พลังอำนาจแห่งความรัก

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย jityim, 30 มิถุนายน 2016.

  1. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ความรักเป็นแรงดึงดูดทางใจอย่างหนึ่ง
    แรงดึงดูดนั้นคืออะไร...สิ่งใดที่เป็นแรงดึงดูดต่อกัน
    พลังงานของกรรมดี และ กรรมชั่ว
    ที่ทำร่วมกัน..เป็นแรงดึงดูด..ให้ได้เจอกัน

    เอ! หนูสงสัยมานานแล้วนะ
    ว่าถ้าตายจากกันแล้ว มาเจอะเจอกันได้อย่างไรถูก
    เอาแค่คนรู้จักกันในชาตินี้ บางทีรักสุดชีวิต
    พอมีเหตุให้พลัดพรากหลาย ๆ ปี แล้วคิดถึงกันขึันมา
    ต่อให้พลิกแผ่นดินหาแทบตายก็ไม่เจอ
    ขนาดจงใจหายังไม่เจอ แล้วอะไรที่เหวี่ยงให้มาเจอกัน
    ทั้งที่ลืมกันหมดสิ้นได้



    กรรมเป็นเรื่องซับซ้อน หนูต้องเข้าใจ ต้องหยั่งรู้ว่า
    ลำดับการให้ผลของกรรมเป็นอย่างไร
    แล้วจะรู้สึกว่า พวกเราเหมือนมีแม่เหล็กติดตัว
    วิ่งไปตามเส้นทางใด ก็มีผลดึงดูดบุคคลหรือ
    กลุ่มบุคคลที่มีบุพกรรมร่วมกันมาเจอกัน
    ใครมีอิทธิพลกับชีวิตเรามาก ...
    ให้ผลเปลี่ยนแปลงทางดีหรือทางร้ายได้รุนแรง
    ก็หมายความว่าเราหลีกเลี่ยงเจอคนนั้นไม่ได้

    หลักการคือ ถ้าผูกเหนียวแน่นกับใครมาก ๆ
    จะมีลักษณะฝังลงในส่วนลึก หยั่งรากสัมพันธ์
    ได้ถึงส่วนชนิดถึงติดวิญญาณข้ามภพข้ามขาติได้
    เมื่อพบกันอีกครั้งก็จะมีสัญญาณในจิต
    กระตุ้นให้ตื่นตัวรับรู้ มีสายใยเชื่อมติดทันที
    จึงเหมือนคุ้นเคยกันในทางใดทางหนึ่ง
    นี่เป็นในแง่ของความทรงจำ



    การดึงกันปฏิบัติธรรมนั้นเป็นการสร้างแรงดึงดูด
    ที่เหนือแรงดึงดูดด้วยกรรมร่วมชนิดอื่นใดทั้งสิ้นทั้งปวง
    เป็นตัวสร้างความนับถือกันและกันอย่างสูง
    เป็นตัวสร้างความสมานฉันท์กลมเกลียว
    ที่แนบแน่นลึกลงไปถึงส่วนลึกที่สุดของจิตใจ



    สรุปทางโลกคือ รักแท้มีจริงขึ้น
    ได้ด้วยปฐมเหตุคือ ใจดี ๆ แบบที่หากยาก
    จึงได้รับความสุขอันเป็นไปได้ยาก
    การทำให้ใครสักคนอบอุ่นสมหวัง
    ต้องใช้ความเข้มแข็งและความเมตาเหนือสามัญมนุษย์
    สามารถหยิบยื่นสิ่งที่คนทั้งหลายยาก
    จะมอบให้แก่กันและกันเป็นผู้ก่อศักยภาพ
    ในการก่อความผูกพันอันเหนียวแน่น
    ซาบซึ้ง รุนแรง ระดับที่สามารถประทับ
    ลงในใจ
    อีกฝ่ายหนึ่งไปจนข้ามภพข้ามชาติ

    แต่มีความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่านั้น
    มีคุณค่ายิ่งกว่านั้น..

    ถ้าเราสามารถทำให้ใครสักคน
    ตาสว่างด้วยการเห็นธรรมะ
    ถ้าเราสามารถทำให้ใครสักคน
    อบอุ่นใจด้วยการให้ธรรมะเป็นที่พึ่ง
    ความรู้สึกมันยิ่งกว่าทำให้คนรักปิติ
    ด้วยของกำลังล้ำค่าใด ๆ
    เพราะการมีตาที่สว่างและใจที่อบอุ่น
    ด้วยธรรมะนั้น จะติดตัวทั้งสองฝ่าย
    ตราบจนแยกจากกันเข้าสู่นิพพาน
    ที่ไม่มีอะไรมาทำให้เกิดความร้าวฉาน
    แก่สัมพันธภาพระหว่างกันได้อีก

    แต่ถ้า........


    เมื่อประพฤติผิดทางเพศ
    ย่อมมีแรงเหวี่ยงกลับ
    มาเป็นเรื่องราวผิด ๆ ทางเพศ
    และ จะออกไปในทาง
    เวรภัยรูปแบบต่าง ๆ
    เป็นสาเหตุหนึ่งของการเป็น "คู่เวร"


    การคบชู้กันอาจก่อให้เกิด
    สายใยผูกพันเพราะร่วมทำผิด
    มาด้วยกัน พอเจอกันในชาติใหม่
    ถ้าหากเป็นมนุษย์.....
    ก็มักจะมีความกระสันใคร่
    อยากในทันทีที่เห็นกัน
    แต่มักมีอาการขุนลุกระคนอยู่ด้วย
    เพราะบาปเก่ามาเตือนว่า
    สัมพันธ์ระหว่างกันมีแรงดึงดูด
    เข้าหากันแต่เรื่องสกปรก
    อีกอย่างหนึ่งเวลาที่เจอกัน
    มักอยู่ในจังหวะเวลาผิด ๆ
    หรือมีเหตุการณ์ไม่ดีเป็นลางร้าย
    ก็มีเหตุให้ทะเลาะเบาะแว้ง
    มีเหตุให้เกลียดชังกันอย่างรุนแรง
    หรือ กระทั่งอยากฆ่าแกง
    กันด้วยความทนไม่ได้ ก็มี....


    สัญญาณเตือแรกคือความรู้สึกผิดรุนแรง
    สัญญาณเตือนที่สองเมื่อฝืนทำไประยะหนึ่งไม่เลิก
    ได้แก่ ความรู้สึกมืดมนและการมองโลกแง่ร้าย
    สัญญาณเตือนที่สามเมื่อขืนยังทำอยู่อีก
    ได้แก่ ความรู้สึกชาด้านและเหลือสำนึกผิดชอบ
    ชั่วดีน้อยลงทุกทีตรงนั้นยิ่งอันตรายแล้ว
    เพราะเมื่อทำบาปโดยปราศจากความละอาย
    ก็ย่อมก่อบาปได้ทุกชนิดโดยไม่รู้สึกว่าเป็นบาป
    เงาดำของกรรมจะห่อหุ้มจิตวิญญาณ
    หนาทึบขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้แม้ด้วยตาปล่า
    คือ สีหน้าผู้ชุ่มด้วยบาปจะหมองคล้ำ
    หาสง่าราศรีไม่ได้เลย



    ถ้าเรายอมตามแรงดึงดูดของกาม
    จิตวิญญาณเราจะตกต่ำลงเรื่อย ๆ
    เพราะกามเป็นสิ่งมีแรงดึงดูดให้เราลงต่ำ
    ทำนองเดียวกับแรงดึงดูดของโลก
    ที่ถ้าเราไม่มีพื้นที่ยืนมั่นคงพอ
    ก็จะตกร่วงลงไปเรื่อย ๆ สำหรับ"พื้นยืน" ที่ดี
    ที่จะทำให้เราไม่ตกต่ำตามแรงดึงดูดของกาม
    ก็ได้แก่ ศรัทธาในกรรมวิบาก ตั้งใจรักษาศีล
    โดยเริ่มเจตนางดเว้นจากการประพฤติผิดทางกาม
    อย่างเด็ดขาดไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์
    ยั่วยวนหรือควรสมยอมขนาดไหน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2016
  2. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,204
    คุณจะไม่มีทางก่อร่างสร้างรากแห่งความรักจากการคิดคดทรยศ หรือด้วยคำพูด่าทอทิ่มแทง หรือด้วยการประพฤติผิดนอกใจ หรือด้วยการร่วมกันคดโกงคนอื่น หรือด้วยการร่วมกันสร้างความร้าวฉานขึ้นในสังคม รากของความรักต้องเกิดจากการสะสมอะไรดี ๆ ร่วมกันทั้งปัจจุบันและอดีตเท่านั้น

    ความรู้สึกรักเป็นสิ่งที่จงใจสร้างไม่ได้ เพราะเป็นภาวะธรรมชาติทางอารมณ์ที่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยถึง 2 ประการ ประกอบกัน หนึ่ง ต้องเคยอยู่ร่วมกันแต่ปางก่อน สองคึอต้องเกื้อกูลกันในปัจจุบัน จึงจะรู้สึกเข้ากันได้ และสนิทใจพอจะอยู่ด้วยกัน ตลอดจนเต็มใจสร้างเรื่องราวน่าประทับใจร่วมกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233

    ชอบวรรคนี้เป็นพิเศษ
    อยากให้บางท่านที่กำลังหน้ามืด
    เข้ามาอ่านบ้างจัง..[Embarrass
     
  4. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    ไม่รู้จักความรัก
    แล้วมาร้องโหยหาความรัก
    จะได้มันมาครอบครองมั้ย?ขอถามสิ
    เมื่อไรจะตื่นกันซ่ะที
    ที่เห็นอยู่เกลื่อนตาราคะล้วนๆ
    ปล.พลังอำนาจแห่งรักที่บริสุทธิ์น่าทนุถนอม.มีอยู่จริง
    แต่ที่เห็นส่่วนใหญ่ตัณหาทั้งนั้น..ขอบอก:cool:
     
  5. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    พูดแล้วของขึ้นเลย
    ปล.โทษทีนะ จิตยิ้มมม..yimm
     
  6. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,204
    อำนาจแห่งรักมันก็แปลกอย่างหนึ่งค่ะ
    ทำไมทุกคน..จึงต้องมีความรัก..และทำไมจึงไร้รักกันไม่ได้
    สงสัยไหมค่ะ..ว่า..ที่ใครที่ต้องการตัวตนแห่งความรัก
    ถ้าพูดถึงคำว่ารัก...มีใครไหมค่ะ..ที่จะไม่สนใจ..
    แต่ว่า..เมื่อเราไร้รักกันไม่ได้..จะเป็นรักในลักษณะแบบไหน
    ที่จะเป็นวิถีนำไปสู่จุดหมายปลายทาง

    ลองดูข้อความนี้ก็ได้ค่ะ...

    ในชีวิตจริงมันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะสร้างภาวะคู่ทองคู่ธรรมระดับนี้ในชาติเดียว ต้องเคยทำบุญกับพระพุทธเจ้าหรือเหล่าพระอรหันต์มาด้วยกัน และต้องมีกำลังใจอยากครองคู่กันขนาดเคยเปล่งวาจาอธิษฐานแบบเต็มปากเต็มคำมาด้วยกัน และก็ต้องเคยอยู่ร่วมกันบ่อย กระทั่งรากแก้วมีขนาดมหึมา หยั่งลึก แตกกิ่งสาขาเป็นรากแขนงและรากฝอยอนันต์เท่ากับจำนวนภพชาติที่ครองกันมาโดยดีด้วย

    คู่บารมีจะถูกกระแสบุญหว่านล้อมให้ใหลหลงติดใจกัน ทั้งในระดับหยาบ ระดับกลาง และระดับละเอียด คือ

    ระดับหยาบ หมายถึงความดึงดูดให้ปราถนาในรสสัมผัสของกันและกันอย่างยิ่งยวด มันไม่ใช่ความรู้สึกแค่ด่วนได้กระหายหื่น แต่เป็นความรู้สึกตื่นเต็มและพร้อมรับผิดชอบเยี่ยงเจ้าของเดิม ซึ่งต่างก็มีความสามารถครอบครองกันและกันอยู่แล้ว

    ระดับกลาง หมายถึงความเต็มใจจะเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตของอีกฝ่าย คือ เต็มใจดูแล และพร้อมจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของสังขารของกันและกัน จนกว่าความตายจะมาพรากจากกัน คนเราอยากได้ความอบอุ่นใจจากอะไรก็อย่างนี้แหละ ถึงเพียรหาคู่แท้ ไม่ใช่แค่คู่นอน

    ระดับละเอียด หมายถึง รู้สึกร่าเริงบันเทิงใจที่จะได้ร่วมบุญร่วมกุศลเกินบรรยาย หากเคยทำบุญยิ่งใหญ่กันมาหลายภพหลายชาติ แค่ครั้งแรกที่ใส่บาตรร่วมกันก็อาจบันดาลให้ตื้นตันเหมือนขึ้นสวรรค์เลยทีเดียว ความปราถนาจะทำอะไรดี ๆ ร่วมกันนี้ ในกรณีส่วนใหญ่เป็นตัวชี้วัดเลยว่าใช่คู่บุญแน่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    ตราบใดที่ใจยังมืดบอดด้วยตัณหาราคะ
    ตราบนั้นก็ไม่มีวันมองเห็นความรักได้หรอก
    เราจะบอกเจ้าทั้งหลายไว้แบบนี้
    จงพิจารณาด้วยเถิด.เอเมน..
    โมทนาสาธุ...:cool:
     
  8. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,204
    เป็นแบบกรณีไหนค่ะ ใจที่มืดบอดด้วยตัณหาราคะ
    สัญญลักษณ์การมีเพศ นั่นคือที่มาของรากราคะ
    เพราะการมีราคะ ก็คือ การบ่งบอกว่าเกิดมามีเพศ

    ใจที่มืดบอดด้วยตัณหาราคะ ถ้ายุคในสมัยปัจจุบันนี้ สิ่งที่น่าจะสื่อได้ดี
    ก็คือ "รักคนมีเจ้าของอย่ามองหน้า อยากหายบ้าให้จ้องเท้า" (ดังตฤณ)

    เลือกข้อความนี้มาให้ค่ะ....

    คนที่ใช่จะมาเจอกันในเวลาที่ไม่มีสิทธิ์ได้อย่างไร

    คบไปรังแต่จะมุ่งหน้าสู่...ดงงิ้วกันเปล่า ๆ

    จริงอยู่ครับ มีอยู่จริง ๆ ที่เป็นคู่บุญติดตามกันมาหลายภพหลายชาติ แต่ดันไปเป็นของคนอื่นเสียก่อน แล้วก็ต้องเกิดความทรมานใจกัน แต่ขอให้จำไว้เถิดว่า ต่อให้ครองคู่กันมาเป็นล้านชาติ ก็หาได้ทำให้ชาตินี้ "ใช่" เหมือนชาติอื่นๆไม่ ในเมื่อพลัดพลูไปมีเจ้าของเสียก่อนแล้ว

    ให้เร่งรู้ตัวไว้เสียว่าบาปบางอย่างที่ทำไว้ร่วมกัน สลัดกั้นไม่ให้ร่วมเรียงเคียงกันอีกในชาตินี้ เพื่อล่อลวงให้พวกคุณประพฤติผิดประเวณีกัน หรืออ้อนวอนให้อีกฝ่ายทรยศคู่ครอง ซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มน้ำหนักบาปใหป้ความสัมพันธ์ข้ามภพข้ามชาติเข้าไปใหญ่

    คนเราเข้าคู่กันด้วยกำลังบุญ แล้วก็แยกคู่กันด้วยกำลังบาป คุณจะครองคู่กันเป็นสุขด้วยหนทางแห่งบาปเวรได้อย่างไร

    เว้นแต่พวกเขาจะเลิกกันเอง โดยคุณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ เลย แม้การส่งสัญญาณยักคิ้วหลิ่วตาใด ๆ ใส่เกียร์ถอยลูกเดียว ห้ามล่วงล้ำไปข้างหน้าอีกแม้แต่หนึ่งคืบ

    หากปวดแสบปวดร้อน ทรมานใจเพราะต้องเจอหน้ากัน ก็ให้พิจารณาว่าใบหน้าคนเราเป็นจุดศูนย์กลางกลางความดึงดูด จ้องมองใกล้ ๆ หรือแอบมองห่าง ๆ รังแต่จะทรมานเปล่า ให้เปลี่ยนไปจ้องเท้าแทน นานไปพอไม่เห็นหน้าเห็นแต่เท้าอยู่เรื่อย ๆ ใจคุณก็จะเลิกยึดมั่นถือมั่น คลายมนต์สะกดแห่งบาปเวรที่ผูกมัด กลายเป็นอิสระโล่งอกไปเองครับ

    สรุปคือคนมีเจ้าของไม่ใช่คนที่ใช่แน่ ๆ ถ้าคุณจะฝืนเยื้อเอามา ก็เท่ากับเอาคนที่ไม่ใช่มาบดบังคนที่ใช่ ซึ่งอาจกำลังเดินตามหลังมาไม่กี่ก้าว

    คู่เทียมเจอเมื่อไรก็ได้ แต่คู่แท้ต้องเจอในจังหวะที่พร้อมจะรักกันจริงเท่านั้น ถ้าเห็นค่าของคนที่มีค่าไม่ได้ คุณจะไม่มีวันเจอคนที่ใช่เลย ต่อให้เขานั่งอยู่ตรงหน้าก็ตาม และนั่นที่ทำให้คนจำนวนมากต้องมานั่งเสียดายอดีต

    แต่นั่นแหละเวลาเป็นสิ่งที่ย้อนทวนไม่ได้ เมื่อครั้งนั้นไม่พยายามรักษาเขาหรือเธอไว้ ปล่อยให้หลุดมือไปแล้ว ก็สายไปแล้ว นี่คือข้อคิดควรจำที่จะทำให้คุณปลงตกนะครับ ถึงคนที่ใช่ แต่เวลาไม่ใช่ ก็แปลว่าไม่ใช่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images (2).jpg
      images (2).jpg
      ขนาดไฟล์:
      13.3 KB
      เปิดดู:
      40
    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.6 KB
      เปิดดู:
      34
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2016
  9. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,204
    อาการที่ถูกต้องของการถอนพิษรักนั้น ไม่ใช่พยายาม "ตัดใจ" เพราะใจเป็นสิ่งที่ไม่มีคมมีดชนิดไหน ๆ ตัดได้ขาด พฤติกรรมทางจิตที่ถูกต้องคือ "สละออก" ซึ่งเป็นอาการที่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคย เนื่องจากเคยชินที่จะ "เอาเข้าตัว" กันทั้งนั้น ซึ่งนั่นแหละครับคือการเพาะนิสัยหวงทุกข์ หวงยางเหนียวยึดติดกับปฏิกูลทางอารมณ์โดยแท้

    แต่ละคนมีพลังหรือศักยภาพในการสละออกแตกต่างกัน

    และศักยภาพดังกล่าวนี้ไม่ใช่มีกันด้วยความบังเอิญ กับทั้งไม่ใช่ความสามารถเฉพาะทาง จิตที่มีดี ที่สามารถสลัดขยะหรือปฏิกูลทางอารมณ์ออกได้ง่ายนั้น คือ จิตของผู้ที่เคยชินกับการสละออกเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่เฉพาะเรื่องรักใคร่หรือเงิน ๆ ทอง ๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง

    นี่เป็ฯการมองภาพกว้างภาพรวม ถ้าคุณอ่านเกมของจิตออก จะเห็นความสัมพันธ์ทั่วถึงกันหมด ไม่มีใครฝึกเป็นผู้ชำนาญเฉพาะทางในการตัดรัก แต่ทุกคนสามารถฝึกที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสละอารมณ์ส่วนเกินกันได้ทุกแง่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images (9).jpg
      images (9).jpg
      ขนาดไฟล์:
      17.3 KB
      เปิดดู:
      43
    • images (4).jpg
      images (4).jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.2 KB
      เปิดดู:
      37
    • images (5).jpg
      images (5).jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.9 KB
      เปิดดู:
      40
    • images (10).jpg
      images (10).jpg
      ขนาดไฟล์:
      9 KB
      เปิดดู:
      43
  10. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,204
    สิ่งนั้นเป็นแค่ความรักในแง่ของพื้นฐานแห่งรัก
    พื้นฐานแห่งรักที่แข็งแกร่ง..เป็นแรงบันดาลใจ
    มอบให้แก่ความรักแก่อิสระชนทั่วไป
    รักอย่างไรจึงเรียกว่า"รักแบบสากลจักรวาล"
    เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ติดตัวมาพร้อมกับจิตวิญญาณ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ในสนามพลังงานจักรวาล ทุกสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ร่วมกันนี้ ต่างถูกกำหนดหน้าที่ช่วยค้ำจุนซึ่งกันเพื่อสร้างความสมดุลให้แก่กัน เพื่อสร้างเสถียรภาพร่วมกันอย่างเป็นระบบ

    ระบบสุริยะจักรวาล ที่มีดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์ทั้ง 9 โดยมีดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลาง ทุกดวงต้องสั่นสะเทือนพลังงานภายในตนเองในรูปของคลื่นความถี่ไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก ที่ต่างต้องมีหน้าที่หยิบยื่นคลื่นพลังงานด้านบวกของตนให้แก่ผู้อื่น เพื่อเชื่อมโยงกันและค้ำจุนความสมดุลทางพลังงานของกันและกันไว้ให้มั่นคง ไม่ทอดทิ้งกัน

    พลังงานด้านบวก ที่ดาวแต่ละดวงต่างหยิบยื่นออกมาเพื่อยึดรั้งเชื่อมโยงกันไว้ คือพลังอำนาจแห่งการเหนี่ยวรั้ง หรือ "แรงดึงดูด" ระหว่างมวล หรือ แรงดึงดูดระหว่างสรรพสิ่งนั่นเอง

    ที่เป็นสัจธรรมเป็นครูให้ได้เรียนรู้ เพราะว่า...มนุษย์ก็เป็นสิ่งหนึ่งในจักรวาลนี้...ก็มีหน้าที่ไม่แตกต่าง

    ก็มีหน้าที่ต้องกระทำดังกล่าวนี้ด้วยกัน คือ สร้างพลังงานด้านบวกภายใน แล้วน้อมนำออกมาเพื่อหยิบยื่นให้แก่มนุษย์ด้วยกัน และทุกสิ่งบนดาวเคราะห์โลกใบนี้ให้ได้ เพราะมันคือหน้าที่หลักของตน คิดดี ทำดี พูดดี ต่อผู้อื่น เพราะมันคือกฏของสากลจักวาล ที่ส่วนใหญ่ไม่รู้เพราะตามองไม่เห็น เมื่อไม่เห็นจึงไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง

    ทุกวันนี้ทุกคนยังไม่รู้ว่า ตนก็เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล ที่จะต้องทำเหมือนดวงดาวแต่ละดวงในจักรวาลกระทำต่อกันเพื่อสร้างความเป็นระบบเดียวกันอย่างมั่นคงด้วยการเหนี่ยวรั้งผู้อื่นเอาไว้กับตนเองด้วย พลังงานด้านบวกจากแก่นแท้ของตนเสมอ

    พลังงานด้านบวก ก็คือ "ความรัก" เพื่อการ "ให้" มิใช่รักเพื่อจะเอา

    เป็นความรักที่นำมาซึ่งความสุขที่ได้รัก หรือพอใจที่ให้ในสิ่งที่ตนรัก


    ความรักคืออะไร ความรักดีอย่างไร และรู้ดีว่าตนเองก็เป็นอีกคนที่ต้องการความรักจากผู้อื่น แต่ทุกคนก็ยังมีปัญหาสุดท้ายอีกอย่างหนึ่งซึ่งยังไม่รู้คือ

    แม้ตนจะอยากให้ผู้อื่นรัก แต่ตนเองก็กลับรักผู้อื่นไม่เป็น

    มนุษย์ทั้งหลายต้องรู้จักกับความรัก รู้จักรักผู้อื่น และรักให้เป็น เพราะความรักที่บริสุทธิ์เท่านั้นที่มันจะช่วยค้ำจุนความสมดุลของทุกสรรพสิ่ง ให้มีความเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างแท้จริง

    ที่นี้จะนำความรักที่กล่าวถึง ความรักที่งดงามและมีความบริสุทธิ์ที่แท้จริงของจิตวิญญาณ ที่มนุษย์ทุกคนถือติดตัวกันมาด้วยทุกคน ที่มีอยู่แล้วภายในโดยไม่ต้องไปนำเอามาจากไหน อยู่ที่ว่าแล้วแต่ว่าใครจะดึงมันออกมาให้ได้เท่านั้นเองค่ะ เป็นความรักของจิตวิญญาณที่อยู่ภายในนะคะ

    เป็นความรู้ที่เรียบเรียงมาจาก คลื่นความคิดจากจิตจักรวาล (อ.ปริญญา)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,204
    กฎเกณฑ์ทางกายภาพของสากลของจักรวาล

    1.ทุกสรรพสิ่งต้องสร้างความสมดุล เพื่อสร้างพลังอำนาจในตนเอง ให้อยู่ร่วมกับระบบได้

    2.ทุกสรรพสิ่งต้องสร้างพลังงานแห่งความรัก เพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน

    3.ทุกสรรพสิ่งต้องมีอำนาจสิทธิที่เท่าเทียมกัน ไม่มีใครมีอำนาจสิทธิเหนือใครได้

    ดุจเลข ๑ ๐ ที่เป็นที่มาของพลังอำนาจของตนเอง

    ซึ่งทุกกระทำของทุกถ้วนสรรพสิ่งต่างๆ ล้วนอยู่ภายใต้เงื่อนไขดังนี้

    ๑.มีพลังอำนาจในการสร้างใหม่ (เกิดขึ้น)
    ๒.มีพลังอำนาจในการดำรงอยู่ (รักษา)
    ๓.มีพลังอำนาจในการเปลี่ยนแปลง (ทำลายหรือดับไป)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,204
    เห็นคุณค่าผู้อื่นเสมอ

    ถ้าพิจารณาสิ่งแวดล้อมรายรอบตนเองได้อย่างถ่องแท้ แผ่นดิน อากาศ น้ำฝน กับต้นไม้ ในบทบาทแต่ละสรรพสิ่ง ล้วนต้องค้ำจุนกัน มิมีสรรพสิ่งใดสามารถดำรงอยู่ในระบบโลกนี้ได้ โดยอยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ที่กล่าวนี้แม้เพียงสิ่งเดียว

    แผ่นดินต้องประกอบด้วยละอองธุลีฝุ่นเม็ดเล็ก ๆ จำนวนมากมายมิใช่ธุลีเดียว อากาศต้องประกอบด้วยมวลของก๊าซต่างๆ จำนวนมากมายมิใช่มวลเดียว น้ำฝนจะต้องประกอบด้วยโมเลกุลของน้ำจนวนมากมายจึงกลายเป็นฝนได้ ต้นไม้เพียงต้นเดียวก็หาใช่ว่าจะยึดคลุมทั้งแผ่นดินทั่วทั้งหล้าเอาไว้ได้

    ต่างต้องค้ำจุนซึ่งกันและกัน ไม่อย่างนั้นตนเองและสิ่งอื่นไม่อาจดำรงอยู่ในระบบเดียวกันได้


    1.ค้ำจุน"ตัวเขา" เพื่อให้ "ตัวเขา" อยู่รอด ที่เขานั้นจะได้อยู่ร่วมกับ เรา ต่อไป

    คือแต่ละคนต้องหยิบยื่นมือเข้าช่วยเหลือเจอจานเพื่อคนอื่นที่ตกทุกข์ได้ยาก หรือกำลังประสบเคราะห์กรรมร้าย ๆ ใด ๆ ที่ตัวเขาไม่อาจช่วยเหลือตนเองให้ข้ามพ้นเคราะห์ภัยหรือเคราะห์กรรมนั้น ๆ ไปได้เลย หากไม่มีใครสักคนเข้าช่วยเหลือเขา ก็คือ การให้โดยมิได้หวังสิ่งตอบแทน จากการช่วยเหลือทั้งสิ้น ซึ่งแค่เพียงหวังจะให้เขาพ้นทุกข์ยากจากเดือดร้อน เพื่อให้เขาสามารถดำรงอยู่ร่วมกับเราเพื่อสร้างระบบเดียวกัน คนผู้นั้นต้องมีจิตสำนึกแห่งการเป็นผู้ให้อย่างล้นเปี่ยม

    เพราะรักและเมตตา ผู้ให้จึงปราถนาที่จะให้ความช่วยเหลือ เพราะซาบซึ้งใจจากการได้รับการช่วยเหลือนั้น ผู้ได้รับจึงรักและศรัทธาต่อผู้ให้

    ก็คือการมอบศรัทธาคือการสร้างอารมณ์ด้านบวกมอบให้แก่กันและกัน นั่นเอง ด้วยความรักและความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อผู้ให้ความช่วยเหลือ



    2.ค้ำจุน"ตัวเขา" เพื่อให้ "ตัวเรา" อยู่รอด ในอันที่จะดำรงอยู่ร่วมกันกับ "เขา" ต่อไปได้

    เป็นการให้ผู้อื่นแล้วตนเองได้รับด้วย คือ....

    ความอดทน การยินยอมให้ผู้อื่นกระทำไม่ถูกต้องต่อตนเอง โดยไม่ตอบโต้ ต่อต้าน หรือ หลีกเลี่ยง ด้วยการรังเกียจโกรธขึ้งหรือขุ่นเคืองใด ๆ ในอันที่จะทำให้ทะเลาะเกิดความขัดแย้งออกไปจากความเป็นหนึ่งเดียวกัน คือ ตัวเราเองไม่สามารถเป็นหนึ่งเดียวกับผู้อื่นได้ดังเดิมอีกต่อไป

    ความอดทนแสดงถึงการ ต่อการกระทำไม่ถูกต้องของเขา แสดงถึงการ"ให้" ความรักความเมตตาและปราถนาดีต่อตนเอง ก็คือ การไม่กระทำด้านลบใด ตอบโต้ ปัญหาร้าวฉานในอันที่จะทำให้ขาดความเป็นหนึ่งเดียวกันจึงย่อมไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าตัวเราขาดความหนักแน่นมั่นคงในจิตใจ คือ ไม่อดทน หรือ ไม่รักตนเองเลย เผชิญหน้าหมายโต้ตอบเอาคืน เขากับเราย่อมอยู่ในระบบเดียวกันไม่ได้แน่ ความอดทนจึงหมายถึง การยอมให้เขาหรือการช่วยเหลือเขาเพื่อทำให้เรากับเขาอยู่ร่วมกันหรือทำงานร่วมกันต่อไปได้นั่นเอง

    ความอดกลั้น คือ การยอมให้เขากระทำไม่ถูกต้องต่อเรา เพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้แก้ไขการกระทำให้ถูกเสียใหม่ในครั้งต่อไป โดยไม่ติดใจเอาความ มันมีความหมายต่อเราอย่างยิ่ง เพราะมันทำให้เราสุขกายสุขใจ และยังให้เขานับถือน้ำใจ ที่เป็นเหตุไม่ต้องสร้างความทุกข์ใจแก่กัน

    การให้อภัย ต่างคนต่างมีโอกาสกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องต่อกันเสมอไม่ว่าจะเกิดจากการหลงผิด คิดผิด เข้าใจผิด เชื่อผิด หรือว่าประมาทก็ตาม การยอมยกโทษไม่เอาความ เพราะแต่ละคนย่าอมกระทำผิดพลาดด้วยกันเสมอ เผื่อในครั้งต่อไปอาจเป็นเราก็ได้ คนอื่นจะได้ให้โอกาสแก่เราบ้าง



    3.ค้ำจุน"ตัวเรา" เพื่อช่วยให้"ตัวเขา" อยู่รอด ในอันที่จะดำรงอยู่ร่วมกันกับ"เรา" ต่อไป

    การมีจิตใจหนักแน่นมั่นคง ไม่สั่นไหวไปตามการยั่วยุด้วยเงื่อนไขด้านลบจากการกระทำของผู้อื่น ที่แสดงให้เห็นว่า เรามีพลังอำนาจในตนเองอย่างแท้จริง เพราะสามารถอยู่เหนืออำนาจการยั่ยุดด้วยเงื่อนไขด้านลบของผู้อื่นได้ โดยไม่ตกเป็นทาสทางอารมณ์ด้านลบของตนเอง หากปล่อยให้เหตุการณ์เกิดขึ้นก็เท่ากับ ตัวเรา คือ ผู้ที่จะผลักไสตัวเขาให้ออกไปจากหนึ่งเดียวกันกับตัวเรา



    4.ค้ำจุน"ตัวเรา" เพื่อช่วยให้"ตัวเรา" อยู่รอด ในอันที่จะดำรงอยู่ร่วมกันกับ "เขา" ต่อไปได้

    การหมั่นดูแลระแวดระวังตนเองมิให้แสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมใด ๆ อันไม่พึงประสงค์ของผู้อื่น ในอันที่จะนำไปสู่บ่อนการทำลายความเป็นหนึ่งเดียวกันของตนเองกับผู้อื่น ด้วยการเบียดเบียนกันหรือก้าวล่วงผู้อื่น เป็นต้น ถ้าตัวเราเป็นผู้ชอบสร้างปัญหาทางอารมณ์ต่อผู้อื่น หรือ ทำตัวเป็นอุปสรรคต่อผู้อื่น เราจะกลายเป็นผู้น่ารังเกียจ หมายถึง การเป็นมนุษย์ที่โลกไม่ต้องการนั่นเอง


    หากใครเข้าใจในสิ่งนี้แล้วสามารถปฏิบัติได้อย่างแท้จริง เขาคือ ผู้ที่สมควรกล่าวว่า ผู้ซึ่งเป็นที่รักของผู้อื่นอย่างแท้จริงค่ะ

    การเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจของผู้อื่น ย่อมหมายถึง การเป็นมนุษย์ที่โลกไม่ต้องการ และอำนาจในตนเอง คือ อำนาจแห่งความรัก ก็เพื่อใช้ยึดรั้งซึ้งกันและกัสไว้ให้อยู่ในระบบเดียวกัน คือ

    การคิดดี พูดดี ทำดี และมีอารมณ์รู้สึกที่ดี ๆ ต่อผู้อื่นได้ทันทีโดยมิต้องใครบังคับและจูงใจแต่อย่างใด ด้วยการเห็นคุณค่าของคนอื่น ถ้าใครคนใดคนหนึ่งปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต่อผู้อื่นสม่ำเสมอ จะเป็นช่องทางที่สร้างคุณค่าในตนเอง ที่ทำให้ผู้อื่นได้ประจักษ์ไปในขณะเดียวกันด้วย

    คนทุกคน ต่างล้วนมีคุณค่าต่อกันเสมอ หากเรามองเห็นว่าผู้อื่นมีคุณต่าต่อตนเองได้อย่างชัดเจนเมื่อไร ตัวเรานั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอารมณ์รู้สึกนึกคิดและการแสดงออกต่อผู้อื่นเสมอ

    เราต้องเป็นผู้เริ่มกระทำก่อนเท่านั้น พร้อมกับอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านบวกและการกระทำควบคู่กันไปทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ซึ่งเงื่อนไขที่สำคัญคือ การมองเห็นคุณค่าและยอมรับความจริงที่แตกต่างของผู้อื่น เท่านั้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    หากเรารักแล้วคาดหวังจะให้สิ่งที่เรารักเป็นอย่างที่เราคิดไม่ได้
    แต่เราต้องยอมรับว่าสิ่งที่เรารักเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว..เราจึงรัก
    นี่คือความหมายของรักแท้ในมุมมอง...ของผมคับ:p
     
  15. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,204
    เชื่อไหมค่ะ เหตุเกิดในสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับการประท้วงของคนผิวดำที่ถูกตำรวจยิงในสหรัฐ ก็เกิดจากพลังแห่งความรักที่มีในจิตวิญญาณของทุกคนนี่แหละค่ะ พวกเขารวมตัวกันโดยไม่ต้องมีใครร้องขอ แรงผลักดันนั้นมาจากอะไร? ก็มาจากแรงผลักดันภายในจิตวิญญาณ ที่แต่ละคนมีเหมือนกันคือ ความรัก ความเมตตา สงสารที่อยู่ภายในดวงจิตทุกดวง

    หากใครได้ดูแล้วแม้ไม่ใช่ญาติ....เราทุกคนก็จะรู้ได้ว่า..รู้สึกต่อเหตุการณ์นี้อย่างไร..

    เมื่อใดที่มีความเบียดเบีนกัน การกดขี่ข่มเหงกัน และใช้อำนาจที่เหนือกว่าอย่างไม่ถูกต้องชอบธรรม....

    ก็พลังภายในของจิตวิญญาณที่มีอยู่นั้นก็แสดงพลังเหล่านี้ออกมา เป็นแรงผลักดันภายในของจิตวิญญาณ ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่มีสิทธิอำนาจเหนือผู้อื่นได้ ทุกคนมีสิทธิมนุษยชนที่เท่าเทียมกัน เพราะนี่คือกฏของสากลจักรวาล

    การสร้างสังคมที่เป็นหนึ่งเดียว ไม่มีใครมีอำนาจเหนือกว่าใคร ดุจดั่งวงกลม หากว่าใครหรือกลุ่มใดที่แสดงพลังอำนาจที่่เหนือกว่า วันหนึ่งความไม่ถูกต้องชอบธรรมก็ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป .... เหมือนอย่างผู้นำต่างประเทศบางคนที่ได้ประสบกับสิ่งเหล่านี้มาแล้ว หากสถานที่ใด หรือ สถานการณ์ใด ได้ทำลายระบบให้เสียสมดุล ขาดความเป็นหนึ่งเดียวกัน ใช้พลังอำนาจที่มีอยู่ไม่ถูกต้อง ระบบจะอนุญาตให้ผู้ที่ด้อยกว่ามีอำนาจในการยกระดับตนเองให้สูงขึ้น สู่สิ่งที่เหนือกว่า ให้มีพลังอำนาจที่เหนือกว่า เพื่อให้ปรับระบบสู่ความสมดุล สู่ความเป็นธรรมอย่างแท้จริง

    พลังอำนาจที่ใช้โดยไม่เป็นธรรม จึงไม่ใช่พลังอำนาจอย่างแท้จริง

    พลังอำนาจอย่างแท้จริง ต้องมาจากความรักความเมตตา ปราถนาดีอย่างบริสุทธิ์ใจที่อยู่ภายใน จึงเป็นพลังอำนาจที่ยั่งยืน เพราะสิ่งนี้มีในจิตวิญญาณของทุกคน

    รูปวงกลม นอกจากจะบอกนัยยะคือ ความสมดุลแล้ว ยังสื่อให้เห็น ความเสมอภาคทีเท่าเทียมกัน ที่แสดงให้ใครทุกคนมีสิทธิเสรภาพเท่าเทียมกัน ไม่มีใครเหนือกว่าใคร หากใครแสดงอำนาจที่เหนือกว่าอย่างไม่ถูกต้อง สักวันก็ต้องมีสิ่งที่เหนือกว่ามาทำลายให้ลงไปจนได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,204
    วันหนึ่งได้ดูการแข่งขันกีฬาฟุตบอลยูโร และการรวมตัวกัน
    ของประเทศเล็ก ๆ ประเทศหนึ่งที่ชนะอังกฤษ ได้
    แล้วเขาไปรวมตัวกันที่ประเทศฉลองชัยชนะแม้จะไม่ได้แชมป์
    แต่เขาก็ร่วมส่งใจเป็นหนึ่งเดียวกัน..ฉลองชัย..ตีกลองชัยร่วมแรงใจกัน
    มีความรักที่เป็นหนึ่งเดียวกัน ระหว่างนักกีฬา กับ กองเชียร์
    แสดงให้เห็นการรวมพลังที่มีอำนาจที่เป็นหนึ่งเดียวกัน
    เลยทำให้ได้คำตอบกับตัวเองว่า...

    ทำไม ? นักกีฬาจึงเป็นอาชีพที่ทรงพลังอำนาจมากที่สุดในโลก
    เพราะนักกีฬานอกจากจะฝึกให้เห็นรู้จักแพ้รู้จักชนะแล้ว
    นักกีฬายังสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด
    มีความรักความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวของทีม +ของกองเชียร์
    นี่คือการผลการตบรางวัลของขวัญที่ยิ่งใหญ่นั้นคือ...

    คุณคือ Hero ของทุกคน คุณจึงเป็นที่รักของทุกคน...

    เพราะคุณทำให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันได้...

    นี้ก็เป็นกฎสากลจักรวาล...ธรรมชาติจึงตบรางวัลนี้ให้กับคุณ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,204
    อยากเล่าเรื่อง ระหว่างหมากับแมว ที่ตนเองเลี้ยงอยู่ที่บ้านค่ะ

    มีแมวน้อยตัวหนึ่งหลงทางกับแม่ ตนเองได้เก็บได้ที่ถังขยะ
    น่าจะเป็นแมวที่คลอดไม่เกิน 2-3 วัน เราสงสารเพราะมีหมา
    ที่อยู่แถวนั้นประมาณ 2-3 ตัว จึงนำไปเลี้ยงที่บ้าน

    ด้วยความเป็นแมวน้อยที่ห่างอกแม่ พอมาเจอหมาที่บ้าน
    ซึ่งเป็นหมาตัวเมียที่ยังไม่มีลูก ที่จริงแล้วลักษณะของหมา
    จะต้องไม่ถูกกับแมวหรือไล่กัดแมวใช่ไหมค่ะ

    แต่หมาตัวนี้ไม่ใช่ กลับไปเลียและหยอกเล่นกับแมว
    ให้แมวดูดนม เล่นคลอเคลียแหย่แมวเสมอ
    เราเห็นแล้วก็เกิดความสุข และรู้สึกรักหมาตัวนั้นเป็นพิเศษ
    ด้วยเพราะความดีของหมาด้วยค่ะ ทำให้เรารู้สึกให้ความใส่ใจ
    ก็คือ ตัวเองมีหมาหลายตัวค่ะ ตัวนี้เราก็จะสนใจไม่มาก
    แต่พอเห็นเขาทำความดีแล้ว เราก็รู้สึกรักเขามากขึ้น
    อยากให้อาหารกับเขาเป็นพิเศษกว่าคนอื่น ..
    ก็เพราะความดีของหมานั่นเอง...ที่ทำให้เรารู้สึกอย่างนี้

    ก็มานั่งนึกเอ้อ! จริงหนอ..เราเห็นใครทำดี..เราก็อยากช่วยเหลือ
    ความดีเป็นเชนนี้เอง...ความดีที่เป็นความรักความเมตตา..
    ที่ไม่เบียดเบียนใคร.....

    ผิดกับแมวค่ะ ทั้ง ๆ ที่เป็นแมวด้วยกันแท้ ๆ
    แต่เป็นแมวที่อยู่มาก่อน ...พอแมวตัวเล็กมา
    แทนที่จะให้ความรักความเมตตา กลับไปทำร้ายแมวตัวเล็ก
    และแย่งอาหารแมวตัวเล็กกิน...เราก็เห็นแล้ว
    ว่าแมวตัวนี้ไม่ดีเลย..แทนที่จะแบ่งปันหรือช่วยเหลือสงสารกัน
    กับไปทำร้ายหรือเบียดเบียนแมวตัวเล็ก...ทำให้เรารู้สึกไม่ชอบ
    เพราะแมวตัวนี้ไม่ดี .....

    ก็เลยมานั่งนึกว่า...แท้ที่จริงแล้ว...ความดีนี่เอง..
    เป็นพลังดึงดูดของความรัก...ใครเห็นใครก็รัก...
    ใครเห็นใครก็อยากช่วยเหลือ..เรียกว่าผลบุญนี่เอง

    เพราะผลบุญของความดีอยู่ใกล้แล้วทำให้คนมีความสุข
    สุขจากการที่เห็นคนอื่นทำความดี...เราจึงมีความสุข
    เราจึงมอบความสุขให้คืนกลับไปให้ยังแหล่งที่มา..
    คือ ผู้ที่ทำความดี...นั้นเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2016
  18. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,204
    *****

    ข้อความข้างบนเป็นความเห็นส่วนตัวนะคะ เพียงต้องการสื่อให้เห็นอะไรบางอย่างเกี่ยวกับ การใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้องและเป็นธรรม ไม่ใช่การรวมกลุ่มประท้วงแบบนี้แล้วเรียกว่า "ความรัก" ไม่ใช่ นะคะ เพียงแต่ให้หมายถึง ความรักความเมตตาเป็นพลังอำนาจภายในตนเองอย่างแท้จริง ไม่มีใครทำลายได้ คือ ความรักบริสุทธิ์ จึงจะแก้ไขได้ทุกสถานการณ์ แต่ปัญหาของสังคมมนุษย์ที่อยู่กันทุกวันนี้...ก็เพราะว่า การใช้ความรักที่มอบให้แก่กันใช้กันอย่างไม่เป็น

    เพราะว่า..ในการปลดปล่อยพลังงานความรักให้แก่เพื่อนมนุษย์และสรรพสิ่ง จากการสั่นสะเทือนของจิตสำนึกภายในจิตใจของมนุษย์ เป็นพลังงานบริสุทธิ์ที่ละเอียดอ่อนมากแต่มีพลังอำนาจมหาศาล จนสามารถทำให้พลังงานด้านลบอื่นๆ เป็นกลางได้ หากใครคนใดสร้างพลังงานชนิดนี้เกิดขึ้นที่ใดในจักรวาล รูปธรรมต่าง ๆ แม้อยู่ห่างไกลในต่างจักรวาลและต่างกาแล๊กซี่ จะสามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือนได้ (คลื่นความคิดจิตจักวาล)

    พลังงานความรักนี้ จิตวิญญาณมีติดตัวกันมาทุกคน มันคืออานุภาพในตนเอง เพราะมันคือตัวตนแห่งความรัก ที่นำมาติดตัวเพื่อทำหน้าที่ร่วมกันกับทุกสรรพสิ่งบนดาวเคราะห์โลกใบนี้

    แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างใช้ความรุนแรงกันแล้วเรื่องก็จะบานปลาย ถ้าหากทุกคนมีความรักที่มีให้แก่กันก็จะไม่เกิดเรื่องแตกแยกความเป็นสังคมดั่งที่เป็นนี้ และการกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมผลจะต้องลงเอยอย่างนี้เสมอไม่ว่าช้าหรือเร็วนะคะ กฎของมันก็คือ ความยุติธรรม ในความถูกต้องชอบธรรม

    เพราะความรักบริสุทธิ์แบบสากลจักรวาล ที่แตกต่างจากความรักใคร่ทั่วไป เป็นการมอบความรักแก่เพื่อนมนุษย์คนอื่น ๆ มอบความรักและอาทรต่อกัน หยิบยื่นความเมตตาให้แก่กัน มีความปราถนาดีต่อกัน เลิกกดขี่ข่มเหงเบียดเบียนกัน เลิกการแบ่งชนชั้น แบ่งชนชาติ แบ่งลัทธิหรือแบ่งสีผิวกัน ไม่เอาคุณสมบัติของกันและกันหรือความแตกต่างทางจิตสำนึก แล้วแยกความเป็นมนุษย์ออกจากกัน มนุษย์ทุกคนจะต้องสร้างจิตสำนึกรวมหมู่ร่วมกันให้ได้ เพราะถ้ามนุษย์โลกจำนวนทั้งสิ้น 6 พันล้านคน พร้อมใจกันกระทำ พลังงานความรักที่มอบให้แก่โลกเกิดขึ้นจะมีค่าไม่น้อยเลย โลกจะไม่เสียสมดุลเช่นปัจจุบันนี้ (คลื่นความคิดจิตจักรวาล) ค่ะ
     
  19. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,204
    *****

    ข้อความข้างบนนั้นก็เหมือนกันค่ะ เป็นความเห็นส่วนตัว นะคะ

    แต่ว่าถ้าคำว่า "ความเป็นหนึ่งเดียวกัน" ในกฏของสากลจักรวาล (ที่จิตจักรวาลสื่อไว้) คือ

    มนุษย์ต้องรู้ให้ได้ว่า หน้าที่สำคัญทางจิตวิญญาณของมนุษย์ ที่สำคัญ 3 ประการ คือ

    1.สร้างตนเอง
    2.สร้างสัมคมให้เป็นหนึ่งเดียว
    3.สร้างโลก


    ***การสร้างตนเองที่ถูกต้อง คือ การไม่ทำลาย ทำร้ายหรือเบียดเบียนสรรพสิ่งอื่น

    ***การสร้างสังคมที่เป็นหนึ่งเดียวคือ การให้พลังงานความรักต่อกัน เพื่อเหนี่ยวรั้งกันไว้โดยไม่ผลักใส แบ่งแยกหรือแตกร้าวกัน

    ***การสร้างโลกคือ การเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก มีความรักษ์โลก โดยไม่ทำลายความสมดุลของโลกให้เสียไป

    โดยมีเครื่องมือที่สำคัญ 2 ประการ

    1.แรงบันดาลใจ
    2.การคิดสร้างสรรค์


    ถ้ามนุษย์รู้จักวิเคราะห์ตนเองให้ถ่องแท้แล้ว ลึกลงไปจากจิตหยาบของตน ซึ่งเต็มไปด้วย ความอยาก กับ ความใคร่ หรือเรียกว่า กิเลส กับ ตัณหา แล้ว จะพบว่ายังมีพลังอำนาจที่ลึกล้ำเร้นอยู่ภายในอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถขับเคลื่อนการแสดงออกและการกระทำได้เช่นกัน พลังอำนาจที่ว่านี้คือ แรงบันดาลใจ

    ใครที่สามารถกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจในตนเองได้ ผลของมันจะมีพลังมหาศาลในการขับเคลื่อนการกระทำของตน แม้มันจะเต็มไปด้วยอุปสรรคที่ตนต้องเสียสละบางอย่าง ก็จะพึงพอใจที่ได้กระทำมัน ไม่เหมือนให้กระทำด้วยแรงจูงใจใด ๆ

    ถ้ามนุษย์ใช้แรงบันดาลใจในการกระทำสิ่งดีงามได้ การกระทำสิ่งนั้นของมนุษย์จะหลุดพ้นไปจากการสร้างกรรมในมิติโลก

    ด้วยการสร้างพลังงานที่มีคุณสมบัติกรรมด้านบวกในมิติคู่ขนาน ต้องเป็นการกระทำสร้างผลกรรมที่ มันจะต้องมีตัวตนของผู้สร้างเข้ามาเกี่ยวข้อง และมีผลกรรมที่ต้องได้รับเสมอ

    แต่เหตุที่ว่า..แรงบันดาลใจ..เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า.....

    การกระทำที่เกิดจากแรงบันดาลใจมันเป็นการกระทำจากความพอใจที่ได้กระทำ โดยไม่ได้ตั้งเป้าหมายหรือคาดหวังผลของการกระทำไว้ล่วงหน้า ไม่ได้ใส่ใจว่ากระทำกับใคร ? การกระทำใดๆ ที่แสดงออกต่อผู้อื่น มันเป็นเพียงการแสดงคุณสมบัติของตนที่มีอยู่ภายในออกมาให้ปรากฏเท่านั้น

    หากจะเปรียบไปแล้ว คงจะคล้ายกันกับดวงดาวต่างๆ ที่กระทำต่อกัน ด้วยคุณสมบัติทางพลังงานที่ตนมีอยู่ เช่น โลก กับดวงจันทร์ มันแสดงความรักต่อกันด้วยการที่ต่างฝ่ายต่างออกแรงเหนี่ยงรั้งกันและกันไว้ตามคุณสมบัติของตัวที่มีอยู่เท่านั้นเอง ซึ่งมันพร้อมจะเหนี่ยวรั้งหรือกระทำต่อเทหวัตถุหรือมวลใดๆ ก็ได้ โดยไม่ต้องกำหนดเป้าหมายของการกระทำ แต่ไม่ต้องมีการถูกจูงใจให้กระทำแต่อย่างใด

    ารทำตนให้เป็นธรรมชาติในการสร้างความสัมพันธ์กันของมนุษย์ จะต้องเข้าถึงหลักการที่สอดคล้องกับกฏเกณฑ์ทางกายภาพของจักรวาลดังนี้ให้จงได้เท่านั้น มนุษย์จึงจะหยุดสร้างกรรม นำจิตวิญญาณของตนเองสู่การหลุดพ้นได้

    เมื่อได้รู้แจ้งในแรงบันดาลใจในตนเองแล้ว จะสังเกตุได้ว่า เมื่อแรงบันดาลใจมันเกิดขึ้นมาได้ กระบวนการใช้สติปัญญามันจะเกิดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ ซึ่งมันก็คือเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่จิตวิญญาณถือติดตัวมาด้วยนั่นเอง ก็คือ กระบวนการในการคิดสร้างสรรค์ เพื่อต้องการให้มนุษย์ใช้มันเพื่อการสร้างตนเอง สร้างสังคม และสร้างโลกตามหน้าที่ ๆ ได้รับมอบหมายให้กระทำ

    ตนเองก็เลยเปรียบเทียบ ผู้ที่สร้างตนเอง สร้างสังคม และผู้ที่สร้างโลก คือ ผู้ที่เป็นฮีโร่ ค่ะ
     
  20. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ขยายความเห็นส่วนตัวของตัวเองข้างบนค่ะ

    จิตจักรวาลสื่อว่า หลักศาสนา สอนให้มนุษย์มุ่งแสวงการรู้แจ้งด้วยการเน้นให้รักษาศีลและดำรงตนอยู่ในธรรม อบรมให้มีคุณธรรมและมโนธรรมในการดำเนินชีวิตประจำวันร่วมสังคมกับบุคคลอื่นๆ เพื่อให้มนุษย์รู้จักสร้างพลังอำนาจให้ตนเองด้วยการยอมรับนับถือตนเอง มนุษย์จะต้องกระทำแต่สิ่งที่ดีงาม โดยค้นหาความดีงามในตนเองให้พบแล้วนำมันออกมาแสดงให้ปรากฏต่อผู้อื่นให้จงได้ ศาสตร์แห่งความดีงามก็คือ การสร้างจิตสำนึกเพื่อปลดปล่อยพลังงานอารมณ์ด้านบวกของตนเองและผู้อื่นแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งสอดคล้องกับการรักษาศีลปฏิบัติธรรม ใฝ่คุณธรรมและมีมนโนธรรม นอกจากจะเป็นการกระทำที่ถูกต้องต่อผู้อื่นแล้ว ก็เพื่อต้องการให้มนุษย์สั่นสะเทือนในจิตสำนึกปลดปล่อยพลังงานความรักออกมาให้โลกได้ในเวลาเดียวกัน เท่ากับว่า ยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว นัยเหล่านี้ได้ถูกปกปิดไว้ไม่ให้มนุษย์ยุคพลังงานเก่าได้ล่วงรู้
     

แชร์หน้านี้

Loading...