พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระท่านให้ใช้ปัญญา‘ศรัทธาสงฆ์’‘สมณสารูป’สำคัญ!
    วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน 2556 เวลา 00:00 น.
    -http://www.dailynews.co.th/article/223/213528-


    อาจเพราะยุคปัจจุบันเป็นยุคที่ผู้คนเข้าถึงและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารได้มากมายหลายทาง กรณีบุคคล แฝงตัวห่มผ้าเหลืองแล้วทำให้ภาพลักษณ์พระภิกษุสงฆ์ต้องเสื่อมเสีย รวมถึงกรณี ผู้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์มีพฤติกรรมเป็นที่กังขาของพุทธศาสนิกชนโดยรวม จึงมีปรากฏออกมาสู่สังคมมากขึ้นกว่าในอดีต

    การมีกรณีแบบนี้ปรากฏออกมาสู่สังคมมาก ๆ ในมุมหนึ่งมีการมองว่าเป็นผลลบต่อพระพุทธศาสนา แต่ในอีกมุมหนึ่งก็มีการมองว่านี่ก็เป็นผลบวกได้ เพราะเป็นการช่วยกันเป็นหูเป็นตาเป็นปากเป็นเสียงให้พระพุทธศาสนา

    เป็นผลบวกได้หากมีการจัดการให้ถูกให้ควร

    และชาวพุทธตระหนักถึงความถูกความควร...

    ทั้งนี้ กับกรณีครึกโครมเกี่ยวกับพฤติกรรมพระภิกษุสงฆ์ที่มีออกมาสู่สังคม ทำไม? อย่างไรแน่? นั่นก็คงต้องว่ากันไปตามกระบวนการ และก็ย่อมจะสุดแท้แต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม กับประเด็น ’ความถูกความควรของพฤติกรรมผู้ที่เป็นพระภิกษุสงฆ์“ ในภาพรวมนั้น ชาวพุทธยุคปัจจุบันยิ่งควรตระหนัก

    “ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากยุคเกษตรกรรมมาเป็นยุคอุตสาหกรรม ก็ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคนกับวัดมากขึ้น ทำให้มีพระปลอมบวช หรือพระที่ไม่มีความรู้ เข้ามาสร้างความเสื่อมเสียได้ง่าย ที่สำคัญยังมีกลุ่มผู้มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ มองเห็นช่องทาง โดยดึงเอาความศรัทธามาแปรเป็นทุน”...พระสงฆ์นักเผยแผ่หลักธรรมบางรูปเคยสะท้อนผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ไว้ ซึ่งนับว่าควรพิจารณา เพราะประเด็นปัญหาในเรื่องนี้แม้จะเป็นเพียงบางจุดบางส่วนในวงการพระพุทธศาสนา-วงการพระสงฆ์ในไทย แต่บางจุดบางส่วนนี่ก็เป็นเหตุให้เกิดความ ’มัวหมอง“ ต่อพระพุทธศาสนา และยังอาจมีการ ’หลอกลวง“ ชาวพุทธ

    อันสืบเนื่องกรณีครึกโครมเกี่ยวกับพฤติกรรมพระภิกษุสงฆ์ พระผู้ใหญ่บางรูปในมหาเถรสมาคม ระบุไว้บางช่วงบางตอนว่า...พระวินัยได้กำหนดให้พระหรือวัดอยู่ในความพอดีพอเพียง พระสงฆ์และวัดต้องยึดพระธรรมวินัยเป็นตัวตั้ง ดำรงตนสำรวมอยู่ในสมณสารูป ซึ่งกับคำว่า “สมณสารูป” นั้น จากข้อมูลบทความในเว็บไซต์ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ระบุไว้ว่า... หมายถึง ที่สมควรแก่พระ, กิริยามารยาทที่สมควรแก่สมณะ ขณะที่มงคลที่ 29 ในมงคลชีวิต 38 ข้อ หรือมงคล 38 ประการ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ก็มีเนื้อหาในส่วนที่เกี่ยวกับลักษณะของสมณะ หรือการดำรงตนของพระภิกษุสงฆ์ให้เหมาะสมกับสมณสารูป

    โดยสังเขป-โดยสรุปคือ...สงบกาย สำรวม ไม่มีกิริยาร้าย เช่น แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น พกอาวุธ วิวาท เป็นต้น, สงบวาจา มีวาจาเป็นธรรม ไม่ปากร้าย ไม่ว่าร้าย ไม่ยุยง เป็นต้น, สงบใจ มีจิตใจที่นึกถึงธรรมเป็นสำคัญ มีจิตใจที่สงบจากบาปกรรม มีจิตใจที่เต็มไปด้วยความเมตตากรุณา เป็นต้น ...นี่จึงถือว่าเหมาะสมกับสมณสารูป

    หรือในบางเว็บไซต์เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาก็ระบุถึง “สมณสารูป” ไว้ประมาณว่า...หมายถึง การประพฤติปฏิบัติ กิริยามารยาทที่เหมาะสมของพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติที่ทำให้มีระเบียบวินัย มีมารยาทในเรื่องต่าง ๆ ที่เรียบร้อยงดงาม โดยสมณสารูปนี้ ถือเป็นพระวินัยหมวดหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้

    พระสงฆ์ที่ด้อยสมณสารูปก็เสมือนด้อยวินัยสงฆ์

    ถ้าไม่มีสมณสารูปเสียเลยนี่ก็คงจะไม่ต้องพูดถึง!!

    ทั้งนี้ ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุที่โลกเปลี่ยนไปไม่เหมือนอดีตกาล-พุทธกาล สำหรับพระภิกษุสงฆ์ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถปรับ “วัตรปฏิบัติ” ตามหน้าที่-ตามวินัยสงฆ์ ซึ่งในทางสงฆ์เองก็ดูจะมีการอนุโลมไม่น้อยเลย โดยในที่นี้ก็รวมถึงการมีการใช้ ทรัพย์สินต่าง ๆ สิ่งของต่าง ๆ เครื่องใช้ต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการมีการใช้ก็ยังต้องตั้งอยู่บน ’ความเหมาะสม-ความถูกความควร“ กับสถานะพระสงฆ์

    กับเรื่องสิ่งของเครื่องใช้นี้ ทางพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งก็เคยระบุไว้ว่า...“ของแบบนี้มันเหมือนกับเหรียญ 2 ด้าน ที่ออกนอกลู่นอกทางตามนิสัยเดิมก็มี ทุกอย่างขึ้นอยู่กับจิตสำนึกและความรับผิดชอบของบุคคลนั้น ๆ ซึ่งหนทางแก้ไขที่ทำได้คือทุกคนต้องช่วยกันเฝ้าระวังดูแล อย่าให้เกิดสิ่งไม่ดีไม่งามขึ้น”

    และกับประเด็น ’ช่วยกันเฝ้าระวังดูแลพระภิกษุสงฆ์“ ก็น่าจะต้องหมายรวมถึงเฝ้าระวังดูแลโดย ส่งเสริม สนับสนุน ’พระภิกษุสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ“ เพื่อให้มีกำลังกายกำลังใจในการสืบสานพระพุทธศาสนา พร้อม ๆ ไปกับเฝ้าระวังดูแล เป็นหูเป็นตาเป็นปากเป็นเสียงเพื่อให้มีการจัดการกับผู้ที่แฝงในผ้าเหลืองเพื่อทำสิ่งไม่ดีหรือแสวงหาประโยชน์อย่างไม่ถูกต้อง โดยกับกลุ่มหลังนี่ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และในแวดวงสงฆ์เอง มีการใช้คำเรียกว่า ’พระปลอมบวช“ ซึ่งสร้างปัญหาให้กับผู้คน ให้กับสังคม และการจะรู้ว่าใช่-ไม่ใช่ พระจริง-พระปลอม ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากอะไรนักสำหรับชาวพุทธทั่วไป

    การดูแลเรื่องนี้...ก็ต้องทั้งพระสงฆ์และฆราวาส

    ในส่วนฆราวาส...สำคัญที่ ’ศรัทธาและปัญญา“

    พระท่านว่า...’ศรัทธาและปัญญาต้องไปคู่กัน“.

    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ‘SWEET SIAM’ ข้าวเหนียวทุเรียนกระป๋อง ขนมไทยอร่อยได้ทั่วโลก (ชมคลิป)
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 มิถุนายน 2556 09:44 น.
    -http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000064528-


    [​IMG]
    ข้าวเหนียวทุเรียนกระป๋อง ‘SWEET SIAM’

    แบรนด์ “SWEET SIAM” (สวีต สยาม) นำขนมหวานไทยหลายชนิดมาแปรรูป โดยมีเมนู “ข้าวเหนียวทุเรียน” เป็นพระเอก บรรจุในกระป๋องสามารถเก็บได้ในอุณหภูมิปกติ แค่เปิดฝาพร้อมกินทันที รสชาติใกล้เคียงต้นตำรับทำสดใหม่ ช่วยให้ข้ามข้อจำกัดด้านการเก็บรักษาและขนส่งไปได้ เหมาะจะเป็นสินค้าเพื่อส่งออก เน้นเจาะตลาดลูกค้าชาวจีนที่นิยมขนมไทย

    [​IMG]
    ณัฐสกนธ์ เจริญสาธิต

    ณัฐสกนธ์ เจริญสาธิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญดีเซิร์ท จำกัด เจ้าของธุรกิจ “SWEET SIAM” เห็นโอกาสจากที่เคยไปเรียนที่ประเทศจีน ทำให้รู้ดีว่าชาวจีนนิยมกินขนมไทยอย่างมาก โดยเฉพาะเมนูที่มีส่วนผสมของผลไม้ไทยกับน้ำกะทิจะได้รับความนิยมเป็นพิเศษ

    ประกอบกับรู้ดีถึงเศรษฐกิจของประเทศจีนที่เติบโตอย่างสูงและต่อเนื่อง ประชากรมีจำนวนมากและรายได้ต่อหัวสูงขึ้นเรื่อยๆ เหล่านี้กลายเป็นแรงส่งให้หนุ่มไฟแรงอยากทำธุรกิจขนมไทยแปรรูปเพื่อมุ่งส่งเข้าตลาดแดนมังกรเป็นหลัก

    [​IMG]
    1 ชุด มี 2 กระป๋อง แยกระหว่างข้าวเหนียวมูน กับน้ำกะทิ

    “นวัตกรรมแปรรูปขนมไทยบรรจุกระป๋องมาจากที่ผมไปขอความรู้และคำแนะนำจากสถาบันอาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยใช้เวลาวิจัยและพัฒนาอยู่นานเกือบ 2 ปีกับเงินลงทุนหลักล้าน ซึ่งนวัตกรรมนี้จุดเด่นสามารถเก็บอาหารแบบต้นตำรับไว้ได้นานนับปีภายใต้อุณหภูมิปกติ แค่เปิดฝากระป๋องก็กินได้ทันที ทำให้ได้รสชาติใกล้เคียงกับขนมที่ทำสดใหม่ สะดวกต่อการเก็บรักษาและขนส่ง ซึ่งสิ่งสำคัญมาจากเทคนิคการแปรรูป วัตถุดิบ และบรรจุภัณฑ์ ซึ่งของเรามีทั้งใช้แบบกระป๋อง ถ้วยพลาสติก และซอง” ณัฐสกนธ์อธิบาย

    [​IMG]
    น้ำกะทิพร้อมดื่ม

    เบื้องต้น มีสินค้า 5 รายการ ล้วนแต่เป็นขนมไทยที่ชาวต่างชาตินิยมทั้งสิ้น สินค้าเด่นคือ ข้าวเหนียวทุเรียน และข้าวเหนียวมะม่วง บรรจุกระป๋องแบบคู่ แยกข้าวเหนียวมูนกับน้ำกะทิ ชุดละ 120 บาท นอกจากนั้นได้แก่ สาคูข้าวโพด และมังคุดลอยแก้ว บรรจุถ้วยพลาสติก ราคา 40 บาท และน้ำกะทิพร้อมดื่มในซอง มี 3 รส ได้แก่ รสมังคุด รสมะม่วง และรสทุเรียน ราคา 25 บาท

    [​IMG]
    มังคุดลอยแก้ว

    เจ้าของไอเดียเผยด้วยว่า สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ช่วยให้ขนมมีรสชาติใกล้เคียงขนมทำสดใหม่คือ วัตถุดิบที่ใช้เจาะจงเป็นชนิดเดียวกับขนมต้นตำรับ เช่น ข้าวเหนียวมูนจะใช้พันธุ์เขี้ยวงูจากภาคเหนือ ส่วนทุเรียนพันธุ์หมอนทอง และมะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้จากภาคตะวันออก มะพร้าวที่นำมาทำน้ำกะทิจากภาคใต้ เป็นต้น

    ทั้งนี้ ผลไม้ต่างๆ จะรับซื้อตรงจากชาวสวนในช่วงฤดูที่ผลไม้แต่ละชนิดออกผล แล้วนำมาเก็บไว้ในห้องเย็นเพื่อควบคุมให้มีวัตถุดิบผลิตสินค้าได้ทั้งปี ตลอดจนควบคุมต้นทุนไม่ให้ผันผวนตามราคาขึ้นลงของผลไม้ ส่วนกระบวนการผลิตขณะนี้ยังใช้วิธีว่าจ้างโรงงานอาหารแปรรูป ซึ่งเป็นโรงงานที่ได้มาตรฐานอาหารส่งออกครบถ้วน ทั้ง ISO, GMP และ HACCP

    [​IMG]
    น้ำกะทิพร้อมดื่ม

    เจ้าของธุรกิจระบุด้วยว่า ใช้เงินลงทุนธุรกิจเบื้องต้นไปแล้วกว่า 10 ล้านบาท สินค้าเริ่มออกตลาดเมื่อปลายปีที่แล้ว (2555) ซึ่งได้ผลตอบด้วยดี ลูกค้าเป้าหมายคือส่งออกประเทศจีนผ่านวิธีทำตลาด ทั้งมีตัวแทนรับซื้อไปทำตลาดในจีน ส่งเข้าร้านอาหารไทย และร้านขายสินค้าอาหารเอเชียในประเทศจีน รวมถึงออกงานแสดงสินค้าเกี่ยวกับอาหารเพื่อการส่งออกทั้งใน และต่างประเทศ

    [​IMG]
    สาคูข้าวโพด

    “ผมวางลูกค้าเป้าหมายหลักคือ ชาวจีน เพราะเป็นตลาดที่ใหญ่มาก มีชาวจีนอยู่ทั่วโลก โดยเวลานี้ตลาดกว่า 80% ส่งไปขายยังประเทศจีนผ่านช่องทางต่างๆ ส่วนอีก 20% ขายตามแหล่งท่องเที่ยวในประเทศ เช่น พัทยา เชียงใหม่ และร้านคิงเพาเวอร์ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ก็ยังเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาเมืองไทย ส่วนในอนาคตผมกำลังจะขยายส่งออกไปยังตลาดอาเซียน ซึ่งผู้บริโภคมีความชื่นชอบขนมไทยไม่น้อยเช่นกัน ควบคู่กับเน้นการสร้างแบรนด์ให้ลูกค้าเป้าหมายจดจำให้ได้ด้วย นอกจากนั้น เตรียมจะสร้างโรงงานของตัวเอง” ณัฐสกนธ์กล่าวในตอนท้าย

    [​IMG]
    ข้าวเหนียวทุเรียน บรรจุกระป๋อง ชุดละ 120 บาท
    โทร. 08-6465-4922 -www.sweetsiamthailand.com-

    [​IMG]

    [​IMG]

    ออกบูทงานแสดงสินค้า


    คลิปไปชมตามลิงค์ครับ

    iBiz - Manager Online - ‘SWEET SIAM’ ข้าวเหนียวทุเรียนกระป๋อง ขนมไทยอร่อยได้ทั่วโลก (ชมคลิป)
    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กินอร่อยทั่วไทยไม่ไปไม่แซบ
    วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน 2556 เวลา 00:00 น.

    -http://www.dailynews.co.th/society/213609-

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    “กินเรื่องใหญ่ ตายเรื่องเล็ก” คำเปรียบเปรยที่ใช้กับคนที่มีความสุขกับการกินอาหารทั้งคาวและหวาน ซึ่งไม่ว่ายุคสมัยไหนก็คงหยิบมาใช้ได้ตลอด สร้างความเอ็นจอยอีทติ้งกับการกินอาหารคาว-หวานในหลากหลายรูปแบบทั่วประเทศไทย ศูนย์การค้าเมกาบางนา ศูนย์การค้าแนวราบระดับภูมิภาคแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดงาน “เมกาบางนา ไทย คูซีน แอนด์ คัลเชอร์รัล” รวบรวมสุดยอดอาหารเลิศรสสะท้อนความเป็นไทยผ่านการแสดงนาฏศิลป์อันอ่อนช้อย พร้อมสาธิตการปรุงอาหารสูตรลับฉบับชาววังจากต้นตำรับพระวิมาดาเธอฯ พระอัครชายาในรัชกาลที่ 5

    ในงานตื่นตาตื่นใจกับอาหารจากร้านอาหารเมนูดัง 4 ภาคทั่วประเทศไทยส่งตรงให้ได้ลิ้มชิมรสทั้งอาหารคาว, ของหวาน และเครื่องดื่มโบราณ เริ่มจากอาหารตำรับชาววังของชาวภาคกลาง ข้าวแช่แม่เล็ก จ.เพชรบุรี ถือเป็นต้นตำรับของข้าวแช่แบบดั้งเดิมของชาวมอญ ที่หากินยากในปัจจุบัน มีความพิถีพิถันในการจัดเครื่องเคียง ทั้งลูกกะปิทอด, ปลายี่สกผัดหวานที่ใช้เนื้อปลาล้วนนำมาตำจนเนื้อฟู และไชโป๊หวาน นำไชโป๊เคี่ยวเอาความเค็มออกแล้วนำไปเคี่ยวกับน้ำตาลโตนด ส่วนที่ขาดไม่ได้คือน้ำแช่ข้าว ซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกมะลิ กระดังงา และชมนาด ร้านข้าวแช่แม่เล็กเป็นร้านที่มีชื่อเสียงโด่งดังมายาวนาน เรียกได้ว่าถ้าใครแวะไป จ.เพชรบุรี ถ้าไม่แวะไปกินจะเรียกว่าไปไม่ถึง และยังมีอาหารที่ถือเป็นซิกเนเจอร์ของภาคเหนือ ได้แก่ ไส้อั่ว แคบหมู น้ำพริกหนุ่ม จากร้านวนัสนันท์ ร้านเด็ดชื่อดังของ จ.เชียงใหม่ รับประกันรสชาติและเอกลักษณ์ที่เป็นที่คุ้นเคยอย่างดี

    ขณะเดียวกันยังมีอาหารใต้ที่สามารถซื้อไปเป็นของฝาก ได้แก่ หมูย่าง ร้านตรังหมูย่าง จ.ตรัง ที่มีความกรอบนอกนุ่มใน ไม่ฉ่ำน้ำ มีชั้นมันน้อย ถ้าจะกินให้อร่อยต้องกินพร้อมกันทั้งสามชั้นคือ หนัง มัน เนื้อ กินคู่กับน้ำพริกกุ้งเสียบ พริกแกงหมูไตปลาคั่วกลิ้ง เพิ่มรสชาติให้เนื้อหมูหอมแน่นเหนียว ทำให้หลายคนติดอกติดใจกันเลยทีเดียว, จำปาดะทอด ร้านแม่สมจิตร จำปาดะถือเป็นผลไม้ชนิดหนึ่ง นำมาทอดน้ำมันร้อนจัดเดือดพล่าน ชุบแป้งสุกกรอบ กินกันร้อน ๆ รสหวานจัดหอมหวนชุ่มปากชุ่มคอ โดยเม็ดจำปาดะทอดให้รสมันเข้ม ปัจจุบันถือเป็นของที่หากินยาก รวมถึงอีกหนึ่งเมนูของฝากจากภาคอีสาน ได้แก่ ของฝากจากอุดร ที่มีหลากหลายความอร่อยถูกปาก ทั้งส้มตำรสเด็ด ยำเห็ด แหนม และหมูยอ ที่รสชาติเป็นเอกลักษณ์คงความอร่อยได้อย่างแน่นอน

    นอกจากอาหารจากทุกสารทิศทั่วไทยที่มีมาให้ลิ้มรสกันแล้ว ยังมีการแสดงสะท้อนวัฒนธรรมไทยจากศูนย์วัฒนธรรมไทย มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติฯ ที่เรียงรายมาให้รับชมในแต่ละวัน อาทิ การแสดงหุ่นคนชุด “วิลาศลักษณ์ ศุภฤกษ์ เบิกอมร”, การแสดงนาฏศิลป์ที่มีการร่ายรำอันประณีตงดงาม อย่างการแสดงกินรีร่วมสมัย, การแสดงอันสะท้อนวัฒนธรรมของชาวไทยแต่ละภาค อาทิ อีสานม่วนซื่น, ฟ้อน กิงกะหร่า-โต อีกหนึ่งเอกลักษณ์ของชาวเหนือ เป็นการแสดงฟ้อนนก โดยแต่งกายเลียนแบบนกยูงกรีดกรายร่ายรำแสดงท่ารื่นเริงสุข ส่วนการรำโตหรือก้าโต เป็นการแสดงโดยให้ผู้แสดงสองคนมุดเข้าไปอยู่ในหุ่นคล้ายกับกวาง ซึ่งไทใหญ่เรียกว่าโต เป็นสัตว์ในนิยายสมัยพระพุทธกาล ส่วนใหญ่นิยมฟ้อนและรำในช่วงงานวันออกพรรษา พร้อมทั้งสนุกสนานไปกับมินิคอนเสิร์ตจากนักร้องเสียงทรงพลัง เก่ง–ธชย ประทุมวรรณ และ ปุ้ย–ดวงพร พงศ์ผาสุก ในวันเสาร์ที่ 29 มิ.ย. 2556

    พร้อมร่วมสืบทอดตำรับอาหารศาสตร์และศิลป์ของไทยโบราณ โดย ผศ.ดร.ศันสนีย์ จะสุวรรณ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักศิลปะวัฒนธรรม และ อ.นฤมล เปียซื่อ สาขาวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ร่วมเล่าเรื่องราวการสืบทอดและความเป็นมาของตำรับอาหารแต่ละชนิด และสาธิตการปรุงเครื่องจิ้ม และข้าวปรุงต่าง ๆ ตำรับพระวิมาดาเธอฯ อาทิ ข้าวงบ, น้ำพริกลงเรือ, ข้าวบายศรีปากชาม, น้ำพริกตะไคร้ และน้ำพริกลูกหนำเลี้ยบ เป็นต้น อีกทั้งเป็นครั้งแรกที่มีการรวบรวมยังจะแจกตำราอาหารชาววังสูตรลับที่หายากจากเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับเพื่อแจกในงานนี้ และเพื่อความสุขของทุกคนในครอบครัว งานอาหารดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 มิ.ย.–8 ก.ค.2556 ณ ลานแฟชั่นแกลอเรีย ชั้น 1 ศูนย์การค้าเมกาบางนา ซึ่งคนรักอาหารไทยไม่ควรพลาด เพราะจะได้ทัศนาวิธีการปรุงอาหารชาววังอย่างใกล้ชิดแล้ว ยังได้รับความสุขจากการลิ้มชิมรสอาหารไทยที่คัดสรรแต่ร้านเด็ด ๆ ขึ้นชื่อของแต่ละภาคทั่วไทยมารวมไว้ในที่เดียว.


    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปางห้ามมาร

    คอลัมน์ คติ-สัญลักษณ์
    ชวพงศ์ ชำนิประศาสน์

    [​IMG]

    พระพุทธรูปปางนี้อยู่ในอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางหงายอยู่บนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวายกมือขึ้นป้องเสมอพระอุระ (อก) ฝ่ามือหันออก นิ้วพระหัตถ์เหยียดตรง

    พระพุทธรูปปางนี้มีลักษณะคล้ายปาง โปรดอาฬวกยักษ์ หรือปางประทานเอหิภิกขุ และปางโปรดพุทธมารดา ความแตกต่าง จะอยู่ตรงนิ้วพระหัตถ์ขวาที่แตกต่างกัน

    พระพุทธรูปปางนี้เป็นลักษณะของพระพุทธรูปที่ต่อจากปางมารผจญที่ได้เคยบรรยายมาแล้ว ซึ่งหมายถึงการประกาศของพระพุทธเจ้าว่าเป็น ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นผู้พ้นไปจากโลกีย์ อยู่เหนือโลก พ้นจากสังสารวัฏ และการพ้นไปจากสังสารวัฏก็คือ การไม่ข้องแวะอยู่ ผูกพันอยู่ด้วยกิเลสตัณหา

    พุทธประวัติที่แต่งขึ้นในยุคคอรรถกถาจารย์ ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังพระพุทธเจ้า หลายปี ได้แต่งเรื่องเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระพุทธเจ้าในลักษณะทางวรรณกรรมว่าหมายถึง หรือการใช้สัญลักษณ์ของนางมารผู้เป็นลูกพญามารที่ไม่อาจจูงใจให้พระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เองโดยชอบแล้วให้ข้องเกี่ยวอยู่ในกิเลส 3 ประการ อันได้แก่

    ตัณหา คือ ความอยากอันมีความเกิดอีกเป็นธรรมดา เจือด้วยกำหนัด ด้วยราคะ เพลิดเพลินยิ่งในอารมณ์นั้นๆ

    ราคะ คือความใคร่ ความกำหนัด

    อรตี คือ ความยินดีหรือความยินร้าย ความเกลียดชัง หรือความอิจฉาริษยา
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เณรคำรวยรักปริศนา !? กับพ่อยกแม่ยกผู้ศรัทธาและร่ำรวย
    โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 29 มิถุนายน 2556 06:00 น.
    -http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000078918-


    [​IMG]
    ภาพสีกากับพระดังที่กำลังถูกขยายความอย่างหนัก เพราะไม่ได้มีเพียงแค่หนึ่งคน หากแต่มีถึง 2 คนด้วยกัน

    [​IMG]
    บ้านหลังมหึมาที่ว่ากันว่า หลวงปู่เณรคำซื้อให้หญิงสาว เพียงแต่มีปัญหาเลิกรากันไปทำให้การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ แต่คณะลูกศิษย์และพ่อของผู้หญิงอ้างว่าเป็นน้องชายของหลวงปู่เณรคำ

    [​IMG]
    คณะลูกศิษย์ของหลวงปู่เณรคำ (ซ้าย) ดร.สุขุม วงประสิทธิ (ขวา)นายภัทรเดช โสพรรณพานิชกุล หรือเสี่ยก้าวหน้า

    [​IMG]
    นายดำรงชัย ปานจุ้ย

    [​IMG]
    นายเทพพนม นามลี ประธาน นปช.แดงสุรินทร์



    ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ยังคงรักษาระดับความฉาวโฉ่เอาไว้ได้อย่างคงเส้นคงวาทีเดียวสำหรับ ข่าว “หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก” หรือพระวิรพล ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ หลังจากเปิดหน้าม่านด้วยความหรูหราระดับเซเลบริตี้นั่งเครื่องบินเจ็ต เฮลิคอปเตอร์ พร้อมสะพายกระเป๋าหลุยส์วิต ตองไปรับกิจนิมนต์

    ทั้งนี้ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเด็นของความฉาวโฉ่ที่สำคัญของหลวงปู่เณรคำพุ่งเป้าไปที่ 4 เรื่องใหญ่ๆ ด้วยกันคือ

    หนึ่ง-ผู้หญิง

    สอง-ที่ดินสร้างวัดป่าขันติธรรม

    สาม-การสร้างพระแก้วมรกตจำลองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมศิลปากรและสำนักพระราชวัง

    และสี่-กลุ่มลูกศิษย์ที่ออกโรงมาปกป้องอย่างสุดชีวิตจนสังคมกระหายใคร่รู้ว่าพวกเขาเป็นใครมาจากไหน

    เริ่มจากประเด็นที่ร้อนแรงที่สุดคือ ผู้หญิง เพราะนอกจากจะได้ชื่อว่าเป็น พระดังร่ำรวยอู้ฟู่รายล่าสุดในยุคนี้แล้ว “พระวิรพล สุขผล” หรือ “หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก” ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรมยังกำลังถูกจัดขึ้นชั้นทำเนียบพระรวยรักปริศนา ? ของเมืองไทยอีกรูปหนึ่ง

    ในความเป็นจริงแล้ว คงต้องบอกว่ากรณีนี้ตกเป็นข่าววิพากษ์วิจารณ์ในโลกอินเตอร์เน็ตไล่เลี่ยกับเครื่องบินเจ็ตและกระเป๋าหลุยส์วิตตอง เพียงแต่ข้อมูลยังไม่ได้รับการขยายความมากนักว่า ภาพผู้หญิงที่นอนข้างๆ พระ ซึ่งกลุ่มลูกศิษย์อ้างว่าถูกตัดต่อภาพนั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร จากนั้นในเวลาต่อมาก็มีการเปิดเผยเรื่องราวของหญิงสาวอีกรายหนึ่ง และว่ากันว่าเป็นต้นเหตุให้ปรากฏภาพฉาวออกมา

    ทั้งนี้ เมื่อไล่เลียงจากข่าวบนสื่อทุกแขนงในขณะนี้ จะเห็นได้ว่ามีสีกามาข้องเกี่ยวแล้วอย่างน้อย 2 นาง รายแรกถูกเปิดเผยออกมาจากโลกออนไลน์ ในรูปภาพนิ่งบุคคลหน้าตาคล้ายพระชื่อดังนอนอยู่กับสีกา ซึ่งเป็นภาพที่บังเอิญไปตรงเรื่องราวอันเป็นที่โจษจันของชาวบ้านหนองพะแนง คุ้ง 10 โนนม่วง ต.รุ่งระวี อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีสะเกษ หมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัดป่าขันติธรรมมานานนับ 10 ปีแล้วอย่างไม่น่าเชื่อ

    เสียงลือเสียงเล่าอ้างและเสียงโจษจันของชาวบ้านมีอยู่ว่า มีพระหนุ่มขับรถเบนซ์คันหรูกระจกติดฟิล์มดำมืดแวะเวียนมาหาสาวน้อย ชื่ออักษรย่อ “พ” ถึงในบ้านอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะในยามค่ำคืนดึกดื่นที่ผู้คนส่วนใหญ่นอน หลับใหลหลังเหน็ดเหนื่อยจากการงานในไร่นา

    การคบหาไปมาหาสู่กันระหว่างพระหนุ่มกับสาวน้อยปริศนา นามอักษรย่อ “พ” ดังกล่าว เป็นที่รับรู้และอยู่ในสายตาของพ่อและครอบครัวมาโดยตลอด โดยพระหนุ่มได้เริ่มมาติดพันตั้งแต่สาวน้อยเรียนอยู่ ม. 4

    ในขณะนั้นพระหนุ่มที่เพิ่งมาเปิดที่พักสงฆ์เจอฤทธิ์ของกามเทพที่แผลงศรทั้งๆ ที่อยู่ในผ้าเหลืองกับสาว “พ” และได้นำเอาเงินจำนวน 20,000 บาท พร้อมสร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท มาหมั้นเอาไว้ จากนั้นได้อยู่กินกันฉันสามีภรรยาแบบลับๆ พร้อมซื้อรถยนต์มิตซูบิชิ สีแดงกลางเก่ากลางใหม่ให้ขับไปโรงเรียน

    และเมื่อความรักของคู่ผัวตัวเมียข้าวใหม่ปลามันถึงขนาดพระหนุ่มก็ทุ่มเงินสร้างบ้านให้ 1 หลัง มูลค่าประมาณ 2 ล้านบาท แต่ยังสร้างไม่เสร็จตามที่เป็นข่าวอื้อฉาวอยู่ในขณะนี้

    โดยล่าสุดกลุ่มลูกศิษย์ต้องยกก๊วนลงพื้นที่บุกไปเคลียร์กับพ่อเจ้าตัวถึงบ้าน ก่อนจะออกมาแถกับสื่อมวลชนว่า เรือนหอดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับพระดัง แต่เป็นน้องชายพระดังที่หน้าตาคล้ายกันมาก เคยบวชเป็นพระในช่วงเวลาสั้นๆ และมาจีบลูกสาวบ้านนี้ ทว่า อยู่ไม่นานก็เลิกรากันไป

    ส่วนเบื้องหลังภาพพระดังนอนอยู่กับสีกาว่อนเน็ตจนกลายเป็นข่าวฉาว นั้น เล่าลือกันว่า เกิดจากสาวน้อยเริ่มไม่มั่นใจหลังพยายามเรียกร้องให้สึกออกมาอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาอย่างเปิดเผยหลายต่อหลายครั้งแต่ถูกปฏิเสธโดยอ้างว่าขออยู่เพื่อหาเงินไปก่อน อีกทั้งรับรู้ว่าพระหนุ่มมีกิ๊กอยู่หลายคน เที่ยวไปหยอดไข่ไว้หลายแห่ง จึงตัดสินใจนำรูปภาพโพสต์ในเฟซบุ๊กเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้วก่อนที่สื่อจะนำมาขยายความ ซึ่งเป็นภาพถ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือ ในคืนอันเร่าร้อนหลังพระดังร่วมวงดวดเมรัยยี่ห้อ รีเจนซี่ ที่หิ้วขึ้นรถเบนซ์มาหาที่บ้าน 3 ขวด จนหมดเกลี้ยงและเมาได้ที่

    อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจโพสต์ภาพฉาวดังกล่าว “พ” ได้ยื่นคำขาดเป็นครั้งสุดท้ายให้พระหนุ่มสึกออกมาอยู่ร่วมกันแต่พระหนุ่มไม่ยอม จึงยื่นข้อเสนอขอเงิน 30 ล้านบาท เพื่อนำเอามาสร้างบ้านให้เสร็จและใช้จ่ายในการดำรงชีวิตต่อไป แต่ถูกปฏิเสธอีก จึงเป็นที่มาของรูปภาพในเฟซบุ๊กฉาว โดยใช้ชื่อว่า “แด่สาธุชน” และมีการนำภาพไปถ่ายเอกสาร เขียนข้อความว่า “นี่หรือ พระที่พวกคุณเคารพนับถือ” ไปโปรยหน้าบ้านพระหนุ่มที่บ้านเกิด จังหวัดอุบลราชธานีด้วย

    จากนั้น พระหนุ่มได้มาขอเคลียร์ โดยจ่ายเงินให้ 5 ล้านบาท แลกกับการให้ลบรูปภาพออกจากเฟซบุ๊ก และเลิกแล้วต่อกัน ซึ่งปัจจุบัน “พ” ได้แต่งงานไปอยู่กับสามีใหม่ที่จังหวัดทางภาคเหนือ เหลือเพียงผู้เป็นพ่อกับภรรยาใหม่ของพ่อเฝ้าดูแลบ้านอยู่ที่บ้านโนนม่วง

    สำหรับสาวสวยรายที่ 2 เพิ่งถูกเปิดโปงออกมาตีแผ่หราบนหน้าสื่อเป็นรายล่าสุด โดย นายทองวรรณ จิตโชติ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโนนสัง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ระบุว่า เมื่อประมาณปี 2551 ป้าของนายกอบต. ได้เข้าไปถวายสำรับพระรูปหนึ่งที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ ปรากฏว่าได้เจอสาวสวยคนหนึ่งแต่งชุดนอนเดินออกมาจากห้องของพระหนุ่มรูปหนึ่ง ซึ่งป้าของนายกอบต.รู้จักผู้หญิงคนดังกล่าวดีว่า ชื่ออักษรย่อ “ม” อายุ 25 ปี เป็นสาวสวยมีบ้านอยู่ไม่ไกลจากสำนักสงฆ์อื้อฉาว และเรื่องนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มชาวบ้านใกล้สำนักสงฆ์แห่งนี้อย่างกว้างขวาง

    ที่สำคัญ สาวสวยคนดังกล่าวยังไม่ได้แต่งงาน แต่มีลูกชาย 1 คน ปัจจุบันเรียนอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 (ป.2) โรงเรียนระดับประถมศึกษาแห่งหนึ่ง และสาวสวยคนนี้มีฐานะดีขึ้นอย่างรวดเร็วราวติดจรวด ทั้งที่ไม่ได้มีอาชีพการงานอะไร แต่กลับมีเงินสดซื้อที่ดิน 7 ไร่ ใกล้กับสำนักสงฆ์และมีบ้านขนาดใหญ่มูลค่าประมาณ 15 ล้านบาทในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง ที่กรุงเทพฯ

    แต่ไม่ต้องแปลกใจอะไรถึงสาเหตุความรวย เพราะสืบไปสืบมาก็ได้ความว่าเนื่องจากพระหนุ่มได้พา “ม” ไปอยู่กรุงเทพฯ จึงซื้อบ้านจัดสรรหรูหราราคา 15 ล้านบาทดังกล่าวให้อยู่กับลูก พร้อมรถยนต์เก๋งฮอนด้า แอคคอร์ด 1 คัน ไว้ใช้งาน และส่งเสียเดือนละ 50,000 บาท

    เรื่องราวโจษจันเหล่านี้ ได้กลายเป็นตำนานรักปริศนาที่ยังไม่มีข้อสรุปชัดแจ้งว่าเกี่ยวข้องกับหลวงปู่คนดังหรือไม่ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็อาจไม่เป็นธรรมนัก ยกเว้นเสียแต่ว่าถูกจับได้คาหนังคาเขาและมีภาพถ่ายเป็นประจักษ์พยานมากกว่านี้

    ขณะที่ประเด็นเรื่องที่ดินก็วุ่นวายและฉาวโฉ่ไม่แพ้กัน เนื่องจากยายลอน มนัส อายุ 68 ปี ผู้อ้างตัวว่าเป็นเจ้าของที่ดินวัดป่าขันติธรรมออกมาเรียกร้องให้ก่อตั้งวัดป่าขันติธรรมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อีกทั้งจะไม่ให้หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก เข้ามาบริหารวัดอีก เพราะบริจาคที่ดินให้สร้างวัด แต่หลวงปู่เณรคำไม่ได้ดำเนินการก่อตั้งวัดแต่อย่างใด จนกระทั่งใบอนุญาตจากกรมการศาสนาหมดอายุลง

    ส่วนที่กลุ่มลูกศิษย์หลวงปู่เณรคำ โดยนายภาณุ สุขวัลลิ โฆษกฝ่ายฆราวาสของหลวงปู่เณรคำ ชี้แจงว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของนางทองมี วุฒิยาสาร ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วเป็นผู้บริจาคให้หลวงปู่เณรคำ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ตามเอกสารการสร้างวัดป่าขันติธรรมและคลิปวิดีโอที่ปรากฏบนยูทิวบ์เรื่องความเป็นมาของวัดป่าขันติธรรมนั้น ยายลอนประกาศและยืนยันชัดเจนว่า ความจริงก็คือ นางทองมี ถวายที่ดิน จำนวน 9 ไร่ เพื่อให้ตั้งวัด และตอนนั้นนางทองมีป่วยจึงได้เรียกตนเองเข้าไปคุยด้วย บอกว่า จะคุยเรื่องดี ๆ ให้ฟัง โดยบอกว่า ให้ทำการเรื่องที่ดินตั้งวัดแทนนางทองมี ที่มอบที่ดิน จำนวน 9 ไร่ ให้เป็นวัดให้ได้

    “นางทองมี บอกว่า ไม่สบาย คงจะอยู่ไม่ถึงตอนมอบถวายหรอกนะ ให้แม่ใหญ่ ทำการแทนด้วย จากนั้น นางทองมีจึงได้นำเอาชื่อของชั้นไปใส่กับชื่อของนางทองมี ในหลักฐานที่ดิน พอดีนางทองมีตาย จึงเหลือชั้นเพียงคนเดียว ชั้นจึงจะทำวัดป่าขันติธรรมให้เป็นวัดให้ได้ตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคที่ดิน”นางลอนอธิบาย

    จากนั้นอีกไม่กี่วันยายลอนก็งัดเอกสารเป็นสำเนาโฉนดที่ดิน 5 แปลง ที่เป็นชื่อของตัวเอง มาแสดงให้ผู้สื่อข่าวได้ตรวจพิสูจน์ว่า ตนเองเป็นเจ้าของที่ดินตั้งวัดป่าขันติธรรมอย่างแท้จริง พร้อมเดินทางไปที่สำนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ สาขาอำเภอกันทรารมย์ เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่ออกโฉนดที่ดิน ซึ่งเป็นที่ตั้งวัดป่าขันติธรรมให้ใหม่ แต่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถออกให้ได้ เพราะตามกฎหมายต้องรอให้ถึง 30 วัน ตั้งแต่วันที่ได้ยื่นคำร้องขอ และจะนำเอาไปประกอบหลักฐานในการขออนุญาตสร้างวัดป่าขันติธรรมต่อไป

    ซ้ำร้ายสำนักสงฆ์สาขาของหลวงปู่เณรคำหลายต่อหลายแห่งยังเป็นการรสร้างโดยบุกรุกป่าสงวน เช่น สำนักสงฆ์ซำติกา อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ส่วนสำนักสงฆ์ตาเสก ตำบลบังดอง จังหวัดศรีสะเกษ หรือสำนักสงฆ์สาขาที่ 89 บนยอดเขาอำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลกเป็นที่ ส.ปก.4-01 เป็นต้น

    ด้านกรณีการสร้างพระแก้วมรกตจำลองนั้น ชัดเจนว่าวัดป่าขันติธรรมแบะหลวงปู่เณรคำไม่ได้ขออนุญาตอย่างถูกต้อง โดยนายสหวัฒน์ แน่นหนา อธิบดีกรมศิลปากร ระบุว่า พระพุทธมณีมหารัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต เป็นพระพุทธรูปสำคัญ 1 ใน 61 รายการ ที่มีระเบียบว่าการจำลองจะต้องขออนุญาตจากกรมศิลปากร และจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักพระราชวัง แต่จากการตรวจสอบไปยังทะเบียนของสำนักช่างสิบหมู่ ทราบว่าวัดป่าขันติธรรมไม่ได้ดำเนินการขออนุญาตเข้ามา ขณะเดียวกันสำนักพระราชวังยังหารือมายังกรมศิลปากรว่าให้ช่วยดูแลการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ เพราะปัจจุบันมีผู้นำไปจัดสร้างโดยไม่ได้ผ่านการอนุญาตมากขึ้น

    เช่นเดียวกับ น.ส.มาลีภรณ์ คุ้มเกษม หัวหน้ากลุ่มนิติการ กรมศิลปากร ที่ให้ข้อมูลเสริมว่า การจำลองพระพุทธรูปสำคัญมีระเบียบกระทรวงศึกษา ธิการ พ.ศ.2520 ตามมติครม.ในขณะนั้น กำหนดไว้ว่าการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ 61 รายการ เช่น พระแก้วมรกต จะต้องขออนุญาตจากกรมศิลปากร เพื่อกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาต ส่วนระเบียบดังกล่าวนั้นไม่มีข้อกำหนดโทษ เนื่องจากไม่ได้เป็นข้อกำหนดในพ.ร.บ.

    กระนั้นก็ดี นอกจากทั้งสามเรื่องข้างต้นแล้วคำถามที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ ใครเป็นโยมอุปัฏฐากหรือพ่อยกแม่ยก หรือลูกศิษย์ใกล้ชิดของหลวงปู่เณรคำกันบ้าง ซึ่งเชื่อว่าในจำนวนนี้บริจาคทั้งเงินและข้าวของเครื่องใช้อันหรูหราฟุ่มเฟือยให้หลวงปู่เณรคำทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ

    แน่นอน กลุ่มลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่เณรคำมากที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้น กลุ่มลูกศิษย์ที่ออกมาแถลงข่าวปกป้องหลวงปู่สุดกำลัง กลุ่มนี้ประกอบไปด้วย เสี่ยก้าวหน้า-นายภัทรเดชและนางกุลระวี โสพรรณพานิชกุล สองผัวเมียแห่ง บริษัท ก้าวหน้าอิเลคทริค แอนด์ บิสสิเนส จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในย่านพุทธมณฑลสาย 5 อำเภออ้อมน้อย จังหวัดสมุทรสาคร และมีกิจการในเหลือหลายบริษัทด้วยกัน โดยประกอบกิจการรับซ่อมแซมเครื่องจักร หรือผลิตภัณฑ์ไฟฟ้า เช่น ซ่อมมอเตอร์ไฟฟ้า

    นายเทพพนม นามลี ประธาน นปช.แดงสุรินทร์ นายดำรงชัย ปานจุ้ย นายกสมาคมวิชาชีพผู้สื่อข่าวแห่งประเทศไทย เจ้าของร้านทองดำรงชัย 9 ในตลาดศูนย์การค้าบางใหญ่ซิตี้

    นายสุขุม วงประสิทธิ ประธานที่ปรึกษาเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม อดีตผู้สมัครอิสระผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า นายสุขุมเป็นอดีตแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงในฐานะกลุ่มคนรักประชาธิปไตยสนามหลวง เคยเรียกร้องให้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะยุบสภา คืนอำนาจสู่ประชาชน เมื่อปี พ.ศ. 2553 แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ได้แยกตัวออกมาเหตุเพราะถือว่าตัวเองเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงที่รักสถาบันฯ

    นอกจากนี้ เมื่อตรวจสอบข้อมูลในเว็บไซต์ Suspended Domain ก็ได้ภาพและชื่อของบรรดาลูกศิษย์ที่นิมนต์หลวงปู่เณรคำไปร่วมงานอีกจำนวนไม่น้อย

    ยกตัวอย่างเช่น ดร.ธำมรงค์ ประกอบบุญ อดีตอธิบดีกรมประมง และอดีตรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางธัชสุมนต์ สุทธิสาร พ.ต.อ.ดร.เดชชาติ-นางดาราธร วัฒนพนม นางดรุณี เกษศิลป์ พลตำรวจตรีสุรพล ทองประเสริฐ นางสุนันทา ลีเลิศพันธ์เจ้าของยาสีฟันดอกบัวคู่ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนสถานีวิทยุเสียงธรรมดอกบัวคู่

    ในจำนวนนี้จากการเช็กข้อมูลวงในทำให้ทราบว่า หลายคนยังคงเชื่อมั่นในตัวหลวงปู่เณรคำอย่างเหนียวแน่น ขณะที่อีกหลายคนได้ถอนตัวออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    ขณะเดียวกันก็มีรายงานข่าวด้วยว่า มีนายตำรวจระดับสูงในตำแหน่งรองผู้บัญชาการเป็นลูกศิษย์เอก ทำให้คณะของของหลวงปู่เณรคำมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยคุ้มกันถึง 5 คน

    นอกจากนั้นยังมีเสียงร่ำลืออีกด้วยว่า มีพระรูปหนึ่งเอ่ยปากขอยืมเงินสีกาเจ้าของธุรกิจใหญ่ระดับประเทศจำนวนถึง 20 ล้านบาท กระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังไม่นำเงินที่ยืมไปมาคืนแม้กระทั่งถูกทวงถามมาแล้วหลายครั้งหลายครา ทำให้ความสัมพันธ์ที่เคยดำเนินมาด้วยดีในอดีตสะบั้นลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    ขณะที่หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย ได้ต่อโทรศัพท์และเปิดเสียงสนทนากับหญิงสาวนักธุรกิจรายหนึ่งที่บอกว่าเป็นคนซื้อกระเป๋าหลุยส์และพาพระชื่อดังไปเที่ยวฝรั่งเศส โดยนักธุรกิจรับว่าเคยบริจาคทรัพย์จำนวนมากให้กับหลวงปู่เณรคำ มีการนิมนต์ไปที่บ้านและไปเที่ยวต่างประเทศ และมีการจ่ายเช็คเงินสดค่าเครื่องบินลำเล็กมูลค่า 17 ล้านบาท นอกจากนี้ยังบอกอีกว่าการซื้อเครื่องบินลำใหญ่มีการเจรจาดูโบชัวร์ โดยบอกว่าหลวงปู่เณรคำเอามาให้ดูมีมูลค่ากว่า 80 ล้านบาท

    โดยนักธุรกิจหญิงรายนี้บอกว่า หลวงปู่เณรคำอ้างว่าจะใช้เป็นพาหนะแต่ถ้าไม่ได้เดินทางไปไหนจะได้ให้คนอื่นเช่า นอกจากนี้ครอบครัวยังเคยเดินทางไปเที่ยวฝรั่งเศสร่วมคณะกับหลวงปู่เณรคำ โดยลูกสาวเป็นคนซื้อกระเป๋าหลุยส์วิตตองถวายให้เอง เนื่องจากหลวงปู่เณรคำอยากได้จริงๆ และนักธุรกิจรายนี้บอกว่าเคยอยากจะยกมรดกให้ผ่านพินัยกรรมอีกด้วย

    แต่ที่หนักหนาสาหัสไม่แพ้กันก็คือกรณีที่มีการนำคลิปวิดีโอเทศนาของหลวงปู่เณรคำมาตรวจสอบและพบว่า มีหลายครั้งที่หลวงปู่เณรคำมีพฤติกรรมที่เข้าข่ายอวดอุตริมนุสธรรม ทั้งการอ้างว่าในอดีตชาติเคยเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า หรือการอ้างว่าเป็นเพื่อนกับพระอินทร์ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีคลิปที่หลวงปู่เณรคำโฆษณาขายเครื่องฟอกอากาศออกมาอีกต่างหาก

    ขณะที่ตัวหลวงปู่เณรคำเองก็ยังคงเงียบและปล่อยให้ลูกศิษย์ออกมาแถลงข่าวตอบโต้รายวัน แถมกำหนดการเดินทางกลับจากฝรั่งเศสก็เลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด พร้อมแต่งตั้งให้พระครูภาวนาวรธรรมวิเทศ หรือหลวงพ่อปานขาว เจ้าอาวาสวัดโพธิญาณราม ประเทศฝรั่งเศสเป็นรักษาการประธานที่พักสงฆ์ป่าขันติธรรม

    แต่ดูเหมือนว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่หลวงปู่เณรคำจะใช้วิธีนี้ในการแก้ปัญหา เนื่องเพราะถูกบีบหนักเข้ามาทุกที เนื่องเพราะทางคณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษได้มีคำสั่งให้หลวงปู่เณรคำปฏิบัติตามคำสั่ง 3 ข้อคือ

    1.ให้พระวิรพล แจ้งให้จังหวัดทราบวันที่จะเดินทางกลับมาให้การสอบสวนชัดเจนแน่นอน ให้แจ้งสังกัดของตนเองว่า สังกัดวัดใด ให้เจ้าคณะจังหวัดทราบแน่ชัด ให้พระวิรพล กลับมาให้การสอบสวนข้อเท็จจริงด้วยตนเองให้เร็วที่สุด โดยไม่เกินวันที่ 30 มิ.ย.56

    2.ให้พระวิรพล สั่งให้ศิษย์ฆราวาสงดการโต้ข่าวเกี่ยวกับเรื่องพระธรรมวินัยสงฆ์ ซึ่งมิใช่วิสัยของฆราวาส จะเป็นเหตุทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนในหลักธรรมวินัย

    3.ให้พระวิรพล สั่งให้ศิษย์นำข้อมูลหลักฐานที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงของเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไปมอบให้เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ฝ่ายธรรมยุต เพื่อจะประมวลข้อมูลในการสอบหาข้อเท็จจริง ให้เกิดความกระจ่างต่อพุทธศาสนิกชนให้ทราบต่อไป

    งานนี้ จับยามสามตาดูแล้ว ถ้าหลวงปู่เณรคำคิดสะระตะแล้วกลับมาได้ไม่คุ้มเสีย ดีไม่ดี อาจต้องระเห่เร่ร่อนอยู่ในต่างประเทศยาวก็เป็นได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประวัติ หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม
    -http://hilight.kapook.com/view/87893-



    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]




    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)

    ประวัติ หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม กับเส้นทางสายธรรมะตั้งแต่เริ่มบวชเรียนครั้งแรก เมื่ออายุ 20 ปี จนกระทั่งดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดมาจนถึงปัจจุบัน

    จากกรณี หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม แสดงธรรมโดยกล่าวพาดพิงถึง หลวงพ่อเกษม จิณฺณสีโล แห่งสำนักสงฆ์ป่าสามแยก จ.เพชรบูรณ์ ว่าเป็นพระที่ไม่รู้ซึ้งในศาสนา พร้อมทั้งต้องการให้มีการโต้ธรรมะกัน ซึ่งทางหลวงพ่อเกษมก็รับคำท้า แต่หลวงปู่พุทธะอิสระ ได้ขอพักการโต้ธรรมะไว้ก่อน เนื่องจากต้องการแฉกรณีของ หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก วัดป่าขันติธรรม โดยเผยว่า มีนักธุรกิจหญิงซื้อกระเป๋าหลุยส์ และเครื่องบินเจ็ทให้นั้น

    ทั้งนี้ เมื่อย้อนกลับไปวันที่ 21 มกราคม 2556 ยังพบอีกว่า หลวงปู่พุทธะอิสระ คือเจ้าอาวาสวัดที่ออกมาประกาศขายวัด โดยตั้งราคาไว้ที่ 2,000 ล้านบาท เพราะทนกลิ่นเหม็นจากโรงงานอาหารสัตว์ไม่ไหว นอกจากนี้ หลวงปู่พุทธะอิสระ ยังเคยเจาะเลือดทำน้ำมนต์เพิ่มพุทธคุณและทำวัตถุมงคล พระหลวงปู่ทวด รุ่นประสะโลหิต ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่า วัตถุมงคลชิ้นนี้เป็นหนึ่งในของวิเศษที่ทำให้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล รอดชีวิตจากเหตุถูกลอบยิงเมื่อปี 2552 นั่นเอง และเนื่องจากชื่อของหลวงปู่พุทธะอิสระเป็นที่สนใจมากขึ้น ดังนั้นเราจึงนำประวัติของหลวงปู่พุทธะอิสระมาฝากกันค่ะ


    [​IMG]


    ประวัติ หลวงปู่พุทธะอิสระ

    หลวงปู่พุทธะอิสระ หรือ พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม (ฉายาปัจจุบัน) เป็นชาวกรุงเทพฯ โดยกำเนิด แต่บรรพบุรุษตั้งรกรากอยู่ที่ จ.นครปฐม โยมพ่อชื่อ นายชมภู โยมแม่ชื่อ นางอัมพร นามสกุล ทองประเสริฐ เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2499 แต่ไปแจ้งเกิดช้า ดังนั้นในใบสุทธิพระจึงระบุว่า เกิดวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2502 ส่วนการศึกษาเล่าเรียนทางโลก ไม่จบชั้นประถมปีที่ 4 ขณะที่การศึกษาเรียนทางธรรม จบนักธรรมเอก

    หลวงปู่พุทธะอิสระ เริ่มบวชเรียนครั้งแรกเมื่ออายุ 20 ปี โดยบวชที่วัดคลองเตยใน เขตคลองเตย กรุงเทพฯ โดยมี พระครูธีราภินันท์ เจ้าอาวาสวัดคลองเตยใน เป็นพระอุปัชฌาย์ แต่บวชได้เพียงพรรษาเดียวก็สึกออกไปเป็นทหาร 2 ปี หลังเสร็จภารกิจทางทหาร ก็กลับมาบวชใหม่ที่วัดเดิม เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2526 โดยได้รับฉายาว่า "ธมฺมธีโร" แปลว่า "ปราชญ์ทางธรรม" ส่วนที่มาของฉายานั้น สืบเนื่องจากในครั้งหนึ่ง ท่านได้มีโอกาสไปแสดงธรรมที่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ซึ่งการแสดงธรรมครั้งนั้นจับใจผู้ฟังมาก จนชาวบ้านต่างคิดว่า ท่านน่าจะเป็นพระอาวุโส จึงมีการเรียกท่านว่า "หลวงปู่" ต่อ ๆ กันมา จนถึงบัดนี้

    หลวงปู่พุทธะอิสระ อยู่วัดคลองเตยในได้ประมาณ 6 ปี ก็มาสร้างวัดอ้อน้อย ที่ ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ในปี 2532 โดยอุบาสิกาทองห่อ วิสุทธิผล เป็นผู้บริจาคที่ดินผืนนี้ให้สร้างวัด จนเสร็จเป็นรูปเป็นร่างภายใน 3 ปี จนได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ยกฐานะขึ้นเป็นวัด ชื่อว่า "วัดอ้อน้อย" (ซึ่งตอนแรกยื่นเสนอชื่อวัด ธรรมอิสระ แต่ไม่ผ่านเนื่องจากมีเหตุหลายปัจจัย) และเมื่อสร้างวัดเรียบร้อย หลวงปู่พุทธะอิสระก็ให้พระลูกศิษย์ดูแลวัด ส่วนท่านก็ออกธุดงค์เพื่อฝึกฝนปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังเป็นเวลากว่า 5 ปี

    ต่อมาหลวงปู่พุทธะอิสระได้กลับมาปกครองดูแลวัดอ้อน้อย เมื่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2538 ท่านได้ทำนุบำรุงวัดจนเจริญเรื่อยมา และเมื่อพระอุโบสถสร้างเสร็จเรียบร้อย จึงได้จัดพิธีผูกพัทธสีมาปิดทองฝังลูกนิมิตในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2542 โดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานจุดเทียนชัยในพิธีดังกล่าว

    ในวันที่ 1 ตุลาคม 2542 หลวงปู่พุทธะอิสระ ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะ ต.ห้วยขวาง แทนเจ้าคณะตำบลคนเก่าที่มรณภาพไป ซึ่งในใบแต่งตั้งเจ้าคณะตำบลนี้ได้ลงอายุและพรรษาของท่านมากกว่าความเป็นจริงประมาณ 4-5 ปี ทั้ง ๆ ที่ท่านเองไม่ทราบมาก่อน จากนั้นปลายเดือนธันวาคม 2543 ท่านได้ยื่นหนังสือลาออกจากทุกตำแหน่งกับเจ้าคณะจังหวัดแต่ไม่ได้รับการอนุมัติ

    กระทั่งวันที่ 13 กันยายน 2544 มีใบปลิวเถื่อนโจมตีว่า ท่านโกงพรรษา ดังนั้นท่านจึงทำการประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งต่อหน้าพระสังฆาธิการใน จ.นครปฐม ที่มาประชุมกันที่วัดวังตะกู จ.นครปฐม และยื่นหนังสือลาออกอย่างเป็นทางการกับเจ้าคณะ จ.นครปฐม ในวันที่ 16 กันยายน 2544 และได้รับการอนุมัติในวันที่ 18 กันยายน 2544 ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวถูกเรียกว่า การสึกลดพรรษา เพราะหลังจากที่หลวงปู่พุทธะอิสระขอลาสึกแล้ว ก็ทำการบวชใหม่ทันที โดยท่านชี้แจงว่า ตนเองยังไม่มีคุณสมบัติ คุณธรรมพอที่จะเป็นพระเถระ จึงทำการศึกแล้วบวชใหม่เพื่อลดอหังการ มนังการ และมานะทิฐิของตนเอง


    [​IMG]

    อย่างไรก็ตาม ในภายหลังหลวงปู่พุทธะอิสระก็กลับมาปกครองดูแลวัดอ้อน้อยจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ ตั้งแต่บวชอยู่ที่วัดคลองเตยใน ท่านก็แสดงธรรมให้ญาติโยมที่มาทำบุญได้ฟังธรรมจนเป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของผู้คน และเมื่อมาเป็นเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย และเจ้าคณะตำบลห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ. นครปฐม ท่านได้ดำริและริเริ่มจัดทำโครงการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ของประชาชนมากมาย และบางงานก็ยังสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เช่น โครงการบรรพฃาและอุปสมบทพระภิกษุ สามเณร ภาคฤดูร้อน และ โครงการแจกมหาทานแก่ครอบครัวผู้ยากไร้ โดยจัดมอบข้าวสาร อาหารแห้ง ยารักษาโรค และเงินจำนวนหนึ่ง เนื่องในโอกาสวันสำคัญทางศาสนาต่าง ๆ เป็นต้น

    สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาเรื่องธรรมมะและกิจกรรมทางพุทธศาสนาของวัดอ้อน้อย สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ วัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) หรือ เฟซบุ๊ก หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก -http://www.komchadluek.net/detail/20090701/18855/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94!...%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93.html#.Uc0O7junCcw-
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [size=24pt]ด้านล่างนี่ ไม่สงสารพ่อกับแม่บ้างเลยหรือไง พ่อแม่ไม่อบรมกันบ้างเลย ทางวัดและอุปัชฌาย์ ไม่ได้อบรมสั่งสอนหรือไง ทำไมถึงทำแบบนี้[/size]


    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ฉาว ! ภาพพระตุ๊ดอมนกเขา โผล่แชร์ว่อนเน็ต คนวิจารณ์ยับ
    -http://fb.kapook.com/hilight-89027.html-

    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก FuckGhost ฟักโกสต์ : สมาคมต่อต้านสิ่งงมงาย

    ภาพพระตุ๊ดอมนกเขา ระบาดในโลกไซเบอร์ เผย เป็นเณรในวัดดังของเชียงใหม่ ชาวเน็ตวิจารณ์ยับ พฤติกรรมไม่เหมาะ ทำศาสนาเสื่อมเสียอีกแล้ว

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2556 ได้มีภาพสุดสยิวถูกแชร์ต่อกันในโลกไซเบอร์อีกครั้ง โดยครั้งนี้มาจากเฟซบุ๊ก FuckGhost ฟักโกสต์ : สมาคมต่อต้านสิ่งงมงาย ที่ได้โพสต์ภาพของเณรรูปหนึ่งซึ่งมีลักษณะตุ้งติ้งคล้ายเพศหญิงสวมชุดชั้นใน และยกทรงโชว์เนินอกถ่ายรูป แต่ที่ฮือฮาที่สุดก็คือ ภาพของเณรคนดังกล่าวที่ห่มจีวรก้มลงดูดอวัยวะเพศชายอย่างไม่อายใคร

    ทั้งนี้ ในโลกไซเบอร์ได้ระบุไว้ด้วยว่า เณรในภาพนี้ชื่อ น้องเบ้น เป็นพระตุ๊ดของวัดดังในจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมกับเรียกร้องให้เณรคนดังกล่าวสึกจากความเป็นเณร เพื่อที่พระพุทธศาสนาจะได้ไม่แปดเปื้อน ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้ชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก โดยมองว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม สร้างความเสื่อมเสียให้วงการผ้าเหลืองอีกครั้งหนึ่งแล้ว
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ความสามารถในการแสดงออกเป็นสิ่งที่พัฒนาได้...
    -http://www.ejobeasy.com/kmdetail.php?n=130806115124-

    การแสดงออกเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการแสดงออกที่เหมาะสมจะทำให้ได้รับความรัก-ชอบ เชื่อถือศรัทธาอยากคบหาและเกิดสัมพันธะภาพอันดีต่อกัน เป็นประโยชน์กับชีวิตและงาน แต่ถ้าหากการแสดงออกที่ไม่เหมาะสมหรือการไม่กล้าแสดงออก ย่อมนำผลในทางลบมาสู่บุคคคลนั้นๆ เช่นความไม่พอใจ ไม่เป็นมิตร ไม่เชื่อถือศรัทธา ฯลฯ อย่างเช่นการแสดงออกที่ก้าวร้าวย่อมเป็นที่รังเกียจของผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นต้น

    การแสดงออกนั้นกล่าวกันว่าเป็นทักษะของมนุษยสัมพันธ์ ซึ่งสามารถสะท้อนวิธีคิดที่ปกติของคุณ และมันเป็นสิ่งถ่ายทอดความรู้สึกที่อยู่ลึกที่สุดของคุณ และแน่นอนว่ามันยังถ่ายทอดความสัมพันธ์ของตัวคุณเองกับผู้อื่นด้วย

    ความสามารถในการแสดงออก หมายถึงการที่เราควรสื่อสารอย่างชัดเจน เปิดเผยและไม่ปกป้องตัวเอง ดังนั้น หากเราพัฒนาความสามารถในการแสดงออกได้อย่างเหมาะสมย่อมเป็นประโยชน์กับชีวิต
    ความสามารถในการแสดงออกมีวิธีพัฒนาอย่างไรเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราต้องคิดและปฏิบัติด้วยตนเองและเมื่อปฏิบัติจนเคยชิน ก็จะกลายเป็นนิสัยที่มีความสามารถในการแสดงออกได้อย่างเหมาะสมในทุกสถานการณ์ โดยมีวิธีคิดและปฏิบัติ 8 ประการดังนี้

    1.จงสร้างความมั่นใจในตัวเองขึ้นมา
    เพราะคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่กล้าแสดงออก เพราะกลัวผิดพลาด กลัวผู้อื่นติเตียน ฯลฯ จึงไม่แสดงออกดังนั้น หากคุณมีความมั่นใจในตัวเอง ว่าคุณทำได้คนอื่นๆเขาก็ยังทำได้ แล้วทำไมคุณจึงขลาดที่จะทำ ความมั่นใจก็เป็นเหมือนนิสัย ซึ่งต้องใช้เวลาในการก่อตัว และเมื่อปฏิบัติอย่างต่อเนื่องย่อมจะเกิดเป็นนิสัย ความมั่นใจทำให้คนเรากล้าคิดกล้าทำและกล้าแสดงออก

    2.จงคาดหมายว่าจะมีความกังวลใจเกิดขึ้น
    เป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้ว่าในการสื่อสารของมนุษย์นั้น ทุกคนในบางครั้งจะมีความรู้สึกกังวลใจเมื่อพวกเขาพูดในสิ่งที่ตนคิดหรือรู้สึก เกรงว่าผู้ฟังจะไม่พอใจ-ไม่ชอบ จึงเกิดความกังวลใจ
    ในเรื่องนี้จึงขอให้คุณคิดว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาใครๆก็เจอปัญหาแบบนี้กันทั้งนั้น จงตัดความกังวลใจออกไปเสีย คุณจะได้มีความสบายใจ มีความมั่นใจ ในการสื่อสาร เหตุที่กังวลก็เพราะคุณไม่ห่วงหรือสนใจความรู้สึกของผู้อื่นนั่นเอง

    3.จงเชื่อในตัวคุณเอง
    ถ้าหากคุณมีความรู้สึกไม่เชื่อในตัวเองละก็ คุณจะต้องเปลี่ยนความคิดนี้โดยเร็ว แม้เราไม่เชื่อในตัวเองแล้วใครเล่าจะเชื่อมั่นในตัวเรา ขอให้ลองพิจารณาข้อความต่อไปนี้ แล้วคุณจะควบคุมตัวเองให้เชื่อในตัวเอง นั่นก็คือ
    หากคุณคิดว่าคุณแพ้ คุณก็จะเป็นเช่นนั้น
    หากคุณคิดว่าคุณไม่แพ้ คุณก็จะไม่แพ้
    หากคุณอยากจะชนะ แต่กลับคิดว่าคุณไม่สามารถทำได้
    ค่อนข้างแน่นอนว่าคุณไม่สามารถชนะได้จริงๆ
    ดังนั้น คุณจะได้เป็นอย่างที่คุณคิดและคุณทำเสมอ

    4.จงดูและฟังสิ่งที่คนอื่นสื่อสารกับคุณ
    การดู หมายถึงความเข้าใจภาษากายเมื่อผู้อื่นสื่อสารกับคุณ เพราะบางครั้งภาษากายของพวกเขาจะให้ข้อมูล ที่ถูกต้องแก่คุณมากกว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาด้วยซ้ำไป
    คุณจึงต้องระมัดระวังภาษากายเมื่อคุณสื่อสารกับผู้อื่นด้วยเช่นกัน

    5.จงพิจารณาสถานการณ์
    หมายถึงการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ คุณจะมีความตั้งใจแน่วแน่ และให้เวลากับตัวเอง เพื่อคิดและพิจารณาสถานการณ์ที่จะต้องจัดการ การทำเช่นนี้ จะทำให้คุณมั่นใจขึ้น และทำให้ความสามารถในการสื่อสารของคุณแข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วย
    ทุกคนมีสิทธิ์พิจารณาก่อนพูด/ก่อนตอบ แต่จง คิดไว้ว่า อะไรเน้นผลลัพธ์สุดท้ายที่คุณต้องการบรรลุผลสำเร็จ เพราะมันจะทำให้การพูด-การตอบของคุณมุ่งไปสู่เป้าหมายดังกล่าว
    อย่างที่ในวงการขายมีคำพูดว่า
    “คุณเถียงชนะได้ แต่ทำให้คุณขายไม่ได้”

    6.จงวางแผนการตอบสนองของคุณ
    คือการตัดสินใจว่า คุณจะทำเมื่อไรและอย่างไรในการเตรียมสภาพจิตใจนั้น จงคิดใช้คำพูดที่เป็นของตัวเองและยอมรับว่าในบางกรณี คนบางคนที่เกี่ยวข้องด้วย อาจผิดหวังหรือโกรธเคืองได้ แต่คุณก็ได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดที่ที่น่าทำ
    จงอย่างหวังแค่ผลลัพธ์ที่เป็นเลิศ แต่จงเตรียมใจสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นหากคุณมีแผนฉุกเฉินไว้รองรับและเตรียมใจไว้เผื่อ ภายในจิตใจของคุณก็จะไม่หวั่นไหว คงมีแต่ความคิดในทางสร้างสรรค์

    7.จงสร้างจุดยื่นให้กับตัวคุณเอง
    ถ้าคุณตื่นเต้นหรือรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก ให้สูดลมหายใจเข้าลึกๆสักสองสามครั้ง การทำแบบนี้จะทำให้ระบบประสาทสงบลง เป็นการสร้างออกซิเจนให้กับกระแสเลือด
    จงผ่อนคลายและมองผลลัพธ์ทางบวกในจิตใจของคุณ จงสร้างความชัดเจนในสิ่งที่คุณกำลังพูดทั้งหมด

    8.จงคิดในแง่ดี
    จงคิดในแง่ดี จงมีความสุข ร่าเริงและยิ้มแย้ม จงพูดแต่สิ่งที่ดี การกล่าวคำสรรเสริญทั่วๆไปจงยกย่อง และจงทำอย่างกระตือรือร้น เพราะคนอื่นจะรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่กับคุณ เพราะพวกเขารู้ว่าจริงๆแล้วคุณรู้สึกอย่างไร
    ทั้งหมดนี้จะทำให้คุณพัฒนาความสามารถในการแสดงออกได้สำเร็จ


    ที่มา : คอลัมน์ เตรียมพร้อม..ซ้อมดี..มีชัย โดย รศ.นงลักษณ์ สุทธิวัฒนพันธ์
    -www.facebook.com/ejobeasy-

    ผู้เขียน : รศ.นงลักษณ์ สุทธิวัฒนพันธ์
    คอลัมน์ :
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รถแท็กซี่สีชมพู ทศ 856 ถูกตำรวจจับแล้ว ตรวจพบบัตร รพ.จิตเวช
    -http://hilight.kapook.com/view/90139-


    [​IMG]



    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ The Dcember สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

    ชาวเน็ตแชร์ ระวังรถแท็กซี่สีชมพู ทศ 856 ก่อวีรกรรมเพียบ ทั้งกรรโชกทรัพย์ โกงมิเตอร์ ทุบรถคนอื่น เคยถูกศาลฝากขัง แต่ประกันตัวออกมา แล้วยังก่อเรื่องไม่เลิก ล่าสุดถูกจับได้แล้ว พบบัตรโรงพยาบาลจิตเวชด้วย

    วันนี้ (22 สิงหาคม 2556) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวไซเบอร์ต่างพากันแชร์เรื่องของคนขับรถแท็กซี่สีชมพูคันหนึ่งที่แสดงพฤติกรรมไม่ดีต่อเพื่อนร่วมทาง เพื่อเตือนให้ผู้ใช้รถใช้ถนน รวมทั้งผู้ใช้บริการรถแท็กซี่ได้ระมัดระวังกัน ซึ่งเรื่องนี้ คุณ The Dcember สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ได้โพสต์เล่าไว้ในกระทู้ "วันนี้โดนแท็กซี่สีชมพู ทศ 856 ในตำนาน มาทุบรถค่ะ"

    โดย คุณ The Dcember ผู้เสียหาย เล่าว่า เหตุเกิดเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา เธอได้ขับรถอยู่แถวถนนเลียบทางรถไฟ แถวสถานีแอร์พอร์ตลิงก์ มักกะสัน โดยวิ่งอยู่ในเลนที่สองจากซ้ายสุด ก่อนจะมาเจอรถแท็กซี่สีชมพู ทะเบียน ทศ 856 ซึ่งอยู่ในเลนขวาสุด (เลนที่ 4) พยายามเบียดเข้ามา แต่เธอไม่ยอมให้รถแท็กซี่แทรก เพราะเห็นว่ารถแท็กซี่ไม่ได้เปิดไฟเลี้ยว กระทั่งเบียดกันอยู่สักพัก จึงยอมให้รถแท็กซี่เข้ามา

    แต่เมื่อรถแท็กซี่แทรกเข้ามาแล้ว รถแท็กซี่กลับมาจอดรถขวางหน้า ก่อนที่ผู้ชายที่เป็นคนขับรถจะเดินลงมาใช้มือทุบกระจกรถของเธออย่างสุดแรง ซ้ำยังถีบตัวรถ ตะโกนด่าสารพัด พร้อมกับขอดูใบขับขี่ แต่เธอไม่กล้าเปิดกระจก สักพักหนึ่งชายคนนั้นจึงเดินกลับไปที่รถ เธอจึงบีบแตรรถยาว ๆ เพื่อหวังให้ตำรวจที่อยู่ตรงแยกทางรถไฟได้ยิน กระทั่งรถขยับตามกันไปได้เรื่อย ๆ จนมาติดอีกทีตรงแยก เธอก็กดแตรรถยาว ๆ อีกครั้ง เพื่อให้ตำรวจได้ยิน ทำให้คนขับแท็กซี่ไม่พอใจ จอดรถขวางทางซ้ายมือ แล้วลงมาถีบรถของเธอ ต่อยกระจกมองข้างทางซ้ายจนพับ เธอจึงเปิดกระจกฝั่งขวาตะโกนขอความช่วยเหลือ

    เมื่อคนขับแท็กซี่สีชมพูเห็นว่าผู้เสียหายตะโกนขอความช่วยเหลือ จึงรีบเดินกลับไปที่รถ จังหวะนั้น มีรถแท็กซี่สีเขียว-เหลือง ผ่านมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อทราบเรื่อง คนขับรถแท็กซี่สีเขียว-เหลือง (มีผู้โดยสารอยู่ในรถ) ก็รีบวิ่งไปหาคนขับแท็กซี่สีชมพูที่อยู่ในรถแล้ว และทุบ-ถีบรถแท็กซี่สีชมพู พร้อมกับต่อว่าทำนองว่า เก่งนักหรือกับผู้หญิง ก่อนที่รถแท็กซี่สีชมพูจะรีบขับรถหนีไป แต่ผู้เสียหายได้ถ่ายรูปรถคันนั้นไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อจะไปแจ้งความ

    "ดิชั้นขับต่อมาที่ถนนอโศก บังเอิญหรืออะไรไม่ทราบรถ ดิชั้นจอดต่อจากแท็กซี่สีชมพูนรกคันนั้น และกลางสะพานมีตำรวจยืนอยู่ ดิชั้นจึงรีบจอดรถเทียบตำรวจ และบอกเค้าว่า แท็กซี่คันนั้น ทุบรถดิชั้นเมื่อซักครู่ ตำรวจถามว่า ได้รับความเสียหายอะไรบ้าง ดิชั้นตอบว่า โดนทุบมาเมื่อกี้ ยังไม่ได้ลงไปดู แต่กระจกมองข้างยังพับอยู่เลย (ไม่ได้กางกลับเพราะตอนแรกไม่ทันเห็น ไม่มีที่จอดรถ และเอื้อมตัวยาก) ตำรวจคนนั้นจับกระจกกางออกเหมือนเดิม และบอกดิชั้นว่า ไม่เสียหายอะไร รถไม่เป็นอะไรตรงไหนนี่ ขับไปก่อนครับคุณ รถติด !! ทั้งที่ตลอดถนนมีตำรวจยืนอยู่ แค่วอบอกกัน เรียกไว้ก็ได้นี่คะ ถ้าดิชั้นพึ่งคุณไม่ได้ ดิชั้นจะพึ่งใคร"

    ทั้งนี้ เมื่อคุณ The Dcember ได้ลองค้นหาทะเบียนรถแท็กซี่คันนี้ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ และก็พบว่ารถคันนี้มีประวัติมากมาย ทั้งขู่กรรโชก ทำร้ายร่างกาย มีคนไปแจ้งความไว้ทั้งที่ สน.ห้วยขวาง สน.บางนา และยังเคยถูกศาลฝากขัง ก่อนจะประกันตัวออกไปด้วย นอกจากนี้ สื่อมวลชนก็เคยนำเสนอข่าวพฤติกรรมไม่ดีของรถแท็กซี่คันนี้ด้วย แต่ดูเหมือนว่า คนขับรถก็ยังกล้าก่อเรื่องอยู่จนถึงทุกวันนี้

    อย่างไรก็ตาม ที่ผู้เสียหายรู้สึกข้องใจก็คือ เธอกดแตรดังมาก และนานมาก แต่รถที่ติดขัดอยู่ตรงนั้นกลับไม่มีใครเข้ามาช่วยเหลือเธอเลย โชคดีที่มีพี่คนขับแท็กซี่สีเขียว-เหลืองเข้ามาช่วยในวินาทีสุดท้าย ซึ่งรู้สึกขอบคุณมากที่ได้เจอพี่คนขับคนนั้น

    ล่าสุด เฟซบุ๊ก JS100 Online ได้รายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. ตำรวจ สภ.บางปู จ.สมุทรปราการ จับคนขับเท็กซี่ ชมพู ทศ 856 ข่มขู่ผู้โดยสารในห้างฯ โลตัสบางปู ได้แล้วที่หน้าโรงเรียนเทคนิคสมุทรปราการ ตรวจค้นพบบัตรโรงพยาบาลจิตเวชด้วย

    ส่วนความคืบหน้าจะเป็นอย่างไร ทีมงานจะรายงานให้ทราบอีกครั้ง


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=1ZPrnfNHCwo]TAXIข่มขู่ผู้โดยสารขอค่ามิเตอร์เพิ่ม - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=1ZPrnfNHCwo]TAXIข่มขู่ผู้โดยสารขอค่ามิเตอร์เพิ่ม - YouTube[/ame]
    -http://www.youtube.com/watch?v=1ZPrnfNHCwo-
    คลิป TAXIข่มขู่ผู้โดยสารขอค่ามิเตอร์เพิ่ม : เครดิต รายการเมืองไทย 77 จังหวัด โพสต์โดย คุณ ittipat Pinrarod


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=kd_OZ2B47BM#t=11]เตือนภัยแท็กซี่ขู่รีดเงินผู้โดยสาร - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=kd_OZ2B47BM#t=11]เตือนภัยแท็กซี่ขู่รีดเงินผู้โดยสาร - YouTube[/ame]
    -http://www.youtube.com/watch?v=kd_OZ2B47BM#t=11-
    คลิป เตือนภัยแท็กซี่ขู่รีดเงินผู้โดยสาร : เครดิต รายการเมืองไทย 77 จังหวัด โพสต์โดย คุณ ittipat Pinrarod
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ศูนย์แสดงเรือพระราชพิธีจำลอง 4 มิติ พัทยา
    -http://www.paiduaykan.com/province/east/chonburi/miniaturethairoyalbarge.html-

    ศูนย์แสดงเรือพระราชพิธีจำลอง 4 มิติ พัทยา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่จำลองพระราชพิธี กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ด้วยฝีมือการประดิษฐ์ที่ประณีตงดงาม วิจิตรพิสดารโดยอาจารย์วีรธรรม ตระกูลเิงินไทย บุคคลดีเด่นแห่งชาติปี 2551 แสดงให้เห็น ถึงเอกลักษณ์ประจำชาติอันเป็น มรดกสืบทอดทางประเพณี วัฒนธรรม อารยธรรม และสถาปัตยกรรม อันทรงคุณค่า พร้อมเนื้อหา สาระทางวิชาการให้กับ นักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศตื่นตาตื่นใจกับรูปแบบการนำเสนอโดยใช้ ภาพ แสดง สี เสียง ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย แห่งเดียวในโลก ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสบรรยากาศที่กล่าวมาข้างต้นเสมือนร่วมอยู่เหตุการณ์ด้วยภาพยนตร์ 4 มิติ ครั้งแรก ของเมืองไทยอีกทั้งชมภาพยนตร์จอยักษ์ 360 องศาแสดงประวัติความเป็นมาของเรือไทย ในรูปแบบภาพยนตร์ Animation จากอดีตถึงปัจจุบันซึ่งหาชมไม่ง่ายในปัจจุบัน
    ศูนย์แสดงเรือพระราชพิธีจำลอง 4 มิติ พัทยา
    ศูนย์แสดงเรือพระราชพิธีจำลอง ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเป็นแหล่งทัศนศึกษาแก่คนไทยเพื่อปลูกจิตสำนึกให้มี ความรักและภาคภูมิใจในความเป็นไทย อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำหรับชาวต่างชาติที่มีความสนใจ ในศิลปวัฒนธรรมและ ประเพณีไทย สืบเนื่องมาจากการที่จะมีโอกาสได้ชมขบวนเรือพระราชพิธีมีโอกาสน้อยมาก ดังเช่นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จ พระเจ้า อยู่หัวรัชกาลปัจจุบันในช่วงเวลา 60 ปี ได้มีการจัดกระบวนพยุหยาตราชลมารค (ใหญ่) จำนวน 7 ครั้ง และจัดขบวน พยุหยาตราชลมารค (น้อย) จำนวน 7 ครั้ง ทุกครั้งที่มีการจัดขบวนพยุหยาตรา (ครั้งหลังสุด) เป็นการจัดกระบวนพยุหยาตราชลมารค ในเวลากลางคืนเป็นครั้งแรก โดยใช้คำว่า “ขบวนเรือพระราชพิธี” แทน (เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้ เสด็จฯประทับมา ในกระบวน ฯ ด้วย) จะมีประชาชนเฝ้าชมแน่นขนัดทั้งสองฝั่ง แม่น้ำเจ้าพระยาทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
    ศูนย์แสดงเรือพระราชพิธีจำลอง 4 มิติ พัทยา
    การจัดการแสดงขบวนเรือพระราชพิธีเป็นที่สนใจอย่างกว้างขวาง ไม่เฉพาะแต่คนไทยเท่านั้น แม้ชาวต่างประเทศซึ่งมีโอกาสได้ เห็นได้ชม ความงามของเรือหรือกระบวนเรือพระราชพิธีทางชลมารค ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นประทับใจทึ่งในความงามความประณีต วิจิตร สิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติของเรา ชาวไทยที่ควรจะต้องภูมิใจและรักษาไว้ให้เป็นเอกลักษณ์ของชาติ อีกทั้ง ขบวนเรือพระราชพิธี ถือว่าเป็นมรดกวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าที่ปัจจุบันเหลือเพียงแห่งเดียวในโลก

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    รูปติดตามชมในเว็บ ศูนย์แสดงเรือพระราชพิธีจำลอง 4 มิติ พัทยา



    --------------------------------------

    ศูนย์แสดงเรือพระราชพิธีจำลอง4มิติ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=JD01of2KbaI]ศูนย์แสดงเรือพระราชพิธีจำลอง4มิติ - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=JD01of2KbaI]ศูนย์แสดงเรือพระราชพิธีจำลอง4มิติ - YouTube[/ame]
    -http://www.youtube.com/watch?v=JD01of2KbaI-
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผีพนัน
    -http://sport.sanook.com/1238054/%E0%B8%9C%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%99/-

    [​IMG]

    กีฬากับการพนัน เป็นของที่อยู่คู่กันมาทุกยุคทุกสมัย บางประเทศ ก็มีการเปิดให้ แทงกันอย่างถูกกฎหมาย แต่ว่าบางทีก็ไม่ใช่

    หลายคนสงสัยว่า พวกนักกีฬา เขาจะรู้กันหรือไม่ ว่า เกมที่ตัวเองลงแข่งมีเดิมพัน ต้องชนะเท่าไหร่ สกอร์เท่าไหร่ ราคาเปิดมา ต่อกันเท่าไหร่ ขอบอกเลยว่า ยังไงเขาก็รู้ เพราะบางคนถึงขั้นกระโดดลงมาแจมกับการเดิมพันเองเลยด้วยซ้ำ

    ตอนนี้คนที่เป็นข่าวดังมากที่สุดก็คงจะเป็น สตีเฟ่น ลี อดีตนักสนุกเกอร์คนดังชาวอังกฤษ ที่ตอนนี้ โดนสั่งแบนยาวถึง 12 ปี หลังโดนจับได้ว่าผิดจริงจากคดีล็อกผล ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่เป็นถึง 7 ครั้ง

    [​IMG]
    สตีเฟ่น ลี อดีตนักสนุกเกอร์คนดังชาวอังกฤษ


    ถ้าเราจะหา กีฬาชนิดไหน ที่สามารถล็อกผลได้แบบแนบเนียนที่สุด ผมคงต้องขอบอกเลยว่า สนุกเกอร์ นี่แหละ คือหนึ่งในนั้น

    กีฬาฟุตบอล การล็อกผล จะทำได้ยากหน่อย เพราะมันขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย ยิ่งเมื่อทีมคุณมีตั้ง 11 คน หากเพื่อนไม่เอากับคุณด้วย มันก็ยากที่จะทำได้ตามเป้า

    ดังนั้นกีฬาที่จะล็อกผลได้ง่าย ก็จะต้องเป็นกีฬาประเภทบุคคล แต่อย่าง กีฬาเทนนิส หรือ แบดมินตัน มันก็ไม่ใช่ง่าย เพราะยังไงคนดูก็ดูออก หากคุณจงใจตีเสียจนเกินงาม

    แต่สำหรับ กีฬาสนุกเกอร์ นั้น ง่ายนิดเดียว ยิ่งในระดับอาชีพแล้ว หากคุณแทงพลาดสักไม้ คุณก็เสียเฟรมง่ายๆ โดยที่แทบไม่มีใครจับได้

    [​IMG]
    ลี คงหิวเงินมาก ถึงขั้นแ_กไม้แทนไปก่อน


    สาเหตุสำคัญของ นักกีฬาที่ต้องลงมาทำแบบนี้ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเงินๆ ทองๆ อย่างที่เรารู้กันว่า กระแสของกีฬาสนุกเกอร์นั้นไม่บูมเหมือนในอดีต และที่สำคัญ เงินรางวัลก็ยิ่งร่อยหรอลงไปทุกขณะ ทำให้ หลายคนต้องหาทางออกด้วยวิธีนี้ ซึ่งเชื่อว่า สตีเฟ่น ลี คงไม่ใช่คนสุดท้ายที่ทำแบบนี้

    อีกคนหนึ่ง ที่ตอนนี้ โดนสงสัยอยู่พอสมควร ก็คือ ลี ชอง เหว่ย นักแบดมินตันมือวางอันดับ 1 ของโลก ชาวมาเลเซีย ที่ถูกพวกนักพนันทั้งหลายตั้งข้อสังเกตุกันว่า ตีเหมือนรู้ราคา

    การเล่นพนันกีฬาแบดมินตัน หรือ เทนนิส นั้น จะมีการคิดเงินขึ้น ก็คือเกมการแข่งขันมันต้องจบลงอย่างเดียว ถ้าแข่งไม่จบ ก็ถือว่าทุกอย่างเป็นโมฆะ

    [​IMG]
    ถ้าชอง เหว่ย จะแกล้งแพ้ หลินตัน นี่แหละเหมาะสุดเพราะสูสีและไม่มีทางจับได้แน่


    ถ้าให้ยกตัวอย่าง แมตช์ล่าสุด ที่โดนตั้งข้อสงสัย ก็คงเป็น เกมที่ ชองเหว่ย แพ้หลินตัน ในรอบชิงชนะเลิศ เนื่องจากว่าต้องถอนตัวในแต้มสุดท้าย มือ 1 ของโลกชาว มาเลเซีย ตัดสินใจถอนตัวในแต้มสุดท้าย เนื่องจากอาการบาดเจ็บ ผลคือ หลิน ตัน ชนะได้แชมป์ไป แต่คนที่แทงว่า เขาจะได้แชมป์ ก็ไม่ได้เงิน เพราะถือว่าเกมยกเลิก

    หรือ สมมติว่า นักกีฬา A มีแต้มต่อนักกีฬา B อยู่ที่ เกมครึ่ง แม้ว่า นักกีฬา B จะได้เกมไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่า คนแทงนักกีฬา B จะได้เงิน เพราะ ถ้าหากเกิดมีการถอนตัว นักกีฬา A เงินเดิมพันทั้งหมดก็จะถูกยกเลิกไป

    วกมาที่ วงการฟุตบอล กันบ้าง ก็อย่างที่เห็นเป็นข่าว กันเกี่ยวกับการล็อกผล ที่กำลังมีการพยายามกวาดล้างกันอยู่ แต่ที่อยากจะพูดถึงก็คือ พวกนักบอล ตอนเลิกเล่นไปแล้ว แต่ก็ต้องพังเพราะการพนัน

    [​IMG]
    ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี แต่ถ้าผิดจริงเขาก็รื้อคดีกลับมาจนลงโทษคนผิดได้


    จูเซปเป้ ซินญอรี่ อดีตดาวยิงคนดังของ สโมสร ลาซิโอ ก็ไม่พ้นวงจรอุบาทว์นี้ เพราะโดนจับได้ถึงขั้น เป็นคนรับแทงเองด้วยซ้ำ อย่างที่เป็นข่าวใหญ่โต เมื่อ 2 ปีก่อน

    คนที่การพนันทำลายชีวิตไปเลยก็คือ ดีทมาร์ ฮามันน์ อดีตกองกลางทีมชาติเยอรมัน ของ สโมสร ลิเวอร์พูล, บาเยิร์น มิวนิค และ อีกหลาย ๆ ทีม

    ฮามันน์ ยอมรับว่าตัวเองติดพนันอย่างมาก โดยเฉพาะการแทงผ่านเว็บ ที่สำคัญ เขาไม่ได้แค่แทงบอลเท่านั้น แต่รวมไปถึงกีฬาอื่นๆ ยัน คริกเก็ต และ ปาลูกดอก โดยเฉพาะ สองกีฬาอย่างหลัง ตัวของ ฮามันน์ เผยว่า เขาสูญเงินไปเป็นล้านเลยด้วยซ้ำ


    [​IMG]
    อดีตจอมทัพหงส์แดง และอินทรีเหล็กออกมาสารภาพว่าตัวเขาเองเคยติดการพนันง่อมแง่ม


    การติดพนันงอมแงมของ ฮามันน์ ไม่เพียงแค่ทำให้เขาเสียเงินแทบหมดตัวเท่านั้น แต่ยังทำให้ ภรรยาของเขา หนีเขาไปอีกต่างหาก ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่า กว่าจะทำใจได้ และถอนตัวออกมาก็แทบตายเหมือนกัน

    กรณีศึกษาของคนที่ยกตัวอย่างมานี้ ก็เป็นอุทาหรณ์สอนใจเราได้เหมือนกัน ว่า การพนันไม่เคยทำให้ใครรวย ถ้าเล่นแค่ขำ ๆ สนุก ๆ ก็พอได้ ที่พูดแบบนี้ก็รู้ว่า คงห้ามคนที่เล่นเป็นกิจวัตรไม่ได้อยู่แล้ว

    แต่ถ้าหวังจะรวยในทางนี้ ขอเตือนว่า เลิกคิดเถอะครับ ดู ฮามันน์ , ซินญอรี่ หรือ สตีเฟ่น ลี เป็นตัวอย่าง ได้


    เรื่องโดย "The Nut"
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อวานนี้ ผมและพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ หลายๆท่าน หลายๆกลุ่ม ได้ร่วมทำบุญ ร่วมเป็นเจ้าภาพในงานสวดพระอภิธรรมงานศพหลวงปู่สุภา และร่วมจัดสถานที่(งานศพหลวงปู่สุภา) ใหม่ทั้งหมด

    ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ชาวอ่างทองตื่นเต้น แห่ชม "พระทองคำ" สมัยสุโขทัย อายุ 900ปี วัดท้ายย่าน
    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1381561902&grpid=01&catid=&subcatid=-

    [​IMG]

    [​IMG]

    ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อวันที่ 12 ตุลาคมว่า ที่วัดท้ายย่าน ต.ศาลาแดง อ.เมือง จ.อ่างทอง ประชาชนนับพันคนต่างเข้ากราบไหว้ชมพระทองคำทั้ง4องค์ หลังคณะกรรมการวัดได้นำกลับมาจากเซฟที่ธนาคารมาให้ชาวบ้านได้กราบไหว้บูชาที่บริเวณวิหารวัดท้ายย่าน


    นายวิเชียร รวยลาภ อายุ 61 ปี กรรมการวัดเปิดเผยว่า หลังได้เก็บพระทองคำไว้ในธนาคารแห่งหนึ่งในจังหวัดอ่างทองนานกว่า30 ปีและได้นำออกมาให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชาและทำบุญก่อนเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว ก่อนนำไปเก็บไว้ในเซฟธนาคารต่อไป


    ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระทองคำที่วัดท้ายย่าน มี4องค์ ได้แก่ 1.หลวงพ่อ สุขไทย สุวรรณศรี หนักประมาณ 10 กิโลกรัม หน้าตักกว้าง 10 นิ้ว ปางสมาธิ 2 หลวงพ่อมณีรัตน์ หน้าตักกว้าง5นิ้วน้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม 3หลวงพ่อศรีเมืองหน้าตักกว้าง6นิ้วน้ำหนัก 2 กิโลกรัม และองค์ที่4 หลวงพ่อโพธิญาณน้ำหนักประมาณ 2 กิโลกรัม ทั้งหมด สร้างสมัยสุโขทัย มีอายุประมาณ 900 ปี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • gold.png
      gold.png
      ขนาดไฟล์:
      1 MB
      เปิดดู:
      1,144
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รู้ไว้ไม่เสียหาย “อัตราค่าปรับผิดกฏจราจร” ในยุคปัจจุบัน

    -http://club.sanook.com/11138/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2-


    รู้ไว้ไม่เสียหาย “อัตราค่าปรับผิดกฏจราจร” ในยุคปัจจุบัน

    เนื่องจากตอนนี้มีนโยบายใหม่ๆด้านการจราจรออกมาให้เราได้ยินมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจะปรับกฏจราจรหรือว่าปรับอัตราค่าปรับใหม่ ที่เค้าว่ากันว่าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงกัน ซึ่งตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือผลจะสรุปออกมาในแนวทางใด หรือเป็นจริงมากแค่ไหน ดังนั้นเรามาดูอัตราค่าปรับผิดกฏจราจรในยุคปัจจุบันกันก่อนดีกว่าค่ะ ว่าถ้าเราทำผิดกฏข้อไหนแล้วต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวนเท่าใด

    ซึ่งเรื่องกฏเหล่านี้จะไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราอีกต่อไป แล้วถ้าเราเรียนรู้หรือจำไว้บ้าง ก็อาจจะเกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างเราๆ ที่ใช้รถใช้ถนนกันอย่างแน่นอนค่ะ


    ข้อหาหรือฐานความผิดตามกฎหมายที่ควรทราบ

    1. ข้อหา ฐานความผิด บทมาตรา และอัตราโทษ ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 (แก้ไขเพิ่มเติมถึง พ.ศ.2538)และการเปรียบเทียบปรับผู้กระทำผิด นั้นให้เป็นไปตามข้อกำหนดของสำนักงาน ตำรวจแห่งชาติ (กรมตำรวจ) ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 9 ก.ค. 40 และเพิ่มเติมฉบับที่ 4 ลงวันที่ 3 ธ.ค. 2540 ตามลำดับ

    ลำดับ ข้อหาหรือฐานความผิด อัตราโทษ อัตราตามข้อ กำหนด

    1 นำรถที่ไม่มั่นคงแข็งแรงอาจเกิดอันตรายหรือทำให้เสื่อมเสีย สุขภาพอนามัย มาใช้ในทางเดินรถ >> ปรับไม่เกิน 500 บาท ปรับ 200 บาท

    2 นำรถที่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนมาใช้ในทางเดินรถ
    >> ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ปรับ 300 บาท

    3 นำรถที่เครื่องยนต์ก่อให้เกิดก๊าซ ฝุ่นควัน ละอองเคมี เกินเกณฑ์ที่อธิบดีกำหนดมาใช้ในทางเดินรถ
    >> ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ปรับ 500 บาท

    4 นำรถที่เครื่องยนต์ก่อให้เกิดเสียงเกินเกณฑ์ที่อธิบดีกำหนดมาใช้ ในทางเดินรถ
    >> ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ปรับ 500 บาท

    5 ขับรถในทางไม่เปิดไฟ หรือใช้แสงสว่างในเวลาที่มีแสง สว่างไม่เพียงพอที่จะมองเห็นคน รถ หรือสิ่งกีดขวาง ในทางได้โดยชัดแจ้งภายในระยะ 150 เมตร
    >> ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ปรับ 200 บาท

    6 ใช้สัญญาณไฟวับวาบผิดเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด
    >> ปรับไม่เกิน 500 บาท ปรับ 300 บาท

    7 ขับรถบรรทุกของยื่นเกินความยาวของตัวรถในทางเดิน รถไม่ติดธงสีแดง ไว้ตอนปลายสุดให้มองเห็นได้ภายใน ระยะ 150 เมตร
    >> ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ปรับ 300 บาท

    8 ขับรถบรรทุกวัตถุระเบิด หรือ วัตถุอันตรายไม่จัดให้มีป้ายแสดงถึงวัตถุ ที่บรรทุก
    >> จำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2,000 ปรับ 300 บาท

    9 ขับรถไม่จัดให้มีสิ่งป้องกันมิให้คน สัตว์ หรือสิ่งของที่บรรทุก ตกหล่น รั่วไหล ส่งกลิ่น ส่องแสงสะท้อน หรือปลิวไปจาก รถอันอาจก่อเหตุเดือดร้อนรำคาญ ทำให้ทางสกปรกเปรอะเปื้อน ทำให้เสื่อมเสียสุขภาพ อนามัยแก่ประชาชนหรือก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน
    >> ปรับไม่เกิน 500 บาท ปรับ 200 บาท

    10 ขับรถไม่ปฏิบัติตามสัญญาณจราจร หรือเครื่องหมายจราจรที่ได้ติดตั้งไว้หรือทำให้ปรากฏ ในทาง หรือที่พนักงานเจ้าหน้าที่แสดงให้ทราบ
    >> ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ปรับ 300 บาท

    11 ขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง
    >> ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ปรับ 300 บาท

    12 ไม่หยุดรถหลังเส้น ให้รถหยุดเมื่อมีสัญญาณไฟแดง
    >> ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ปรับ 300 บาท

    13 ขับรถไม่ปฏิบัติตามสัญญาณจราจรที่พนักงานเจ้าหน้าที่แสดงให้ปรากฏด้วยมือ
    >> ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ปรับ 300 บาท

    14 ไม่หยุดรถหลังเส้นให้รถหยุด หรือหยุดรถห่างจากพนักงานเจ้าหน้าที่น้อยกว่าสามเมตร
    >> ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ปรับ 300 บาท

    15 ทำให้ปรากฏซึ่งสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรที่อธิบดีกำหนดในทางเดินรถโดยไม่มีอำนาจ
    >> จำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ -

    16 ไม่ขับรถที่มีความเร็วช้าให้ใกล้ขอบทางด้านซ้ายในทางเดินรถที่มีสวนกันได้
    >> ปรับตั้งแต่ 200-500 บาท ปรับ 200 บาท

    17 ไม่ขับรถบรรทุก รถบรรทุกคนโดยสารรถจักรยานยนต์ ที่มีความเร็วช้าในช่องเดินรถซ้ายสุด ในทางเดินรถที่แบ่งช่องเดินรถไว้ตั้งแต่สองช่องขึ้นไป
    >> ปรับตั้งแต่ 400-1,000 บาท -

    18 เลี้ยวรถหรือเปลี่ยนช่องเดินรถโดยไม่ให้สัญญาณ
    >> ปรับตั้งแต่ 400-1,000 บาท ปรับ 400 บาท

    19 ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น
    >> จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000-20,000 บาท

    20 ขับรถในลักษณะกีดขวางการจราจร
    >> จำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือปรับตั้งแต่ 2,000 –10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ -

    21 ขับรถในลักษณะกีดขวางการจราจร
    >> ปรับตั้งแต่ 400 – 1,000 บาท ปรับ 400 บาท

    22 ขับรถบนทางเท้าโดยไม่มีเหตุอันสมควร (เว้นแต่รถเข็นสำหรับทารก คนป่วย หรือคนพิการ)
    >> ปรับตั้งแต่ 400- 1,000 บาท ปรับ 400 บาท

    23 ขับรถแซงขึ้นหน้ารถอื่นทางด้านซ้ายมือโดยไม่มีเหตุอันสมควร
    >> ปรับตั้งแต่ 400- 1,000 บาท ปรับ 400 บาท

    24 ขับรถแซงขึ้นหน้ารถอื่นขณะขึ้นทางชัน ขึ้นสะพาน หรืออยู่ในทางโค้ง ซึ่งไม่มีเครื่องหมายจราจรให้แซงได้ >> ปรับตั้งแต่ 400- 1,000 บาท ปรับ 400 บาท

    25 ขับรถแซงขึ้นหน้ารถอื่นภายในระยะ 30 เมตร ก่อนถึงทางแยก
    >> ปรับตั้งแต่ 400- 1,000 บาท ปรับ 400 บาท

    26 ขับรถออกจากที่จอดเมื่อมีรถจอดหรือสิ่งกีดขวางอยู่ข้างหน้า โดยไม่ให้ สัญญาณมือหรือแขน หรือสัญญาณไฟ
    >> ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ปรับ 400 บาท

    27 กลับรถในทางเดินรถกีดขวางการจราจร
    >> ปรับตั้งแต่ 200 – 500 บาท ปรับ 200 บาท

    28 กลับรถในระยะ 100 เมตร จากเชิงสะพาน
    >> ปรับตั้งแต่ 400-1,000 บาท ปรับ 400 บาท

    29 กลับรถที่ทางร่วมทางแยก(เว้นแต่จะมีเครื่องหมายจราจรให้กลับรถได้)
    >> ปรับตั้งแต่ 400- 1,000 บาท ปรับ 400 บาท

    30 หยุดรถหรือจอดรถในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจรที่อธิบดีกำหนดในทางเดินรถโดยไม่มีอำนาจ
    >> ปรับไม่เกิน 500 บาท ปรับ 200 บาท

    31 ไม่จอดรถทางด้านซ้ายของทางเดินรถ
    >> ปรับไม่เกิน 500 บาท ปรับ 200 บาท

    32 จอดรถไม่ขนานชิดกับขอบทางหรือไหล่ทางในระยะห่างเกินกว่า 25 ซม.
    >> ปรับไม่เกิน 500 บาท ปรับ 200 บาท

    33 หยุดรถบนทางเท้าโดยไม่มีเหตุผลสมควร
    >> ปรับไม่เกิน 500 บาท ปรับ 200 บาท

    34 หยุดรถตรงปากทางเข้าออกของอาคาร หรือทางเดินรถ โดยไม่มีเหตุผลสมควร
    >> ปรับไม่เกิน 500 บาท ปรับ 200 บาท

    35 จอดรถบนทางเท้า
    >> ปรับไม่เกิน 500 บาท ปรับ 200 บาท

    36 จอดรถบนสะพานหรือในอุโมงค์
    >> ปรับไม่เกิน 500 บาท ปรับ 200 บาท

    37 จอดรถในทางร่วมทางแยก หรือภายในระยะ 10 เมตรจากทางร่วมทางแยก
    >> ปรับไม่เกิน 500 บาท ปรับ 200 บาท

    38 จอดรถในเขตที่มีเครื่องหมายห้ามจอด
    >> ปรับไม่เกิน 500 บาท ปรับ 200 บาท

    39 จอดรถภายในระยะ 15 เมตร ก่อนถึงเครื่องหมายหยุดรถประจำทางและเลยเครื่องหมายไปอีก 3 เมตร
    >> ปรับไม่เกิน 500 บาท ปรับ 200 บาท

    40 จอดรถในลักษณะกีดขวางการจราจร
    >> ปรับไม่เกิน 500 บาท ปรับ 200 บาท

    42 ทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งเครื่องมือบังคับ รถ มิให้เคลื่อนย้าย จำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือ
    >> ปรับไม่เกิน 5,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ -

    43 จอดรถในทางเดินรถหรือไหล่ทางโดยไม่เปิดไฟ หรือใช้แสงสว่างเพียงพอ ที่จะเห็นรถที่จอดนั้นได้ชัดแจ้งในระยะไม่น้อยกว่า 150 เมตร
    >> ปรับตั้งแต่ 200 – 500บาท ปรับ 200 บาท

    44 ขับรถเร็วเกินอัตรากำหนด
    >> ปรับตั้งแต่ 200 – 500 บาท ปรับ 400 บาท

    45 ไม่ยอมให้รถในทางร่วมทางแยกนั้นผ่านไปก่อน เมื่อขับรถถึงทางร่วมทาง แยกทีหลัง
    >> ปรับไม่เกิน 500 บาท ปรับ 200 บาท

    46 ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล หรือทรัพย์สินของผู้อื่น แล้วไม่หยุดช่วยเหลือแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้ เคียง ทันที.
    >> จำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือปรับตั้งแต่ 2,000 –10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    47 ขับรถแท็กซี่ปฏิเสธไม่รับจ้างบรรทุกคนโดยสาร (เว้นแต่ กรณีจะเกิดอันตรายแก่ตนหรือแก่คนโดยสาร)
    >> ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ปรับ 300 บาท

    48 ไม่เดินบนทางเท้าหรือไหล่ทางเมื่อทางนั้น มีทางเท้าหรือไหล่ทางอยู่ข้างทางเดินรถ
    >> ปรับไม่เกิน 200 บาท ปรับ 100 บาท

    49 เดินข้ามทางนอกทางข้าม เมื่อมีทางข้ามอยู่ภายในระยะ100 เมตร
    >> ปรับไม่เกิน 200 บาท ปรับ 100 บาท

    50 ขี่ จูงไล่ต้อนหรือปล่อยสัตว์ไปบนทาง ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจร และไม่มีผู้ควบคุมเพียงพอ
    >> ปรับไม่เกิน 500 บาท ปรับ 200 บาท

    51 วาง ตั้ง ยื่น หรือ แขวนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือกระทำด้วยประการใด ๆ ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจร โดยไม่ได้รับอนุญาต
    >> ปรับไม่เกิน 500 บาท ปรับ 200 บาท

    52 ขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย (มิให้ใช้บังคับแก่ภิกษุสามเณร นักพรต นักบวช ผู้นับถือลัทธิศาสนาที่ใช้ผ้าโพกศรีษะตามประเพณีนิยม
    >> ปรับไม่เกิน 500 บาท ปรับ 200 บาท

    53 โดยสารรถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย (มิให้ใช้บังคับแก่ภิกษุสามเณร นักพรต นักบวช ผู้นับถือลัทธิศาสนาที่ใช้ผ้าโพกศรีษะตามประเพณีนิยม
    >> ปรับไม่เกิน 500 บาท ปรับ 200 บาท

    54 ยินยอมให้ผู้อื่นนั่งตอนหน้าแถวเดียวกับคนขับเกิน 2 คน
    >> ปรับไม่เกิน 500 บาท ปรับ 200 บาท

    55 เป็นผู้ขับรถโดยสารประจำทาง รถบรรทุกคนโดยสารรถโรงเรียน รถแท็กซี่ ยินยอมให้ผู้โดยสารขึ้นหรือลง รถยนต์ในขณะที่รถหยุดเพื่อรอสัญญาณไฟ หรือหยุดเพราะติดการจราจร
    >> ปรับไม่เกิน 500 บาท ปรับ 200 บาท

    56 ขับรถตามหลังรถฉุกเฉินซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ในระยะไม่ถึง 50 เมตร
    >> ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ปรับ 300 บาท

    57 กระทำด้วยประการใด ๆ บนทางอันเป็นการกีดขวางของการจราจร
    >> ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ปรับ 300 บาท

    58 ฝ่าฝืนคำสั่งข้อบังคับหรือระเบียบของเจ้าพนักงานจราจรซึ่งสั่งหรือ ประกาศ ห้าม หยุดหรือ จอด
    >> ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ปรับ 300 บาท

    2. ข้อหา ฐานความผิด บทมาตรา และอัตราโทษ ตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 (แก้ไขเพิ่มเติมถึง พ.ศ.2537)

    ลำดับ ข้อหาหรือฐานความผิด อัตราโทษ

    1 ใช้รถไม่จดทะเบียน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท

    2 ใช้รถไม่เสียภาษีประจำปีภายในเขตกำหนด ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

    3 ใช้รถไม่แสดงเครื่องหมายเสียภาษี ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

    4 ใช้รถไม่มีแผ่นป้ายทะเบียน ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

    5 ใช้รถที่มีส่วนควบหรือเครื่องอุปกรณ์ไม่ครบถ้วน ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

    6 เปลี่ยนแปลงสีของรถผิดจากที่จดทะเบียนไว้ ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

    7 เปลี่ยนปลงตัวรถหรือ ส่วนใดส่วนหนึ่งของรถให้ผิดจากไปที่ จดทะเบียน ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

    8 ขับรถยนต์ที่มีไว้เพื่อขายหรือเพื่อซ่อม (รถป้ายแดง) ระหว่างพระอาทิตย์ตกถึงพระอาทิตย์ขึ้น เวลากลางคืน) โดยไม่มีความจำเป็นและได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

    9 ขับรถโดยไม่ได้รับอนุญาตขับรถ จำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    10 ขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับรถที่จะแสดงได้ทันที (เว้นแต่ผู้ฝึกหัดขับรถตาม) ปรับไม่เกิน 1,000 บาท

    11 ขับรถไม่มีสำเนาภาพถ่ายใบคู่มือจดทะเบียนรถที่จะแสดงได้ทันที ปรับไม่เกิน 1,000 บาท

    12 ยินยอมให้ผู้ซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับรถ เข้าขับรถของตน ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

    13 รับจ้างรถบรรทุกคนโดยสาร โดยใช้รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสาร ไม่เกิน 7 คน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท

    14 ขับรถระหว่างถูกยึดใบอนุญาตขับรถ ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

    15 ใช้เครื่องหมายที่นายทะเบียนออกให้สำหรับรถคันหนึ่งกับรถ อีกคันหนึ่ง ปรับไม่เกิน 1,000 บาท

    ข้อหา ฐานความผิด บทมาตรา และอัตราโทษ ตาม พ.ร.บ.ขนส่งทางบก พ.ศ.2522 (แก้ไขเพิ่มเติมถึง พ.ศ.2537)

    ลำดับ ข้อหาหรือฐานความผิด อัตราโทษ

    1 ประกอบการขนส่งประจำทางโดยไม่ได้รับอนุญาต
    >> จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    2 ประกอบการขนส่งไม่ประจำทางโดยไม่ได้รับอนุญาต
    >> จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    3 ประกอบการขนส่งด้วยรถขนาดเล็กโดยไม่ได้รับอนุญาต
    >> จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    4 ประกอบการขนส่งส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต
    >> จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    5 เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งใช้รถผิดประเภท
    >> จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    6 เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทาง ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดจำนวนรถที่ต้องการใช้ใน การประกอบการขนส่ง ตามเส้นทางที่ใช้ในการประกอบ การขนส่ง
    >> ปรับตามจำนวนรถที่ขาด คันละไม่เกิน 5,000 บาท ต่อหนึ่งวัน จนกว่าปฏิบัติให้ ถูกต้อง

    7 เป็นผู้ได้รับอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทาง ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด ลักษณะ ชนิด ขนาดและสีของรถ และเครื่องหมายของผู้ประกอบการขนส่งที่ต้องให้ปรากฏ ประจำรถทุกคัน
    >> ปรับไม่เกิน 50,000 บาท

    8 เป็นผู้ได้รับอนุญาตประกอบการขนส่ง

    [​IMG]
    http://p3.isanook.com/cl/0/up/2013/10/Traffic-Rate.jpg

    Credit : trafficpolice
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กสทช แนะผู้ให้บริการ เปิดเบอร์โทรฟรีรับเรื่องร้องทุกข์
    -http://hilight.kapook.com/view/92503-


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    กสทช. กำหนดมาตรการ ให้มีเบอร์โทรฟรี รับเรื่องร้องทุกข์ จากทุกเครือข่าย

    เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม มีรายงานว่า นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันการให้บริการด้านการโทรคมนาคม อาจจะมีข้อผิดพลาดและไม่เป็นไปตามสัญญา ทาง กสทช. จึงขอย้ำให้ผู้ใช้บริการที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือมีข้อสงสัยในเรื่องความคุ้มครอง สามารถโทรมาร้องเรียนกับ กสทช. ได้ที่เบอร์ 1200 และนอกจากนี้ ทาง กสทช. เอง ยังมีกฎให้ทางผู้ใช้บริการ สามารถร้องทุกข์ไปยังผู้ให้บริการด้วย โดยเป็นเบอร์โทรฟรี ไม่เก็บค่าใช้จ่าย

    ทั้งนี้ จากประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่องกระบวนการรับเรื่องร้องเรียนและพิจารณาเรื่องร้องเรียนของผู้ใช้บริการ พ.ศ. 2549 ได้กำหนดให้ผู้บริการ มีหน่วยงานที่ถามตอบข้อสงสัย และทำหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนและแก้ไขปัญหาโดยไม่คิดค่าบริการ ซึ่งทางผู้ให้บริการในเมืองไทย ได้จัดเบอร์โทรศัพท์ต่าง ๆ เอาไว้ดังนี้

    AIS : เบอร์โทร 02-271-9263 ไม่คิดค่าบริการเมื่อโทรจากเครือข่าย AIS ระหว่างวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 09.00-18.00 น. เว้นวันหยุดราชการ

    True Move และ True Move H : เบอร์โทร 02-900-8088 ไม่คิดค่าบริการเมื่อโทรจากเครือข่าย True Move และ True Move H เวลา 08.00-20.00 น

    DTAC : เบอร์โทร 02-202-7267 ไม่คิดค่าบริการเมื่อโทรจากเครือข่าย DTAC ระหว่างวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 09.00-16.30 น. เว้นวันหยุดราชการ

    CAT : เบอร์โทร 081-352-0444 และ 081-352-0666 ไม่คิดค่าบริการเมื่อโทรจากเครือข่าย CDMA ระหว่างวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 08.30-16.30 น.

    TOT : เบอร์โทร 1100 กด 3 ไม่คิดค่าบริการเมื่อโทรจากโทรศัพท์พื้นฐานได้ทุกเครือข่าย ให้บริการ 24 ชั่วโมง


    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
    adslthailand.com
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เบี้ยแก้ หลวงปู่รอด วัดนายโรง
    -http://men.sanook.com/1449/%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%94-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87/-

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    จากคราวที่แล้วได้นำเสนอเรื่องราวของ "ไม้ครู" หลวงปู่ภูวัดอินทร์ หนึ่งใน 9 เครื่องรางสะท้านแผ่นดินไปแล้ว วันนี้ก็มาถึงอีกหนึ่งเครื่องรางสะท้านแผ่นดินอย่าง เบี้ยแก้หลวงปู่รอด วัดนายโรง ซึ่งจัดว่าเป็นเบี้ยแก้เบี้ยกันสารพันวิเศษมงคล ที่ได้รับความนิยมในระดับสูงจนกลายเป็นตำนานไปแล้ว



    ถามว่าเบี้ยแก้มีสำนักไหนที่ครองใจนักสะสม และเหล่าผู้นิยมเครื่องรางของขลังในประเทศ ก็ตอบได้เลยว่ามี 3 สำนัก คือ 1 เบี้ยแก้หลวงปู่รอด วัดนายโรง 2 เบี้ยแก้หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว 3 เบี้ยแก้วัดโบสถ์สายจังหวัดอ่างทอง แต่ที่ขึ้นชื่อลือชาจนขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในเครื่องรางสะท้านแผ่นดินก็ต้องยกให้ "เบี้ยแก้ หลวงปู่รอด วัดนายโรง"
    "เบี้ยแก้" เป็นเครื่องรางที่ใช้ติดตัวเมื่อเดินทางไปในป่าดงพงไพรเพื่อป้องกันไข้ป่า ภูตผีต่างๆ ทั้งยังป้องกันคุณไสย มนต์ดำ ป้องกันยาพิษยาสั่ง สัตว์เขี้ยวงาทุกชนิดและแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ผลชะงัดนัก และยังเป็นเครื่องรางเมตตามหานิยมอีกด้วย




    ประวัติความเป็นมา
    "เบี้ยแก้สารพัดดี หลวงปู่รอด วัดนายโรง"
    หลวงปู่รอดท่านเป็นชาวบ้านบางพรม อำเภอตลิ่งชัน อุปสมบทที่วัดเงิน (วัดรัชฎาธิษฐาน) อยู่ในคลองบางพรม ซึ่งเป็นวัดที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมากในสมัยนั้น ต่อมาท่านได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดนายโรง จนได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสรูปที่ 3 ของวัดนายโรง ท่านเป็นพระที่มีความรู้ความชำนาญและเชี่ยวชาญในด้านวิปัสสนาธุระ อีกทั้งด้านพุทธาคมและเวทวิทยาคม ท่านจึงเป็นพระเถราจารย์ที่มีผู้เคารพศรัทธาเลื่อมใสมากองค์หนึ่งของย่านคลองบางกอกน้อย หลวงปู่รอดท่านได้สร้างเบี้ยแก้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังและนับว่าเป็นเลิศตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบัน

    การสร้างเบี้ยแก้ของหลวงปู่รอดนี้ บ้างก็ว่าท่านเรียนวิชาการทำเบี้ยมาจาก "หลวงปู่แขก วัดบางบำหรุ" บางท่านก็ว่าเรียนมาจาก "พระภาวนาโกศล (รอด) วัดโคนอน" (พระอาจารย์ของหลวงปู่เอี่ยม วัดหนังวรวิหาร) บ้างก็ว่าท่านได้วิชานี้มาจากชาวกะเหรี่ยง จนปัจจุบันก็ไม่มีใครสามารถสรุปหรือหาหลักฐานที่ชัดเจนได้ว่าหลวงปู่ท่านเรียนวิชาทำเบี้ยมาจากไหน รู้แต่เพียงว่า "เบี้ยแก้ของหลวงปู่รอด วัดนายโรงนั้นสารพัดดีอย่างแน่นอน"

    การสร้างเบี้ยแก้ของหลวงปู่รอด วัดนายโรง

    ท่านจะคัดตัวเบี้ยที่มีขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป วัดขนาดใต้ท้องเบี้ยยาวประมาณ 3.5 ซม. กว้าง 2.5 ซม. หรือยาวประมาณ 3.4 ซม. กว้าง 2.4 ซม. ให้มีฟันครบ 32 ซี่ บรรจุปรอทแล้วจึงอุดด้วยชันโรงใต้ดิน แล้วจึงหุ้มด้วยแผ่นตะกั่ว บางตัวก็หุ้มหมดทั้งตัว บางตัวหุ้มเปิดที่ด้านหลังเบี้ยไว้ บางตัวก็ไม่มีตะกั่วหุ้มก็มี บางตัวอาจจะใช้ผ้ายันต์หุ้มแทนตะกั่วก็มี ตะกั่วที่หุ้มเบี้ยหลวงปู่จะลงอักขระพระเจ้า 16 พระองค์ และยันต์ตรีนิสิงเห แล้วจึงปลุกเสกอีกครั้งหนึ่งจึงมอบให้แก่ศิษย์ ถ้านำเบี้ยมาเขย่าใกล้ๆ หูจะได้ยินเสียงปรอทสั่นคลอนเบาๆ เบี้ยบางตัวมักถักเชือกกันเอาไว้ โดยฝีมือการถักของหลวงลุงชม ซึ่งมีมือละเอียดประณีตดีนักแล หูด้ายที่ถักบางทีก็มีหูเดียว บางทีก็มีสองหรือสาม คือถ้าเป็นเบี้ยสำหรับผู้หญิงมักมีหูถักอันเดียวไว้ร้อยกับเชือกสวมคอ แต่ถ้าเป็นของผู้ชายมักจะมีสองหรือสามหู เพราะผู้ชายจะใช้ร้อยเชือกคาดเอว จากนั้นจึงลงรัก หรือลงยางมะพลับไว้อีกทีหนึ่ง เพื่อความคงทนของเชือกที่ถัก เบี้ยบางตัวอาจจะมีการลงรักปิดทองไว้ด้วย หรือบางตัวก็มีการบรรจุตะกรุด ซึ่งหาดูได้ยากมาก
    เบี้ยแก้ ของหลวงปู่รอด จัดว่าเป็นของ "สารพัดดี" มีพลานุภาพเข้มขลัง ใครมีไว้ติดตัวถือว่าดีนักแล และจะดียิ่งขึ้นหากท่านหมั่นภาวนาระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ รวมถึงทำความดีอยู่เนืองนิตย์

    -สาธุ-

    ขอบคุณเนื้อหา : -http://blog.dealfish.co.th/lifestyle/เบี้ยแก้-หลวงปู่รอด/-
    ภาพประกอบ : palungjit.org

    http://men.sanook.com/1449/เบี้ยแก้-หลวงปู่รอด-วัดนายโรง/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...