พลังงูไฟ( กุลฑณี )

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 1111, 9 มีนาคม 2005.

  1. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    รู้จักไหม มันไม่สนใจอะไรแล้ว ไม่เอาอะไร จิตมันวางทุกอย่าง แต่ถ้าไม่รู้ว่าตนมาบนโลกนี้ทำไมก็หนีเข้าป่าไป ไม่สนใจใคร เห็นมาเยอะทั้งบนภูเขาหิมาลัย ในป่า ในถ้ำ มีเยอะมากมาย เพราะอะไรพลังตัวนี้มันตื่นขึ้นมาถ้าจะไปเอาอะไรมายั้งก็ไม่อยู่จะทำอะไรก็ได้ สั่งฟ้า สั่งลม สั่งดิน สั่งน้ำ ได้ทุกอย่าง คนที่ไม่รู้ก็หาว่าบ้า
    พอเข้าป่าไปแล้ว สงบลงสติมา พลังความคิดปัญญาต่างๆมันเกิด เลยอยากช่วยคนจึงเห็นว่ากลับออกมาสร้างวัด สร้างอาศรม กันเยอะไปหมด
     
  2. อวทม45

    อวทม45 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +1,832

    ........หลักการ อุบายวิธียกระดับจิตตามราชาโยคะ พลังจักรวาล สหจะ โยคะฯ ในยุคหลังๆ ขาดความรู้อันเป็นหลักใหญ่ (องค์ประกอบของจิต -เจตสิก)จึงทำให้สภาวธรรมอันเป็นผลที่พึงได้รับไม่สมบูรณ์เหมือนยุคสมัยต้นๆ ของการค้นพบศาสตร์นี้

    ไม่
    สมบูรณ์นี่หมายถึงเมื่อก่อนสมบูรณ์ดีแล้ว แต่ปัจจุบันมันไม่เหมือนเมื่อก่อนครัีบเพราะทำตามไม่ได้เลยเติมของใหม่เข้าไป (อันนี้คือความหมายที่สื่อออกไปน่ะครับไม่ใช่อย่างที่เข้าใจ)
     
  3. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ครับผม ห้องเสียงอยู่ไหนหว่า.....
    สงสัยก็ถามมาครับ ตอบได้ก็ตอบครับ ประสบการณ์เรื่องนี้พอมีครับ ขนาดนั้นก็มีคนว่าบ้า อยู่ตั้ง 3 วัน พอคนพูดมากๆผมเลย เอาจิตปัจจุบันกลับมา แต่ข้างในก็ยังกรุ่นๆอยู่ครับ พูดแบบไม่เป็นภาษาคนลิ้นมันรัวไปหมดช่วงแรกๆ พูดอีกแบบออกมาอีกแบบ กว่าจะปรับร่างกายได้ก็เกือบเดือนละครับ ดีที่มีเพื่อนที่ดีๆ คอยดูแลไม่เช่นนั้น ก็หายต๋อมเหมือนกันครับ
     
  4. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    นี่เลยครับ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต้องระวังตรงนี้นะครับ เป็นมาเหมือนกัน ผมรีบหนีกลับบ้านไม่เจอใครหลายวัน พบได้แต่คนรู้ใจเท่านั้นครับ
     
  5. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ฉะนั้น ต้องรู้ไว้ก่อนนะครับพลังตัวนี้ตื่นเมื่อไหร่ อย่างน้อยก็คล้ายๆคนเป็นบ้า ต้องผ่านจุดนี้ทุกคน ทางแก้ก็คือ บอกตัวเองว่าต้องพักผ่อนให้มากๆๆ ไม่ยุ่งกะใคร พยายามดึงพลังมารวมที่จักระ 5 ไว้ อย่าเพิ่งไปสนใจจักระ 1 ให้พยามยามดึง 2 ที่เป็นพลังเย็นขึ้นมาชดเชย
    ทุกสิ่งที่เห็นที่รู้ มีจริงมีเท็จ ไม่จริงเสมอไปไม่เท็จเสมอไป ปล่อยวาง

    หลังจากนั้นเมื่อผ่านไปเอาสติกลับคืนมาแล้วบ้างก็ค่อยเดินพลังจากจักะ 1 ใหม่ที่นี้มันก็จะร้อนวาบขึ้นมา ดึงพลังขึ้นมาใช้ประโยชน์ ภาวนา ว่า ขอให้ทำให้ร่างกายเราเต็งตรึงอยู่ตลอดเวลา ขอให้เชลล์ในร่างกายจงตื่นขึ้น ซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอให้กลับคืนสภาพดังเดิม คงความหนุ่มแน่นอย่างยาวนาน
    การดึงพลังตัวนี้ นานๆดึงได้ครับเพราะมันทะลุแล้วมันจะง่ายครับ เรื่องการฝึกต่อ นั้นก็คงขึ้นอยู่ว่าแล้วแต่ใครจะหาอะไรมาใส่ตัวอีก จะเรียนเพื่อรู้ให้มากขึ้น หรือรู้แล้ววาง
    จิต เมื่อรู้แล้วมันจะวางโดนอัตโนมัติ เพราะจากนี้ไปคุณจะเอาพลังมาทำอะไร คุณก็ถามไปศึกษาไปถ้าคุณยังไปไม่ถึงจุดนั้น คุณก็ต้องเดินต่อไปเรียนรู้ต่อไป
    สำหรับคนที่ยังไม่เกิดตัวรู้ เมื่อพลังนี้ตื่นจะอันตรายมากๆ เพราะจะยังหลงอยู่ผมถึงเขียนไว้ ต้องละให้ได้มากๆๆ
     
  6. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    มาต่อให้สักหน่อยก่อนที่จะวาง ถ้าไม่มีใครถามต่อ
    หลังจากที่กลับเข้าบ้าน เอาสติคืนมาลุกขึ้นนั่ง เอาจิตขึ้นไปวางอยู่บนจักระ 7 มองลงมาที่ตัวเรามองลงมาที่ บ้าน ที่เขต ที่จังหวัด ที่ ประเทศ ที่โลก โอ้โห
    คนมันยังจมกันอยู่ อยากอยู่ ไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งที่เราทำไปมีอาการอะไร บ้างเจาะเข้าไป ตัวนี้คืออะไร อาการนี้คืออะไร ตัวรู้เกิดมาแล้วมันรู้แล้ว วางทันที ไม่สนใจอีกต่อไปสิ่งที่เราทำไปมันแค่บททดสอบบทเรียน ผ่านแล้วรู้แล้ว โมโหอย่างนี้ โกรธอย่างนี้ ความโลภอย่างนี้ ความอยากอย่างนี้ คนเห็นเราเป็นอย่างนี้ วางไป เห็นแล้วรู้แล้ว มองออกไปยังจมกองขึ้กองมูลกันอยู่ ได้แล้วไม่รู้จักพอ ยังอยากได้สิ่งอื่นต่อไป เรียนแล้วไม่รู้แต่พยามอวดรู้ มันเลยไม่วางสักที บางคนนี้นะอยากได้ความรู้แต่ต้องทดสอบก่อนเออ เอาไปสิจัดให้ทดสอบกี่บทละ บางคนก็ส่งจิตเข้ามามาลองมาทำเออเอาเข้าไปสิ สร้างกรรมทางจิตโดยไม่รู้ตัว บางคนเห็นแล้วอยากวด อยากแสดงออกมาแสกนกรรม บอกมีตาทิพย์หูทิพย์มั่ง เออไอ้คนที่มาเจอก็เกิดความอยากทำยังไง อยากมีมั่ง ตาทิพย์หูทิพย์
    พอมองไปคิดไปเรื่อยๆเอาเข้าแล้ว เราจะอยู่ยังงัย จิตมันไม่เอาแล้วที่อาการที่เราเป็นอยู่นี้จะเอายังงัย เอาวะเห็นก็เห็น วุ่นก็วุ่นวายกันไปเราจะอยู่ของเราอย่างนี้ กรรมใครใครทำใครสร้าง บ้านไหนกรรมไหร จังหวัดไหนกรรมไหน ประเทศไหนกรรมไหน โลกไหนกรรมไหน ใครทำก็รับกันไป บางคนยังไม่รู้เลยว่าตัวเองทำผิดอย่างมากเลย หมุนเข้าไปท่านไม่รู้หรอกว่าท่านไปหมุนเอาอะไรขึ้นมาบ้าง หมุนจนทะลุเกาะที่พระพุทธองค์ขังพวกอสุรกายเอาไว้ จาพวกนั้นขึ้นมาบนโลกที่นี้มันก็เลยวุ่นเลยวายไปหมด ทั้งคนทั้งวิญาณมันเล่นกันซะเละไม่รู้ว่าใครเป็นใคร โลกเลยวุ่น ประเทศเลยวุ่นเลยวายไปหมด จะแก้ยังงัย หมดแล้วหนทางรับกรรมกันไป
    เอาให้รู้นะครับ ตัวรู้เกิดมันจะวางของมันเอง ไม่ต้องไปฝึกวาง รู้เห็นก็สักแต่ว่าเห็นไม่ปรุงไม่แต่งไม่เติม
    ถ้าอยากมีฤทธิ์ก็ฝึกอยู่ที่ 6 หรือหน้าผาก ถ้าอยากเกิดปัญญาให้ขึ้นไป 7 แล้วคิดแล้วมองหาตัวรู้ให้เกิดแล้วจะได้ปัญญา ช่วงนี้ก็จะได้ญาณไปด้วน เลยเรียกว่า ปัญญาญาณ

    แล้วรู้จัก กตัญญูตา มาตาปิตุ หรือเปล่าละครับ
    พระพุทธองค์ท่านสอนมาใช่ไหม แล้วเอามาคิดมาแตกให้เกิดปัญญา ท่านบอกอะไร
    ให้มีความกตัญญู ต่อพอต่อแม่ แล้วคิดต่อ
    พ่อแม่ ทางโลกก็คือที่อยู่ปัจจุบัน แลัวพ่อแม่ ดวงจิตดวงวิญญาณ เป็นใครละใครสร้างขึ้นมาท่านมาแล้ว บิดาแห่งจิตวิญญาณมาแล้วมาตามลูกๆแล้ว กตัญญูท่านไหมละ่ พระพุทธองค์ไม่ได้สอนตรงไหน หรือแค่จะมาเป็นพุทธมามกะ กะว่าจะมาเป็นพุทธ
     
  7. สตธศร

    สตธศร Namo Amithapho

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    707
    ค่าพลัง:
    +1,537
    ขอบคุณมากๆค๊ ^^ อ่านแล้วมีประโยชน์ มากๆเลยค๊
    จะติดตามอ่านนะค่ะ ถ้าฝึกตั้งแต่อายุน้อย มันจาคล้ายๆกุมารใช่มั๊ยค่ะ
     
  8. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ใช่ครับ จะมีจิตที่ใสซื่อ บริสุทธิ์ เป็นอัฉริยะในที่สุด แต่คนรอบข้างต้องรู้นะครับ เพราะจะหาว่าเขาบ้า จับไปรดน้ำมนต์ ไปไล่ผีทำนองนั้น ยังงัยก็ต้องระวังไว้ด้วยนะครับ เพราะทุกวันนี้สนามแม่เหล็กแปรปรวนถึงไม่ฝึกก็มีสิทธิ์เป็นได้ทั้งนั้นละครับ

    ส่วนท่านใดที่นั่งสมาธิแล้วเข้าสมาธิไม่ค่อยได้ก็เพราะสนามแม่เหล็กโลกมันแปรปรวนนั่งไปก็เข้าไม่ได้ ต้องลองสังเกตุดูนะครับวันไหนนั่งไม่ได้ก็อย่าฝืนครับ
     
  9. สตธศร

    สตธศร Namo Amithapho

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    707
    ค่าพลัง:
    +1,537
    วันนี้ ทำสมาธิตอนเช้านิดหน่อย
    ก่อนจะสมาธิ ความฝันมันเป็นสี
    เนกาทีฟอ่ะค่ะ ไม่เห็นตัวเอง แต่ยืนอยุ่ในที่แปลกๆ
    มันเหมือนมืดไปหมด เหรือสีอยู่ไม่กี่สีเองอ่ะค่ะ
     
  10. สตธศร

    สตธศร Namo Amithapho

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    707
    ค่าพลัง:
    +1,537
    พลังนี้เป็นเช่นไร...
    พลังนี้เป็น cosmic energy หรือพลังจักรวาล ซึ่งมีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้
    มนุษย์เองก็มีพลัง (pranic life force) นี้อยู่
    เขาว่ามันนอนอยู่ที่ก้นกบ (หรือจักระล่างสุด)
    ถ้าสามารถทำให้พลังนี้ตื่นขึ้นมาได้ มนุษย์ก็จะมีศักยภาพอย่างเหลือล้น
    กันดาร์บอกว่าบุคคลสำคัญต่างๆ ของโลก เช่น พระเยซู หรือพระพุทธเจ้า
    ก็ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่สามารถจะบรรลุถึงศักยภาพของมนุษย์ในลักษณะนี้ได้
    ชีวิตมนุษย์ก็คือการเดินทาง … ของพลังนี้ จากล่างขึ้นบน (จักระล่างไปจักระบน)
    เขาเชื่อว่าถ้าในชีวิตนี้ทำไม่สำเร็จ ก็ไปเกิดใหม่ แล้วเริ่มจากจักระอันที่ได้มาแล้วในชีวิตก่อน
    ดังนั้น มนุษย์หลายคนที่มีความสามารถพิเศษตั้งแต่เกิด
    ก็เกี่ยวพันกับระดับของจักระที่ผู้นั้นมีอยู่ในชีวิตที่แล้ว

    ทำไมต้องล่างขึ้นบน … เพราะเมื่อขึ้นไปสู่จักระสูงสุดได้แล้ว
    พลังนี้จะถูกปลดปล่อยออกไปรวมกับพลังจักรวาล
    พลังกุณฑาลินีในร่างกายนี้ = ศักติ, ผู้หญิง, หยิน
    พลังจักรวาลภายนอก = ศิวะ, ผู้ชาย, หยาง
    ทั้งสองสิ่งทั้งตรงกันข้ามและส่งเสริมซึ่งกันและกัน
    เมื่อมารวมกันแล้วก็จะเป็นสิ่งที่สมบูรณ์ เหมือนไฟฟ้าต่อครบวงจร
    สามารถมีกำลังที่จะทำสิ่งต่างๆ ได้มากมาย
    การรวมเป็นหนึ่งเดียวกันของพลังทั้งสองขั้วนี้
    คืออีกหนึ่งความหมายที่สำคัญของโยคะ
    (อันมีรากศัพท์จากคำว่า ยุจ ซึ่งแปลว่า รวม)

    ก้อบเขามาแปะไว้จ้ะ
     
  11. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    หลังจากที่เรามองเห็น ความเป็นไปของโลกแล้ว ทีนี้ก็อยู่กับโลกได้
    จากนั้นเวลาทำสมาธิ
    นั่งส้นเท้าที่ฝีเย็บ
    เพ่งจาก 7 ลงมาจะเห็นแสงขาวนวลเป็นเส้นตามกระดูกสันหลัง ล้างทำความสะอาดท่อไปเรื่อยๆ สักระยะ
    จากนั้น กำหนด 1 ที่ฝีเย็บจะเป็นก้อนพลังดันส้นเท้าเราอยู่ จากนั้กำหนด2ที่ก้นกบสูดลมหายใจเข้าลึก พลังจะเคลื่อนตัวขึ้น ความรู้สึกจะเย็นๆสบายๆร้อนนิดๆ
    ความเย็นสบายๆร้อนนิดๆจะค่อยเลื่อนขึ้นพร้อมแสงสว่างสีขาวนวล ซ่อมแซมเซลล์ในร่างกาย ค่อยๆเลื้อยๆขึ้นมาผ่านแต่ละจุด จุดไหนมีปัญหาอยู่ก็จะช้าหน่อย นั่งดูมันไปครับ แล้วพลังก็ค่อยๆเคลื่อนผ่านลำคอ ผ่านจักระ 6 มองขึ้นไป 7 เห็นสีขาวนวลทะลุขึ้นศรีษะไป
    ส่วนท่านที่จะเอาตาทิพย์ ก็รวมแสงนี้พุ่งออกทาง 6 ที่หน้าผากแล้วเพิ่มพลังให้ 6 ให้แสงสว่างมากขึ้นๆๆๆๆโดยดึงขึ้นมาจาก1และ2 ภาพต่างๆที่เข้ามาไม่ต้องตกใจครับ เขาจะวิ่งผ่านเราไปเฉยๆ ช่วงแรกๆ จากนั้นทำได้คล่องแล้ว กำหนด 6 เพิ่มแสงเข้าไปก็ได้ตาทิพย์ไปแล้วครับ ได้แล้วจะเอาไปทำอะไร ต้องดูกฏของจักรวาลด้วยนะครับ ...............
     
  12. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ผมเขียนมาตั้งเยอะผมไม่เขียนถึงสีเลยครับ เพราะไม่ให้ไปยึดที่สีต่างๆจะเห็นจะมาจะไปก็ไม่เป็นไร เพราะแต่ละสีจะมามีอิทธิพลต่อเรา จนเราต้องวุ่นวายอยู่กับสีละครับ ผมคิดว่าสีนั้นเป็นวิชาพลังจักรวาลแต่ผมไม่ได้กำหนดถึงสีเลยครับ พอพลังนี้ขึ้น มองเข้าไปร่างกายก็เห็นสีตามที่อาจารย์ท่านบอกไว้ แต่ไม่ให้ยึดติด
     
  13. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขอถามต่ออีกนิดนะครับ ช่วงนั่งสมาธิไป
    มันนานมากเป็นชั่วโมงกว่าจะรู้สึกร้อนที่จักระที่ 1 ได้
    และตัวก็จะโยกสั่นอยู่ตลอดเวลา มากบ้างน้อยบ้าง เร็วบ้างช้าบ้าง
    แต่นี่ไม่ใช่คำถามนะครับ เพราะรู้ว่ามันเป็นการปรับจูนพลังงาน

    คำถามคือในช่วงที่มันยังปรับไม่เสร็จนี่
    มันก็จะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหมครับ
    เพราะว่าผมลองหัดดึงแล้ว
    มันมีแต่ความรู้สึกขนลุกธรรมดาๆวิ่งขึ้นมาหนะครับ
    ไม่มีความร้อน-ความเย็นอะไรขึ้นมาด้วยหนะครับ

    มีวิธีปรับจูนพลังงานให้สมดุลแบบเร็วๆไหมครับ

    ...........................................
     
  14. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    เรื่องยาวละทีนี้
    ตอบก่อน มันยังไม่ขึ้นครับเพราะจักระยังไม่พร้อมร่างกายยังไม่พร้อมเท่าที่ควร

    การปรับจูนพลังงานให้สมดุล คือการทำให้มันหมุนให้เร็วขึ้นจนคงที่ครับ
    ผมจะหารูปไหนให้ดูนะ ไม่รู้บอกไปจะทำถูกหรือเปล่าเดี่ยวจะพยายามนะครับ นึกเอาก่อนนะครับ ใช้ได้ทั้งหมดในการคลายพลังการเปิดจักระ นะครับ

    นั่งสมาธิ หลับตา กำหนดลูกแก้วใสที่จักระ 1 สวด มงกุฎพระพุทธเจ้า 1 จบ
    " อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิอิโสตัง พุทธปิติอิ "

    จากนั้น กำหนดลูกแก้วที่จักระ 2 ท้องน้อย สวดมงกุฏพระพุทธเจ้า 1 จบ
    จากนั้น กำหนดลูกแก้วที่จักระ 3 ตรงสะดือ สวดมงกุฏพระพุทธเจ้า 1 จบ
    จากนั้น กำหนดลูกแก้วที่จักระ 4 เหนือลิ้นปี่ สวดมงกุฏพระพุทธเจ้า 1 จบ
    จากนั้น กำหนดลูกแก้วที่จักระ 5 ตรงต้นคอ สวดมงกุฏพระพุทธเจ้า 1 จบ
    จากนั้น กำหนดลูกแก้วที่จักระ 6 ตรงหน้าผาก สวดมงกุฏพระพุทธเจ้า 1 จบ
    จากนั้น กำหนดลูกแก้วที่จักระ 7 ตรงจุดจอมขวัญ สวดมงกุฏพระพุทธเจ้า 1 จบ
    จากนั้น กำหนดลูกแก้วตรงข้ามที่จักระ 6 สวดมงกุฏพระพุทธเจ้า 1 จบ
    จากนั้น กำหนดลูกแก้วตรงข้ามที่จักระ 5 สวดมงกุฏพระพุทธเจ้า 1 จบ
    จากนั้น กำหนดลูกแก้วตรงข้ามที่จักระ 4 สวดมงกุฏพระพุทธเจ้า 1 จบ
    จากนั้น กำหนดลูกแก้วตรงข้ามที่จักระ 3 สวดมงกุฏพระพุทธเจ้า 1 จบ
    จากนั้น กำหนดลูกแก้วตรงข้ามที่จักระ 2 ที่ก้นกบสวดมงกุฏพระพุทธเจ้า 1 จบ

    ที่นี้เราจะมองเห็นลูกแก้วลอยอยู่ทั้งหมด12 ลูกในกายเรา จากนั้นหายใจเข้าเคลื่อนลูกแก้วจาก 1 มา 2ด้านหน้าก่อน ไล่ไป 3 4 5 6 7
    จากนั้นหายใจออกเคลื่อนจาก 7 ไป 6ด้านหลัง ไล่ลงไป 5 4 3 2 1
    วิ่งวนอยู่อย่างนี้ทำตัวโยกตามไปด้วย จากนั้นสักพักให้ดึงพลังไปรวมที่จักร 2 ตรงท้องน้อย

    เสร็จแล้วให้กำหนด จักรแก้วที่จักระ 7 หมุนตัดลงมา 6 5 4 3 2 1 ตัดลงมาตรงๆ แล้วก็ตัดขึ้นไปตรงๆผ่านกลางร่างกายของเรา ช่วงนี้เราต้องหมุนจนร่างกายสั่นไปทั้งร่างจากศรีษะลงมาค่อยๆลง อธิบายไม่ถูกแฮะ คล้ายๆคนโดนผีเข้านั่นแหล่ะ ไม่รู้จะเขียนยังงัย
    จากนั้นให้หมุนเอาพลังหรือจักรแก้วไปไว้ที่จักระ 2

    ไม่รู้พอจะทำได้ไหมหนอ















     
  15. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    จากนั้นก็เดินพลัง ตามที่บอกไว้ สูดลมเข้าดึงจาก 2 ขึ้นมา
    แล้วเร่งสูดเข้าๆๆๆๆๆ จนรู้สึกว่า โลกนี้หมุนเหมือนเราจะหลุดออกไปไม่ต้องสนใจ ตายเป็นตาย ไม่สนใจการหายใจ ตายเป็นตาย ช่วงนี้ควรจะฝึกในที่โล่งๆสักหน่อยเผื่อเราหมุนไปโดนเสาหรือผนังเข้าแต่ครูบาอาจารย์ทางจิตท่านดูอยู่ยังงัยก็ไม่โดนครับ
    พอสูดเข้าไปแล้วเหนื่อยอย่าหยุดนะครับ ร่างกายจะเจ็บตรงไหน ไฟจะช็อคตรงไหนไม่ต้องสนใจ สูดเข้าไปจนตัวเราลอยจากพื้นได้ยิ่งดี พอหยุดนิ่งแล้วจะสบายเข้าญาณ8 ไปเลยพักสักครู่แล้วสูดใหม่ อย่าหยุดอยู่แค่ความสบายอย่ามาติดสุขตรงนี้นะครับ ลุยต่อไปจนสว่างจ้าไปหมด ที่นี้ละตัวใครตัวมัน แฮะๆๆ พูดเล่นนะครับคุมสติเอาไว้อ่านที่ผมเขียนมานั่นแหล่ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ธันวาคม 2010
  16. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    ขอบคุณ คุณดูท่านนะครับ สำหรับประสบการณ์ดีๆ และเทคนิคที่เล่าสู่กันฟังครับ

    โดยเฉพาะการนั่งทับส้นเท่า เป็นการบังคับให้กระดูกสันหลังตั้งตรงโดยอัตโนมัติ และกระตุ้นเส้นประสาท ที่ฝีเย็บพอดี :cool:

    การจะปลุกพลังขึ้นมา เทคนิคการหายใจสำคัญมากครับ เพราะจะเกี่ยวพันกับการรวมจิตให้เป็นหนึ่งเดียวด้วย

    เทคนิคต่างๆจะอยู่ในบทความของหลวงปู่พุทธะอิสระครับ ลองอ่านและปฎิบัติตามดูครับ

    จริงๆแล้วทุกคนหายใจได้ แต่รู้บ้างมั้ยว่า เรายังหายใจกันไม่เป็น มาดูกันว่าชีวิตที่มันยืนยาว กับชีวิตที่สั้น มีลมหายใจต่างกันอย่างไร

    ลองสังเกตดูว่า ไม่ว่าจะเป็นนกก็ดี หมูก็ดี หนูก็ดี ปลาก็ดี ไก่ก็ดี หมาก็ดี แมวก็ดี มันจะมีลมหายใจถี่และไม่เป็นจังหวะเข้า-ออก ที่สม่ำเสมอ

    ทางวิทยาศาสตร์ถือว่า ลมหายใจที่เข้า มันสูดเอาสิ่งดีๆเข้าไป เพื่อจะปรุงเป็นโลหิต ไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้มีพลัง การหายใจยาวๆหมายถึง การได้สูดเอาของดีๆ ให้เข้าไปขับไล่ของเสียออกมาจากการหายใจออก ในขณะเดียวกันมันก็ทำหน้าที่ปรุงพลังให้กับร่างกาย

    มีเรื่องพิสูจน์ยืนยันได้ว่า การหายใจเข้า-ออก ยาวกว่าคนปกติธรรมดา จะมีชีวิตยืนยาวได้เป็น ๓๐๐-๔๐๐ ปี หรือไม่ตายแม้กระทั่งฝังทั้งเป็น อย่างในประเทศอินเดีย มีโยคีนอกศาสนาเรียนวิชาโยคะ วิชาโยคะมี ๓๘ ท่า ในท่าสุดท้ายจะมีวิธีการฝังตัวและหายใจแบบกบ เรียกว่า กบจำศีล มีอาจารย์โยคะท่านหนึ่ง สามารถที่จะฝังตัวเองได้เป็นสิบปี เมื่อถึงเวลาแล้วลูกศิษย์ไปขุดดู ปรากฏว่าอาจารย์ยังสบายดี ไม่ตาย ทั้งนี้ก็ได้มาจากการหายใจ ความละเอียดอ่อนของลมหายใจ และการรู้จักขั้นตอนในการระบายลมเข้าและออก

    ฉะนั้น "ลมหายใจ" นอกจากจะมีประโยชน์ในการให้พลังต่อร่างกายแล้ว มันยังหล่อเลี้ยงให้เรามีชีวิต มีพลังความคิด และมีอำนาจต่างๆเกิดขึ้นมากมาย จากการที่คนหายใจเป็น สัตว์หายใจเป็น

    แต่ผู้ที่หายใจไม่เป็น สัตว์ที่หายใจไม่เป็น เราจะเห็นว่า อายุจะสั้น เช่น แมวตายก่อนหมา หมาตายก่อนควาย ควายตายก่อนวัว วัวตายก่อนช้าง ช้างตายก่อนปลาวาฬ อะไรเหล่านี้ จะเห็นว่ามันมีการหายใจต่างกัน

    ถ้าถามว่าเกี่ยวกับระบบสรีระด้วยรึเปล่า? เกี่ยวกับปอด เกี่ยวกับถุงลม เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ด้วยรึเปล่า?

    สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยกรรมพันธุ์อย่างเดียว แต่มันเกิดขึ้นโดยการกระทำด้วยเหมือนกัน เช่น ถ้าเราฝึกปรือให้เด็๋กทารกรู้จักหายใจเข้ายาว ออกยาว เป็นจังหวะ มันก็สามารถที่จะทำให้เกิดพฤติกรรมทางร่างกาย เปลี่ยนแปลงกรรมพันธุ์ทางร่างกายได้อย่างน่าอัศจรรย์ทีเดียว

    เช่นในกรณีของคนที่มีพันธุ์หน้าอกเล็ก ปอดเล็ก ถุงลมเล็ก ถ้าเราฝึกให้รู้จักหายใจเป็น หายใจเข้า และออกยาวตั้งแต่เล็กๆ มันจะสามารถขยายทรวงอก ขยายโครงสร้างของร่างกาย และขยายอวัยวะต่างๆในร่างกายให้ทำงานได้เหมือนกับคนที่มีร่างกายแข็งแรงใหญ่ โต เรื่องนี้เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์

    หลวงปู่เคยใช้วิชาหายใจรักษาคนที่เป็นโรคปอด เป็นมะเร็งในปอด จนปอดเหลือข้างเดียว ตอนนั้นเค้าอายุ ๔๐ กว่า จนอยู่มาได้ถึง ๗๐ กว่า ด้วยวิธีการค่อยๆผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติ

    การหายใจเข้าลึกๆและผ่อนคลายออกยาวๆ นั้น มันจะสามารถขับความร้อนในกายที่เกิดจากการเสียดสีของการทำงาน มันจะขับของเสียที่มีอยู่ในกายออกไป ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องออกมาเป็นเหงื่อ

    แน่นอนละ ทางการแพทย์ย่อมรู้ว่า การขับ เหงื่อออกมาเป็นการดี เพราะสามารถจะระบายของเสียในร่างกาย แต่ของเสียในร่างกาย มิใช่ออกมาจากเหงื่ออย่างเดียว มันออกมาจากลมได้ก็มี

    พวกเราจะสังเกตเห็นว่า หลวงปู่ไม่มีเหงื่อหยดติ๋งๆ ไม่ใช่เพราะว่าต่อมต่างๆมันอุดตัน แต่หลวงปู่จะใช้วิธีการหายใจ ระบายของเสียโดยลม แต่ไม่ยอมให้ร่างกายเสียน้ำ เพราะถ้าเสียน้ำมากจะเพลียมากกว่าเสียลม คนที่เหงื่อออกมากๆ ในเวลาทำงานนั้น เมื่อเลิกทำงานจะรู้สึกเพลียและกะปลกกะเปลี้ยไปหมด คือว่าร่างกายเสียน้ำ ขาดน้ำ แต่หลวงปู่พยายามทำให้เหงื่อออกน้อยที่สุด แล้วพยายามระบายลมให้คงที่ เป็นปกติ ความเหนื่อยของเราก็จะผ่อนคลายออกมากับลมหายใจที่พ่นออก พลังเราก็จะเข้าไปกับลมหายใจที่ สูดเข้า และเมื่อถึงเวลา เราจะระบายของเสียอีกประเภทหนึ่งออกมา ก็คือ ปัสสาวะ ถ้าเราเหนื่อยจัด หรือว่ามีของเสียมาก เราจะรู้สึกปวดปัสสาวะ นี่คือเทคนิคของผู้ที่มีศิลปะในการกำจัดของเสีย

    พวกที่รู้จักการหายใจ มีศิลปะในการระบายลมหายใจ นอกจากร่างกายจะมีพลังปกติ โคจรได้อย่างสมบูรณ์ ยังมีเคล็ดวิเศษในวิชานี้อีก คือ สามารถดูดพลังจากธรรมชาติได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ถ้าไม่เชื่อ ลองถามลูกหลานที่เคยอยู่ใกล้หลวงปู่ว่า ถ้าหลวงปู่เป็นลมล้มลงไป จะไล่ทุกคนออกจากห้องทั้งหมด ขอเพียงอยู่ลำพังสัก ๓ - ๑๐ นาที หลวงปู่สามารถลุกขึ้นมาทำงานได้เป็นปกติทุกอย่างเหมือนมีพลังเท่าเดิม เพราะสามารถจะดูดพลังจากไอของความชื้น ความร้อน สุริยัน จันทรา และสิ่งแวดล้อมได้

    ใครจะปฏิเสธมั้ยว่า ผิวหนังสามารถจะหายใจและระบายของเสีย พร้อมๆ กับสูดเข้าได้ ถ้าปฏิเสธตรงนี้ ก็ต้องบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเชื้อโรคและของที่เป็นพิษเข้าทางผิวหนังได้อย่างไร นี่แหละศิลปะในการหายใจ ทำให้เราสามารถหายใจทาง ผิวหนังได้ สูดของเสียและระบายของเสียออกจากผิวหนังได้ ในขณะเดียวกันก็สูดอากาศเข้าสู่ผิวหนังได้ ก็อย่างที่เล่าว่าโยคีที่ฝังตัวเองไว้เป็นหายใจทางไหน ได้รับน้ำกับความชื้นจากอะไร ก็จากผิวหนัง นี่คือศิลปะการสูดลมหายใจเป็นปกติและเทคนิคพิเศษ

    พระศาสดาจึงยกย่องว่า

    "ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นธรรมอันใด อันเลิศเท่าอานาปานะ
    ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นธรรมอันใด อันเลิศเท่ากับการเจริญสติในลมหายใจ
    ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นธรรมอันใดเลิศเท่ากับการรู้จักจะผ่อนคลายลมหายใจให้เป็นจังหวะ สำหรับการมีชีวิตอย่างมีพลังและผาสุก"

    เทคนิคของลมหายใจ มิใช่เพียงแค่จะสามารถสัมผัสกับพลังพิเศษๆจากธรรมชาติอย่างเดียว มันสามารถซึมซับพลังพิเศษๆจากธรรมชาติได้ด้วย ในขณะเดียวกันเทคนิคของการหายใจเข้า ยาวและออกยาวนั้น สามารถทำให้เราขับไล่พลังร้าย อารมณ์ร้าย แล้วก็พิษร้ายๆในร่างกายได้อีก ซึ่งเราไม่คิดว่ามันจะทำได้ แต่มันก็ทำได้ผลจริงๆเสียด้วย

    หลวงปู่เคยใช้วิชาลมหายใจขับพิษงูสามเหลี่ยมออกจากกาย สยบพิษตัวต่อ ๑๔ ตัว ไม่ให้เข้าหัวใจ ใช้วิชาลมหายใจสกัดจุด โดยการระบายลม เดินลม ๗ ฐาน ให้เลือดเสียออกมาทางจมูกและปาก พยายามบังคับพิษไม่ให้ซึมเข้าสู่ในสมอง ในสายเลือด ในการหมุนเวียนของเลือด แล้วก็ควบคุมรักษาความสมดุลของหัวใจและการทำ งานของสมอง นอกนั้นก็ปล่อยให้พิษซ่านไปตามผิวหนัง เพราะแค่คุม ๒ จุดนี้ร่างกายของเราสามารถอยู่ได้ เราจะมีสติรู้ว่า หัวใจเราปกติมั้ย สมองปกติมั้ย พิษถึงสมองหรือเปล่า

    ฉะนั้นอำนาจของการหายใจ มิใช่เพียงแค่เราจะซึมซับพลังธรรมชาติ อณูของบรรยากาศเท่านั้น แต่ยังทำให้เราขจัดอำนาจของพิษร้ายที่เกิดจากภัยของสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์มีพิษทั้งหลายได้ และมันทำให้เราพร้อมที่จะตายอย่างเป็นผู้กล้าได้ด้วย

    มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงปู่ป่วย ไอเป็นเลือดตลอดเดือนเต็มๆ แล้วมีเสลดหนา ไออยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเสลดไปอุดหลอดลมไม่ให้หายใจ จึงหายใจไม่ ออก ขลุกขลักๆ ร้องเรียกใครก็ไม่มีใครได้ยิน ตอนนั้นมันหมิ่นเหม่กับมัจจุราช แล้วความตายมันใกล้เคียงกันถึงขนาดเส้นผมบังเท่านั้นเอง แต่ด้วยพลังของลมหายใจที่เคยฝึกปรือจนเป็นปกติ จึงใช้หลักการหายใจขับเอาพลังเสลดให้ไหลย้อนกลับลงไปในลำไส้ แล้วก็สูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง พ่นออกมาเป็นก้อนๆ ตั้งแต่นั้นมาก็หายไอ

    ศิลปะการหายใจที่เป็นปกติ เข้ายาวและออกยาว ตอนฝึกใหม่ๆเราจะรู้สึกอึดอัดและปวดหัว ทำให้หัวใจเต้นแรงแล้วก็เหนื่อย แต่อย่าไปเครียดกับการฝึก เราต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆช้าๆ แล้วก็ค่อยๆผ่อนออกมาช้าๆ เป็นระบบ

    จริงๆแล้วพวกทหารสอนวิธีนี้ แต่เป็นการสอนแบบชนิดที่ไม่รู้ว่ามันได้ประโยชน์อะไร สอนเพียงแค่จะให้ยกอกขึ้น ให้สูดลมหายใจเพียงแค่จะแบะอก แต่ศิลปะการหายใจมิใช่เพียงแค่ให้แบะอก คนที่หายใจเข้ายาวออกยาวนั้น โครงสร้างของร่างกายจะผึ่งผาย ด้วย จะทำให้โครงสร้างดี ถ้าฝึกตั้งแต่เด็กๆ

    ทีนี้ ทำอย่างไรถึงจะหายใจเป็น ก็เริ่มต้นจากการฝึกหายใจเป็นปกติเสียก่อน เราเคยรู้มั้ยว่าเราหายใจปกติ อย่างไร เข้ากี่ที ออกกี่ที ใน ๑ นาทีเข้ากี่ครั้ง ออกกี่ครั้ง เมื่อเรานับได้รู้ได้ว่า ๑ นาทีเข้ากี่ครั้ง ออกกี่ครั้ง ก็ทำให้มันช้าลงกว่านั้น แล้วเราจะรู้เทคนิคของมันเองว่า จะช้าได้อย่างไร ถ้าเราทำให้ยาวแล้ว มันก็จะยาวเป็นปกติ

    หลังจากที่เราเริ่มหายใจเป็นเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงในหนึ่งวัน มันจะมีสิ่งผิดปกติในร่างกายของเราบ่งบอกให้เห็น ลูกตาจะเป็นประกาย สีหน้าจะมีแสงสว่าง ถ้าเรามีดวงตาอันสว่างไสวและมองเห็น จับได้ จะสามารถรู้สัมผัสว่า รัศมีรอบกายจะสว่างรุ่งเรืองแค่ไหน มันอยู่ที่การเดินลมหายใจ เรียกว่า "ฉัพพรรณรังสี"

    พระพุทธเจ้า พระศาสดา พระสาวก มี "ฉัพพรรณรังสี" เพราะการฝึกปรือลมหายใจ วิชานี้ถ้าใครฝึกปรือได้ ก็จะสามารถเปล่งพลังแสงในร่างกายให้สว่าง การเปล่งนั้นคนสามัญจะสัมผัสและจับไม่ได้ แต่คนที่มีตาวิเศษ มีหูวิเศษ มีการสัมผัส ทางกายที่วิเศษ จะสามารถรู้ได้ว่า คนคนนี้สะอาดแค่ไหน บริสุทธิ์อย่างไร เหมือนกับคนที่รู้จักตัวหิ่งห้อยบินมาในความมืด คนที่ไม่รู้จักตัวหิ่งห้อยก็จะมองว่า เอ๊ะ...นั่นแสงอะไร แต่สำหรับคนที่เคยเห็นตัวหิ่งห้อย ก็จะบอกได้ทันทีว่า นั่นแสงหิ่งห้อย

    เมื่อเราสามารถหายใจยาว เข้าออกยาว จนสามารถสกัดจุดต่างๆในร่างกายได้ สกัดพิษได้ และทำให้ร่างกายสดชื่นในขณะที่สูญเสียพลังได้ เราจะแก่เพียงแค่อายุ เส้นผม ผิวหนัง สายตา แต่สิ่งแวดล้อมในตัวเราจะไม่แก่ตาม ร่างกายและสุขภาพเราจะยังสดใส มีพลัง มีสมดุล พอสมควรที่จะทำกิจกรรมได้

    ศิลปะการหายใจไม่ ใช่เพียงให้เรามีอำนาจพิเศษเพียงแค่นี้ มันยังทำให้เราสามารถสำรวจและสัมผัสรังสีที่เกิดจากคลื่นกระแสของความคิดที่ ชาวบ้านมีต่อเรา คือ อิจฉา โกรธ โลภ หลง รัก ชอบ ชัง ยอมรับและปฏิเสธ เราสามารถที่จะสัมผัสได้ละเอียดอ่อนถึงอย่างนี้ในอารมณ์ของคนอื่น เราจะรู้ได้ทันทีว่า คนที่มาหาเราจะมีความรู้สึก ความคิดอย่างไร สมองกำลังทำอะไร มีอารมณ์ปกติหรือผิดปกติอย่างไร โกรธหรือว่าชอบ รักหรือชัง การสัมผัสด้วยลมหายใจอันละเอียดอ่อน มันจะทำให้เราเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น อย่างทรงสติ แล้วเมื่อใดที่เราเหนื่อยอ่อน เมื่อยล้าจากการทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวดในอวัยวะทั้งหลายในบางที บางที่ บางตำแหน่ง บางส่วนของร่างกาย เราสามารถจะใช้ลมหายใจเข้าไปผ่อนคลายความเครียดตรงนั้นให้คลายความเจ็บปวด คลายความทุกข์ทรมานลงได้ จนเกือบที่จะหายสนิททีเดียว

    หลายครั้งที่หลวงปู่ใช้ศิลปะในการเดินลมหายใจเข้ามาผ่อนคลายความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ โรคภัยไข้เจ็บ หรือจากการเบียด เบียนของสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น ตอนที่หลวงปู่ทำศาลา แล้วเกือบโดนหินกระแทก ตอนนั้นหลวงปู่ต้องทำมือให้ลีบแล้วก็เกร็งพลังเพื่อที่จะต้านพลังของหินสอง ก้อนที่มากระทบกัน ซึ่งมีมือเราอยู่ตรงกลาง มันเป็นศิลปะที่เป็นไปโดยอัตโนมัติ ไม่ได้กำหนดโดยสมอง ไม่ใช่สมองสั่งงาน เรียกว่าเป็นอิริยาบถอัตโนมัติทันที เหตุเพราะเราได้ฝึกปรือลมหายใจจนเป็นปกติ เพราะฉะนั้นทุกอย่างมันจะเป็นอัตโนมัติของมัน ถ้าเราฝึกถึงขั้นหนึ่งแล้ว

    ถ้าเรายังไม่รู้ว่าการหายใจของเรานั้น เข้ายาวหรือออกสั้น เข้าสั้นหรือออกยาว ก็แสดงว่า เราไม่ได้ควบคุมการหายใจ เราก็ไม่ใช่ผู้ฝึกสมาธิ เราไม่เป็นสมาธิ ไม่รู้จักสมาธิ และนั่นก็ไม่ใช่สมาธิด้วย

    แต่ถ้าเมื่อใดที่เราสามารถระลึกรู้ได้ว่า ในขณะที่เรากำลังหายใจและการหายใจของ เรามันสั้นหรือยาว ออกยาวหรือสั้น เราระลึกรู้ได้และตามติดมันได้ มันจะสามารถบอกเราได้ทันทีว่าความสงบ สันติ จะเกิดขึ้น นั่นแหละคือสมาธิ เป็นสมาธิโดยไม่มีอะไรเข้ามาวุ่นวาย และคิดสับสนในขณะนั้น

    คำว่า "สมาธิ" ตัวนี้ แปลว่า ความคิดต้องรวมเป็นหนึ่ง หลวงปู่เคยสอนวิชานิรรูป ให้ลูกหลานรวมกายกับใจ ผนึกรวมกันเป็นหนึ่ง เหมือนกับน้ำที่วิ่งแยกออกไปคนละสายสองสายในสายท่อเดียวกัน น้ำที่วิ่งออกจากตาเห็นรูป เป็นพลังที่สูญเสีย วิ่งจากหูฟังเสียง เป็นพลังที่สูญเสีย วิ่งจากลิ้นที่รับรส เป็นพลังที่สูญเสีย วิ่งออกจากกายไปต้องสัมผัส เป็นพลังที่สูญเสีย ถ้าสายน้ำในท่อไหลแยกออกที่รูรั่วตามจุดต่างๆ ๕ แห่ง มันคงจะไหลไปถึงเป้าหมายอย่างอ่อนแรงเป็นแน่ แต่ถ้าเราอุดรูรั่วทั้งห้าให้หมด แล้วปล่อยให้มันไหลตรงๆไปข้างหน้า แน่ละมันย่อมทะลวง ทำลาย และก็ทลายภูเขา หินผา ที่อยู่ข้างหน้า เพราะมีพลังที่แรงและมั่นคง

    ฉันใดก็ฉันนั้น พลังสมาธิของเราก็เหมือนกัน ถ้าปล่อยให้มันลื่นไหลไปกับความรู้สึกอื่นๆ ซึ่งจัดว่าเป็นอารมณ์ นั่นไม่ใช่สมาธิ เราจะสูญเสียพลัง

    พวกเราฝึกปรือและเรียนรู้ที่จะใช้พลัง แต่ไม่ฝึกปรือที่จะทำให้เกิดพลัง ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เราพยายามที่จะเค้นเอาพลังจากส่วนนั้นส่วนนี้มาใช้ แต่เราไม่รู้ว่าพลังเหล่านี้เกิดมาจากอะไร เราจะอ้างว่าพลังเกิดจากร่างกาย แต่จริงๆ แล้วพลังไม่ใช่เกิดจากร่างกายโดยตรง มันเป็นผลทางอ้อมทั้งนั้น ไม่ว่าพลังจะเกิดจากอาหาร เกิดจากการผ่อนคลาย เกิดจากการพักผ่อน ไม่ใช่โดยตรง แต่พลังที่สุดยอดนั้นมันเกิดจากหัวใจที่รวมเป็นหนึ่ง กับกายและพักผ่อนได้อย่างสนิท เวลาเราง่วง เพลีย เราก็อยากจะพัก ใจมันก็อยากจะพัก สมองก็อยากจะพัก แต่เราไม่เคยพักใจพักสมอง เพราะแม้แต่ตอนนอนก็ยังฝัน ใครจะปฏิเสธว่าไม่จริง

    เพราะฉะนั้นพลังที่ควรจะได้ ไม่ใช่ได้จากอาหารอย่างเดียว ไม่ใช่ได้จากการนอนหลับพักผ่อนอย่างเดียว ไม่ใช่ได้จากการที่ ต้องไปดูหนังดูละคร พักผ่อนเล่นดนตรีอย่างเดียว แต่มันต้องได้มาจากความสงบและสันติของจิต ซึ่งไม่มีอะไรมากระทบรบกวน เรียกว่า "สมาธิ" นั่นแหละเป็นพลัง เราไม่ค่อยฝึกปรือที่จะสร้างพลัง มีแต่ฝึกปรือที่จะใช้พลัง และเพียรพยายามที่จะเค้นเอาพลัง ทั้งๆที่บางทีก็ไม่มีพลัง

    ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงต้องทรงสอนให้เราพยายามเข้าถึงจุดกำเนิดแห่งพลัง และในจุดกำเนิดแห่งพลังอันนั้นก็คือ "ศิลปะของการหายใจ"

    เรารู้กันมาแล้วว่า คนที่หายใจสั้น สัตว์ที่หายใจสั้น จังหวะสั้น เป็นคนที่ไร้พลัง เป็นสัตว์ที่ชีวิตสั้น เป็นผู้มีอายุสั้น คนที่หายใจยาว สัตว์ที่หายใจยาว มีจังหวะเข้ายาวออกยาว เป็นคนมากพลัง มีชีวิตอันยาวไกล

    เมื่อรู้อย่างนี้ เราก็ต้องกลับมาสร้างพลังให้เกิดขึ้นภายใน เรียกภาษาโบราณของจีนว่า กำลังภายในพลังปราณ เมื่อเรามีกำลังภายในเกิดขึ้น มันจะทำให้เกิดผลสะท้อนออกมาถึงพลังภายนอกอย่างกล้าแข็ง

    ลูกศิษย์ของหลวงปู่คนหนึ่ง เรียนลัทธิเต๋า ตอนหลังมาศึกษาวิชาชี่กง แต่ก็ยังไม่เข้าถึงขุมพลังแห่งร่างกาย ต่อมาหลวงปู่สอนให้เค้าเดินลม จนสามารถที่จะตบกำแพงตึกห้องที่หนึ่ง สะเทือนไปถึงกำแพงตึกห้องที่สิบ คนอยู่ห้องที่สิบได้ยินเสียงตบด้วยฝ่ามือ กำแพงไม่ได้ทะลุหรอกนะ แต่มันกระเทือนไปถึงตรงนั้นได้ ซึ่งคนธรรมดาตบแล้วกระเทือนไม่ได้ เอาฆ้อนตียังกระเทือนไม่ได้ กระแทกจนกำแพงทะลุก็ยังกระเทือนไม่ถึงห้องที่สิบ

    พลังชนิดนี้ มันเป็นพลังแฝงที่อยู่ภายใน เรียกว่า "พลังพันธาริณี" เป็นภาษา สันสกฤตโบราณ คนโบราณในอินเดียรู้จักจะฝึกปรือพลังชนิดนี้เอามาใช้เมื่อยามจำเป็น เช่น นักมวยปล้ำ พวกที่ต้องจับช้าง สู้กับเสือ กับกระทิง พวกนี้จะฝึกปรือพันธาริณี เพื่อที่จะสยบช้าง สยบสิงโต สยบเสือ ด้วยมือเปล่า ไม่ใช่ด้วยอาวุธ ๑๐ ปียังไม่ตาย เค้า
     
  17. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขอบคุณสำหรับคำแนะนำอีกครั้งครับ
    เดี๋ยวต้องขอลองก่อนนะครับ


    ...............................
     
  18. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    หลังจากที่ได้พลังนี้แล้วควรใช้ให้ถูกต้อง ไม่ไปรบกวนสรพพสิ่งอื่น
    ให้มองดูการเล่นละคร ขอให้เป็นผู้ดู ดูให้เกิดปัญญา
    ดูอะไร เห็นอะไร ก็สักแต่ว่าเห็น อย่าเอามาปรุงแต่ง หาปัญญาให้พบ
    เห็นคนทะเละกัน ดูว่า นี้คือการละเลาะกัน การทะเละกันมันเป็นอย่างนี้ อาการอย่างนี้การแสดงออกอย่าง นี้อะไรทำนองนี้ละครับ เมื่อเราเห็นจิตมันรู้ มันจะวางไว้ เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีก จิตมันจะบอกว่า ออ้นี้คือการทะเลาะกัน มันจะเกิดอะไรขึ้น มันมาจากไหน จิตมันจะมองเห็นทันที เพราะมันรู้แล้ว มันวางไว้แล้ว
    ทีนี้เราก็ดูเรื่องอื่นๆต่อไป เห็นไป รู้ไป วางไป
    จิตที่วางออกมากๆ มันก็เริ่มว่าง ยิ่งวาง ยิ่งว่าง เมื่อว่างพลังอำนาจของจิตยิ่งมาก จะใช้หรือไม่ใช้ก็ยิ่งมากขึ้น จิตยิ่งใส ยิ่งสะอาดขึ้น วางออกไปทีละเรื่อง จิตจะวางได้จิตมันต้องรู้หรือเกิดตัวรู้ขึ้นเสียก่อน เมื่อมันรู้แล้วมันจะไม่สนใจ มันรู้แต่ไม่สนใจไม่นำมาปรุงแต่งหรือที่เรียกว่า จิตอุเบกขา แบบที่ว่า รู้นะแต่ไม่แสดงออกทำนองนั้น ไม่ใช่ว่างๆโล่งๆ อย่างนั้นไม่ถูกหรอก มันวางไม่ได้หรอกเพราะจิตยังรู้ไม่จิตยังรู้ไม่แจ้ง ให้ละวางความโกรธ ความโลภ ความหลง หาตัวโกรธ ตัวโลภ ตัวหลงให้เจอ หายังงัยก็ที่บอกมานั่นแหล่ะ ให้ดูมันให้ดูตัวเราขณะที่เกิดอาการนั้นๆว่ามันเป็นอย่างไรบอกจิตว่า นี้คืออะไร
    ไม่ใช่พอโกรธมากๆไปนั่งสมาธิ ไปสวดมนต์ มันก็ยังมาโกรธอีกเพราะ จิตมันยังไม่รู้ ทำจิตให้มันรู้ เมื่อรู้แล้วมันจะวางของมันเอง วางมากๆมันก็ว่าง ว่างเข้าๆๆๆๆ มันก็เบาเมื่อจิตเบามากๆ มันก็อยู่ไม่ได้ในโลกนี้ โลกหน้า จักรวาล เอกภพ มันอยู่ไม่ได้มันเบามากๆ มันก็หลุดออกไป จิตมันรู้แล้วรู้หมดแล้วมันไม่เอาแล้วโลกนั้ โลกหน้า ไม่มาอีกแล้ว ก็นิพพานไปแค่นั้น เท่านี้จริงๆ ไม่มีอะไรสลับซับซ้อนมากกว่านี้
     
  19. wangwang

    wangwang เมตตาคุณณัง อะระหังเมตตา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    406
    ค่าพลัง:
    +629
    ขอบคุณครับ บรรยายได้เยี่ยมมากครับ
     
  20. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เมื่อคืนนี้ผมลองใช้วิธีที่คุณ ดูท่านอยู่นะครับ แนะนำมาดูแล้วนะครับ
    ที่ว่าให้กำหนดไปตามจักระต่างๆจาก 1 -7 ด้านหน้า แล้วไล่ลงด้านหลัง
    แล้วกำหนดจักรแก้วหมุนจาก 7 ลงมา 1 นั้น

    รู้สึกดีครับ กำหนดได้หมด แม้ว่าจะไม่เห็นขนาดใสกิ๊ก และสว่างจ้านักก็ตาม
    แรกๆก็ไม่มีอาการอะไรครับ แต่พอกำหนดจักรแก้วหมุนแล้ว
    กายก็เริ่มสั่นอีกครับ แต่มันเป็นการสั่นแบบสบายตัว
    ยิ่งสั่นก็ยิ่งมัน ก็เลยปล่อยให้มันโยกและเขย่าไปตามใจชอบ

    แล้วพอเริ่มกลั้นหายใจดึงพลังขึ้นในแต่ละรอบรู้สึกทรมานพอควร
    เพราะกลั้นจนปัสสวะจะราดเลยหละครับ แล้วทุกครั้งที่กลั้นไปใกล้จะไม่ไหวแ้ล้ว
    ก็จะสังเกตได้เองว่ามันจะมีแรงดึงพลังขึ้นมาของมันเอง
    และโดยใช้จิตช่วยกำหนดดึงมันขึ้นมาด้วย ก็รู้สึกได้ถึงพลังเย็นๆอยู่เหมือนกัน

    แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่สำเร็จครับ เพราะพลังร้อนๆยังไม่ขึ้นมาครับ
    ขึ้นมาแต่พลังเย็นๆบางๆ ซึ่งอาจจะเป็นปลายหางมันกระมัง

    แต่ก็น่าจะมีเค้าอยู่นะผมว่า เดี๋ยวคืนนี้ฝึกต่อครับ และพอถึงตรงนี้
    ขอคำอธิบายเกี่ยวกับขั้นตอนการกลั้นหายใจดึงพลังอีกรอบได้ไหมครับ
    เพราะยังไม่แน่ใจเรื่องความถี่ และจำนวนครั้งของการกลั้นหายใจหนะครับ

    คือปกติถ้าเรากลั้นหายใจจนสุดทนแล้ว เราก็จะปล่อยออกมา
    แล้วร่างกายเราก็จะหอบเหนื่อยอยู่พักหนึ่ง อันนั้นควรจะรอมันหายก่อนไหมครับ
    หรือว่าเอาต่อเลย

    อีกนิดครับ คือวิธีกลั้นหายใจนี่ บางทีผมก็ใช้วิธีสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วกักไว้
    แต่บางทีผมก็ใช้วิธีค่อยๆสูดลมหายใจเข้าไปเรื่อยๆช้าๆ กำหนดดึงพลังขึ้นไปด้วย
    จนสุดลมหายใจแล้วก็ยังสูดต่อไปจนกว่าจะทนไม่ไหวแล้ว อะไรแบบนั้นครับ
    ไม่รู้ว่าแบบไหนถูก หรือว่าใช้ได้ไหมครับ ขอคำแนะนำต่อด้วยนะครับ

    ขอบคุณครับ
    .....................


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...