พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คนร้ายกราดยิงร้านของชำปัตตานี ชาวบ้านตาย 6 สลด ไม่เว้นหนูน้อย 3 ขวบ
    -http://morning-news.bectero.com/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84/%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A26-2013050210-6-1.html-


    4 คนร้ายขี่จักรยานยนต์ 2 คัน กราดยิงใส่ชาวบ้าน หน้าร้านขายของชำปัตตานี ก่อนจ่อยิงศรีษะทีละคน และโรยตะปูเรือใบทั่วอำเภอเมืองเพื่อหลบหนี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 6 ราย รวมเด็กชายวัย 3 ขวบด้วย ขณะที่เจ้าหน้าที่รีบนำผู้บาดเจ็บสาหัสอีก 1 คน ส่งโรงพยาบาลเป็นการเร่งด่วน พร้อมตัดสัญญาณโทรศัพท์ป้องกันเหตุต่อเนื่อง

    ----------------------------------------------------------
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล : อรรถาธิบายภายใต้ความเป็นผู้ดี

    “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” คือ หนึ่งในสำนวนไทยที่มักจะถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อเปรียบเปรยกระทบกระเทียบอยู่เป็นประจำ เพราะความหมายของสำนวนนี้จะเชื่อมโยงไปถึงการอบรมสั่งสอนของครอบครัวของคนผู้นั้นไปด้วย ความหมายของสำนวนนี้จะถูกสื่อได้เด่นชัดยิ่งขึ้น เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับสังคมยุคโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ด้วยเหตุที่การอบรมสั่งสอนภายในครอบครัวของคนสมัยนี้ช่างห่างไกลกับแบบแผน “ผู้ดี” เสียเหลือเกิน

    “ผู้ดี” หมายถึง บุคคลผู้มีความประพฤติเรียบร้อยทั้งทางกาย ทางวาจา และทางความคิด ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดของคนส่วนใหญ่ที่เข้าใจว่า “ผู้ดี” คือ ผู้ที่มีฐานะร่ำรวย และมียศถาบรรดาศักดิ์ แต่แท้จริงแล้ว “ผู้ดี” ก็เป็นเพียงปุถุชน แต่เป็นมนุษย์ซึ่งเปี่ยมไปด้วยกิริยามารยาทในการแสดงออกทั้งทางกาย วาจาและใจเท่านั้นเอง ดังนั้นการเป็น “ผู้ดี” จึงมิใช่เรื่องที่ต้องลำบากยากเย็นแต่อย่างใด เพราะเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเท่านั้น สำหรับผู้ที่ชอบประชดประชันถึงความเป็น “ผู้ดี” สันนิษฐานได้ว่าผู้นั้นก็คงไม่แน่ใจนักว่าตนเองนั้นเป็น “ผู้ดี” หรือไม่...

    “ไม่มีใครที่จะเปลี่ยนแปลงหรือกำหนดชาติกำเนิดของตนเองได้” ข้อความนี้เป็นสัจธรรมที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยเรื่องหลักการกำเนิดของมนุษย์ ดังนั้นชาติกำเนิดจึงเป็นเพียงองค์ประกอบที่ส่งเสริมสถานภาพของบุคคลในสังคมเท่านั้น มิใช่ตัวชี้วัดความเป็นผู้ดี อย่างไรก็ตามหากผู้นั้นเป็นผู้ดีทั้งโดยการกระทำและชาติกำเนิดก็ย่อมมีภาษีสังคมเหนือผู้อื่น แต่ในทางกลับกันหากผู้นั้นเป็นผู้ดีแค่โดยชาติตระกูล กล่าวคือ มีชาติตระกูลดีแต่กิริยามารยาทเข้าขั้น “สถุล” คนผู้นั้นย่อมได้รับคำครหาว่าเป็น “ผู้ดีตีนแดง ตะแคงตีนเดิน” จึงเห็นได้ชัดว่าชาติตระกูลไม่ใช่บรรทัดฐานของความเป็น “ผู้ดี” หากแต่เป็นกิริยามารยาทเท่านั้นที่จะสื่อไปถึงการอบรมสั่งสอนของ “ชาติตระกูล”

    หากจะวิเคราะห์ความหมายของ “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” ในการอรรถาธิบาย จำเป็นจะต้องแปลความหมายของแต่ละ “อรรถ” เสียก่อน

    สำเนียง น. เสียง, น้ำเสียง, หางเสียง, วิธีออกเสียง

    ส่อ ก. แสดงออกมาให้เห็นเค้า

    ภาษา น. เสียงสัญลักษณ์หรือกิริยาอาการที่ใช้สื่อความต่อกัน, คำพูด, ถ้อยคำที่ใช้พูดกัน

    กิริยา น. การกระทำ; อาการที่แสดงออกทางกายตามความหมายเรื่องมารยาท

    สกุล น. ตระกูล, วงศ์, เชื้อสาย, เผ่าพันธุ์

    เมื่อพิจารณาความหมายของ “อรรถ” และรวมความเป็นสำนวนแล้ว ก็น่าที่จะตีความได้ว่าหมายถึง “บุคลิก การกระทำและมารยาทจะแสดงออกมาให้ทราบว่ามาจากชาติตระกูลเช่นไร” สำนวนนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีมารยาท (กิริยาวาจาที่เรียบร้อย) เพราะสิ่งนี้จะสะท้อนไปถึง กำพืดของผู้นั้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพูด ซึ่งสามารถบ่งบอกระดับปัญญาของผู้นั้นได้ ดังที่มีคำกล่าวไว้ว่า “เมื่อไม่พูดก็ไม่รู้ว่าโง่หรือฉลาด จนกว่าจะพูดออกมานั่นแหละ เขาจะหายสงสัย”

    นอกจากการขยายความในเชิงอรรถสัมพันธ์แล้ว การวิเคราะห์ความสมเหตุสมผลของความหมายก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยทำให้เข้าใจกุศโลบายของผู้ริเริ่มใช้สำนวนนี้ได้ดียิ่งขึ้น ในประโยคแรกที่ว่า “สำเนียงส่อภาษา” หากพิจารณาในหมู่คนส่วนใหญ่ ประโยคนี้จะเป็นข้อสรุปที่สมเหตุสมผลในตัวเองอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมองในแง่มุมใด เพราะคนทั่วไปจะมีสำเนียงพูดที่ต่างกัน ซึ่งจะบ่งบอกได้ว่าผู้ใดใช้ภาษาใด ถึงแม้จะใช้ภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาประจำของตน สำเนียงที่ออกมาก็จะแปร่งหูในสำเนียงที่แตกต่างออกไป เช่น คนจีนที่ตั้งรกรากในไทยซึ่งพูดภาษาไทย เป็นต้น ทั้งนี้ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีค่านิยมการใช้ภาษาในอีกลักษณะหนึ่ง ก็จะพบว่าสำเนียงจะมิได้ส่อภาษาเสียแล้ว เพราะคนพวกนี้จะเป็น “ดัดจริตชน” ที่พยายามเปลี่ยนแปลงสำเนียงของตนให้กลายเป็นภาษาอื่นที่มิใช่ “ภาษาพ่อภาษาแม่” เพื่อตอบสนองค่านิยมของตนที่ว่าการใช้ภาษาอื่นๆ จะทำให้ให้ดู “โก้” กว่าการใช้ภาษาของตน ซึ่งจะเห็นได้ชัดในคนไทยยุค “ไอที”

    ส่วนในประโยคหลังที่ว่า “กิริยาส่อสกุล” ประโยคนี้ก็สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ในเรื่อง “การขัดเกลาทางสังคม (Socialization)” ที่หมายถึง กระบวนการทางสังคมและจิตวิทยาซึ่งมีผลทำให้บุคคลมีบุคลิกภาพตามแนวทางที่สังคมต้องการ เป็นที่ยอมรับกันว่ากระบวนการขัดเกลาทางสังคมนี้จะเริ่มต้นตั้งแต่บุคคลถือกำเนิดมาในโลก ซึ่งตัวขับเคลื่อนกลไกการขัดเกลาทางสังคมเป็นกลุ่มแรกและสำคัญที่สุดก็คือ “สถาบันครอบครัว” ซึ่งมีหน้าที่ปลูกฝังแนวทางการดำเนินชีวิตทั้งทางตรงและทางอ้อม กล่าวคือ การที่พ่อแม่ผู้ปกครองสั่งสอนบุตรจัดเป็นการขัดเกลาทางสังคมทางตรง และการกระทำตนเป็นแบบอย่างให้กับลูกก็เป็นการขัดเกลาทางอ้อม ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าครอบครัวจึงมีอิทธิพลในการหล่อหลอมกิริยามารยาทของบุคคลแต่ละคน ด้วยเหตุนี้ประโยคที่ว่า “กิริยาส่อสกุล” จึงสมเหตุสมผลไปโดยนิปริยาย

    ทั้งนี้การขัดเกลาทางสังคมจากครอบครัวเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่สร้างพฤติกรรมของคนเพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกที่สร้างบุคลิกภาพของบุคคลได้เช่นเดียวกัน ทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน ทว่าปัจจัยอื่นนั้นจะลึกซึ้งกว่าปัจจัยด้านครอบครัว ด้วยเหตุนี้คนทั่วไปจึงมองว่ากิริยามารยาทของแต่ละคนจะมาจากครอบครัว เช่น มีเด็กชอบฉกชิงวิ่งราวทรัพย์สินผู้คนตามท้องถนน คนอื่นที่พบก็จะสรุปในทันทีเลยว่าครอบครัวนี้คงยากจน ไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนลูก หรือถึงขั้นกล่าวว่าคงเป็นโจรทั้งครอบครัว ซึ่งในความจริงอาจจะเป็นลูกของครอบครัวฐานะดีที่มีความอบอุ่นสมบูรณ์พร้อมก็ได้ แต่สาเหตุมาจากการได้รับอิทธิพลทางความคิดที่ผิดมาจากที่อื่น เป็นต้น ในบางครั้งสำนวนนี้จึงอาจไม่ยุติธรรมสำหรับวงศ์ตระกูลสักเท่าไร จากการวิเคราะห์ความสมเหตุสมผลของความหมายจึงสรุปได้ว่า สำนวนนี้มุ่งที่จะใช้กับผู้ที่แสดงกิริยามารยาทที่ไม่เหมาะสมให้รู้จักปรับปรุงตนเพื่อมิให้เสื่อมเสียต่อวงศ์ตระกูลและครอบครัว คล้ายๆ กับการกล่าวว่า “พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอน” นั่นเอง

    เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างสำนวนนี้กับเรื่องของ “ผู้ดี” ก็จะพบว่ามีความเกี่ยวข้องกัน เพราะผู้ดีคือผู้ที่ระมัดระวังกิริยามารยาทของตนเอง ดังนั้นผู้ดีก็จะแสดงออกให้เห็นถึงลักษณะการอบรมสั่งสอนที่ดีของครอบครัว ซึ่งก็สามารถอธิบายได้ด้วยความหมายสำนวนได้ว่า การเป็นผู้ดีเป็นผลลัพธ์จากการขัดเกลาทางสังคมในวิถีที่ถูกต้องของครอบครัว และความเป็นผู้ดีก็จะส่อให้เห็นถึงความมี “สกุลสูง” ซึ่งก็แน่นอนว่าเป็นความสูงส่งทางจริยธรรมมิใช่ทางด้านฐานะ จึงอาจกล่าวได้ว่าลักษณะความเป็น “ผู้ดี” สอดคล้องและสนับสนุนความหมายของสำนวน “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” ได้ดียิ่งขึ้น เมื่อใดที่ใช้สำนวนนี้กับผู้ดี นัยของความหมายจึงมิใช่การเสียดสีประชดประชันแต่อย่างใด หากแต่เป็นการชื่นชมถึงครอบครัวนั้นอย่างจริงใจ ดังนั้นหากต้องการจะเป็น “ผู้ดี” ก็ต้องเข้าใจความหมายสำนวนนี้ที่อธิบายด้วยความเป็นผู้ดี เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจในขณะที่จะทำพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมด้วย

    ในอดีตสำนวนนี้คงจะก่อสำนึกให้กับผู้ฟังได้มาก แต่ปัจจุบันไม่ว่าใครจะด่าว่าถึงวงศ์ตระกูลอย่างไร จะกล่าวถึงสำนวนนี้เป็นร้อยครั้งพันครั้ง ก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนได้ เพราะ “อัตตา” ในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ได้ปิดกั้นไว้ กอปรกับการที่ครอบครัวในปัจจุบันก็ไม่ได้ทำหน้าที่ที่สถาบันครอบครัวพึงกระทำ คือ สั่งสอนให้คนในครอบครัวเป็นคนดี แต่กลับให้ความสำคัญกับเงินตรามากกว่า เหล่านี้คือผลของการพัฒนาในระบอบทุนนิยมโดยไม่ทำไปควบคู่กับจริยธรรมนั่นเอง เราจึงควรให้ความสำคัญกับความหมายของสำนวนนี้ในเชิง “ผู้ดี” บ้าง มิฉะนั้นในอนาคตสำนวนนี้อาจจะเปลี่ยนไปเป็น “สำเนียงส่อภาษา เงินตราส่อสกุล” ก็ได้

    หมายเหตุ เรียงความนี้เขียนขึ้นเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๐ เพื่อส่งงานในรายวิชา “ภาษาไทยพื้นฐาน (ท ๔๑๑๐๒)” กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โดยกำหนดให้นักเรียนเขียนเรียงความเกี่ยวกับสำนวน สุภาษิต คำพังเพย


    โดย แว่น
    -http://www.oknation.net/blog/print.php?id=13742-

    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำนวนไทย...รู้ไว้ ไม่ล้าสมัย
    -http://hilight.kapook.com/view/68531-




    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    เป็นที่ทราบกันดีว่า คนไทยเป็นพวกเจ้าบทเจ้ากลอน จะพูดจาหรือสั่งสอนใคร ก็มักจะอ้างเอาสำนวน สุภาษิต หรือคำพังเพยที่พูดต่อ ๆ กันมาตั้งแต่ครั้งโบราณมาเปรียบเทียบเปรียบเปรยเสมอ ซึ่งคำเหล่านี้มักจะเป็นคำที่คล้องจองกัน ทำให้จดจำได้ง่ายและเห็นภาพได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

    ที่สำคัญ สำนวนไทยยังมีเสน่ห์ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยการดึงเอาสิ่งที่อยู่รอบตัวมาเปรียบเทียบ ดังนั้น เราอาจพูดได้ว่า สำนวนไทยมีความผูกพันกับชีวิตของเราอย่างใกล้ชิด และยังให้ข้อคิดสอนใจ ซึ่งสำนวนไทยนั้นมีอยู่มากมาย แต่เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนอาจยังไม่เข้าใจความหมายของ สำนวนไทย บางคำ หรือบางประโยค แม้จะได้ยินอยู่บ่อย ๆ ก็ตาม วันนี้ กระปุกดอทคอม มีเกร็ดความรู้เรื่องนี้มาฝากกันค่ะ

    สำนวน หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงได้ตายตัว สลับที่หรือตัดตอนไม่ได้ มีความหมายเชิงเปรียบเทียบลึกซึ้งโดยครอบคลุมไปถึง ภาษิต สุภาษิต และคำพังเพย โดยสามารถแยกได้เป็น...

    สำนวนที่มีเสียงสัมผัส

    - เรียง 4 คำ ต้นร้ายปลายดี น้ำใสใจจริง
    - เรียง 6 คำ ฆ่าไม่ตายขายไม่ขาด บ้านเคยอยู่อู่เคยนอน
    - เรียง 8 คำ รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้
    - เรียง 10 คำ คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชายต้องไว้ชื่อ
    - เรียง 12 คำ ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน มีเงินเขานับว่าน้อง มีทองเขานับว่าพี่

    สำนวนที่ไม่มีเสียงสัมผัส

    - เรียง 2 คำ ชิมลาง ขบเผาะ
    - เรียง 3 คำ ถ่านไฟเก่า คมในฝัก
    - เรียง 5 คำ น้ำขึ้นให้รีบตัก ขนหน้าแข้งไม่ร่วง
    - เรียง 6 คำ ถ่มน้ำลายแล้วกลืนกิน ยกภูเขาออกจากอก

    ที่มาของสำนวน

    1 สำนวนที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่
    ข้าวเหลือเกลืออิ่ม ทรัพย์ในดินสินในน้ำ บ้านเคยอยู่อู่เคยนอน

    2 สำนวนเกี่ยวกับพืช
    ขิงก็ราข่าก็แรง มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก ใบไม้ร่วงจะออกช่อ

    3 สำนวนเกี่ยวกับสัตว์
    โง่เง่าเต่าตุ่น ตีปลาหน้าไซ นกมีหูหนูมีปีก

    4 สำนวนเกี่ยวกับนิทาน
    กิ้งก่าได้ทอง กระต่ายตื่นตูม เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ชาวนากับงูเห่า

    สำหรับ สำนวน สุภาษิตไทย ที่เรามักจะได้ยินและเห็นกันอยู่บ่อย ๆ มีดังนี้

    หมวด ก.
    กงเกวียนกำเกวียน - เวรสนองเวร กรรมสนองกรรม
    กบในกะลาครอบ - ผู้มีประสบการณ์และความรู้น้อย แต่สำคัญตนว่ามีความรู้มาก
    กรวดน้ำคว่ำกะลา, กรวดน้ำคว่ำขัน – ตัดขาดไม่ขอเกี่ยวข้องด้วย
    กระเชอก้นรั่ว – สุรุ่ยสุร่าย, ไม่รู้จักเก็บหอมรอมริบ, ไม่ประหยัด
    กระดังงาลนไฟ – ผู้หญิงที่เคยแต่งงานหรือผ่านผู้ชายมาแล้ว ย่อมรู้จักชั้นเชิงทางปรนนิบัติ และเอาอกเอาใจผู้ชายได้ดีกว่าผู้หญิงที่ยังไม่เคยแต่งงาน
    กระดี่ได้น้ำ – อาการแสดงความดีอกดีใจ ตื่นเต้นจนตัวสั่น
    กระต่ายขาเดียว – ยืนกรานไม่ยอมรับ
    กระต่ายตื่นตูม – คนที่แสดงอาการตื่นตกใจง่ายโดยไม่ทันสำรวจให้ถ่องแท้ก่อน
    กระต่ายหมายจันทร์ – ผู้ชายหมายปองผู้หญิงที่มีฐานะดีกว่า
    กระโถนท้องพระโรง – ผู้ที่ใคร ๆ ก็ใช้ได้ หรือผู้ที่ใคร ๆ ก็พากันรุมใช้อยู่คนเดียว
    กวนน้ำให้ขุ่น – ทำเรื่องราวที่สงบอยู่แล้วให้เกิดวุ่นวายขึ้นมา
    กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้ – ลักษณะของการทำงานที่มีความลังเล ทำให้แก้ปัญหาได้ไม่ทันท่วงที เมื่อได้อย่างหนึ่ง แต่ต้องเสียอีกอย่างหนึ่งไป
    กาคาบพริก – ลักษณะที่คนผิวดำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีแดง
    กำแพงมีหูประตูมีช่อง, กำแพงมีหูประตูมีตา – การที่จะพูดหรือทำอะไรให้ระมัดระวัง แม้จะเป็นความลับเพียงไร ก็อาจมีคนล่วงรู้ได้
    กินที่ลับไขที่แจ้ง – เปิดเผยเรื่องที่ทำกันในที่ลับ
    กินน้ำใต้ศอก – จำต้องยอมเป็นรองเขา, ไม่เทียมหน้าเทียมตาเท่า (มักหมายถึงเมียน้อยที่ต้องยอมลงให้แก่เมียหลวง)
    กินบนเรือนขี้บนหลังคา – เนรคุณ
    กินปูนร้อนท้อง – ทำอาการมีพิรุธขึ้นเอง, แสดงอาการเดือดร้อนขึ้นเอง
    เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง – เกลียดตัวเขา แต่อยากได้ผลประโยชน์จากเขา
    เกลือจิ้มเกลือ – ไม่ยอมเสียเปรียบกัน, แก้เผ็ดให้สาสมกัน
    เกลือเป็นหนอน – ญาติมิตร สามีภรรยา บุตรธิดา เพื่อนร่วมงาน หรือคนในบ้านที่คิดทรยศ,หนอนบ่อนไส้
    เกี่ยวแฝกมุงป่า – ทำอะไรเกินกำลังความสามารถของตัว
    แกว่งเท้าหาเสี้ยน – รนหาเรื่องเดือดร้อน
    ใกล้เกลือกินด่าง – มองข้ามหรือไม่รู้ค่าของดีที่อยู่ใกล้ตัวซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ตน กลับไปแสวงหาสิ่งอื่นที่ด้อยกว่า
    ไก่แก่แม่ปลาช่อน – หญิงค่อนข้างมีอายุที่มีมารยาและเล่ห์เหลี่ยมมาก และมีกิริยาจัดจ้าน
    ไกลปืนเที่ยง – ไม่รู้อะไรเพราะอยู่ห่างไกลความเจริญ
    ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ – ต่างฝ่ายต่างรู้ความลับของกันและกัน

    หมวด ข.
    ขนทรายเข้าวัด – หาประโยชน์ให้ส่วนรวม
    ขนมผสมน้ำยา – พอดีกัน จะว่าข้างไหนดีกว่ากันไม่ได้
    ขนหน้าแข้งไม่ร่วง – ไม่กระทบกระเทือนถึงเดือดร้อน
    ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า – บังคับขืนใจผู้อื่นให้ทำตามที่ตนต้องการ
    ขว้างงูไม่พ้นคอ – ทำอะไรแล้วผลร้ายกลับมาสู่ตัวเอง
    ขวานผ่าซาก – โผงผางไม่เกรงใจใคร
    ขายผ้าเอาหน้ารอด – ยอมสละสิ่งสำคัญเพื่อรักษาชื่อเสียงไว้
    ขิงก็รา ข่าก็แรง – ต่างไม่ยอมลดละกัน
    ขี่ช้างจับตั๊กแตน – ลงทุนมากแต่ได้ผลน้อย
    เข็นครกขึ้นภูเขา – ทำงานที่ยากลำบากอย่างยิ่ง โดยต้องใช้ความพยายามและอดทนอย่างมาก
    เข้าตามตรอกออกตามประตู – ทำตามธรรมเนียมประเพณี
    เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม – ประพฤติตนให้เหมาะสมกับกาละเทศะ
    เขียนด้วยมือลบด้วยตีน – ยกย่องแล้วกลับทำลายในภายหลัง
    เขียนเสือให้วัวกลัว – ทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียขวัญหรือเกรงขาม
    ไข่ในหิน – ของที่ต้องระมัดระวังทะนุถนอมอย่างยิ่ง

    หมวด ค. , ฆ.
    คดในข้อ งอในกระดูก – มีสันดานคดโกง
    คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ – คนรักมีน้อย คนชังมีมาก
    คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ – คนรักมีน้อย คนชังมีมาก
    คมในฝัก – มีความรู้ความสามารถ แต่เมื่อยังไม่ถึงเวลาก็ไม่แสดงออกมาให้เห็น
    คว้าน้ำเหลว – ไม่ได้ผลตามต้องการ
    ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด – มีความรู้มาก แต่ไม่รู้จักเอาความรู้มาใช้ให้เป็นประโยชน์
    คางคกขึ้นวอ – คนที่มีฐานะต่ำต้อย พอได้ดิบได้ดีก็มักแสดงกิริยาอวดดี ลืมตัว
    โคแก่ชอบกินหญ้าอ่อน – ชายสูงอายุที่ชอบผู้หญิงรุ่นสาว
    ฆ่าความอย่าเสียดายพริก – ทำการใหญ่ไม่ควรตระหนี่

    หมวด ง. , จ.
    งมเข็มในมหาสมุทร – ทำกิจที่สำเร็จได้ยาก
    งอมืองอตีน – เกียจคร้าน, ไม่สนใจขวนขวายการทำงาน
    เงยหน้าอ้าปาก – มีฐานะดีขึ้นกว่าเดิมพอทัดเทียมเพื่อน
    จับแพะชนแกะ – ทำอย่างขอไปที ไม่ได้อย่างนี้ก็เอาอย่างนั้นเข้าแทน เพื่อให้ลุล่วงไป
    จับเสือมือเปล่า – แสวงหาประโยชน์โดยตัวเองไม่ต้องลงทุน
    จุดไต้ตำตอ – พูดหรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งบังเอิญไปโดนเจ้าตัวเข้า โดยที่ผู้พูดไม่รู้ตัว

    หมวด ช. , ซ.
    ชนักติดหลัง – ความชั่วหรือความผิดที่ยังติดตัวอยู่
    ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน – ชักนำศัตรูเข้าบ้าน
    ชักใบให้เรือเสีย – พูดหรือทำขวาง ๆ ให้การสนทนาหรือการงานเขวออกนอกเรื่องไป
    ชักแม่น้ำทั้งห้า – พูดจาหว่านล้อมยกยอบุญคุณเพื่อขอสิ่งที่ประสงค์
    ชักหน้าไม่ถึงหลัง – มีรายได้ไม่พอกับรายจ่าย
    ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม, ช้า ๆ ได้พร้าสองเล่มงาม – ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ทำแล้วจะสำเร็จผล
    ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวมาปิดไม่มิด – ความชั่วหรือความผิดร้ายแรงที่คนรู้ทั่วกันแล้ว จะปิดอย่างไรก็ไม่มิด
    ชิงสุกก่อนห่าม – ทำสิ่งที่ยังไม่สมควรแก่วัน หรือยังไม่ถึงเวลา (มักหมายถึงการลักลอบได้เสียกันก่อนแต่งงาน)
    ชุบมือเปิบ – ฉวยประโยชน์จากคนอื่นโดยไม่ได้ลงทุนลงแรง
    ซื้อควายหน้านา ซื้อผ้าหน้าตรุษ, ซื้อควายหน้านา ซื้อผ้าหน้าหนาว – ซื้อของไม่คำนึงถึงกาลเวลาย่อมได้ของแพง, ทำอะไรไม่เหมาะกับกาลเวลาย่อมได้รับความเดือดร้อน

    หมวด ฒ. , ด.
    เฒ่าหัวงู – คนแก่หรือคนมีอายุมากที่มีเล่ห์เหลี่ยมหรือกลอุบาย หลอกเด็กผู้หญิงในทางกามารมณ์
    ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่, ดูวัวให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ – ให้รู้จักพิจารณาลักษณะบุคคลหรือผู้หญิงที่จะเลือกเป็นคู่ครอง
    เด็ดดอกไม้ร่วมต้น – เคยทำบุญกุศลร่วมกันมาแต่ชาติก่อน จึงมาอยู่ร่วมกันในชาตินี้
    เดินตามหลังผู้ใหญ่ หมาไม่กัด – ประพฤติตามอย่างผู้ใหญ่ย่อมปลอดภัย
    ได้ทีขี่แพะไล่ – ซ้ำเติมเมื่อผู้อื่นเพลี่ยงพล้ำ

    หมวด ต.
    ตกกระไดพลอยโจน – จำเป็นที่จะต้องยอมเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่มีทางเลี่ยง
    ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ – ตกอยู่ในที่คับขันอย่างไรก็ไม่เป็นอันตราย
    ตบมือข้างเดียวไม่ดัง – ทำอะไรฝ่ายเดียวไม่เกิดผล
    ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา – ให้รู้จักฐานะของตนและเจียมตัว
    ตัดช่องน้อยแต่พอตัว – เอาตัวรอดแต่ผู้เดียว
    ตัดไฟต้นลม, ตัดไฟหัวลม – ตัดต้นเหตุเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ลุกลามต่อไป
    ตัดหางปล่อยวัด – ตัดขาดไม่เกี่ยวข้อง ไม่เอาเป็นธุระอีกต่อไป
    ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ – ลงทุนไปโดยได้ผลประโยชน์ไม่คุ้มทุน
    ตีตนก่อนไข้, ตีตนตายก่อนไข้ – กังวลทุกข์ร้อนหรือหวาดกลัวในเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น
    ตีนถีบปากกัด – มานะพยายามทำงานทุกอย่างเพื่อปากท้องโดยไม่คำนึงถึงความเหนื่อยยาก
    ตีวัวกระทบคราด – โกรธคนหนึ่งแต่ทำอะไรเขาไม่ได้ ไพล่ไปรังควานอีกคนหนึ่ง
    เตี้ยอุ้มค่อม – คนที่มีฐานะต่ำต้อยหรือยากจน แต่รับภาระเลี้ยงดูคนที่มีฐานะเช่นตนอีก
    แตงร่มใบ – มีผิวเป็นนวลใยในวัยสาว

    หมวด ถ. , ท.
    ถ่มน้ำลายรดฟ้า – ประทุษร้ายต่อสิ่งที่สูงกว่าตน ตัวเองย่อมได้รับผลร้าย
    ถอนรากถอนโคน – ทำลายให้สิ้นเสี้ยนหนาม
    ถี่ลอดตาช้าง ห่างลอดตาเล็น – ดูเหมือนรอบคอบถี่ถ้วน แต่ไม่รอบคอบถี่ถ้วนจริง
    เถรส่องบาตร – คนที่ทำอะไรตามเขาทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เรื่องราว
    ทรัพย์ในดิน สินในน้ำ – สิ่งที่มีอยู่หรือเกิดตามธรรมชาติ อันอาจนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้
    ทองไม่รู้ร้อน – เฉยเมย,ไม่กระตือรือร้น, ไม่สะดุ้งสะเทือน
    ทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป – ทำคุณแต่กลับเป็นโทษ ทำดีแต่กลับเป็นร้าย
    ทำนาบนหลังคน – หาผลประโยชน์ใส่ตนโดยขูดรีดผู้อื่น
    ทำบุญเอาหน้า – ทำบุญเพื่ออวดผู้อื่น ไม่ใช่ทำด้วยใจบริสุทธิ์
    เทือกเถาเหล่ากอ - เชื้อสายวงศ์ตระกูลที่สืบเนื่องต่อกันมา

    หมวด น.
    นกสองหัว – คนที่ทำตัวฝักใฝ่เข้าด้วยทั้ง 2 ฝ่ายที่ไม่เป็นมิตรกัยโดยหวังประโยชน์เพื่อตน
    นายว่าขี้ข้าพลอย – พลอยพูดผสมโรงติเตียนผู้อื่นตามนายไปด้วย
    น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง – พูดมากแต่ได้เนื้อหาสาระน้อย
    น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา – ทีใครทีมัน
    น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย – คำพูดที่ตรงไปตรงมา อาจไม่ถูกใจผู้ฟัง แต่ไม่เป็นพิษเป็นภัย คำพูดที่ไพเราะอ่อนหวาน ซึ่งถูกใจผู้ฟัง แต่อาจเป็นโทษเป็นภัยได้

    หมวด บ.
    บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น – รู้จักผ่อนปรนเข้าหากัน มิให้กระทบกระเทือนใจกัน
    บ่างช่างยุ – คนที่ชอบพูดส่อเสียดยุยงให้เขาแตกกัน
    บ้าหอบฟาง – บ้าสมบัติ เห็นอะไร ๆ เป็นของมีค่าจะเอาทั้งนั้น, อาการที่หอบหิ้วสิ่งของพะรุงพะรัง
    บุญทำกรรมแต่ง – บุญหรือบาปที่ทำไว้ในชาติก่อน เป็นเหตุทำให้รูปร่างหน้าตาหรือชีวิตของคนเราในชาตินี้ สวยงาม ดี ชั่ว เป็นต้น
    เบี้ยน้อยหอยน้อย – มีเงินน้อย, มีไม่มาก
    เบี้ยบ้ายรายทาง – เงินที่จะต้องใช้จ่ายหรือเสียไปเรื่อย ๆ เป็นระยะ ๆ ในขณะทำธุรกิจอย่างใดอย่างหนึ่งให้สำเร็จ

    หมวด ป.
    ปล่อยลูกนกลูกกา – ปล่อยให้เป็นอิสระ, ไม่เอาผิด
    ปล่อยเสือเข้าป่า – ปล่อยศัตรูไปอาจกลับมาทำร้ายภายหลังอีก
    ปลาหมอตายเพราะปาก – คนที่พูดพล่อยจนได้รับอันตราย
    ปลาใหญ่กินปลาเล็ก – คนที่มีอำนาจหรือผู้ใหญ่ที่กดขี่ข่มเหงผู้อ่อนแอหรือผู้น้อย
    ปลูกเรือนคร่อมตอ – กระทำสิ่งซึ่งล่วงล้ำ ก้าวก่ายสิทธิของผู้อื่น จะโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือไม่ก็ตาม
    ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน – ทำตามความพอใจของผู้ที่จะได้รับผลโดยตรง
    ปอกกล้วยเข้าปาก – ง่าย
    ปากปราศรัยใจเชือดคอ – พูดดีแต่ใจคิดร้าย
    ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม – ยังเป็นเด็ก
    ปากว่าตาขยิบ – พูดอย่างหนึ่ง แต่ทำอีกอย่างหนึ่ง
    ปากหวานก้นเปรี้ยว – พูดจาอ่อนหวานแต่ไม่จริงใจ
    ปิดทองหลังพระ – ทำความดีแต่ไม่ได้รับการยกย่อง เพราะไม่มีใครเห็นคุณค่า
    ปิดประตูตีแมว – รังแกคนไม่มีทางสู้ และไม่มีทางหนีรอดไปได้
    ปีกกล้าขาแข็ง – พึ่งตัวเองได้ (เป็นคำที่ผู้ใหญ่มักใช้กล่าวเชิงตำหนิติเตียนผู้น้อย)
    เป็ดขันประชันไก่ – ผู้ที่มีความรู้ความสามารถน้อย แต่อวดแสดงแข่งกับผู้ที่มีความรู้ความสามารถสูง
    ไปไหนมาสามวาสองศอก – ถามอย่างหนึ่งตอบไปอีกอย่างหนึ่ง

    หมวด ผ. ฝ.
    ผักชีโรยหน้า – การทำความดีเพียงผิวเผิน
    ผ้าขี้ริ้วห่อทอง – คนมั่งมีแต่แต่งตัวซอมซ่อ
    ผีซ้ำด้ำพลอย – ถูกซ้ำเติมเมื่อพลาดพลั้งลง หรือเมื่อคราวเคราะห์ร้าย
    ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกัน – พลอยเหลวไหลไปด้วยกัน
    ฝนทั่งให้เป็นเข็ม – เพียรพยายามสุดความสามารถจนกว่าจะสำเร็จผล
    ฝากปลาไว้กับแมว – ไว้วางใจคนที่ไม่ควรไว้วางใจ
    ฝากผีฝากไข้ – ขอยึดเป็นที่พึ่งจนวันตาย
    ฝ่าคมหอกคมดาบ – เสี่ยงภัยในสงคราม, เสี่ยงอันตรายจากอาวุธนานาชนิด

    หมวด พ. ฟ.
    พบไม้งามเมื่อยามขวานบิ่น – พบหญิงสาวที่ต้องใจเมื่อแก่
    พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก – ความทุกข์ยากเกิดซ้อน ๆ เข้ามาในขณะเดียวกัน
    พระอิฐพระปูน – นิ่งเฉย, ไม่รู้สึกยินดียินร้าย
    พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ – เปลี่ยนแปงหรือทำให้ผิดไปจากเดิมอย่างตรงกันข้าม
    พออ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ – รู้ทันกัน
    พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง – พูดไปไม่มีประโยชน์ นิ่งเสียดีกว่า
    เพชรตัดเพชร – คนเก่งต่อคนเก่งมาต่อสู้กัน
    แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร – การยอมแพ้ทำให้เรื่องสงบ
    ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด – ฟังไม่ได้ความแจ่มชัด แล้วเอาไปพูดต่อ
    ไฟสุมขอน – อารมณ์ร้อนรุ่มที่คุกรุ่นอยู่ในใจ

    หมวด ม.
    มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก – พูดจาตลบตะแลงพลิกแพลงไปมาจนจับคำพูดไม่ทัน
    มะพร้าวตื่นดก ยาจกตื่นมี – เห่อหรือตื่นเต้นในสิ่งที่ตนไม่เคยมีไม่เคยได้จนเกินพอดี
    มัดมือชก – บังคับหรือใช้วิธีการใด ๆ ให้อีกฝ่ายหนึ่งตกอยู่ในอำนาจและจัดการเอาตามใจชอบ
    มากหมอมากความ – มากคนก็มากเรื่อง
    ม้าดีดกะโหลก – มีกิริยากระโดกกระเดกลุกลนหรือไม่เรียบร้อย
    มีทองเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเรือนไหว – มีสมบัติเพียงเล็กน้อย แต่กังวลจนนอนไม่หลับ
    มือถือสาก ปากถือศีล – มักแสดงตัวว่าเป็นคนมีศีลธรรม แต่กลับประพฤติชั่ว
    มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ – ไม่ช่วยแล้วยังขัดขวางการทำงานของผู้อื่น
    ไม่ดูตาม้าตาเรือ – ไม่พิจารณาให้รอบคอบ
    ไม่มีมูลฝอยหมาไม่ขี้ – ไม่มีเหตุย่อมไม่มีผล
    ไม่เห็นน้ำตัดกระบอก ไม่เห็นกระรอกโก่งหน้าไม้ – ด่วนทำไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงเวลาอันควร
    ไม้ใกล้ฝั่ง – แก่ใกล้ตาย
    ไม้หลักปักขี้ควาย, ไม้หลักปักเลน – โลเล, ไม่แน่นอน
    ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก – อบรมสั่งสอนเด็กให้ประพฤติดีได้ง่ายกว่าอบรมสั่งสอนผู้ใหญ่

    หมวด ย.
    ยกตนข่มท่าน – พูดทับถมผู้อื่นแสดงให้เห็นว่าตัวเหนือกว่า
    ยกภูเขาออกจากอก – โล่งใจ, หมดวิตกกังวล
    ยกเมฆ – เดาเอา, นึกคาดเอาเอง; กุเรื่องขึ้น
    ยกหางตัวเอง – ยกยอตนเอง
    ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว – ทำอย่างเดียวได้ผล 2 อย่าง
    ยิ้มด้วยปาก ถากด้วยตา – เยาะเย้ยด้วยกิริยาท่าทาง
    ยืนกระต่ายขาเดียว – พูดยืนยันอยู่คำเดียว ไม่เปลี่ยนความคิดเดิม
    ยุให้รำตำให้รั่ว – ยุให้ผิดใจกัน, ยุให้แตกกัน

    หมวด ร.
    รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา – ใฝ่ดีจะมีความสุขความเจริญ ใฝ่ชั่วจะได้รับความลำบาก
    รักพี่เสียดายน้อง - ลังเลใจ, ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกอย่างไหนดี
    รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ – รักจะอยู่ด้วยกันนาน ๆ ให้ตัดความคิดอาฆาตพยาบาทออกไป รักจะอยู่กันสั้น ๆ ให้คิดอาฆาตพยาบาทเข้าไว้
    ราชรถมาเกย – โชค ลาภ หรือยศตำแหน่งมาถึงโดยไม่รู้ตัว
    ราชสีห์สองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ – คนที่มีอำนาจหรืออิทธิพลพอ ๆ กันอยู่รวมกันไม่ได้
    รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง – ทำไม่ดีหรือทำผิดแล้วไม่รับผิด กลับโทษผู้อื่น
    รีดเลือดกับปู – เคี่ยวเข็ญหรือบีบบังคับเอากับผู้ที่ไม่มีจะให้
    รู้งู ๆ ปลา ๆ – รู้เล็ก ๆ น้อย ๆ, รู้ไม่จริง
    รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม – เรียนรู้ไว้ไม่หนักเรี่ยวหนักแรงหรือเสียหายอะไร
    รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง – รู้จักเอาตัวรอดหรือปรับตัวให้เข้ากับเหตุการณ์
    เรียนผูกต้องเรียนแก้ – รู้วิธีทำก็ต้องรู้วิธีแก้ไข
    เรือร่มในหนอง ทองจะไปไหน – คนในเครือญาติแต่งงานกันทำให้ทรัพย์มรดกไม่ตกไปอยู่กับผู้อื่น
    เรือล่มเมื่อจอด ตาบอดเมื่อแก่ – มีอุปสรรคเมื่อใกล้จะสำเร็จ

    หมวด ล.
    ล้มหมอนนอนเสื่อ – ป่วยจนต้องนอนพักรักษาตัว
    ลางเนื้อชอบลางยา – ของสิ่งเดียวกัน คนหนึ่งชอบแต่อีกคนหนึ่งกลับไม่ชอบ
    ลิ้นกับฟัน – การระทบกระทั่งกันบ้างแต่ไม่รุนแรงของคนที่ใกล้ชิดกัน
    ลิ้นตวัดถึงใบหู – พูดจาตลบตะแลงเชื่อไม่ได้
    ลูกไก่อยู่ในกำมือ – ผู้ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจ ไม่มีทางหนีหรือทางต่อสู้
    ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น – ลูกย่อมไม่ต่างกับพ่อแม่มากนัก
    เล่นกับหมา หมาเลียปาก – ลดตัวลงไปหรือวางตัวไม่เหมาะสมจึงถูกลามปาม
    เลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้ – เลี้ยงลูกศัตรูหรือลูกคนพาลจะได้รับความเดือดร้อนในภายหลัง
    เลือกที่รักมักที่ชัง – ลำเอียง
    เลือกนักมักได้แร่ – เลือกนักมักจะได้ที่ไม่ดี (มักใช้พูดตำหนิผู้เลือกคู่ครอง)
    เลือดข้นกว่าน้ำ – ญาติพี่น้องย่อมดีกว่าคนอื่น

    หมวด ว. ศ.
    วัดรอยเท้า – คอยเทียบตัวเองกับผู้ที่เหนือกว่าเพื่อชิงดีชิงเด่น
    วันพระไม่มีหนเดียว – วันหน้ายังมีโอกาสอีก (มักใช้พูดเป็นเชิงอาฆาต)
    วัวลืมตีน – คนที่ได้ดีแล้วลืมฐานะเดิมของตน
    วัวสันหลังหวะ – คนที่มีความผิดติดตัวทำให้มีความหวาดระแวง
    วัวหายล้อมคอก – เรื่องเกิดขึ้นแล้วจึงคิดแก้ไข
    ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง – ตำหนิผู้อื่นเรื่องใดแล้วตนก็กลับทำในเรื่องนั้นเสียเอง
    ศิษย์คิดล้างครู – ศิษย์เนรคุณที่มุ่งคิดจะทำลายล้างครูบาอาจารย์
    ศิษย์นอกครู – ศิษย์ที่ประพฤติไม่ตรงตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์

    หมวด ส.
    สร้างวิมานในอากาศ – ใฝ่ฝันถึงความมั่งมี, คิดคาดหรือหวังจะมี หรือเป็นอะไรอย่างเลิศลอย
    สวยแต่รูป จูบไม่หอม – มีคูปร่างหน้าตาสวย แต่มีความประพฤติและกิริยามารยาทไม่ดี
    สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ – ความสุขที่เกิดจากการทำความดี หรือความทุกข์ที่เกิดจากการทำความชั่วย่อมอยู่ในใจของผู้ทำเอง
    สอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ – สอนสิ่งที่เขารู้ดีหรือที่เขาถนัดอยู่แล้ว
    สันหลังยาว – คำเรียกคนเกียจคร้านเอาแต่นอน
    สาวไส้ให้กากิน – เอาความลับของฝ่ายตนไปเปิดเผยให้คนอื่นรู้เป็นการประจานตนหรือพรรคพวกของตน
    สิ้นไร้ไม้ตอก – ยากไร้, ขัดสนถึงที่สุด, ไม่มีทรัพย์สมบัติติดตัว
    สิบเบี้ยใกล้มือ – ของหรือประโยชน์ที่ควรได้ก็เอาไว้ก่อน
    สีซอให้ควายฟัง – แนะนำคนโง่ไม่มีประโยชน์
    สุกเอาเผากิน – ทำลวก ๆ, ทำพอเสร็จไปคราวหนึ่ง ๆ
    สุนัขจนตรอก – คนที่ฮึดสู้อย่างไม่คิดชีวิต
    เส้นผมบังภูเขา – เรื่องง่าย ๆ แต่คิดไม่ออก
    เสือซ่อนเล็บ – ผู่ที่มีความเก่งกล้าสามารถแต่ไม่ยอมแสดงออกมาให้ปรากฏ
    เสือนอนกิน –คนที่ได้รับผลประโยชน์หรือผลกำไร โดยไม่ต้องลงทุนลงแรง
    ใส่ตะกร้าล้างน้ำ – ทำให้หมดราคี, ทำให้หมดมลทิน

    หมวด ห.
    หนักไม่เอา เบาไม่สู้ – ไม่มีความอดทนที่จะทำการงาน
    หนามยอกเอาหนามบ่ง – ตอบโต้ด้วยวิธีการทำนองเดียวกัน
    หน้าไหว้หลังหลอก – ต่อหน้าทำเป็นดี แต่ลับหลังก็นินทาหรือหาทางทำร้าย
    หนีเสือปจระเข้ – หนีภัยอันตรายอย่างหนึ่งแล้วต้องพบภัยอันตรายอีกอย่างหนึ่ง
    หมาหวงราง – คนที่หวงแหนสิ่งที่ตนเองกินหรือใช้ไม่ได้ แต่ไม่ยอมให้คนอื่น
    หมาสองราง – คนที่ทำตัวเข้าด้วยทั้ง 2 ฝ่ายที่มักไม่เป็นมิตรกัน โดยหวังประโยชน์เพื่อตน
    หมาหวงห้าง – คนที่หวงชองที่ตนไม่มีสิทธิ์
    หมาเห่าใบตองแห้ง – คนที่เก่งแต่พูด
    หมายน้ำบ่อหน้า – มุ่งหวังจะได้สิ่งที่ยังมาไม่ถึง
    หอกข้างแคร่ – คนใกล้ชิดที่อาจคิดร้ายขึ้นมาเมื่อไรก็ได้
    หัวมังกุท้ายมังกร – ไม่เข้ากัน, ไม่กลมกลืนกัน
    หัวล้านได้หวี – ผู้ที่ได้สิ่งซึ่งไม่เป็นประโยชน์แก่ตน
    หุงข้าวประชดหมา ปิ้งปลาประชดแมว – ทำประชด ซึ่งรังแต่จะเสียประโยชน์
    เห็นกงจักรเป็นดอกบัว – เห็นผิดเป็นชอบ, เห็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
    เห็นขี้ดีกว่าไส้ – เห็นคนอื่นดีกว่าญาติพี่น้อง
    เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง – ทำเลียนแบบคนใหญ่คนโตหรือคนมั่งมีทั้ง ๆ ที่ตนไม่มีกำลังทรัพย์หรือความสามารถพอ
    เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ – หยิบหย่ง, ทำอะไรไม่จริงจัง, ไม่เอาการเอางาน
    เหยียบเรือสองแคม – ทำทีเข้าด้วยทั้ง 2 ฝ่าย

    หมวด อ.
    อดเปรี้ยวไว้กินหวาน – อดใจไว้ก่อน เพราะหวังสิ่งที่ดีกว่าข้างหน้า
    อ้อยเข้าปากช้าง – สิ่งหรือประโยชน์ที่ตกอยู่ในมือแล้วไม่ยอมคืน
    อาบน้ำร้อนมาก่อน – เกิดก่อนจึงมีประสบการณ์มากกว่า
    เอาทองไปรู่กระเบื้อง, เอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ – โต้ตอบหรือทะเลาะกับคนพาล หรือคนที่มีฐานะต่ำกว่าเป็นการไม่สมควร
    เอามะพร้าวห้าวไปขายสวน – แสดงความรู้หรืออวดรู้กับผู้ที่รู้เรื่องดีกว่า
    เอามือซุกหีบ – หาเรื่องเดือดร้อนหรือความลำบากใส่ตัวโดยใช่ที่
    เอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง – คัดค้านผู้ใหญ่ ผู้ที่มีอำนาจมากกว่า หรือผู้ที่มีฐานะสูงกว่า ย่อมไม่สำเร็จ และอาจได้รับผลร้ายแก่ตัวเองอีกด้วย
    เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ – แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

    และนี่ก็คือ สำนวน สุภาษิตไทย ที่บ่งบอกได้ถึงวัฒนธรรมทางความคิดของคนไทยได้เป็นอย่างดี หวังว่าเด็กรุ่นใหม่ ๆ จะมีความรู้ความเข้าใจในสำนวน สุภาษิตไทย มากยิ่งขึ้นนะคะ^^


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    -http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-
    ipesp.ac.th, kkw.ac.th, หนังสือสุดยอดความรู้รอบตัว โดยฝ่ายวิชาการภาษาไทย บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน)



    สำนวนไทย รวม สำนวนสุภาษิต สํานวนไทย ความหมาย
    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    “เสมาสลัก” อีกหนึ่งเอกลักษณ์แห่งยุคทวารวดี
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 พฤษภาคม 2556 14:12 น.
    -http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000053777-


    [​IMG]
    ใบเสมาจำลองลวดลาย “พิมพาพิลาป”

    “ทวารวดี” คือชื่อของอาณาจักรและยุคสมัยหนึ่งในเรื่องราวความเป็นมาของประวัติศาสตร์ไทย โดยมีบันทึกระบุไว้ว่าอาณาทวารวดีนี้มีความเจริญรุ่งเรื่องตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 -18 และหลังจากนั้นจึงก้าวเข้าสู้ยุคสมัยของสุโขทัย อยุธยา กรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตามลำดับ ยุคสมัยที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นมีพื้นที่ตั้งอยู่ในดินแดนประเทศไทย(สยาม)ปัจจุบัน

    ซึ่งปัจจุบันแต่ละยุคสมัยนั้นได้มีโบราณสถานและโบราณวัตถุทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์แก่คนรุ่นหลังให้ได้เห็นถึงความรุ่งเรืองของประวัติศาสตร์ในอดีต โดยโบราณสถานของแต่ละยุคนั้นจะแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ในศิลปะในการก่อสร้างที่โดดเด่นแตกต่างกันออกไป

    [​IMG]
    คุณพิมพ์นารา กิจโชติประเสริฐ อธิบายความเป็นมาของใบเสมา

    “ศิลปะทวารวดี” จัดเป็นศิลปกรรมต้นอารยะธรรมสมัยประวัติศาสตร์ที่มีพัฒนาการในด้านโบราณสถานและโบราณวัตถุนั้น ล้วนสร้างขึ้นโดยมีความเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนาลัทธิหินยานและศาสนาฮินดูรวมอยู่ด้วยกัน อิทธิพลของศิลปะทวารวดีได้แพร่ขยายไปยังภูมิภาคต่างๆทั้งภาคกลางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงอาจกล่าวได้ว่าศิลปะทวารวดี คือ “ต้นกำเนิดพุทธศิลป์ในสยามประเทศ”

    [​IMG]
    อาคารจัดเก็บใบเสมาสลัก ” วัดโพธิ์ชัยเสมาราม”

    คุณพิมพ์นารา กิจโชติประเสริฐ หัวหน้ากลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 10 กล่าวให้ความรู้ว่า “เชื่อกันว่าศิลปกรรมพพุทธและฮินดูได้มีอิทธิพลต่องานศิลปกรรมในดินแดนประเทศไทยมานานตั้งแต่ครั้งพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงส่งสมณทูต 9 สาย ออกเผยแพร่พระพุทธศาสนาทั่วประเทศและนอกประเทศอินเดีย และสมณทูตสายที่ 8 คือพระอุตตรเถระและพระโสณเถระผู้เดินทางมายังดินแดนชื่อสุวรรณภูมินั้น สันนิษฐานกันว่าน่าจะหมายถึงดินแดนในประเทศไทยปัจจุบัน อันมีภาคกลางเป็นศูนย์กลางโดยเฉพาะที่เมืองนครปฐมซึ่งถือได้ว่าเป็นราชธานีของอาณาจักรทวารวดี และยังเชื่อกันว่าเจดีย์เดิมองค์ในที่องค์พระปฐมเจดีย์สร้างครอบทับไว้ น่าจะเป็นเจดีย์ที่สร้างขี้นในสมัยนั้น”

    [​IMG]
    “พระธาตุยาคู” แห่งเมืองฟ้าแดดสงยาง

    โบราณสถานและโบราณวัตถุที่ยังเหลือให้เห็นและเป็นเอกลักษณ์นั้นก็คือ ”ใบเสมา” ที่มีจุดเริ่มมาตั้งแต่ยุคสมัยทวารวดี “ใบสีมา” หรือ ”ใบเสมา” นั้นหมายถึงเขตสงฆ์ แต่เดิมครั้งพุทธกาลเขตสีมาเป็นที่กำหนดเพื่อแสดงเขตวัดหรืออารามคล้ายกำแพงวัด “ใบเสมา” แห่งยุคทวาราวดีนั้นมีความแตกต่างจากยุคสมัยใดๆตรงที่ได้สลักภาพพุทธประวัติ ภาพทศชาติชาดกหรือเรื่องราวต่างๆในพระพุทธศาสนา ลงบนใบเสมาจึงเกิดเป็นความงดงามที่ยังคงเห็นในปัจจุบัน

    โดยส่วนมากใบเสมาสลักนั้นจะพบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่นที่บ้านกุดโง้ง จังหวัดชัยภูมิ เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยเฉพาะที่ ”เมืองฟ้าแดดสงยาง” นั้นยังสามารถพบเห็นใบเสมาหินทรายสลักที่ตั้งเรียงรายให้ได้ชมอยู่มากมาย

    [​IMG]
    ใบเสมาที่ไม่ได้สลัก” ถูกเรียงรายตามทางเดินวัดโพธิ์ชัยเสามาราม ไว้ให้

    ใบเสมาหินทรายสลักเหล่านั้นเก็บรักษาไว้ให้ชมที่ "วัดโพธิ์ชัยเสามาราม" หรือ "วัดบ้านก้อม" โดยใบเสมาที่มีการแกะสลักลายจะจัดเก็บไว้ในอาคาร ส่วนที่ไม่ได้แกะสลักจะปักเรียงรายไว้ตามสนามหน้าวัด ถือเป็นเอกลักษณ์ศิลปะสมัยทวารวดีในเขตภาคอีสานเนื่องจากแทบจะไม่พบในภาคอื่นเลย

    สำหรับใบเสมาหินทรายสลักที่มีความสวยงามและสมบูรณ์ที่สุดนั้นคือ ใบเสมาสลักภาพพุทธประวัติเรื่องราวเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากกรุงกบิลพัสดุ์ และนางยโสธราพิมพาขอเข้าเฝ้าโดยแสดงการสักการะขั้นสูงโดยสยายพระเกศาเช็ดพระบาท เสมาใบนี้จึงได้ชื่อว่า “พิมพาพิลาป” ซึ่งใบเสมาของจริงนั้นจัดเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติคอนแก่น ซึ่งที่วัดโพธิ์ชัยแห่งนี้ก็ได้มีการจำลองใบเสมาดังกล่าวไว้ให้ได้ชมด้วย และอีกหนึ่งความงดงามของเสมาสลักคือ เสมาสลักรูปเทวดาเหาะเหนือปราสาท ชั้นล่างมีรูปกษัตริย์ มเหสีและโอรส ซึ่งเป็นศิลปะพื้นเมืองอีสานสมัยทวารวดี เสมาใบนี้ได้นำมาจากเมืองฟ้าแดดสงยางนำมาตั้งไว้ที่หน้าพระอุโบสถวัดศรีบุญเรือง จังหวัดกาฬสินธุ์

    [​IMG]
    ใบเสมาสลักรูปเทวดาเหาะเหนือปราสาท” วัดศรีบุญเรือง"

    นอกจากใบเสมาสลักแล้ว ยังมีโบราณสถานศิลปะทวารวดีที่โดดเด่นอีก นั่นก็คือ ”พระธาตุยาคู” ซึ่งเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเจดีย์ทั้ง 14 องค์ ที่พบในเมืองฟ้าแดดสงยาง เป็นศิลปะสมัยทวารวดี ก่อด้วยอิฐขนาดใหญ่ ไม่สอปูน นับเป็นโบราณสถานที่ยังคงสภาพสมบูรณ์แม้กาลเวลาจะล่วงเลยมานานหลายศตวรรษ

    จะเห็นได้ว่าในแต่ละยุคสมัยมีเอกลักษณ์ในศิลปะที่สร้างสรรค์ออกมาได้อย่างงดงาม แม้กาลเวลาจะผ่านมานาน ความงดงามเหล่านี้ก็ไม่ได้หายไปไหน หากเพียงเราได้มีจิตสำนึกอนุรักษ์และปกป้องไว้ เหล่าลูกหลานรุ่นหลังของเราก็สามารถเชยชมมรดกล้ำค่านี้ได้ตราบนานเท่านาน

    ****************************************************

    เมืองฟ้าแดดสงยางและวัดโพธิ์ชัยเสมาราม ตั้งอยู่ที่ บ้านเสมา(บ้านก้อม) ตำบลหนองแปน อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ ส่วนวัดศรีบุญเรือง ตั้งอยู่ที่ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์

    สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สำนักบริหารกลาง กรมศิลปากร โทร.0-2222-0934, 0-2224-3050


    Travel - Manager Online - “เสมาสลัก” อีกหนึ่งเอกลักษณ์แห่งยุคทวารวดี

    ****************************************************
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สั่งพักราชการ ด.ต.นิพนธ์ โศรกหาย ตำรวจบางนาไถเงินประชาชนแล้ว
    -http://hilight.kapook.com/view/85660-


    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ Ekkaphan Bas สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

    ชมกันจะจะ คลิปตำรวจบางนาไถเงินประชาชนใต้รถไฟฟ้าแบริ่ง ชาวเน็ตด่ายับ-แห่ส่งต่อเพียบ ล่าสุด ด.ต.นิพนธ์ โศรกหาย ซึ่งปรากฏภาพอยู่ในคลิปรับส่วย ถูกสั่งพักราชการแล้ว

    เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ได้มีการแชร์และส่งต่อคลิปฉาวของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีการไถเงินกับผู้ที่ขับขี่รถยนต์ทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์อย่างชัดเจน บริเวณใต้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสแบริ่ง ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แม้ก่อนหน้านี้จะเคยมีข่าวฉาวของตำรวจในทำนองนี้ออกมาโดยตลอดก็ตาม

    สำหรับคลิปดังกล่าวมีชื่อว่า "ตำรวจหากินประชาชน!!!" โดยในคลิปเผยให้เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย คนหนึ่งจะทำทีโบกรถของผู้ขับขี่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ ส่วนอีกคนถือสมุดใบสั่งแล้วเรียกรับเงินจากผู้ขับขี่ ก่อนจะนำเงินใส่กระเป๋าและปล่อยรถไป โดยไม่ได้เขียนใบสั่งยื่นให้แต่อย่างใด

    และแน่นอนว่าหลังจากที่มีการเผยแพร่คลิปดังกล่าว ทำให้มีการแชร์และส่งต่ออย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนใหญ่ได้ตำหนิวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบว่า เหตุการณ์สุดฉาวของเจ้าหน้าที่ตำรวจนี้เกิดขึ้นบ่อยในทุก ๆ ที่จนกลายเป็นเรื่องปกติในสังคมไปแล้ว

    อย่างไรก็ตาม ทางด้าน พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว และได้สั่งให้ สน.บางนา ตรวจสอบและรายงานผลให้ทราบโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ยังสั่งการให้ รอง ผบก.น.5 เข้าไปตรวจสอบด้วยเช่นกัน ส่วนผลการตรวจสอบนั้นจะเป็นอย่างไรจะรายงานให้ทราบต่อไป

    ล่าสุด ด.ต.นิพนธ์ โศรกหาย ผู้บังคับหมู่งานจราจร สน.บางนา ซึ่งมีภาพปรากฏอยู่ในคลิปวีดีโอที่มีการเผยแพร่ในยูทูบ ได้เข้ามารายงานตัวกับ พ.ต.ท.ศุภชัย ชัยสุวรรณ รองผู้กำกับการจราจร สน.บางนา ในฐานะผู้บังคับบัญชาโดยตรงแล้ว เบื้องต้น ได้มีคำสั่งให้ ด.ต.นิพนธ์ พ้นจากการปฎิบัติหน้าที่งานจราจรตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หลังทำการตรวจสอบพบว่า เป็นบุคคลเดียวกับผู้ที่อยู่ในคลิปวิดีโอ

    ทั้งนี้ ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว โดยจะมีการตรวจสอบว่า ผู้บังคับการบัญชาของ ด.ต.นิพนธ์ มีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่ ซึ่งคาดว่า จะสามารถทราบผลเบื้องต้นในเร็ว ๆ นี้

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=uYWMbO-9EK4#]ตำรวจหากินประชาชน!!! (บางคน)[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=uYWMbO-9EK4#]ตำรวจหากินประชาชน!!! (บางคน)[/ame]
    คลิป ตำรวจหากินประชาชน!!! (บางคน) โพสต์โดย คุณ Ekkaphan Bas
    -http://www.youtube.com/watch?v=uYWMbO-9EK4&feature=player_embedded-


    อ่านรายละเอียเพิ่มเติมจาก -http://www.krobkruakao.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/72734/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88-%E0%B8%AA%E0%B8%99-%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B2-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%8F%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2-%E0%B8%9E%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88.html-

    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "ป๋า" วางมือยุติ 26 ปี ผันนั่งผอ."ผีแดง"
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 พฤษภาคม 2556 15:56 น.
    -http://www.manager.co.th/Sport/ViewNews.aspx?NewsID=9560000055275-

    [​IMG]

    เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานกุนซือวงการฟุตบอลอังกฤษ


    เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือชาวสกอตต์ ตัดสินใจยุติบทบาท 26 ปีบนเก้าอี้นายใหญ่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยการประกาศวางมือทันทีที่ฤดูกาลนี้ 2012-13 รูดม่านปิดฉาก พร้อมผันตัวเองนั่งตำแหน่งผู้อำนวยการประจำถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ต่อไป

    เว็บไซต์อย่างเป็นทางการประจำถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ประกาศว่า เซอร์ อเล็กซ์ ที่คุมทัพ แมนฯยู มาตั้งแต่ปี 1986 จะวางมือหลังเกม พรีเมียร์ ลีก นัดสุดท้ายไปเยือน เวสต์ บรอมวิช อัลเบียน วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคมนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ 1 นัดจะรับแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 20 เกมเปิดบ้านรับมือ สวอนซี ซิตี วันที่ 12 พฤษภาคม

    เซอร์ อเล็กซ์ ที่จะหยุดตัวเลขคุมทัพ แมนฯยู เอาไว้ที่ 1,500 นัด พร้อมผลงานกวาดแชมป์ลีก 13 สมัย, เอฟเอ คัพ 5 สมัย, ลีก คัพ 4 สมัย และ ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก 2 สมัย กล่าวว่า "การตัดสินใจเกษียณเป็นสิ่งที่ผมคิดทบทวนเพื่อจัดการให้ดีที่สุดและไม่ง่ายเลยจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม สำคัญมากที่จะออกจากตำแหน่งในจุดที่สุดสูงเท่าที่เป็นไปได้และเชื่อว่าตอนนี้ก็สำเร็จลุล่วงแล้ว คุณภาพของ พรีเมียร์ ลีก ทำให้จำต้องมีความสมดุลต่างๆ ภายในทีม นอกจากนี้ยังหมายถึงความสำเร็จต่อเนื่องในระดับสูงสุด ขณะที่โครงสร้างของเยาวชนต้องทำให้แน่ใจว่าทีมมีอนาคตที่สดใสรออยู่"

    "สนามซ้อมของเรายอดเยี่ยมและเพียบพร้อมในระดับโลก ส่วน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก็คือหนึ่งในสนามชั้นแนวหน้า จากนี้ไปผมยินดีที่จะรับบทบาทผู้อำนวยการและทูตของ แมนฯยู ภายใต้กิจกรรมรวมถึงสิ่งต่างๆ ที่สนใจ นอกจากนี้ยังต้องมองไปยังอนาคตที่จะต้องอุทิศเวลาให้กับครอบครัวที่รักและสนับสนุนพวกเขาทุกอย่างที่จำเป็น เคธีย์ ภรรยาที่เป็นกุญแจสำคัญตลอดอาชีพที่ผ่านมา" เซอร์ อเล็กซ์ ทิ้งท้าย

    สำหรับตัวแทนของ เซอร์ อเล็กซ์ สื่ออังกฤษคัด 12 รายชื่อออกมาแล้วดังนี้ โชเซ มูรินโญ (รีล มาดริด) เดวิด มอยส์ (เอฟเวอร์ตัน) โอเล กุนนาร์ โซลชา (โมลด์) มานูเอล เปลเยกรินี (มาลากา) ไมค์ ฟีแลน (มือขวา เซอร์ อเล็กซ์) ไรอัน กิ๊กส์ (นักเตะ แมนฯยู) จุ๊ปป์ ไฮย์เกส (บาเยิร์น มิวนิค) คาร์โล อันเชล็อตติ (ปารีส แซงต์-แชร์กแมง) แกรี เนวิลล์ (คอมเมนเตเตอร์) โลร็องต์ บลองก์ (ว่างงาน) โจอาคิม เลิฟ (เยอรมนี) เจอร์เกน คล็อปป์ (โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์)

    [​IMG]
    เว็บไซต์ทางการของทีมแมนยูฯ www.manutd.com ก็ออกมาคอนเฟิร์มข่าวการอำลาทีมของเซอร์อเล็กซ์แล้วเช่นกัน


    Sport - Manager Online - ป๋า วางมือยุติ 26 ปี ผันนั่งผอ.ผีแดง


    .-----------------------------------------------------------

    5 สุดยอดการคว้าตัวของ "เซอร์ อเล็กซ์"
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 พฤษภาคม 2556 17:32 น.
    -http://www.manager.co.th/Sport/ViewNews.aspx?NewsID=9560000055340-

    [​IMG]
    ชไมเคิล (ขวาสุด) กับทริปเปิลแชมป์ปี 99


    [​IMG]
    แฟน "ผีแดง" ยังไม่ลืม คันโตนา (ขวาสุด)


    [​IMG]
    โรนัลโด (ขวาสุด) ทำกำไรให้ทีมมหาศาล


    [​IMG]
    กัปตัน คีน (ขวาสุด) ชูถ้วยแชมป์ พรีเมียร์ ลีก



    เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ประกาศวางมือเลิกคุมทัพ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากฤดูกาลนี้รูดม่านปิดฉาก สื่อทุกสำนักของอังกฤษจึงจับแต่ละโมเมนของกุนซือชาวสกอตต์มาเตือนให้ระลึกถึงกัน โดย "เดอะ ซัน" แท็บลอยด์หัวดัง เลือก 5 นักเตะที่ถือเป็นการคว้าตัวดีที่สุดตลอดระยะเวลา 26 ปีกับ "ผีแดง" มาฝากกันดังนี้

    1.ปีเตอร์ ชไมเคิล - เจ้าของตำนาน "ยักษ์เดนส์" ปราการด่านสุดท้ายของ แมนฯยู ย้ายจาก บรอนด์บี เมื่อปี 1991 ค่าตัวเพียง 500,000 ปอนด์ (ประมาณ 23 ล้านบาท) ด้วยรูปร่างและลีลาการออกมาปัดป้องประตูทำให้ได้รับการยกย่องเป็นผู้รักษาประตูมือ 1 ของโลก มีส่วนสำคัญขึ้นมาช่วยกดดันพังประตูนัดชิงยุโรปปี 1999 ที่ช็อกเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 2-1

    2.เอริค คันโตนา - แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ 5 ปีแต่ไม่มีใครลืม คันโตนา กองหน้าที่ เซอร์ อเล็กซ์ คว้าจาก ลีดส์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 1992 ด้วยค่าตัว 1 ล้านปอนด์ (ประมาณ 46 ล้านบาท) โดยคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก 4 สมัยและแชมป์ เอฟเอ คัพ 2 สมัย รวมถึงวีรกรรม "กังฟูคิก" ถีบยอดอกแฟนบอล ก่อนที่จะแขวนสตั๊ดด้วยวัย 30 ปีเท่านั้นเมื่อปี 1997

    3.รอย คีน - ค่าตัวที่ แมนฯยู จ่ายให้กับ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ตอนปี 1993 คือ 3.75 ล้านปอนด์ (ประมาณ 172 ล้านบาท) ถือว่าสูงเป็นสถิติวงการฟุตบอลบริติชเลยทีเดียวเพื่อแลกกับกองกลางพันธุ์ดุที่ยกระดับกลายเป็นคีย์แมนคนสำคัญตลอดระยะเวลา 12 ปีกับ แมนฯยู แม้ว่าจะพลาดนัดชิงแชมป์ยุโรปปี 1999 เพราะโทษแบนก็ตาม แต่จากนั้นก็ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมต่อจาก คันโตนา

    4.คริสเตียโน โรนัลโด - เซอร์ อเล็กซ์ คว้าปีกรายนี้มาจาก สปอร์ติง ลิสลอน เมื่อปี 2003 ด้วยค่าตัว 12.24 ล้านปอนด์ (ประมาณ 563 ล้านบาท) ซึ่งก็คุ้มเกินคุ้มกลายเป็นตำนานเบอร์ 7 โดยเฉพาะฤดูกาล 2007-08 ที่ระเบิดฟอร์มซัดรวมทุกรายการ 42 ประตูคว้าแชมป์ ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ได้สำเร็จ ก่อนจะขายให้ รีล มาดริด เมื่อปี 2009 ด้วยค่าตัวเป็นสถิติโลก 80 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,680 ล้านบาท)

    5.เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ - มือกาวชาวดัตช์ ย้ายจาก ฟูแลม เมื่อปี 2005 แบบไม่เปิดเผยค่าตัว แม้ตอนนั้นจะวัย 34 ปีแล้ว แต่คือจิ๊กซอว์ที่หามานานนับตั้งแต่ ชไมเคิล อำลาเสาประตูไป หลังจาก เซอร์ อเล็กซ์ ต้องปวดขมับมานานแสนนาน ก่อนจะประกาศแขวนถุงมือเมื่อปี 2011 ด้วยแชมป์ พรีเมียร์ ลีก 4 สมัยและแชมป์ ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก 1 สมัย


    Sport - Manager Online - 5 สุดยอดการคว้าตัวของ เซอร์ อเล็กซ์

    .----------------------------------------------------------------

    สุดยอดของผู้จัดการทีมคนหนึ่งของโลกนี้ครับ

    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อำลา แมนฯ ยูไนเต็ด หลังจบซีซั่น
    -http://football.kapook.com/news_inside.php?id=17503&key=news-


    [​IMG]


    แมนฯ ยูไนเต็ด ออกแถลงการณ์ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อำลาตำแหน่งผู้จัดการทีมหลังจบฤดูกาลนี้ เจ้าตัว ย้ำ ถึงเวลาแล้วหลังสร้างทีมสู่ความยิ่งใหญ่สมดังใจ

    ภาพประกอบจาก AFP

    สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกแถลงการณ์ผ่าน เว็บไซต์ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยอดกุนซือผู้ยิ่งใหญ่ จะอำลาตำแหน่งผู้จัดการทีมและยุติเส้นทางอาชีพการคุมทีม หลังจบเกม พรีเมียร์ลีก นัดสุดท้ายของฤดูกาลที่ "ปิศาจแดง" จะบุกไปเยือน เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ในวันอาทิตย์ที่ 19 พ.ค. นี้

    กุนซือผู้ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ กล่าวผ่านเว็บไซต์สโมสรว่า "การตัดสินใจเกษียณตัวเอง เป็นเรื่องที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดและนี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมมองเป็นเรื่องเล่นๆ มันถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว"

    "สำหรับผมมันถือเป็นเรื่องสำคัญ ที่จะเดินจากไปในช่วงเวลาที่องค์กรนี้อยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และผมเชื่อว่าผมได้ทำตามความตั้งใจนั้น"

    "จากศักยภาพของทีมชุดแชมป์ลีกทีมนี้และระดับอายุเฉลี่ยของทีม ทั้งสองปัจจัยถือว่าดีเยี่ยมสำหรับการที่สโมสรจะประสบความสำเร็จในระดับสูงได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่โครงสร้างระดับเยาวชนของเราจะสร้างความเชื่อมั่นว่า อนาคตของสโมสรจะยังคงรุ่งโรจน์ต่อไปในระยะยาว"

    "สิ่งอำนวยความสะดวกในสนามซ้อมของเราถือว่าอยู่ในระดับดีที่สุดในวงการกีฬาโลก และสนามของเรา โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสนามฟุตบอลชั้นนำของโลกเช่นกัน"

    "นับจากนี้ ผมมีความยินดีที่จะรับหน้าผู้อำนวยการและทูตกีฬาของสโมสร และด้วยภาระหน้าที่ใหม่ รวมถึงเรื่องราวใหม่ๆ อีกหลายอย่างที่น่าสนใจ ผมขอก้าวสู่วันข้างหน้าต่อไป"

    "ผมขอกล่าวคำขอบคุณแด่ครอบครัวของผม ความรักและแรงสนับสนุนที่พวกเขามีให้ผมตลอดมา ภรรยาของผม แคธี่ คือผู้มีส่วนสำคัญตลอดการทำงานคุมทีมของผมตลอดมา" "เซอร์ อเล็กซ์" กล่าวทิ้งท้าย

    สำหรับ เซอร์ อเล็กซ์ ก้าวเข้ามาคุมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ตั้งแต่เมื่อปี 1986 และอยู่โยงรั้งตำแหน่งมายาวนานถึง 27 ปี โดยสามารถสร้างตำนานต่างๆ ไว้มากมาย รวมถึงการนำทีม "ปิศาจแดง" ครองอำนาจกลายเป็นสโมสรอันดับ 1 ของอังกฤษ รวมสถิติคุมทีมลงสนามไปแล้ว 1,497 นัด ด้วยกัน


    สรุปผลงาน เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

    พรีเมียร์ลีก 13 สมัย : 1992–93, 1993–94, 1995–96, 1996–97, 1998–99, 1999–2000, 2000–01, 2002–03, 2006–07, 2007–08, 2008–09, 2010–11, 2012–13

    เอฟเอ คัพ 5 สมัย : 1989–90, 1993–94, 1995–96, 1998–99, 2003–04

    ลีก คัพ 4 สมัย : 1991–92, 2005–06, 2008–09, 2009–10

    แชริตี้ ชิลด์/คอมมิวนิตี้ ชิลด์ 10 สมัย : 1990 (ครองแชมป์ร่วม), 1993, 1994, 1996, 1997, 2003, 2007, 2008, 2010, 2011

    ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย : 1998–99, 2007–08

    คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย : 1990–91

    ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย : 1991

    อินเตอร์คอนติเนนทัล คัพ 1 สมัย : 1999

    ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 1 สมัย : 2008


    เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อำลา แมนฯ ยูไนเต็ด หลังจบซีซั่น
    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ชาวเน็ตช่วยแชร์ ล่าแท็กซี่โหด ขับปาดหน้า-คว้าอาวุธจะทำร้ายคู่กรณี
    -http://hilight.kapook.com/view/85727-

    [​IMG]

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Boy Hatori

    ยุคสมัยนี้ไม่ว่าใครจะทำอะไร หรือเกิดเรื่องอะไรขึ้น หากถูกหยิบมาบอกกล่าวในโลกอินเทอร์เน็ตแล้ว เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็กลายเป็นกระแสทอล์คออฟ เดอะ ทาวน์ ได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับกรณีดังต่อไปนี้

    โดยผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อ Boy Hatori ได้โพสต์ข้อความว่า "เจอมากะตัว Taxi อันธพาลครองเมือง...ขับปาดหน้าแล้วจะลงมาทำร้าย ช่วยกันแชร์" พร้อมกับโพสต์ภาพคนขับแท็กซี่ สีเขียว-เหลือง ทะเบียน มฉ 5141 กำลังลงมาจากรถแท็กซี่ โดยในมือถืออาวุธขนาดยาวลงมาด้วย ซึ่งมีรายงานว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตรงบริเวณวงเวียนบางเขน เมื่อคืนวันจันทร์ ที่ 6 พฤษภาคม เวลาประมาณ 22.00 น. ขณะที่ผู้ถ่ายภาพกำลังขับรถมากับแฟนสาว จู่ ๆ รถแท็กซี่คันดังกล่าวก็ขับรถมาปาดหน้า ทำให้สองฝ่ายจอดรถมีปากเสียงกัน ไม่นานนัก คนขับแท็กซี่ได้เดินกลับไปที่รถ และหยิบอาวุธขนาดยาวลงมาจากรถ แฟนสาวจึงถ่ายภาพไว้ คนขับแท็กซี่จึงรีบกลับขึ้นรถไป โดยที่ยังไม่เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น

    อย่างไรก็ตาม รถคันที่เกิดเหตุก็ได้พยายามขับรถตามแท็กซี่คันดังกล่าวไป และพยายามโทรแจ้ง 191 แต่โทรไม่ติด ทั้งสองคนจึงตัดสินใจแจ้งความไว้ เพราะกลัวจะไม่ปลอดภัย ขณะที่ในโลกไซเบอร์ก็ได้ช่วยกันแชร์ภาพนี้ เพื่อให้ตามล่าตัวคนขับแท็กซี่อันธพาลมาดำเนินคดีให้ได้ เพราะมีเจตนาจะทำร้ายอย่างชัดเจน


    [​IMG]

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แชร์ประสบการณ์ตรง! จากเงินเดือน 10,000 เป็น 100,000 ภายใน 8 ปี
    -http://hilight.kapook.com/view/85832-


    เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณ Bluebird at Bonneville~* สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

    "งานดี ๆ รายได้สูง ๆ มีจริงหรือ?"
    "ทำงานมานานจนเบื่อ เปลี่ยนงานใหม่ดีไหม หรือจะเรียนต่อปริญญาโทดี?"
    "งานหนักมาก จะลาออกจากที่เดิมดีหรือเปล่า?"
    "ทำอย่างไรจึงจะได้เงินเดือนสูง ๆ ?"
    "ลาออกจากงาน แล้วไปทำธุรกิจส่วนตัวเองดีไหมนะ?"

    ...คำถามเหล่านี้เป็นสิ่งที่อยู่ในใจของมนุษย์เงินเดือนหลายต่อหลายคน เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทุกคนก็ย่อมหวังที่จะได้ทำงานที่สบาย ได้เงินเดือนสูง ๆ กันทั้งนั้น แต่กว่าจะก้าวขึ้นไปถึงระดับนั้นได้ ย่อมต้องเดินผ่านอุปสรรคที่ขวางกั้นระหว่างทางไม่ใช่น้อย และหลายคนก็เผชิญกับปัญหามากมายจนคิดไม่ตกว่าจะเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไรดี?

    ใครที่ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่า จะตัดสินใจเลือกอนาคตการทำงานของตัวเองได้อย่างไร ลองอ่านคำแนะนำดี ๆ ที่เป็นประโยชน์จาก คุณ Bluebird at Bonneville~* สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ซึ่งได้เขียนเรื่องราวเล่าประสบการณ์การทำงานของตัวเองให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน

    เชื่อไหมว่า จากคนที่ไม่ได้เรียนเก่งมาก ไม่ได้จบด้วยเกรดสวย เริ่มต้นการทำงานด้วยเงินเดือนสตาร์ทเพียงแค่ 10,000 บาท แต่การสั่งสมประสบการณ์ เข้าใจตัวเอง และรู้ว่าควรจะต้องปรับปรุงและพัฒนาตัวเองอย่างไร ก็สามารถทำให้ คุณ Bluebird at Bonneville~* ก้าวขึ้นไปถึงระดับผู้บริหาร ภายใน 8 ปีเท่านั้น และรับเงินเดือนหลักแสน เธอทำได้อย่างไร? ลองไปฟังประสบการณ์ตรงกันค่ะ

    = จากเงินเดือน 10,000 เป็น 100,000 = โดย คุณ Bluebird at Bonneville~* สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

    เงินเดือน 100,000 อาจจะไม่มากสำหรับบางท่านที่เงินเดือน 3-4 แสน เจ้าของกิจการ หรือลงทุนในหุ้นนะคะ : ) แต่ว่าสำหรับเราก็ถือเป็นก้าวเล็ก ๆ ที่สำคัญ ทั้งหมดนี้เราใช้เวลาทำงานประมาณ 8 ปี ด้วยโปรไฟล์ปกติ จบ ม.รัฐ เกรดนิยม (ไม่ใช่เกียรตินิยม) คือ 2.XX เท่านั้น

    เป็นความตั้งใจมานานตั้งแต่เงินเดือนไม่กี่หมื่น จะมาเขียนแบ่งปันประสบการณ์ของตัวเอง เผื่อจะเป็นประโยชน์กับท่านอื่น ๆ โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน หรือคนที่กำลังท้อกับการทำงานค่ะ

    อาจจะมีหลายตอน ตามแต่เวลาจะอำนวยและความนิยมของผู้อ่าน อิอิ ถ้าใครมีคำถามหรืออยากให้เพิ่มเติมตรงไหนเป็นพิเศษก็บอกได้นะคะ

    :: เริ่มหางาน ::

    เอาละสิ .. ตอนจบปริญญาตรีเทียบกับเพื่อนในกลุ่ม เราเกรดน้อย (เกือบ) สุด เพื่อน ๆ เกียรตินิยมกันเป็นแถว ตอนนั้นเราตั้งเป้าว่าเอาบริษัทขนาดกลาง -> ใหญ่ ละกัน

    บริษัทแรกเป็นโรงงานผลิตสินค้าที่มีชื่อพอควร เจ้าของคนไทย ตอนสัมภาษณ์เกรดเทอมสุดท้ายยังไม่ออก พี่ผู้จัดการมองหน้าแล้วถามว่า แน่ใจว่าจะจบใช่ไหมครับ?

    .. แน่ใจค่ะ.. ทำหน้ามั่นใจสุดชีวิต (จริง ๆ พอโดนถามเริ่มเสียความมั่นใจ)

    เริ่มต้นที่ 10,000 บาท ทำงาน 6 วัน เราก็ลังเล เพราะเพื่อน ๆ เริ่มที่ 13,000 บ้าง 22,000 บ้าง แต่สุดท้ายก็คิดว่า ลองดู เพราะโปรไฟล์บริษัทก็ไม่ถึงกับแย่มาก

    ทำไปได้สัก 2 เดือนก็เริ่มรู้แล้วว่าไม่เหมาะ เพราะงานน้อยมาก.. ไม่ค่อยจะมีอะไรทำ วัฒนธรรมองค์กรชิลเกิน ยิ่งตอนนั้นเป็นเด็กจบใหม่ไฟแรง ทำไปได้ไม่ถึงปีเลย ทำยังไงดี...

    หางานใหม่?
    เรียนต่อ?

    เราเชื่อว่าน้อง ๆ ที่พึ่งทำงานใหม่ ๆ หลายคนต้องเคยผ่านความคิดอยากหนีไปเรียนต่อ แบบนี้มาบ้าง

    สิ่งที่จะต้องหาคำตอบคือ "เรียนต่อ" เพื่ออะไร

    เปลี่ยนสายงาน
    หาความรู้เพิ่ม
    หาคอนเนคชั่น
    ใคร ๆ ก็เรียนกัน?
    ขี้เกียจทำงานแล้ว -_-"

    สำหรับเราได้คำตอบว่า ต้องการเปลี่ยนสายงาน..

    ถ้ายังหาคำตอบที่ดีไม่ได้ แนะนำว่าอย่าพึ่งเรียน

    :: เรียนต่อโท ::

    มหาวิทยาลัยไหนดี .. ถ้าเป็นไปได้ก็ยังแนะนำให้เลือกสถาบันระดับต้น ๆ ไหน ๆ จะเสียเงินอีกหลายแสนแล้ว นอกจากได้ความรู้ ก็ถือว่าสร้างโปรไฟล์และคอนเนคชั่นไปด้วย ไม่ได้บ้าสถาบันแต่อย่างใด แต่ในโลกความจริง ก็ต้องยอมรับว่าเป็นใบเบิกทางระดับหนึ่ง

    แนะนำให้ทำงานไปอย่างน้อยสัก 1- 2 ปี ค่อยเรียนไปพร้อมกับทำงาน เพราะเราเรียนภาคปกติ รู้สึกว่าไม่ได้ประโยชน์เท่าภาคพิเศษ นอกจากความชิลกว่าในการเรียน 555

    การเรียนภาคพิเศษคุณจะเหนื่อยมาก ๆ แต่สำหรับเราคิดว่าคุ้มค่า

    สุดท้ายพอจบมา เราก็เปลี่ยนสายงานได้ตามตั้งใจ เงินเดือนขยับมาที่ 2x,xxx

    ทั้งหมดนี้ใช้เวลาประมาณ 2 ปีกว่า

    ..................................

    :: อยากมีธุรกิจของตัวเอง ::

    ทำงานมาไม่กี่เดือน ก็เริ่มเบื่อ (อีกแล้ว)

    ต้องยอมรับว่าช่วงอายุ 20 กว่า ๆ เป็นช่วงแสวงหาประกอบกับอาจจะยังปรับตัวไม่ค่อยได้ หลาย ๆ อุตสาหกรรมจะมีบุคลิกลักษณะเฉพาะตัว เช่น FMCG, Garment, Bank บริษัทที่เราเข้าไป คนค่อนข้างแรง เรารู้สึกกดดันมาก ถ้าเป็นสมัยนี้คงทนได้ ความต้านทานสูง 555

    ก็เหมือนกับมนุษย์เงินเดือนทั่วไป พอเบื่องานก็ชักอยากจะทำธุรกิจของตัวเอง เราก็เหมือนกัน คิดเอาง่าย ๆ ว่าเรียนมาด้านบริหาร คงพอทำอะไรได้ คุยกะเพื่อนแป๊บ ๆ เพื่อนก็เบื่องานเหมือนกัน ตกลงจะทำ catering กัน

    ด้วยความไม่มีประสบการณ์ไม่ได้วางแผน เรากะเพื่อนลาออกจากงานเลย (เราทำได้แค่ปีนึง) ผลปรากฏว่า เจ๊งตั้งแต่ยังไม่เริ่ม

    ว่างงานอยู่ 3 เดือน

    .. อันนี้ฝากถึงคนที่คิดจะลาออกจากงานมาทำธุรกิจเอง การวางแผนและประเมินสถานการณ์ สำคัญมาก

    :: ตกงาน ::

    กลายเป็นคนตกงาน.. ช่วงนี้ส่งอีเมลสมัครงานเป็นร้อย ๆ เว็บสมัครงานที่ดีที่สุดสำหรับเรา (จนถึงตอนนี้) คือ jobsdb.com

    Resume เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น

    เดือนแรกยังชิล ๆ แต่ตกงานเดือนที่ 3 ชักเครียด

    :: สัมภาษณ์ยังไงให้ได้งาน ::

    Resume เขียนให้ดี ยาวพอประมาณ เราว่า 1-2 หน้าก็พอ

    บุคลิกสำคัญมาก ๆ พอ ๆ กับความสามารถของคุณ แต่งตัวให้เรียบร้อยพอประมาณ แต่ต้องดูมั่นใจ พูดจาให้เป็นมิตรแต่ชัดเจน ไปให้ตรงเวลา เตรียมตัวไปให้ดี เดี๋ยวนี้ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตมีเยอะแยะ

    ประสบการณ์ส่วนตัว ทั้งเป็นผู้ถูกสัมภาษณ์และผู้สัมภาษณ์ เคมีที่ตรงกันของเรากับเจ้านายสำคัญมาก ๆ ถ้าเรารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ดูขัด ๆ ระหว่างเรากับเจ้านายตั้งแต่แรก บางทีก็จะปฏิเสธงานนั้นไป

    ถ้าอยากรู้ว่าองค์กรมีปัญหาด้านไหนก็พยายามสังเกตจากคำถามของคนสัมภาษณ์ เช่น ถ้าเจอปัญหาเรื่องคน จะรับมือยังไง เจ้านายปัจจุบันเป็นยังไง

    งานเลือกเรา แต่เราก็มีสิทธิ์เลือกงานเช่นกัน

    สุดท้ายโชคดีได้งานใหม่ ใกล้บ้าน เป็นบริษัทต่างชาติ แถมเป็นระดับ senior เงินเดือน 25,xxx

    :: ผลงานดี เพื่อนร่วมงานรัก เจ้านายชอบ ::

    3 อย่างนี้จะช่วยผลักดันความก้าวหน้าได้อย่างมาก

    ยังไงที่เรียกว่าผลงานดี?

    บางคนรู้สึกว่าชั้นก็ทำงานมาตั้งเยอะ กลับดึก ๆ ดื่น ๆ ทำไมไม่โตสักที ให้ลองดูว่า งานที่คุณทำ ทำอยู่แบบไหน เป็นงานที่มีความสำคัญหลักกับองค์กรหรือเปล่า ที่ทำงานหนักเพราะระบบไม่ดี แล้วเราช่วยปรับปรุงได้ไหม คุณสามารถพัฒนางานที่ทำอยู่ให้ดีขึ้นได้ยังไง

    อีกแบบนึง คำว่าทำงานเช้าชามเย็นชามไม่ได้เห็นในระบบราชการอย่างเดียว ในองค์กรเอกชนก็จะเห็นคนประเภทนี้ คือ ทำตามหน้าที่เท่านั้น เวลาว่างเล่นเน็ต เข้าเฟซบุ๊ก ถ้ามีโปรเจคท์พิเศษ ต้องทำอะไรเพิ่ม จะบ่นเป็นคนแรก ๆ โดยยังไม่ได้ฟังเหตุผลด้วยซ้ำ

    ถ้าคุณอยากจะผลงานโดดเด่น ก็ต้องทำงานให้มืออาชีพ พัฒนาอยู่เสมอ ไม่ต้องรอให้ใครมาสั่ง มีโปรเจคท์อะไรใหม่ ๆ ถือว่าเป็นโอกาส

    สิ่งที่คิดว่าหลาย ๆ คนมักจะเป็น คือ

    ไม่ถาม ไม่พูดในห้องประชุม
    อีโก้สูง
    ชอบดราม่า ใช้อารมณ์
    มองภาพรวมไม่ออก
    คิดว่าต่างชาติเก่งกว่าเราเสมอ

    ซึ่งเป็นจุดที่ควรจะปรับปรุง

    ถ้าทำมาทั้งหมดนี้แล้วยังไม่เห็นความก้าวหน้า สุดท้ายต้องเปลี่ยนองค์กร คิดไว้เสมอว่าบริษัทมีให้เราเลือกอีกเป็นพัน เป็นหมื่น

    ถ้าเราเป็นนักเทนนิส ถนัดคอร์ทหญ้า แต่มัวแต่ไปแข่งในคอร์ทดิน ยังไงก็แพ้ สู้ไปหาคอร์ทที่เหมาะกับเราดีกว่า

    ลำดับต่อมา คือ เพื่อนร่วมงานรัก ...

    เรื่องนี้เป็นศาสตร์และศิลป์ แต่ที่เราพอจะสรุปออกมาได้คือ

    มีมนุษยสัมพันธ์ดีพอสมควร
    ให้เกียรติคนทุกระดับ เราทักทายทุกคน ตั้งแต่พี่แม่บ้านยันประธานบริษัท เชื่อไหมว่าการพูดสวัสดี ทำให้บรรยากาศดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
    อย่าเข้าพวกกับใครเป็นพิเศษ คุยได้กับทุกคน
    การบ่นใคร ทำได้แต่พองาม เลี่ยงได้เป็นดี ประเภทด่าแบบดุเดือด ทำได้ เพราะเราก็คนธรรมดา มีอารมณ์เป็นปกติ

    แต่... ควรไปด่าให้ครอบครัว แฟน เพื่อนที่ไม่ได้อยู่ในองค์กรฟัง

    Facebook!! ถ้ายังคิดว่าเป็นคนธรรมดาซึ่งต้องการที่ระบายในบางครั้ง กรุณาอย่า add facebook เพื่อนร่วมงาน หรือไม่ก็ต้องระวังมาก ๆ ตั้ง private, group ให้ดี เพราะมันสามารถทำให้ชีวิตการทำงานของคุณยุ่งยากขึ้นอีกหลายเลเวล

    อย่าสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น
    เวลาทำงานเป็นทีม ให้เครดิตคนอื่นตลอด
    ไปสังสรรค์ หรือร่วมกิจกรรมบ้าง

    การเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงาน ถึงดูแล้วจะไม่เกี่ยวกับหน้าที่โดยตรง เพราะบางคนอาจจะเชื่อว่า ชั้นก็เจ๋งอยู่แล้ว เจ้านายก็ดัน ไม่เห็นต้องแคร์ แต่เชื่อเถอะว่าข้อนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณในหลาย ๆ ด้าน เช่น

    ผ่อนหนัก ให้เป็นเบา เวลามีความผิดพลาด ความขัดแย้ง
    เป็นคนแรก ๆ ที่ใคร ๆ ก็นึกถึงเวลามีโปรเจคท์พิเศษ
    ได้ข้อมูลแบบอินไซด์ ช่วยให้งานรวดเร็วขึ้นอีกเยอะ

    ลำดับสุดท้าย ซึ่งสำคัญมาก คือ เจ้านายชอบ!

    เมื่อตอนเป็นเด็กน้อย เราไม่ค่อยให้ความสำคัญกับข้อนี้เท่าไหร่ คิดว่าถ้าทำงานดี เจ้านายก็ต้องชอบเอง ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เสมอไป

    เราสามารถทำให้เจ้านายชอบ โดยการทำงานได้ ทั้งนี้ต้องสร้างสมดุลด้วย อย่าเอาใจมากเกินจนโดนคนอื่นหาว่าประจบประแจง

    มีรายละเอียดปลีกย่อยเพิ่มอีกนิดหน่อย

    ลำดับแรกคุณต้องเข้าใจสไตล์ หรือนิสัยของเจ้านายคุณก่อน เอาง่าย ๆ เลย คุณรู้ไหมว่าเจ้านายคุณเป็นยังไง

    ชอบให้ลูกน้องถาม หรือไม่ชอบ?
    อยากให้ลูกน้องลุยเอง หรือไม่ชอบและมองว่าข้ามหัว?
    ชอบฟังพรีเซ็นต์สั้น ๆ หรือชอบฟังรายละเอียด?

    เรื่องพวกนี้คุณต้องสังเกตและปรับสไตล์การทำงานให้เข้ากับเจ้านาย

    แต่ส่วนมากลูกน้องที่เจ้านายชอบเหมือน ๆ กัน คือ

    ความกระตือรือร้น ดูแลตัวเองได้ บางที่อาจจะดูเหมือนกันไม่สอนงาน แต่ลูกน้องก็ต้องถาม หรือหาทางเรียนรู้ทางใดทางหนึ่ง

    มีความยืดหยุ่น คือ ทำงานได้หลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกันและบริหารได้ดี

    ควบคุมอารมณ์ได้ดี ไม่มีประโยชน์ที่จะไปขึ้นเสียงแข่งกับนาย แย้งได้ แต่ต้องทำแบบนุ่มนวลหน่อย

    แจ้งปัญหาได้ทันเวลา พร้อมเสนอแนวทางแก้ไข เพราะเจ้านายต้องคิดร้อยแปดพันเรื่อง เป็นลูกน้องจะหวังให้เจ้านายเข้าใจในทุกรายละเอียดของงานในทีม เป็นไปไม่ได้แน่นอน..

    ลูกน้องต้องแจ้งปัญหา สรุปรายละเอียด เสนอทางเลือก พร้อมบอกข้อดีข้อเสียของแต่ละข้อ เพื่อให้เจ้านายตัดสินใจ อันนี้ต้องทำให้ติดเป็นนิสัย ไม่ใช่เจอปัญหาก็เงียบไว้ หรือบอกแค่ปัญหาแล้วให้เจ้านายไปคิดต่อ

    ถ้าคุณบรรลุ 3 อย่างนี้ได้ :: ผลงานดี เพื่อนร่วมงานรัก เจ้านายชอบ :: โอกาสดี ๆ ก็จะตามเข้ามาเอง

    บริษัทนี้เราทำได้สักพัก เจ้านายเกิดจะไม่อยู่ เลยดันเราขึ้นแทนเค้า เป็นจังหวะที่ดีด้วยส่วนหนึ่ง ก็ได้ขึ้นเป็นระดับ manager เงินเดือนไม่ได้เยอะมาก แต่เทียบกับอายุ 25- 26 ก็ถือว่าไม่เลว แล้วก็อยากได้โปรไฟล์ด้วย

    เราก็เลยรับข้อเสนอที่ 35,xxx บาท

    แต่ความหนักและยากของงานก็ตามมาพร้อมเงินเดือน ตอนนั้นเหนื่อยมาก

    :: ความรู้อยู่รอบตัว ::

    ไม่มีคนสอนงาน? ถามค่ะ
    ไม่มีคนให้ถาม? หาในอินเทอร์เน็ตค่ะ
    ไม่มีในอินเทอร์เน็ต? เช็กเอกสารเก่าค่ะ ^_^

    คือ คุณต้องดิ้นรนทางใดก็ทางหนึ่ง ยิ่งเงินเดือนสูง ๆ เค้าจ้างมาก็หวังจะให้ทำงานได้เลย (ถ้าเป็นไปได้) อย่ารอให้งานมาหาหรือคนมาสอนถึงที่ค่ะ

    เวลาทำงานนอกจากเนื้องานแล้ว สังเกตสิ่งอื่น ๆ รอบตัวไว้เป็นข้อมูลด้วย เช่น วิธีการทำงานของ MD สไตล์การพรีเซ็นต์ของ CEO หรือวิธีที่เจ้านายเจรจากับแผนกอื่น เรื่องพวกนี้เป็นความรู้อีกแบบนึงที่จะเป็นประโยชน์กับคุณในอนาคตค่ะ

    :: โอกาสไม่ได้มาในรูปของตัวเงินอย่างเดียว ::

    ถึงหัวกระทู้จะพูดถึงเรื่องเงินเป็นหลัก แต่จริง ๆ แล้วโอกาสไม่ได้มาในรูปของเงินอย่างเดียวค่ะ เวลาพิจารณารับโอกาสไว้ ใช่ว่าจะวัดด้วยตัวเงินเท่านั้น แต่มีทั้งเรื่องของความท้าทาย เรื่องของการสร้างโปรไฟล์

    ตรงนี้ต้องพิจารณาประกอบกันไปนะคะ

    :: คุม Project กันเถอะ ::

    พอเป็น manager กะเค้าได้ไม่ถึงครึ่งปี ตอนนั้นรู้สึกเหนื่อยมาก ๆ เดินเข้าไปคุยกับ GM บอกว่าไม่ไหวแล้วอยากจะออก เพราะคนก็หาไม่ได้ งานเยอะมาก ๆ เคยกลับบ้านแบบตอนเช้า เพราะต้องส่งงานลูกค้า

    พอมาทบทวนดู คือ ตอนนั้นเรายังไม่มีประสบการณ์ ถึงมีทีม แต่เราบริหารเวลาไม่ค่อยดี แถมยังประเมินเวลาการทำงานต่ำกว่าความเป็นจริงตลอด กระจายงานไม่ดี ทำให้เราเหนื่อยมาก ตอนหลังก็พยายามปรับปรุงเรื่องนี้

    GM บอกว่าเอางี้ อย่าพึ่งออก หยุดพักไปก่อนเลย เดือนนึงพอไหม เดี๋ยวทางนี้หาคนทำให้ แล้วอยากไปทำอย่างอื่นหรือเปล่า พอดีมีโปรเจคท์ใหม่เข้ามาอันนึง สนใจไหม ถ้าสนใจเดี๋ยวจะให้ไปทำ ไปฟอร์มทีมเองเลย

    เราดูแล้วก็สนใจ ก็เลยรับโอกาสไว้

    ลุยโปรเจคท์ได้ประมาณปีครึ่ง คือ ตั้งแต่เริ่มต้นจนมากลาง ๆ เฟส เน้นการวางแผนที่ดี แล้วก็ปรับปรุงข้อด้อยของเราที่พูดถึงไว้ข้างต้น ตอนนั้นเราไม่ได้คิดถึงเงินเดือนเท่าไหร่ เงินก็ปรับเรื่อย ๆ ตามปี คิดแต่เรื่องความสำเร็จของโปรเจคท์มากกว่า

    วันนึง GM ก็เรียกไปคุยบอกว่า คิดว่าถึงเวลาที่เราควรจะได้รับสิ่งตอบแทนจากการทำโปรเจคท์นี้ ก็บอกว่า เพิ่มเงินเดือนจาก 35,xxx ให้เป็น 5x,xxx นะ

    โอ้.... ปลาบปลื้ม

    :: ลูกน้องที่รัก ::

    ทั้งหมดทั้งปวง เราจะประสบความสำเร็จในฐานะ manager ไม่ได้เลย ถ้าไม่มีลูกน้องดี ๆ ทีมที่ดี เหมือนกับที่คุณต้องรู้สไตล์เจ้านาย คุณก็ต้องรู้สไตล์ลูกน้องด้วยเช่นกัน ใช้คนให้ถูกงาน ยังคงใช้ได้เสมอ

    แต่สิ่งที่คุณเพิ่มเติมให้ลูกน้องได้ คือ การ coach, train เพื่อดึงศักยภาพของเค้าให้ออกมาได้มากที่สุด ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็อาจจะต้องหาทางออกให้โดยให้ไปทำทีมอื่นที่เชื่อว่าจะเหมาะกับเขามากกว่า

    เราชอบให้ลูกน้องโต ได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่ต้องผ่านเราทั้งหมด เพื่อให้มีโอกาสดี ๆ ในอนาคต

    เราไม่เคยดราม่าใส่ลูกน้อง ถ้าจะชมก็ชมต่อหน้าทั้งทีม ถ้าจะตำหนิก็ไปว่ากันสองคน ว่าแล้วจบ ไม่มีการขุดคุ้ย กระแนะกระแหน

    เวลาลูกน้องอยากจะออก เราเป็นคนให้คำแนะนำด้วยซ้ำว่าจะเลือกงานยังไง เพราะนั่นคืออนาคตที่ดีกว่าของเขา ทุกวันนี้ลูกน้องเก่า ๆ ก็ยังอยากให้ไปสังสรรค์ด้วยเสมอ ๆ

    :: ถึงเวลาโตไปอีกก้าว ::

    หลังจากทำงานโปรเจคท์มาจนจบเฟสแรกกับบริษัทนี้ ประมาณ 3 ปีกว่า ถึงเป็นบริษัทที่เรารักมาก ๆ แต่ก็เริ่มมองว่าน่าจะถึงเวลาที่ต้องก้าวขึ้นไปอีก คราวนี้ก็มองบริษัทที่ใหญ่ขึ้นไปอีก อยู่ในวงการเดิม แต่รายละเอียดงานต่างไปจากเดิมค่อนข้างมาก ซึ่งก็มองว่าเป็นข้อดีในการที่จะเพิ่มความรู้ให้กว้างขึ้นไปอีก

    มาถึงตรงนี้เราคิดว่าหลัก ๆ คนทำงานบริษัทจะโตไปได้ 2 ทาง คือ

    Specialist ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เช่น สอบบัญชี นักกฎหมาย หรือโปรแกรมเมอร์
    ผู้บริหาร

    ซึ่งเราจะต้องวางแผนว่าจะไปทางไหน สำหรับเราคือขอขึ้นไปทางผู้บริหาร ดังนั้น ความรู้แบบกว้างในวงการเป็นเรื่องสำคัญ

    ก็ตัดสินใจไปที่ใหม่เพื่อวัตถุประสงค์นี้ ด้วยข้อเสนอที่ 7x,xxx

    :: ทักษะการพรีเซ็นต์ และ ภาษาอังกฤษ ::

    2 ทักษะนี้สำคัญมากกก ถ้าคุณอยู่ในระดับบริหาร

    จริง ๆ ภาษาอังกฤษสำคัญกับทุกระดับ แต่จะยิ่งเพิ่มความสำคัญขึ้นไปอีกหลายเลเวล ถ้าคุณเป็นผู้บริหาร โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้องค์กรใหญ่ ๆ มีหลายชาติ หลายภาษา ภาษาอังกฤษยังไงก็จำเป็นต้องใช้ เพราะถึงคุณจะเป็นคนมีความสามารถขนาดไหน แต่ถ้าไม่สามารถสื่อสารออกไปได้ดี คุณจะพลาดโอกาสดี ๆ ไปอย่างน่าเสียดาย

    ดังนั้น พอมาถึงระดับนี้ นอกจากทำงานดี เจ้านายชอบ เพื่อนร่วมงานและลูกน้องรัก คุณจำเป็นต้องสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษในระดับที่ดีมาก และมีทักษะการพรีเซ็นต์ในระดับที่ดี

    เราเองแรก ๆ ก็สั่น ๆ ต้องพูดต่อหน้าคน 50 คน แต่บ่อย ๆ เข้าก็เริ่มชิน ก็ยังตื่นเต้นนิดหน่อย แนะนำว่าต้องฝึกบ่อย ๆ มีโอกาสก็ออกไปพูด

    เคยไปเข้าคอร์สกับต่างชาติทั้งคลาสเลย แล้วก็พบสัจธรรมว่า การที่ต้องออกไปพรีเซ็นต์ต่อหน้าคนมาก ๆ ไม่ใช่แค่คนไทยที่กลัว ทั้งฝรั่ง ทั้งเอเชียชาติอื่น ก็กลัวไม่แพ้กัน 555

    ทำงานมาได้ปีกว่า ๆ เจ้านายก็โปรโมทแล้วก็เพิ่มเงินเดือนให้เป็น 8x,xxx

    :: Recruitment, Head hunter ::

    ในช่วงเงินเดือนระดับนี้ Recruitment, Head hunter เข้ามามีบทบาทมาก เราฝากโปรไฟล์ไว้หลายที่ เลือกที่เป็นระดับท็อป ๆ จะช่วยให้มีโอกาสเข้ามาเยอะ และ agency เหล่านี้จะช่วยต่อรองเงินเดือนให้เราได้ค่อนข้างดี

    ถึงคุณอาจจะยังไม่ได้อยากเปลี่ยนงานช่วงนี้ แต่การฝากโปรไฟล์ไว้ก็ไม่ได้เสียหายอะไร ในไทย ส่วนมากคนหางานไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้เอเย่นต์อยู่แล้ว

    ช่วงนี้เอเย่นต์ก็เอางานมาเสนอให้เลือกอยู่เป็นระยะ ๆ จนเจองานที่ถูกใจในที่ใหม่ ประกอบกับโปรเจคท์ปัจจุบันกำลังจะเสร็จพอดี รวมประสบการณ์ทำงานทั้งหมด ตั้งแต่บริษัทแรกจนถึงปัจจุบันประมาณ 8 ปี สุดท้ายก็ตัดสินใจย้ายงานด้วยข้อเสนอที่ 1xx,xxx

    มีบางอย่างที่เราไม่ได้พูดไว้อย่างชัดเจนตอนแรก แต่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ คือ

    ทัศนคติ

    เวลามีคนมาพูดเรื่องเงินเดือนสูง ๆ คุณมีความคิดแบบไหนขึ้นมาก่อน

    ไม่จริงหรอก เว่อร์
    รายได้ไม่สำคัญเท่ากับเงินเก็บ จริงหรือ?
    เขาทำได้อย่างไร

    อย่างแรกคุณต้องมีความเชื่อก่อน ว่าเราก็สามารถทำได้

    ถึงตรงนี้เราก็ต้องขอบคุณหลาย ๆ ท่านในพันทิปที่ประสบความสำเร็จมาก่อน และก็นำประสบการณ์มาแบ่งปัน บางท่านเราถามเพิ่มเติมไปหลังไมค์ก็อธิบายอย่างเต็มที่ ซึ่งเราเอามาปรับใช้กับการทำงานอยู่เสมอ ^_^

    การวางแผน

    ชีวิตก็เหมือนการรบ คุณต้องรู้จักวางแผน รู้จักภูมิประเทศพื้นที่ รบยังไงถึงจะได้เปรียบ ต้องหาอาวุธอะไรมาใช้ เพื่อให้ชนะ

    การทำงานคุณก็ต้องรู้จักวางแผน ทบทวนเป้าหมายระยะสั้น ระยะยาวอยู่เสมอ รู้ว่าองค์กรเป็นยังไง เจ้านาย ลูกน้องเป็นยังไง เพิ่มเติมทักษะตัวเองตรงจุดไหนเพื่อให้ทำงานได้ดีขึ้น

    ถ้ารู้ว่ารบไม่ชนะ บางทีก็ต้องยอมถอยทัพ การทนทำงานที่เดิมหลาย ๆ ปี โดยไม่มีอะไรดีขึ้น สุดท้ายเราก็คงจะแพ้ ดังนั้นการตัดสินใจที่ทันเวลา มีความจำเป็นอย่างยิ่ง

    ความสนุกกับการทำงาน และ Work-life balance

    ขออนุญาตเพิ่มเติมไปตอนจบนิดนึงนะคะ กระทู้นี้ไม่ได้มีเจตนาให้มุ่งแต่ทำงานหาเงินอย่างเดียว แต่ถ้าอ่านจากเนื้อหาจะเห็นว่า การทำงานต้องสนุกไปกับงานด้วย แล้วโอกาสดี ๆ จะตามมา

    อีกอันนึงที่สำคัญมาก คือ อันนี้เป็นชีวิตด้านเดียวของเรานะคะ ^_^ จริง ๆ แล้วยังมีสังคมด้านอื่น อย่างครอบครัว เพื่อน ๆ งานอดิเรก ซึ่งต้องบริหารเวลาให้ดีเช่นกันค่ะ
    ...........................................

    เป็นครั้งแรกที่เขียนกระทู้ยาวขนาดนี้
    หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อยนะคะ

    ขอบคุณค่ะ
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มีตัวป่วนภายในองค์กรทำอย่างไรดี...หาวิธีรับมือกันดีกว่า
    -http://hilight.kapook.com/view/85439-


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    เมื่อสถานที่ทำงานเป็นแหล่งรวมของคนร้อยพ่อพันแม่ จึงเป็นเรื่องปกติที่เราจะได้เจอคนที่มีนิสัยใจคอ และความคิดเห็นไม่เหมือนกัน และมั่นใจได้เลยว่า ในที่ทำงานทุกแห่งจะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนล่ะที่เพื่อนร่วมงานยกให้เป็น "ตัวป่วน" จากพฤติกรรมไม่พึงประสงค์บางอย่างที่ไม่ได้ทำให้เพื่อนร่วมงานรู้สึกประทับใจเลย ว่าแล้ว...ก็ลองมองไปรอบ ๆ ที่ทำงานของคุณดูซิว่ามีใครเป็นตัวป่วนกวนใจในองค์กรของคุณหรือเปล่า แล้วจะรับมือกับพวกเขาอย่างไรดีล่ะ กระปุกดอทคอม หยิบคำแนะนำดี ๆ ในการจัดการกับ "ตัวป่วน" มาบอกกัน

    จับกลุ่มเม้าท์เสียงดัง

    เมื่อผู้หญิงได้รวมตัวกันเมื่อไร มีหรือที่จะอยู่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ ส่วนใหญ่ก็ต้องหาประเด็นมาคุยกันทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นการช้อปปิ้ง อาหาร หรือละครที่เพิ่งดูมาเมื่อคืน แต่ถ้าการเม้าท์ของสาว ๆ เกิดขึ้นระหว่างเวลาทำงาน แถมยังเม้าท์กันนานสองนานไม่รู้จักเหนื่อย เพื่อนร่วมงานก็คงต้องบอกกล่าวพวกเธอกันหน่อย แต่ขอให้พูดอย่าง "ใจเย็น" ว่าเพื่อน ๆ มีงานค้างที่ต้องเร่งทำอยู่นะ จำเป็นต้องใช้สมาธิ เพื่อให้พวกเธอหยุดเม้าท์ สิ่งสำคัญคือ จำไว้ว่า "อย่าไปโวยวายใส่พวกเธอเชียว" เพราะอาจโดนวีนกลับมาได้ แค่พูดดี ๆ ก็น่าจะเข้าใจแล้วล่ะ


    นินทาว่าร้าย จิกกัดชาวบ้าน

    เม้าท์นิด ๆ หน่อย ๆ พอขำ ๆ คงไม่เป็นไร แต่ถ้าใครเกิดเป็นพวกชอบจิกกัดชาวบ้านแบบนินทาว่าร้ายอิจฉาไปทั่วล่ะก็ แบบนี้ออฟฟิศปั่นป่วนแน่ แล้วหากคนที่ถูกจิกกัดเป็นเราล่ะจะทำอย่างไรดี? ง่ายที่สุดเลยก็คือ "วางเฉย" ซะ ยึดคติ "หมากัดอย่ากัดตอบ" แล้วเขาจะเลิกยุ่งกับเราไปเอง เพราะแกล้งอยู่ฝ่ายเดียวมันไม่สนุกหรอกนะ แล้วเชื่อเถอะค่ะว่าคนอื่น ๆ เขาก็รู้เหมือนกันว่าใครมีนิสัยแบบไหน เขาคงจะไม่ได้จิกกัดคุณคนเดียวแน่ ๆ แต่ถ้าเราไปโต้ตอบเขา เราก็อาจถูกมองเป็นคนแบบนั้นไปด้วยก็ได้นะ

    ชอบปล่อยข่าวลือป่วนองค์กร

    ข่าวลือเกี่ยวกับองค์กรสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ แล้วบางทีข่าวมักจะถูกปล่อยมาจากคนกลุ่มเดียวกันซะด้วย ทางแก้ไขก็คือ เราต้องไม่กระจายข่าวนั้นต่อ หรือไม่วิเคราะห์อะไรเพิ่มเติม แค่รับฟังมาก็พอ แล้วให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องจัดการกับปัญหานี้ เช่น ฝ่ายบริหารอาจจะจัดให้มีประชุมชี้แจงข่าวสารทุกเช้าก่อนเริ่มงาน หรือให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ หรือฝ่ายบุคคล ช่วยชี้แจงแก้ไขข่าวลือดังกล่าว แต่ในหลาย ๆ บริษัท อาจใช้วิธีการสร้างข่าวใหม่ขึ้นมาเบี่ยงเบนข่าวลือเดิม เพื่อไม่ให้เป็นประเด็นลุกลามต่อไป ซึ่งก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ข่มขู่ คุกคาม อันธพาลครองออฟฟิศ

    คนบางคนมีนิสัยชอบข่มขู่ บีบบังคับให้คนอื่นทำตามความคิดเห็นของตัวเอง หากไม่ยอมทำก็จะแอบแทงข้างหลังด้วยสารพัดวิธี ถ้าคุณกำลังตกเป็นเป้าของคนเหล่านี้ พยายามอย่าตอบโต้กลับไปด้วยอารมณ์ และอย่าพยายามไปมีเรื่องกับเขา ให้ทำเป็นไม่รู้สึกสะทกสะท้าน พูดด้วยท่าทีสงบ เชื่อมั่นในสิทธิของตัวเอง หากถูกรุกรานหนัก ๆ ให้เดินเลี่ยงไป เมื่อเขาเห็นว่าคุณไม่เล่นด้วย ก็จะเลิกยุ่งกับคุณไปเอง แต่ถ้าเขายังตามราวีไม่เลิก เห็นทีจะต้องแจ้งให้ผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่า หรือฝ่ายบุคคลรับทราบ เพื่อจัดการปัญหานี้อย่างจริง ๆ จัง ๆ

    ชอบคุยโทรศัพท์เสียงดัง

    ไม่ว่าจะคุยโทรศัพท์กับลูกค้า หรือคุยโทรศัพท์เรื่องส่วนตัว แต่รู้กันไปทั่วห้องแบบนี้ แล้วเพื่อนร่วมงานจะมีสมาธิทำงานไหมล่ะนั่น แต่รู้ไหมคะว่าคนบางคนจะติดนิสัยพูดเสียงดังเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว แถมเจ้าตัวอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นแล้ว ควรให้คนที่สนิทสนมกับเขาไปบอกให้เขารู้ตัวหน่อยนะว่า ตัวเขาเป็นคนพูดเสียงดังนะ เพื่อให้เขารู้ตัวและปรับพฤติกรรมของตัวเองให้พูดเบาลง เพราะการพูดเสียงดังนอกจากจะรบกวนคนอื่นแล้ว ยังทำให้ดูเสียบุคลิกด้วย แต่ถ้าเขาปรับการพูดไม่ได้จริง ๆ ก็แนะนำไปว่า ถ้ามีธุระส่วนตัวต้องคุยก็ขอให้ปลีกตัวออกมาคุยนอกบริเวณห้องทำงานจะดีกว่า จะได้ไม่รบกวนคนอื่นเขาไง

    ใช้น้ำหอมกลิ่นแรงฟุ้งไปทั่วออฟฟิศ

    กลิ่นน้ำหอมที่ไปเตะจมูกใครต่อใครอาจเป็นหนึ่งในวิธีบริหารเสน่ห์ของหนุ่ม ๆ สาว ๆ หลายคน แต่ถ้าเกิดใช้น้ำหอมกลิ่นแรง หรือเผลอฉีดมากไปราวกับไปตกถังน้ำหอมมา เดินไปไหนก็ทิ้งกลิ่นไว้ทั่ว แบบนี้เพื่อนร่วมงานได้ส่ายหัวกับกลิ่นไม่พึงประสงค์แน่ ๆ เพราะกลิ่นหอมจะกลายเป็นกลิ่นเหม็นไปในบัดดล วิธีรับมือขั้นแรกก็คือการบอกตรง ๆ ให้เจ้าตัวรู้นั่นเอง โดยให้เหตุผลว่า หลายคนแพ้กลิ่นน้ำหอมของเขาหรือเธอนะ แต่ถ้าเขาหรือเธอไม่สนใจรับฟังสิ่งที่คุณพูด เรื่องเล็ก ๆ เรื่องนี้ก็อาจจะต้องถึงหูเจ้านายเสียแล้ว ซึ่งเจ้านายหรือฝ่ายบุคคลก็ไม่ควรเพิกเฉยกับปัญหานี้ เพราะถึงแม้จะดูเป็นเรื่องส่วนตัว แต่กลิ่นแรง ๆ แบบนี้ก็กระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงานของเพื่อนร่วมงานได้เช่นกัน

    บุกรุกพื้นที่ส่วนตัว

    ในออฟฟิศหลาย ๆ แห่ง โต๊ะทำงานของแต่ละคนจะมีพาร์ทิชั่นไว้กั้นความเป็นส่วนตัว แต่เพื่อนร่วมงานบางคนอาจจะชอบมายืนพิงพาร์ทิชั่น หรือชอบมานั่งเก้าอี้ว่าง ๆ ข้าง ๆ โต๊ะคุณ ชวนคุยนู้นคุยนี่ ชวนกินขนม ฯลฯ จนคุณไม่มีสมาธิทำงาน ดังนั้น หากคุณไม่ปรารถนาให้เพื่อนร่วมงานมายุ่งกับคุณในตอนนั้น ก็ให้วางกระเป๋า สิ่งของ หรือเสื้อคลุมไว้บนเก้าอี้ตัวที่ว่างไว้ เพื่อที่เขาจะได้ไม่มานั่ง หรือถ้าไม่อยากให้ใครมายืนพิงพาร์ทิชั่นของคุณ ก็ให้หารูปถ่าย หรือสิ่งของอะไรจุกจิก ๆ มาติดไว้ตรงพาร์ทิชั่น เขาจะได้ไม่กล้ามายืนพิงตรงที่คุณนั่ง ซึ่งเหมือนกับกำลังรุกล้ำพื้นที่ของคุณนั่นเอง


    กินแล้วไม่ยอมล้างถ้วยล้างจาน

    เบื่อจริง ๆ เลย ภาพของจานชามถ้วยโถวางกองพะเนินอยู่บนโต๊ะกินข้าว หรือแม้กระทั่งวางอยู่ในอ่างล้างจานแท้ ๆ แต่กลับไม่ยอมล้าง คนประเภทนี้เห็นกันบ่อยมากแทบจะทุกออฟฟิศ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี สิ่งหนึ่งที่ทำได้ก็คือ ลองปรึกษาแม่บ้านหรือฝ่ายบุคคลซึ่งมีหน้าที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรงให้ช่วยตักเตือนพนักงานอย่างอ้อม ๆ ก่อน เช่น การติดป้ายประกาศขอความร่วมมือ หรือถ้ายังไม่ยอมให้ความร่วมมืออีกก็อาจจะต้องให้คนที่มีอำนาจไปตักเตือนเขาโดยตรงเลย

    ชอบลา มาสายบ่อย ๆ

    พนักงานบางคนชอบมาสายเป็นกิจวัตร แถมยังลาการลางานกันบ่อย ๆ บางทีก็อ้างว่า "ป่วยกะทันหัน" ในวันที่ต้องส่งงานหรือเข้าประชุมซะงั้น ทำให้งานการไม่เดินสักที ถ้าป่วยจริง ๆ ก็คงไม่มีใครว่า แต่ถ้าอ้างแบบนี้จนขาดประชุมอยู่เรื่อย ๆ หรือทำงานไม่เสร็จสักที ก็ถือเป็นตัวป่วนของเพื่อนร่วมงานได้เหมือนกันนะ เมื่อเป็นเช่นนี้ หัวหน้างานก็คงต้องตรวจสอบให้ชัด ๆ แล้วล่ะว่า ถ้าลูกน้องของคุณมีพฤติกรรมลักษณะนี้บ่อยเกินไป ก็คงต้องพูดคุยกันว่า จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการมาสายได้อย่างไร หากบ้านไกลก็ต้องตื่นให้เร็วขึ้น หรือถ้าชอบลาบ่อย ๆ ก็คงต้องถามแล้วล่ะว่ามีธุระอะไรสำคัญ ถ้าป่วยบ่อย ๆ ก็ถามว่ามีโรคประจำตัวอะไร หรือต้องไปพบแพทย์บ่อยแค่ไหน และขอให้นำใบรับรองแพทย์มาให้ดูด้วย

    ตู้เย็น

    ผีตู้เย็น เผลอเป็นต้องฉกอาหาร

    เคืองสุด ๆ เลยใช่ไหมล่ะ เวลาที่เราซื้ออาหาร หรือขนมอะไรมาทิ้งไว้ในตู้เย็น แล้วพอวันรุ่งขึ้นเปิดมา อ้าว! ขนมของเราหายไปไหนซะแล้วล่ะ (บางทีแค่วางทิ้งไว้ชั่วโมงเดียวก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย) ควานหาเท่าไรก็ไม่เจอ ยิ่งเซ็งก็ยิ่งหิว ยิ่งหิวก็ยิ่งหงุดหงิด ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ ลองมองโลกในแง่ดีก่อนค่ะว่า บางทีอาจจะมีคนหยิบผิดไปก็ได้ เดี๋ยวก็คงนำมาคืน แต่ถ้าถึงที่สุดแล้วก็ยังจับมือใครดมไม่ได้ ก็ทำใจซะ แล้วครั้งหน้าให้เขียนชื่อติดถุง หรือติดกล่องอาหารไว้ จะได้ไม่มีใครเผลอหยิบผิด แต่ถ้าจนแล้วจนรอดผีตู้เย็นยังจะกินขนมของเราให้ได้ ครั้งหน้าก็ไม่ต้องแช่ตู้เย็นแล้วล่ะ หากล่องเก็บความร้อน หรือกล่องมาใส่ขนมแล้ววางไปบนโต๊ะเรานั่นแหละ จะได้ไม่ต้องอารมณ์เสียกับอาหารที่หายไปอีก

    ทำใจยอมรับเถอะค่ะว่า "ตัวป่วน" มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เมื่อมันหลีกเลี่ยงได้ยากนัก ก็คงต้องพยายามหาวิธีรับมือคนพวกนี้ไว้ เราจะได้ยังมีความสุขในการทำงานต่อไปนั่นเอง เอ...ว่าแต่เพื่อน ๆ เจอตัวป่วนแบบไหนในที่ทำงานบ้างนะ แล้วจัดการปัญหาเหล่านั้นอย่างไร มาเล่าให้ฟังบ้างนะจ๊ะ

    มีตัวป่วนภายในองค์กรทำอย่างไรดี...หาวิธีรับมือกันดีกว่า

    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผีโหวตคาร์ริคแข้งแห่งปี-โรบินขวัญใจแฟน+ประตูแห่งปี
    -http://football.kapook.com/news_inside.php?id=17547&key=news-

    [​IMG]

    ข่าวฟุตบอล เหล่านักเตะภายในทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างร่วมกันโหวตลงคะแนน ให้ ไมเคิ่ล คาร์ริค คว้าตำแหน่งนักเตะแห่งปีของสโมสรไปครอง ขณะที่ โรบิน ฟาน เพอร์ซี ได้รางวัลขวัญใจแฟนบอล พ่วงรางวัลประตูแห่งปี ชอตระเบิดตาข่าย แอสตัน วิลล่า

    คาร์ริค วัย 31 ปี โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาลนี้ จนถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (พีเอฟเอ) ซึ่งแม้จะพลาดรางวัลดังกล่าวแต่ห้องเครื่อง "ปิศาจแดง" ก็ได้รับการโหวตจากเพื่อนร่วมทีมให้เป็น "นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสร" ประจำฤดูกาล 2012-13

    "แน่นอนว่ารางวัลนี้มีความหมายกับผมอย่างมาก ผมทำงานร่วมกับเพื่อนๆ ทุกวันและฝึกซ้อมร่วมกันตลอด" คาร์ริค กล่าวเปิดใจ

    "สปิริตของทีมเรานั้นยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่ นักเตะจากทั่วโลกมาค้าแข้งและเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งแต่ละคนต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก"

    "สำหรับการที่พวกเขาโหวตลงคะแนนให้กับผมในปีนี้มีความหมายต่อผมมากจริงๆ! มันเป็นอะไรที่พิเศษสำหรับตัวผมมาก"

    [​IMG]

    ขณะเดียวกัน โรบิน ฟาน เพอร์ซี กองหน้าชาวดัตซ์ ที่โชว์ฟอร์มทำประตูได้ถึง 25 ประตูในลีก ก็ได้รางวัลขวัญใจแฟนบอล "เซอร์ แม็ตต์ บัสบี้ อวอร์ดส์" โดยได้รับเสียงโหวตจากแฟนผีทั่วโลกจำนวน 41.5% ตามมาด้วย ไมเคิ่ล คาร์ริค ที่ได้รับคะแนนโหวต 29% ส่วนในอันดับที่ 3 ตกเป็นของ ดาวิด เด เคอา ที่ได้รับเสียงโหวต 11.5%

    "นี่เป็นแผนของผมมาเสมอ" เพอร์ซี่ กล่าวยิงมุข

    "ถ้าพูดตามความจริงนะ มันเหนือกว่าความคาดหวังของผม การได้อยู่กับเพื่อนๆ ทุกคนนั้นส่งผลกระทบให้กับผมตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในสโมสร"

    "แนวทางที่พวกเขาต้อนรับผมส่งผลต่อผมมาก และแน่นอนว่าการได้ทำงานร่วมกับเซอร์อเล็กซ์ และไมค์ ฟีแลน พร้อมทั้งทีมงานคนอื่นๆถือว่าเป็นเกียรติของผม"

    "ผมต้องบอกว่าการคว้าแชมป์ลีกได้นั้นเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ มันยอดเยี่ยมเหลือเกินแต่บางทีหนทางที่นำเราไปสู่แชมป์นั้นยอดเยี่ยมยิ่งกว่า"

    "การได้อยู่ร่วมกันทุกวัน และทำงานในรายละเอียดต่างๆ, พยายามทำผลงานให้ดีขึ้นทีละขั้นตอน, เอาชนะคู่ต่อสู้และความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือผลการแข่งขันและถ้วยรางวัล"

    "ในปีนี้มันน่าอัศจรรย์เหลือเกิน ผมอยากจะขอขอบคุณเพื่อนๆทุกคน, ทีมงานและแฟนบอล ซึ่งให้การต้อนรับผมอย่างยอดเยี่ยมตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้ามา"

    "ถือเป็นเกียรติของผมอย่างมาก ทุกๆ อย่างส่งผลกระทบต่อผมอย่างยิ่งใหญ่ และผมยังคงตื่นเต้นกับสิ่งที่ผ่านมาตลอด 10 เดือน"

    "หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเราจะทำผลงานได้ดีขึ้นไปอีก เอาชนะและคว้าถ้วยรางวัลให้ได้มากกว่านี้"

    [​IMG]

    นอกจากนี้ อาร์วีพี ยังคว้ารางวัล "ประตูยอดเยี่ยมแห่งปี" จากจังหวะวอลเลย์สุดสวยในเกมทีเอาชนะ แอสตัน วิลล่า 3-0 ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

    โดย เพอร์ซี่ ระบุว่า "มันเป็นสัญชาตญาณ ผมมองบอลและคิดว่าเขาผ่านบอลได้งดงามมาก สวยงามเกินกว่าจะมาจับบอลลงพื้นก่อน"

    "ถ้ามันห่างไปทางซ้ายหรือขวาอีกสักครึ่งเมตร ผมคงจะไม่มีโอกาสได้ยิง"

    "เวย์นและผมพูดคุยกันถึงเรื่องที่ว่าเขาจะวางบอลจากแถวๆตำแหน่งแบ็คขวามาตลอดทั้งสัปดาห์"

    "พวกเราพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ในทุกๆ วันของการฝึกซ้อม และหลังจากนั้นก่อนเกมการแข่งขัน เวย์น บอกกับผมว่า 'โรบิน อย่าลืมบอลแบบนั้นนะ ฉันจะผ่านบอลให้นายแบบนั้นในวันนี้' และมันก็เป็นการผ่านบอลที่สมบูรณ์แบบ ยอดเยี่ยมเหลือเกิน"

    "สิ่งเดียวที่ผมต้องทำก็คือกะจังหวะการวิ่งให้ถูกต้อง ในช่วงวินาทีสุดท้ายผมตัดสินใจที่จะยิงและโชคก็เข้าข้างที่ทุกอย่างลงตัวพอดิบพอดี"

    ทั้งนี้ ประตูดังกล่าวได้รับเสียงโหวตกว่า 70% แซงหน้าประตูของราฟาเอล ดา ซิลวาที่ยิงใส่ ควีนสพาร์ค เรนเจอร์ส และประตูของเวย์น รูนี่ย์ ที่ยิงได้ในเกมกับนอริช ซิตี้ไปครอบครอง

    Robin Van Persie Volley 2nd Goal Manchester United Vs Aston Villa 3 - 0 Match Highlights 22/4/13 - YouTube

    Robin Van Persie Volley 2nd Goal Manchester United Vs Aston Villa 3 - 0 Match Highlights 22/4/13 - YouTube
    -http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=HxNlAcdsff8-
    Robin Van Persie Volley 2nd Goal Manchester United Vs Aston Villa 3 - 0 Match Highlights 22/4/13

    Rafael Da Silva Amazing Goal Manchester United vs QPR 2-0 Goals & Highlights 23/02/2013 - YouTube

    Rafael Da Silva Amazing Goal Manchester United vs QPR 2-0 Goals & Highlights 23/02/2013 - YouTube
    -http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=3a5NDo91lc8-
    Rafael Da Silva Amazing Goal Manchester United vs QPR 2-0 Goals & Highlights 23/02/2013



    Rooney goal vs Norwich - YouTube

    Rooney goal vs Norwich - YouTube
    -http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=VwQwvXcfTsY-
    Rooney goal vs Norwich


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=B8LxaCIVDXU&feature=player_embedded]Robin Van Persie Manchester United Goals 2012- 2013 HD - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=B8LxaCIVDXU&feature=player_embedded]Robin Van Persie Manchester United Goals 2012- 2013 HD - YouTube[/ame]
    -http://www.youtube.com/watch?v=B8LxaCIVDXU&feature=player_embedded-
    Robin Van Persie Manchester United Goals 2012- 2013 HD

    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    “อกร่องเขียว” ความอร่อยที่ถูกลืมเลือน
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 พฤษภาคม 2556 19:01 น.
    -http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000054006-

    [​IMG]
    มะม่วงอกร่องเขียว ถึงสีไม่สวย แต่หวานอร่อยโดนใจ
    ถึงหน้าข้าวเหนียวมะม่วงทีไร ก็เป็นต้องสรรหามะม่วงสุกสีสวยรสอร่อยมากินคู่กับข้าวเหนียวมูนหอมหวานทุกครั้ง ในปัจจุบันที่เห็นขายกันทั่วไปส่วนใหญ่ก็จะเป็นมะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้ เพราะมีสีเหลืองนวลสวย เนื้อเยอะ รสชาติหวานฉ่ำ กินทีไรก็เต็มปากเต็มคำ หรืออาจจะเป็นมะม่วงอกร่องทอง ซึ่งหากินได้น้อยหน่อย แต่ “108 เคล็ดกิน” ยังอยากจะแนะนำมะม่วงอีกสายพันธุ์หนึ่งที่เมื่อสุกแล้วก็หวานหอมไม่เป็นรองใครเช่นกัน นั่นก็คือ “มะม่วงอกร่องเขียว”

    เมื่อสมัยก่อน ถ้าจะกินมะม่วงสุกกับข้าวเหนียวมูนนั้น มะม่วงอกร่องเขียวเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งเลยทีเดียว ถือว่าเป็นมะม่วงสุกที่สุดยอดแล้ว เพราะว่าเนื้อกลิ่นหอม หวานอร่อยถูกใจ ความแตกต่างจากอกร่องทอง อยู่ที่เมื่อผลสุก เปลือกของอกร่องเขียวจะเป็นสีเขียวอ่อนอมเหลือง แต่มีกลิ่นหอมมาก ส่วนเนื้อข้างในนั้นสีก็จะออกขาวซีดๆ ไม่เหลืองเท่าอกร่องทอง และไม่เหลืองจัดเท่าน้ำดอกไม้ หากนำมากินคู่กับข้าวเหนียวมูน จะได้ความนุ่มหวานมันจากข้าวเหนียว และความหวานเข้มข้นจัดจ้านจากอกร่องเขียว นับว่าเป็นการกินข้าวเหนียวมะม่วงที่แสนจำเริญใจเสียจริง

    แต่เหตุที่ปัจจุบันคนไม่นิยมกินกันแล้วก็เนื่องมาจาก อกร่องเขียวนั้นมีเนื้อน้อย เมื่อสุกแล้วสีไม่สวยเท่ากับพันธุ์อื่นๆ แถมยังเปลือกบาง ช้ำง่าย ทำให้ขายไม่ได้ราคา แม่ค้าจึงไม่นิยมนำมาวางขาย ทำให้คนกินอย่างเราๆ ไม่ได้ลิ้มรสความอร่อยกัน

    สำหรับคนที่อยากกินมะม่วงอกร่องเขียว ถ้าอยู่ในเมืองกรุงอาจจะหายากเสียหน่อย แต่ถ้าไปตามต่างจังหวัด เช่น แถวๆ สิงห์บุรี อ่างทอง เป็นต้น ก็ยังเห็นมีวางขายอยู่ตามตลาดบ้างบางแห่ง



    -http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000054006-

    Travel - Manager Online - “อกร่องเขียว” ความอร่อยที่ถูกลืมเลือน

    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พจนานุกรมพุทธศาสตร์
    ฉบับประมวลธรรม
    พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
    พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)

    -http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=89-

    [89] บุญกิริยาวัตถุ 10 (ที่ตั้งแห่งการทำบุญ, ทางทำความดี — bases of meritorious action)
    1. ทานมัย (ทำบุญด้วยการให้ปันสิ่งของ — meritorious action consisting in generosity; merit acquired by giving)
    2. สีลมัย (ทำบุญด้วยการรักษาศีลหรือประพฤติดี — by observing the precepts or moral behavior)
    3. ภาวนามัย (ทำบุญด้วยการเจริญภาวนาคือฝึกอบรมจิตใจ — by mental development)
    4. อปจายนมัย (ทำบุญด้วยการประพฤติอ่อนน้อม — by humility or reverence)
    5. เวยยาวัจจมัย (ทำบุญด้วยการช่วยขวนขวายรับใช้ — by rendering services)
    6. ปัตติทานมัย (ทำบุญด้วยการเฉลี่ยส่วนแห่งความดีให้แก่ผู้อื่น — by sharing or giving out merit)
    7. ปัตตานุโมทนามัย (ทำบุญด้วยการยินดีในความดีของผู้อื่น — by rejoicing in others’ merit)
    8. ธัมมัสสวนมัย (ทำบุญด้วยการฟังธรรมศึกษาหาความรู้ — by listening to the Doctrine or right teaching)
    9. ธัมมเทสนามัย (ทำบุญด้วยการสั่งสอนธรรมให้ความรู้ — by teaching the Doctrine or showing truth)
    10. ทิฏฐุชุกัมม์ (ทำบุญด้วยการทำความเห็นให้ตรง — by straightening one’s views or forming correct views)



    ข้อ 4 และข้อ 5 จัดเข้าในสีลมัย; 6 และ 7 ในทานมัย; 8 และ 9 ในภาวนามัย; ข้อ 10 ได้ทั้งทาน ศีล และภาวนา

    D.A.III.999;
    Comp.146. ที.อ. 3/246;
    สังคหะ 29.


    พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พิมพ์ครั้งที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๔๖
    http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=89


    บันทึก ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๗, ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๘ การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจาก พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พิมพ์ครั้งที่ ๗ พ.ศ. ๒๕๓๕, พิมพ์ครั้งที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๔๖ หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ -DhammaPerfect@yahoo.com-


    http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=89

    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อานิสงส์บุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ


    -http://www.watkaokrailas.com/articles/41930919/igetweb-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%96%E0%B8%B8%2010%20%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3.html-




    ---บุญกิริยาวัตถุ (อรรถกถา เล่มที่ 75 หน้า 427) หมายถึง การกระทำที่เป็นบุญ มีอยู่ 10 อย่าง โดยแบ่งเป็น 3 หมวด คือ หมวดทาน หมวดศีล หมวดภาวนา บุญกิริยาวัตถุ 3


    *หมวดทาน


    ---1.การทำทาน (ทานมัย)


    ---2.การอุทิศบุญกุศลให้ผู้อื่น (ปัตติทานมัย)


    ---3.การยินดีในความดีของผู้อื่นหรืออนุโมทนา (ปัตตานุโมทนามัย) หมวดศีล


    ---4.การรักษาศีล (สีลมัย)


    ---5.มีความอ่อนน้อมต่อผู้อื่น (อปจายนมัย)


    ---6.ช่วยเหลือขวนขวายในกิจที่ชอบ (เวยยาวัจจมัย) หมวดภาวนา


    ---7.การฟังธรรม (ธัมมัสสวนมัย)


    ---8.การแสดงธรรม (ธัมมเทสนามัย)


    ---9.การภาวนา (ภาวนามัย) หมวดที่เข้าได้กับทุกหมวด


    ---10.การทำความคิดเห็นให้ตรง (ทิฏฐุชุกัมม์) รายละเอียดเกึ่ยวกับการทำบุญทั้ง 10 อย่าง



    *1.บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน



    ---ทาน คือ การให้ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ



    *1.อามิสทาน


    ---หมายถึง การให้ทานด้วยวัตถุที่เป็นของนอกกาย เช่น เงิน สิ่งของ หรือของในกาย เช่น การบริจาคเลือด บริจาคอวัยวะ ซึ่งผลบุญที่ได้นั้น จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 4 อย่าง (พระไตรปิฎก เล่มที่ 14 ข้อ 719)



    ---1.1.ผู้ให้ทานมีความบริสุทธิ์ หมายถึง หากเราเป็นคนที่ไม่ถือศีลเลย เวลาเราทำทาน เราก็จะได้บุญน้อย หากเราเป็นคนที่ถือศีล เราก็จะได้บุญมากขึ้น ยิ่งศีลของเรามากขึ้น เราก็จะยิ่งได้บุญมากขึ้นด้วย



    ---1.2.วัตถุที่ให้มีความบริสุทธ์ คือ วัตถุทานได้มาโดยชอบ ไม่ได้ไปเบียดเบียนผู้อื่น เช่น ขโมยมา หรือ แย่งมา หรือฆ่าสัตว์เพื่อทำบุญ เป็นต้น



    ---1.3.เจตนาของผู้ให้บริสุทธิ์ หากเราให้ทานด้วยความรู้สึกบริสุทธิ์ใจ ด้วยความเมตตา ด้วยความปรารถนาดี ทั้งก่อนให้ ก็มีความสุขที่จะได้ให้ ขณะให้ก็มีความสุขใจ และหลังจากให้แล้วเมื่อนึกถึงที่ได้ทำไปก็รู้สึกสุขใจ จิตจะตั้งอยู่บนความเบิกบานแจ่มใส เราย่อมได้รับผลบุญสูงกว่าให้โดยหวังผลประโยชน์บางอย่างตอบแทน ให้เพราะอยากได้หน้า ให้ไปแล้วรู้สึกเสียดายทั้งก่อนให้ ขณะให้ และหลังจากให้ไปแล้ว จิตของเราจะตั้งอยู่บนความเศร้าหมอง ขุ่นมัว ผลบุญย่อมลดลง


    ---เรื่องของเจตนาเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก และสร้างความแตกต่างในบุญได้มากที่สุด เพราะเป็นเรื่องของจิตใจ เจตนาที่ไม่ค่อยบริสุทธิ์กับเจตนาที่บริสุทธิ์มากๆ จะสามารถให้ ผลบุญที่แตกต่างกันเป็นล้านๆ เท่า ในทานสูตร จากพระไตรปิฎกเล่มที่ 23 ข้อที่ 49 พระพุทธองค์ได้ตรัสกับพระสารีบุตรไว้ สรุปใจความได้ดังนี้



    ---ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวย ผลทานนี้ เขาผู้นั้น ให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช


    ---ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไป แล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เขาผู้นั้น ให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์


    ---บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา มารดา ปู่ ย่าตา ยาย เคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา


    ---บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากิน สมณะและพราหมณ์เหล่านี้ ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้จะไม่ให้ทานแก่ สมณะหรือพราหมณ์ ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต


    ---บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี บูชามหายัญ ฉะนั้น เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี


    ---บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส เขาให้ทาน คือข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี


    ---บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม


    ***ดังนั้น ในการให้ทาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เราควรทำจิตทำใจในการให้ทาน คือ ให้เพื่อละความตระหนี่ในใจ ให้เพื่อละกิเลส คือ ความโลภ ให้เพราะต้องการสงเคราะห์และให้เพื่อดำรงพระพุทธศาสนาให้ครบห้าพันปี ไม่ใช่ให้ทานเพราะหวังรวย อย่างนี้ได้อานิสงส์น้อย



    ---1.4.ผู้รับมีความบริสุทธิ์ จริงๆ แล้ว การให้ทานกับใครก็ตาม แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน ขอทาน หรือ คนชั่ว หากเราให้ด้วยใจบริสุทธิ์ อยากช่วยเหลือ เราก็ได้บุญทั้งหมด เพียงแต่ว่า ปริมาณของบุญที่ได้จะไม่เท่ากัน หรือที่เราคงเคยได้ยินเรื่อง เนื้อนาบุญ เปรียบดัง การหว่านเมล็ดข้าว หากหว่านลงนาดี ย่อมได้ผลผลิตมาก แต่หากหว่านลงไปบนพื้นคอนกรีตก็คงไม่ได้อะไร


    ---พระพุทธองค์ได้เปรียบเทียบ ปริมาณบุญ ที่เราได้จากทำบุญให้บุคคลที่แตกต่างกัน (พระไตรปิฎก เล่มที่ 14 ข้อ 711 และ เล่มที่ 23 ข้อ 224) ซึ่งได้ข้อสรุปว่า ยิ่งเราทำบุญกับผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์มากกว่า เราจะได้รับบุญมากกว่า เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น จะขอสมมติเป็นหน่วย ดังนี้



    ---ทำบุญกับสัตว์เดรัจฉาน ได้บุญ 100 หน่วย


    ---ทำบุญกับคนไม่มีศีล ได้บุญ 1,000 หน่วย


    ---ทำบุญกับคนมีศีล ๕ ได้บุญ 10,000 หน่วย


    ---ทำบุญกับคนมีศีลอุโบสถ ได้บุญ 100,000 หน่วย


    ---ทำบุญกับสมมติสงฆ์ (พระที่ถือศีลครบ 227 ข้อ) ได้บุญ 1,000,000 หน่วย


    ---ทำบุญกับพระโสดาบัน ได้บุญ 100 ล้านหน่วย


    ---ทำบุญกับพระสกิทาคามี ได้บุญ 10,000 ล้านหน่วย


    ---ทำบุญกับพระอนาคามี ได้บุญ 1,000,000 ล้านหน่วย


    ---ทำบุญกับพระอรหันต์ ได้บุญ 100,000,000 ล้านหน่วย


    ---ทำบุญกับพระปัจเจกพระพุทธเจ้า 10,000,000,000 ล้านหน่วย


    ---ทำบุญกับพระพุทธเจ้า ได้บุญ 1,000,000,000,000 ล้านหน่วย


    ---ทำบุญสังฆทานกับคณะสงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ได้บุญมากกว่า ทำบุญกับพระพุทธเจ้า 100 เท่า


    ---ทำบุญสร้างวิหารทาน ได้บุญมากกว่า ทำบุญสังฆทานกับคณะสงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน 100 เท่า



    *2.ธรรมทาน


    ---การให้ธรรมะเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง ดังพุทธพจน์ “สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ” อานิสงส์การให้ธรรมเป็นทาน..พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “แม้ให้พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก นั่งเรียงกันจากโลกมนุษย์ ไปจนถึงพรมโลก แล้วถวายผ้าไตร ครบทุกองค์ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ธรรมทาน”


    ---ว่าด้วยเรื่องการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ก็เช่นกัน พระพุทธองค์ตรัสว่า บุญคุณพ่อแม่ที่ให้กำเนิดเรามา มีมากมายเหลือคณานับ ต่อให้บุรุษแบกพ่อไว้ไหล่ข้างหนึ่ง อีกไหล่ข้างหนึ่งแบกแม่ไว้ ดูแลพ่อแม่ทุกอย่าง ไม่ให้ได้รับความลำบากตลอดชีวิตของท่าน แม้ทำขนาดนี้ ก็ยังใช้หนี้บุญคุณไม่หมด มีทางเดียว ที่จะใช้หนี้ท่านหมดคือ การให้ธรรมะแก่ท่าน ให้ท่านเป็นผู้เที่ยงต่อนิพพาน จึงจะถือว่า เราได้ทดแทนคุณท่านได้หมดแล้ว…



    ---เสริมอีกเล็กน้อย เรื่องการทำบุญกับพระอรหันต์ จากที่กล่าวข้างต้น จะเห็นว่าอานิสงส์นั้นมากมาย แต่หลายคนอาจแย้งว่าจะไปทำได้ ที่ไหนเนี่ย จริงๆ เราสามารถทำบุญกับพระอรหันต์ได้ทุกวัน นั่นคือ พ่อแม่ของเรานั่นเอง เพราะพ่อแม่คือ พระอรหันต์ของลูก การทำบุญด้วยการเลี้ยงดูตอบแทนคุณท่าน ย่อมได้อานิสงส์มหาศาล ตรงกันข้าม บางคนที่ทำไม่ดีกับพ่อแม่ ก็ต้องได้รับบาปมหันต์เช่นกัน เพราะเป็นการทำบาปกับพระอรหันต์ นั่นเอง…



    *2.ปัตติทานมัย คือ บุญสำเร็จด้วยการอุทิศส่วนบุญ


    ---ให้แก่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้วและผู้อื่น การอุทิศบุญหรือแบ่งบุญให้ผู้อื่น สามารถให้ได้ทั้งผู้ที่มีชีวิตอยู่และล่วงลับไปแล้ว โดยที่ผลบุญของเราไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับทำให้เราได้บุญมากขึ้นไปอีก เรื่องนี้มีกล่าวในพระไตรปิฎก (พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 307)


    ---เปรียบเสมือนเวลาเราทำบุญมาเหมือนเราได้จุดคบไฟ ทีนี้เมื่อมีคนมาขอต่อไฟ เราก็ยินดีให้เขาต่อไฟ ไฟเราก็ยังอยู่ แม้จะมีคนมาขอจุดไฟ 100 คน ไฟเราก็ไม่ได้หายไปแม้แต่น้อย การอุทิศบุญนั้น ผู้ที่จะรับผลบุญต้องโมทนาบุญคือยินดีในบุญที่เราให้จึงจะได้รับบุญ ถ้าเป็นคนด้วยกันก็สามารถบอกกล่าวกันได้ โดยตรง และเทวดาก็สามารถส่งจิตถึงท่านได้ แต่สำหรับสัตว์ในอบายภูมิปกติจะไม่สามารถรับบุญจากเราได้ ยกเว้นเปรตบาง ประเภทที่เรียกว่า ปรทัตตุปชีวิกเปรต เปรตประเภทนี้อยู่ได้ด้วยการขอส่วนบุญ บางครั้งก็มาเข้าฝัน บางครั้งปรากฏตัวให้เห็น หรือ ทำกิริยาอื่นๆ เพื่อให้คนอุทิศบุญไปให้(เป็นส่วนหนึ่งที่เราเรียกว่า ผี นั่นเอง)



    ---ผมเคยอ่านหนังสือรวมคำสอนของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ท่านกล่าวถึง สัมภเวสี ที่หมายถึงวิญญาณเร่ร่อน ที่ตายก่อนถึงอายุขัย ด้วยอุปฆาตกกรรม วิญญาณเหล่านี้จะไปเกิดตามภพภูมิอื่นๆ ยังไม่ได้ เพราะยังไม่หมดอายุขัย จึงต้องวนเวียนอยู่อย่างนั้น จนกว่าจะ ครบอายุขัยจึงจะไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ ตามแต่ผลกรรมที่ทำมา พวกสัมภเวสีนั้น มีความเป็นอยู่ที่ลำบาก เพราะไม่สามารถรับบุญที่ ตัวเองเคยทำมาได้ ต้องอยู่อย่างหิวโหย พวกเขาจึงพยายามติดต่อญาติหรือคนรู้จักให้ทำบุญอุทิศไปให้ หรือที่เรานิยมเรียกว่า ผี อีก เช่นกัน แต่การอุทิศบุญให้สัมภเวสีนั้น จะต้องเฉพาะเจาะจงชื่อ จึงจะได้รับผลบุญ เวลาที่เราทำบุญแล้วอุทิศแบบรวมๆ เขาจะไม่ สามารถรับผลบุญได้ หลวงพ่อแนะนะว่า ถ้าจะทำบุญให้สัมภเวสี ให้ถวายสังฆทานพระที่ประกอบด้วยอาหารผ้าไตรและพระพุทธรูป เพราะการถวายพระพุทธรูปจะทำให้เขามีความสว่างมาก คือ เป็นเทวดา (เทวดาเขาวัดกันที่ความสว่าง ใครสว่างมากแสดงว่ามีฤทธิ์ มีเดชมากกว่า)



    *3.ปัตตานุโมทนามัย คือ บุญสำเร็จด้วยการแสดงอนุโมทนาในส่วนบุญร่วมกับผู้อื่น



    ---แค่เรากล่าวสาธุ(หรืออนุโมทนาในใจ)ก็ได้บุญแล้ว ไม่เห็นต้องใช้เงินซักบาทเลย หลวงพ่อฤาษีฯ เคยสอนว่า การอนุโมทนานี้ได้ผลมาก ทำให้บารมีเต็มเร็วขึ้น ถ้าจิตเรามีสมาธินี่ได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ของคนทำเลยทีเดียว แล้วถ้าเขาทำ 100 คน เรานั่งอนุโมทนาอย่างเดียวนี่ ได้บุญมากกว่าคนทำซะอีกเรื่องผลของการอนุโมทนานี้มีกล่าวในพระไตรปิฎก (พระไตรปิฎก เล่มที่ 26 ข้อ 44) ที่กล่าวถึงเพื่อนของนางวิสาขามหาอุบาสิกา



    ---นางไม่มีเงินทำบุญ ได้แต่ยินดีกับมหาทานที่นางวิสาขาทำ ปรากฏว่าเมื่อนางตาย ได้ไปเกิดเป็นเทพนารีในสวรรค์ มีวิมานสวยงาม หรือแม้แต่พระนางพิมพาเอง ที่ตามมาเกิดเป็นคู่บุญพระพุทธองค์ทุกๆ ชาติ เหตุเพราะเมื่อสมัยที่พระพุทธองค์ของเราเกิดเป็นฤาษี และได้ทำบุญกับพระพุทธเจ้าและเหล่าพระสาวก โดยการทอดกายเป็นสะพานให้พระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกเดินผ่านเพื่อไม่ให้เปื้อนโคลน และอธิษฐานขอเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ซึ่งพระนางพิมพาในชาตินั้นก็เห็นเหตุการณ์ตลอดและตั้งจิตอนุโมทนาบุญ และ ขอติดตามจนบรรลุธรรมตามพระพุทธองค์ในที่สุด


    *4.สีลมัย คือ บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล

    ที่มา....YouTube



    ---ได้แก่ การปฏิบัติตามข้อห้ามตามที่ทรงบัญญัติในพระปาฏิโมกข์เพื่อกำจัดกิเลส ศีลอุโบสถ อานิสงส์มากกว่า ศีล 5 ศีล ของพระก็ได้อานิสงส์มากกว่าศีลของเณร อย่างนี้เป็นต้น การรักษาศีลได้อานิสงค์มากกว่าการให้ทาน ในพระไตรปิฎก กล่าวว่า ทำทาน 100 ครั้งบุญไม่เท่ารักษาศีล 1 ครั้ง สำหรับการที่เราจะรับศีล(วิรัติศีล)นั้น ใน พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 558 ได้กล่าวเอาไว้ ว่า ศีลสามารถวิรัติศีล ได้ 3 วิธีคือ


    ---1.สัมปัตตวิรัติ ได้แก่ เจตนางดเว้นซึ่งเกิดขึ้นในทันทีทันใด ที่ประจวบกับเหตุที่จะทำให้เสียศีลหมายความว่า เดิมไม่ได้ตั้งใจจะ รักษาศีล ไม่ได้สมาทานไว้ แต่เมื่อพบกับเหตุที่ตนจะล่วงศีลได้ จึงคิดงดเว้นขึ้นในขณะนั้น เช่น


    ---- เห็นสัตว์ที่พอจะฆ่าได้ น่าจะฆ่า แต่คิดเว้นเสีย ไม่ฆ่า


    --- เจอกระเป๋าเงิน เจ้าของเขาวางไว้ แม้จะขโมย ก็พอขโมยได้ แต่งดเสีย ไม่ขโมย


    --- หญิงที่จะล่วงประเวณีได้ ก็มี ช่องทางและโอกาสก็อำนวยทุกอย่าง แต่ใจคิดงดเว้นการล่วงประเวณีเสีย ไม่ล่วง


    --- ไปดูการดูงานถึงเมืองนอก กลับมาคนเดียว จะเล่าอะไร โกหกให้ใครฟังก็ได้ แต่คิดงดเว้นการโกหกเสีย ไม่พูด


    --- เหล้าจะกิน ก็มีพร้อม จังหวะก็อำนวย แต่คิดงดเสีย ไม่ดื่ม การตั้งใจงดเว้นเมื่อประจวบเข้ากับเหตุการณ์อย่างนี้ เรียกว่า สัมปัตตวิรัติ ผู้งดเว้นถือว่ามีศีลเหมือนกัน


    *2.สมาทานวิรัติ สมาทาน แปลว่า รับ


    ---สมาทานวิรัติ แปลว่า งดเว้นด้วยการสมาทาน ข้อนี้หมายความว่า เราได้ตั้งใจไว้ก่อนว่า จะรักษาศีล(ไม่ว่าจะเป็นการไปรับสมาทานศีลที่วัด หรือกล่าวเองที่บ้าน หรือ คิดขึ้นมาในใจว่าเราจะรักษาศีลที่เรียกว่า เจตนาวิรัติ อย่างนี้ก็ถือเป็นสมาทานวิรัติเหมือนกัน) ครั้นไปพบเหตุการณ์อันชวนให้ล่วงศีล ก็ไม่ล่วงเพราะถือว่า ตนได้สมาทานศีลไว้ จะล่วงก็เสียดายศีล กลัวศีลจะขาด การงดเว้นจากการล่วงศีล ด้วยคำนึงถึงศีลที่ตนได้สมาทานไว้ อย่างนี้ เรียกว่า สมาทานวิรัติ


    ---สมาทาน วิรัติ กับ สัมปัตตวิรัติ มีผลต่างกันอยู่บ้าง คือ สัมปัตตวิรัติ ทำให้ศีลเกิดขึ้น เฉพาะชั่วระยะหนึ่ง ขณะที่จิตคิดงดเว้นเท่านั้นก่อน นั้นก็ไม่มีศีล หลังจากนั้นก็ไม่มีศีล จำเพาะมีในเวลาตั้งใจ งดเว้นเท่านั้น ส่วน สมาทานวิรัติ คือตั้งใจรักษาศีลอยู่เรื่อยๆ ศีลก็ ย่อมมีอยู่ตลอดเวลา จนกว่าตนเองจะล่วงละเมิดศีล ศีลจึงจะขาด คือเป็น อันสิ้นสุดการสมาทาน ต่อเมื่อได้สมาทานศีลอีก สมาทานวิรัติจึงจะเกิดอีก และเป็นผู้มีศีลสมุจเฉทวิรัติ


    *3.สมุจเฉทวิรัติแปลว่า งดเว้นเด็ดขาด


    ---หมายถึง การงดเว้นของพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันเป็นต้นไป พระอริยบุคคลทั้งหลายไม่เคยแม้แต่จะเกิดความคิดว่า เราจักฆ่าสัตว์มีชีวิต หรือ เบียดเบียนผู้อื่น ดังนั้นท่านจึงมีศีลบริสุทธิ์ ตลอดเวลา ไม่มีความเศร้าหมองของศีล ในทางปฏิบัติแล้ว สำหรับปุถุชนอาจคิดว่า เรายังต้องประกอบอาชีพที่ยังต้องผิดศีลบ้างบางครั้ง จึงไม่สมาทานศีลดีกว่า จะได้ไม่ผิด ศีล…อันนี้เป็นความคิดที่ผิด เพราะการรักษาศีลแม้เพียงชั่วขณะก็ได้กุศลมหาศาล ดังนั้นทางที่ดีเราควรสมาทานรักษาศีลตลอดชีวิต หากพลาดพลั้งทำศีลขาดเมื่อใดก็ให้กำหนดจิต เจตนาวิรัติศีลใหม่ อย่างนี้ศีลเราจะค่อยๆ บริสุทธิ์ขึ้นเอง สมมติว่าเราทำอาชีพแม่ค้าที่ยังต้องฆ่าสัตว์หรืออาชีพประมง แต่อยากรักษาศีลก็สามารถทำได้ โดยครูบาอาจารย์ท่านแนะนำว่า เวลาทำอาชีพก็ทำไป แต่เวลาก่อนนอนให้สมาทานศีลทุกวัน อย่างนี้เวลาเราหลับก็ได้ชื่อว่าเรามีศีลบริสุทธิ์ทุกวัน และในวันพระให้รักษาศีลให้ได้ตลอดทั้งวัน


    *5.อปจายนมัย คือ บุญสำเร็จด้วยการมีกิริยาอ่อนน้อมถ่อมตน


    ---อปจายนะ คือ ความอ่อนน้อม ไม่แข็งกระด้าง ผู้มีความประพฤติอ่อนน้อม ผู้ที่ขัดเกลาความมานะ และนิสัยกระด้างออกแล้ว รู้จักบุคคลที่ควรจะ อ่อนน้อมด้วย ในฐานะใด ในสภาพใดสำหรับบุคคลที่ควรจะอ่อนน้อมด้วย มี ๓ ประเภท คือ


    ---๑.วัยวุฒิ ผู้ที่สูงกว่า ด้วย วัย


    ---๒.ชาติวุฒิ ผู้ที่สุงกว่า ด้วยชาติ ตระกูล


    ---๓. คุณวุฒิ ผู้ที่สูงกว่า ด้วยคุณธรรม บุคคลผู้มีปกติอ่อนน้อมกราบไหว้ผู้ใหญ่ ย่อมได้รับอานิสงส์ ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ในมงคลสูตร กล่าวว่า ผู้อ่อนน้อมถ่อมตน กำจัดมานะ กำจัดความกระด้างได้ ทำตนให้เป็นเสมือนผ้าเช็ดเท้า เสมอด้วยโคอุสุภะเขาชาด หรือเสมอด้วยงูที่ ถอนเขี้ยวแล้ว ท่านตรัสว่า เป็นมงคล



    *6.เวยยาวัจจมัย(ออกเสียงว่า ไวยาวัจจะมัย) คือ การงานชอบ


    ---บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลือกิจการสงฆ์และภาระพระศาสนา ข้อนี้เป็นการทำบุญที่เน้นแรงคือ เอาแรงเข้าช่วย หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง เคยสอนเอาไว้ว่า บุญจากการทำเวยยาวัจจมัย นั้น อานิสงส์นี้มีมาก คือ ได้อานิสงส์น้อยกว่าบวชเณรเล็กน้อย


    *7.ธัมมัสสวนมัย คือ บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม


    ---ได้แก่ การฟังธรรมและนำข้อธรรมมาประพฤติปฏิบัติให้พ้นทุกข์การฟังธรรม เป็นการศึกษาหาความรู้ เพื่อให้เกิดปัญญา เข้าใจในหลักพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสามารถจะนำ ให้ผู้ประพฤติปฏิบัติตาม ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน พ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏนี้ได้ การฟังธรรมมีอานิสงส์มากถึง ๕ ประการ คือ


    ---๑.ได้ฟังในสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง


    ---๒.เรื่องใดที่เคยได้ฟังแล้ว ได้ฟังซ้ำอีกย่อมมีความชัดเจนขึ้น


    ---๓.บรรเทาความสงสัยเสียได้


    ---๔.ทำความเห็นให้ถูกต้องได้


    ---๕.จิตของผู้ฟังธรรมย่อมผ่องใส


    ---การได้ฟังพระธรรม พึงทราบว่าเป็นมงคล เพราะเป็นเหตุให้ประสบผลวิเศษนานาประการ มีการละจากความชั่ว ประพฤติความดี และ บรรลุธรรมอันเป็นที่สิ้นอาสวะได้ในที่สุด เป็นต้น


    ---ในสังยุตตนิกาย สคาถวรรค ปิยังกรสูตร กล่าวไว้ว่า ในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรีหนึ่ง ที่พระวิหารเชตวันฯ ท่านพระอนุรุทธะกำลังกล่าวธรรมอยู่ ครั้งนั้น นางยักษิณีผู้เป็นมารดาของปิยังกระ ได้กล่าวห้ามบุตรว่า “อย่าอึงไป ภิกษุกำลังกล่าวบทธรรมอยู่ ให้ตั้งใจฟัง เมื่อ เรารู้แจ้งบทธรรมนั้นแล้วปฏิบัติ ข้อนั้นจักมีประโยชน์เกื้อกูลแก่เรา หากเราศึกษา ทำตนให้เป็นผู้มีศีลดีนั่นแหละ จักพ้นจากกำเนิดปีศาจได้”


    ---ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า การฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญา คือเมื่อฟังแล้วย่อมเกิดความเข้าใจในธรรม ที่มีผู้ยกมาแสดง เมื่อเข้าใจในธรรมนั้นแล้ว น้อมนำคำสอนนั้นมาประพฤติปฏิบัติตามย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ในขณะที่ฟังธรรม แม้จะไม่รู้เรื่องราว ไม่เข้าใจในธรรมนั้น แต่ฟังด้วยความรู้สึกว่า “นั่นคือเสียงแห่งพระธรรม” เลื่อมใสในเสียงที่ ได้ยินย่อมก่อให้เกิดบุญกุศลได้เช่นกัน ดังท่านเล่าในพระไตรปิฎกไว้ว่า ค้างคาว กบ ได้ยินเสียงพระสวด ด้วยความตั้งใจฟัง และมีจิตเลื่อมใสในเสียงที่กล่าวธรรมนั้น ตายลงในขณะนั้น ทำให้ได้ไปเกิดในสวรรค์ พ้นจากความเป็นสัตว์เดรัจฉานได้ นี่ขนาดฟังไม่รู้เรื่องยังได้อานิสงส์ขนาดนี้


    *8.ธัมมเทสนามัย คือ บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม


    ---ได้แก่การอธิบายบรรยายธรรมะให้แก่ผู้ร่วมโลกที่ร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายการแสดงธรรม ด้วยใจที่หวังจะให้ผู้ฟังได้รับประโยชน์ โดยที่ตนมิได้มุ่งหวังในลาภสักการะใดๆ จัดเป็นบุญที่เรียกว่า “ธรรมทาน” เป็นบุญที่ให้ผลมากว่าทานทั้งปวง ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง” การแสดงธรรมด้วยการแจกจ่ายธรรม คือ แจกแจงพระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว เพื่ออนุเคราะห์ให้ผู้ได้รับฟังเกิดจิตเลื่อมใสในพระสัทธรรมของพระพุทธองค์ ที่ทรงพร่ำสอนอย่านี้ว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ เป็นต้น การแสดงธรรมให้เลิกละ จากอกุศลธรรม ให้ตั้งอยู่ในกุศลธรรมทั้งหลายเช่น


    ---การไม่ทำบาปทั้งปวง ๑


    ---การทำกุศลให้ถึงพร้อม ๑


    ---การทำจิตของตนให้ผ่องใส ๑


    ---การไม่กล่าวร้าย ๑


    ---การไม่ทำร้าย ๑


    ---การสำรวมในพระปาฏิโมกข์ ๑


    ---การรู้ประมาณในการบริโภค ๑


    ---การนอนการนั่งในที่อันสงบสงัด ๑


    ---ความเพียรประกอบในการทำจิตให้ยิ่ง ๑


    ***ธรรมเหล่านี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย (ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปทานสูตร โอวาทปาฏิโมกข์)ในอังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต อุทายีสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่ผู้อื่น พึงตั้งธรรม


    *๕ประการนี้ในใจก่อน แล้วจึงแสดงธรรม คือ


    ---เราจักแสดงธรรมไปโดยลำดับ ๑


    ---เราจักแสดงธรรมโดยอ้างเหตุผล ๑


    ---เราจักแสดงธรรมโดยอาศัยความเอ็นดู ๑


    ---เราจักไม่เป็นผู้เพ่งอามิสในการแสดงธรรม ๑


    ---เราจักไม่แสดงธรรมให้กระทบตนและผู้อื่น ๑


    ---ผู้ใดตั้งธรรม ๕ ประการนี้ ไว้ภายในใจแล้วแสดงธรรม อย่างนี้ชื่อว่าเป็น “ธรรมทาน” โดยแท้อนึ่ง แม้บุคคลผู้แสดงธรรมเองก็ย่อมได้รับประโยชน์ คือ ได้เข้าใจในความหมายและความลึกซึ้งในธรรมที่ยกมาแสดงนั้นเพิ่มขึ้น ๑ เป็นที่พึงพอใจของพระบรมศาสดา ๑ อาจแทงตลอดเนื้อความอันลึกซึ้งของธรรมนั้น ได้ ๑ เป็นที่สรรเสริญของกัลยาณชน ๑ สำหรับการแสดงธรรมนี้มิได้หมายว่า ภิกษุเท่านั้นที่จะเป็นผู้แสดงธรรมได้ แม้ อุบาสกอุบาสิกา หรือฆราวาสผู้มีความรู้ ผู้ศึกษาธรรมผู้ปฏิบัติ แม้แต่การอบรมเยาวชน หรือลูกหลานด้วยธรรมะ ก็ชื่อว่า “ธัมมเทสนา” เช่นกัน


    *9.ภาวนามัย คือ บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา


    ---ได้แก่ การปฏิบัติใจเพื่อกำจัดกิเลส แบ่งเป็น สมถะภาวนา และวิปัสสนาภาวนา การภาวนาได้ผลบุญมากกว่าการรักษาศีลอีก รักษาศีล 100 ครั้งบุญไม่เท่าบำเพ็ญภาวนา 1 ครั้ง “ภาวนา” แปลว่า การทำให้มีขึ้น ทำให้เกิดขึ้น ได้แก่ การฝึกอบรมจิตใจให้เกิดความสงบ ขั้นสมาธิและปัญญา พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงข้อปฏิบัติไว้ ๒ ประการ คือ สมถภาวนา และ วิปัสสนาภาวนา สมถภาวนา คือ การฝึกอบรมจิตใจให้เกิดความสงบ จนตั้งมั่นเป็นสมาธิ อารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งการเจริญ สมถภาวนา ชื่อว่า กรรมฐาน มี ๔๐ ประเภท คือ


    ---กสิณ ๑๐


    ---อสุภะ๑๐


    ---อนุสสติ ๑๐


    ---พรหมวิหาร ๔


    ---อรูป ๔


    ---อาหาเรปฏิกูลสัญญา และจตุธาตุววัฏฐาน(รายละเอียดในวิสุทิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒) วิปัสสนาภาวนา คือ การฝึกอบรมเจริญปัญญา ให้เกิดความรู้แจ้งใน สภาพธรรมที่เป็นจริงตามสภาพของไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา กรรมฐาน อันเป็นที่ตั้งของการเจริญวิปัสสนาภาวนา ได้แก่


    ---ขันธ์ ๕


    ---อายตนะ ๑๒


    ---ธาตุ ๑๘


    ---อินทรีย์ ๒๒


    ---อริยสัจจ ๔


    ---ปฏิจจสมุปบาท ๑๒


    ---พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ว่า หนทางปฏิบัติเพื่อการเข้าไปรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมทั้ง ๖ ประการนี้ มีเพียงทางเดียวที่จะนำไปสู่พระนิพพานได้ ทางสายเอกนั้นได้แก่


    ---สติปัฏฐาน ๔


    ---กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นกายในกาย มี ๑๔ ข้อ


    ---เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา มี ๙ ข้อ


    ---จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นจิตในจิต มี ๑๖ ข้อ


    ---ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นธรรมในธรรม มี ๕ ข้อ


    ---สำหรับการเจริญภาวนาในขั้น บุญกิริยาวัตถุ นี้ โดยทั่วไป ท่านหมายเอาเพียง มหากุศลธรรมดา แต่หากว่าผู้ใด ได้ศึกษาข้อปริยัติ ให้มีความเข้าใจ ก่อนลงมือปฏิบัติ แล้วพากเพียรปฏิบัติ ให้ถูกต้องตามแนวทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ก็สามารถเป็น บันไดให้ก้าวไปถึงฌาน หรือมรรคผลได้


    ***(รายละเอียดในมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ สติปัฏฐานสูตร ข้อ ๑๓๑ – ๑๕๒ และทีฆนิกาย มหาวรรค สติปัฏฐานสูตร ข้อ ๒๗๓ – ๓๐๐)


    *10.ทิฏฐชุกัมม์ คือ การทำความเห็นให้ตรงเป็นสัมมาทิฏฐิ


    ---เชื่อในธรรมและการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย สัมมาทิฐิ แปลว่า ความเห็นถูกต้อง หมายถึงความเห็นที่ถูกคลองธรรม เห็นตามความเป็นจริงเป็นความเห็นที่เกิดจากโยนิโสมนสิการ ประกอบด้วยปัญญา ตามวัดส่วนใหญ่เขียนคำนี้ตามแบบภาษาบาลีว่า สัมมาทิฏฐิสัมมาทิฐิ ที่เป็น อริยมรรค มีองค์ 8 หมายถึง ความเห็นในอริยสัจ คือเห็นทุกข์ เห็นสมุทัย เห็นนิโรธ เห็นมรรค สัมมาทิฐิ ที่เป็นมโนสุจริตหมายถึง ความเห็นถูกต้อง 10 อย่าง(ตรงข้ามกับ มิจฉาทิฏฐิ 10) คือ เห็นว่าการให้ทาน มีผลจริง (หมายถึงการให้ในระดับแบ่งปันกัน)


    ---การบูชามีผลจริง(หมายถึงการให้ในระดับสงเคราะห์กันมีผล)การเคารพบูชามีผลจริง (หมายถึงการยกย่องบูชาบุคคลที่ควรบูชามีผลดีจริง) ผลวิบากของกรรมดีกรรมชั่วมีจริง คุณของมารดามีจริง (หมายถึงมารดามีพระคุณต่อบุตรอย่างยิ่ง บุตรควรตั้งใจตอบแทนพระคุณท่านอย่างเต็มที่) คุณของบิดามีจริง (หมายถึง บิดามีพระคุณต่อบุตรอย่างยิ่ง บุตรควรตั้งใจตอบแทนพระคุณท่านอย่างเต็มที่) โลกนี้มี (หมายถึง โลกนี้มีคุณเป็นอย่างยิ่ง เหมาะสำหรับใช้สร้างบุญบารมี)โลกหน้ามี (หมายถึง โลกหน้ามีจริง ตายแล้วไม่สูญ ความเป็นไปของโลกหน้า เป็นผลมาจากโลกนี้)


    ---พวกโอปปาติกะ (ผุดขึ้นเกิด) มี (หมายถึง สัตว์ที่ผุดขึ้นเกิดแล้วโตทันทีมีจริง อาทิเช่น ในภูมิทุคติ ได้แก่ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ในภูมิสุคติ ได้แก่ เทวดา พรหม อรูปพรหม) สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนบรรลุมรรคผลนิพพาน รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเองแล้วสอนให้ผู้รู้ตามด้วยมีจริง จาก มหาสติปัฏฐานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ ก็สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในทุกขสมุทัย ความรู้ในทุกขนิโรธ ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา อันนี้เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ


    ***สรุป ในบุญกิริยาวัตถุทั้ง ๑๐ ประการ นี้ เป็นการทำบุญที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ในพระพุทธศาสนา โดยไม่ต้องใช้จ่ายเงินทอง มากมาย มีบุญกิริยาประการเดียวคือ การให้วัตถุทานเท่านั้นที่ต้องใช้เงินทอง บุญกิริยาที่เหลืออีก ๙ ประการ มิต้องใช้เงินทองเลย เพราะฉะนั้นทุกคนสามารถที่จะสั่งสมบุญได้มากขึ้นในชีวิตประจำวัน ถ้ามีความเข้าใจในขั้นตอนของการทำบุญเช่นนี้แล้ว ในคาถาธรรมบท ท่านกล่าวว่า ไม่ควรประมาทในบุญเล็กๆ น้อยๆ ว่ายังไม่ควรทำ เพราะแม้บุญเล็กน้อยนั้น ถ้าได้สั่งสมบ่อยๆ ก็ยังมีผลให้เกิดความสุข เหมือนหม้อน้ำที่เปิดปากไส้ แม้น้ำหยดลงที่ละหยด ก็สามารถเต็มหม้อน้ำนั้นได้ ฉันใด



    ---บุญเล็กบุญน้อย ที่บุคคลทำบ่อยๆ ก็ย่อมจะพอกพูนให้เต็มเปี่ยมได้ เหมือนหยดน้ำที่หยดลงมาจนเต็มหม้อน้ำ ฉันนั้นแล.

    ………… จบบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ …………



    ที่มา... -http://www.watpanonvivek.com-
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อานิสงส์บุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ


    -http://www.watkaokrailas.com/articles/41930919/igetweb-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%96%E0%B8%B8%2010%20%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3.html-


    *อานิสงส์บุญกิริยาวัตถุ 10*





    *๑.ทานมัย การให้สิ่งที่เป็นประโยชน์สุขแก่ผู้รับ ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้



    ---๑)เป็นที่มาของทรัพย์สมบัติทั้งหลาย


    ---๒)เป็นที่ตั้งของโภคทรัพย์ทั้งปวง


    ---๓)ผู้ให้ย่อมได้รับความสุข


    ---๔)ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของคนหมู่มาก


    ---๕)ผู้ให้ย่อมผูกไมตรีผู้อื่นไว้ได้


    ---๖)ทำให้เป็นผู้มีเสน่ห์น่านับถือ


    ---๗)ทำให้เป็นที่น่าคบหาของคนดี


    ---๘)ทำให้เข้ากับสังคมอื่นได้คล่องแคล่ว


    ---๙)มีบุคลิกองอาจ สง่าผ่าเผย


    ---๑๐)ทำให้มีชื่อเสียงเกียรติคุณดี


    ---๑๑)ตายแล้วเกิดในสุคติภูมิ



    *๒.สีลมัย บุญที่สำเร็จได้ด้วยการรักษาศีล ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้



    ---๑)ทำให้มีความสุขกาย สุขใจ


    ---๒)ทำให้เกิดโภคทรัพย์ได้


    ---๓)ทำให้สามารถใช้สอยทรัพย์นั้นได้เต็มอิ่ม โดยไม่หวาดระแวง


    ---๔)ทำให้ไม่ต้องหวาดระแวงว่าจะมีใครมาทวงทรัพย์คืน


    ---๕)ทำให้เกียรติคุณฟุ้งขจรไป ทำให้ผู้อื่นเกิดความเชื่อถือ


    ---๖)ทำให้ชีวิตนั้นแกล้วกล้าองอาจท่ามกลางชุมชน


    ---๗)ทำให้ไม่เป็นคนหลงลืมสติ


    ---๘)ตายแล้วไปเกิดในสุคตภูมิ



    *๓.ภาวนามัย บุญที่สำเร็จได้ด้วยการเจริญสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้



    ---๑)มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม


    ---๒)มีผิวพรรณผ่องใส


    ---๓)มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง


    ---๔)มีความจำดี และกำลังปัญญาว่องไว


    ---๕)เป็นคนใจคอเยือกเย็น


    ---๖)เป็นที่ชื่นชอบของผู้พบเห็น


    ---๗)มีบุคลิกอันน่าศรัทธา


    ---๘)เกิดในตระกูลดี


    ---๙)มีบุคลิกสง่างาม


    ---๑๐)มีมิตรสหายมาก


    ---๑๑)เป็นที่เคารพยำเกรงของคนทั่วไป


    ---๑๒)เป็นที่ชื่นชอบของบัณฑิต


    ---๑๓)สมบูรณ์ด้วยปัจจัย ๔


    ---๑๔)ปราศจากอกุศลทั้งปวง


    ---๑๕)ปลอดภัยจากศาสตราวุธ


    ---๑๖)มีอายุยืน


    ---๑๗)ตายแล้วเกิดในสุคติภูมิ



    *๔.อปจายนะ บุญที่สำเร็จได้ด้วยการอ่อนน้อมถ่อมตน ต่อผู้ที่ควรเคารพนบนอบ (คุณวุฒิ วัยวุฒิ ชาติวุฒิ) ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้



    ---๑)เกิดในตระกูลสูง


    ---๒)มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง


    ---๓)มีมิตรสหายดี


    ---๔)ได้รับคำชมเชยอยู่เสมอ


    ---๕)มีความสมบูรณ์ในทรัพย์


    ---๖)ได้พบเห็นแต่สิ่งที่ตนปรารถนา



    *๕.เวยยาวัจจะ บุญที่สำเร็จได้ด้วยการช่วยเหลือกิจการงานที่ชอบ ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้



    ---๑)มีความเป็นอยู่ดี สุขกายสุขใจ


    ---๒)มีมิตรสหายมาก


    ---๓)มีไหวพริบความจำดี


    ---๔)มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง



    *๖.ปัตติทานะ บุญที่สำเร็จได้ด้วยการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้อื่น ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้



    ---๑)ไม่มีความอดอยาก ยากจน


    ---๒)ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน


    ---๓)มีบริวารดี


    ---๔)เป็นที่รักของผู้พบเห็น


    ---๕)มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม


    ---๖)มีอายุยืน



    *๗.ปัตตานุโมทนา บุญที่สำเร็จได้ด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้



    ---๑)มีสุขภาพสมบูรณ์


    ---๒)มีฐานะดี


    ---๓)มากไปด้วยลาภสักการะ


    ---๔)พบเห็นแต่สิ่งที่ทำให้เกิดความสบายใจ



    *๘.ธัมมสวนะ บุญที่สำเร็จได้ด้วยการฟังธรรม ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้



    ---๑)เกิดในตระกูลสูง


    ---๒)มีสติปัญญาดี


    ---๓)มีมิตรสหายดี


    ---๔)มีความเชื่อมั่นในตนเอง



    *๙.ธัมมเทสนา บูญที่สำเร็จได้ด้วยการแสดงธรรม ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้



    ---๑)ไม่มีกลิ่นปาก


    ---๒)มีฟันขาวเรียบ


    ---๓)บุตรบริวารมีความเชื่อฟัง


    ---๔)มีบุคลิกสง่างาม


    ---๕)มีความจำดี


    ---๖)เป็นที่ไว้วางใจแก่ผู้พบเห็น



    *๑๐.ทิฏฐุชุกรรม บุญที่สำเร็จได้ด้วยการทำความเห็นให้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้



    ---๑)มีปัญญาดี


    ---๒)ไม่อดอยาก


    ---๓)ไม่ยากจน


    ---๔)มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง


    ---๕)มีบุคลิกสง่างาม


    ---๖)พบเห็นแต่สิ่งที่ทำให้เกิดความสบายใจ


    ---๗)มีฐานะความเป็นอยู่ดี


    ---๘)มีบริวารมาก


    ---๙)มีความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่มีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น



    *บุญกริยาวัตถุ ๑๐ เมื่อสงเคราะห์ลงในทาน ศีล ภาวนา ได้ดังนี้คือ



    ---ทาน ปัตติทานะ ปัตตานุโมทนา สงเคราะห์ใน ทาน ศีล อปจายะ เวยยาวัจจะ สงเคราะห์ใน ศีล ภาวนา ธัมมสวนะ ธัมมเทสนา ทิฏฐุชุกรรม สงเคราะห์ใน ภาวนา ภาวนามัย อานิสงค์ 10 ข้อดังกล่าว จะสรุปได้ว่า


    ---บุญที่สำเร็จได้ด้วยการเจริญสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา ได้บุญ เพราะจิต ได้ ข่ม ลด ละ เลิก ตัด กิเลส เป็น ชั้นๆ จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือ พระนิพพาน.







    http://www.pantip.com/cafe/religious.../Y5826904.html

    ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล

    รวบรวมโดยแสงธรรม...

    ปรับปรุงครั้งที่ 4 วันที่ 21 กันยายน 2555

    อานิสงส์แต่ละอย่าง > อานิสงส์บุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ=คลิป [Engine by iGetWeb.com]

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมว่า นำไปดัดแปลงคำพูดของหัวเรื่อง จริงๆแล้วในเรื่องก็คือ บุญกิริยาวัตถุ 10 นั่นเอง แต่สิ่งที่ได้จากการทำบุญที่ด้านล่างบอกนั้น ไม่ใช่ว่าจะส่งผลในแบบนั้น ซึ่งเงื่อนไขในการที่บุญส่งผลให้ผู้กระทำบุญ มีมากมายหลายเงื่อนไขครับ


    ----------------------------------------------------

    สุดยอด 10 บุญเสริมดวงที่ทำแล้วจะรุ่งเรืองทุกด้าน
    -http://horoscope.sanook.com/994460/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94-10-%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99/-


    ในการทำบุญหลายคนอาจจะมีวิธีการทำต่างกันตามกำลังและศรัทธาของตัวเอง แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องการทำบุญที่จะทำให้รุ่งเรืองในทุกๆ ด้านกันค่ะ

    1. บุญที่เกิดจาการให้ทาน
    ซึ่งบุญที่เกิดจากการให้ทาน จะส่งผลให้เราเป็นคนมั่งคั่งมีทรัพย์มาก

    2. บุญที่เกิดจากการหมั่นรักษาศีล
    บุญที่เกิดจากการหมั่นรักษาศีลอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้เรามีสุขภาพดี ชีวิตมีสวัสดิภาพ

    3. บุญที่เกิดจากการภาวนา
    ถ้าเราหมั่นภาวนาอยู่เสมอทุกวันๆ เจริญสติ ฝึกสมาธิอยู่ทุกขณะ อย่าให้ขาด ซึ่งบุญนี้จะส่งผลให้เราเป็นคนที่มีพลังอำนาจในตนเองและมีสติปัญญา

    4. บุญที่เกิดจากการประพฤติอ่อนน้อม
    ถ้าใครเคยประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ รู้จักถ่อมตน เราก็ได้บุญไปแล้ว จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรแล้วเกิดผลดี สิ่งนั้นก็เป็นบุญหมด ผู้ที่ควรอ่อนน้อม คือ ผู้ประเสริฐ ผู้มีความบริสุทธิ์ใจเราจะต้องประพฤติอ่อนน้อมอยู่เสมอ ซึ่งบุญนี้จะส่งผลให้เราเป็นที่รักที่เมตตา และอยู่ในสังคมอันสูง

    5. บุญที่เกิดจากการขวนขวายในกิจผู้อื่น
    ใครก็ตามที่ควรได้รับความช่วยเหลือ เราจะช่วยเขาตามสมควรแก่ฐานะ คือ ถ้าทุกคนดีขึ้นจริงๆ บุญนี้ก็จะส่งผลให้เรามีบริวารมาก มีคนอาสาช่วยเรายามเดือดร้อน

    6. บุญที่เกิดจากการฟังธรรม
    บุญนี้จะรวมไปถึง การที่เราอ่านหนังสือ ฟังเทป หรือฟังเทศน์ ที่จะช่วยเราให้เห็นแง่มุมของชีวิตครบถ้วน บุญในข้อนี้จะส่งผลให้วิสัยทัศน์ของเรากว้างขวางล้ำลึก

    7. บุญที่เกิดจากการแบ่งปันธรรมะ
    เมื่อเรารู้ว่าใครที่ด้อยว่าเราแล้ว เราก็ควรแนะนำ สั่งสอนตักเตือนเขาด้วยความเมตตา ด้วยใจที่ปรารถนาดีจริงๆ เป็นการแบ่งปันธรรมะ ซึ่งจะส่งผลให้เราแตกฉานและมั่นคงในความดีงามหรือถ้าเราไม่มีความรู้เรื่องธรรมะมากนัก เราก็สามารถแบ่งปันธรรมะด้วยการพิมพ์หนังสือธรรมะ และมอบซีดีธรรมะให้แก่กัน

    8. บุญที่เกิดจากการอุทิศบุญ
    เมื่อเราทำความดีใดๆ เราก็ควรหมั่นเผื่อแผ่ความดีให้แก่คนอื่น บุญจะส่งผลให้เราจิตใจสะอาด อิสระและยิ่งใหญ่ขึ้น (ถ้าเรายิ่งอุทิศบุญมากแล้ว บุญนั้นก็จะสะท้อนกลับมาหาเราเป็น 2 เท่าของบุญทั้งหมด เราไม่ต้องกลัวว่าบุญของเราจะหมดไป)

    9. บุญที่เกิดจากการอนุโมทนา
    ในข้อนี้เราจะเห็นได้ว่า เมื่อใครทำความดี เราควรยินดีในความดีของเขา ทำให้จิตใจของเราสูงขึ้น ไม่อิจฉาริษยา บุญนี้จะส่งผลให้เรามีมิตรมาก มีความสัมพันธ์ที่ดี

    10. บุญที่เกิดจากการทำความเห็นให้ตรงสัจจะ
    คือ ทำปัญญาให้ตรงสัจจะอันล้ำลึกหรือการทำปัญญาให้ตรงกับเป้าหมายสูงสุดของชีวิต ปรับวิถีทาง ทำกิจการงานทุกอย่างให้ได้ประโยชน์สูงสุดสำหรับทุกฝ่าย

    สุดยอดบุญ ที่ใครหลายๆ คนไม่มีโอกาสได้ทำ จึงนำมาแนะนำให้ทุกคนได้ลองนำไปปฏิบัติกันดู แต่หัวใจสำคัญของความดีทั้งหมดนี้ก็คือ "ทำดีให้ทั่ว หนีชั่วให้พ้น ฝึกตนให้เป็นคนดี"

    ขอบคุณข้อมูลจาก -www.baanmaha.com-
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประวัติ วันวิสาขบูชา 2556

    -http://campus.sanook.com/921748/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%8A%E0%B8%B2-2555/-

    วันวิสาขบูชา 2556 ปีนี้ตรงกับวันที่ 24 พฤษภาคม พุทธศักราช 2556

    วันวิสาขบูชา หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า 3 ประการ คือ เป็นวันประสูติ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และปรินิพพาน

    ความหมาย คำว่า "วิสาขบูชา" หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 วิสาขบูชา ย่อมาจาก "วิสา - ขบุรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปเป็นกลางเดือน 7

    ความสำคัญ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือเกิด ได้ตรัสรู้ คือสำเร็จ ได้ปรินิพพาน คือ ดับ เกิดขึ้นตรงกันทั้ง 3 คราวคือ

    1. ประสูติ เป็นวันประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ณ ลุมพินีสถาน เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ตรงกับวันศุกร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีจอ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนางได้รับพระบรมราชานุญาต จากพระสวามี ให้แปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ ซึ่งเป็นพระนครเดิมของพระนาง เพื่อประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้น ครั้นพระกุมารประสูติได้ ๕ วัน ก็ได้รับการถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ" ซึ่งต่อมาพระองค์ได้ออกบวช จนบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ (ญาณอันประเสริฐสูงสุด) สำเร็จเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า จึงถือว่าวันนี้เป็นวันประสูติของพระพุทธเจ้า


    2. ตรัสรู้ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อนุตตรสัมโพธิญาณ ณ ร่มพระศรีมหาโพธิบัลลังก์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี การตรัสอริยสัจสี่ คือของจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ของพระพุทธเจ้า เป็นการตรัสรู้อันยอดเยี่ยม ไม่มีผู้เสมอเหมือน วันตรัสของพระพุทธเจ้า จึงจัดเป็นวันสำคัญ เพราะเป็นวันที่ให้เกิดมีพระพุทธเจ้าขึ้นในโลกชาวพุทธทั่วไป จึงเรียกวันวิสาขบูชาว่า วันพระพุทธ(เจ้า) อันมีประวัติว่า พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียรต่อไป ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น ทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิให้เกิดในพระทัย เรียกว่าการเข้า "ฌาน" เพื่อให้บรรลุ "ญาณ" จนเวลาผ่านไปจนถึง ...

    * ยามต้น : ทรงบรรลุ "ปุพเพนิวาสานุติญาณ" คือทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่น
    * ยามสอง : ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ" คือการรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
    * ยามสาม : ทรงบรรลุ "อาสวักขญาณ" คือรู้วิธีกำจัดกิเลสด้วย อริยสัจสี่ ( ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ ซึ่งขณะนั้น พระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา

    ธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ (อริยสัจ ๔) หรือ ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ได้แก่...

    1. ทุกข์ คือ ความลำบาก ความไม่สบายกายไม่สบายใจ

    2. สมุทัย คือ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์

    3. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ และ

    4. มรรค คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งทุกข์

    ทั้ง ๔ ข้อนี้ถือเป็นสัจธรรม เรียกว่า อริยสัจ เพราะเป็นสิ่งที่พระอริยเจ้าทรงค้นพบ เป็นสัจธรรมชั้นสูง ประเสริฐกว่าสัจธรรมสามัญทั่วไป

    3. ปรินิพพาน เป็นวันปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ร่มไม้รัง (ต้นสาละ) คู่ ในสาลวโนทยานของมัลลกษัตริย์ ใกล้เมืองกุสินารา เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๑ ปี วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน (ดับสังขารไม่กลับมาเกิดสร้างชาติ สร้างภพอีกต่อไป)

    การปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ก็ถือเป็นวันสำคัญของชาวพุทธทั่วโลกเพราะชาวพุทธทั่วโลกได้สูญเสียดวงประทีป ของโลก เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่และครั้งสำคัญชาวพุทธทั่วไปมีความเศร้าสลด เสียใจและอาลัยสุดจะพรรณนา อันมีประวัติว่าเมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมมาเป็นเวลานานถึง ๔๕ ปี ซึ่งมีพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ในระหว่างนั้นทรงประชวรอย่างหนัก

    ครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน ๖ พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ก็ไปรับภัตตาหารบิณฑบาตที่บ้านนายจุนทะ ตามคำกราบทูลนิมนต์ พระองค์เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะตั้งใจทำถวาย ก็เกิดอาพาธลง แต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ในราตรีนั้น ได้มีปริพาชกผู้หนึ่ง ชื่อสุภัททะขอเข้าเฝ้า และได้อุปสมบทเป็นพระพุทธสาวกองค์สุดท้าย เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้ บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" หลังจากนั้นก็เสด็จเข้าดับขันธ์ปรินิพพาน ในราตรีเพ็ญเดือน ๖ นั้น

    ความสำคัญของวันวิสาขบูชา

    พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และเสด็จดับขันธปรินิพพานเวียนมาบรรจบในวันและเดือนเดียวกัน คือ วันเพ็ญเดือนวิสาขะ จึงถือว่าเป็นวันที่สำคัญของพระพุทธเจ้า หลักธรรมอันเกี่ยวเนื่องจากการประสูติ ตรัสรู้และเสด็จดับขันธปรินิพพาน คือ ความกตัญญู อริยสัจ ๔ และความไม่ประมาท ประวัติความเป็นมา

    ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา เนื่องจากมีเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๓ อย่าง เกิดขึ้นในวันเดียวกันคือ ประสูติ ตรัสรู้ธรรม และปรินิพพาน วันวิสาขบูชาตรงกับวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖

    ชาวพุทธศาสนิกชนทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับวันวิสาขบูชา นี้ และเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ สหประชาชาติได้ยอมรับญัตติที่ประชุม กำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก และเป็นวันหยุดวันหนึ่งของสหประชาชาติ เพื่อให้ชาวพุทธทั่วโลกได้มีโอกาสบำเพ็ญบุญเนื่องในวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระบรมศาสดา เจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติเมื่อ ๒๖๐๐ กว่าปี ล่วงมาแล้ว
    พระ บิดาพระนามว่าพระเจ้าสุทโธทนะ พระมารดาพระนามว่าพระนางสิริมหามายา ก่อนที่พระองค์จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เป็นเจ้าชายในราชสกุลโคตมะ แห่งเมืองกบิลพัสดุ์ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย คำว่า 'พุทธ' หรือ 'พุทธิ' ในภาษาบาลีและสันสกฤตมีความหมายเหมือนกัน แปลว่า ปัญญา หรือ การตรัสรู้

    จากคำสอนในพระไตรปิฎกกล่าวว่า พระพุทธเจ้าคือผู้ที่ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงเป็นผู้รู้สัจจธรรม และทรงมีพระญาณทัศนะกว้างไกลที่พระองค์ทรงรู้เห็นกำเนิด และความเป็นไปของสัตว์โลกตลอดภพสาม มีพระพุทธเจ้านับไม่ถ้วนพระองค์ได้อุบัติขึ้นในโลกนี้ เมื่อแต่ละพระองค์ตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐแล้ว ทรงสั่งสอนธรรมะเพื่อให้ชาวโลกพ้นจากวัฏสงสารด้วยมหากรุณา จากพระไตรปิฏก "อปทานสูตร และพุทธวงศ์" กล่าวถึงการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ นานนับอสงไขยกว่าที่จะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ

    แม้ในขุททกนิกาย ชาดก ได้เล่าการสร้างบารมีถึง ๕๔๗ ชาติของพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ มาตลอดกว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระชาติสุดท้าย เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงเป็นผู้มีบุญที่เพียบพร้อมด้วยสติปัญญา และความเมตตา หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้เพียง ๗ วัน พระมารดาก็สวรรคต พระน้านางคือพระนางปชาบดีโคตมี เป็นผู้บำรุงเลี้ยงรักษา หลังจากประสูติได้ไม่นาน พระบิดาได้อัญเชิญอสิตดาบสมาทำนายอนาคตของเจ้าชายสิทธัตถะ อสิตดาบสแสดงอาการประหลาดต่อหน้าพระที่นั่งคือ หัวเราะและร้องไห้ หัวเราะเพราะดีใจที่ได้เห็นเจ้าชายสิทธัตถะ และได้ทำนายว่าเจ้าชายจะตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน แต่ร้องไห้เพราะอสิตดาบสนั้นจะมีอายุไม่ยืนยาวทันรับฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์นี้ คำทำนายนี้ได้รับการยืนยันจาก โกณฑัญญะ ซึ่งเป็นดาบสอีกท่านหนึ่งที่ทำนายว่า เจ้าชายสิทธัตถะจะสละราชสมบัติ เมื่อผนวชแล้วจะบรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ส่วนดาบสอื่นๆ ล้วนทำนายว่า ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะไม่ทรงผนวช จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ คำทำนายดังกล่าวสร้างความตระหนกพระทัยแก่พระเจ้าสุทโธทนะเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงปรารถนาจะให้เจ้าชายสิทธัตถะปกครองแว่นแคว้นสืบทอดราชบัลลังก์ต่อ จากพระองค์ และเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ จึงทรงป้องกันเจ้าชายสิทธัตถะไม่ให้เห็นความทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวดต่าง ๆ ที่จะทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงรู้สึกเบื่อหน่าย และอยากออกบวช

    ด้วยเหตุนี้พระเจ้าสุทโธทนะ จึงทรงมีพระบัญชาให้เหล่าอำมาตย์เสนาบดี ช่วยกันสร้างปราสาทสามฤดูแก่เจ้าชาย ปราสาทแต่ละแห่งแวดล้อมด้วยเหล่าสนมกำนัลที่สวยงาม ชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะก่อนทรงออกผนวช จึงเป็นชีวิตที่เพียบพร้อมด้วย รูปสมบัติ และทรัพย์สมบัติอย่างแท้จริง. เมื่อเจ้าชายทรงพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา พระมเหสีคือพระนางยโสธรา พิมพาประสูติพระโอรส พระนามว่า ราหุล วันหนึ่งเจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงรถม้าประพาสสวนนอกเมือง ทรงเห็นคนแก่ คนป่วย คนตาย และนักบวช ภาพคนแก่ คนป่วย และคนตายทำให้พระองค์นึกถึงความทุกข์ และความไม่เที่ยงแท้ของสังขารมนุษย์ ต่อมา

    เจ้าชายสิทธัตถะจึงทรงออกจากวัง ถือเพศเป็นนักบวชเที่ยวภิกขาจารไปเพื่อแสวงหาโมกขธรรม วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เมื่อมีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้ธรรม ณ ใต้ควงต้นพระศรีมหาโพธิ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่จะบรรลุธรรม เจ้าชายสิทธัตถะได้แสวงหาผู้สอนวิธีหลุดพ้นแก่พระองค์ ๒ คนคือ อาฬารดาบส และอุทกดาบส ซึ่งทั้งสองนี้สอนพระองค์ให้ได้ญานชั้นสูง แต่ไม่บรรลุธรรม เมื่อพระองค์บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทรงประกาศธรรม เผยแผ่คำสอนที่สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติตามพ้นทุกข์ตามพระองค์ไปได้ พระพุทธองค์ ทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นเวลา ๔๕ ปี ทรงวางรากฐานพระพุทธศาสนา และมีพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก ที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ซึ่งในสมัยนั้นมีตั้งแต่ กษัตริย์ เจ้าชาย พ่อค้า แม่ค้า พราหมณ์ เศรษฐี ยาจกเข็ญใจ และชนทุกชั้นในสังคม

    ประวัติความเป็นมาของวันวิสาขบูชาในประเทศไทย

    วันวิสาขบูชานี้ ปรากฏตามหลักฐานว่า ได้มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ซึ่งสันนิษฐานว่า คงจะได้แบบอย่าง มาจากลังกา กล่าวคือ เมื่อประมาณ พ.ศ. 420 พระเจ้าภาติกุราช กษัตริย์แห่งกรุงลังกา ได้ประกอบพิธีวิสาขบูชาอย่าง มโหฬาร เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา กษัตริย์ลังกาในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็ทรงดำเนินรอยตาม แม้ปัจจุบันก็ยังถือปฏิบัติอยู่ สมัยสุโขทัยนั้น ประเทศไทยกับประเทศลังกามีความสัมพันธ์ด้านพระพุทธศาสนาใกล้ชิดกันมากเพราะ พระสงฆ์ชาวลังกา ได้เดินทางเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนา และเชื่อว่าได้นำการประกอบพิธีวิสาขบูชามาปฏิบัติในประเทศไทยด้วย
    ใน หนังสือนางนพมาศได้กล่าวบรรยากาศการประกอบพิธีวิสาขบูชาสมัยสุโขทัยไว้ พอสรุปใจความได้ว่า " เมื่อถึงวันวิสาขบูชา พระเจ้าแผ่นดิน ข้าราชบริพาร ทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายใน ตลอดทั้งประชาชนชาวสุโขทัยทั่วทุก หมู่บ้านทุกตำบล ต่างช่วยกันทำความสะอาด ประดับตกแต่งพระนครสุโขทัยเป็นการพิเศษ ด้วยดอกไม้ของหอม จุดประทีปโคมไฟแลดูสว่างไสวไปทั่วพระนคร เป็นการอุทิศบูชาพระรัตนตรัย เป็นเวลา 3 วัน 3 คือ พระมหากษัตริย์ และบรมวงศานุวงศ์ ก็ทรงศีล และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ ครั้นตกเวลาเย็น ก็เสด็จพระราช ดำเนิน พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และนางสนองพระโอษฐ์ตลอดจนข้าราชการทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายใน ไปยังพระ อารามหลวง เพื่อทรงเวียนเทียนรอบพระประธาน

    ส่วนชาวสุโขทัยชวนกันรักษาศีล ฟังธรรมเทศนา ถวายสลากภัต ถวายสังฆทาน ถวายอาหารบิณฑบาต แด่พระภิกษุ สามเณรบริจาคทรัพย์แจกเป็นทานแก่คนยากจน คนกำพร้า คนอนาถา คนแก่ คนพิการ บางพวกก็ชวนกันสละทรัพย์ ปล่อยสัตว์ 4 เท้า 2 เท้า และเต่า ปลา เพื่อชีวิตสัตว์ให้เป็นอิสระ โดยเชื่อว่าจะทำให้คนอายุ ยืนยาวต่อไป"

    ในสมัยอยุธยา สมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ด้วยอำนาจอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ เข้าครอบงำประชาชนคนไทย และมีอิทธิพลสูงกว่าอำนาจของพระพุทธศาสนา จึงไม่ปรากฎหลักฐานว่า ได้มีการประกอบพิธีบูชาในวันวิสาขบูชา จนมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2360) ทรงดำริกับ สมเด็จพระสังฆราช (มี) สำนักวัดราชบูรณะ มีพระราชประสงค์จะให้ฟื้นฟู การประกอบพระราชพิธีวันวิสาขบูชาขึ้นใหม่ โดย สมเด็จพระสังฆราช ถวายพระพรให้ทรงทำขึ้น เป็นครั้งแรกในวันขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 พ.ศ. 2360 และให้จัดทำตามแบบอย่างประเพณีเดิมทุกประการ เพื่อมีพระประสงค์ให้ประชาชนประกอบการบุญการกุศล เป็นหนทางเจริญอายุ และอยู่เย็นเป็นสุขปราศจากทุกข์โศกโรคภัย และอุปัทวันตรายต่างๆ โดยทั่วหน้ากัน

    ฉะนั้น การประกอบพิธีในวันวิสาขบูชาในประเทศไทย จึงได้รื้อฟื้นให้มีขึ้นอีกครั้งหนึ่งในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 และถือปฏิบัติมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน

    การจัดงานเฉลิมฉลองในวันวิสาขบูชาที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกยุค ทุกสมัย คงได้แก่การจัดงานเฉลิมฉลอง วันวิสาขบูชา พ.ศ.2500 ซึ่งทางราชการเรียกว่างาน " ฉลอง 25 พุทธศตวรรษ " ตั้งแต่วันที่ 12 ถึง 18 พฤษภาคม รวม 7 วัน ได้จัดงานส่วนใหญ่ขึ้นที่ท้องสนามหลวง ส่วนสถานที่ราชการ และวัดอารามต่างๆ ประดับธงทิวและโคมไฟสว่างไสวไปทั่วพระ ราชอาณาจักร ประชาชนถือศีล 5 หรือศีล 8 ตามศรัทธาตลอดเวลา 7 วัน มีการอุปสมบทพระภิกษุสงฆ์รวม 2,500 รูป ประชาชน งดการฆ่าสัตว์ และงดการดื่มสุรา ตั้งแต่วันที่ 12 ถึง 14 พฤษภาคม รวม 3 วัน มีการก่อสร้าง พุทธมณฑล จัดภัตตาหาร เลี้ยงพระภิกษุสงฆ์วันละ 2,500 รูป ตั้งโรงทานเลี้ยงอาหารแก่ประชาชน วันละ 200,000 คน เป็นเวลา 3 วัน ออกกฎหมาย สงวนสัตว์ป่าในบริเวณนั้น รวมถึงการฆ่าสัตว์ และจับสัตว์ในบริเวณวัด และหน้าวัดด้วย และได้มีการปฏิบัติธรรมอันยิ่งใหญ่ อย่างพร้อมเพรียงกัน เป็นกรณีพิเศษ ในวันวิสาขบูชาปีนั้นด้วย


    หลักธรรมที่ควรปฏิบัติ

    1. กตัญญู กตเวที
    ความกตัญญู คือ ความรู้อุปการคุณที่มีผู้ทำไว้ก่อนเป็นคุณธรรมคู่กับ ความกตเวที คือ การตอบแทนอุปการะคุณที่ผู้อื่นทำไว้นั้นผู้ที่ทำอุปการรคุณก่อนเรียกว่า บุพการี ขอยกมากล่าวในที่นี้คือ บิดามารดา และครูอาจารย์ บิดามารดา มีอุปการะคุณแก่บุตร ธิดา ในฐานะเป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ให้การศึกษา อบรมสั่งสอน ให้ละเว้นจากความชั่ว มั่นคงในการทำความดี เมื่อถึงคราวมีคู่ครองได้จัดหาคู่ครอบที่เหมาะสมให้และมอบทรัพย์สมบัติให้ ไว้เป็นมรดก บุตร ธิดา
    เมื่อรู้อุปการะคุณที่บิดามารดาทำไว้ย่อมตอบแทนด้วยการ ประพฤติตัวดี สร้างชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูล เลี้ยงดูท่าน และช่วยทำงานของท่าน และเมื่อล่วงลับไปแล้วก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน ครูอาจารย์ มีอุปการะคุณแก่ศิษย์ในฐานะเป็นผู้ประสาทความรู้ให้ ฝึกฝนแนะนำให้เป็นคนดีสอนศิลปวิทยาให้อย่างไม่ปิดบัง ยกย่องให้ปรากฎแก่คนอื่นและช่วยคุ้มครองศิษย์ทั้งหลาย ศิษย์เมื่อรู้อุปการคุณที่ครูอาจารย์ทำไว้ย่อมตอบแทนด้วยการตั้งใจเรียน ให้เกียรติ และให้ความเคารพไม่ล่วงละเมิดโอวาทของครู ความกตัญญูและความกตเวทีนี้ถือว่าเป็นเครื่องหมายของคนดีส่งผลให้ครอบครัว และสังคมมีความสุขได้ เพราะบิดามารดาจะรู้จักหน้าที่ของตนเองด้วยการทำอุปการคุณให้ก่อน และบุตร ธิดา ก็จะรู้จัก หน้าที่ของตนเองด้วยการทำดีตอบแทน

    สำหรับ ครูอาจารย์ก็จะรู้จักหน้าที่ของตนเองด้วยการทำอุปการคุณ คือ สอนศิลปวิทยาอย่างเต็มที่และศิษย์ก็จะรู้จักหน้าที่ของตนเอง ด้วยการตั้งใจเรียน และให้ความเคารพเป็นการตอบแทน นอกจากจะใช้ในกรณีของบิดามารดากับบุตรธิดา และครูอาจารย์กับศิษย์แล้ว คุณธรรมข้อนี้ก็สามารถนำไปใช้ได้แม้ระหว่าง พระมหากษัตริย์กับพสกนิกร นายจ้างกับลูกจ้าง เพื่อนกับเพื่อนและบุคคลทั่วไป รวมทั้งมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม

    ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงเป็นบุพการีในฐานะที่ทรงสถาปนาพระพุทธศาสนาและทรงสอนทางพ้น ทุกข์ให้แก่เวไนย-สัตว์ พุทธศาสนิกชน รู้พระคุณอันนี้ จึงตอบแทนด้วยอามิสบูชา และปฏิบัติบูชา กล่าวคือ การจัดกิจกรรมในวันวิสาขบูชา เป็นส่วนหนึ่งที่ชาวพุทธแสดงออก ซึ่งความกตัญญูกตเวทีต่อพระองค์ ด้วยการทำนุบำรุงส่งเสริม พระพุทธศาสนา และประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อดำรงอายุพระพุทธศาสนาสืบไป

    2. อริยสัจ ๔
    อริยสัจ คือ ความจริงอันประเสริฐ หมายถึง ความจริงที่ไม่ผันแปร เกิดมีได้แก่ทุกคนมี ๔ ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์ คือ ปัญหาของชีวิต พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทราบว่า มนุษย์ทุกคนมีทุกข์เหมือนกันทั้งทุกข์ขั้นพื้นฐานและทุกข์เกี่ยวกับการ ดำเนินชีวิตประจำวัน

    ทุกข์ขั้นพื้นฐาน คือ ทุกข์ที่เกิดจากการเกิด การแก่ และการตาย ส่วนทุกข์ที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตประจำวันคือ ทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทุกข์ที่เกิดจากการประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ทุกข์ที่เกิดจากการไม่ได้ตามใจปรารถนา รวมทั้งทุกข์ที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตด้านต่างๆ สมุทัย คือ เหตุแห่งปัญหา พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทราบว่า ทุกข์ทั้งหมด ซึ่งเป็นปัญหาของชีวิตล้วนมีเหตุให้เกิดเหตุนั้น คือ ตัณหา อันได้แก่ ความอยากได้ต่างๆ

    ซึ่งประกอบไปด้วย ความยึดมั่น นิโรธ คือ การแก้ปัญหาได้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทราบว่า ทุกข์ คือ ปัญหาของชีวิตทั้งหมดนั้นแก้ไขได้ โดยการดับตัณหา คือ ความอยากให้หมดสิ้น มรรค คือ ทางหรือวิธีแก้ปัญหา พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็ เพื่อให้ทราบว่า ทุกข์คือปัญหาของชีวิตทั้งหมดที่สามารถแก้ไขได้นั้นต้องแก้ไขตามมรรคมีองค์ ๘

    3. ความไม่ประมาท
    ความไม่ประมาท คือ การมีสติทั้งขณะทำ ขณะพูดและขณะคิด สติ คือ การระลึกรู้ทัน ที่คิด พูดและทำ ในภาคปฏิบัติเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน หมายถึงการระลึกรู้ทันการเคลื่อนไหวอิริยาบถ ๔ คือ เดิน ยืน นั่ง นอน การฝึกให้เกิดสติ ทำได้โดยตั้งสติกำหนดการเคลื่อนไหวอิริยาบถกล่าวคือ ระลึกรู้ทันในขณะยืน เดิน นั่งและนอน รวมทั้งระลึกรู้ทันในขณะพูดขณะคิด และขณะทำงานต่างๆ

    ในวันนี้พุทธศาสนิกชนต่างพากันน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยการไปชุมนุมตามพระอารามต่าง ๆ เพื่อกระทำการบูชาปูชนียวัตถุอันได้แก่ พระธาตุเจดีย์หรือพระพุทธปฏิมา ที่เป็นพระประธานในพระอุโบสถอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยเครื่องบูชามีดอกไม้ ธูปเทียน เป็นต้น เริ่มด้วยการสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ด้วยบทสวดมนต์ตามลำดับดังนี้คือ

    บทสรรเสริญ พระพุทธคุณ

    อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปนโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสสะธัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ บทสรรเสริญ พระธรรมคุณ

    สวากขาโต ภะคะวา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ. บทสรรเสริญ พระสังฆคุณ

    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสสะ ยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระนีโย อะนุตตะรัง ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติ

    จากนั้นก็จะกระทำ ประทักษิณ หรือที่เรียกว่า เวียนเทียน รอบพระธาตุเจดีย์ หรือพระพุทธปฎิมาในพระอุโบสถ ด้วยการเดินเวียนขวาสามรอบ รอบแรกจะสวดบทสรรเสริญพระพุทธคุณ รอบที่สองจะสวดบทสรรเสริญพระธรรมคุณ และรอบที่สามสวดบทสรรเสริญพระสังฆคุณ เมื่อครบ 3 รอบแล้วจึงนำดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาพระธาตุเจดีย์ หรือพระพุทธรูปในพระอุโบสถ ณ ที่บูชาอันควรเป็นอันเสร็จพิธีเวียนเทียน

    จากนั้นก็จะมีการแสดงพระธรรมเทศนาในพระอุโบสถ ซึ่งปกติจะมีเทศน์ ปฐมสมโพธิ ซึ่งเป็นเรื่องพระพุทธประวัติตั้งแต่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน พิธีเริ่มตั้งแต่ประชุมฟังพระทำวัตรสวดมนต์ แล้วจึงฟังเทศน์ซึ่งจะมีไปตลอดรุ่ง

    ประวัติ วันวิสาขบูชา 2556



    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันอัมพฤกษ์ อัมพาตโลก 24 พฤษภาคมของทุกปี

    -http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C_%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81_24_%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%B5/-

    อัมพฤกษ์ อัมพาต (stroke) คือ: โรคหลอดเลือดสมอง หมายถึง ภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยง จากการตีบตันหรือแตกของหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองจนเกิดการทำลายหรือตายของเนื้อสมองทำให้สมองทำหน้าที่ผิดปกติไปปี พ.ศ.2548 ประเทศไทยมีผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีถึงร้อยละ 10.2 ค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคนี้ 1 คน ใช้งบประมาณ 100,000-1,000,000 บาทต่อปีปัจจัยที่มีผลต่อโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต

    1. โรคเบาหวาน
    2. โรคความดันโลหิตสูง
    3. โรคไขมันในเลือดสูง
    4. โรคหลอดเลือดส่วนปลายผิดปกติ
    5. การสูบบุหรี่
    6. ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะและลิ้นหัวใจผิดปกติ

    สัญญาณเตือนภัยอัมพฤกษ์ อัมพาต (stroke)

    อ่อนแรงหรือชาครึ่งซีก เวียนศีรษะ เดินเซ หมดสติ ปวดหัวรุนแรงเฉียบพลัน พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง ตามัว หรือเห็นภาพซ้อน เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน บางครั้งทำให้เดินไม่ได้หรือได้ก็ไม่ถนัด การทรงตัวลำบาก ลักษณะแบบเส้นยึด แขน-ขายกไม่ขึ้น
    การรักษาและป้องกันโรคอัมพฤกษ์อัมพาต

    1. รีบพบแพทย์โดนด่วน เพื่อการตรวจวินิจฉัยรักษาให้ทันท่วงทีภายใน 3 ชั่วโมง หลังจากมีอาการ
    2. รักษาด้วยยา ได้แก่ ยาละลายลิ่มเลือด, ยาต้านเม็ดเลือด เช่น aspirin, clopidogrel เป็นต้น
    3. กายภาพบำบัด
    4. ควบคุมปัจจัยเสี่ยงของการเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต เช่น คุมความดัน ไขมันและน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เลิกสูบบุหรี่
    5. ออกกำลังกายแบบแอโรบิค เช่น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน อย่างน้อย 30 นาที ต่อเนื่อง 5 วันต่อสัปดาห์
    6. ควบคุมอาหาร ลดอาหารเค็ม มัน หวาน เพิ่มปริมาณผักผลไม้ในแต่ละวัน
    7. “ชิมก่อนเติม กินแต่พอดี”

    แหล่งที่มา : อัมพฤกษ์ อัมพาต | Shopping สุขภาพดี ด้วยวิธีง่ายๆ OkHotShop.com

    วันอัมพฤกษ์ อัมพาตโลก 24 พฤษภาคมของทุกปี จาก บทความ สนุก! พีเดีย

    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    " น้ำมันตับปลา "กับ " น้ำมันปลา "แตกต่างกันอย่างไร

    -http://campus.sanook.com/1349578/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2-%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3/-



    ทำไมจึงต้องทานน้ำมันปลา

    หลายคนคงทราบมาก่อนแล้วว่าน้ำมันปลามีกรดไมขัน โอเมก้า-3 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ น้ำมันปลามีอยู่ในจำพวกอาหารทะเล อาทิ ปลาอินทรีย์ ปลาทู ทูน่า หอยนางลม กุ้งฝอย เป็นต้น


    น้ำมันปลากับโรคหัวใจและหลอดเลือด

    ชาวเอสกิโมที่อาศัยอยู่ในแถบหมู่เกาะกรีนแลนด์มีอุบัติการณ์ของการเกิดโรคหัวใจและข้ออักเสบต่ำ ทั้งๆ ที่กลุ่มคนเหล้านี้มีการบริโภคไขมันปลาในปริมาณสูง ภายหลังมมีการค้นพบว่าไขมันปลาที่ชาวเอสกิโมบริโภคอยู่นั้นประกอบไปด้วย โอเมก้า 3 ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไขมันในเลือดสูง และโรคความดันโลหิต


    น้ำมันปลากับการบำรุงสมอง

    เนื่องจากดีเอชเอ (DHA) เป็นส่วนประกอบหนึ่งของเนื้อเยื่อสมอง น้ำมันปลาจึงมีผลต่อหน้าที่การทำงานของสมองหรือแม้แต่การสร้างสารสื่อนำประสาทในสมอง


    น้ำมันปลากับโรครูมาตอยด์ (โรคข้ออักเสบ)

    อีพีเอ (EPA) จากโอเมก้า 3 (Omega 3) มีผลในการลดการอักเสบที่เกิดจากสารก่ออักเสบในร่างกาย ซึ่งจะพบมากในผู้ป่วยที่เป็นโรครูมาตอยด์

    น้ำมันปลา (Fish Oil) คืออะไร ?

    น้ำมันปลา คือน้ำมันที่สกัดจาก เนื้อ หัว หาง และหนังของปลาทะเล เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคคอเรล ปลาทูน่า เป็นต้น น้ำมันปลายังเป็นแหล่งของกรดไขมันจำเป็นไม่อิ่มตัวที่ เรียกว่า โอเมก้า 3 (Omega 3 ) ประกอบไปด้วย อีพีเอ (EPA) และ ดีแอชเอ (DHA) ซึ่ง มีประโยชน์ต่อระบบหลอดเลือดหัวใจ บำรุงสมองและสายตา

    ต่างจากน้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) อย่างไร ?

    น้ำมันตับปลา เป็นน้ำมันที่ได้จากตับปลาทะเล เป็นแหล่งที่ให้วิตามินเอ ช่วยบำรุงผิวพรรณ และวิตามินดี ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระดูก หากรับประทานมากเกินขนาด อาจเกิดพิษจากการสะสมของวิตามินเอและดีซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในร่างกายส่วนที่เป็นไขมัน


    น้ำมันปลา

    1. สกัดได้จากเนื้อ หัว หางและของปลาทะเล

    2. เป็นแหล่งที่ให้กรดไขมันจำเป็น โอเมก้า 3

    3. ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไขมันในเลือดสูง

    น้ำมันตับปลา

    1. สกัดจากตับปลาทะเล

    2. เป็นแหล่งที่ให้วิตามินเอและดี

    3. บำรุงร่างกายทั่วไป

    ที่มา: รายการ Healthy Time ทาง MCOT1
    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...