสาวกทั้ง ๒ มีภิกษุเป็นบริวารรูปละ ๕๐๐ จาริกเที่ยวไปในชนบท ถึงกิมิลนคร. นายโรหกะรู้ว่าพระอัครสาวกนั้นไปที่กิมิลนครนั้น เกิดโสมนัสเข้าไปหาพระเถระทั้งสองรูป ไหว้แล้วนิมนต์ฉันในวันพรุ่งนี้ อังคาสท่านพร้อมด้วยบริวารให้อิ่มหนำสำราญด้วยของเคี้ยวของฉันอันประณีตในวันรุ่งขึ้น พร้อมด้วยบุตรและภรรยา ได้ฟังพระธรรมเทศนาที่ท่าแสดงแล้ว ตั้งอยู่ในโอวาทของท่าน รับสรณะ สมาทานเบญจศีล. <O:p</O:p

    ส่วนภรรยาของเขาก็เข้ารักษาอุโบสถศีลเป็นวัน ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำและวันปาฏิหาริยปักษ์. เฉพาะอย่างยิ่งนางได้เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลและอาจาระ และเทวดาทั้งหลายอนุเคราะห์แล้ว ก็ด้วยความอนุเคราะห์ของเทวดานั้นแล นางก็ปลดเปลื้องคำว่าร้ายผิดๆ ที่ตกมาเหนือตนหายไปได้ กลายเป็นผู้มีเกียรติยศแพร่ไปทั่วโลกอย่างยิ่ง เพราะนางมีศีลและอาจาระหมดจดด้วยดีแล. <O:p</O:p

    ก็ภรรยานั้นอยู่ในกิมิลนครนั้นเอง ส่วนสามีของนางอยู่ค้าขายในตักกศิลานคร ในวันมหรสพรื่นเริงกัน เมื่อถูกพวกเพื่อนรบเร้าก็เกิดคิดอยากเล่นงานมหรสพตามเทศกาล เทวดาผู้ประจำเรือนก็ช่วยนำนางไปในตักกศิลานครนั้นด้วยอานุภาพทิพย์ของตนแล้ว ส่งไปร่วมกับสามี เพราะอยู่ร่วมกันนั่นแลก็ตั้งครรภ์. เทวดาช่วยนำกลับกิมิลนคร <O:p</O:p

    เมื่อครรภ์ปรากฏชัดขึ้นโดยลำดับ ถูกแม่ผัวเป็นต้นรังเกียจว่านางประพฤตินอกใจสามี เมื่อกระแสน้ำในแม่น้ำคงคาถูกเทวดานั้นแลบันดาลให้เป็นเหมือนหลงมาท่วมกิมิลนคร ด้วยอานุภาพของตน ประสบความยุ่งยาก ซึ่งตกลงมาเหนือตนดังกระแสน้ำในแม่น้ำคงคาที่มีเกลียวคลื่นเกิดเพราะแรงลม ด้วยการสมถะมีสัจจาธิษฐานเป็นเบื้องต้น ซึ่งพิสูจน์ว่าตนเป็นหญิงจงรักสามี ถึงจะกลับมาอยู่ร่วมกับสามี สามีนั้นก็รังเกียจเหมือนแม่ผัวเป็นต้นรังเกียจมาก่อน และต้องอ้างสัญญาณเครื่องหมาย ซึ่งสามีนั้นประทับชื่อให้ไว้ในตักกศิลานคร จึงแก้ความรังเกียจนั้นได้ กลายเป็นผู้ที่ญาติฝ่ายสามีและมหาชนยกย่อง ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า สุวิสุทฺธสีลาจารตาย อติวิย โลเก ปตฺถฏยสา อโหสิ ได้เป็นผู้มีเกียรติยศแพร่ไปในโลกอย่างยิ่ง เพราะเป็นผู้มีศีลและอาจาระหมดจดดี.<O:p</O:p

    สมัยต่อมา นางทำกาละตายไปบังเกิดในภพดาวดึงส์.
    ครั้งเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาจากกรุงสาวัตถีไปยังภพดาวดึงส์ ประทับนั่งบนบัณฑุกัมพลศิลา ณ โคนต้นปาริฉัตร และเมื่อเทพบริษัทเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แม้ภัททิตถีเทพธิดาก็ได้เข้าไปเฝ้าถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. <O:p</O:p

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงถามบุญกรรมที่เทพธิดานั้นทำไว้ ณ ท่ามกลางเทวดาบริษัทและพระพรหมบริษัทที่ประชุมพร้อมกันในหมื่นโลกธาตุ ได้ตรัสว่า <O:p</O:p

    ดูก่อนเทพธิดาผู้มีปัญญาดี ท่านทัดทรงไว้เหนือศีรษะ ซึ่ง พวงมาลัยดอกมณฑารพ อันมีสีต่างๆ กัน คือ เขียว เหลือง ดำ แดงเข้มและแดงที่ห้อมล้อมด้วยกลีบเกสรจากต้นไม้เหล่าใด ต้นไม้เหล่านี้ไม่มีในเทพหมู่อื่น เพราะบุญอะไร ท่านผู้เลอยศจึงเข้าถึงหมู่เทพชั้นดาวดึงส์
    ดูก่อนเทพธิดา ท่านถูกเราถามแล้ว จงบอกมาสิว่านี้เป็นผลของบุญอะไร.<O:p</O:p
    <O:p



    [​IMG]


    ในคาถานั้น จ ศัพท์ในบาทคาถานี้ว่า นีลา ปีตา จ กาฬา จ มญฺชิฏฺฐา อถ โลหิตา เป็นการกล่าวควบบท จ ศัพท์นั้น พึงประกอบแต่ละบทโดยเป็นต้นว่า นีลา จ ปีตา จ.
    ศัพท์ว่า อถ เป็นนิบาตใช้ในอรรถอื่น. ด้วย อถศัพท์นั้น ท่านรวมวรรณะที่ไม่ได้กล่าวมีสีขาวเป็นต้นไว้ด้วย. พึงทราบว่า อิติศัพท์ท่านลบเสียแล้วแสดงไว้ [ไม่มีอิติศัพท์]
    อีกอย่างหนึ่ง จ ศัพท์ควบข้อความที่ไม่ได้กล่าวไว้ อิติศัพท์เป็นนิบาต.
    บทว่า อุจฺจาวจานํ ในบาทคาถาว่า อุจฺจาวจานํ วณฺณานํ นี้ พึงเห็นว่าไม่ลบวิภัตติ. อธิบายว่า มีสีสูงและต่ำคือมีสีต่างๆ กัน.
    อนึ่ง บทว่า วณฺณานํ แปลว่า ซึ่งมีรัศมีคือสี.
    บาทคาถาว่า กิญฺชกฺขปริวาริตา ได้แก่ แวดล้อมด้วยกลีบเกสรดอกไม้.
    ที่จริง บทนั้นเป็นปฐมาวิภัตติแต่ใช้ในอรรถฉัฏฐีวิภัตติ มีคำอธิบายดังนี้ว่า <O:p</O:p
    <O:p


    ดูก่อนเทพธิดา ท่านทัดทรงประดับไว้เหนือเศียร ซึ่งมาลัยดอกมณฑารพ คือพวงมาลัยที่ทำด้วยดอกมณฑารพเหล่านั้น เพราะดอกมณฑารพเหล่านั้นซึ่งสีสรรต่างๆ คือ เขียว เหลือง ดำ แดงเข้ม แดงและสีอื่นๆ มีสีขาวเป็นต้น อันห้อมล้อมด้วยกลีบเกสรคือละออง ตามที่เป็นอยู่มีสัณฐานทรวดทรงงามเป็นต้น หรือเพราะสีแห่งวรรณะตามที่กล่าวแล้วต่างๆ กัน เกิดจากต้นมณฑารพ.
    เพื่อแสดงว่าต้นไม้ที่มีดอกเหล่านั้นไม่ทั่วไปแก่สวรรค์ชั้นอื่น เพราะดอกไม้เหล่านั้นมีสีพิเศษแปลกออกไป พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า นยิเม อญฺเญสุ กาเยสุ รุกฺขา สนฺติ สุเมธเส ดังนี้. ในบทเหล่านั้น <O:p</O:p


    บทว่า อิเม ประกอบความว่า ต้นไม้มีดอกประกอบด้วยสีและสัณฐานเป็นต้น ตามที่กล่าวแล้วไม่มี.
    บทว่า กาเยสุ แปลว่า ในหมู่เทพทั้งหลาย.
    บทว่า สุเมธเส แปลว่า ดูก่อนเทพธิดาผู้มีปัญญาดี. <O:p</O:p

    บรรดาบทเหล่านั้น<O:p</O:p
    บทว่า นีลา ได้แก่ มีสีเขียวโดยมณีรัตนะมีอินทนิลและมหานิลเป็นต้น. <O:p</O:p
    บทว่า ปีตา ได้แก่ มีสีเหลืองโดยมณีรัตนะ มีบุษราคัมกักเกตนะและปุลกะเป็นต้น และทองสิงคี. <O:p</O:p
    บทว่า กาฬา ได้แก่ มีสีดำโดยมณีรัตนะมีแก้วหินอัสมกะ แก้วหินอุปลกะเป็นต้น. <O:p</O:p
    บทว่า มญฺชิฏฺฐา ได้แก่ มีสีแดงเข้มโดยมณีรัตนะมีแก้วโชติรส แก้วโคปุตตาและแก้วโคเมทกะเป็นต้น. <O:p</O:p
    บทว่า โลหิตา ได้แก่ มีสีแดงโดยมณีรัตนะมีแก้วทับทิม แก้วแดง แก้วประพาฬเป็นต้น. ส่วนอาจารย์บางพวกเอาบทมีนีละเป็นต้น<O:p</O:p
    กับบทนี้ว่า รุกฺขา ประกอบกันกล่าวว่า นีลารุกฺขา เป็นต้น. <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ที่จริง แม้ต้นไม้ย่อมได้โวหารว่าเขียวเป็นต้น เพราะประกอบด้วยสีเขียวเป็นต้น เหตุปกคลุมด้วยดอกไม้มีสีเขียวเป็นต้น เพราะเหตุนั้น ด้วยบทเหล่านั้นว่า นีลา ปีตา จ กาฬา จ ฯลฯ นยิเม อญฺเญสุ กาเยสุ รุกฺขา สนฺติ สุเมธเส ดังนี้ พึงประกอบความว่า
    ท่านทัดทรงพวงดอกมณฑารพซึ่งมีสีสรรต่างๆ ฯลฯ ห้อมล้อมด้วยกลีบเกสรจากต้นไม้ใด การแสดงต้นไม้ไว้แผนกหนึ่ง ด้วยการระบุดอกไม้อันประกอบด้วยสีแปลกออกไปตามที่เห็นแล้ว ด้วยการแสดงถึงภาวะที่ดอกไม้เหล่านั้นเป็นของไม่ทั่วไป จัดเป็นปฐมนัย. การแสดงดอกไม้ไว้แผนกหนึ่ง ด้วยการแสดงภาวะที่ต้นไม้เป็นของไม่ทั่วไป จัดเป็นทุติยนัย. สีเป็นต้นในปฐมนัย ท่านถือเอาโดยสภาพ. ในทุติยนัย ท่านถือเอาโดยมุข คือต้นไม้อันเป็นที่อาศัย [ของสี] ในข้อนั้นสีและต้นไม้เหล่านั้นแปลกกันดังกล่าวมานี้.
    บทว่า เกน ประกอบความว่า เพราะบุญกรรมอะไร ท่านจึงเข้าถึงหมู่เทพชั้นดาวดึงส์.
    บทว่า ปุจฺฉิตาจิกฺข ความว่า ท่านถูกเราถามแล้ว จงบอกจงกล่าวมาเถิด.
    เทพธิดานั้นถูกพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามอย่างนี้แล้ว จึงได้ทูลพยากรณ์ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ชนทั้งหลายรู้จักข้าพระองค์ว่า ภัททิตถิกา แม่หญิงภัทรา ข้าพระองค์เป็นอุบาสิกาอยู่ในกิมพิลนคร เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศรัทธาและศีล ยินดีในการจำแนก ของเป็นทานทุกเมื่อ มีจิตผ่องใส ได้ถวายผ้านุ่งห่ม อาหาร เสนาสนะ และเครื่องประทิป ในพระอริยเจ้า ผู้ปฏิบัติตรง
    ข้าพระองค์ได้เข้ารักษาอุโบสถอันประกอบด้วย องค์ ๘ ประการ ตลอดดิถีที่ ๑๔-๑๕ และดิถีที่ ๘ ของ ปักษ์และตลอดปาฏิหาริยปักษ์ ข้าพระองค์เป็นผู้สำรวมแล้วด้วยดีในศีลทุกเมื่อ มีสัญญมะ และแจกทาน จึง ครอบครองวิมาน.
    ดีฉันงดเว้นจากปาณาติบาต เป็นผู้เว้นจากการ ถือเอาสิ่งของของผู้อื่นด้วยไถยจิต จากการประพฤติผิดในกาม สำรวมจากมุสาวาท และจากการดื่มน้ำเมา เป็นผู้ยินดีในสิกขาบททั้ง ๕ และเป็นผู้ฉลาดในอริยสัจ เป็นอุบาสิกาของพระพุทธเจ้าผู้มีพระสมันตจักษุ มีปกติเป็น ผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาท.
    ข้าพระองค์ได้โอกาสบำเพ็ญกุศลธรรม จุติจาก มนุษยโลกนั้นแล้ว เป็นเทพธิดา มีรัศมีของตนเอง เที่ยวชมสวนนันทนวันอยู่ อนึ่ง ข้าพระองค์ได้เลี้ยงดู ท่านภิกษุอัครสาวกทั้งสอง ผู้อนุเคราะห์ชาวโลกด้วย ประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง เป็นมหาปราชญ์ และได้โอกาสบำเพ็ญกุศลธรรม ครั้นจุติจากมนุษยโลกนั้นแล้ว ได้บังเกิดเป็นเทพธิดาผู้มีรัศมีในตนเอง เที่ยว ชมสวนนันทนวันอยู่
    ข้าพระองค์ได้เข้ารักษาอุโบสถอันประกอบด้วย องค์ ๘ ประการ อันนำความสุขมาหาประมาณมิได้อยู่ เนืองนิตย์ และได้โอกาสสร้างกุศลธรรม ครั้นจุติจากมนุษยโลกนั้นแล้วได้บังเกิดเป็นนางเทพธิดาผู้มีรัศมี ในตนเอง เที่ยวชมสวนนันทนวันอยู่.



    [​IMG]

    </O:p

    ในบทเหล่านั้น บาทคาถาว่า ภทฺทิตฺถิกามิ มํ อญฺญึสุ กิมฺพิลายํ อุปาสิกา ความว่า หญิงนี้เจริญดี เกิดการตัดสินใจไว้ว่า เป็นผู้มีศีลไม่ขาด เพราะกลับกระแสน้ำใหญ่ที่กำลังเบียดเบียน ด้วยอาจารสมบัติ ด้วยการกระทำสัจ เพราะฉะนั้น ชาวกิมพิลนครจึงรู้จักข้าพระองค์ว่า อุบาสิกาชื่อว่าภัททิตถิกา.
    บาทคาถาเป็นต้นว่า สทฺธาสีเลน สมฺปนฺนา มีเนื้อความง่ายทั้งนั้น เพราะมีนัยที่กล่าวมาแล้วในหนหลัง. <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อีกอย่างหนึ่ง เทพธิดาแสดงทรัพย์คือศรัทธาด้วยบทนี้ว่า <O:p</O:p
    สทฺธา. ทรัพย์คือจาคะด้วยบทนี้ว่า ข้าพระองค์ยินดีในการจำแนกของเป็นทาน มีจิตผ่องใส ได้ถวายผ้านุ่งห่ม อาหาร เสนาสนะและเครื่องประทีปในพระอริยะผู้ปฏิบัติตรง. ทรัพย์คือศีล ทรัพย์คือหิริและทรัพย์คือโอตตัปปะ ด้วยบทนี้ว่า ข้าพระองค์สมบูรณ์ด้วยศีล ตลอดดิถี ๑๔-๑๕ ค่ำ ฯลฯ มีสิกขาบท ๕ ประการ. แสดงทรัพย์คือสุตะและทรัพย์คือปัญญา ด้วยบทนี้ว่า อริยสจฺจาน โกวิทา. เทพธิดานั้นแสดงการได้อริยทรัพย์ ๗ ประการของตนดังกล่าวมาฉะนี้. <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    เทพธิดาชี้แจงอานิสงส์ของอริยทรัพย์ ๗ นั้น ทั้งที่เป็นปัจจุบัน ทั้งที่เป็นภายหน้า ด้วยบาทคาถานี้ว่า อุปาสิกา จกฺขุมโต ฯ เป ฯ อนุวิจรามิ นนฺทนํ.
    ในบทเหล่านั้น บทว่า กตาวาสา ได้แก่ ได้บำเพ็ญสุจริตกรรมเครื่องอยู่สำเร็จแล้ว.
    จริงอยู่ สุจริตกรรมเรียกว่าอาวาสที่อยู่แห่งสุขวิหารธรรม เพราะเหตุอยู่เป็นสุขในปัจจุบันและอนาคต ด้วยเหตุนั้น เทพธิดาจึงกล่าวว่า กตกุสลา ดังนี้.
    เทพธิดากล่าวบุญสำเร็จด้วยทานของตนอันเป็นเขตพิเศษ ที่มิได้แตะต้องมาก่อนแล้ว บัดนี้ เพื่อจะแสดงความที่เขตพิเศษเป็นบ่อเกิดแห่งบุญนั้น จึงกล่าวคำว่า ภิกฺขู จ เป็นต้น.
    ในบทเหล่านั้น บทว่า ภิกฺขู ชื่อว่าภิกษุเพราะเป็นผู้ทำลายกิเลสมิให้เหลือ. <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    บทว่า ปรมหิตานุกมฺปเก ได้แก่ ผู้อนุเคราะห์ประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบันเป็นต้น เป็นอย่างยิ่งคือเหลือเกิน.
    บทว่า อโภชยึ ได้แก่ ข้าพระองค์ได้ให้ท่านฉันโภชนะอันประณีต.
    บทว่า ตปสฺสิยุคํ ความว่าคู่ [สองอัครสาวก] ผู้มีตบะ เพราะเผาผลาญตัดกิเลสมลทินทั้งหมดได้เด็ดขาดด้วยตบะอันสูงสุด.
    บทว่า มหามุนึ ความว่า เป็นผู้แสวงคุณใหญ่เพราะตบธรรมนั้นนั่นแล หรือชื่อว่ามหาปราชญ์เพราะรู้คือกำหนดวิสัยของตนได้ด้วยญาณอย่างใหญ่นั่นเทียว.
    คำนั้นทั้งหมด เทพธิดากล่าวหมายเอาพระอัครสาวกทั้งสอง. <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    บทว่า อปริมิตํ สุขาวหํ ท่านกล่าวมิได้ลบนิคหิต ได้แก่อันให้เกิดหิตสุขมีปริมาณเกินพระดำรัสแม้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะพระบาลีว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้ผู้บอกจะทำให้บรรลุ ตลอดถึงสุขบนสวรรค์ไม่ง่ายนัก หรือนำสุขมาหาประมาณมิได้ คือนำสุขมาด้วยอานุภาพของตน.
    บทว่า สตตํ แปลว่า ทุกเวลา. ประกอบความว่า ไม่ลดวันรักษาอุโบสถนั้นๆ หรือทำวันรักษาอุโบสถนั้นไม่ให้ขาด ทำให้บริบูรณ์นำความสุขมาให้เนืองนิตย์ หรือทุกเวลา.
    คำที่เหลือเหมือนนัยที่กล่าวมาแล้วในหนหลัง. <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอภิธรรมปิฎกตลอดสามเดือนโปรดหมู่เทวดาและพรหม ผู้อยู่ในหมื่นโลกธาตุ มีพระมารดาเทพบุตรเป็นประธาน เสด็จกลับมายังมนุษยโลกแล้วทรงแสดงภัททิตถิกาวิมานโปรดแก่ภิกษุทั้งหลาย.
    พระธรรมเทศนานั้นได้เป็นประโยชน์แก่บริษัทผู้ประชุมกันแล. <O:p</O:p



    จบอรรถกถาภัททิตถิกาวิมาน


    ----------------------------------------------------- <O:p</O:p



    ที่มาข้อมุล http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=658&Z=691<!-- google_ad_section_end -->

    และ http://palungjit.org/posts/2454064
     
  13. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    อา ... ค่อยยังชั่วที่ไหวตัวทัน แม้เวลาจะช้ากว่าอกาลิโกไปเยอะ ... เพราะฉุกคิดได้ว่าเนื้อท่านเหมือนเนื้อพระวังหน้า เพียงแต่่พิมพ์ต่างจากพิมพ์พระสมเด็จที่เราคุ้นเคยและครอบครองกันครับ
    ... ที่แม่สอดฝนตกตั้งแต่เมื่อคืนต่อด้วยแบบปรอยๆเรื่อยมา พึ่งแดดออกราว 11 โมงเองครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2009
  14. kiitii

    kiitii สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +2
    ผมขอจองหนังสือ 2เล่ม ด้วยครับคุณ sithiphong
     
  15. มูริญโญ่

    มูริญโญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +583
    ขอบคุณที่ลงข้อมูลนะครับ ได้ความรู้เยอะเลย
    ข้อมูลที่หนังสือผู้จัดการลงมีความไม่ตรงเล็กน้อยครับ เช่น
    ที่ถูกวันไหว้พระจันทร์ปีนี้คือ 3 ตุลาคม ไม่ใช่ 4 ตุลา ( วันออกพรรษา )
    ภัตคาร ก็กจี่ ไม่ใช่ ก็กใจ๋ ( ยังมีอีกหลายอันที่ผิด ) ที่รู้เพราะผมเคยไปกินบ่อย ( เด็ก )
    ภัตคารที่พลิกเรื่องขนมไหว้พระจันทร์ที่สร้างความฮือฮามากที่สุดคือ มังกรทอง
    ประวัติของการไหว้พระจันทร์คือ การกู้ชาติของชาวฮั่น และสืบต่อมาเรื่อยๆ
    เมื่อก่อนการไหว้พระจันทร์จะเป็นเรื่องใหญ่และเด็กๆจะชอบมาก ( มีการจุดโคมไฟ )
    ของที่ไหว้จะเป็น ผลไม้ / ขนม / เครื่องสำอางค์ เป็นต้น ไม่มีเนื้อสัตว์
    และที่จะต้องมีคือต้นอ้อยผูกไว้ที่โต๊ะ 2 ข้างโดยเอาปลายอ้อยมาผูกกันไว้
    ส่วนกระดาษไหว้เจ้าจะเป็นกระดาษเฉพาะ ใบใหญ่ๆมีรูป 8 เซียนข้ามสมุทร

    เอาแค่นี้ก่อนนะครับถ้าเล่าต่อเรื่องยาวครับเอาไว้เจอกันอยากรู้อะไรผมค่อยเล่าก็แล้วกันนะครับ

    ผมเกิดที่กรุงเทพฯในครอบครัวที่เคร่งเรื่องประเพณีมาก เพราะฉนั้นจึงมีความรู้บ้างครับ
    ฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ
     
  16. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ช่วงนี้มีสอบเกือบทุกอาทิตย์ สอบเสร็จเร็วก็ได้มีโอกาสเดินเล่นแถวท่าพระจันทน์สำรวจแผงพระต่างๆ ก็สนุกไปอีกแบบ พระวังหลวงทั้งของแท้ ของเก๊มีผสมปนเปกัน ไปเห็นพระสมเด็จด้านหลังติดพระยอดธงของวังหน้า ได้แต่หัวเราะในใจ แบบนี้ก็ทำกันไปได้........

    ช่วงไหนๆก็เห็นเขานำพระบรมสารีริกธาตุมา"ขาย" ต้องเรียกแบบนั้น เพราะไม่ได้เกิดจากศรัทธาบารมี แต่เพราะต้องการขายให้ผู้มีตังค์ ช่วงนี้ยิ่งระบาดใหญ่ แทบทุกร้านจะมีวางขาย แถมให้ดูตัวอย่างจากหนังสือ 2 เล่ม เล่มหนึ่งจำชื่อผู้แต่งไม่ได้ อีกเล่มเป็นของชมรมพระธาตุ แถวสีลม ขายแบบมีแคตตาล็อกให้สั่งให้เลือก แบบนี้ก็ทำกันไปได้....

    แผงพระธาตุนาดูน มี 3 แผง แต่ละแผงนี่ก็ฝีมือสุดจะไร้เทียมทาน เม็ดแร่ไม่ใช่เม็ดแร่ แต่เป็นรอยคล้ายขนมหวานฉ่ำๆแตะไปทั่วทั้งองค์ แต่ที่สะดุดที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องน้ำหนัก ยังไม่ได้นะท่าน ต้องไปเพิ่มน้ำหนักตรงนี้ให้ดีอีกหน่อย เม็ดแร่ที่ถูกต้องในชุดที่อยู่ในพระเจดีย์ ไม่ใช่แบบนี้นะท่าน ต้องปรับปรุงเช่นกัน แบบนี้ก็ทำกันไปได้....

    พอมีเวลาดูอีกแผง แผงนี้เป็นพระกรุอยุธยา ปั๊มตรายางวัด เพราะกลัวเขาจะไม่เชื่อว่าเป็นพระเก่าจริง พอปั๊มปุ๊บกลายเป็นพระใหม่ไปเลยท่าน นี้ก็ทำกันไปได้....

    เอาแต่พอหอมปากหอมคอก่อนนะท่าน...
     
  17. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เรียนเภสัชกรรมภาคทฤษฎีแล้วก็มีโอกาสได้เข้าไปทำภาคปฏิบัติกันที่วัดโพธิ์ ทำการสกัดตัวยาสมุนไพรที่ใช้ทำยาหม่อง ยาเหลือง ก็จำพวกหัวไพลเป็นตัวยาหลัก แล้วก็ขมิ้นอ้อย ม้าเหลือง เอ็นเหลือง ว่านนางคำ และการสะตุ ประสะฤทธิ์ยาที่อันตรายให้สามารถใช้เป็นยาได้ เลยนำภาพการสะตุตัวยาจากยางของต้นรงทองที่หากทานมากๆจะท้องร่วงถ่ายอย่างแรงมาให้ชมกัน มันโบราณจริงๆ ให้ใช้เตาถ่าน ไม่ได้ใช้เตาแก๊ส ระหว่างทำก็มีฝรั่ง ญี่ปุ่น เข้ามาชม เข้ามาดม เข้ามาซื้อกันมาก บรรยากาศวัดโพธิ์ช่วงนี้ดีมากๆ เพื่อนๆลองหาโอกาสไปทัศนศึกษากันนะครับ...

    วันนั้นบังเอิญไปร้านหนังสือSE-ED ก็ได้ไปอ่านหนังสือสมุนไพร ก็พบข้อมูลที่ลงไว้ไม่ครบถ้วนของการสะตุรงทองเข้า อันนี้ผมว่าบกพร่องมาก เพราะคนที่ซื้อไป หากนำไปทำสงสัยจะเกิดปัญหาแน่ นี่ก็คือข้อดีของการอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ การสะตุรงทอง ที่เห็นในภาพจะต้องห่อด้วยใบบัว หรือใบข่า ๗ ชั้น ให้เตโชธาตุเผาเข้าไปทำปฏิกิริยากับตัวยาให้ยาพิษในห่อนั้นคลายฤทธิ์ยาลงก่อนจึงจะนำไปทำเป็นยาได้ เปรียบเหมือนจะดูพระวังหน้า ยังไงก็ให้ใกล้กับคุณหนุ่ม อาจารย์ปู่ประถมไว้ก่อน จะปลอดภัยจากความไม่รู้ทั้งปวง...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    อีกองค์ที่ไปเห็นมา เขาวางในตู้กระจก พิมพ์นั้นคือ พิมพ์ประทับไก่ องค์เขื่องโต เขาบอกว่า อาจารย์ของสมเด็จโตสร้าง ราคา 25,000 บาท ผมก็ยิ้มๆ คณะเราก็น่าจะยิ้มๆ...(ตอนนี้มีกันคนละกี่หมื่น...)
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอบคุณครับ

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...