พระเครื่อง พระกรุ นิยม

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย พลังชาตรี 13, 5 กรกฎาคม 2011.

  1. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,443
    ค่าพลัง:
    +1,851
    สวัสดีปีใหม่ปี 2556 ครับพี่เกษม

    ขอพรบารมีหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่/หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ อาจารย์ทิม
    อันเป็นพรประเสริฐ ทั้งในโลกนี้อีกทั้งสากลโลก
    จงส่งผลดีๆ ให้แก่ท่าน และ ครอบครัวฯ
    คิดสิ่งใดๆ หวังสิ่งใดๆ จงได้มาตามหวัง
    สมความมุ่งมาตรปรารถนา ทุกสิ่งๆทุกประการๆ ฯ
    เงินทองไหลเข้ามาเป็นกองภูเขาๆๆๆ ใช้เท่าไหร่ก็ยิ่ง พูลทวีๆๆมากขึ้นๆ
    ไม่เจ็บไม่ป่วยตลอดปี 2566 และตลอดไปๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


    ขอบพระคุณมากๆครับพี่ลงมากรุงเทพบอกกันบ้างนะครับพี่ ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2013
  2. moxoc

    moxoc Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +40
    สอบถามราคาเปิดบูชาลูกอมผงพลายกุมาร เลี่ยมทองครับผม
     
  3. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,443
    ค่าพลัง:
    +1,851
    .........................................
     
  4. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,443
    ค่าพลัง:
    +1,851
    หลวงปู่ทิมเป็นพระเถระที่ชาวระยองให้ความนับถือมาก วัตถุมงคลของท่านใครมีไว้เปรียบเสมือนมีเพชรอยู่กับตัว สมัยที่ผมปฏิบัติท่านอยู่นั้น พอยามว่างหลวงปู่จะเอาผงพุทธคุณต่างๆ รวมทั้งว่านยาที่มีอำนาจอยู่ในตัวนำมาตากให้แห้ง บางชนิดถูกแดดไม่ได้ ท่านจะนำมาแขวนไว้ในห้องนอนจนเต็มไปหมด บางทีท่านฉันจังหันเช้าเสร็จแล้ว ท่านจะเอาเศษข้าวที่เหลือนำมาปั้นเป็นก้อนๆ และตากแดดไว้จนกรอบ เมื่อรวบรวมได้มากๆ หลวงปู่จะให้ หลวงตารอดและหลวงตาพูน เอาเศษข้าวที่แห้งนั้นมาบดให้ละเอียดและนำไปเก็บไว้ในห้องนอน ผมเคยถามหลวงปู่ว่า เศษข้าวนั้นหลวงปู่เก็บเอาไว้ทำไม? ท่านบอกว่าเป็นของสูงเป็นเมตตา ข้าวนี้มีคุณใหญ่หลวงนัก ทุกคนต้องอาศัยกินเพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้ ถ้าไม่มี เราคงแย่เหมือนกัน

    ผมเคยไปกราบ หลวงพ่อทองอยู่ วัดบางเสร่ จ.ชลบุรี ไปเห็นท่านกำลังฉันเช้าอยู่ ขณะที่ท่านฉันอยู่นั้น ถ้าข้าวคำไหนที่มีรสอร่อยที่สุดท่านจะคายออกและเก็บไว้จนให้มากๆ จากนั้นท่านจึงนำไปตากให้แห้ง และนำมาสร้างเป็นพระเครื่องให้ลูกศิษย์ไว้ใช้ พระของท่านดีในด้านเมตตามหานิยม เวลานี้ในวงการพระต่างก็แสวงหากัน หลวงพ่อทองอยู่สร้างพระเครื่องไว้อยู่หลายรุ่นเช่นกัน โดยเฉพาะ พิมพ์ปิดทวาร เป็นพิมพ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

    เช่นเดียวกับหลวงปู่ทิม ยามว่างท่านจะชวนผมไปเดินหลังศาลาการเปรียญ ซึ่งเดิมเป็นที่ท่านเคยเดินจงกรมของท่าน และที่นั่นจะมีต้นไม้รกรุงรังเต็มไปหมด เมื่อไปถึงแล้ว หลวงปู่จะชี้ให้ผมดูว่าต้นไม้นี้ชื่ออะไร มีสรรพคุณเป็นยาและมีคุณสมบัติประจำตัวอย่างไร? นับว่าท่านให้ความรู้แก่ผมเป็นอย่างมากทีเดียว..โดยเฉพาะ ต้นไมยราพ ท่านว่าเป็นยาเย็น นำใบมาตำและผสมกับรากไม้อีกชนิดหนึ่ง สามารถรักษาแผลที่ถูกพิษได้ ต้นไมยราพเป็นต้นไม้ล้มลุก มีหนามอยู่ในตัว เวลาใครเหยียบถูกเข้า มันจะม้วนตัวและหุบใบทันที ผมเคยถูกหนามตำจนเท้าระบมไปหมดเพราะหลวงปู่เวลาเดินไปไหน ท่านไม่ใส่รองเท้า พอผมใส่รองเท้าท่านจะพูดเปรยๆ ขึ้นมาว่า คนบ้านนอกไม่นิยมใส่รองเท้าเพราะต้องการให้เท้าได้รับไอดินไอน้ำหรือธาตุดินและธาตุน้ำเข้าสู่ร่างกายบ้าง จะทำให้ร่างกายแข็งแรง คนในเมืองไม่เคยถูกธาตุดินธาตุน้ำเลย จึงมักจะเป็นคนขี้โรคกัน พอผมได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความละอายใจ ลองถอดรองเท้าดูบ้าง..ผลหรือครับโดนทั้งเศษหิน หนามและเศษแก้วตำจนเท้าระบมไปหมด

    มีอยู่วันหนึ่ง จู่ๆ หลวงปู่ก็เรียกให้ผมไปกับท่านพร้อมนำตะกร้าติดไปด้วย เมื่อไปถึงดงไมยราพ ท่านก็เดินลุยไปที่ดงไมยราพทันที โดยไม่ให้ผมรู้ตัวผมต้องร้องด้วยความเจ็บปวดกระโดดเต้นแร้งเต้นกาเหมือนถูกผีเข้า หลวงปู่หันมามองและพูดด้วยใบหน้ายิ้มๆ ว่า “เพียรเหยียบตามรอยที่นี่เหยียบ และให้ดูว่าต้นไหนที่ใบไม่หุบ ก็ให้เด็ดยอดต้นนั้นไว้ แต่ถ้าต้นไหนใบหุบ ก็ไม่ต้องเด็ดเพราะใช้ไม่ได้” กว่าจะเด็ดได้ตามที่หลวงปู่ต้องการ ก็เล่นเอาเข็ดหลาบไปหลายวันทีเดียว

    เมื่อท่านให้ผมเก็บเสร็จแล้ว หลวงปู่จะนำมาดูอีกทีหนึ่งเพื่อความแน่ใจ ผมยังแปลกใจไม่หายว่า บางต้นที่ผมเผลอเด็ดผิดไป ด้วยอารามรีบและกลัวหนามจะตำเท้า จึงทำให้เด็ดมั่วไปหมด หลวงปู่จะเลือกออกจนหมด หลังจากนั้นท่านจะนำไปตากแดดให้แห้ง ท่านบอกว่า รู้ไหมของสิ่งนี้นำมาบดเป็นผง ปลุกเสกให้ดี จะเป็นผงที่ทรงคุณค่ามีอำนาจพุทธคุณสูงทางด้านกำบังตัว..ศัตรูเห็นจะมองเป็นคนหลายคนเลยทีเดียว..

    เมื่อถึงวันเสาร์ หลวงปู่จะนำผงที่ท่านเตรียมไว้คลุกเคล้าให้ทั่วในกาละมังใหญ่ โดยมี ตาแมง เป็นคนควบคุม ท่านจะให้พระและเณรมาช่วยกันปั้นลูกอม ส่วนหลวงปู่ก็นั่งปั้นด้วย สำหรับเรื่องลูกอมหลวงปู่ทิมนั้น ผมอยากจะขยายความให้ท่านได้รับทราบเสียก่อนว่า ในยุคที่ทางวัด ทางไปแสนจะลำบากมากไม่เหมือนสมัยนี้ ตอนนั้นทางวัดจะมีแต่ผ้ายันต์, ตะกรุด, ลูกอม, สิงหารา ที่แกะด้วยไม้ที่เป็นมงคลไว้แจกแก่บุคคลที่ไปทำบุญที่วัด โดยเฉพาะลูกอมหลวงปู่จะแจกให้เด็กๆ ห้อยคอไว้เพื่อกันภยันตรายต่างๆ

    ลูกอมยุคแรกที่ทางวัดสร้างนั้นเป็น ลูกอมเทียน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า “ลูกอมเทียนมัทรี” ภายในบรรจุด้วยกระดาษลงยันต์ เทียนที่นำมาหุ้มนี้ เป็นเทียนที่อยู่ในพิธีเทศน์มหาชาติ และบุคคลที่จะเก็บน้ำตาเทียนจะต้องเป็นสาวพรหมจารีที่เกิดวันเสาร์และวันอังคาร ก่อนพิธีเทศน์มหาชาติจะเริ่มขึ้น หลวงปู่จะบอกให้ลูกศิษย์คนหนึ่งคอยบอกกำกับหญิงพรหมจารีที่มาร่วมในพิธีนี้ว่าควรทำอย่างไร?

    เมื่อพระเริ่มพิธีการเทศน์มหาชาติ ทางหญิงพรหมจารีจะปักเทียนเต็มไปหมดหน้ากัณฑ์เทศน์และคอยใช้ผ้าขาวป้องไปที่เทียนปักอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เทียนดับ และต้องตั้งใจฟังเสียงพระสวด พอถึงบทที่พระเวสสันดรกำลังยกลูกของตนให้เฒ่าชูชกและนางมัทรีมาเห็นเข้า เกิดการยื้อแย่งไม่ยอมให้ลูกของตนแก่เฒ่าชูชกและได้ร้องไห้ด้วยความเสียใจ ตอนนี้แหละครับ หญิงสาวพรหมจารี ที่อยู่ในพิธีจะต้องรีบเก็บน้ำตาเทียนกันใหญ่ แม้ว่าจะร้อนมือแค่ไหนก็ต้องใช้ความพยายามและความอดทนสูงมาก การเก็บน้ำตาเทียนจะเก็บไปเรื่อยๆ จนพระเสร็จพิธีก็รุ่งอรุณของวันใหม่พอดี และการเก็บแต่ละครั้งจะเก็บอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ต้องฟังเสียงพระเทศน์ในแต่ละกัณฑ์ให้เข้าใจด้วยว่า ถึงบทไหนควรเก็บ บทไหนไม่ควรเก็บ

    เมื่อได้น้ำตาเทียนมาพอสมควรแล้วหลวงปู่จะรวบรวมมาใส่ไว้ในขันสำริด ภายในก้นขันท่านจะลงเลขยันต์ไว้ เมื่อถึงวันเสาร์ หลวงปู่จะนำมาตากแดดและจะต้องให้พระอาทิตย์อยู่ตรงหัวทันที ท่านจะตากไว้ประมาณ 2 เสาร์ พอถึงครั้งที่ 3 หลวงปู่จะนำมาตากแดดในวันจันทร์ เมื่อน้ำตาเทียนเริ่มอ่อนตัวลงพอที่จะนำมาแผ่บางๆ ได้ท่านจะรีบลงเลขยันต์บนน้ำตาเทียน ต่อจากนั้นท่านจะนำมาตัดเป็นแผ่นเล็กๆ กะให้พอหุ้มกระดาษที่ลงอาคมไว้ แล้วจึงนำมากลึงเป็นลูกกลมๆ ตามที่ได้กำหนดไว้ ลูกอมเทียนมัทรีนี้จะสร้างไม่มากเพราะว่าจะหาสาวพรหมจารีได้แต่ละครั้งก็แสนจะลำบาก ยิ่งเป็นยุคนี้แล้วไม่ต้องพูดถึงหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก

    ต่อมาท่านจึงดำริสร้างลูกอมโดยใช้ผงพุทธคุณเป็นส่วนใหญ่ ลูกอมผงพุทธคุณของท่านนั้น ท่านจะทาสีบรอนซ์ทองทับไว้อีกทีหนึ่ง จึงทำให้มีหลายสีแล้วแต่สภาพสีที่ทาไว้ ถ้าเก็บไว้นานๆ ทองที่ทามักจะหลุดติดมือเหมือนกับพระผงพรายกุมาร ลูกอมของท่านมีคุณวิเศษสูงมาก คนข้างวัดท่านเคยเป็นสมาชิกสภาจังหวัดระยอง ชื่อ นายธง สุขเทศน์ ถูกคนร้ายใช้ปืนเอ็ม 16 ยิงในระยะเผาขน ปรากฏว่ายิงไม่ถูกเลยสักนัดเดียว หลังจากเหตุการณ์สงบ และได้เคลียร์เรื่องจนสงบเรียบร้อยแล้ว คนยิงเคยไปเล่าให้ผมฟังว่าเห็นนายธงนั่งกินข้าวอยู่ในบ้าน จึงเหนี่ยวไกหวังปลิดชีวิตทันที แต่พอมองไปที่นายธงอีกครั้งหนึ่งกลับเห็นนายธงนั่งอยู่หลายคน จนไม่รู้ว่เป็นคนไหนก็เลยยิงกราดและรีบหนี ผมยังเคยไปเที่ยวบ้านนายธงกับเพื่อนที่เป็นท่านผู้พิพากษาท่านหนึ่ง และขอดูพระทีนายธงแขวนอยู่ปรากฏว่ามีลูกอมเลี่ยมพลาสติกอยู่เพียงลูกเดียวเท่านั้น

    เมื่อก่อนนี้ ใครได้ของดีมา จะทำการทดลองเพื่อให้เห็นจริงอยู่เสมอ ผมก็เช่นกันได้ชื่อว่าเป็นนักทดลองมือฉมังทีเดียว ใครบอกว่าที่ไหนดี พอถึงเวลาจะพยักหน้ากับเพื่อนที่รู้ใจ เดินไปหลังวัดหามุมเหมาะๆ เพื่อทำการทดลองทันที เท่าที่ปรากฏ ส่วนมากจะเป็นแคล้วคลาด หรือบางที่ยิงไม่ออกเป็นส่วนใหญ่ ท่านคงไม่อยากให้ลูกศิษย์หรือบุคคลที่มีของของท่านเจ็บปวดกระมัง ท่านจึงลงแคล้วคลาดอย่างเดียว ใจจริงผมอยากให้ท่านลงมหาอุดมากกว่า เพราะถึงอย่างไร? มันไม่เสียว หรือท่านผู้อ่านมีความเห็นเหมือนผมหรือเปล่าล่ะครับ

    การทดลองปืนนั้น ผมเห็นมาหลายครั้งแล้ว ในครั้งนั้น นายจำลอง ทรัพย์สกุลเจริญ เจ้าของร้านทองทวีทรัพย์เคยไปกราบหลวงปู่ที่วัด รู้สึกว่าตอนนั้นนายจำลองจะไปขอเหรียญรุ่นนั่งพาน จากหลวงปู่ แต่ไม่ทราบว่าด้วยเหตุอันใดหรือยังไม่มีฤกษ์แจก ปรากฏว่าหลวงปู่ไม่แจกให้ด้วยความโมโห นายจำลองจึงเช่าปลัดขิก-ผ้ายันต์, ลูกอมและวัตถุมงคลอื่นๆ ที่อยู่ในตู้จำหน่ายของวัด เมื่อขับรถมาถึงครึ่งทาง นายจำลองก็จอดรถและบอกผมกับลุงอิน ช่างตัดผมหลังตลาดเก่าว่า อยากจะลองของหน่อย อยากรู้นักว่า ของของท่านจะแน่แค่ไหน นายจำลองจึงเอาถุงที่ใส่วัตถุมงคล อาราธนาและแขวนไว้ที่กิ่งไม้ จากนั้นจึงใช้ปืนพกที่ติดตัวมา ยิงไปทันทีที่ถุงนั้น

    เสียงปืนตังเปรี้ยง ผมถึงกับใจหายวาบคิดว่าคงพังยับเยินอย่างแน่นอน เมื่อหายตกตะลึงแล้ว จึงรีบเก็บถุงที่ใส่วัตถุมงคลขึ้นมาดู ท่านผู้อ่านเชื่อไหมครับ? ถุงที่ใส่วัตถุมงคลยังอยู่เป็นปกติดีอยู่ทุกประการ ไม่มีรอยทะลุมีแต่เขม่าปืนจับที่ถุงเต็มไปหมด ทุกคนต่างยืนงงเป็นการใหญ่ เพราะไม่ทราบว่ากระสุนปืนที่ยิงออกไปนั้นหายไปไหน หลังจากนั้นต่างคนต่างก็รีบขึ้นรถกลับระยองอย่างรวดเร็ว โดยที่ทุกคนที่อยู่ในรถนั่งเงียบกริบไม่มีใครพูดจาสนุกสนานเหมือนกับตอนขามาเลย

    ผมได้เห็นอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลของท่านแล้ว เมื่อมาวัดทีใด จะเอ่ยปากขอของดีจากท่านเสมอ หลวงปู่จะหยิบลูกอมให้ผมเป็นถุงปูนใหญ่และยังกำชับอีกว่าเก็บไว้ให้ดี ในยุคก่อนลูกอมจะเป็นวัตถุอาถรรพ์ที่ใครๆ ได้รับไปต่างหวงแหนเป็นพิเศษ และจะหวงยิ่งกว่าพระผงพรายกุมารเสียอีก แต่ใครล่ะ? จะทราบถึงอนาคตกาลข้างหน้าได้ ถ้าผมรู้ว่าต่อไปพระผงพรายต่อไปจะเป็นที่เสาะแสวงหาของบุคคลทั่วไป ก็คงจะขอหลวงปู่เก็บไว้ส่วนตัวสักถุงใหญ่ๆ หน่อยให้เหมือนที่ท่านให้ลูกอมแก่ผม แต่นั่นแหละครับ ถึงจะเป็นพระเครื่องหรือลูกอมของท่านก็ล้วนมีอานุภาพและความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ผู้ปลุกเสก ฉะนั้นไม่ว่าวัตถุมงคลใดๆ ถ้าหลวงปู่ท่านทำ ก็ใช้ได้ทั้งนั้น

    เมื่อก่อนนี้ผมยอมรับว่า มีลูกอมหลวงปู่ทิมมากทีเดียว นำไปถวายท่านอาจารย์สูตร วัดเนินกระปรอก ไว้ตั้งหลายกระป๋องเพื่อให้ท่านนำไปแจกให้คนที่มาทำบุญสร้างวัดกับท่าน ลองไปถามดูก็ได้ว่าจริงหรือเปล่า? เวลาเจ้าอาวาสวัดอื่นไปขอวัตถุมงคลจากหลวงปู่ หลวงปู่จะใช้ให้ผมหยิบลูกอมในกระบุงใหญ่ในห้องของท่านใส่ในกระป๋องใบชานำไปแจกบรรดาขรัววัดต่างๆ และท่านจะพูดว่า ของอื่นมันมีทุน เขาตั้งใจจะนำมาสร้างวัด เอาอย่างนี้ดีกว่าไม่มีทุนและนี่ก็ทำเอง ป้องกันอันตรายได้เหมือนกัน

    นายดำ บ้านอยู่ที่เจ็ดลูกเนิน เป็นบุคคลที่เคยไปไหนมาไหนกับผมบ่อยที่สุด นายดำเคยได้ลูกอมไปจากผม 1 เม็ด และก็นำพกติดตัวอยู่เสมอ ประสพอุบัติเหตุตั้งหลายครั้งก็ไม่เป็นไร? จนมีอยู่วันหนึ่ง นายดำได้ไปหาผมที่บ้าน บอกว่าพรรคพวกที่รู้จักกันเอาพระเครื่องไปทดลองยิงที่ข้างเขาหลวงเตี่ย เห็นพระเครื่องหลายองค์รวมทั้งเครื่องรางต่างๆ พังสนิททุกราย มีอยู่รายหนึ่ง ปรากฏว่ายิงไม่ถูก ยิงตั้งหลายนัดเหมือนพระในถุงจะเดินหนีได้ ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้น รู้สึกแปลกใจก็เลยขอเปิดถุงดู ในถุงนั้นมีเหรียญเสมาเล็ก, ตะกรุดโทนและลูกอมอยู่ 2 เม็ด และสาลิกาแกะด้วยไม้อีก 1 ตัว สืบถามเจ้าของจึงรู้ว่าเป็นของหลวงปู่ทิมพ่อได้มาเมื่อคราวไปทำบุญฝังลูกนิมิตที่วัดของท่าน นายดำจึงเกิดความสนใจ อยากจะพิสูจน์ของในคอของตนเอง ประกอบกับได้รับแรงเชียร์จากเพื่อนๆ ก็เลยปลดลูกอมออกจากคอตนเองทันที พร้อมทั้งอาราธนาบอกหลวงปู่ว่า ไม่ได้ลบหลู่ท่านเพียงแต่จะเห็นของจริง ผลปรากฏว่า ในระยะใกล้ๆ ไม่มีใครสามารถยิงลูกอมนั้นให้ถูกเลย เดี๋ยวนี้นายดำก็ยังห้อยติดคออยู่เสมอ ในระยะหลังนายดำไปได้เมียสวย ก็โดนคู่แข่งลอบยิงตั้งหลายครั้ง แต่ก็แคล้วคลาดมาเรื่อย มาระยะหลังนี้ ผมกับนายดำต่างมีธุรกิจส่วนตัว ก็เลยไม่ได้พบกันอีก คิดว่าเจอกันอีกเมื่อไหร่ จะขอถ่ายรูปมาให้ท่านผู้อ่านได้เห็นตัวจริงกันเสียที

    เมื่อก่อนนี้ หลังจากหลวงปู่ได้มรณภาพได้ไม่นาน ผมกับ คุณประชา ตรีพาสัย ยังเคยเดินเช่าซื้อลูกอมจากร้านทองทวีทรัพย์มาหลายลูก ตอนนั้นลูกอมราคาแพงกว่าพระผงพรายกุมารและเหรียญเจริญพรเสียอีก เช่น ถ้าลูกอมเม็ดละ 200 บาท พระผงพรายกุมารก็ราคาประมาณ 40-60 บาทเป็นอย่างสูง เพราะตอนนั้นใครมีลูกอมของหลวงปู่ทิมต่างหวงแหนมากพอๆ กับหวงลูกอมหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว แปดริ้วทีเดียว เพราะถ้าเทียบถึงอำนาจพุทธคุณก็ไม่แพ้กันเท่าไร? ลูกอมหลวงปู่ทิมเนื้อในจะมีลักษณะคล้ายพระชุดเนื้อผงของท่าน บางลูกจะมีลักษณะใหญ่เป็นพิเศษ และมีห่วงทำด้วยลวดฝังอยู่ภายในเพื่อไว้คล้องคอ หลวงปู่เคยบอกว่า ถ้าจะทำลูกอมไว้ใช้สักเม็ดหนึ่ง บางทียังทำยากยิ่งกว่าทำพระใช้เสียอีก ผมได้ยินยังรู้สึกงงๆ อยู่เหมือนกัน เพิ่งมากระจ่างเมื่อตอนที่หลวงปู่แก้วสอนเรื่องธาตุทั้งสี่ให้ผม

    หลวงปู่แก้ว บอกว่า การทำลูกอมที่คุณพ่อว่าทำยากยิ่งกว่าองค์พระนั้น เนื่องจากการทำพระเครื่องนั้น ไม่ยากเท่าไรเพราะเป็นรูปองค์พระอยู่แล้ว เพียงแต่ปลุกเสกให้ใส่อาการ 32 ลงไป และทำการปลุกเสกอีกครั้งหนึ่งก็ได้ผลแล้ว แต่การทำลูกอมนั้น เพราะลูกอมไม่ใช่พระเครื่องมีแต่ผงพุทธคุณล้วนๆ เวลาปลุกเสกจึงต้องตั้งนิมิตให้เห็นผงพุทธคุณนั้นสมมติเป็นองค์พระและใส่ธาตุทั้ง 4 คือดิน, น้ำ, ลม, ไฟ พร้อมทั้งหนุนด้วยแก้วมณีโชติเสร็จแล้วจึงนำมาเสกด้วยอาการ 32 อีกทีหนึ่ง หลังจากนั้นจึงนำมาปลุกเสกด้วยคาถามหาปลุกใหญ่ จนมั่นใจว่า ผงพุทธคุณนี้สามารถมีอำนาจอยู่ในตัวต่อต้านสิ่งชั่วร้ายได้ แล้วจึงลงบทพระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และก็กำกับด้วยพระพุทธคุณเป็นลำดับสุดท้ายจึงจะสมบูรณ์แบบ เมื่อท่านจะแจกใครท่านจะภาวนาบทพระพุทธคุณอีกครั้งหนึ่ง

    ผมเคยเรียนถามหลวงปู่ว่า หลวงปู่ท่องคาถาบทไหน ท่านบอกว่า นะโม ๓ จบ
    สัพพะพุทธานุภาเวนะ สัพพะธัมมานุภาเวนะ สัพพะสังฆานุภาเวนะ
    อานุภาเวนะ ๆ ๆ จงอยู่ใต้พุทธบารมี
    ท่านบอกว่าต้องทำให้ดี เพราะของที่เราให้เขาไปนี้เปรียบเสมือนสิ่งที่คอยคุ้มกันภัยให้แก่ผู้ที่นับถือนี่ ถ้าของนั้นไม่ดีจริงบาปนั้นจะตกอยู่ที่ตัวท่าน แต่ถ้าบุคคลนั้นมีของท่านหมดอายุขัยแล้ว ท่านก็ช่วยไม่ได้เช่นกัน และถ้านำของของท่านไปใช้ในทางทุจริต เป็นผู้ร้ายหรือบุคคลที่ไม่ดี ของของท่านก็ไม่สามารถคุ้มได้เช่นกัน ฉะนั้นถ้าท่านผู้อ่านได้พบลูกอมหลวงปู่ทิม ก็ให้เก็บรักษาไว้เถิดครับ บางที่ลูกอมเม็ดเล็กๆนี้ จะช่วยชีวิตท่านในยามคับขัน หรือท่านจะนำไปแจกให้ลูกหลานไว้ใช้ ก็จะเป็นมหากุศลเป็นอย่างยิ่ง

    ที่มาจาก วัตถุมงคลยอดนิยม หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ร่มโพธิ เล่มที่ 68 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2538
    โดย อาจารย์เพียรวิทย์ จารุสถิติ<!-- google_ad_section_end -->
     
  5. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,443
    ค่าพลัง:
    +1,851
    วิธีใช้วัตถุมงคลของหลวงปู่ให้เกิดผลตามที่ปรารถนาได้อย่างรวดเร็ว

    การที่มีวัตถุมงคลของหลวงปู่ทิมท่านติดตัวแล้ว วัตถุมงคลของท่านจะคุ้มครองหรือบันดาลให้เกิดผลตามที่ปรารถนาได้อย่างรวดเร็วตามต้องการหรือไม่นั้น ต้องประกอบด้วยเงื่อนไขที่หลวงปู่ทิมท่านมักสอนให้ประพฤติปฏิบัติตนเสมอด้วยหลักธรรม ดังนี้


    ต้องมีศรัทธาแน่วแน่ จริงจัง ไม่มีวิกิจฉา (ข้อสงสัย) หรือใจโลเล เหมือนหัวเต่าที่ผลุบเข้าผลุบออกอยู่เสมอ ความเชื่อมั่นอันนี้จะส่งผลให้เกิดพลังอันแก่กล้าเชื่อมต่อไปหาวัตถุมงคลของท่านได้อย่างรวดเร็ว
    ต้องมีศีลห้า เพราะศีลห้าเป็นเครื่องป้องกันภัยได้ดีที่สุด แม้จะประพฤติปฏิบัติได้ไม่ครบ ก็ขอให้ถือได้มากที่สุด เพราะเป็นการทำให้พลังจิตที่มอยู่ในวัตถุมงคลนั้นมีอำนาจพลานุภาพมากขึ้น
    ต้องมีสัจจะ เพราะหลวงปู่รักษาสัจจะยิ่งกว่าชีวิต แม้ช่วงท่านป่วยเข้าโรงพยาบาลท่านก็ยังฉันเจ ดังนั้นเมื่อมีพระของท่านก็ควรที่จะรักษาสัจจะ เพื่อที่จะได้เสริมพลังในวัตถุมงคลของท่าน
    ควรหมั่นทำทาน เพื่อเพิ่มทานบารมีเพราะการให้ทานและแบ่งปันให้กับผู้อื่นนั้น โดยเฉพาะกับผู้ที่กำลังเดือดร้อนจะทำให้เกิดบารมีในตัว
    มีคำพูดคำจาที่ไพเราะ มีสัมมาคารวะ ให้เป็นหลักแห่งความเมตตาเบื้องต้น
    ให้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเองและผู้อื่น ให้เป็นหลังแห่งอำนาจในตัวเอง
    ให้เป็นคนอ่อนน้อม ถ่อมตน และเสมอต้นเสมอปลาย พร้อมหลักเมตตาธรรม เพราะหลวงปู่บอกว่าเมื่อมีหลักเมตตาธรรมติดตัวแล้วผู้ที่มีพระเครื่องของท่านติดตัว ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีอาวุธมาตกต้องถึงตัว เพราะคนเรานั้นเมื่อเขามีเมตตาเสียแล้ว ย่อมไม่คิดทำร้ายใคร ส่วนอุบัติเหตุนั้นเป็นเรื่องของความไม่ประมาท แต่หากเกิดขึ้นด้วยความไม่ตั้งใจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว พระท่านก็จะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้

    ถ้าจะหวังผลทางโชคลาภ ร่ำรวย ก็ให้ประพฤติปฏิบัติดังนี้

    ๑. ต้องมีความขยันหมั่นเพียร
    ๒. เมื่อหาทรัพย์ได้ทรัพย์มาแล้ว ต้องรู้จักรักษาทรัพย์นั้นไว้ด้วยความประหยัด ตัดความฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ
    ๓. คบเพื่อนดี อย่าคบคนพาลเป็นเพื่อน เพราะคนพาลย่อมชอบนำทางเราไปในทางอบาย เสียหาย
    ๔. ใช้ชีวิตเหมาะสมตามฐานะของตนเอง อย่าฟุ้งเฟ้อ

    เมื่อทำได้ตามที่บอกแล้วนี้ พระท่านก็จะช่วยให้มีความอุดมสมบูรณืและศักดืสิทธิ์มากขึ้นเป็นทวีคูณ แต่หากว่าเราเห็นผลช้าก็อย่าไปคิดน้อยใจหรือท้อถอยว่าท่านไม่ช่วย ให้จงระลึกว่าคนเรามีกรรมเก่าต่างกันออกไป ซึ่งกรรมนั้นก็จะให้ผลดีมากน้อย ช้าเร็วต่างกันอย่าไปมองว่าคนอื่นที่ทำชั่วแล้วได้ผลดีเป็นอันขาด เพราะเป็นการผิดหลักกฎแห่งกรรม
    หลวงปู่สอนว่า ผู้ใดยึดถือพระเครื่องในแบบวัตถุนิยมที่ว่า แขวนพระแล้วไม่ต้องขวนขวายทำดีนักก็ได้ เพราะพระย่อมคุ้มครองอยู่แล้ว โดยธรรมของพระนั้นเป็นความเชื่อที่โง่และหลงผิด “พระไม่เคยช่วยคนเกียจคร้านและคนชั่วเลย เหตุแต่ว่าเขายังอยู่ได้เพราะกรรมกุศล กรรมเก่าของเขายังหล่อเลี้ยงอยู่ได้”
    นอกจากนั้นท่านยังได้บอกถึงเคล็ดลับในการอาราธนาพระเครื่องหรือวัตถุมงคลของท่านไว้ดังนี้ ซึ่งในตอนนี้จะบอกเกี่ยวกับคาถาอาราธนาที่เป็นของท่าน ซึ่งคณะผู้เขียนได้นำมาสอบทานกับบันทึกที่เป็นลายมือของโยมสาย แก้วสว่าง ที่เป็นศิษย์ใกล้ชิดของหลวงปู่แล้วพบว่ามีข้อความตรงกัน ดังนี้

    บูชาหลวงปู่ทิม นะโม 3 จบ

    อะระหังสัมมาสัมพุทโธ นะชาลีติ อะนัตตา อะกุสะลาธัมมา นะโมพุทธายะฯ

    อาราธนาพระเครื่อง ตะกรุด ลูกอม และวัตถุมงคลต่างๆ ของหลวงปู่ฯ ให้ว่า นะโม ๓ จบ แล้วว่า

    พุทธัง รัตนานัง อานุภาเวนะ กุเลมาโส โสมาเลกุ ลึงกะระนัง
    ธัมมัง รัตนานัง อานุภาเวนะ กุเลมาโส โสมาเลกุ ลึงกะระนัง
    สังฆัง รัตนานัง อานุภาเวนะ กุเล มาโส สมาเลกุ ลึงกะระนังฯ

    ซึ่งบทบูชาและอาราธนาดังกล่าวเป็นชองเก่าที่สืบทอดมาจากที่หลวงปู่ทิม ท่านมอบให้ลูกศิษย์ที่ท่านได้ประสิทธิ์ประสาทวัตถุมงคลจากมือท่านให้โดยตรง ซึ่งบทคาถาอาจต่างจากที่ท่านผู้อ่านอาจจะได้อ่านพบจากนิตยสารพระเครื่องอื่นๆ มามาก แต่ทางคณะผู้เขียนก็ยินดีนำมาเผยแพร่ เพื่อให้สามารถสื่อถึงพลานุภาพของวัตถุมงคลของหลวงปู่ทิม อิสริโก ได้สมบูรณ์แบบต่อไปในวันข้างหน้าสืบไป

    บทความนี้ผมคัดลอกบางส่วนมาจากหนังสือลานโพธื์ ฉบับที่ ๑o๗๘ (ขออนุญาติท่านเจ้าของหนังสือและผู้เขียนมาณที่นีด้วย)



    คาถาบูชาพระขุนแผนผงพรายกุมาร,พรายเดี่ยว,พรายคู่ ของหลวงปู่ทิม อิสริโก

    {ตั้งนะโม3จบ}


    พุทธัง อาราธะนานัง ธัมมัง อาราธะนานัง สังฆัง อาราธะนานัง
    นะเมตตาจะมะหาราชาเทวีราชะ บุตรตราบุตรตรี
    สะมะณะพราหมณ์ชี ทาสาทาสีกระสตรีทายะราชะอิถี
    นารีสัพพะ เอหิมุชิสัพพัง สัพพะโกธัง วินาสสันติ
    ปิโย เทวะมะนุสสานัง ปิโย พรหมานุตตะโม
    ปิโย นาคะสุปิบินสิยัง นะมามิหัง วิกะริงคะเร

    อิติสุคะโต อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ มะอะอุ ทุกขัง

    อนิจจัง อนัตตา พุทโธ พุทโธ 3 จบ

    หรือ

    "เวลานำติดตัวให้ว่า" นะโมฯ 3 จบ แล้วต่อด้วยคาถานี้

    @@ สัพพะพุทธานุภาเวนะ สัพพะธัมมานุภาเวนะ สัพพะสังฆานุภาเวนะ อานุภาเวนะ ๆ ๆ จงอยู่ใต้พุทธบารมี @@

    ว่าดังนี้แล้วนำติดตัวไปลูกอมจะมีอิทธิฤทธิ์แรงและเห็นผลเร็วครับ แต่จงเชื่อมั่นในองค์หลวงปู่ทิมและ ลูกอมประคำผงพราย-ประคำมหาภูติ ที่เรามีอยู่ อย่าลังเลสงสัย อย่าไขว้เขวแล้วจะบังเกิดผลอย่างแน่นอน ถ้าท่านอยากจะขอพรอะไรควรขอ "หลังเที่ยงคืน"
     
  6. เอ๋เชียงใหม่

    เอ๋เชียงใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +1,791
    ขอทราบราคาด้วยครับ
     
  7. popstar5

    popstar5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +112
    ดูให้ทีครับว่าเก๊ไหม เคยส่งตรวจสอบเวป์U แล้ว....
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  8. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,443
    ค่าพลัง:
    +1,851
    หลวงปู่ทิม อิสริโก
    ยอดพระเกจิอาจารย์เมืองระยอง

    หลวงปู่ทิม อิสริโก บรรลุคุณธรรมชั้นไหน ?
    ท่านผู้อ่านที่เคารพ หลวงปู่ทิมนั้น เราทราบกันดีว่าท่านโด่งดังในเรื่องพระเครื่อง
    และเครื่องรางของขลัง ดังเฉพาะในเรื่องช่วยบรรเทาความทุกข์ความเดือดร้อนแก่ผู้
    คนที่ไปหา ท่านจะสงเคราะห์ช่วยเหลือในด้านของกำลังใจ เช่นเป่าหัว รดน้ำมนต์ แต่
    ถ้าผู้ใดได้อยู่ใกล้ชิดกับท่านจริงๆ จะสังเกตได้ว่า หลวงปู่ทิมท่านไม่ใช่พระระดับเกจิ
    อาจารย์ที่เก่งในทางเสกเป่าเท่านั้น ท่านเป็นพระสงฆ์ที่ไม่ติด ไม่ยึด ไม่มีอารมณ์โกรธ
    หลงเหลืออยู่ในจิตใจท่านแล้ว ผมเคยเห็นคนเมา ๒ คน ทะเลาะตะโกนข้ามหัวท่านไป
    ท่านก็นั่งเฉยไม่ว่า ไม่กล่าว ไม่แสดงการโกรธ คำพูดของท่านที่นานๆ จะพูดหรือเอ่ย
    ปากออกมาแต่ละคำ ล้วนเป็นปรัชญาที่เกี่ยวกับเรื่องของชีวิตจิตใจและความหลุดพ้น
    เท่านั้น ท่านไม่เคยสอนให้ผู้คนหลงงมงายอยู่ในวัตถุหรือพระเครื่องรางของขลัง มีผู้
    คนที่ไปหาท่าน เพราะเขานับถือว่า ของๆ ท่านขลังและมีความศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ผมได้
    ยินมากับหูและเห็นมากับตาหลายครั้งหลายหน เมื่อผู้ที่แขวนพระเครื่องท่านแล้วหลุด
    พ้นจากอันตราย ก็ไปหาท่านและเล่าให้ท่านฟัง อย่างเช่น รายของ พ.ต.ท.นุกูล โสม
    ทัต อดีตผู้บังคับกองสถานีตำรวจอำเภอบ้านค่าย (ดวลปืนกับโจรปล้นรถบรรทุกข้าว
    สาร ด้วยปืน เอ็ม.๑๖ ผู้กองนุกูลและตำรวจยิงโจรตายหมดทั้งคันรถ โดยตัวเองและ
    ตำรวจที่ร่วมขบวนไม่เป็นอะไรเลย เมื่อแคล้วคลาดจากอันตราย ก็ไปกราบขอบคุณ
    ท่านว่า ขนาดโดน เอ็ม.๑๖ ยังไม่เข้าเลย ท่านหัวเราะ บอกไม่จริงหรอกก็นี่ (แทนสรร
    พนามตัวท่านว่า นี่) แล้วชี้มาที่ตัว เป็นคนปลุกเสกก็ยังต้องตาย เมื่อมันไม่ถึงคราว
    มันก็พอปัดเป่าผ่อนหนักเป็นเบาไปได้ รู้หรือเปล่าความตายมันใกล้เข้าทุกวันแล้ว ก็
    ระยะนั้นผมเองก็มัวแต่สนใจแต่เรื่องพระเครื่องของดีๆ จากท่านจึงได้มาน้อย เมื่อถาม
    ถึงพระคาถาที่จะใช้ปลุกเสก หรือใช้กำกับเวลาจะใช้พระเครื่องของท่านให้คาถาอะไร
    ทราบไหม? ครับ หลวงปู่ทิมท่านบอกให้ใช้คาถา มะ อะ อุ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
    พุทโธ พุทโธ
    นี่แหละครับพระคาถาที่หลวงปู่ทิม ที่ใครๆ เขาว่าท่านเป็นพระที่ดังแต่ทางพระ
    เครื่อง เวลาใครขอคาถาปลุกเสกพระเครื่องของท่าน ผมเองกว่าจะมาคิดได้ ก็สาย
    เสียแล้ว จึงได้อะไรดีๆ ที่เป็นธรรมจากท่านน้อยมาก ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ ๑๖ ตุ
    ลาคม พ.ศ.๒๕๑๘ รวมอายุได้ ๙๖ ปี กับ ๔ เดือนเต็มพอดี พรรษา ๗๓ ฟันยังไม่หัก
    แม้แต่ซี่เดียว ยังครบเต็มทั้ง ๓๒ ซี่ ที่มหัศจรรย์ทำความรวยและล่มจมให้กับเจ้ามือ
    หวยเถื่อนหลายรายในจังหวัดระยอง เพราะเลขท้าย ๒ ตัว งวดวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒
    ๕๑๘ ออก ๙๖ สำหรับพระสงฆ์ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ ในวันสำคัญๆ ของท่าน หวยมักจะ
    ออกตามเลข อันถือว่าเป็นมงคลของท่าน เพราะเทพผู้คุ้มครองด้านโชคลาภ จะบัน
    ดาลให้ออกตามเลขนั้นๆ เพื่อเป็นการคารวะเพราะถ้าพระสงฆ์ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์นั้น
    สามารถมองเลขที่จะออกล่วงหน้าได้ ถ้าท่านบอกไปแล้วก็เป็นการแสดงฤทธิ์เดช
    อันอยู่เหนือเรื่องโชคชะตา อันเป็นการทำความลำบากใจให้แก่เทพผู้ดูแลเรื่องโชค
    ลาภ ดังนั้นเมื่อหลวงพ่อหรือหลวงปู่ที่สามารถมองเห็นเลขหวยได้แต่ท่านไม่เคยเอ่ย
    ปากบอกใคร ถ้าท่านตายหรือทำบุญวันเกิด เทพที่ดูแลเรื่องโชคลาภก็จะแสดงคาร
    วะบันดาลให้หวยออกตามนี้ นี่เป็นความเห็นของผมนะครับท่านผู้อ่าน อย่าพึ่งเชื่อ
    เห็นไหมครับ แม้นแต่พระคาถาที่ท่านใช้กับพระเครื่องของท่าน ก็ยังสอนให้ปลง
    ให้ทุกคนมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยงแท้แน่นอน ให้ยึดพระรัตน
    ตรัย (คือ มะ อะ อุ) เป็นสรณะเป็นที่พึ่ง และพึงหาความหลุดพ้นด้วยวิปัสสนาที่ภาว
    นาด้วย พุทโธ พุทโธ เท่านั้น
    เมื่อเหรียญเจริญพร ของหลวงปู่ทิมออกใหม่ๆ ในเดือนเมษายน ๒๕๑๗ ตอนนั้น
    ยังไม่มีใครรู้จัก หลวงปู่ทิมมากนัก คุณไวยวัตร เวชาชีวะ น้องท่านฑูตนิสัย เวชาชีวะ
    (เอกอัครราชฑูตผู้มีชื่อเสียงในปีนั้น ๒๕๑๗) ซึ่งเป็นผู้ได้รับการศึกษาอย่างดีจากต่าง
    ประเทศ แต่เป็นผู้ชอบปฏิบัติทางจิต ได้นำเหรียญเจริญพรของหลวงปู่ทิม ไปให้อา
    จารย์ของท่านคือหลวงพ่อสำเนียง อยู่สถาพร พระโอรสของ กรมหลวงชุมพร เป็น
    พระเกจิอาจารย์ที่เชื่ิอกันว่า ท่านทรงอภิญญาแสดงฤทธิ์เดชได้ คุณไวยวัตร ขอให้ท่าน
    นั่งสมาธิ ตรวจดูพลังงานที่แฝงอยู่ในเหรียญ คุณไวยวัตร มาบอกกับผู้เขียนว่า อา
    จารย์ของท่านถึงกับสะดุ้งเมื่อตรวจเหรียญเจริญพร พร้อมกับอุทานออกมาว่า พระ
    สงฆ์ระดับนี้ยังมีอยู่ในโลกอีก? มีทั้งบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์เสมอด้วย หลวงพ่อวัดมะ
    ขามเฒ่า และคงด้วยเหตุนี้ คุณไวยวัตร เวชาชีวะ ได้ลงทุนจองพระกริ่งชินบัญชรเนื้อ
    ทองคำ ราคาองค์ละ ๘,๐๐๐.- บาท ในสมัยนั้นพร้อมกันถึง ๒ องค์ และพระกริ่งเนื้อ
    นวโลหะอีกเกือบ ๔๐ องค์ คุณผู้อ่านครับ ปัจจุบันพระกริ่งชินบัญชร ก้นทองแดง ซึ่ง
    มีมากถึง ๒,๕๙๕ องค์ ที่ผมเป็นผู้สร้างเช่าหากันในวงการพระเครื่องถึงองค์ละ ๗๐,
    ๐๐๐ - ๘๐,๐๐๐.- บาท นับเป็นพระกริ่งใหม่ๆ ในยุคนี้เพียงองค์เดียวที่มีราคาแพงที่
    สุด ปัจจุบันนี้แม้จะมีราคาแพงและต้องการจะซื้อก็หาพระกริ่งเกือบไม่ได้ สมกับที่
    หลวงปู่ทิม เคยพูดไว้ "อีกหน่อยพลิกแผ่นดินหาก็ไม่เจอ" หลวงปู่ทิมท่านเป็นพระ
    เคร่งสำรวมและสมถะ นั่งเฉยๆ ไม่พูดกับใคร ใครถามคำท่านก็ตอบคำ ท่านว่าเป็น
    พระสงฆ์ พูดมากไม่ดี ไม่ว่าผู้ว่าราชการจังหวัด อธิบดี นายอำเภอ รัฐมนตรี หรือ
    แม้แต่อธิการบดี มหาวิทยาลัยดังๆ และไม่ว่าคนใหญ่คนโตขนาดไหน หลวงปู่ทิม
    ท่านให้ความเท่าเทียมกันหมด ไม่ยินดียินร้ายให้การต้อนรับเท่าเทียมกันทั้งหมด
    ทุกคนต้องนั่งกับพื้นเบื้องหน้าท่าน เพราะท่านจะไม่ไต่ถามสนใจว่าใครจะเป็นอะไร
    ใหญ่โตแค่ไหน สำหรับตัวท่านเองนั่งบนเสื่อเก่าๆ ธรรมดาทั้งๆ ที่เคยมีใครต่อใคร
    เอาตั่งเอาอาสนะอย่างดีมาถวายท่าน ท่านรับแล้วก็นั่งให้ดู แล้วก็เก็บไว้ เสร็จแล้ว
    ก็ถวายพระองค์อื่นๆ ไป แต่เมื่อทุกคนเอ่ยปากขอให้ท่านช่วยทำอะไร ท่านจะทำให้
    ด้วยความเต็มใจเสมอกันหมด
    ผู้เขียนเคยเรียนถามท่านว่า พระอรหันต์มีไหม? พระโสดาบันมีไหม? ท่านบอก
    ไม่มี แต่เมื่อถามท่านว่า เมื่อท่านตายแล้วท่านจะมาเกิดอีกไหม? มาเกิดอีกกี่ชาติ?
    ท่านกลับตอบว่า ไม่มาเกิดอีกแล้ว ท่านบอกว่า ท่านจะถึงคราวตาย ๔ ครั้งแล้ว
    เมื่อขออธิฐานดูว่า บำเพ็ญบารมีพอหรือยัง ก็รู้ว่าบำเพ็ญบารมียังไม่พอ จะต้องมา
    เกิดอีก ท่านจึงขออยู่ต่อด้วยอานุภาพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อขอบำเพ็ญ
    บารมีให้พอที่จะไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก
    เมื่อถามว่า พระโสดาบันมีไหม? พระอรหันต์มีไหม? หลวงปู่ทิมท่านบอกว่าไม่มี
    ไม่มีแม้แต่พระอริยบุคคลชั้นๆต้น? คำว่าไม่มีของท่านนั้น ท่านคงหมายถึงไม่มีสถา
    บันใด ที่จะอ้างได้ว่าใครคนไหนเป็นพระอริยบุคคลได้อีกแล้ว เพราะใครก็ตามที่จะ
    พยากรณ์ว่าผู้ใดเป็นพระอริยบุคคลชั้นไหนระดับไหน ตัวเองอย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็น
    พระอริยบุคคลชั้นนั้นไปด้วย และก็ใครล่ะครับ? ที่กล้าแสดงออกมาว่าตัวเองเป็นพระ
    อรหันต์ หริอพระอริยบุคคล จึงจะมีคุณสมบัติพอที่จะประกาศได้ว่าใครเป็นพระอรหันต์
    หรือพระอริยบุคคล เพราะสถาบันที่จะประกาศไม่มีแล้ว หลวงปู่ทิมท่านจึงบอกว่าไม่มี
    เพราะคุณธรรมเหล่านี้ เป็นปัจจตัง เป็นเรื่องรู้เฉพาะตัว ท่านไม่โอ้อวดกัน จะมีก็แต่
    เพียงพวกเราลูกศิษย์ลูกหาที่คาดเดาไปเองโดยอาศัยตำรามาอ้างเท่านั้น
    หลวงปู่ทิมท่านบอกว่า เมื่อท่านตายแล้ว ท่านจะไม่มาเกิดอีก ตามพระวิสุทธิมรรค
    บุคคลผู้ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก จะมีก็แต่พระอริยบุคคล ชั้นพระอนาคามีและ
    พระอรหันต์ ผู้ดับสนิทแล้วในเรื่องกิเลสทั้งปวง ๒ ประเภทเท่านั้น ผมจึงอิงตำราสันนิษ
    ฐานไว้ก่อนว่า อย่างต่ำที่สุด หลวงปู่ทิมท่านคงเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระอนาคามี
    เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งพนักงานกองสลากกินแบ่งรัฐบาลมากราบนมัสการท่านหลายคน
    มีคนถามหลวงปู่ทิมขึ้นว่า หลวงปู่ค่ะอายุเท่าไหร่แล้ว? และมีศิษย์คนหนึ่งอดีตครู ร.ร.
    วัดไร่ เป็นคนเมาเรียกว่าพิษสุราเรื้อรัง พูดทะลุกลางบ้องขึ้นว่า อายุ ๖๙ (กลับกันกับ
    ๙๖ ซึ่งเป็นอายุจริง) ท่านบอก เออดี ๖๙ หนุ่มดี (ต่อมาล็อตเตอรี่ออก ๖๙ ในงวดนั้น
    พอดี) นายเพียรวิทย์ จารุสถิติ ลูกศิษย์อีกคนก็เย้าท่านว่า อายุ ๖๙ หนุ่มดีก็สึกไปมีลูก
    มีเมียได้นี่ ท่านบอกว่ามีไม่ได้แล้วเชื้อมันหมดแล่ว คำพูดของท่านคำนี้ไปตรงกับท่าน
    เจ้าคุณนรรัตน์ ราชมานิต เคยพูดไว้จนเป็นที่ร่ำลือกันขนานใหญ่ในยุคนั้นว่า พระอริย
    บุคคลชั้นพระอนาคามีขึ้นไป หมดเชื้อแล้ว เพราะน้ำอะสุกะเหือดแห้งหมดแล้ว และ
    หลวงปู่ทิมเองก็บอกว่าเชื้อมันหมดแล้ว ผมจึงพูดได้อย่างเต็มที่ว่า อย่างน้อยหลวงปู่
    ทิมท่านต้องเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระอนาคามีขึ้นไป เพราะผมเคยเรียนถามท่านว่า
    เมื่อหลวงปู่ตายแล้ว จะมาช่วยลูกศิษย์อีกได้ไหมเมื่อมีทุกข์ร้อน ท่านบอกว่าได้ เพียง
    แต่เอ่ยชื่อนึกถึง ก็พอจะช่วยได้ นี่ก็เป็นข้อยืนยันอีกประเด็นหนึ่งเพราะ หลวงปู่สิม
    พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เคยพูดกับผมว่า หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่
    ตื้อ ท่านอาจารย์ลี หลวงพ่อจวน ยังอยู่พรหมชั้นสุทธาวาท (พรหมของพระอริยบุคคล
    ชั้นพระอนาคามี) เพราะยังห่วงใยลูกศิษย์ลูกหาอยู่ ความห่วงใยรักใคร่ ก็ยังเป็นกิเลส
    อยู่ แต่เป็นกิเลสอันเบาบางเหลือเกินแล้ว เมื่อหมดลูกศิษย์ชุดนี้แล้วท่านก็คงจะหลุด
    พ้นได้โดยไม่ต้องมาเวียนว่ายตายอีก ระยะเวลาก็คงประมาณชั่วอายุคน หลวงปู่สิม
    ท่านพูดว่า เวลาชั่วหนึ่งอายุคนนั้นเป็นเวลาของเบื้องบนมันก็นิดเดียว
    ท่านผู้อ่านที่เคารพ พระอริยสงฆ์นั้นท่านบรรลุคุณธรรมชั้นไหน ท่านก็จะเอาคุณ
    ธรรมชั้นนั้นสั่งสอนศิษย์อย่าง หลวงปู่มั่น หลวงพ่อฝั้น อาจารโร หลวงปู่ขาว อนาลโย
    หลวงปู่ดุลย์ อตุโล หลวงพ่อชา หรือหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ตลอดจนหลวงพ่อสิม พุท
    ธาจาโร พระอริยสงฆ์เหล่านี้เมื่อท่านได้ฟังหรือพิจารณาคำสอนของท่านจะเห็นว่าท่าน
    จะสอนถึงเรื่องจิต เรื่องใจ ให้ลดให้ละเว้นให้ปล่อยวาง เพื่อให้ถึงทางหลุดพ้น ส่วน
    หลวงปู่ทิมนั้นท่านเป็นพระที่ผู้คนส่วนใหญ่เห็นท่านเป็นพระประเภทเกจิอาจารย์ ดัง
    นั้น เราจึงไม่ได้ยินได้ฟังคำสอนที่มุ่งถึงการหลุดพ้นของท่านมากนัก เพราะผู้ไปหา
    ท่านส่วนใหญ่ มุ่งแต่วัตถุ อันเป็นแต่เพียงรูปธรรมเป็นส่วนใหญ่ ส่วนผู้จะมุ่งแสวงหา
    นามธรรม อันเป็นเรื่องของชีวิตจิตใจนั้นมีน้อยเหลือเกิน แต่ถึงกระนั้นหลวงปู่ทิมท่าน
    ก็ยังพยายามฝากของดีแฝงซ่อนไว้แก่บรรดาผู้แสวงหาแต่ รูปธรรม หรือวัตถุ ก็คือ
    พระคาถาที่ท่านมอบให้เวลาจะใช้พระเครื่องของท่านคือ
    มะ อะ อุ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา พุทโธ พุทโธ คือสอนให้พิจารณาถึงความไม่
    เที่ยงแท้แน่นอนของสังขาร ร่างกายอันเป็นกฎไตรลักษณ์ คือ เกิด แก่ เจ็บตาย นั้น
    เป็นของไม่เที่ยง และให้ยึดเอาพระรัตนตรัยแก้ว ๓ ประการเป็นที่พึ่ง คำสอนของ
    หลวงปู่ทิมซึ่งเป็นคำสอนที่มุ่งให้ไปสู่ทางหลุดพ้น เท่าที่ผมสืบเสาะมาก็มีแต่หลวงปู่
    แก้ว เท่านั้นที่ยืนยันว่า หลวงปู่ทิมแนะนำให้พิจารณาธาตุเพื่อให้ถึงหนทางหลุดพ้น
    การที่ท่านแนะนำเรื่องธาตุกัมมัฏฐานนั้น เพราะท่านทราบดีว่าหลวงปู่แก้ว ท่านสำ
    เร็จธาตุ ส่วนหลักฐานอีกรายหนึ่งที่ผมเคยอ่านก็เป็นบันทึกของผู้ใช้นามปากกาว่า
    "อนัตตา" ซึ่งเคยไปคุยกับหลวงปู่ทิมถึง ธรรมชั้นสูง ผู้เขียนท่านนี้ยอมรับว่าหลวง
    ปู่ทิมท่านมีหลักธรรมที่ลึกซึ้งและสูงมาก ไต่ถามปัญหาธรรมะอะไรๆ ท่านตอบและ
    อธิบายให้เข้าใจได้หมด
    หลวงปู่ทิม และหลวงปู่แก้วนั้น ท่านมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งมาก อายุหลวงปู่ทิม
    แก่กว่าหลวงปู่แก้วเพียง ๒ ปีเท่านั้น ที่จริงแล้วก่อนบวชนั้นท่านเป็นเพื่อนกัน เพราะ
    หลวงปู่แก้ว แม้จะเป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ด แต่ท่านก็มาโตที่จังหวัดระยอง แม้นจะเป็น
    เพื่อนกันแต่เมื่อหลวงปู่แก้วบวชแล้ว ท่านเรียกหลวงปู่ทิมว่า คุณพ่อทุกคำ คงเป็น
    คำพูดที่ยกย่องและเทิดทูนนั่นเอง เพราะหลวงปู่แก้วท่านย่อมทราบดีว่า หลวงปู่ทิม
    นั้นท่านบรรลุถึงขั้นไหน ไม่เช่นนั้นท่านจะเรียกหลวงปู่ทิมว่าคุณพ่อทุกคำทำไม ลุง
    เช้า คำมี ลูกชายคนโตของหลวงปู่แก้ว เล่าให้ผมฟังว่า "ที่ฉันโตมาจนอายุเข้า ๗๐
    ปีแล้วนี่ก็เพราะท่านพ่อ (หมายถึงหลวงปู่ทิม) เลี้ยงฉันมาตั้งแต่อายุ ๕ ขวบ พ่อแก้ว
    (หมายถึงหลวงปู่แก้ว) อุ้มฉันมาฝากหลวงปู่ทิมเลี้ยงไว้ที่ วัดละหารไร่ ตั้งแต่ฉันอายุ
    ไม่เต็ม ๕ ขวบ ท่านพ่อเลี้ยงฉันมาจนโตเป็นหนุ่ม" ลุงเช้า คำมี เล่าให้ฟังเมื่อท่านอา
    ยุ ๔-๕ ขวบ หลวงปู่แก้วได้เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนเข้ามอบตัวท่าน ก็
    อุ้มลูกชายคือ ลุงเช้า มาฝากให้หลวงปู่ทิมเลี้ยงจนเติบใหญ่และครอบครูรับเป็นศิษย์
    ถ่ายทอดวิชาแพทย์แผนโบราณให้ นายเช้า คำมี อย่างไม่ปิดบัง จนนายเช้า เป็น
    แพทย์แผนโบราณที่มีชื่อเสียงและรักษาโรคแก่ชาวบ้านย่านนั้นจนมีชื่อเสียง ทางการ
    ได้แต่งตั้งเป็นแพทย์ประจำตำบล คนย่านนั้นเรียกว่า หมอเช้า เมื่อหมอเช้ามีลูก ก็
    นำลูกชายมารับใช้ปรนนิบัติหลวงปู่ทิม และลูกชายทั้ง ๒ คนของหมอเช้า คำมี
    หลวงปู่ทิม ก็ครอบครูรับเป็นศิษย์ทั้ง ๒ คน คือ นายพริ้ง คำมี และพระเย็น คำมี
    นายพริ้งนั้นได้บวชพระอยู่ที่วัดละหารไร่หลายปี ได้ช่วยงานหลวงปู่ทิมอยู่ที่วัดและ
    ได้สึกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ตอนต้นปี ก่อนจะสึกหลวงปู่ทิมได้ลงสาริกาลิ้นทองให้ที่ฟัน
    นับเป็นลูกศิษย์ครอบครูเพียงคนเดียวที่หลวงปู่ทิมลงสาริกาให้ที่ไรฟัน เวลาพระพริ้ง
    สึกและวันที่ลงสาริกานั้น ผมอยู่ที่วัดด้วย หลวงปู่ทิมท่านเตรียมเหล็กจารไว้ในมือ
    และเรียกนายพริ้งมานั่งเบื้องหน้า พอท่านได้ยินเสียงนกร้อง ท่านก็ลงให้ใช้เวลาประ
    เดี๋ยวเดียว ผมเองก็คลานเข้าหาเป็นคนต่อไป เพื่อให้ท่านลงให้บ้าง แต่ท่านไม่ลง
    ท่านบอกไม่ต้อง ท่านพูดว่าที่ลงให้ทิดพริ้งเพราะมันรูปชั่วตัวดำ ถ้าไม่ลงสาริกาให้
    มัน เดี๋ยวมันจะหาเมียไม่ได้ จึงยืนยันได้ว่าพระพริ้งเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวที่หลวง
    ปู่ทิม ลงสาริกาให้ คนอื่นท่านว่าใช้แต่ตะกรุดสาริกาก็พอแล้ว ท่านผู้อ่านเชื่อไหม
    ครับ เมื่องานฌาปนกิจศพหลวงปู่แก้ว เมื่อปี ๒๕๒๘ ผมพบทิดพริ้ง ก็คุยถึงเรื่อง
    ครอบครัวมีลูกกี่คนแล้ว ทิดพริ้งบอกว่ามีลูก ๔ คนแล้ว ผมเเลยบอกว่าทำไมถึง
    ปล่อยให้มีมากถึง ๔ คน ทิดพริ้งบอกไม่มากหรอก เมียคนหนึ่งลูกก็คนหนึ่ง เมีย
    คนที่ ๕ พึ่งได้มาจะมีลูกอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ นี่แหละครับอานุภาพสาริกาที่หลวงปู่ทิม
    ลงให้พระพริ้ง คำมี ในการพบกันครั้งนี้ พระพริ้งมีเรื่องแปลกเกี่ยวกับหลวงปู่ทิมคุย
    ให้ผมฟัง ทิดพริ้งเล่าว่า เมื่อคราวหลวงปู่ทิมป่วยหนักอยู่โรงพยาบาลระยอง ไม่รู้ว่า
    ผีหรือเทวดา มาช่วยพยุงหลวงปู่ทิมเข้าห้องน้ำ มันเหมือนฝัน ตอนนั้นฉันยังบวช
    เป็นพระอยู่ พระเย็นก็อยู่ด้วยยังเป็นเณร พยาบาลอีกคนก็เห็นด้วย ทิดพริ้ง คำมี
    ศิษย์ผู้ใกล้ชิดหลวงปู่ทิมอีกคนเล่าให้ผมฟัง

    ชินพร สุขสถิตย์
    เขียนไว้ช่วงเดือน มิถุนายน ๒๕๔๖


    ขอบพระคุณมากครับ พลังชาตรี 13
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2013
  9. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,443
    ค่าพลัง:
    +1,851
    ทราบได้อย่างไรว่าหลวงปู่ทิม อิสริโก ท่านเป็นพระอริยบุคคล

    ตอบ ผมได้ค้นคว้ามาจากข้อมูลหลายๆด้าน รวมทั้งประสบการณ์ของตัวเอง ทำให้ผมเชื่อแน่ว่า หลวงปู่ทิม อิสริโก ท่าน
    ต้องไม่ใช่พระธรรมดา ขอยกตัวอย่างเช่น
    ๑. จากประวัติเกียรติคุณและพระเครื่องหลวงปู่ทิม อิสริโก พิมพ์ครั้งที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๖ หน้าที่ ๒๙๕ - ๓๐๔ และในหนัง
    สือนะโม ฉบับที่ ๑๐๒ สรุปความได้ว่า
    "มีผู้ถามหลวงปู่ทิมว่า เมื่อท่านตายแล้วจะมาเกิดอีกไหม ? ถ้าจะมาเกิด จะมาเกิดอีกกี่ชาติ หลวงปู่ทิม ท่านตอบเอาไว้
    ชัดเจนเลยว่า เมื่อท่านตายแล้วจะไม่มาเกิดอีก ตามตำราพระวิสุทธิมรรค บุคคลผู้ซึ่งไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก จะมีก็แต่
    พระอริยบุคคลชั้นพระอนาคามี และพระอรหันต์เท่านั้น เคยมีลูกศิษย์บางคนเย้าท่านว่า ท่านอายุ ๙๖ ปีก็หนุ่มดี สามารถสึก
    ไปมีลูกเมียได้ (ปกติท่านอายุ ๙๖ ปี) ท่านกลับตอบว่า มีไม่ได้แล้ว เชื้อมันแห้งหมดแล้ว คำพูดของท่านคำนี้ ไปตรงกับที่
    พระคุณเจ้า ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ราชมานิต เคยพูดเอาไว้จนเป็นที่ร่ำลือกันในยุคนั้นว่า พระอริยบุคคลชั้นพระอานาคามีขึ้นไป
    น้ำอะสุกะเหือดแห้งหมดแล้ว เพราะว่า พระอานาคามีนั้นท่านละกามราคะได้อย่างเด็ดขาด"
    ๒. จากหนังสือนะโม ฉบับที่ ๑๐๒ ความว่า "คุณไวยวัตร เวชาชีวะ น้องท่านฑูต นิสัย เวชาชีวะ ได้รับการศึกษาอย่างดี
    จากต่างประเทศ แต่เป็นผู้ที่ชอบปฏิบัติทางจิต เคยได้นำเอาเหรียญเจริญพร ของหลวงปู่ทิม ไปให้อาจารย์ของท่านนั่งตรวจ
    สอบดูพลังงานที่แฝงอยู่ในเหรียญ อาจารย์ของท่านถึงกับสะดุ้ง จนถึงกับอุทานออกมาว่า "พระสงฆ์ระดับนี้ยังมีอยู่ในโลกนี้
    อีกหรือ ?"
    ๓. จากหนังสือนะโม ฉบับที่ ๑๐๓ ความว่า "ก่อนที่หลวงปู่ทิม อิสริโก จะมรณภาพไม่กี่เดือน ท่านได้ให้ผม (คือคุณชินพร)
    ไปทำเสื้อยันต์พระพุทธเจ้าเข้านิโรธสมาบัต เพื่อไปแจกทหารและตำรวจชายแดน แต่เป็นที่น่าเสียดาย หลวงปู่ทิมได้มรณภาพ
    เสียก่อน การปลุกเสก หลวงปู่ทิมท่านบอกว่า พระยันต์นี้ต้องตั้งธาตุเรียกอักขระให้มาบังเกิดตามตำราเสียก่อน จากนั้นนั่งนิ่ง
    ๆ ปลุกเสกโดยไม่ต้องหายใจ ไม่ต้องลุกไปไหนมาไหนอีก ๓ วัน ๓ คืน ตั้งนิมิตจนบังเกิดภัยอันตรายต่างๆ ทั้งจากธรรมชาติ
    มนุษย์ ยักษ์มารและเทวดามาทำลายก็เป็นอันแคล้วคลาดไปจนหมดสิ้น เสื้อแห่งพระยันต์นี้จะเสร็จสมบูรณ์ การอธิษฐานจิต
    โดยไม่หายใจ ๓ วัน ๓ คืน น่าจะเป็นการเข้านิโรธสมาบัติมากกว่า พระที่จะเข้านิโรธสมาบัติได้จะมีก็แต่พระอริยบุคคลในระ
    ดับสูงเท่านั้น
    ๔. จากหนังสือนะโม ฉบับที่ ๙๙ ความว่า "หลวงปู่ทิมเคยมาอธิษฐานจิตวัตถุมงคล ที่วัดของหลวงพ่อคร่ำ อ.แกลง จ.ระ
    ยอง ในขณะอธิษฐานจิตอยู่นั้น ร่างกายของท่านไม่ไหวติงเลย ราวกับคนไม่มีชีวิต จนเกิดการพิสูจน์กันว่า ท่านหายใจหรือ
    เปล่า โดชใช้สำลีไปจ่อที่จมูกของท่าน ปรากฎว่าสำลีไม่เคลื่อนไหวเลย แสดงว่า ท่านปลุกเสกแบบถอดจิต ซึ่งเป็นวิชาอธิษ
    ฐานจิตชั้นสูงมาก" จากข้อความนี้ผมเชื่อว่า หลวงปู่ทิม อิสริโก ท่านน่าจะเข้านิโรธสมาบัติปลุกเสกมากกว่า
    ๕. จากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของจังหวัดระยองชื่อ พลังชน เคยพาดข่าวหน้า ๑ ว่า "เกิดมหัศจรรย์ในวันพระราชทานเพลิง
    ศพของ หลวงปู่ทิม อิสริโก ศพไม่เน่าเปื่อย แววตายังสดใส เส้นผมและเล็บยาวขึ้นกว่าเดิม ฝนที่กำลังตกปรอยๆ ก็หยุด ปรา
    กฎลำแสงจากดวงอาทิตย์เป็นรัศมีทรงกลด ศพเผาไม่ไหม้" พนักงานเผาต้องอธิษฐานบอกร่วมกับสานุศิษย์ จากการที่ผมได้
    ค้นคว้าในตำราทางพระพุทธศาสนา เคยอ่านพบว่า พระอริยบุคคลในระดับสูงเมื่อท่านตาย แล้วสามารถอธิษฐานทิ้งร่างได้
    คือ ให้ เน่า หรือไม่ให้เน่า ก็ได้
    ๖. ผมดูจากเส้นเกศาของท่าน ที่บรรจุอยู่ในรูปหล่อเล็ก รุ่น ๑๐๘ ปี เส้นเกศาของท่านกลับใสเหมือนแก้ว ไม่เหมือนกับ
    เส้นผมของคนแก่ ที่หงอกขาวตามธรรมชาติ แสดงว่าเส้นเกศาของท่านได้แปรเปลี่ยนเป็นพระธาตุอย่างแน่นอน นี่จึงเป็นการ
    ยืนยันโดยทางวัตถุอย่างชัดเจนว่า หลวงปู่ทิม อิสริโก ท่านต้องไม่ใช่พระธรรมดา
    ๗. นี่เป็นประสบการณ์ของผมเอง ผมเคยเอาวัตถุมงคลของหลวงปู่ทิม อิสริโก ให้พระธุดงค์ที่มาร่วมเข้าปริวาสกรรม ที่
    วัดเนินพระบาทภูกระแต จ.นครพนม ราวปลายเดือน ธันวาคม ๒๕๒๙ ต่อถึงต้นปี ๒๕๓๐ ท่านได้ปลุกเสกเพิ่มเติม เมื่อผมไป
    ขอรับวัตถุมงคลกลับคืน ได้เอ่ยปากถามท่านว่า ท่านปลุกเสกให้ดีทางไหน ท่านนิ่งไปนาน ก่อนที่จะตอบว่า "กึ่งพระศาสนา
    ล่วงมาจนถึงบัดนี้ ยังปรากฎพระอริยะ เหลือเป็นเนื้อนาบุญของโลกนี้อีก" อาตมามิได้ปลุกเสก เพราะพระนี้ดีอยู่แล้ว ผมถาม
    ท่านว่าดีอย่างไร ? ท่านตอบช้าๆ ว่า พระของโยมนี้ ปรากฎจิตของพระอริยบุคคลระดับสูงปรากฎอยู่ ใครที่มีวัตถุมงคลของ
    ท่าน ก็เหมือนกับมีท่านอยู่คอยดูแลรักษา ขอให้โยมหมั่นประกอบแต่กรรมดี อาศัยกรรมดีนี้ เป็นสะพานติดต่อถึงท่าน เมื่อ
    เดือดร้อนอย่างไร ? ให้ตั้งจิตบอกกล่าว ขอบารมีจากท่าน สงเคราะห์ได้
    วันนั้นผมได้ลองเรียนถามท่านอีกว่า เมื่อหลวงพ่อรู้ว่า หลวงปู่ทิม ท่านเป็นพระอริยะ หลวงพ่อก็ต้องเป็นพระอริยะด้วย
    เพราะพระอริยะเท่านั้น ย่อมเห็นในความเป็นพระอริยะด้วยด้วยกัน ท่านกลับตอบให้ไปคิดเอาเองว่า "ผู้ที่มีภูมิจิตละเอียดกว่า
    ถ้าต้องการให้ผู้ที่มีภูมิจิตต่ำกว่าพบเห็นย่อมเป็นไปได้"
    จากข้อมูลทั้งหมดที่ผมได้ศึกษามายังมีอีกมาก แต่ผมขอสรุปเพียงเท่านี้ว่า นี่คือเหตุผลที่ทำให้ผมเชื่อว่า ท่านเป็นพระอริย
    บุคคล ผมจึงกล้าเขียนลงไปในจดหมาย ๒ ฉบับ ที่มาถึงคุณชินพร หลายท่านที่โทรมาถึงผม ผมขอตอบเพียงเท่านี้ ท่านจะเชื่อ
    ว่า หลวงปู่ทิม อิสริโก ท่านเป็นพระอริยะหรือไม่ก็ตาม มันไม่สำคัญ ความสำคัญมันอยู่ที่ว่า ท่านมีความเคารพหลวงปู่ทิม ทด
    ลองปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงปู่ทิมดูบ้าง ให้หมั่นสร้างสมแต่ความดี และผลแห่งความดี ย่อมมีปรากฎแก่ทุกท่าน
    ผมทราบได้อย่างไร ? ว่าวัตถุมงคลของหลวงปู่ทิม มีพุทธานุภาพในระดับสุดยอด ตอบ ผมมีเหตุผลดังนี้คือ
    ๑. ผมเทียบเคียงกับคำโบราณที่กล่าวว่า พระเครื่องที่มีพุทธานุภาพในระดับสุดยอดเท่านั้น สามารถอธิษฐานฟาดสายรุ้ง
    กินน้ำ ที่จับอยู่บนท้องฟ้า ให้ขาดออกจากกันได้ เมื่อพระเครื่องของหลวงปู่ทิม ท่านทำได้จริง ย่อมแสดงว่าคำกล่าวขานแต่โบ
    ราณ ไม่ใช่เรื่องเท็จ ดังนั้นพระเครื่องของหลวงปู่ทิม อิสริโก ต้องมีพุทธานุภาพในระดับสุดยอดเช่นเดียวกัน ผมเริ่มสะสมพระ
    เครื่องมาตั้งแต่ ปี ๒๕๑๘ ได้เคยทดลอง ทดสอบ มาเป็นหลายๆ พันองค์ เป็นเวลากว่า ๑๖ ปี จึงค้นพบว่า คำโบราณที่พูดไว้
    นั้นเป็นความจริง นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่าพระเครื่องที่สามารถตัดรุ้งให้ขาดออกจากกันได้มีจำนวนน้อย หลายๆ พันองค์ อาจจะ
    มีสักองค์ หรือไม่มีเลยก็ได้
    ๒. จากหนังสือนะโม ฉบับที่ ๑๒๕ สรุปได้ความว่า "คุณสุธน พิมพ์ประชา ข้าราชการชั้นเอก ระดับซี ๖ กองช่างกรมพัฒนา
    ที่ดิน และคณะได้ร่วมกันเดินทางไปทอดผ้าป่ากับ หลวงพ่อผาง จิตคุตโต วัดอุดมคงคาคีรีเขต เมื่อทำบุญเสร็จ คุณสุธนพร้อม
    ด้วยคณะ ได้ถอดพระเครื่องที่สวมมา ออกรวมกันใส่ถาด เพื่อให้หลวงพ่อผาง ได้ปลุกเสกเพิ่มเติม คณะของคุณสุธน ได้เล่าให้
    ฟังเป็นเสียงเดียวกันว่า ก่อนที่หลวงพ่อผางจะหยิบถาดใส่พระขึ้นบริกรรมปลุกเสก ท่านได้หยิบสร้อยคอเส้นหนึ่ง ซึ่งมีพระกริ่ง
    ชินบัญชร ร้อยอยู่องค์เดียว ออกมาวางข้างนอกถาด ทำให้คุณสุธน และคนอื่นๆ สงสัยกันมาก เมื่อหลวงพ่อผางปลุกเสกพระ
    ในถาดเสร็จแล้ว คุณสุธนได้เรียนถามหลวงพ่อผางว่า "ทำไมหลวงพ่อไม่ปลุกเสกให้ด้วยเล่าครับ" หลวงพ่อผางตอบให้ได้ยิน
    ทั่วกันว่า "ของเขาทำเอาไว้สุดยอดแล้ว"
    ๓. เคยมีผู้เอาพระกริ่งชินบัญชร ไปให้หลวงพ่อสำเนียง อยู่สถาพร ท่านตรวจสอบดูพระพุทธคุณ หลวงพ่อสำเนียงถึงกับ
    เอ่ยปากว่า "พระที่ทำพระ (คงหมายถึงพระกริ่ง) ได้ขนาดนี้ ยังมีอยู่ในโลกอีกหรือ" จากหนังสือนะโม ฉบับที่ ๑๒๕
    ๔. จากประสบการณ์ของผมเองที่ได้เล่าไปแล้วคือ มีพระธุดงค์ที่มาร่วมเข้าปริวาสกรรม ที่วัดเวินพระบาทภูกระแต จ.นคร
    พนม บอกกล่าวให้ผมได้รับรู้ นอกจากนี้ก็ยังมีข้อมูลอีก แต่ขอสรุปเพียงเท่านี้ ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม มันไม่สำคัญ ความสำ
    คัญมันอยู่ที่ว่า
    วัตถุมงคลของหลวงปู่ทิม อิสริโก เป็นของที่มีราคา และเป็นที่แสวงหาได้ยากขึ้นทุกวัน ทั้งๆ ที่เรื่องของหลวงปู่ทิม ถูกลืม
    ไปจากวงการพระเครื่องนานร่วม ๑๐ ปี (คือภายหลังท่านมรณภาพ)
    ถึงแม้ท่านจะมีพระกริ่งชินบัญชร แขวนห้อยคอบูชาติดตัว ก็ไม่ได้หมายความว่า จะฝืนความตายได้ เพราะหลวงปู่ทิมเคย
    พูดเอาไว้ชัดเจนว่า "ตัวคนปลุกเสกเองยังต้องตาย และคนเอาไปใช้จะไม่ตายได้อย่างไร ? เมื่อถึงเวลาตาย ถึงที่ตาย ใครๆ
    ก็หนีไม่พ้น"
    นอกจากนี้ก็มีบางท่าน ที่โทรทางไกลมาถามแปลกๆ คือ ถามว่า "พระกริ่งชินบัญชรเป็นพระชั้นสุดยอดของหลวงปู่ทิม อิส
    ริโก ผมมีแล้ว ถ้าอย่างนั้นแสดงว่า ผมมีพระชั้นสุดยอดของระดับสุดยอดอีกทีใช่หรือไม่ และน่าจะยังมีพระชั้นสุดยอดที่ดีกว่า
    พระกริ่งชินบัญชรอีกหรือเปล่า"
    ผมขอตอบว่า จากข้อมูลที่ผมได้ค้นคว้ามา และจากประสบการณ์ของผมเอง ผมเชื่ออย่างสนิทใจว่า พระเครื่องของหลวงปู่
    ทิมทุกอย่างจะมีจิตของหลวงปู่ทิมปรากฎอยู่ ซึ่งเป็นเคล็ดลับในการสร้างพระเครื่องที่ไม่เหมือนใคร ผมเข้าใจอย่างนี้ โดยผมดู
    จากการที่ หลวงปู่แก้ว เกสาโร ท่านบอกถึงเคล็ดลับวิธีการปลุกเสกพระกริ่งของท่านคือ ท่านปลุกเสกตั้งหลายอย่าง แต่ที่มา
    สัมผัสใจของผมคือ ท่านบอกว่าสุดท้าย ท่านได้เข้าสทาคามีผลเสก ภายหลังคณะผู้สร้างได้นำเอาพระกริ่งของท่านไปให้ หลวง
    พ่อเริ่ม ปรโม วัดจุกกะเฌอ เพื่อทำการปลุกเพิ่มเติม เมื่อหลวงพ่อเริ่ม เพ่งมองไปที่หีบพระกริ่งชั่วครู่ ก็เอ่ยขึ้นว่า "หลวงปู่แก้ว
    เขาทำเอาไว้สุดยอดแล้ว"
    ผมสะสมพระเครื่องมานานกว่า ๑๖ ปี พระที่ผมรักและอยากได้มากที่สุด ก็คือพระกริ่งชินบัญชร แต่อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ พระ
    กริ่งชินบัญชรมีราคาแพง และหาของแท้ได้ยาก (ต้องตาถึง และมือถึง รวมทั้งต้องมีเงินถึงอีกต่างหาก จึงพอมีโอกาสเป็นเจ้า
    ของได้) ผมเองอาชีพรับราชการ เงินไม่ถึงที่จะเช่าพระกริ่งชินบัญชรได้หรอกครับ เมื่อมูลนิธิหลวงปู่ทิมฯ ได้สร้างพระกริ่ง ๙
    แก้ว ของหลวงปู่แก้ว เกสาโร ผมเองครั้งแรกไม่สนใจ ภายหลังได้อ่านพบเกี่ยวกับวัตรปฏิปทาของท่าน ที่มาสัมผัสใจผมจนถึง
    ทุกวันนี้ก็คือ ท่านเอ่ยปากเอาไว้ชัดเจนเลยว่า "ตลอดลมหายใจเข้าออกของท่าน ไม่เคยลืมทางเข้าออกพระนิพพานเลย" แสดง
    ว่า หลวงปู่แก้ว เกสาโร ท่านต้องไม่ใช่พระธรรมดาอย่างแน่นอน
    ที่ท่านผู้นี้เข้าใจว่า พระกริ่งชินบัญชรเป็นพระเครื่องชั้นสุดยอดของหลวงปู่ทิม อิสริโก ก็คงไม่ผิดเพราะว่าพระกริ่งนี้ เป็นพระ
    เครื่องชนิดเดียวเท่านั้น ที่หลวงปู่ทิม ท่านเจาะจงให้สร้างนานนับ ๑๐ ปี เท่านี้ยังไม่พอ ท่านยังได้หล่อหลอมพระยันต์ต่างๆ รวม
    ทั้งวิชาการทั้งหมดที่ท่านได้ร่ำเรียนมาบรรจุเอาไว้ในพระกริ่งนี้ และยังได้พยากรณ์เอาไว้ล่วงหน้าอีกว่า "อีกหน่อยให้พลิกแผ่น
    ดินหาก็ไม่เจอ" ในหนังสือนะโม ฉบับที่ ๑๑๖ ความว่า "เคยมีลูกศิษย์ของท่านต้องการที่จะนำเอาที่นอน และหมอนของท่านมา
    บดสร้างพระผงกลม เพื่อแจกทหาร ตำรวจชายแดน ได้นำเอาที่นอนและหมอนนี้ไปให้ พระครูลมูล วัดเสด็จ จ.ปทุมธานี มานั่ง
    บริกรรมปลุกเสก หมอน และที่นอนแล้วเกิดอภินิหารรุนแรงมาก จนมือไม้ของหลวงพ่อลมูล วัดเสด็จ ชันสู้ไม่ไหว ต้องขอหยุด
    ทันที" นี่ขนาดนุ่นในหมอนยังมีพลังงานแฝงขนาดนี้ แล้วพระกริ่งชินบัญชรจะมีพลังแฝงเร้นอยู่ภายในขนาดไหน จึงไม่น่าแปลก
    ใจว่า ทำไมพระกริ่งชินบัญชรที่สร้างไม่นานมานี้ จึงหาได้ยาก และมีราคาแพงกว่าพระเครื่องที่สร้างมาในเวลาเดียวกัน
    แต่พระเครื่องนั้นเราใช้บูชากันตอนมีชีวิตอยู่ เมื่อตายแล้วก็ตกเป็นสมบัติของลูกหลานไป เอาติดตัวไปไม่ได้ หลวงพ่อจง
    วัดหน้าต่างนอก เคยถามหลวงพ่อไวทย์ วัดบรม จ.อยุธยา ว่า "คนเราตายแล้วเอาอะไรไปได้บ้าง หลวงพ่อไวทย์ ท่านตอบว่า
    ตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้เลย แต่หลวงพ่อจง ท่านกลับตอบว่า เมื่อท่านตายแล้ว ท่านเอาความดีของท่านไปได้"
    หลวงปู่ทิม อิสริโก ท่านเคยเทศน์ว่า "เราทุกคนที่ใจคิดจะทำความดีนั้น ทำไปเถิด ความดีนั่นแหละดีแน่ๆ แต่ถ้าใจเราตอน
    นี้คิดจะทำความชั่ว ก็ให้รีบงดเสียเถิด จะปล่อยให้เวลาที่คิดนั้นล่วงเลยไปเปล่า อย่าลืมว่า เวลาเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่ความดี
    ที่เราหมั่นทำเอาไว้เสมอนั้นแน่นอน ตายแล้วก็พกพาความดีเอาติดตัวไปถึงชาติหน้าได้อีก" จะเห็นได้ว่าคำสอนของพระอริย
    บุคคลทั้ง ๒ รูปนี้ตรงกัน เพราะเป็นสัจธรรมของโลก
    ด้วยเหตุนี้ ผมขอตอบคำถามของท่านผู้นี้ว่า นอกจากพระกริ่งชินัญชรแล้ว ยังมีพระที่ดีสุดยอดกว่านี้อีกคือ พระธรรมคำสั่ง
    สอนของพระพุทธเจ้า เมื่อท่านได้มีโอกาสเป็นผู้โชคดี ได้ครอบครองเป็นเจ้าของพระกริ่งชินบัญชรแล้ว ลองเชื่อคำสอนของหลวง
    ปู่ทิม อิสริโก หันหน้ามาสะสมคุณงามความดี สร้างสมแต่กรรมดีเป็นการสะสมพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าได้อีกอย่าง
    หนึ่งเช่นกัน พระธรรมคือ คุณงามความดีนี้แหละ เป็นพระเหนือสุดยอด ให้ผลต่อผู้ใช้ ผู้บูชา ผู้ปฏิบัติ ทั้งในโลกนี้ (คือตอนที่มี
    ชีวิตอยู่) และทั้งในโลกหน้า (คือตอนตายไปแล้ว) เป็นของเฉพาะตัว ไม่ได้เหลือเป็นมรดกไว้แก่ผู้ใด
    ทั้งหมดที่เล่ามานี้เป็นเรื่องจริง ทั้งที่ตัวของผมเองได้ประสบมา และทั้งที่คนอื่นๆ ได้เคยประสบมา สรุปเป็นข้อมูลมาเพื่อที่
    จะตอบคำถามนี้อีกครั้ง บางเรื่องผมไม่กล้าที่จะเล่าให้ฟังทั้งๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวของผมเอง วัตถุมงคลนั้นคือ พระกริ่ง ๙ แก้ว ของ
    หลวงปู่แก้ว เกสาโร เป็นเรื่องราวเหนือปรากฎการณ์ของธรรมชาติเช่นกัน ผมได้แต่บันทึกเอาไว้ในสมุดจดจำการปฏิบัติพระ
    กรรมฐานของผมเองเท่านั้น
    ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ผมขอแทรกธรรมะของ หลวงพ่อชา ดังนี้คือ "เคยมีคนไปขอธรรมะกับหลวงพ่อชา หลวงพ่อท่าน
    หยิบไม้ขึ้นมาชิ้นหนึ่ง แล้วถามว่า ไม้อันนี้สั้นหรือยาว ชายคนนั้นตอบไม่ได้ หลวงพ่อจึงพูดว่า ธรรมชาติของไม้อันนี้ มันไม่สั้น
    และมันก็ไม่ยาว แต่หากว่าเมื่อไรก็ตามที่เราต้องการไม้ที่สั้นกว่านี้ ไม้ชิ้นที่อาตมาถือเอาไว้นี้ มันก็ยาวเกินไป หรือหากว่า เมื่อไร
    ก็ตาม ที่เราต้องการไม้ที่ยาวกว่านี้ ไม้ชิ้นที่อาตมาถือเอาไว้นี้ มันก็สั้นเกินไปเสียแล้ว" วัตถุมงคลของหลวงปู่ทิม อิสริโก ไม่ว่าจะ
    ทันในสมัยท่านหรือไม่ทันก็ตาม ขอให้ท่านหมั่นให้ความเคารพนับถือ หมั่นสร้างสมความดี รับรองว่าพุทธานุภาพมีเท่าเทียมกัน
    แน่ ต่างกันแต่ว่า ใจของท่าน "มันสั้นเกินไป หรือว่า ยาวเกินไป" ต่างหาก

    ขอแสดงความนับถือ
    (นายเจริญ โชชัยชาญ)
    อาจารย์วิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี กรุงเทพฯ
    ๔ สิงหาคม ๒๕๓๕

    คัดลอกมาจาก หนังสือกระแสพระ ฉบับที่ ๑๒ เดือน มิถุนายน ๒๕๔๖ หน้า ๓๘ - ๔๔


    ขอบพระคุณมากครับในข้อมูล พลังชาตรี 13
     
  10. เทพ นพเก้า

    เทพ นพเก้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +450
    "หวัดดีปีใหม่เจ๊า"

    "หวัดดีปีใหม่เจ๊า"
     
  11. ศัทธาธรรม01

    ศัทธาธรรม01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    516
    ค่าพลัง:
    +221

    อวยพรล่วงหน้าเป็น10ปีเลยหรอคับพี่ชาย
    สวัสดีปีใหม่คับ(เห็นพ.ศ.พี่ช้าไปหน่อยผมไม่ค่อยได้ออน)
     
  12. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,443
    ค่าพลัง:
    +1,851
    " ความเชื่อที่ผิดๆในเรื่องพระปิดตา "

    พระปิดตาเป็นพระเครื่องอีกรูปแบบหนึ่ง ที่คนนิยมกันมากในระยะหลัง เนื่องด้วยรูปแบบและกรรมวิธีการสร้าง

    พระปิดตา ในสมัยก่อนแรกๆจะไม่ค่อยมีคนสนใจเนื่องจาก มีความเชื่อกันมาก่อน เช่น มีพระปิดตาในบ้านแล้วคลอดลูกยากบ้าง มี พระปิดตา แล้วค้าขายของยาก ซึ่งเป็นความเข้าใจ
    "ที่ผิดๆ"
    กันมาตลอดเลยครับจริงแล้วพระปิดตาเป็น พระเมตตามหาโชดครับ


    พระเครื่องประเภทหนึ่งที่นิยมกันมาก ด้วยพุทธลักษณะขององค์พระที่แตกต่างทั้งกรรมวิธีการส ร้าง รวมทั้งมีพุทธศิลปะ เป็นเอกลักษณ์แตกต่าง จากพระเครื่อง ประเภทอื่นๆ จนกลายเป็น ความโดดเด่น และได้รับความนิยม อย่างสูงยิ่ง ในหมู่พุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะ วงการพระเครื่อง ซึ่งรู้จักกัน ในนาม "พระปิดตา" กับ "พระมหาอุต"

    พุทธลักษณะของพระปิดตา เป็นรูปองค์พระ ที่ค่อนข้างอวบอ้วน ยกพระหัตถ์ ขึ้นปิดพระพักตร์ บางสำนัก ก็จะทำเป็นรูปมือ เพิ่มอีก ๒ ข้าง เอื้อมไปปิดทวารด้านล่าง (วงการเรียก "โยงก้น") อีกด้วย

    ประวัติการสร้างพระปิดตาในประเทศไทยนั้น เริ่มต้นในยุคอยุธยาตอนปลาย

    การสร้างพระปิดตา เริ่มได้รับความนิยมแพร่หลายตั้งแต่ตอนต้นยุครัตนโกส ินทร์เรื่อยมา จากข้อมูลดังกล่าวอาจได้ข้อสรุปในเบื้องต้นว่า พระปิดตาทั้งหมดเป็นพระปิดตาคณาจารย์ ซึ่งหมายถึงพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณเป็นผู้จัดสร้าง ไม่ใช่เป็นพระกรุที่สร้างโดยเจ้าพระยามหากษัตริย์ และไม่มีการสร้างก่อนสมัยอยุธยาตอนปลาย

    ลักษณะเด่นของพระปิดตานั้นนับเป็นพระเครื่องที่แสดงถึง "นัย" หรือ "ปริศนาธรรม" แห่งงานพุทธศิลปะอย่างโดดเด่น ยากจะหาพระเครื่องประเภทใดเทียบเทียมได้

    ความหมายเบื้องต้นแห่งการปิดตาก็คือ การปิด "ทวาร" หรือทางเข้าทางออกแห่งอาสวะกิเลสทั้งหลาย

    ซึ่งเราชื่อกันว่าร่างกายของมนุษย์ (หรือสัตว์) มี "ทวาร" หมายถึง ประตูแห่งการเข้าออก ๙ ทาง ได้แก่ ตา ๒ จมูก ๒ หู ๒ ปาก ๑ รวมทั้ง ช่องทางขับถ่ายด้านหน้าและ ด้านหลังอีก ๒ รวมเป็น ทวารทั้ง ๙
    การปิดกั้นทวารทั้ง ๙ เป็น

    ปริศนาธรรม ที่กั้นกิเลสจากภายนอกไม่ให้เข้ามาสู่ ภายใน เพื่อจุดหมายแห่งการปฏิบัติกรรมฐาน ซึ่งโบราณาจารย์ที่สร้างพระปิดตา (หรือปิดทวาร) ในอดีตจะเป็นพระภิกษุที่ขึ้นชื่อลือเลื่องทางวิปัสสน าธุระทั้งสิ้น

    แต่การสร้างรูปจำลองในลักษณะนี้ ค่อนข้างยากต่อการออกแบบ ส่วนใหญ่จึงพบการแสดงความหมายให้เห็นเพียงการปิดพระพักตร์ ซึ่งรวมถึงการปิดปากเท่านั้น

    หากมองในแง่ความสำคัญทางการเมืองการปกครองจะพบว่า อำนาจของภิกษุสงฆ์ไม่ได้จำกัดอยู่ใน "พุทธจักร" อย่างเดียว หากแต่ยังก้าวไปถึง "อาณาจักร" อีกด้วย ตัวอย่างของบทบาทดังกล่าวจะเห็นได้ชัดในกรณี ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆัง ธนบุรี ที่สามารถเดินเข้าไปถาม เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ถึงข่าวลือเรื่องการยึดอำนาจกลับจาก ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ และขอคำยืนยันว่าจะไม่เกิดเหตุดังกล่าว

    หรือแม้แต่การที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จุดไต้ตอนกลางวันเข้าไปเตือนพระสติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ "พุทธจักร" ที่มีต่อ "อาณาจักร" อย่างเด่นชัด
    เป็นที่น่าสังเกตว่า พระเกจิอาจารย์ที่สร้างพระปิดตาในระยะแรกๆ จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชสำนักไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
    ดังนั้น "พระปิดตา" อาจถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของการประกาศตนไม่ยุ่งเกี่ยวก ับ "อาณาจักร" เพื่อมิให้เกิดการถูกนำไปอ้างอิงหรือใช้เป็นเครื่อง "ชี้นำ" ในชะตาของบ้านเมือง

    - พระปิดตาทวารทั้ง ๙ อัน เป็นการปิดกั้นอาสวะกิเลสแห่งทวารเข้าออกทั้ง ๙ ของร่างกาย

    - พระปิดตามหาอุด อันเป็นการป้องกันสรรพภยันตรายทั้งหลายทั้งปวง
    ในกระบวนพระปิดตาของคณาจารย์แต่โบราณนั้น มีที่ขึ้นชื่อลือเลื่องหลายสำนักด้วยกัน วัสดุมวลสารที่นำมาประกอบเป็นองค์พระมีทั้งเนื้อชินต ะกั่ว เนื้อผงคลุกรัก เนื้อผงใบลาน เนื้อผงมวลสาร เนื้อสัมฤทธิ์ เนื้อเมฆพัด เนื้อเมฆสิทธิ์ เป็นต้น

    - พระปิดตามหาอุดหรือพระปิดทวารทั้ง 9 กันดูบ้าง ความเป็นจริงพระปิดตา ที่มีมือคู่เดียวยกขึ้นมาปิดที่ใบหน้า และพระปิดทวารทั้ง 9 นั้นก็หมายถึง

    พระภควัมปติหรือพระภควัมบดี เช่นเดียวกัน และพระมหาสังกัจจายน์ ก็คือพระอรหันต์องค์เดียวกันนั่นเองครับ

    ตามประวัติว่ากันว่าพระมหาสังกัจจายน์นั้นมีรูปร่างง ดงาม และได้รับคำชมจากพระบรมศาสดาว่า พระมหาสังกัจจายน์นั้นเป็นเอตทัคคะ และฉลาดล้ำเลิศในการอธิบายความแห่งคำที่ย่อได้อย่างพ ิสดาร ด้วยความฉลาดล้ำเลิศของพระมหาสังกัจจายน์นั่นเอง

    พระมหาสังกัจจายน์ ท่านเป็นผู้ที่มีผิวพรรณวรรณะงดงาม ตามพระบาลีว่า สุวณฺโณจวณฺณํ คือมีผิวเหลืองดังทองคำ เป็นที่เสน่ห์นิยม มิว่าท่านจะไปในสถานที่แห่งใด เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายต่างก็พากันสรรเสริญว่า ท่านคือ พระบรมศาสดาเสด็จมาแล้ว

    เพราะเหตุที่ท่านมีรูปโฉมละม้ายเหมือนพระศาสดานั่นเอ ง ท่านจึงได้รับสมญานามอีกชื่อหนึ่งว่า “พระภควัมปติ” ซึ่งมีความหมายทำนองว่า ผู้มีความงามละม้ายเหมือน พระผู้มีพระภาคเจ้านั่นเอง

    เมื่อเหตุการณ์เป็นไปดังนี้ ท่านจึงมาคิดว่า การที่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายพากันสรรเสริญท่านดังน ี้ เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง สุดท้ายท่านจึงกระทำด้วยอิทธิฤทธิ์ เนรมิตกายให้เตี้ยลงจึงดูท้องพลุ้ย ไม่เป็นที่น่าดู เทพยดาและมนุษย์จะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิดอีกต่อไป

    ส่วนที่มีการทำ รูปเคารพเป็นรูปปิดทวารทั้ง 9 นั้น ก็คือมือคู่หนึ่งปิดหน้า คือปิดตา 2 ข้างปิดจมูก 2 ปิดปาก 1 และมีมืออีกคู่หนึ่งมาปิดที่หู 2 ข้าง ส่วนอีกมือคู่หนึ่งนั้นปิดที่ทวารทั้ง 2 รวมเป็นปิดทวารทั้งเก้า คือเป็นอุปเท่ห์หมายถึง ตอนที่พระภควัมปติท่านกำลังเข้านิโรธสมบัติ ทวารทั้งเก้าก็จะปิดสนิท ไม่ยินดียินร้ายกับกิเลสทั้งหลาย หมายถึงดับสนิท อาสวะกิเลสต่างๆ ไม่อาจที่จะเข้ามาแผ้วพานได้เลย

    จากมูลเหตุนี้เอง คณาจารย์ต่างๆ ท่านจึงสร้างรูปเคารพ เป็นรูปพระปิดตา (คือมีมือคู่เดียวมาปิดที่หน้า) บ้างเป็นรูปพระปิดทวารทั้งเก้าบ้าง และโดยส่วนใหญ่ถ้าเป็นพระปิดตาก็จะปลุกเสกให้เด่นไปท างเมตตามหานิยม โชคลาภโภคทรัพย์

    แต่ถ้าเป็นพระปิดทวารทั้ง 9 ก็จะปลุกเสกให้เด่นไปทางอยู่ยงคงกระพันชาตรีและแคล้ว คลาด พระปิดทวารทั้งเก้านั้นในสมัยโบราณ ถ้าบ้านไหนมีคนจะคลอดลูก ถึงกับต้องนำพระปิดทวารทั้งเก้าออกไปนอกบ้านเสียก่อน เชื่อกันว่าจะไม่สามารถคลอดลูกได้ก็มี ซึ่งเป็นความเชื่อกันในสมัยโบราณ "ที่ผิดๆ"

    ปริศนาธรรม ของพระปิดตา นั้นพุทธคุณเด่นในเรื่องของเมตตามหานิยมเป็นหลัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2013
  13. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,443
    ค่าพลัง:
    +1,851
    พระปิดตา เนื้อเปลือกมังคุต หลวงปู่ทิมวัดละหารไร่ปลุกเสก ปี 18
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2020
  14. ต้น ราชตฤณ

    ต้น ราชตฤณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +420
    :cool::cool::cool::cool::cool:
     
  15. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,443
    ค่าพลัง:
    +1,851
    ขอบพระคุณคุณต้นครับที่เข้ามาเยี่ยมชม ขอบคุณครับ

    (deejai)(deejai)(deejai)(deejai)(deejai)(deejai)(deejai)(deejai)
     
  16. tumnansakyun

    tumnansakyun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +3,638
    หลวงปู่ทวดวัดคอกหมู ราคาเท่าไหร่ครับ และเหลือองค์ไหนบ้างครับ
     
  17. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,443
    ค่าพลัง:
    +1,851
    องค์ที่สวยๆผมเหลืออยู่องค์เดียวแล้วนะครับ อีก 3 องค์ที่มีอยู่สวยแพ้กันครับ
    ขอบคุณมากครับที่ให้ความสนใจ
     
  18. ptt2000

    ptt2000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +669
    ขอราคาครับ

    ขอราคาทาง PM ด้วยครับ
     
  19. laghaime

    laghaime Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +73
    ขอทราบราคา ครับ
     
  20. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,443
    ค่าพลัง:
    +1,851
    ขอเชิญร่วมลงชื่อเพื่อรับโปสเตอร์หลวงปู่ทิมวัดระหารไร่ เป็นของขวัญปีใหม่ครับ

    กดด้านล่างเลยครับ ขอบพระคุณมากครับ

    http://palungjit.org/threads/มอบของขวัญปีใหม่-2556-โปสเตอร์หลวงปู่ทิมวัดระหารไร่-ฟรี-ฟรี-ฟรี.421526/


    คืนนี้ครับ 22/01/56 สองทุ่มครึ่งตามเวลาเว็ป 8.30 PM
    สองท่านแรกที่กดส่งเข้ามาครับ ขอเชิญทุกๆท่านลงชื่อครับ

    (ดูได้จากด้านล่างสุดของหน้าจอท่าน)

    เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:30 PM


    จุดประสงค์ เพื่อเผือแผ่ปฎิปทาบารมีหลวงปู่ทิม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...