เรื่องเด่น พุทธทำนาย ยุคกึ่งพุทธกาล จะเกิดภัยพิบัติและสงครามใหญ่ (ปีพ.ศ. 2560 เป็นต้นไป)

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 25 สิงหาคม 2016.

  1. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    พุทธทำนาย
    อุกาสะ สิริสักยะมุนี พระพุทธโคดม พระบรมโลกนาถศาสดาจารย์ ญาณสัพพัญญู อันเป็นพระบรมครู ผู้ได้สั่งสอนแก่ฝูงเทพนิกร อินทร์พรหม ยมยักษ์ ทั่วทั้งอนันตจักรวาล พระองค์ผู้ทรงญาณมาสงสารแก่ฝูงประชาชนคน ทั้งหลายอยู่ ภายหลังพระองค์ได้ยับยั้งตั้งพระพุทธศักราชศาสนาไว้ให้ถ้วนห้าพัน พระวรรษา อติกกันตา ถ้าจะคณานับฤดูเดือนก็ได้หกหมื่นเดือนมากครามครัน ถ้าจะคณานับทิวาวันก็ได้หนึ่งล้านแปดแสนสองหมื่นหกพันสองร้อยห้าสิบวันเป็นกำหนด ถ้าจะคณานับพระอุโบสถ ถ้าจะกำหนดเป็นฤดูก็ได้หมื่นห้าพันฤดู สมเด็จพระบรมครูเจ้าทรงกล่าวไว้ว่า แม้บุคคลใดตั้งจิตลงปลงจิตตั้ง ฟังพระพุทธศักราช บุคคลผู้นั้นก็จะระลึกชาติขึ้นได้ตามจิตใจปราถนา จะนึกเอาชั้น อินทร์ชั้นพรหมก็จะสมดังความคิดกุศลนั้นจะขึ้นไปเนรมิตวิมานไว้คอยท่า ครั้นทำลายตายจากเบญจขันธ์ทั้งห้าลงในกาลใด บุคคลผู้นั้นไซร้ก็จะได้ขึ้นไปเสวย รมณ์ชมสมบัติในรัตนกระหนกรัตนวิมานสวรรค์ จะมีทั้งหมู่นางกำนัลมานั่งแห่ ห้อมล้อมอยู่อย่างสะพรั่ง ด้วยกุศลที่ตนได้ฟังพระพุทธศักราช พระสมณโคดม บรมโลกนาถหน่อนรินทร์ปิ่นเกล้า จำเดิมแต่พระองค์ตรัสพระสัทธรรมเทศนาไว้ กับพระอานนท์ และอัครสาวกเจ้าทั้งหลาย มีพระพุทธทำนายไว้เป็นกำหนดว่า เมื่อพระตถาคตเสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานล่วงไปแล้วบ่มินาน ประมาณได้ ห้าร้อยปีจะหานางภิกษุณีก็บ่มิได้ ครั้นล่วงได้พันปีก็จะไม่มีพระอรหันต์ที่จะ เหาะเหินเดินอากาศได้ ครั้นล่วงได้สองพันปีก็จะพากันเคลื่อนคลาด จะมีนักปราชญ์ที่จะพากเพียรเล่าเรียนให้จบครบพระไตรปิฎกนั้นก็หาบ่มิได้ ครั้นล่วงได้ สามพันปีก็จะมีพระภิกษุสงฆ์ที่จะมามั่วสุมประชุมกันเป็นคณะปรกนั้นก็หาบ่มิได้ ครั้นล่วงได้สี่พันปีแล้วไซร้ บาตรไตรจีวรก็จะสูญสิ้น ครั้นล่วงได้ห้าพันปีก็จะ พากันประมาทหมิ่น จะมีแต่ผ้าเหลืองน้อยห้อยหูพอได้รู้สำคัญว่าบุคคลผู้บวชเป็นชี ศาสนาพระชินสีห์จะสิ้นไปในปีชวดนักษัตรอัฏฐศก เดือนหก เพ็ญวันพุธ ในเวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง อรุณฤกษ์เบิกอรุณแล้วพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าที่ได้ วัฒนาการเที่ยวโปรดสัตว์อยูในวัฏฏสงสาร ทั่วทั้งอนันตจักรวาลและพื้นธรณี ตั้งแต่พิภพนาภี จนตราบเท่าถึงดาวดึงส์สวรรค์เป็นขอบเขต แห่งท้าวเทเวศบรรจุ พระเกศบรรจุพระธาตุเข้าไว้ในโกฐแก้วจุฬามณีศรี ซึ่งก่อไว้เป็นสุวรรณเจดีย์ศรีสงบ รวมเข้าไว้เป็นที่อภิวันท์ไหว้แก่ฝูงเทพนิกรอินทร์พรหมในชั้นฉ้อกามาวจร สวรรค์ มีทั้งอัครพราหมมานั่งอยู่พร้อมเพรียงเรียบพับเพียบพะแนงเชิง มีมือถือ พวงมาลาและมาลัย อภิวาทน์กราบกรานด้วยเศียรเกล้าอยู่สะพรั่ง บ้างยอกรขึ้น ตั้งนั่งบังคมพระบรมธาตุ ครั้นพระพุทธศักราชถ้วนห้าพันพระวรรษาในกาลใด พระบรมธาตุนั้นไซร้ก็เสด็จมามั่วสุมประชุมกันในเกาะแก้วบุรีศรี ซึ่งเป็นที่สันนิบาตรจึงประมวลพระบรมธาตุเข้าเป็นองค์ เห็นงามเยียรยงพระองค์จะทรงทรมาน ทำพระยมกปาฏิหาริย์ สถิตประดิษฐานเหนือรัตนบัลลังก์แก้วมณีศรี เปล่งพระรัศมีศรีแสงกระจ่างแจ้งช่วงโชติ ตรัสพระธรรมเทศนาโปรดแก่เวไนยสรรพสัตว์ ทั้งสี่ไซร้ ใต้ควงไม้ศรีมหาโพธิและโพธิ์ทอง ครั้นถ้วนเจ็ดวันแล้ว พระธาตุก็ บ่ายพระพักตร์เข้าสู่เมืองแก้วแล้วอันตรธาน แผ่นดินดาลรองศาสนาแน่นได้ สองแสนสี่หมื่นโยชน์ ก็จะสูงขึ้นอีกแปดพันวา ไม้ศรีมหาโพธินั้นไซร้ก็จะเล็ก เท่าใบพุทรา เพราะสิ้นสุดพระศาสนา ก็บรรจบครบจำนวนถ้วนห้าพัน พระวรรษา ฯ
     
  2. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    "ความฝัน ๕ เรื่องของพระบรมโพธิสัตว์"

    เมื่อพระบรมโพธิสัตว์ทรงเลิกละทุกรกิริยาแล้ว ก็ทรงเริ่มทำความเพียรทางจิตต่อไป จนถึงราตรีขึ้น ๑๔ ค้ำ เดือน ๖ ปีระกา คืนก่อนจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสุบินเรียกว่า "ปัญจมหาสุบิน" คือความฝัน ๕ เรื่องของพระบรมโพธิสัตว์มีความว่า

    ๑. พระองค์ทรงบรรทมหงายเหนือพื้นปฐพี พระเศียรหนุนเขาหิมพานต์เป็นพระเขนย พระหัตถ์ซ้ายหยั่งลงในมหาสุมทรทิศใต้ (ผทม = นอน พระเขนย + หมอนหนุน)
    ๒. หญ้าแพรกเส้นหนึ่งงอกจากพระนาภีสูงขึ้นไปจนถึงท้องฟ้า (พระนาภี = สะดือ)
    ๓. หมู่หนอนทั้งหลาย สีขาวบ้าง ดำบ้างเป็นอันมากไต่ขึ้นมาแต่พื้นพระบาททั้งคู่ ปกปิดลำพระชงฆ์หมด และไต่ขึ้นมาถึงพระชานุมลฑล (พระชงฆ์ = แข้ง พระชานุ = เข่า)
    ๔. ฝูงนก ๔ จำพวก มีสีต่าง ๆ กันคือ สีเหลือง เขียง แดง ดำบินมาแต่ทิศทั้ง ๔ ลงมาจับแท่นพระบาทแล้วกลับกลายเป็นสีขาวไปสิ้น
    ๕. เสด็จขึ้นไปเดินจงกรมบนยอดภูเขาอันเต็มไปด้วยอาจมแต่อาจมนั้นมิได้เปื้อนพระยุคลบาท

    พระมหาสุบินทั้ง ๕ เรื่องนั้น มีอธิบายคำทำนายว่า

    ๑. พระบรมโพธิสัตว์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้เลิศในโลกทั้ง ๓
    ๒. พระบรมโพธิสัตว์จะได้ทรงประกาศสัจธรรม เผยมรรคผล นิพพาน แก่ เทพยดาและมนุษย์ทั้งมวล
    ๓. คฤหัสถ์ พราหมณ์ทั้งหลาย จะเข้ามาสู่สำนักของพระองค์เป็นอันมาก
    ๔. ชาวโลกทั้งหลาย คือกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร เมื่อมาสู่สำนักของพระองค์แล้ว จะรู้ทั่วถึงธรรมอันบริสุทธิ์หมดจดผ่องใสไปสิ้น
    ๕. ถึงแม้พระองค์จะพร้อมมูลด้วยสักการะวรามิศ ที่ชาวโลกอุทิศน้อมถวายด้วยความเลื่อนใส ก็มิได้มีพระทัยข้องอยู่ให้เป็นมลทินแม้แต่น้อย

    ครั้นพระบรมโพธิสัตว์ตื่นผทมแล้ว ก็ทรงดำริถึงข้อความในพระมหาสุบินทั้ง ๕ เรื่อง แล้วทำนายด้วยพระปรีชาญาณของพระองค์เองว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแน่แท้ ครั้นได้ทรงทำสรีรกิจสระสรงพระกายหมดจดแล้วก็เสด็จมาประทับนั่ง ณ ที่ควงไม้นิโครธพฤกษ์ในยามเช้าแห่งวันเพ็ญวิสาขปุรณมีดิถี กลางเดือน ๖ ปีระกา ก่อนพุทธสักราช ๔๕ ปี

    คำทำนายของพระพุทธองค์ที่กล่าวถึงอนาคต มีมากมายในพระไตรปิฎก มีทั้งเรื่องราวของความเป็นไปของพระศาสนาว่า คำสอนของพระองค์จะดำรงอยู่นาน

    แค่ไหน ความประพฤติของภิกษุในอนาคตเป็นอย่างไร และในอนาคตจะมีพระ-พุทธเจ้า พระนามว่าศรีอริยเมตตรัยมาตรัสรู้ เป็นต้น ทรงแสดงความเป็นไปของ

    โลกทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทรงแสดงเหตุเกิดของโลก ความดับโลก และ

    หนทางเพื่อการหลุดพ้นจากโลก ฯลฯ



    พุทธทำนายเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา

    ปัญหา ความเจริญหรือเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนาท่านว่า ย่อมขึ้นอยู่กับการประพฤติปฏิบัติของพุทธบริษัททั้ง ๔ เฉพาะอย่างยิ่งภิกษุบริษัทซึ่งเป็นผู้สืบต่ออายุพระพุทธศาสนา ภิกษุประพฤติปฏิบัติอย่างไรจะชื่อว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนา ?

    พุทธดำรัสตอบ “......ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอนาคตภิกษุทั้งหลายจักเป็นผู้ชอบจีวรดีงาม เมื่อชอบจีวรดีงาม ก็จักละความเป็นผู้ถือทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร จักละเสนาสนะอันสงัดคือป่า และป่าชัฏ จะประชุมกันอยู่ที่บ้าน นิคมและราชธานี และจักถึงการแสวงหาไม่สมควร อันไม่เหมาะสมต่าง ๆ เพราะเหตุจีวร....
    “อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายจักเป็นผู้ชอบบิณฑบาตที่ดีงาม..... จักละความเป็นผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร..... จักประชุมกันอยู่ที่บ้าน นิคมและราชธานี แสวงหาบิณฑบาตที่มีรสเลิศด้วยปลายลิ้น แลจักถึงการแสวงหาอันไม่สมควร ไม่เหมาะสมต่างๆ เพราะเหตุแห่งบิณฑบาต....
    “อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายจักเป็นผู้ชอบเสนาสนะที่ดีงาม..... จักละความเป็นผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร..... จักประชุมกันอยู่ที่บ้าน นิคมและราชธานี แลจักถึงการแสวงหาอันไม่สมควร ไม่เหมาะสมต่าง ๆ เพราะเหตุแห่งเสนาสนะ....
    “อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายจักเป็นผู้คลุกคลีด้วยภิกษุณีนางสิกขมานา แลสมณุทเทส เมื่อมีการคลุกคลี... พึงหวังข้อนี้ได้ว่า เธอเหล่านั้นจักเป็นผู้ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ จักต้องอาบัติเศร้าหมองบางอย่าง หรือจักบอกคืนสิกขา เวียนมาเพื่อเป็นคฤหัสถ์
    “อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายจักเป็นผู้คลุกคลีด้วยอารามิกบุรุษ แลสมณุทเทส เมื่อมีการคลุกคลี... พึงหวังข้อนี้ได้ว่า เธอเหล่านั้นจักเป็นผู้ประกอบการบริโภคของที่สะสมไว้มีประการต่าง ๆ จักกระทำนิมิตแม้อย่างหยาบที่แผ่นดินบ้าง ที่ปลายของเขียวบ้าง
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคต ๕ ประการนี้แล.... อันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยเหล่านั้นฯ”

    อนาคตสูตร ที่ ๔ ป. อํ. (๘๐)
    ตบ. ๒๒ : ๑๒๔-๑๒๕ ตท. ๒๒ : ๑๐๗-๑๐๘


    จักกวัตติสูตร

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี จักมีพระเจ้าจักรพรรดิ์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขะ ทรงอุบัติขึ้น ณ เมืองเกตุมดีราชธานี เป็นผู้ทรงธรรม
    เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว
    ม้าแก้ว แก้วมณีนางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปริณายกแก้วเป็นที่ ๗. พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนาของ
    ข้าศึกได้. พระองค์ทรงชำนะโดยธรรม มิต้องใช้อาชญา มิต้องใช้ศัสตราครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต.






    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์อายุแปดหมื่น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าเป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้ เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม. พระผู้มีพระภาคพระนามว่า เมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้พร้อมเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัด ด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดา และมนุษย์ ให้รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้ ทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตถาคตเองแล้ว สอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามอยู่. พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง เหมือนตถาคตในบัดนี้ แสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง. พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงบริหารภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้ ฉะนั้น. ฯลฯ


    คำพูดที่ว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงทำนายอะไรทั้งนั้นครับ.... คงต้องกลับไปเรียนใหม่ ห้ามแถ..รู้ทันหมด

    ใบ้กิน...แล้วจึงเฉไปเรื่องอื่น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • budhaimg84.jpg
      budhaimg84.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.2 KB
      เปิดดู:
      177
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2016
  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    พุทธฎีกาพยากรณ์
    ตอนที่ ๑

    ก่อนที่จะวิจารณ์พระพุทธฏีกาพยากรณ์ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กระผมใคร่ขอนำเสนอข้อความที่ถอดออกมาจาก "ศิลาจารึก" ในเขตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย จากเอกสารเผยแพร่ธรรม ของพระเดชพระคุณ "พระราชสุทธิญาณมงคล (จรัญ ฐิตธัมโม) วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ให้ท่านได้ทัศนา เพื่อเป็นแนวทางเบื้องต้น ดังต่อไปนี้
    สาธุ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นพระสัพพัญญูรู้แจ้งโลกทั้งในอดีตและอนาคต ทรงมีเมตตากรุณาแก่สัตว์โลกเป็นล้นพ้น เมื่อครั้งพระองค์ดำรงพระชนมายุอยู่ ได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า
    ดูกรอานนท์ เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลาย ที่เกิดในยุคนั้นจะพบแต่ความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนไปใกล้ความแตกทำลายแผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ
    คนในสมัยนั้น (คือปัจจุบัน) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรงบ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยและคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎแห่งธรรมชาติไม่พ้น
    เริ่มแต่พระพุทธศาสนาล่วงเลย ๒,๕๐๐ ปีเป็นต้นไป ไฟจะลุกลามมาทางทิศตะวันออกไหม้วัดวาอาราม สมณะชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงเผาผลาญเหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ มหาสมุทรจะชอกช้ำ สงครามจะทั่วทิศ ศึกจะติดเมือง ข้าวจะขาดแคลน ทั่วแคว้นจะอดอยากผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมืองทรงเมือง จะหนีเข้าไพร ผู้เป็นใหญ่มีอำนาจจะเรียกแมลงผีเสื้อเหล็กนับแสนตัว มาปล่อยไข่เป็นไฟผลาญ ยักษ์หินที่ถูกสาปให้หลับมาเป็นเวลานานจะตื่นขึ้นมาอาละวาด โลกดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน ตลิ่งจะพังแผ่นดินจะล่มเป็นทะเล โลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะ นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ ในระยะนั้น ศาสนาของตาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรมเชื่อคำของคนโกงกล่าวคำเท็จ ไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติปฏิบัติดี กลับไม่มีใครเคารพยำเกรง
    พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศมีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง ก็ต่อเมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ ทั้งสองพระองค์สถิตย์อยู่ ณ เบื้องทิศตะวันออกของมัชฌิมประเทศ จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตาคตให้รุ่งเรืองสืบไปถึง ๕,๐๐๐ พระวรรษา
    ดู่ก่อนอานนท์ เวลานั้นพลโลกเหลือน้อย คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก ที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน
    ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศีล ๕ ประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษรู้จักพอ ไม่โป้ปดคดโกง ไม่หลงมัวเมาอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตาคตให้มั่นคง จึงพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล

    ท่านผู้อ่านที่เคารพ พระพุทธทำนาย หรือพุทธฏีกาพยากรณ์ดังว่านี้ พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสแก่พระอานนท์ พระพุทธอนุชา ซึ่งปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดจวบจนเสด็จสู่ปรินิพพานอันพระอานนท์นั้นนับได้ว่าเป็นผู้ที่ฟังธรรมของพระพุทธองค์มากที่สุด เป็นบุคคลสำคัญในการสังคายนาพระไตรปิฏกครั้งที่ ๑ ท่านเป็นผู้ที่มีความจำเป็นเลิศ ท่านได้ถ่ายทอดหลักธรรมของพระพุทธองค์ที่ได้ยินได้ฟังมา แก่ที่ประชุมสงฆ์ และได้ใช้เป็นหลักคำสอนในพระพุทธศาสนามาจนทุกวันนี้

    เมื่อพระพุทธองค์ทรงประกาศพระศาสนา ได้ทรงมีพุทธดำรัสว่า ศาสนาของพระพุทธองค์นั้น จะมีอายุเพียง ๕,๐๐๐ ปี เท่านั้น ต่อจากนั้น โลกก็จะว่างจากศาสนา อยู่ในช่วงกลียุคจวบจนถึงวาระอันควร โลกก็จะอุบัติพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาใหม่อีกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า"พระศรีอาริยเมตไตรย์" เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่๕นับเป็นองค์สุดท้ายในภัทรกัปป์นี้

    ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ท่านได้ตรัสถามแก่พระอานนท์ว่า ในศาสนาของตถาคตรวม ๕,๐๐๐ ปี นี้ ใครจะขออะไรบ้าง

    พระอานนท์ก็ทูลขอให้ พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ภิกษุณี ชี พราหมณ์ อุบาสก อุบาสิกา เป็นผู้ดูแลและบำรุงพระศาสนาเป็นเวลา ๒,๕๐๐ปี พระพุทธองค์ก็ตรัสถามต่อไปว่า ใครจะขออะไรอีก เหล่าเทพยดาทั้งหลาย ทั้งพระอินทร์ พระพรหม จึงทูลขอให้เหล่าทวยเทพทั้งหลาย ได้ปรนนิบัติบำรุงพระศาสนา เพียงครึ่งหนึ่งของพระอานนท์ คือ ๑,๒๕๐ ปี พระองค์ก็ทรงอนุญาตและก็ได้ตรัสถามต่อไปอีกว่า ยังเหลืออยู่ ๑,๒๕๐ ปี นั้นเล่า ใครจะขอต่อไป

    บรรดาเหล่าครุฑาวาสุกรี คนธรรม์ นาฏกุเวร นาคราช กินนร กินรี และภูติผีปีศาจ จึงทูลขอคุ้มครองดูแล และปรนนิบัติบำรุงต่อไปอีก ๑,๒๕๐ ปี โดยร่วมแรงร่วมใจกัน ผนึกกำลังกันไปจนกว่าศาสนาจะค่อย ๆ เรียวลงไป มนุษย์ก็จะเล็กลง ๆ ไปตามลำดับ ถึงกับจะต้องขึ้นแป้นขึ้นบันได สอยลูกมะเขือ ปีนขึ้นต้นเก็บเม็ดพริก พระสงฆ์องคเจ้าก็จะร่อยหรอ เหลือไว้เพียงผ้าเหลืองผืนน้อย ๆ ห้อยอยู่ที่หู เพื่อได้เป็นที่สังเกตดูว่า นั่นแหละพระสงฆ์ จนกระทั่งเล็กลง หรือเรียวลง เสื่อมลงจนหมดสิ้นพอดี ๕,๐๐๐ปี ตามพระพุทธฏีกากำหนดไว้


    https://sites.google.com/site/dhammatharn/home/phuthth-thanay
     
  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201

    "หนังสือพุทธทำนาย ข้อความจาก ปู่ฤาษีมณีรัตน์ (สมเด็จรุ่ง)" นี้ ได้มาจากวัดแห่งหนึ่ง อ่านแล้วก็นึกถึงเหตุการณ์ในโลกปัจจุบันนี้ อย่างไรก็ตาม โปรดใช้วิจารณญาณ


    หนังสือพุทธทำนาย ข้อความจาก ปู่ฤษีมณีรัตน์ (สมเด็จรุ่ง)


    หนังสืออินทร์ตก เทพทำนาย : พุทธทำนาย
    หนังสืออินทร์ตก เทพทำนาย


    หนังสือใบลานสีได้เก็บรักษาสืบทอดมาจากวัดแห่งหนึ่ง ในแขวงอัตตะปือ(ประเทศลาว) ข้าพเจ้าได้รับรู้จากพระอาจารย์ผู้ทรงศีลองค์หนึ่งเผยแผ่ให้ เลยเกิดศรัทธาเสียสละทรัพย์ส่วนตัว พิมพ์แจกจ่ายมายังญาติพี่น้องชาวพุทธทั้งหลาย เพื่อเป็นการกุศลและเพื่อพิจารณญาณด้วยตนเอง ถึงเหตุการณ์มหันตภัยของโลกาภิวัฒน์ ซึ่งจะบังเกิดขึ้นตามพุทธทำนายไว้ว่าดังนี้

    โส ชัง ชน โทโพโส อินโตกรุณา

    พระอินทร์ พรหม ยมราช ได้สั่งไว้ว่า ถ้าบุคคลใดได้รู้แล้วจงรีบร้อนบอกเล่าสู่กันฟัง หรือพิมพ์แจกจ่ายตามกำลังศรัทธา จะเกิดมหากุศลช่วยท่านให้หลุดพ้นจากภัยพิบัติทั้งหลายทั้งปวง ถ้าบุคคลใดไม่เชื่อมั่นตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจะเกิดเดือดร้อน ในปีจอ ขึ้น 4 ค่ำผู้มีบุญจะลงมาเกิด พร้อมหนังสือใบลานฉบับนี้ ถ้าไม่มีอยู่ในบ้าน เรือนบ้านช่องของผู้ใด จะมีพวกผีปีศาจร้ายเข้าทำลายอย่างแน่แท้ ในปีจอต่อปีกุลยามเดือนหงาย จะเกิดมีงูพิษอยู่บนหัวกัดฉกให้ตาย และฝูงชนทั้งหลายจะเกิดเดือดร้อนหลายประการเช่น

    ทุกข์ยากร้อน เพราะศึกสงครามบ่แล้ว ทุกข์ยากร้อน เพราะมีคนตายตามทุ่งไร่ทุ่งนา
    ทุกข์ยากร้อน เพราะน้ำและไฟ ทุกข์ยากร้อน เพราะไม่มีผู้เฒ่า
    ทุกข์ยากร้อน เพราะไม่มีใครจะดูใคร ทุกข์ยากร้อน เพราะไปต่างประเทศไม่สะดวก
    ทุกข์ยากร้อน เพราะอดข้าวปลาอาหาร ทุกข์ยากร้อน เพราะนอนไม่หลับ
    ทุกข์ยากร้อน เพราะผัวเมียไม่เห็นหน้ากัน

    ในปีจอนี้เมืองเวียงจันทน์ จะมีองค์ฤาษีทองคำสิกขาลาบวชออกมาเป็นพ่อค้า ในปีจอขึ้น 8 ค่ำ ห้ามไม่ให้ตักน้ำอาบน้ำกิน ตามห้วยหนองคลองบึงหลังพระอาทิตย์ตกดิน (ก่อนมืดค่ำ) พญายมราชจะนำเอายาพิษพ่นมาใส่โลกมนุษย์ ในปีจอเมืองกรุงเทพฯ จะ แตกพังทลายตอนเวลาไก่ขัน พระแก้วมรกตหัวเมืองเชียงใหม่เม็ดข้าวใหญ่ จะได้กลับคืนสู่เมืองเวียงจันทน์ นี้คือ พระคาถาขององค์อินทร์ พรหม ยมราช ได้เขียนลงในใบลาน จงรักษาเก็บไว้ให้ดีเพื่อช่วยให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ ในยามเกิดเหตุการณ์ มหันตภัย พระคาถาได้เขียนไว้


    ปะโต เมตัง ปะระชิวินัง สุขะโต จุติ
    จิตตะ เมตตะ นิพพานัง สุขะโต จุติ


    พระคาถาข้อนี้จะเขียนลงใส่ใบลาน แผ่นทอง หรือแผ่นผ้าก็ดี
    ให้ติดไว้บนประตู ห้องเรือน หรือรถราพาหนะ
    หรือพันหัวไว้ในยามเกิดเหตุการณ์จะช่วยให้รอดพ้นภัยอันตราย

    ในกาละเวลานี้เทพเจ้าเหล่าเทวดา ผู้คุ้มครองรักษาเหล่ามนุษย์โลก ได้ไปกราบทูลต่อพระอินทร์ว่า มนุษย์โลกทำกุศลผลบุญ (ความดี) เพียง 3 ส่วน และทำบาปกรรม (ความชั่วร้าย) ถึง 10 ส่วน เมื่อเป็นเช่นนี้พระองค์อินทร์จะได้ลงโทษกับมนุษย์โลก ถึง 9 ข้อนับตั้งแต่ปีจอถึงปีกุล คือ
    จะให้เกิดพายุลมแรง แผ่นดินไหวหวั่น จะให้เกิดสารพิษต่างๆ (อากาศ - อาหาร เป็นพิษ)
    จะให้เกิดไฟไหม้ (อัคคีภัย) จะให้เกิดกาฬโรคต่าง ๆ (พยาธิร้าย)
    จะให้เกิดน้ำท่วม (อุทกภัย) จะให้เกิดอด ข้าว ปลา อาหาร
    จะให้เกิดฟ้าฝ่า จะให้เกิดอาฆาตฆ่าฟันกันเอง สำหรับคนใจบาป
    จะให้เกิดร้อนมาก หนาวมาก

    มหันตภัยทั้ง 9 อย่างนี้ จะรอดพ้นเฉพาะคนใจบุญ คนที่ปฎิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น รู้แล้วจงบอกต่อกันไป ให้รีบเร่งทำแต่ความดีมากกว่าทำบาปกรรมชั่วร้าย ถ้าผ่านปีจอ ปีกุล ไปแล้วทุกคนพร้อมทั้งลูก หลาน เหลน จะได้รับความสุขสบายกันทั่วหน้า (เวลาเหลือน้อย) ให้ทุกคนเคร่งครัดถือศีล 5 ข้อ ให้ขยันไหว้พระ ภาวนา ให้ทาน เพื่อการกุศล อย่างต่อเนื่อง ศีล 5 ข้อได้แก่

    ห้ามเบียดเบียนสิ่งมีชีวิต (ทุกชีวิตใครก็รัก)
    ห้ามลักเอาสิ่งของผู้อื่นมาเป็นของตน
    ห้ามล่วงเกินเป็นชู้คนอื่น เมีย ผัว คนอื่น (ที่มีเจ้าของ)
    ห้ามพูดปดหลอกลวงผู้อื่น ในทางที่ไม่ดีซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความแตกแยกสามัคคี หรือสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง
    ห้ามดื่มหรือเสพของมึนเมาทั้งหลายทั้งปวง

    นอกจากหนังสืออินทร์ตกที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีพระผู้ทรงศีลอีกองค์หนึ่ง ได้พบเห็นเนื้อในอักษรธรรมเขียนจารึกไว้ บนก้อนหินศิลาที่พึ่งพ้นจากพื้นดิน ในภูผาป่าดงแห่งหนึ่ง ที่พระรูปนี้ได้เดินธุดงค์ วิปัสสนากรรมฐานผ่านไป (ข้าพเจ้าไม่ขอบอกนามพระ และกำหนดสถานที่อย่างจะแจ้งได้) เพราะได้สอบหาข้อมูลละเอียดแล้วพระผู้ทรงศีล ได้กล่าวว่า โยมเอย ถ้าไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่ดวงจิต เพราะถึงเวลาแล้วที่สวรรค์จะไม่มีความลับ ถ้าโยมเชื่อก็เป็นกุศล ถ้าไม่เชื่อก็เป็นอกุศลรู้เพียงเท่านี้ ข้าพเจ้าจึงขอบอกเล่าสู่ท่านฟังตามคำกล่าวของพระผู้ทรงศีลรูปนี้ว่า ในปีระกา - ปีจอ และปีกุล เดือน 7 – 8 จะเกิดเหตุร้ายตามถนนหนทาง เดือน 9 -10 คนใจบาปหยาบช้าจะถูกล้างผลาญให้หมดไป มีบ้านก็ไม่มีคนอยู่ มีข้าวก็ไม่มีคนกิน มีทางก็ไม่มีคนเดิน สุดท้ายพระผู้ทรงศีลยังได้กล่าวเน้นย้ำถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหนังสือ “อินทร์ตก” “อินทร์ตื่น” ถ้าท่านผู้ใดเชื่อ ศรัทธา บูชา เคารพกราบไหว้ หรือบนบาน ว่าจะบอกเล่าต่อผู้อื่นหรือลงพิมพ์แจกให้สาธุชน คนทั้งหลายรับรู้ด้วยแล้ว ท่านจะปรารถนาสิ่งใดจะได้ดั่งใจนึก พยาธิร้ายที่เบียดเบียนกายก็จะหายขาด

    ท่านไม่เชื่อขออย่าลบหลู่เป็นอันขาด
    พระอาจารย์ผู้ทรงศีลองค์หนึ่งเผยแพร่บอกกล่าวมา


    พุทธทำนาย

    ออกจากศิลาจารึกในมหาวิหานชรเจตมหาเชตะวัน ณ สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย โดยคณะทูตไทยที่ไปอันเชิญพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อปี พ.ศ.2485 ตามคำแปลเป็นภาษาไทย ว่าดังนี้

    สาธุ อะระหังตา สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระเมตตากรุณาสรรพสัตว์ทั่วโลก ที่เกิดมาแล้วแต่ลำบากทั่วหน้า ทุกชาติ ทุกศาสนาตามธรรมชาติ เมื่ออาตมาเข้านิพพานไปแล้วครบห้าพันปีเป็นที่สุด โลกจะหมุนไปใกล้จะถึงจำนวนที่ตถาคตทำนายไว้สองพันห้าร้อยปี มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติเสียครั้งหนึ่งในระยะเวลา 30 ปี สิ่งที่สาธุชนไม่เคยเจอะจะได้เห็น ไม่เคยพบจะได้พบ ยักษ์หินที่ถูกสาปให้หลับกลับตื่นขึ้นมาอาละวาดยิ่งนัก ใกล้กับ พ.ศ. 2550 ยิ่งทวีกันใหญ่ขึ้นทุกทิว่าราตรี มนุษย์นอกพระศาสนาจะรบราฆ่าฟันกันจนถึงเลือดนองเต็มพื้นดิน พื้นน้ำ จะลุกลามเผามนุษย์ไม่ขาดระยะ ต่างฝ่ายต่างทำลายเหมือนยักษ์กระหายเลือด แผ่นดินจะเป็นเปลวไฟจะตายไปอย่างละครึ่งหนึ่งจึงจะเลิกล้ม ต่างฝ่ายต่างหมดกำลังด้วยกันตามวิสัยยักษ์ร้ายนอกศาสนาซึ่งถือกำเนิดจากป่าอำมหิต ส่วนพุทธศาสนิกชนผู้ทำแต่บุญเดินตามทางตถาคตสามารถระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านใดได้บูชาพระโพธิสัตว์ผ้ากาสาวพัตร์ ก็จะรับภัยพิบัติเบาบางแต่หนีภัยธรรมชาติไม่พ้น ไฟจะลุกลามมาทางทิศตะวันออก ไหว้วัดวาอารามสมณะชีพราหมณ์ จะอดอยากยากเข็น ลูกไฟจะตกจากฟ้า เหล็กกล้าจะผุดจากน้ำ สงครามจะเกิดทั่วทิศ พระยานาคจะพ่นพิษเป็นเพลิง ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวสารจะขาดแคลน ทุกแคว้นจะอดอยาก พลูหมากจะหมดเปลือง สีเหลืองจะชนะ พระยังอยู่คู่เมืองอีกต่อไป สีขาวจะแพ้ภัยในที่สุด ครุฑจะบินกลับฐาน คนจะกลับบำรุงพระพุทธเจ้าว่าดังนี้ ชา ตะ มะ สะ ละ วา พรุพุทธชินลิตนี้ท่านให้เขียนใส่กระดาษ หรือผ้าขาวติดไว้หน้าบ้าน หรือหัวนอน ดังนี้จะมีอายุยืนยาว จะทันผู้มีบุญชื่อ พระยาธรรมิกราชา เมื่อแรกสถิตอยู่เขตอยุธยา บัดนี้ท่านเสด็จอยู่ลานช้าง ( ภาคอีสานในปัจจุบัน ) พระยาธรรมิกราชา เข้ามาปีกุน เดือน 11 เป็นเที่ยงแท้หนักหนาท่านเสด็จมาในปีระกา แรม 5 ค่ำ มหากษัตริย์มาทางทิศตะวันตก สมณะชีพราหมณ์ตามมาพอประมาณได้ 76,400 รูป ทั่วอาณาจักรสมเด็จพระบรมนักปราชญ์ได้ประกาศคาถาว่า ดังนี้ นะสัจจัง ทะ คะยังมะสำคำปัง คอยดูในปีมะโรง คนจะเดินโก่งโค คลาน ผู้ใดอยากพบผู้มีบุญชื่อพระยาธรรมิกราชให้ภาวนา ให้หมั่นรักษาศีล สดับรับฟังพระธรรมเทศนา คอยดูปีมะเส็งตลิ่งจะพัง มหาสมุทรจะชอกช้ำ อย่าเที่ยวไปกลางแจ้ง ท่านเข้ามาปีกุน เดือน 8 เป็นเที่ยงแท้ ผู้ใดไม่เชื่อจะรับอันตราย คอยดูในปีจอ คนจะพ้น ภัย สะโรนะกา โททายะโม พุทธะตะยะ ภาวนาทุกเช้าค่ำ ผู้นั้นจะมีอายุยืนนานจะได้เห็นพระธรรมมิกราช (พระโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไนย) ในปีกุน ท่านจะเข้ามาอีก ถ้าไม่เห็นหนังสือบ้านใดผู้นั้นจะได้รับอันตรายรู้แล้วให้บอกต่อกันด้วย

    คำเตือน โลกมนุษย์กำลังจะเข้าสู่กาลียุค จะทำให้เกิดภัยธรรมชาติจาก ดิน น้ำ ไฟ ลม จะเกิดมหาสงครามโลกครั้งที่ 3 ตามมา มนุษย์จะตายไปกว่าครึ่ง

    สำหรับประเทศไทย จะเริ่มเกิดตั้งแต่ปี 2550 คาดว่าจะได้รับภัยทางน้ำแล้วไฟโดยเฉพาะจังหวัดที่ติดชายทะเลและกรุงเทพฯ แผ่นดินจะยุบตัว คลื่นน้ำจะพัดเข้าถล่มความสูง 200 เมตร มนุษย์จะล้มตายมากกว่าครึ่ง น้ำจะเข้าช่องแคบสระบุรี และด้านตอนล่างของโคราชบางส่วน ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆสุดท้ายประเทศไทยจะเหลือประชากร

    ส่วนประเทศอื่นทั่วโลกจะเหลือรอดเพียงสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น บุคคลที่รอดชีวิตส่วนมากก็สูญเสียสติสัมปชัญญะไม่ปลอดภัยเหมือนเมืองที่นับถือพระพุทธศาสนาเพราะไม่เข้าใจบำเพ็ญฌานภาวนา ฉะนั้นอย่าหลงใหลในทรัพย์สินของตนเองให้มากนักเพราะเมื่อเข้ายุดศิวิไล เงิน ทอง จะไม่มีค่าเลยเพราะมนุษย์ยุคนั้นวัดกันที่ความดี ศีลธรรมบุญกุศลเท่านั้น
    ( ปีมะโรง พ.ศ. 2555 ปีมะเส็ง พ.ศ. 2556 ปีระกา พ.ศ. 2560 ปีกุน พ.ศ.2562 )

    พิจารณาไปเรื่อยๆ
     
  5. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    พุทธทำนาย ในราชพงศาวดารเขมร

    เล่าโดยย่อดังนี้

    ปางเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระชนมายุจวนครบถ้วน ๘๐ พรรษา ซึ่งเป็นกาลใกล้ที่พระองค์จะเสด็จเข้าสู่นิพพาน ได้เสด็จพระราชดำเนินกระทำทักษิณาวรรตแห่งเกาะชมพูทวีป เลียบตามฝั่งมหาสาครเพียง ๒ องค์กับพระอานนท์ เมื่อเสด็จมาถึงเกาะใหญ่แห่งหนึ่ง กลางเกาะนั้นมีต้นหมันใหญ่ขึ้นอยู่ต้นหนึ่งประกอบด้วยกิ่งก้านสาขา มีโพรงในลำต้นซึ่งเป็นโพรงของพระยานาคราชและบริวาร ส่วนบนต้นหมันนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ตะกวดตัวหนึ่ง


    ครั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จถึงต้นหมันนี้ ก็ทรงนำพระมหาอานนทเถรเข้าไปประทับใต้ร่มไม้ ครั้นใกล้ค่ำ พระรุกขเทวาผู้ซึ่งอภิบาลต้นหมัน ก็เนรมิตที่พระบรรทมพร้อมทั้งพระวิสูตรถวาย


    ครั้งตกกลางคืน พระยานาคราชก็นำบริวารออกมาเที่ยวเล่นตามปกติ เมื่อพบกับสมเด็จพระศาสดาจารย์ จึงเข้าไปน้อมเศียรนมัสการ ขอประทานพระธรรมเทศนา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาประทานแก่ฝูงนาคีนาคา อีกทั้งบรรดาเทพเทวดาทั้งหลายซึ่งเสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์ จนกระทั่งบางองค์ที่มีบารมีแก้กล้าก็ได้สำเร็จมรรคผล


    ครั้นแล้ว สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงพักผ่อนพระวรกายจนกระทั่งใกล้รุ่ง จึงเสด็จขึ้นไปทรงบิณฑบาตถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วจึงเสด็จกลับคืนมาสู่สำนักเดิม พระพุทธองค์ทรงพระกรุณาแบ่งส่วนอาหารบิณฑบาตนั้น ประทานให้พระมหาอานนทเถรฉันด้วย ระหว่างที่ฉันอยู่นั้น สัตว์ตะกวดได้กลิ่นอาหารทิพย์ซึ่งมีรถโอชา จึงอยากบริโภคบ้างเหลือที่จะกลั้นอยู่ได้ จึงคลานเข้าไปหาพระพุทธองค์เพื่อทูลขอ สมเด็จพระพุทธเจ้า ทรงพระกรุณาปั้นพระกระยาหารปั้นหนึ่งแล้วทรงโยนไปประทานสัตว์ตะกวดนั้น


    ครั้น ตะกวดได้บริโภคอาหารทิพย์แล้ว ก็รู้สึกอร่อยจึงแลบชิวหาเลียปากของตนเอง สมเด็จพระพุทธเจ้าทอดพระเนตรลิ้นตะกวดที่แลบออกเลียปากนั้นว่าแตกออกเป็น 2 ซีก ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ตรัสพยากรณ์ว่า...

    “ดูกรอานนท์เอ๋ยจำเดิมตั้งแต่นี้ต่อไปภายหน้าเกาะโคกหมันนี้ แผ่นดินจะงอกขึ้นอีกกว้างใหญ่แล้วจะเกิดเป็นนครหนึ่ง ซึ่งสัตว์ตะกวดผู้มีจิตเลื่อมใสศรัทธาตัวนี้ได้มากราบถวายบังคมต่อองค์ตถาคต โดยอำนาจโสตกุศลที่โสตประสาทได้ยินศัพท์สำเนียงพระสัทธรรมเทศนาแห่งตถาคต ในเมื่อแสดงให้พญานาคและฝูงเทวาได้สดับตรับฟังนั้น เมื่อสัตว์ตะกวดสิ้นชีพแล้วจะไปบังเกิดบนสวรรค์ แล้วจะได้จุติมาเป็นกษัตริย์องค์หนึ่งครองกรุงอินทปรัตนนคร แลพระราชบุตรของกษัตริย์องค์นั้นจะได้เสด็จมาที่ตรงนี้ จึงพญานาคที่ได้มาฟังพระธรรมเทศนานี้เองจะได้มาสร้างพระนครเป็นราชธานีใหญ่ให้แก่พระราชบุตรของกษัตริย์องค์นั้นประทับแล้วขนานนามพระนครว่า กรุงกัมพูชาธิบดี ส่วนนานาประเทศเรียกว่า เขมระภาษา ลุต่อไปภายหน้า พระอินทราธิราชจะได้สร้างปราสาทถวายแล้วเรียกนามเมืองว่า อินทปรัตนนคร เป็นสองชื่อ แลบรรดามนุษย์ชาติ ในพระราชธานีนี้ จะพูดจาสิ่งใดๆ ไม่ค่อยยั่งยืนอยู่ในสัตยานุสัตย์ โดยบุรพกษัตริย์ผู้ตั้งต้นแผ่นดินมีชาติกำเนิดจากสัตว์ตะกวด อันมีลิ้นแฝดแตกแยกออกเป็น 2 ซีก”
     
  6. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เป็นเรื่องราวการทำนายช่วงเจ้าชายสิทธัตถะประสูติ

    ในครั้งนั้นมีดาบสผู้หนึ่งนามว่า กาฬเทวิล แต่มหาชนโดยทั่วไปเรียกว่า อสิตะ หรือ อสิตดาบส ผู้ซึ่งบำเพ็ญจนสำเร็จฌานสมาบัติ ๘ มีฤทธิ์มากอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ วันหนึ่งได้เหาะไปยังดาวดึงส์เทวโลก ได้ยินเหล่าเทพยดากล่าวสาธุการที่พระโพธิสัตว์ลงมาจุติเป็นโอรสของ พระเจ้าสุทโธทนะ ซึ่งพระดาบสเป็นผู้มีความคุ้นเคยและเป็นที่นับถือของราชวงศ์ศากยะ เมื่อทราบข่าวการประสูติจึงมาขอเข้าเฝ้า

    พระเจ้าสุทโธทนะจึงแต่งพระกุมารเข้ามาเพื่อไหว้พระดาบส แต่พระบาทของพระกุมารก็หันกลับไปประดิษฐานอยู่ ณ เกล้ามวยผมของพระดาบส พระดาบสทราบในทันทีว่าพระกุมาร คือ พระโพธิสัตว์มาจุติ จึงประคองอัญชลีเคารพพระกุมาร พระบิดาเห็นความมหัศจรรย์ดังนั้นก็ทรงไหว้พระโอรสตามอสิตดาบส ครั้นเห็นลักษณะของพระราชกุมารต้องตามตำรามหาบุรุษลักษณะ ในร่างกายของผู้ที่เป็นพระมหาบุรุษ ต้องสมบูรณ์ด้วยลักษณะสำคัญ ๓๒ ประการ เรียกว่ามหาปุริสลักษณะ เช่น มีรอยพระบาทเป็นรูปจักรและรูปมงคลอื่นๆ เป็นต้น และสมบูรณ์ด้วยลักษณะปลีกย่อยอีก ๘๐ ซึ่งเรียกว่าอสีตยานุพยัญชนะ จึงทำนายเป็น ๒ ประการคือ

    ๑. ถ้าอยู่ครองราชสมบัติ จะได้เป็นพระมหาจักรพรรดิ
    ๒. ถ้าออกบวช จะได้เป็นศาสดาเอกของโลก

    เมื่อถวายการพยากรณ์แล้วอสิตดาบสได้ใช้ทิพยญาณตรวจดูก็รู้ว่าพระโพธิสัตว์จะตรัสรู้ในอนาคต ครั้นทราบแล้วก็ดีใจ ครั้นตรวจดูอนาคตเบื้องหน้าก็ทราบว่าตนจะมิได้มีชีวิตอยู่เพื่อเฝ้ารับพระโอวาทธรรมก็ร้องไห้

    อีกเรื่อง

    เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติได้ ๕ วัน ได้มีพราหมณ์ ๘ คน ทำนายลักษณะพระราชกุมาร โกณฑัญญะซึ่งเป็นพราหมณ์หนุ่มที่สุดได้รับคัดเลือกอยู่ในจำนวน ๘ คนนั้นด้วย

    โดยพราหมณ์ ๗ คน ได้ทำนายพระราชกุมารว่า มีคติ ๒ อย่าง คือ
    ๑. ถ้าอยู่ครองเรือน จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์
    ๒. ถ้าเสด็จออกผนวช จักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอกในโลก


    ฝ่ายโกณฑัญญพราหมณ์ มีความมั่นใจในตำราทำนายลักษณะของตน ได้ทำนายไว้อย่างเดียวว่าพระราชกุมารจะเสด็จออกผนวชและจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาเอกในโลกแน่นอน

    ตั้งแต่นั้นมา โกณทัญญพราหมณ์ได้ตั้งใจไว้ว่า ถ้าตนยังมีชีวิตอยู่ พระราชกุมารเสด็จออกผนวชเมื่อไรจะออกบวชตาม


    ฝากข้อคิดสำหรับคนที่ไม่เอาคำทำนาย หรือคำพยากรณ์ใดๆทั้งสิ้น มีความเห็นว่า ไม่เป็นความจริง โดยไม่ใช้สมองพิจารณา ใช้ปาก หรือ ใช้นิ้วเคาะแป้นเป็นอย่างเดียว พอให้เป็นตัวอักษรพออ่านได้ เพื่อแสดงความชาญฉลาดของตนเอง ไม่ได้คิดวางแผนหลอกเอาวิชาหรอก แต่ว่าโชว์โง่จริงๆ
    ถ้าไม่เชื่อการทำนายหรือการพยากรณ์ใดๆ ก็ไม่น่าจะถือเอาตามส่วนเหล่านี้ที่นำมาแสดงให้เห็น ก็เพราะไม่เชื่อเห็นเป็นเดรัจฉานวิชา แล้วจะเอายังไง? ตัดทิ้งเลยดีไหม? พุทธประวัติ ทำนายมหาปุริลักษณะก็ไม่ต้องเอา

    อย่าอ้างว่านั้นคือพราหมณ์ทำนาย จึงเอา ขนาด สงฆ์ทำนายยังไม่เอา พระพุทธเจ้าทำนายยังไม่เอาไม่ยอมรับ ...แล้วพราหมณ์หรือมุณีแบบไหนเห็นพระพุทธเจ้าตรัสรู้ มีญานทัสสนะวิสุทธิส่องไปถึงอดีตพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆนั่นอีก นี่เข้าสายพุทธภูมิแล้ว แม้จะเข้าสู่อรูปญานในปัจจุบันชาติก็เถอะ!

    เก่งกว่าเขาว่าอย่างนั้นเถอะ! แล้วทีนี้บุคคลที่ให้ความเชื่อถือสมัยนั้นมีผู้ใดบ้าง แล้วเป็นจริงอย่างที่เขาได้ทำนายไว้ไหม?

    นี่แสดงถึงสติปัญญาของผู้ไม่เอาอะไร? แต่อวดเก่งรู้ดีไปหมด

    ใบ้กิน...

    ตาข่ายดักคนโง่เขลาแต่อยากแสดงปัญญา คนที่ฉลาดๆมีปัญญาเขาก็หลุดข้ามผ่านเจริญอย่างต่อเนื่อง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 007.jpg
      007.jpg
      ขนาดไฟล์:
      121.7 KB
      เปิดดู:
      295
    • 2016-06-07_103110.jpg
      2016-06-07_103110.jpg
      ขนาดไฟล์:
      94.9 KB
      เปิดดู:
      296
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2016
  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    [ame]https://youtu.be/Ie83r4WCUk8[/ame]
     
  8. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    จากคัมภีร์ใบลานเรื่อง "หมากน้ำเต้าจมหมากหินฟู" ของวัดป่าสักน้อย ตำบลแม่ปูคา อำเภอสันกำแพง
    จังหวัดเชียงใหม่ ผู้จารชื่อ "อภิชัย ยาตันคหัสถ์" ผู้สร้างชื่อ "นายน้อยตัน" จารไว้เมื่อ พ.ศ.2492


    มีใจความว่า ครั้งที่พระพุทธเจ้าประทับที่เชตวันวนาราม ทรงปรารภถึงการดำรงอยู่นานหรือไม่นานของพระศาสนา โดยทรงปรารภเหตุที่เทวดาทั้งหลายได้กราบทูลถาม ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเทศนาตอบ โดยที่ในมัชฌิมยามคืนหนึ่ง เหล่าเทพเข้าไปสู่ธัมมสภาคศาลาเป็นจำนวนมากเพื่อฟังธัมมกถาในสำนักของพระพุทธองค์ยาม
    เที่ยงคืนทั้งนี้ มีเทวดาชื่อ "ปัณณเทพ" เป็นหัวหน้าได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า การที่บางคนเกิดมาได้รับความลำบากยากแค้น แต่บางคนมีทรัพย์มั่งคั่ง บางคนรูปร้ายทุพพลภาพ บางคนอายุสั้น และบางคนอายุยืนยาวนั้นเป็นเพราะเหตุใด

    พระพุทธองค์ตรัสว่า การที่คนเกิดมาและอยู่ดีมีสุขนั้น เป็นเพราะในชาติก่อน ได้ทำบุญให้ทานถือศีลฟังธรรม ส่วนคนที่เกิดมาลำบากเข็ญใจนั้น เป็นเพราะในชาติก่อนมิได้ทำบุญให้ทาน ไม่สงเคราะห์แก่ผู้ใด มีแต่กระทำบาป เมื่อตายแล้วก็ไปเกิดในนรก พ้นจากนรกก็เกิดเป็นเปรต หากยังมีกรรมหนาแน่นอยู่หรือเคยฆ่าสัตว์มาก่อน ก็ต้องเกิดเป็นสัตว์ที่ตนเคยฆ่าอีกห้าร้อยชาติ แล้วจึงเกิดมาเป็นคนอนาถายากไร้

    คนที่มีรูปงามและมีอายุยืนนั้น ก็เนื่องมาจากอดีตชาติเคยทำบุญให้ทาน รักษาศีล ไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่อิจฉาริษยาขึ้งโกรธต่อผู้ใด คนที่มีแต่ความอิจฉาริษยาอยู่ในใจนั้น มักเป็นผู้ผูกโกรธและไม่ทำบุญรักษาศีล พอเกิดมาจึงมีรูปร่างไม่งดงาม หรืออวัยวะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ หรือมีอายุสั้น

    คนที่เกิดมามีสติปัญญาและความจำดี มีศิลปวิทยาเป็นประโยชน์ต่อตนและครอบครัว ทั้งยังก่อให้เกิดประโยชน์แก่บ้านเมือง หรือเป็นครูผู้สอนศิลปวิทยาแก่ผู้อื่นมาก่อน เมื่อเกิดมาอีกจึงมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดส่วนคนที่เกิดมาแล้วโง่ทึบหรือเป็นบ้าเป็นใบ้นั้น เป็นเพราะในชาติก่อนมิได้ศึกษาเล่าเรียน ไม่ได้ฟังคำสอน หรือมีผู้สอนแล้วไม่เชื่อฟัง ก็ทำให้เกิดมาเป็นคนโง่ทึบและเป็นบ้าใบ้

    พระพุทธเจ้าตรัสต่อไปว่า พระองค์จะมีพระชนมายุเพียง 80 ชันษา ก็จะนิพพาน และได้กำหนดให้พระพุทธศาสนายืนอยู่ได้ 5,000 ปี เมื่อพระองค์นิพพานไปครบ1,000 ปีแล้ว ก็จะเกิดความยุ่งเหยิงเป็นครั้งคราว จะมีพระอริยสงฆ์และพระราชาช่วยกันกอบกู้เป็นระยะๆ เพื่อให้พระพุทธศาสนาสืบเนื่องต่อไปได้ครั้นพระองค์นิพพานไปแล้ว 2,500ปี พระศาสนาจะเริ่มถอยลง คนจะขาดความเคารพในพระธรรม พระภิกษุบางเหล่าจะแตกแยกกัน บางหมู่จะไปตั้งนิกายใหม่ บางหมู่จะนำเอาคำสอนของพระองค์ไปทำให้ไขว้เขว พระสงฆ์บางกลุ่มจะตั้งตนเป็นผู้วิเศษ ประพฤติตนเป็นมิจฉาทิฐิอลัชชี จะมีการหากินด้วยเดียรัจฉานวิชาต่างๆ คนทั้งหลายทำไร่นาลำบาก ท้าวพญาจะข่มเหงชาวบ้านชาวเมือง ความยุติธรรมจะบกพร่อง และเมื่อศาสนาของพระองค์มีอายุ 3,000 ปีแล้ว ท้าวพญาจะขัดแย้งกัน บ้านเมืองจะวุ่นวายฆ่าฟันกันไปทุกหย่อมหญ้า เกิดความแห้งแล้งและพืชผลจะตกต่ำ คนจะพากันล้มตายด้วยเหตุต่างๆ เป็นอันมาก และเมื่อโดยเฉพาะศาสนาของพระองค์พ้น 2,500 ปีไปแล้ว คนหลายๆ ครอบครัวจะได้ร่วมอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน หญิงชายอายุถึงสิบปีก็จะมีผัวมีเมียกันแล้ว

    ยามนั้นคนทั้งหลายจะไม่อ่อนน้อมต่อกัน และจะเกิดทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพงไปทั่วบ้านทั่วเมือง เมื่อศาสนาของพระองค์ล่วง 2,500 ปีไปแล้ว จะเกิดปัญหา "หมากน้ำเต้าจักจม หมากหินจักฟู" หมาจิ้งจอกจักไล่กัดเสือ ช้างจะพากันกินถ่านไฟแดง คนใจบุญใจกุศลจะต้องหาบ แต่คนใจบาปจะเดินตัวเปล่า พ่อค้าจะอาสาออกศึก น้ำไม่ลึกจะพากันทำที่ว่ายน้ำเล่น กบเขียดจะไล่กินงู พญาครุฑจะเป็นบริวารของกาดำ หมาจิ้งจอกจะกินอาหารจากถาดทอง และราชสีห์จะเป็นบริวารของหมาจิ้งจอก

    ครั้งนั้นเทวดาถามว่า เมื่อพระองค์นิพพานไปแล้ว พระองค์จะตั้งพระรัตนตรัยไว้อย่างไร ภายหน้าภายหลังไม่เสมอกันจะเป็นเหตุใด สัตว์ไม่เคยเกิดก็จะมี ที่มีแล้วก็จะเกิดมาอีก อันว่า หมากน้ำเต้าไม่เคยจมน้ำก็จักจม หมากหินซึ่งอยู่ใต้น้ำก็จักฟูลอยขึ้น จะเป็นด้วยเหตุใด

    พระพุทธองค์ตอบว่า เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไป 2,500 ปีแล้ว "หมากน้ำเต้าจม" ได้แก่ คนทั้งปวงที่เคยบวชและเรียนพระไตรปิฎกจนถ่องแท้แล้วนั้น ต่อมากลับทำบาปและไม่รักษาศีล อีกทั้งยังแนะให้คนอื่นหลงผิดจนตกนรกหมกไหม้เป็นอันมาก คนเหล่านั้นเมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็จะไปจมอยู่ในอบายภูมิทั้ง 4 อันว่า "หินจะลอยไปตามกระแสน้ำ" นั้น ได้แก่ คนบ้านนอกซึ่งไม่รู้จักพุทธศาสนาจะพากันละเลิกมิจฉาทิฐินั้นแล้วทำบุญรักษาศีล และสร้างคุณงามความดีแก่บ้านเมือง เป็นผู้ค้นคว้าเอาวิชาความรู้มาเผยแพร่แก่กุลบุตรกุลธิดาสืบไปอีก คนเหล่านั้นจักได้ชื่อว่า "หมากหินจักฟู" ต่อมาท้าวพญาจะแย่งชิงอำนาจกันและแตกเป็นพวกเป็นเหล่า เมื่อรบกันแล้วผู้มีกำลังน้อยก็จะจ้างชาวป่าชาวดอยมาเป็นกำลัง โดยบอกว่าหากตนชนะแล้ว จะตั้งให้มีอำนาจและได้ทรัพย์สินของผู้แพ้นั้น พวกท้าวพญาหรือเสนาอำมาตย์ที่อาศัยพวกโจรหรือชาวบ้านชาวป่ามาเป็นนักรบ ซึ่งเมื่อชนะแล้วก็ตั้งให้มีตำแหน่งหน้าที่และได้ลูกเมียของพวกผู้แพ้ไปสมสู่อยู่กินด้วย อันนี้เรียกว่า "ราชสีห์จักได้เป็นบริวารของหมาจิ้งจอก" ส่วนวงศาลูกเมียของพญาผู้เสียอำนาจนั้นก็เท่ากับว่า "พญาครุฑไปเป็นบริวารของกาดำ" และพวกโจรหรือนักเลงชาวป่าชาวดอย เมื่อไม่มีความรู้แต่มีอำนาจหน้าที่แล้ว ก็จะใช้แต่ความหยาบช้าหาศีลธรรมมิได้ คนดีมีความรู้ก็จะพากันหันหนีเข้าป่า คนอธรรมจะได้ครองเมือง และบ้านเมืองก็ระส่ำระสายเกิดกลียุค อันนี้เรียกว่า "กบเขียดไล่กินงู" คือเมื่อศาสนาของพระองค์ผ่าน 2,500 ปีไปแล้ว คนทั้งหลายก็จะเป็นทุกข์และเดือดร้อนฉิบหายกันมากนัก

    เทวดาก็ทูลถามว่า หากเกิดเหตุเช่นนั้นจริง พระองค์จะให้พวกเทวดาทำอย่างไร พระพุทธองค์ตอบว่า หากคนยังเคารพและปฏิบัติตามในพระรัตนตรัยอยู่ ก็จะเป็นบุญของผู้นั้น แต่หากไม่ปฏิบัติตามก็เป็นกรรมของผู้นั้น จึงขอให้เทวดาทั้งหลายทำบุญรักษาศีลเจริญภาวนาฟังธรรมคำสอนของผู้รู้ สร้างกุศลและละเว้นจากบาป ทำจิตใจให้บริสุทธิ์แล้วตั้งจิตปรารถนาให้ได้พบพระพุทธอาริยเมตไตรย เทวดาทูลถามต่อว่า คนที่อยากพบพระอาริยเมตไตรยนั้นพึงทำอย่างไร พระพุทธองค์ก็ตอบว่าให้มั่นคงในการทำบุญรักษาศีลเจริญภาวนาแล้วตั้งความปรารถนาว่าให้ได้พบกับพระพุทธอาริยเมตไตรย ก็จะได้พบกับพระพุทธอาริยเมตไตรยเป็นแน่แท้ เมื่อเทวดาทั้งหลาย มีปัณณเทพเป็นประธานได้รับฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้าดังกล่าวแล้ว ก็มีความชมชื่นยินดีมากนัก จึงพากันกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้วอำลาคืนสู่วิมานของตน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2016
  9. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    การสร้างเมือง "มัณฑเลย์" ตามพิธีกรรมโบราณ

    เมืองมัณฑะเลย์ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอิระวดี    เป็นอดีตเมืองหลวงที่สำคัญของประเทศพม่า  สร้างโดยพระเจ้ามินดุงเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๐   ชื่อเมือง “มัณฑะเลย์”  นี้ได้มาจากชื่อภูเขาซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมือง  ภูเขานี้เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์   ตามตำนานกล่าวว่าพระพุทธองค์และพระอานนท์ได้เสด็จมาประทับพักที่ภูเขานั้น   และพระพุทธองค์ได้ประทานพุทธทำนายไว้ว่า  เมื่อพระพุทธศาสนาครบ ๒,๔๐๐  ปี จักเกิดมีเมืองใหญ่เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาขึ้นที่เชิงเขาแห่งนี้    พระเจ้ามินดุงจึงทรงกระทำให้พุทธทำนายเกิดเป็นความจริง  โดยทรงย้ายราชธานีจากเมืองอมรปุระ มายังเมืองมัณฑะเลย์   เมืองนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า รัตนบูชา


    แต่มีการสันนิษฐานอีกนัยหนึ่งว่า หลังจากพม่าได้ย้ายเมืองหลวงจากกรุงอังวะมาเป็นเมืองหลวงอมรปุระแล้ว ว่ากันสงครามระหว่างอังกฤษกับพม่าก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ  พม่ารบแพ้อังกฤษครั้งแล้วครั้งเล่า  เป็นสงครามที่ยืดเยื้อและดูเหมือนว่าไม่มีวันที่พม่าจะรบชนะอังกฤษได้  พระเจ้ามินดุงตัดสินพระทัยย้ายเมืองหลวงจากเมืองอมรปุระมาสู่เมืองมัณฑะเลย์ เพื่อเป็นการถือฤกษ์เอาชัยแก้เคล็ดว่าจะสามารถรบชนะกองทัพอังกฤษได้  แต่ในสุดท้ายราชวงศ์ของพม่าก็ถึงกาลอวสาน ตกเป็นเมืองขึ้นของสหราชอาณาจักร และสิ้นสุดการปกครองตามระบอบราชาธิปไตยของพม่า

    พระเจ้ามินดง แห่งราชวงศ์อลองพญาหรือคองบอง(๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๕๑ - ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๒๑)


    ฝังคนทั้งเป็นให้เป็นผีเฝ้าเมือง


    หลังจากเจ้าชายมินดุงเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้ามินดุง (พ.ศ. ๒๓๙๖ – ๒๔๒๑) แห่งราชวงศ์อลองพญา (Alaungpaya Dynasty) หรือราชวงศ์คองบอง (Konbaung Dynasty)  หลังแย่งชิงบัลลังก์จากพระเจ้าพุกามแมงผู้เป็นพระเชษฐาสำเร็จแล้ว ได้ทรงสร้างเมืองมัณฑะเลย์ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองอมรปุระ ขึ้นเป็นราชธานีเมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๐  ตามประวัติเมื่อแรกสร้างเมืองมัณฑเลย์นั้น  ต้องเอาคนเป็น ๆ มาฝังถึง ๕๒ คน   โดยฝังตามประตูเมืองประตูละ ๓ คน ๑๒ ประตูก็เป็น ๓๖ คน  ตามมุมเมืองอีกมุมละคน  ประตูพระราชวังและมุมกำแพงพระราชวังก็ต้องฝังคนอีก  และเฉพาะใต้พระที่นั่งสิงหาสน์อันเป็นพระที่นั่งในท้องพระโรงสำหรับเสด็จออกขุนนางนั้นต้องฝังถึง ๔ คน   เมื่อพระสงฆ์พม่าได้ทราบข่าวว่าโหรพราหมณ์กราบบังคมทูลพระเจ้ามินดุงให้เอาคนเป็น ๆ มาฝังตามวิธีไสยศาสตร์ จึงได้เข้าไปถวายพระพรขอบิณฑบาตชีวิตมนุษย์เหล่านั้นไว้ แต่พระเจ้ามินดุงไม่อาจขัดโหรพราหมณ์ได้    

    คนที่ถูกฝังทั้งเป็นเพื่อให้เป็นผีคอยรักษาเมืองและพระราชวังนั้นต้องเลือกคนให้ได้ลักษณะตามที่โหรพราหมณ์กำหนด  ไม่ใช่คนโทษที่ต้องโทษประการ  แต่เป็นคนที่อยู่ในวัยต่าง  ๆ กัน ตั้งแต่ผู้มีอายุไปจนถึงเด็ก ๆ มีทั้งผู้ชายผู้หญิง  ทุกคนต้องมีฐานะดีเป็นที่ยกย่องในกลุ่มชน  ต้องเป็นคนที่เกิดตามวันที่โหรกำหนด  ถ้าเป็นเด็กผู้ชายต้องเป็นเด็กที่ยังไม่มีรอยสักตามตัว  ถ้าเป็นผู้หญิงก็ต้องยังไม่เจาะหูทหารมีหน้าที่จับคนเหล่านี้มาให้ได้จนครบ

    พอมีข่าวออกไปว่าจะเอาคนมาฝังทั้งเป็น ผู้คนก็หลบไปจากเมืองมัณฑเลย์เกือบหมด  ทางราชการสั่งให้มีละครให้คนดูทั้งกลางวันกลางคืนหลายวัน แต่ไม่มีใครมาดู ในที่สุดทหารต้องเที่ยวซอกซอนค้นเอาตัวมาได้จนครบ เมื่อได้ฤกษ์ก็เลี้ยงดูคนเหล่านั้นแล้วสั่งเสียให้คอยเฝ้าเมืองและรักษาพระราชวังแล้วก็เอาลงหลุม  เอาเสาประตูใส่หลุมตามลงไป  ลูกเมียญาติพี่น้องซึ่งได้รับพระราชทานรางวัลก็คงจะรับไปอย่างไม่สบายใจนัก

    อนึ่ง กรุงมัณฑเลสร้างหลังกรุงรัตนโกสินทร์หลายสิบปี แต่เมื่อแรกสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ นั้น ประเพณีฝังคนได้ยกเลิกไปแล้ว

    พระราชวังมัณฑะเลย์ ก่อนถูกเผานี่งดงามแค่ไหน
    http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/10/K8404784/K8404784.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2016
  10. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    อุบัติการณ์กรุงเทพฯ

    วันนี้ในปี พ.ศ.2325 เกิดอาถรรพณ์มีคำบอกกล่าวกันมาว่าที่หลุมฝังเสาหลักเมืองนั้นจะต้องฆ่าคนที่มีชื่อตามโฉลก คือ อิน, จัน, มั่น, คง เพื่อทำหน้าที่รักษาเมืองให้มีความรุ่งเรือง แต่ในหลุมฝังเสาหลักเมืองวันนั้นไม่มีคนที่มีชีวิตถูกนำไปสังเวยไว้ในหลุมตามที่เล่าลือถึงเวลากลบเสาแล้วจึงปรากฏว่างูเล็ก 4 ตัวเลื้อยอยู่ที่ก้นหลุม โดยไม่มีทางแก้ไขอะไรได้ เพราะพิธีการต่างๆ ได้กระทำเสร็จสิ้นแล้ว จำเป็นต้องกลบดินลงไปจน

    ปรากฏการณ์นั้นเป็นเรื่องอาถรรพณ์…ที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นลางบอกเหตุการณ์ซึ่งเรื่องราวในวันนั้นได้ถูกบันทึกไว้ใน จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวีราชธิดาในพระพุทธยอดฟ้าความว่า

    “ณ วันอาทิตย์ เดือน 7 ขึ้น 1 ค่ำ ปีระกาเอกศก เวลาบ่าย 3 โมง 6 บาท อสุนีบาติพาดสายตกติดหน้าบันมุขเด็จเบื้องทิศอุดร ไหม้ตลอดทรงบนปราสาท ปลายหักฟาดลงพระปรัสซ้ายเป็นสองซ้ำลงซุ้มพระทวารแต่เฉพาะไหม้

    ความนี้หมายถึงฟ้าผ่ายอดพระที่นั่งอมรินทร์วินิจฉัย-ครั้งนั้นพระโองการตรัสว่า เราได้ยกพระไตรปิฎก เทวาให้โอกาสแก่เรา ต่อเสียเมืองจึงเสียปราสาท ด้วยชะตาเมืองคอดกิ่วใน 7 ปี 7 เดือน เสร็จสิ้นพระเคราะห์เมือง จะถาวรลำดับกษัตริย์ถึง 150 ปี”

    รายละเอียดอธิบายเรื่องนี้คือ

    “…ได้เกิดอวมงคลนิมิตขึ้น คือเมื่อถึงมหาพิชัยฤกษ์อัญเชิญเสาลงสู่หลุม ปรากฏว่ามีงูเล็ก 4 ตัวเลื้อยลงหลุมในขณะเคลื่อนเสา จึงจำเป็นต้องปล่อยเลยตามเลย โดยปล่อยเสาลงหลุมและกลบงูทั้ง 4 ตัวตายอยู่ภายในก้นหลุม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงทำนายชะตาเมืองว่าจะอยู่ในเกณฑ์ร้ายนับจากวันยกเสาหลักเมืองเป็นเวลา 7 ปี 7 เดือน จึงสิ้นพระเคราะห์ ทั้งยังทรงทำนายว่า จักดำรงวงศ์กษัตริย์สืบไปเป็นเวลา 150 ปี

    ชะตาแผ่นดินที่ร้ายถึงเจ็ดปีเศษนั้น เป็นช่วงที่ไทยติดพันศึกพม่าจนถึงศึกเก้าทัพ ซึ่งสิ้นสุดการสงครามหลังครบห้วงเวลาดังกล่าว…ส่วนคำทำนายว่าจักดำรงวงศ์กษัตริย์สืบไป 150 ปีนั้น ไปครบเอาปี พ.ศ.2475 ซึ่งเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองพอดี”

    เพียงแต่มิได้สิ้นการดำรงราชวงศ์


    ล้างอาถรรพณ์กรุงเทพฯ

    เหตุเพราะพอถึงสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงโปรดฯ ให้ขุดเสาหลักเมืองเดิมขึ้นมา และจัดสร้างเสาหลักเมืองใหม่ขึ้นแทนของเดิม อาจเพราะทรงก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพระองค์ท่านประสงค์ที่จะแก้อาถรรพณ์เสาหลักเมืองสมัยรัชกาลที่ 1 หรือเพื่อ “ผูกดวงชะตาพระนครขึ้นปีใหม่ให้ต้องตามดวงพระราชสมภพ และให้บ้านเมืองเจริญยิ่งขึ้น”

    อีกทั้ง “เมื่อมีการขุด ย้ายและประดิษฐานเสาหลักเมืองอันเป็นสัญลักษณ์ของดวงชาตาเมืองอีกครั้งในรัชสมัยปัจจุบันและในปี 2529 เชิญเสาหลักเมืองลงประดิษฐาน “คู่กัน” ในศาลหลักเมือง โดยเป็นผลจากการที่พระพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำริในปี 2525 ที่มีการเฉลิมฉลองสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ครบ 200 ปี ให้ปฏิสังขรณ์ศาลหลักเมืองใหม่ เมื่อบูรณะซ่อมแซมเสร็จ จึงได้เชิญเสาหลักเมืององค์เดิมสมัยรัชกาลที่ 1 มาประดิษฐานคู่กับเสาหลักเมืองสมัยรัชกาลที่ 4 ตามพระราชดำรินั้น

    สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย พระองค์เดียวกันกับที่เขมรนำไปอ้างกับศาลโลกเมื่อ 2 วันก่อนว่าเคยไปเยือนปราสาทพระวิหารแล้วไม่ทรงแย้งกับฝรั่งเศสเจ้านายของเขาเวลานั้นนั่นแหละพระองค์ทรงอธิบายเรื่องเสาหลักเมืองไว้ในหนังสือวงวรรณคดี ฉบับเดือนเมษายน พ.ศ.2491 ตอนหนึ่งว่า

    “หลักเมือง” เป็นประเพณีพราหมณ์ มีมาแต่อินเดีย ไทยตั้งเสาหลักเมืองขึ้นตามธรรมเนียมพราหมณ์ ที่จะเกิดหลักเมืองนั้น คงจะเป็นด้วยประชุมชน ประชุมชนนั้นต่างกัน ที่อยู่เป็นหมู่บ้านก็มี หมู่บ้านหลายๆ หมู่รวมกันเป็นตำบล ตำบลตั้งขึ้นเป็นอำเภอ อำเภอนั้นเดิมเรียกว่าเมือง เมืองหลายๆ เมืองรวมเป็นเมืองใหญ่ๆ เมืองใหญ่ๆ หลายๆ เมืองรวมเป็นมหานคร คือเมืองมหานคร

    ตัวอย่างหลักเมืองเก่าแก่ที่สุดในสยามประเทศนี้ก็คือ หลักเมืองศรีเทพ ในแถบเพชรบูรณ์ ทำด้วยศิลาจารึกอยู่ในพิพิธภัณฑ์สถานบัดนี้ เรียกเป็นภาษาอินเดียในสันสกฤตว่า “ขีล” (แปลว่า เสาหรือตะปู) เป็นมคธว่า “อินทขีล” แปลว่า “เสาหรือตะปูของพระอินทร์ (หรือผู้เป็นใหญ่)” หลักเมืองศรีเทพทำเป็นรูปตาปูหัวเห็ด หลักเมืองชั้นหลังคงทำด้วยหินบ้างไม้บ้าง

    เสาหลักเมืองที่กรุงเทพฯ ทำด้วยไม้ ได้ตั้งพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ ฤกษ์ เวลาย่ำรุ่งแล้ว 54 นาที ตรงกับปีขาลจัตวาศก จุลศักราช 1144 พ.ศ.2325 หลักเมืองนี้ เดิมทีมีหลังคาเป็นรูปศาลา มาถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงก่อสร้างและปรับปรุงถาวรวัตถุต่างๆ โปรดฯ ให้ยกยอดปรางค์ต่างๆ ตามแบบอย่างศาลที่กรุงเก่า และที่ศาลเสื้อเมือง ทรงเมือง ศาลพระกาฬและศาลเจตคุปต์ เดิมหลังคาเป็นศาลา ก็โปรดฯ ให้ก่อปรางค์เหมือนศาลเจ้าหลักเมือง…”

    รากวัฒนธรรม

    จากพระนิพนธ์นี้ทำให้เราทราบว่า ประเพณีการตั้งเสาหลักเมืองมาจากประเพณีพราหมณ์ ซึ่งรุ่งเรืองอยู่ในชมพูทวีปตั้งรากฐานวัฒนธรรมที่เมืองนครศรีธรรมราช จนกระทั่งประเพณีพราหมณ์เผยแพร่ขึ้นมาสู่เมืองสุโขทัยและเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา แม้แต่ในสมัยปัจจุบันนี้ก็ตาม ประเพณีพราหมณ์หลายอย่างยังเกาะอยู่ในรากวัฒนธรรมของเราอย่างแน่นเหนียว

    เพราะศาสนาพราหมณ์ หรือ ศาสนาฮินดู นี้ ได้เจริญรุ่งเรืองมาก่อนพระพุทธศาสนา ชาวไทยเราซึ่งนับถือพระพุทธศาสนา ก็ยังรับพิธีพราหมณ์หลายอย่างมาปฏิบัติปะปนกัน แม้การพระราชพิธีของเราก็เป็นประเพณีพราหมณ์แทบทั้งสิ้น

    เช่นกันกับการตั้งเสาหลักเมือง เมื่อจะมีการสร้างเมืองขึ้นใหม่นั่นเอง ถึงแม้ว่าธรรมเนียมการตั้งเสาหลักเมือง จะเป็นพิธีทางศาสนาพราหมณ์ก็ตามที แต่ชาวไทยเราก็ได้ปฏิบัติกันมาจนแทบจะกลายเป็นประเพณีไทยไปแล้ว ดังจะเห็นว่า เมื่อแรกจะสร้างกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ.1893 นั้น สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือ พระเจ้าอู่ทอง ก็โปรดฯ ให้มีพิธีกลบบัตรสุมเพลิง เพื่อตั้งเสาหลักเมือง และในการขุดดินปฐมฤกษ์ตรงใต้ต้นหมันนั่นเอง พราหมณ์ผู้ประกอบพิธีขุดพบหอยสังข์สีขาว จึงถือเป็นมงคล และได้ถือหอยสังข์กับปราสาทและต้นหมัน เป็นสัญลักษณ์ของกรุงศรีอยุธยาเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้

    กลับมาสู่ในพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ในฉบับหอสมุดแห่งชาติ ยังมีคำบอกเล่าเรื่องราวที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสถาปนากรุงเทพฯ ขึ้นเป็นนครหลวงแห่งใหม่ ก็ได้กล่าวถึงการตั้งเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ ไว้ตอนหนึ่งว่า

    “…จึงดำรัสสั่งให้พระยาธรรมาธิกรณ์ กับ พระยาวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมช่างและบ่าวไพร่ ไปกะที่สร้างพระนครใหม่ข้างฝั่งตะวันออก ได้ตั้งพิธียกเสาหลักเมือง ณ วันอาทิตย์เดือนหกขึ้นสิบค่ำ ฤกษ์เพลาย่ำรุ่งแล้ว 54 นาที่…”

    ในปลายเสาหลักเมือง ซึ่งมักจะทำเป็นหัวเม็ดทรงมัณฑ์นั้น เขาจะบรรจุดวงชะตาของเมืองที่จะสร้างขึ้นใหม่ไว้ด้วย การวางชะตาเมืองนี้เป็นเรื่องสำคัญทีเดียว ซึ่งโหรหลวงจะต้องผูกชะตาเมืองถวาย พร้อมกับทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองล่วงหน้าไว้

    ทรงเลือกเอกราช


    เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดฯ ให้โหรผูกชะตาเมืองกรุงเทพฯ ที่จะสร้างขึ้นใหม่นั้น โหรหลวงได้ทูลเกล้าฯ ถวายดวงเมือง 2 แบบคือดวงเมืองแบบหนึ่ง บ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรือง ไม่มีเหตุวุ่นวาย แต่ทว่าจะต้องมีอยู่ระยะหนึ่ง ที่ประเทศไทยต้องตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ

    ส่วนอีกดวงเมืองหนึ่งนั้น ประเทศไทยจะมีแต่เรื่องยุ่งวุ่นวายไม่มีที่สิ้นสุด แต่ทว่าจะสามารถรักษาเอกราชได้ตลอดไป

    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเลือกดวงเมืองตามแบบหลัง เพราะพระองค์คงจะทรงเห็นว่าการที่จะต้องตกไปเป็นเมืองขึ้นของชาติอื่นนั้น แม้บ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรืองแค่ไหนก็ไม่มีความหมายอันใด เมื่อสิ้นความเป็นไทย

    …แน่นอนว่าลูกหลานเหลนในวันนี้ต้องมีเห็นต่าง…

    แม้พบแล้วก็ตามว่าเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์อยู่ไม่น้อย ที่ในสมัยในรัชกาลที่ 4-5 นั้น บ้านเมืองต่างๆ โดยรอบประเทศไทย ไม่ว่าลาว เขมร พม่า มลายู ต่างตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสและอังกฤษจนหมดสิ้น แม้แต่ประเทศใหญ่อย่างอินเดีย ก็ยังตกเป็นของอังกฤษ มีแต่ประเทศไทยเพียงประเทศเดียวเท่านั้นที่รักษาเอกราช คงความเป็นไทยมาตลอด

    รูปลักษณ์ของเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ นั้น เสาเดิมจะเป็นอย่างไร ก็คงไม่มีใครเคยเห็น เพราะเหตุว่าได้มีการเปลี่ยนเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ เมื่อสมัยรัชกาลที่ 4 เสาหลักเมืองที่เปลี่ยนใหม่ ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ต้นใหญ่ มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 30 นิ้ว สูง 108 นิ้ว ตรงปลายเสาทำเป็นรูปหัวเม็ดทรงมัณฑ์ บรรจุดวงชะตาของกรุงเทพฯ ไว้ภายในดังเดิม

    แต่สิ่งที่ไม่เป็นเช่นเดิมดังพิธีพราหมณ์ในอินเดียคือความเชื่อที่ว่า เพื่อให้หลักเมืองศักดิ์สิทธิ์และเฮี้ยน มักจะมีการนำคนมาฝังทั้งเป็นพร้อมกับการตั้งเสาหลักเมืองด้วย (เหมือนกับประเพณีบูชายันต์ของศาสนาพราหมณ์ในอดีต ที่ให้ฆ่าสัตว์เป็นๆ 10 ชนิด มี เด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิง ช้าง ม้า ฯลฯ บูชายันต์ ซึ่งพระพุทธศาสนาสอนให้เลิกพิธีแบบนี้ ดังปรากฏในชาดกอยู่หลายเรื่อง

    ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่บริเวณมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของท้องสนามหลวง ตรงข้ามพระบรมมหาราชวัง ถนนหลักเมือง แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

    เสาหลักเมือง : หลักชัยประเทศ

    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ได้โปรดเกล้าฯ ให้กระทำพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 6 ขึ้น 1 0 ค่ำ ตรงกับวันที่ 21 เมษายน ปีพุทธศักราช 2325 เวลา 06.54 น. การฝังเสาหลักเมืองมีพิธีรีตรองตามพระตำราที่เรียกว่า พระราชพิธีนครฐาน ใช้ไม้ชัยพฤกษ์ทำเป็นเสาหลักเมือง ประดับด้านนอกด้วยไม้แก่นจันทน์ที่มี เส้นผ่าศูนย์กลางวัดที่โคนเสา 29 เซนติเมตร สูง 187 นิ้ว กำหนดให้ความสูงของเสาหลักเมืองอยู่พ้นดิน 108 นิ้ว ฝังลงในดินลึก 79 นิ้ว มีเม็ดยอดรูปบัวตูม สวมลงบนเสาหลัก ลงรักปิดทอง ล้วงภายในไว้เป็นช่องสำหรับบรรจุดวงชะตาเมือง

    ศาลหลักเมืองได้รับการปฏิสังขรณ์อีกหลายครั้ง ในปี พ.ศ.2523 มีการบูรณะซ่อมแซมครั้งใหญ่ เพื่อเตรียมการเฉลิมฉลองสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ครบ 200 ปี พ.ศ.2525 ศาลหลักเมืองได้รับการบูรณะอย่างสวยงาม ด้านทิศเหนือจัดสร้างซุ้มสำหรับประดิษฐานเทพารักษ์ทั้ง 5 คือเจ้าพ่อหอกลอง เจ้าพ่อเจตคุปต์ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง และพระกาฬไชยศรี

    ตำนาน อิน จัน มั่น คง

    ศาลหลักเมืองกลายเป็นหนึ่งในโปรแกรมทัวร์ วัด-วังที่ขึ้นหน้าขึ้นตาในวันนี้

    มีเรื่องสืบกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โบราณถือว่าพิธีสร้างพระนครหรือสร้างบ้าน สร้างเมือง ต้องฝังอาถรรพณ์ 4 ประตูเมือง ต้องฝังเสาหลักเมือง

    การฝังเสาหลักเมืองและเสามหาปราสาทต้องเอาคนที่มีชีวิตทั้งเป็น ลงฝังในหลุม เพื่อให้เป็นผู้เฝ้าทวารมหาปราสาทบ้านเมือง ป้องกันอริราชศัตรูมิให้มีโรคภัย ไข้เจ็บเกิดแก่เจ้าฟ้ามหากษัตริย์ผู้ครองนครบ้านเมือง ในการทำพิธีกรรมดังกล่าว ต้องเอาคนที่ชื่อ อิน จัน มั่น คง มาฝังลงหลุม จึงจะศักดิ์สิทธิ์และขณะที่นายนครวัฒเที่ยวเรียกชื่อ อิน จัน มั่น คง ไปนั้น

    ใครโชคร้ายขานรับขึ้นมาก็จะถูกนำตัวไปฝังในหลุม หลุมเสาหลักเมืองนั้น จะผูกเสาคานใหญ่ชักขึ้นเหนือหลุมนั้นในระดับสูงพอสมควร

    โยงไว้ด้วยเส้นเชือกสองเส้นหัวท้ายให้เสาหรือซุงนั้นแขวนอยู่ตามทางนอนเหมือนอย่างลูกหีบ

    ครั้นถึงวันกำหนดที่จะกระทำการอันทารุณนี้ ก็เลี้ยงดูผู้เคราะห์ร้ายให้อิ่มหนำสำราญแล้ว แห่แหนนำไปที่หลุมนั้น พระเจ้าแผ่นดินมีรับสั่งให้บุคคลทั้งสามนั้นเฝ้าประตูเมืองไว้ด้วย และให้เร่งแจ้งข่าวให้รู้กันทั่ว เมื่อคนมาชุมนุนกันเขาก็ตัดเชือกปล่อยให้เสาหรือซุงหล่น ลงมาบนศีรษะผู้เคราะห์ร้ายผู้ตกเป็นเหยื่อของการถือโชคถือลางนั้น บี้แบนอยู่ในหลุม

    คนไทยเชื่อว่าผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้จะกลายสภาพเป็นอารักษ์จำพวกที่เรียกว่า ผีราษฎร คนสามัญบางคนก็กระทำการฆาตกรรมแก่ทาสของตนในทำนองเดียวกันนี้ เพื่อใช้ให้เป็นผีเฝ้าขุมทรัพย์ที่ตนฝังซ่อนไว้ ตัวอย่าง การสร้างราชธานีใหม่ของพม่า

    เมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมจึงมีกำแพงกันสี่ด้าน แต่ละด้านมีประตูเมือง 3 ประตู รวมเป็น 12 ประตูด้วยกัน

    การฝังอาถรรพณ์ก็เป็นคนเป็นล้วนๆ ถึง 52 คน ฝังตามประตูเมืองประตูละ 3 คน 12 ประตูก็เป็นทั้งหมด 36 คน และเฉพาะใต้พระที่นั่งในท้องพระโรงต้องฝังถึง 4 คน และคนที่ถูกฝังทั้งเป็นเพื่อเป็นผีคอยรักษาเมืองและพระราชวังนั้นต้องเลือกให้ได้ลักษณะตามที่โหรพราหมณ์กำหนด ไม่ใช้นักโทษที่ต้องโทษประหาร

    แต่จะเป็นคนที่อยู่ในวัยต่างๆ กัน มีตั้งแต่คนมีอายุจนถึงเด็กทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ทุกคนต้องมีฐานะดีเป็นที่ยกย่องในกลุ่มชน และต้องเกิดตามที่โหรกำหนด

    ถ้าเป็นชายต้องไม่มีรอยสัก ผู้หญิงต้องไม่เจาะหู เมื่อสั่งเสียร่ำราญาติพี่น้องแล้วก็จะถูกนำตัวไปลงหลุมญาติพี่น้องก็จะได้รับ พระทานรางวัล

    ศาลหลักเมือง

    ใจกลางกรุงเทพฯ ที่มีสีเขียว และความร่มรื่นของต้นไม้แห่งนี้ มีเสียงแห่งประวัติศาสตร์ก้องอยู่ ณ ที่นี้... เสียงสะท้อนแห่งที่มาของกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อครั้งสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ ได้ถูกจารึกเป็นเครื่องหมายไว้ที่นี่ ด้วย "หลักเมือง" พร้องเสียงร่ำร้องจากอดีตถึงพิธีกรรมในการตั้งหลักเมือง นับเนื่องจากอดีต พิธีการตั้งเสาหลักเมืองไม่ใช่แบบแผนของชาวพุทธ แต่เป็นธรรมเนียมของพราหมณ์ที่มีมาแต่สมัยอินเดีย เรื่องของพิธีกรรมและไสยศาสตร์ จึงเข้ามาเกี่ยวข้อง และเกิดเสียงเล่าขาน เป็นเรื่องราวพิสดารจากผู้เฒ่าในกาลก่อนว่า

    ครั้งโบราณถือว่าพิธีสร้างพระนคร หรือสร้างบ้าน สร้างเมือง จะศักดิ์สิทธิ์ต้องทำพิธีฝังอาถรรพ์ ๔ ประตูเมือง และต้องฝังเสาหลักเมืองแม้เสามหาปราสาทก็เช่นกัน การฝังอาถรรพ์ กระทำด้วยการป่าวร้องรียกผู้คนที่มีชื่อ อิน, จัน, มั่น และคง ไปทั่วเมือง เมื่อชาวเมืองเคราะห์ร้ายขานรับ ก็จะถูกนำตัวมาสถานที่ทำพิธี และถูกจับฝังลงหลุมเป็นๆ ทั้ง ๔ คน เพื่อให้ดวงวิญญาณของคนเหล่านั้นอยู่เฝ้าหลักเมือง เฝ้าปราสาท และประตูเมือง คอยคุ้มครองบ้านเมือง.. ป้องกันอริราชศัตรูและปัดเป่าโรคภัยมิให้เกิดแก่คนในนคร เรื่องราวเช่นนี้ มีเล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา

    แม้ในการตั้งเสาหลักเมืองแห่งกรุงเทพมหานคร ก็ยังมีการกล่าวถึงว่าเมื่อครั้งพระบามทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ทรงสถาปนากรุงเทพมหานครขึ้นเป็นราชธานี พระองค์ทรงโปรดเกล้าให้ตั้งพิธียกเสาหลักเมือง เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจ สร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่ราษฎรและเพื่อเป็นนิมิหมายแสดงที่ตั้งแห่งพระนคร เมื่อวันที่ ๒๑ เดือนเมษายน ปีพุทธศักราช ๒๓๒๕ ซึ่งเสาหลักเมืองที่ใช้เป็นเสาไม้ชัยพฤกษ์ ที่ประกับด้านนอกด้วยไม้แก่นจันทน์ที่มี เส้นผ่าศูนย์กลาง ๗๕ เซนติเมตร สูง ๒๗ เซนติเมตร ที่มีความสูง ๑๘๗ นิ้ว และบรรจุดวงเมืองไว้ที่ยอดเสารูปบัวตูมบรรจุดว งชะตาของกรุงเทพฯ

    แล้วได้มีการสร้างเสาหลักเมืองใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๔ แทนของเดิมที่ชำรุดเป็นไม้ชัยพฤกษ์สูง ๑๐๘ นิ้ว ฐานเป็นแท่นกว้าง ๗๐ นิ้วมีอาคารยอดปรางค์อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ในครั้งนั้นเล่ากันเป็นเรื่องพิสดารว่าก่อนตั้งเสาหลักเมือง พราหมณ์ได้ถือเอาฤกษ์ตามวันเวลา ภายในศาลหลักเมืองยังมีเทวรูปเจ้าพ่อสำคัญอีก ๕ องค์ คือ เทพารักษ์ เจ้า พ่อหอกลอง พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง เจ้าพ่อเจตคุปต์ และพระกาฬไชยศรี

    ซึ่งหญิงมีครรภ์จะเดินเข้ามาใกล้ปากหลุม ครั้งถึงวันเวลานั้น หญิงมีครรภ์คนหนึ่งเดินมาใกล้ปากหลุมจึงถูกผลักลงหลุมไป และทำพิธีตั้งเสาหลักเมืองฝังร่างหญิงคนนั้นไว้กับเสา เรื่องราวน่าเวทนาที่ใช้ชีวิตคนเป็นๆ ฝังไว้กับเสานี้ ไม่มีข้อมูลใดๆ มายืนยัน คงเป็นแต่เพียงเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาแม้ในพงศาวดารก็ไม่มีบันทึก ด้วยการตั้งเสาหลักเมืองถือเป็นพิธีมหามงคล ซึ่งพระมหากษัตริย์กระทำเพื่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขแก่ราษฎร การนำชีวิตผู้คนมาฝังทั้งเป็น ซึ่งไม่ใช่เรื่องมงคลจึงไม่น่าเป็นเรื่องจริง แต่อาจเป็นด้วยกาลเวลาหรือผู้เล่าเห็นแปลกในการประกอบพิธีกรรมอย่างพราหมณ์จึงแต่งเติมเรื่องราว ให้ดูแปลกไปเหมือนอย่างนิยายปรัมปรา

    ในกาลต่อมา เมื่อเสาหลักเมืองและตัวศาลเริ่มชำรุดด้วยกาลเวลาที่ล่วงไป จนลุเข้าสู่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ พระองค์ผู้ทรงปรีชาชาญในด้านโหราศาสตร์ ได้ตรวจดวงชะตาบ้านเมือง และพบว่าดวงชะตาของพระองค์เป็นอริแก่ลัคนาดวงเมือง จึงโปรดเกล้าให้ขุดเสาหลักเมืองเดิม และจัดทำเสาหลักเมืองขึ้นใหม่ ด้วยแกนไม้สักประกับนอกด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ๖ แผ่น บรรจุดวงเมืองในยอดเสาทรงมัณฑ์ที่มีความสูงกว่า ๕ เมตร และอัญเชิญหลักเมืองเดิม และหลักเมืองใหม่ประดิษฐานในศาลใหม่ที่มียอดปรางค์ ก่ออิฐฉาบปูนขาว เมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๙๕

    จากนั้นมา ศาลหลักเมืองก็ได้รับการปฏิสังขรณ์อีกหลายครั้ง จวบจนปัจจุบัน ศาลหลักเมืองได้รับการบูรณะอย่างสวยงามภายในตัวมณฑปด้านทิศเหนือได้ถูกจัดสร้างเป็นซุ้มสำหรับประดิษฐานเทพารักษ์ทั้ง ๕ คือ เจ้าพ่อหอกลอง, เจ้าพ่อเจตคุปต์, พระเสื้อเมือง, พระทรงเมือง, และพระกาฬไชยศรี โดยมีเสาหลักเมืองในรัชกาลที่ ๔ ตั้งอยู่ด้านหน้า และเสาหลักเมืองในรัชกาลที่ ๑ ตั้งอยู่ทางช่องประตูมุขขวา ในวันนี้ เสียงลือเสียงเล่าถึงเรื่องราวของผู้สังเวยชีวิตที่ก้นหลุมเสาหลักเมือง ได้ลางเลือนไปตามวันเวลา เป็นเรื่องเล่าปรัมปราที่ยังไร้เหตุแห่งความจริง

    คงเหลือไว้เพียงภาพปัจจุบัน ของความเชื่อถือศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์แห่งเสาหลักเมือง ซึ่งอยู่ภายในศาล ที่ผู้คนยังคงแห่แหนจากทั่วสารทิศ นับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อพึ่งพาอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้คอยปกปักรักษา ปกป้องคุ้มภัย

    " ทุกวันนี้ศาลหลักเมืองจึงยังคงประดุจหลักใจ หลักชัย ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทย ดังพระประสงค์ขององค์ปฐมบรมกษัตริย์เฉกเช่นที่เคยเป็นมาแต่ครั้งอดีต จวบจนปัจจุบัน"
    [ame]https://youtu.be/2zCBJLUJQa8[/ame]


    เอายังดีไงคึกฤทธิ์สอนศิษย์ทุบศาล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2016
  11. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    มีเรื่องเล่ากันว่า
    เสาหงส์ ชาวมอญได้สร้างตามตำนานของเมืองหงสาวดี กล่าวคือ หลังจากที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ “ พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ “ ได้ 8 พรรษา พระพุทธองค์ได้ทรงเสด็จไปโปรดเวไนยสัตว์ในแคว้นต่างๆ จนกระทั่งวันหนึ่งได้เสด็จมาถึงภูเขาสุทัศนมรังสิต (ซึ่งอยู่ทางเหนือของเมืองสะเทิม) และได้ทรงผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ทรงทอดพระเนตรเห็นเนินดินกลางทะเล เมื่อน้ำงวดสูงได้ประมาณ 23 วา ครั้นเมื่อน้ำเปี่ยมฝั่ง พอน้ำกระเพื่อม บนเนินดินนั้นมีหงส์สีทอง 2 ตัว เล่นน้ำกันอยู่ ตัวเมียเกาะอยู่บนหลังตัวผู้ (เนื่องจากเนินดินที่ยืนอยู่นั้น มีขนาดเล็กเพียงนิดเดียว พอที่หงส์จะยืนได้ตัวเดียว) พระพุทธองค์จึงทรงมีพุทธทำนายว่า " กาลสืบไปภายหน้า เนินดินที่หงส์สีทองทั้งสองเล่นน้ำกันนี้ จะกลายเป็นแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล เป็นมหานครที่มีพระเจ้าแผ่นดินปกครอง และศาสนาของพระองค์จะเจริญรุ่งเรืองขึ้น ณ ที่แห่งนี้ "

    ครั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงไปแล้ว 100 ปี เนินดินกลางทะเลใหญ่นั้นก็ตื้นเขินขึ้น จนกลายเป็นแผ่นดินอันกว้างใหญ่ มีพระราชบุตรของพระเจ้าเสนะคงคา ทรงพระนามว่า " สมลกุมาร " และ " วิมลกุมาร " เป็นผู้รวบรวมไพร่พลตั้งเป็นเมืองขึ้น ชื่อว่าเมือง " หงสาวดี " เมื่อแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ในปีพระพุทธศักราช 1116 ตรง ณ ดินแดนที่มีหงส์สีทองทั้งสองลงเล่นน้ำอยู่นั่นเอง

    ดังนั้นชาวมอญในเมืองหงสาวดี จึงใช้หงส์เป็นสัญลักษณ์นับแต่นั้นสืบมา ดังได้กล่าวแล้วว่า คนมอญนั้นมีชีวิต จิตใจ และความเป็นอยู่ผูกพันกับพระพุทธศาสนา จึงสร้างเสาหงส์ตั้งตระหง่านอยู่หน้าวัด เป็นการแสดงว่า วัดนั้นเป็นวัดของชาวรามัญนั่นเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    พุทธทำนาย

    ตามเรื่องในพระคัมภีร์ มีปรากฏอยู่เสมอว่า เมื่อภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรือ อุบาสิกา คนใดคนหนึ่งตายลง พระผู้มีพระภาคมักจะตรัสว่า เขาได้ไปเกิดใหม่ในภาพนั้นๆ การที่พระพุทธองค์ทรงทำนายเช่นนี้ มีพระพุทธประสงค์อย่างไร?

    พุทธดำรัส “....ดูก่อนอนุรุทธะ ตถาคตย่อมพยากรณ์สาวกทั้งหลายผู้ทำกาละไปแล้ว ในภพที่เกิดทั้งหลายว่า สาวกชื่อโน้นเกิดแล้วในภพโน้นสาวกชื่อโน้นเกิดแล้วในภพโน้นดังนี้ เพื่อให้คนพิศวงก็หามิได้ เพื่อเกลี้ยกล่อมคนก็หามิได้ เพื่ออานิสงส์ คือลาภสักการะและความสรรเสริญก็หามิได้ ด้วยความประสงค์ว่าคนจงรู้จักเรานี้ก็หามิได้ ดูก่อนอนุรุทธะ กุลบุตรทั้งหลายผู้มีศรัทธา มีความยินดีมาก มีปราโมทย์มากมีอยู่ กุลบุตรเหล่านั้นได้ฟังคำพยากรณ์นั้นแล้ว จะน้อมจิตไปเพื่อความเป็นอย่างนั้นบ้าง ข้อนั้นย่อมมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่กุลบุตรเหล่านั้น สิ้นกาลนาน......”

    นฬกปานสูตร ม. ม. (๑๙๘)
     
  13. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ลางบอกเหตุก่อนเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่
    ท้องฟ้ามืดมิดผิดปกติใบไม้จะพลิกคว่ำพลิกหงายและดูหดหู่สัตว์ทั้งหลายจะไม่ปรากฏกายให้เห็น แต่ถ้ามีสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้านจะเห็นมันวิ่งลุกลี้ลุกลนผิดปกติหรือบางตัวจะนอนนิ่งน้ำตาซึม

    เรื่องเวลาที่แน่นอนนั้น ขอบอกตามตรงว่า ไม่ทราบ เพราะจริงๆแล้วน่าจะเกิดตั้งแต่ ค.ศ. 1999 ตามที่นอสตราดามุสทำนายเอาไว้ แต่เมื่อดูจากเหตุการณ์ในปัจจุบันแล้ว ภัยธรรมชาติที่รุนแรงอย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิตนี้ และจากคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ต่างๆ คิดว่าจะเกิดภายใน 1 – 3 ปีนี้
    เป็นกรรมของสัตว์โลกนะ ครูบาอาจารย์ท่านเคยบอกว่าระบบจะเริ่มล้างมนุษย์ปลายปี 47 แล้วจะมีเหตุอื่นมาล้างเรื่อย ๆ ด้วยระบบภัยพิบัติทางดิน น้ำ ลม ไฟ โรคระบาดและอุบัติภัยสงคราม และจะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนพระจักรพรรดิลงมากภัยพิบัติจึงจะสงบ




    ต่อไปที่จะวิบัติหนัก ๆ ก็คือ ไต้หวัน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อเมริกา ฯลฯ ในโลกนี้ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้เพราะกรรมของมนุษย์เป็นแบบนั้น สำหรับเมืองไทย ต่อไปกรุงเทพฯ ก็มิใช่จะปลอดภัยเพราะฝ่ายรักษาภายในของกทม เริ่มถอนระบบออกไปมากแล้ว และต่อไปภาคใต้แทบจะไม่เหลือ จะเป็นเกาะ แก่งทั้งหมด เราเข้าใจว่าภัยพิบัติในภาคใต้ สัญญาณของยุคจักรพรรดิที่กำลังจะเริ่มต้น ที่จริงมีสัญญาณอย่างอื่นด้วย แต่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล เช่น เรื่องธาตุแก้วเจ็ดประการที่เริ่มเข้ามาสู่ระบบแล้ว และมีสิ่งของอื่น ๆ อีกหลายอย่างที่กระจัดกระจายกันอยู่ในหลายประเทศ เป็นต้นครูบาอาจารย์เคยเล่าว่า แค่นาคโก่งหลังขึ้นมามนุษย์ก็ตายเป็นเบือแล้ว ต่อไปบางที่ก็จะหายไปทั้งเกาะ นี่ยังไม่นับภัยพิบัติจากท้าวกกนาคแถวลพบุรีที่ในไม่ช้า (ช่วงท้ายของภัยพิบัติ) จะลุกขึ้นมา (ภายใน) เพื่อไปรอรับพระจักรพรรดิ ขณะที่ทหารลิง 18 กองพล ที่เคยเฝ้ายักษ์ตนนี้อยู่ที่อื่น ครูบาอาจารย์ท่านว่ายักษ์กกนาคตนนี้มีพิษมากแค่พลิกตัวพิษของยักษ์ก็จะทำให้เกิดโรคร้ายแรงได้ มนุษย์จะตายไปครึ่งโลก แต่คนที่มีศีลก็ไม่เป็นไร เราค่อนข้างมั่นในว่าภายในปี 2560 ประเทศไทยจะได้เป็นมหาอำนาจและไทยกับลาวจะรวมกันเป็นหนึ่ง (ประเทศเดียวกัน) ท่านไหนที่ขยันหมั่นเพียรรักษาศีล ภาวนา ก็จะได้มีโอกาสอยู่ในยุคใหม่ต่อไป ส่วนท่านที่ยังไม่มีศีลธรรมพอ ก็คงต้องไปตามวิถีกรรมของตนเอง ศาสนาอื่นนั้นไม่มีเหลือเมื่อถึงเวลาแล้วจะหนีตายมาพึ่งศาสนาพุทธกันหมดเท่าที่ทราบต่อไปมหาอำนาจอย่างเช่น อเมริกา อังกฤษ ฯลฯ จะต้องมาพึ่งพาไทย ศูนย์กลางโลก ศูนย์กลางศาสนา อยู่ในประเทศไทย ซึ่งต่อไป ที่แห่งหนึ่งในประเทศไทย จะเป็นใจกลางโลก ใจกลางศาสนาในยุคจักรพรรดิ ทั้งโลกจะถูกปกครองโดย 3 ร่มโพธิ์ศรีอัญญาสิทธิ์และอัญญาธรรม พระจักรพรรดิจะเป็นพระมหากษัตริย์ของโลกอย่างที่พวกยิงเขาคิดจะครองโลกกัน นั้นไปไม่ถึงดวงดาวหรอกเพราะวิทยาศาสตร์ถึงทางตันแล้วเหตุที่เกิดในภาคใต้ซึ่งเป็นเขตพระพุทธศาสนายังรุนแรงขนาดนี้ ต่อไปเหตุที่เกิดในเขตศาสนาอื่นๆนั้น จะรุนแรงกว่านี้มาก และความหายนะที่จะเกิดขึ้นนั้นก็จะมากด้วยถ้าหากศึกษาถึงเชื้อของจิตวิญญาณเดิมของการมาเกิดก็จะเข้าใจว่า อย่างเดียร์ถีย์ศาสนาอื่นนั้น เชื้อจิตวิญญาณเดิมหรือต้นธาตุของจิตวิญญาณของพวกนี้ เป็นพวกยักษ์ ตระกูลต่างๆ ดังนั้น ที่ครูบาอาจารย์ท่านว่า พวกยักษ์นอกศาสนาเขาตีกันนั้นก็พวกยักษ์เหล่านี้แหละที่มีปัญหา และพวกยักษ์เหล่านี้ก็มาเกิดมากในยุคนี้ ส่วนใหญ่ในเขตประเทศไทย และประเทศใกล้เคียงจะเป็นเชื้อนาค เชื้อเทวดา เชื้อครุฑ คนในเขตประเทศไทยส่วนใหญ่ก็วนเวียนอยู่กับการเกิดเป็นเชื้อต่างๆ เหล่านี้ขึ้นอยู่กับชาติที่ทำบารมีมาเด่นๆ ว่าเคยทำบารมีในภพภูมิไหนมาก ก็จะมีความเกี่ยวพันกันกับภพภูมิเหล่านั้น และเมื่อถึงเวลาก็จะเป็นการทำบารมีร่วมกันระหว่างภพภูมิ และบางครั้งการทำงานจากภายใน ก็จะส่งผลออกมาสู่ภายนอก แต่คนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นภายใน ที่เห็นก็คือผลที่แสดงออกมาภายนอก และพยายามอธิบายกันด้วยเหตุผลและผลทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นการรู้นอกแต่ไม่รู้ใน คล้ายๆกับวิทยาศาสตร์พยายามอธิบายเหตุผลภายนอกแต่ไม่เข้าใจถึงกฎแห่งกรรมซึ่งเป็นเหตุอยู่ภายใน เป็นต้น นี่คือรู้ไม่แจ้งในเรื่องนั้นๆ
    ก็เลยเกิดความ “ประมาท” ต่อไปจะมีพระจักรพรรดิเป็นผู้ปกครองโลก พระยาธรรมิกราชจะคล้ายพระสังฆราชและจะมีพระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่งจะทำ หน้าที่คล้ายกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งสามร่มโพธิ์ศรีก็คือ สามโพธิสัตว์ที่ลงมาทำหน้าที่ดูแลพระพุทธศาสนานั่นเอง และก็มีเหล่าอัญญาสิทธิ์ บางคนก็อาจยังไม่รู้ตัวเอง ถึงเวลาแล้วก็คงจะได้เห็นว่าของจริงนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งบางท่านจะมีชื่อเสียงในหมู่เทพ เทวดา นาค ครุฑ กุมภกัณฑ์ ฤาษี ดาบส ฯลฯ พวกเขาเหล่านั้นก็รอยุคพระยาธรรมิกราช แต่พวกมนุษย์ไม่รู้จัก เพราะท่านเหล่านี้จะอยู่อย่างเงียบ ๆ และลี้ลับ ครูบาอาจารย์ท่านเคยเปรย ๆ ให้ฟังว่า สำหรับผู้ทำบารมีเข้มข้นแล้วนั้น


    “ดังบ่ดี ดีบ่ดัง”จากที่ครูบาอาจารย์ท่านเล่าสู่กันฟัง สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ไม่มีใครที่จะสามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะกรรมเป็นตัวกำหนดและยุคพระยาธรรมิกราช ก็เป็นพุทธประเพณี เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในกึ่งกลางพุทธศาสนา ในยุคของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์อย่างในยุคพระเวสสันดร หลังจากพระเวสสันดร ได้พรแปดประการจากพระอินทร์แล้ว หลังจากนั้นไม่นาน ก็เกิดยุคพระยาธรรมิกราชหรือยุคพระจักรพรรดิขึ้น ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าลูกชายพระเวสสันดรจะเป็นพระจักรพรรดิในสมัยนั้นในยุค ร่วมสมัยปัจจุบันนี้ มีบุคคลผู้หนึ่ง ทำทานบารมีจนได้พรแปดประการจากพระอินทร์แล้วเช่นกันก็พอจะอนุมานได้ว่า ยุคพระยาธรรมิกราชนั้นเข้ามาใกล้ถึงปลายจมูกแล้ว ใครที่คิดจะทำบุญกุศลอะไรก็ให้รีบเร่งทำ หากเมื่อใดที่ผู้ที่เขาได้พรพระอินทร์เขาทำอธิษฐานบารมีเพื่อดูแลพระศาสนา ระบบที่เขาทำหน้าที่ภายในเขาก็จะทำงานตามลำดับ เมื่อถึงตอนนั้นจะเห็นคุณค่าของศีลธรรม ของศีล 5 ศีล 8 ของบุญบารมีที่แต่ละท่านบำเพ็ญเพียร สั่งสมมา


    ให้ลองนึกถึงคลื่นยักษ์ในภาคใต้ดูว่า คลื่นยักษ์ขนาดไหนที่ทำให้ด้ามขวานไทยเหลือเป็นเกาะแก่ง และคลื่นยักษ์ขนาดไหนที่จะสามารถทำให้เกาะขนาดประเทศไต้หวันหายวับไปได้ใน พริบตาเมื่อไหร่ก็ตามที่นาคใหญ่ทำงาน จะสั่นสะเทือนไปทั้งโลก หากจะเทียบเหตุการณ์ในภาคใต้ที่ผ่านมา เป็นแค่นาคใหญ่โก่งหลังหรือสะดุ้งเพียงเล็กหน่อย ลองจินตนาการดูว่า หากพวกนาคบางพวกมีหน้าที่ทำฤทธิ์เพื่อล้างพวกผู้มีศีลธรรมไม่เพียงพอ สำหรับอยู่ในยุคพระยาธรรมบนโลกนี้ก็จะเหลือคนไม่มากอย่างที่พระสูตรบอกไว้
    เหตุการณ์ต่างๆที่กล่าวมานั้นจะมีอยู่วันหนึ่งที่เหตุการณ์รุนแรงที่สุดคลื่นพลังมหาศาลจากจักรวาลจะกระแทกลงมายังโลก เป็นพลังงานที่เกิดจากลมพายุสุริยะอันเนื่องมาจากจุดดับบนดวงอาทิตย์จุดที่ 11 มนุษย์ทุกคนบนโลกจะได้พบกันเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว บรรยากาศช่วงแรกๆจะรู้สึกหดหู่ เวิ้งว้าง ท้องฟ้าจะวังเวงพิกล หลังจากนั้นไม่นานนัก ลมจะแรงขึ้น แรงขึ้น เสียงฟ้าเสียงลมจะแผดเสียงกึกก้องดังที่สุด ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ยินเสียงที่ดังขนาดนี้มาก่อนในชีวิต เป็นเสียงของพญามัจจุราชที่พิพากษาโลกในด้านความเป็นมนุษย์คนชั่วทุกคนจะถูก ประหารชีวิตและจะตายอย่างทรมาน ไม่เว้นแม้แต่ผู้นำสังคม ผู้นำเศรษฐกิจ ผู้นำลัทธิ ฯลฯ ส่วนคนดีจะได้รับการยกเว้นเอาไว้ให้ได้ทำความดีโดยไม่มีอุปสรรคต่อไป

    คนที่ไม่เคยเข้าวัดก็รีบเข้าวัดซะ ตอนนี้ก็ยังทัน รีบหาของดี วัตถุมงคลติดตัวไว้ แต่ถ้าเป็นคนที่มีศีลดีอยู่แล้วก็ยิ่งดีและสุดท้ายให้นั่งสมาธิ เพราะไม่มีสิ่งใดจะช่วยเราได้นอกจากสมาธิ และผู้ที่ปฏิบัติสมาธิได้อภิญญา เรียกว่าให้อยู่ใกล้คนดีเข้าไว้และปี 2549 พระศรีอารย์ ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์อยู่สวรรค์ชั้นดุสิตในตอนนี้จะลงมาเกิดเป็นมนุษย์ (ท่านลงมาเกิดในคราวนี้ไม่ใช่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า แต่เพื่อช่วยให้ผู้คนรอดพ้นจากเหตุการณ์อันเหลือที่มนุษย์จะรับมือได้ไหวครั้งนี้เพื่อช่วยให้พ้นจากภัยสงครามครั้งมหึมาที่จะทำให้มีคนตายมหาศาลที่กำลังจะ เกิดขึ้นท่านอาจจะเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ได้แต่ยังไม่แสดงตัวเท่านั้น)

    หากท่านไม่แน่ใจว่าตัวท่านมีความดีพอที่จะรอดพ้นจากมหาภัยพิบัติครั้งนี้ละ ก็ ขอให้หาของดีติดตัวเอาไว้เป็นอย่างดี หรือถ้าหาของดีไม่ได้จริงๆ ก็จงทำตัวของท่านให้เป็นคนดีเพื่อความดีจะรักษาตัวของท่านเอง หากท่านไม่เชื่อก็จงอย่างเพิ่งปฏิเสธ เช่น เชื้อโรคที่ตาเปล่าของเรามองไม่เห็น แต่เราก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันมี เพราะเรามีเครื่องมือคือกล้องจุลทรรศน์ที่จะส่องเห็นแล้ว ส่วนเรื่องอย่างอื่นเช่นที่กล่าวไปแล้วก่อนหน้า เครื่องมือที่จะเห็นก็มีแล้วคือการปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ แต่อยู่ที่ท่านจะใช้เครื่องมือ หรือรู้วิธีใช้เครื่องมือนั้นอย่างถูกต้องหรือไม่เท่านั้นเอง

    ผู้เขียนเคยอ่านหนังสือที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเขียนไว้ว่าอีกไม่กี่ร้อยปีจะมีพระมหากษัตริย์ท่านหนึ่งเดินทางจากเหนือมาบูรณะวัดท่าซุงขณะนี้ วัดท่าซุงก็ยังคงเป็นปกติดีแสดงว่าหลังจากนี้ไม่นานนักคงต้องมีเหตุการณ์ที่ทำให้วัดท่าซุงร้าง ซึ่งปัจจุบันวัดท่าซุงยังมีคนไปทำบุญถือศีล ปฏิบัติธรรมอย่างไม่ขาดสาย แต่จะมีเหตุใดเล่าที่ทำให้วัดร้างได้นอกจาก..(อาจจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ระหว่างชาติซึ่งเป็นชนวนให้เกิดอภิมหาสงครามครั้งใหญ่ซึ่งส่งผลกระทบถึงประเทศไทยก็เป็นได้)ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ จงหมั่นทำดีเพื่อรักษาชีวิตรอดเทอญ

    ประเทศไทยเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครองรักษาไว้ ซึ่งจะได้รับความบอบช้ำจากมหันตภัยธรรมชาติน้อยที่สุดในโลกและจะเป็นอู่ข้าวอู่น้ำซึ่งมีความเจริญเป็นศูนย์กลางของโลกต่อไป



    คำถาม........? เมื่อสนามแม่เหล็กโลกเกิดการพลิกตัวอย่างสมบูรณ์จะเกิดอะไรขึ้นกับโลก
    สิ่ง ที่จะกล่าวต่อไปนี้อาจะเหลือเชื่อแต่ตามหลักการแล้วย่อมเป็นไปได้ การพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนี้ไม่ได้ทำให้เกิดความหายนะจากพายุสุริยะแค่ เพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดหายนะจากการหมุนกลับทางของโลกที่จะเกิดตามมาอีก ยกตัวอย่าง เช่น การหมุนของมอเตอร์ มอเตอร์แบบธรรมดามี 2 ขั้ว โดยให้สัญลักษณ์ A และ B ก่อนที่ขั้วแม่เหล็กโลกจะพลิกตัว ให้เปรียบโดยการใช้ ไฟฟ้าขั้ว + ต่อเข้ากับ A และไฟฟ้าขั้ว - ต่อเข้ากับ B มอเตอร์จะหมุนไปทางใดทางหนึ่ง แต่เมื่อเราต่อขั้วไฟฟ้ากลับด้านกัน ย่อมทำให้มอเตอร์เกิดการหมุนทิศทางตรงกันข้ามกับครั้งแรก และนี่ก็เปรียบกับการพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนั่นเอง

    คำถาม........? แล้วสิ่งมีชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป

    เมื่อ โลกหมุนกลับทาง สิ่งมีชีวิตที่เหลืออาจจะต้องเจอกับภัยธรรมชาติมากมาย โลกหมุนกลับทางย่อมทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยน ทั้งกระแสน้ำทะเล กระแสลม รวมถึงแผ่นดิน จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นย่อมไม่มีใครรู้ได้ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตรอด จะปรับตัวอย่างไรเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก มนุษย์ที่เหลือจะทำอย่างไรเมื่อวันนั้นมาถึง...........................


    วันสิ้นโลกของศาสนาอื่น ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า จะมีสัญญาน คือ ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก

    เมื่อไหร่จะพลิกล่ะ นานไหม? บางคนรอนานละเหนื่อย

    [ame]https://youtu.be/jQezGpVEJrA[/ame]

    แต่หากจะวิสัชนาไปอีกทางหนึ่ง ที่ว่า พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก นี่ก็อาจหมายถึง แสงสว่างของพระธรรมธรรมคำสั่งสอนในศาสนาพุทธจะส่องสว่างขจรขจายไปในชาติตะวันตก ประดุจดั่งดวงอาทิตย์ยามอรุณรุ่งส่องสว่างในดินแดนตะวันตก และสามารถวิสัชนาขึ้นไปอีก หากเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็จะเข้ากับประโยคที่ว่า "ศาสนาอื่นนั้นไม่มีเหลือเมื่อถึงเวลาแล้วจะหนีตายมาพึ่งศาสนาพุทธกันหมดเท่าที่ทราบต่อไปมหาอำนาจอย่างเช่น อเมริกา อังกฤษ ฯลฯ จะต้องมาพึ่งพาไทย ศูนย์กลางโลก ศูนย์กลางศาสนา อยู่ในประเทศไทย ซึ่งต่อไป ที่แห่งหนึ่งในประเทศไทย จะเป็นใจกลางโลก ใจกลางศาสนาในยุคจักรพรรดิ " หากเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็จะจบลงด้วยความสวยงามอย่างมาก เพราะผู้ที่เข้ามาศึกษาและเล่าเรียนปฎิบัติธรรม อันมีฝรั่งชาวต่างชาตินี่แหละจะเป็นผู้นำของชนชั้นเชื้อชาตินั้นๆ เปรียบดั่งศาสนทูตที่กำลังสำคัญ ที่เจริญเติบโตในพระพุทธศาสนาและจะเป็นกำลังเสาหลักในการขยายองค์คุณความรู้ ให้แด่เหล่าสาธุชนรุ่นหลังต่อไปในภายภาคหน้า เป็นไปอย่างน้ำนิ่งไหลลึกทีเดียว "

    และแน่นอน ก็ชนเหล่านี้ที่ย้อนกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง แม้จะไปเกิดในแดนไกล ก็เพราะปัจจัยในนิสสัยเก่าที่สั่งสมมาในอดีตชาติ ก็พยายามที่จะย้อนกลับเข้ามาหาหนทางเดิม บุคคบเหล่านี้ล่ะที่จะเป็นศาสนทูตของบวรพระพุทธศาสนาต่อไปในโลก

    http://palungjit.org/threads/ดังทั่...อน-ฝรั่งแห่เรียนสมาธิปีละกว่า-2-พันคน.560211/


    พุทธศาสนา ประเทศตะวันตก อาจารย์ทรงวิทย์ แก้วศรี
    ผมได้อ่านบทความดีๆ หลายบทความเพราะต้องมาจัดทำสื่อออนไลน์ไว้ให้นักศึกษาได้เข้ามาค้นคว้า ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งหรับนักศึกษาที่มีความสนใจใคร่รู้ ในวันหยุดเช่นนี้ผมได้อ่านบทความหนึ่งชื่อ พุทธศาสนาเข้าสู่ตะวันตก เขียนโดยท่านอาจารย์ทรงวิทย์ แก้วศรี เนื้อหาภายหลังที่ผมอ่านจบ ผมคิดว่านักศึกษาที่ลงทะเบียนในรายวิชานี้น่าจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อยหากได้อ่านจนจบเช่นเดียวกับผม ชื่อบันทึกนี้ผมใช้คำใหม่ว่า พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก เพราะตามธรรมชาติพระอาทิตย์ย่อมขึ้นทางทิศตะวันออกแล้วตกลงทางทิศตะวันตก แต่การเคลื่อนครั้งนี้ไปขึ้นทางทิศตะวันตกก่อนเพื่อให้นักศึกษาผู้ที่สนใจจะได้ต่อยอดความรู้ว่าประเทศในตะวันตกนั้นมีประเทศอะไรบ้าง และในปัจจุบันประเทศเหล่านั้นได้รับแนวคิดทางพุทธศาสนาไปใช้มากน้อยเพียงใด ผมคงทำหน้าที่นำเนื้อหาสาระดีๆมาฝาก เป็นในส่วนที่จะช่วยเกื้อกูลนักศึกษาให้เพียรพยายามรู้ด้วยตนเองในอนาคต

    พระพุทธศาสนาเข้าสู่ตะวันตก

    วิทยาการใหม่ ๆ ในตะวันตก นับว่ามีความใกล้เคียงกับแนวความคิดข้อนี้มาก ที่บอกให้เราทราบว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำเนินไปเป็นขั้น ๆ มีรากเหง้าและต้นตอมาจาก ความคิดดั้งเดิมของเรานั่นเอง คริสต์มาส ฮัมเฟรยส์ กล่าวย้ำข้อความตอนนี้ไว้ว่า พระพุทธศาสนาสอนให้คนเราคิดอย่างเสรี มีใจกว้างพอ อันนี้แหละ ที่ทำให้คนทึ่ง เพราะว่า พระพุทธศาสนานั้น เคารพคำสอนที่มีเหตุผลของทุก ๆ ศาสนา การที่ศาสนามีต่าง ๆ กัน เพื่อให้เหมาะกับสันดานของแต่ละบุคคล ให้มีความเข้าใจอย่างสูงส่ง และตรงกับความต้องการ ในทางจิตใจของมนุษย์ในทุก ๆ ขีดขั้นในช่วงชีวิต ซึ่งจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนว่า ยังมีความต้องการปรัชญาทางศีลธรรม เกี่ยวกับการครองชีวิต เพื่อมาทดแทนช่องโหว่ในหลักคำสอนศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นความรู้สึกอยู่ในใจของชาวตะวันตก หลักคำสอนอันใหม่นี้เกี่ยวกับ ศิลปะการครองชีวิต สามารถที่จะสนองความต้องการของเขาเหล่านั้นได้

     

    อีกอย่างหนึ่ง ในบรรดาศาสนาใหญ่ ๆ ด้วยกัน มีแต่พระพุทธศาสนาเท่านั้น ที่ไม่หวั่นกลัวต่อวิทยาการใหม่ ๆ ทุก ๆ ปี จะมีการค้นพบสัจธรรมของพระพุทธศาสนาว่า เป็นของจริงแท้ ยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าไม่จริง พระพุทธศาสนาไม่เคยหวั่นกลัวต่อวิชาจิตวิทยา เพราะการแจกแจงระบบการทำงานของดวงจิต อันซับซ้อนและลึกซึ้ง ที่ปรากฏในพระอภิธรรมปิฎกนั้น ยังเป็นคู่แข่งที่สำคัญกับจิตวิทยาสมัยใหม่ ในตะวันตกอยู่ สำหรับวิชาสังคมซึ่งเป็นเทพเจ้าน้องใหม่สุด ในศาสตร์ของชาวตะวันตกนั้น ถ้าเอามาเทียบกับพระพุทธศาสนาแล้ว ก็เป็นเทวกุมารองค์เล็ก ๆ ของหลักคำสอน อันเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ อันว่าด้วยเมตตาธรรม ที่มีต่อสรรพสัตว์น้อยใหญ่ทุกจำพวก และหน้าที่ของพระโพธิสัตว์ ก็คือต้องทำงานเพื่อประโยชน์สุข ให้แก่สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนร่วมเกิดของตน

     

    โลกเรานับวันแต่จะแคบลงเข้าทุกที ถึงแม้ว่าแนวความคิดและวิทยาการใหม่ ๆ ในตะวันตก จะได้มีการศึกษากันอย่างกว้างขวางเพียงไร ในหมู่ชาวตะวันออก แต่ชาวตะวันตกเองก็ต้องศึกษาเรียนรู้ศาสตร์ และวิชาการอันว่าด้วยจิตของชาวตะวันออก มากขึ้นเพียงนั้นเช่นกัน อีกอย่างหนึ่ง ในบรรดาศาสนาต่าง ๆ ของโลก พระพุทธศาสนาเท่านั้นที่ไม่มีอะไร จะต้องหวั่นกลัวต่อผลแห่งความคิดของมนุษย์ ในโลกตะวันตกยุคปัจจุบัน กล่าวคือ การวิพากษ์วิจารณ์ถึงความคิดก่อน ๆ และชี้ชัดออกมาให้เห็น เป็นข้อที่เชื่อถือได้ และวิทยาการใหม่ ๆ ที่ใช้ศัพท์ในแง่ที่กว้างขวางมาก เกี่ยวกับข้อแรก ทัศนคติของพระพุทธศาสนาต่อปรากฏการณ์ทุกอย่าง และต่อทฤษฎีคำสอนทุกทฤษฎี ที่เกี่ยวกับปรากฏการณ์นั้น ตรงตามวัตถุประสงค์ ไม่ทึกทักอะไรง่าย ๆ ทดสอบทุกสิ่งทุกอย่างกันให้จริง ๆ เถอะ เพราะ การกระทำเช่นนั้น เป็นความมุ่งหมายของพระพุทธศาสนา ที่ต้องการให้พุทธศาสนิกเป็นอยู่แล้ว

     

    จากความจริงในแง่นี้ นักสังเกตพุทธศาสนาในตะวันตกบางท่าน เช่น วาย, สิริญาณ ในขณะเดินทางไปสังเกตการณ์พระพุทธศาสนาในตะวันตก ได้เปิดเผยว่า ส่วนใหญ่แล้ว ชาวตะวันตกจะเกิดความประทับใจในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ขอให้ผู้ที่จะนำเอาคำสอนของพระองค์ ไปใช้ได้ใคร่ครวญทดสอบดูก่อน นั่นก็คือ ชาวพุทธได้รับการส่งเสริมให้รู้จักคิดด้วยตัวเอง พระสงฆ์ในพุทธศาสนา ไม่จำต้องปฏิญญาว่า จะครองสมณเพศตราบเท่าชีวิต แต่ยังมีอิสระที่จะลาเพศออกไป เมื่อไรก็ได้ตามปรารถนา ไม่มีสวรรค์หรือนรกที่เป็นปัจจัยผลักดันภายนอก และพระพุทธเจ้าไม่ทรงมอบหมายให้ผู้ใด มาทำหน้าที่เป็นศาสดาแทนพระองค์ หลังแต่ปรินิพพาน แต่ทรงมอบธรรมวินัยไว้เป็นสมบัติ แก่มนุษย์ชาติด้วยพระพุทธดำรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา"

     

    วิทยาการใหม่ ๆ ในโลกตะวันตกทุกวันนี้ ต่างสนใจศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง การทำงานของจิต กันมาก สิ่งที่เห็นชัดที่สุดเกี่ยวกับความเคลื่อนไหว เมื่อเร็ว ๆ นี้ ในหลักมูลฐานของฟิสิกส์ ก็คือ การบัญญัติศัพท์ใหม่ ๆ ให้กับ สิ่งที่ค้นพบขนานไปพร้อม ๆ กับ ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ซึ่งแต่งไว้สองพันกว่าปีมาแล้ว แท้จริงแล้ว พระพุทธศาสนาไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว วิทยาการใหม่ ๆ ในตะวันตก และในโลกของจิต ซึ่งรวมถึงศาสตร์ที่เกี่ยวกับระบบสมอง กล่าวคือ จิตวิทยานั้น ในโลกตะวันตกยังต้องเรียนรู้จากพระพุทธศาสนาอีก มากกว่าที่ตนรู้อยู่เดี๋ยวนี้มากนัก

     

    คำสอนของพระพุทธศาสนา ลึกซึ้งคัมภีรภาพยิ่งนัก แต่แม้จะกว้างขวางเพียงไร ก็ใจกว้างพอที่จะให้ใคร ๆ มาค้นคว้าหาความจริงได้เสมอ การชี้บอกทางที่ถูกต้องให้แก่ผู้อื่น ถือเป็นการกระทำที่มีเกียรติ และหนทางที่จะให้บรรลุเป้าหมายนั้น มีมากมายพอ ๆ กับ ชีวิตมนุษย์เราทีเดียว พระพุทธศาสนากล่าวได้ว่า มีผู้นับถือตั้งครึ่งโลก ทั้งผู้ที่เป็นชาวพุทธโดยไม่รู้ตัวก็มาก และถ้าเราจะขีดคั่นคำสอนระหว่าง ฝ่ายหินยาน กับ มหายาน แล้ว เราจะต้องยอมรับว่า คำสอนฝ่ายมหายานนั้น มีความยืดหยุ่นให้พอเหมาะพอควรกับอัธยาศัยของบุคคลทุกประเภท ได้มากกว่า และในขณะที่พุทธธรรมได้เผยตัวขึ้น ให้ปรากฏในซีกโลกตะวันออกไกลอยู่เช่นไร พุทธธรรมก็ได้หยั่งรากลงตั้งมั่น ในซีกโลกตะวันตกอย่างรวดเร็ว มีอิทธิพลทั้งในด้านความคิด และ การดำเนินชีวิตของเขา เหล่านั้นอยู่เช่นนั้น เช่นเดียวกัน

     

    ทรงวิทย์  แก้วศรี


    อ่านต่อเพลินๆ
    โลกจะเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่จริงหรือ?
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2016
  14. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    พระผู้มีพระภาคมีพระจักษุ
    ด้วยจักษุ ๕ ประการ คือ

    มีพระจักษุแม้ด้วย มังสจักษุ ๑
    มีพระจักษุแม้ด้วย ทิพยจักษุ ๑
    มีพระจักษุแม้ด้วย ปัญญาจักษุ ๑
    มีพระจักษุแม้ด้วย พุทธจักษุ ๑
    มีพระจักษุแม้ด้วย สมันตจักษุ ๑


    ดวงตาเห็นธรรม


    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕
    ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก


    ทีปังกรพุทธวงศ์ที่ ๑
    ว่าด้วยพระประวัติพระทีปังกรพุทธเจ้า


                              วันนี้เราพยากรณ์ผู้ใดว่าจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลก ผู้นั้นพิจารณาเห็นธรรมที่พระพิชิตมารทรงเสพมาก่อน เมื่อผู้นั้นพิจารณาธรรมอันเป็นพุทธภูมิโดยไม่เหลือ เพราะเหตุนั้น ปฐพีในหมื่นโลกธาตุพร้อมทั้งในเทวโลก จึงหวั่นไหว ขณะนั้น มหาชนได้ฟังพระพุทธดำรัสแล้ว เย็นใจ ทุกคนพากันมาหาเราแล้ว ก็กราบไหว้อีก

                 เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓  บรรทัดที่ ๖๘๗๔ -
     
  15. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ชื่อจารึก จารึกวัดสมุหนิมิต
    ชื่อจารึกแบบอื่นๆ สฏ. ๑๖ จารึกวัดสมุหนิมิต, ศิลาจารึก อักษรขอม ภาษาไทย สมัยกรุงธนบุรี
    อักษรที่มีในจารึก ขอมธนบุรี-รัตนโกสินทร์
    ศักราช พุทธศักราช  ๒๓๑๙
    ภาษา ไทย
    ด้าน/บรรทัด จำนวนด้าน ๒ ด้าน มี ๔๒ บรรทัด ด้านที่ ๑ มี ๒๔ บรรทัด ด้านที่ ๒ มี ๑๘ บรรทัด
    วัตถุจารึก หินทรายสีแดง
    ลักษณะวัตถุ แผ่นหินรูปใบเสมา
    ขนาดวัตถุ กว้าง ๓๖ ซม. สูง ๗๙ ซม. หนา ๑๑ ซม.
    บัญชี/ทะเบียนวัตถุ ๑) กองหอสมุดแห่งชาติ กำหนดเป็น “สฏ. ๑๖ จารึกวัดสมุหนิมิต”
    ๒) ในวารสาร ศิลปากร ปีที่ ๑๕ ฉบับที่ ๑ (พฤษภาคม ๒๕๑๔) กำหนดเป็น “ศิลาจารึก อักษรขอม ภาษาไทย สมัยกรุงธนบุรี”
    ปีที่พบจารึก ไม่ปรากฏหลักฐาน
    สถานที่พบ วัดจำปา ตำบลทุ่ง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
    ผู้พบ ไม่ปรากฏหลักฐาน
    ปัจจุบันอยู่ที่ วัดสมุหนิมิต ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
    พิมพ์เผยแพร่ วารสารศิลปากร ปีที่ ๑๕ ฉบับที่ ๑ (พฤษภาคม ๒๕๑๔) : ๘๖-๙๒.
    ประวัติ ศิลาจารึกหลักนี้ เดิมอยู่ที่วัดจำปา ตำบลทุ่ง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี นายเอื้อน สุรทิน ปลัดอำเภอไชยา ได้นำศิลาจารึกนี้ไปเก็บรักษาไว้ที่วัดสมุหนิมิต นายวิคเตอร์ เคเนดี้ ได้ถ่ายภาพและทำสำเนาจารึกมอบให้แก่กองโบราณคดี กรมศิลปากร เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ ต่อมา ผู้อำนวยการหอสมุดแห่งชาติ พระนคร พร้อมทั้งคณะได้เดินทางไปราชการที่ภาคใต้จึงส่งเจ้าหน้าที่ไปทำสำเนาจารึกอีกครั้ง จึงมีการอ่านและตีพิมพ์ลงใน วารสารศิลปากร ปีที่ ๑๕ ฉบับที่ ๑ (พฤษภาคม ๒๕๑๔) โดยเรียกว่า “ศิลาจารึกอักษรขอม ภาษาไทย สมัยกรุงธนบุรี” และ “ศิลาจารึกวัดจำปา” (ในที่นี้ใช้ชื่อตามกองหอสมุดแห่งชาติ คือ “จารึกวัดสมุหนิมิต” ซึ่งเรียกตามที่อยู่ปัจจุบันของจารึก และหลีกเลี่ยงการซ้ำกับ จารึกวัดจำปา สมัยอยุธยา) การกำหนดอายุ กำหนดอายุจากศักราชที่ปรากฏในจารึก ว่า “พระพุทธศักราชได้ ๒๓๑๙ พระวัสสา“
    เนื้อหาโดยสังเขป ด้านที่ ๑ : พ.ศ. ๒๓๑๙ อาจารย์วัดจำปา ภิกษุ สามเณร และสีกาบุญรอด ซึ่งเป็นผู้อุปการะ ไปนำหินจากเขาโพมาสร้างพระพุทธรูปปางสมาธิ ๒๑ องค์ พระอรหันต์ ๙ องค์ มีการบอกรายนามผู้สร้างและปิดทอง จากนั้นกล่าวถึงการอัญเชิญพระพุทธรูปปางสมาธิ ๙ องค์ และพระอรหันต์ ๘ องค์ ไปประดิษฐาน ณ ถ้ำศิลาเตียบ ต่อมาเจ้าพระยาไชยาและทายกทั้งปวงแห่พระพุทธรูปไปประดิษฐาน ณ ถ้ำวิหารพระโค ๒๓ องค์ ตอนท้ายกล่าวว่าหากผู้ใดนมัสการให้ทำการกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลแก่สัตว์ทั้งหลายด้วย ด้านที่ ๒ : (ข้อความต่อเนื่องจากด้านที่ ๑) เนื้อหาส่วนใหญ่กล่าวถึงการถวายที่นาให้แก่วัด โดยระบุชื่อและจำนวนที่ถวาย มีการสาปแช่งผู้ที่จะเบียดบังที่นาและจังหันของพระสงฆ์ให้พบกับอันตราย ๑๖ ประการ ตอนท้ายระบุศักราชตรงกับ พ.ศ. ๒๓๑๙ โดยเทียบไว้ทั้งพุทธศักราช, จุลศักราชและมหาศักราช
    ผู้สร้าง เจ้าพระยาไชยา
    การกำหนดอายุ กำหนดอายุจากศักราชที่ปรากฏในจารึก ว่า “พระพุทธศักราชได้ ๒๓๑๙ พระวัสสา”


    สมัยนี้การเบียดบังธรณีสงฆ์ในบวรพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2016
  16. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ชื่อจารึก จารึกวัดถ้ำสุวรรณคูหา ๑
    ชื่อจารึกแบบอื่นๆ -
    อักษรที่มีในจารึก ธรรมอีสาน
    ศักราช พุทธศักราช  ๒๑๑๕
    ภาษา ไทย, บาลี
    ด้าน/บรรทัด จำนวนด้าน ๑ ด้าน มี ๓๙ บรรทัด ด้านที่ ๑ มี ๒๐ บรรทัด ด้านที่ ๒ มี ๑๙ บรรทัด
    วัตถุจารึก ศิลา ประเภทหินทราย
    ลักษณะวัตถุ รูปใบเสมา
    ขนาดวัตถุ กว้าง ๗๕ ซม. สูง ๑๔๖ ซม. หนา ๑๗ ซม.
    บัญชี/ทะเบียนวัตถุ ๑) กองหอสมุดแห่งชาติ กำหนดเป็น "อด. ๑"
    ๒) ในหนังสือ จารึกในประเทศไทย เล่ม ๕ กำหนดเป็น "จารึกวัดถ้ำสุวรรณคูหา ๑"
    ๓) ในหนังสือ ศิลาจารึกอีสานสมัยไทย - ลาว กำหนดเป็น "ศิลาจารึกวัดถ้ำสุวรรณคูหา ๑" และ "ศิลาจารึกวัดถ้ำสุวรรณคูหา ๒"
    ปีที่พบจารึก ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๗
    สถานที่พบ วัดถ้ำสุวรรณคูหา บ้านคูหาพัฒนา ตำบลนาสี อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู
    ผู้พบ เจ้าหน้าที่สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดอุดรธานี
    ปัจจุบันอยู่ที่ วัดถ้ำสุวรรณคูหา บ้านคูหาพัฒนา ตำบลนาสี อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู
    พิมพ์เผยแพร่ ๑) วารสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๘ (มิถุนายน ๒๕๒๘) : ๑๑๔ - ๑๒๗.
    ๒) วารสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๙ (กรกฎาคม ๒๕๒๘) : ๓๘ - ๓๙.
    ๓) วารสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๑๑ (กันยายน ๒๕๒๘) : ๕๔ - ๕๙.
    ๔) วารสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ (พฤศจิกายน ๒๕๒๘) : ๑๕๒ - ๑๕๘.
    ๕) จารึกในประเทศไทย เล่ม ๕ (กรุงเทพฯ : หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร, ๒๕๒๙), ๓๐๑ - ๓๐๗.
    ๖) ศิลาจารึกอีสานสมัยไทย - ลาว (กรุงเทพฯ : คุณพินอักษรกิจ, ๒๕๓๐), ๒๕๗ - ๒๖๐, ๒๗๐ - ๒๗๓.
    ๗) ภาษาและอักษรอีสาน (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๔๓), ๒๓๗.
    ประวัติ จารึกวัดถ้ำสุวรรณคูหานี้ มี ๒ หลัก คือ จารึกวัดถ้ำสุวรรณคูหา ๑ และ จารึกวัดถ้ำสุวรรณคูหา ๒ ตั้งอยู่บนพื้นก่อซีเมนต์ภายในถ้ำ เจ้าหน้าที่สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดอุดรธานีเป็นผู้พบ เมื่อเจ้าหน้าที่หน่วยศิลปากรที่ ๗ จังหวัดขอนแก่นทราบเรื่อง จึงติดต่อให้กองหอสมุดแห่งชาติจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปทำสำเนาจารึกทั้งสองหลัก นี้มาเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๗ เพื่อนำสำเนาจารึกมาเก็บรักษาไว้ที่หอพระสมุดวชิรญาณ ในกองหอสมุดแห่งชาติ ในหนังสือ ศิลาจารึกอีสาน (พ.ศ. ๒๕๓๐) ธวัช ปุณโณทก ได้อ่าน - แปล จารึกหลักนี้อีกครั้ง โดยแยกจารึกวัดถ้ำสุวรรณคูหา ๑ เป็น ๒ หลัก โดยพิจารณาจากศักราชของจารึกทั้งสองด้านที่เป็นคนละสมัยกัน อย่างไรก็ตาม ในการจัดทำฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทยนี้ ได้ยึดข้อมูลของหอสมุดแห่งชาติเป็นเกณฑ์ จึงมิได้แยกจารึกหลักนี้เป็น ๒ หลัก ดังกล่าว
    เนื้อหาโดยสังเขป ข้อความจารึกด้านที่ ๑ บอกฤกษ์ยามในการสร้างอย่างละเอียด กล่าวถึงพระนามของพระไชยเชษฐาธิราช ซึ่งมีพระราชศรัทธากัลปนาที่ดิน สร้างพระพุทธรูป ถวายข้าโอกาส และยังได้กล่าวถึงชื่อบ้านนามเมืองที่อุทิศให้เป็นนาจังหันเพื่อเก็บผลประโยชน์ถวายพระภิกษุ และบำรุงวัด ในตอนท้ายได้สาปแช่งผู้ที่ทำลายทานวัตถุและถือประโยชน์สงฆ์มาเป็นของตนเอง
    ผู้สร้าง ไม่ปรากฏหลักฐาน
    การกำหนดอายุ ข้อความจารึกด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑ ระบุ จ.ศ. ๙๒๔ ซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๑๐๕ (ธวัช ปุณโณทก ว่าเป็น จ.ศ. ๙๒๕ ซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๑๐๖) อันเป็นสมัยที่พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชปกครองราชอาณาจักรล้านช้าง (พ.ศ. ๒๐๙๓ - ๒๑๑๕) และข้อความจารึกด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๑ ระบุ จ.ศ. ๙๓๔ ซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๑๑๕ ปลายรัชสมัยของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช (พ.ศ. ๒๐๙๓ - ๒๑๑๕) - ต้นรัชสมัยของพระสุมังคลไอยโกโพธิสัตว์ (พระยาแสนสุรินทร์ลือไชย) ครั้งที่ ๑ (พ.ศ. ๒๑๑๕ - ๒๑๑๗)


    ย้อนดูสมัยอดีตจะมีผืนนาทำกินที่ทำการเกษตรเพื่อถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุโดยเฉพาะ

    มามองดูสภาพในปัจจุบันก็ให้คิดอะไร? ได้หลายอย่างเชียวในความเปลี่ยนแปลง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1039_2.jpg
      1039_2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      378.8 KB
      เปิดดู:
      251
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2016
  17. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ชื่อจารึก จารึกแผ่นทองหุ้มปลียอดพระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช ๓๗ (จ. ๓)
    ชื่อจารึกแบบอื่นๆ จารึกแผ่นทองหุ้มปลียอดพระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช, จารึกแผ่นทอง จ. ๓
    อักษรที่มีในจารึก ไทยธนบุรี-รัตนโกสินทร์, ไทยอยุธยา
    ศักราช พุทธศตวรรษ  ๒๓-๒๔
    ภาษา ไทย
    ด้าน/บรรทัด จำนวนด้าน ๑ ด้าน มี ๕ บรรทัด
    วัตถุจารึก ทองคำ
    ลักษณะวัตถุ แผ่นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
    ขนาดวัตถุ กว้าง ๙.๘ ซม. ยาว ๑๙.๓ ซม.
    บัญชี/ทะเบียนวัตถุ ในวารสาร ศิลปากร ปีที่ ๓๗ ฉบับที่ ๓ (กรกฎาคม-สิงหาคม ๒๕๓๗) กำหนดเป็น “จารึกแผ่นทองหุ้มปลียอดพระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช” และ “จารึกแผ่นทอง จ. ๓”
    ปีที่พบจารึก ไม่ปรากฏหลักฐาน
    สถานที่พบ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
    ผู้พบ หน่วยศิลปากรที่ ๘ (ปัจจุบันคือ สำนักงานศิลปากรที่ ๑๔) จังหวัดนครศรีธรรมราช
    ปัจจุบันอยู่ที่ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
    พิมพ์เผยแพร่ วารสาร ศิลปากร ปีที่ ๓๗ ฉบับที่ ๔ (กรกฎาคม-สิงหาคม ๒๕๓๗) : ๒๐-๑๑๘.
    ประวัติ จารึกแผ่นทองหุ้มปลียอดพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช เท่าที่มีการพบและอ่าน-แปลมีทั้งหมด ๔๐ แผ่น น้ำหนักรวม ๔,๒๑๗.๖ กรัม มีลักษณะเป็นทองคำแผ่นบางรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่ละแผ่นมีขนาดและน้ำหนักไม่เท่ากัน บริเวณขอบจารึกทุกแผ่นมีรอยเย็บต่อไว้ด้วยเส้นด้ายทองคำรวมเป็นผืนใหญ่ ปนอยู่กับแผ่นทองพื้นเรียบ ไม่มีอักษรจารึก และแผ่นทองที่เขียนด้วยเหล็กแหลมเป็นลายเส้นพระพุทธรูปและรูปเจดีย์ทรงต่างๆ สภาพโดยทั่วไปชำรุด มีรอยปะเสริมส่วนที่ขาดด้วยแผ่นทองขนาดต่างๆ บางตอนมีรอยการเจาะรูเพื่อประดับดอกไม้ ทอง และอัญมณี เป็นต้น นอกจากนี้ในบริเวณแกนปลียอดพระบรมธาตุเจดีย์ซึ่งเป็นโลหะก็มีจารึกอยู่ช่วงใต้กลีบบัวหงาย ต่ำลงไปประมาณ ๑.๘๐ เมตร เป็นการจารึกรอบแกนปลีจำนวน ๒ บรรทัด แต่ปัจจุบันถูกหุ้มด้วยแผ่นไฟเบอร์กลาส เพื่อเสริมความมั่นคงให้แก่โครงสร้างยอดเจดีย์ จารึกดังกล่าวจึงถูกปิดทับไปด้วย จึงมีการอ่าน-แปลจารึกในบริเวณดังกล่าวจากภาพถ่าย กลุ่มจารึกแผ่นทองหุ้มปลียอดพระบรมธาตุเจดีย์นี้ มีการจารด้วยอักษรขอมและอักษรไทย ข้อความส่วนใหญ่บอกถึงวันเดือนปีที่ทำการซ่อม, สร้างแผ่นทอง ระบุน้ำหนักทอง และถิ่นที่อยู่ของผู้มีศรัทธาพร้อมทั้งการตั้งความปรารถนาซึ่งนิยมขอให้ตนได้พบพระศรีอารย์ และถึงแก่นิพพาน จากหลักฐานที่ปรากฏในตำนาน ทำให้ทราบว่า วัดพระบรมธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช เดิมชื่อวัดพระบรมธาตุ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารใน พ.ศ. ๒๔๕๘ พื้นที่ใช้สอยในวัดเมื่อสมัยแรกสร้าง จนถึงก่อนการเปลี่ยนแปลงในสมัยรัชกาลที่ ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ กำหนดให้บริเวณวัดเป็นเขตพุทธาวาส ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา และได้ตั้งเขตสังฆาวาสขึ้นรอบองค์พระบรมธาตุทั้ง ๔ ทิศ ได้แก่ ทิศเหนือ มีวัดพระเดิม วัดมังคุด และวัดโรงช้าง ทิศใต้ มีวัดหน้าพระลาน วัดโคกธาตุ วัดท้าวโคตร วัดศพ วัดไฟไหม้ และวัดชายน้ำ ทิศตะวันออก มีวัดดิ่งดง วัดธรรมาวดี วัดสิงห์ วัดสระเรียง วัดหน้าพระบรมธาตุ และวัดหน้าราหู ทิศตะวันตก มีวัดพระนคร วัดแม่ชี และวัดชลเฉนียน ในปัจจุบัน วัดต่างๆ ที่อยู่รอบองค์พระบรมธาตุทั้ง ๔ ทิศ ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คือ วัดโรงช้าง วัดดิ่งดง วัดธรรมาวดี วัดสิงห์ และวัดแม่ชี กลายเป็นวัดร้าง ส่วนวัดพระเดิมและวัดมังคุดรวมเป็นวัดเดียวกับวัดพระมหาธาตุฯ วัดศพและวัดไฟไหม้รวมเป็นวัดเดียวกับวัดท้าวโคตร สำหรับวัดราหูได้รวมกับวัดหน้าพระธาตุ ในส่วนของพระสงฆ์ซึ่งทำหน้าที่ดูแลองค์พระบรมธาตุ มีจำนวน ๔ คณะ แต่ละคณะจะรับผิดชอบประจำอยู่ในทิศต่างๆ คือ คณะกาเดิมอยู่ทิศเหนือ คณะการามอยู่ทิศใต้ คณะกาแก้วอยู่ทิศตะวันออก คณะกาชาดอยู่ทิศตะวันตก จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้โปรดให้ตั้งพระสงฆ์คณะต่างๆ มีตำแหน่งเป็นพระครู โดยมีพระครูเหมเจติยานุรักษ์เป็นหัวหน้าคณะ และมีผู้ช่วยอีก ๔ รูป คือ พระครูกาเดิม พระครูการาม พระครูกาแก้ว และพระครูกาชาด ตำแหน่งพระครูทั้ง ๔ นี้ยังคงจำพรรษาอยู่ในวัดเดิมของตนตามทิศทั้ง ๔ มีหน้าที่ดูแลพระบรมธาตุร่วมกัน ใน พ.ศ. ๒๔๕๘ รัชกาลที่ ๖ โปรดให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนลพบุรีราเมศวร์ เมื่อครั้งยังทรงดำรงตำแหน่งอุปราชมณฑลปักษ์ใต้ นิมนต์พระสงฆ์จากวัดเพชรจริกซึ่งมีพระครูวินัยธร (นุ่น) เป็นหัวหน้าสงฆ์จำพรรษาดูแลวัด และพระราชทานนามใหม่ว่า วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จารึกแผ่นทองหุ้มปลียอด เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการนำแผ่นทองขึ้นไปหุ้มเป็นพุทธบูชาหลายครั้ง และมีการปฏิบัติต่อเนื่องสืบมา ศักราชเก่าที่สุดที่ปรากฏในจารึกกลุ่มนี้คือ พ.ศ. ๒๑๕๕ ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระเจ้าเอกาทศรฐ สมัยอยุธยา สังเกตได้ว่าจารึกที่เก่ากว่าส่วนใหญ่จะอยู่ในตำแหน่งใกล้ยอดพระธาตุมากกว่าจารึกในสมัยหลัง
    เนื้อหาโดยสังเขป พระตนคง วัดมหาธาตุ ได้ทำกระเบื้อง พระระเบียง และองค์พระธาตุ อีกทั้งถวายทองหนักก้อนหนึ่ง หุ้มองค์พระธาตุ แล้วปิดทอง ๓ แผ่นบนยอด โดยขอให้ตนพ้นทุกข์และเกิดทันพระศรีอารย์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2016
  18. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ชื่อจารึก จารึกพระมหาพรหมเทโวโพธิสัตว์ (จารึกวัดบ้านริมท่าวัด)
    ชื่อจารึกแบบอื่นๆ -
    อักษรที่มีในจารึก ธรรมอีสาน
    ศักราช พุทธศักราช  ๒๑๗๙
    ภาษา ไทย
    ด้าน/บรรทัด จำนวนด้าน ๒ ด้าน มี ๒๒ บรรทัด ด้านที่ ๑ มี ๑๒ บรรทัด ด้านที่ ๒ มี ๑๐ บรรทัด
    วัตถุจารึก ศิลา ประเภทหินทราย
    ลักษณะวัตถุ รูปใบเสมา
    ขนาดวัตถุ กว้าง ๖๒.๕ ซม. สูง ๕๐ ซม. หนา ๑๒.๕ ซม.
    บัญชี/ทะเบียนวัตถุ ๑) กองหอสมุดแห่งชาติ กำหนดเป็น "สน. ๑"
    ๒) ในวิทยานิพนธ์ อักษรธรรมอีสาน (มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๒๕) กำหนดด้านที่ ๑ เป็น "ศิลาจารึก วัดบ้านริมท่าวัด อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร (สน. ๑)" และกำหนดด้านที่ ๒ เป็น "ศิลาจารึกวัดมหาพรหมโพธิราช บ้านริมท่าวัด ตำบลดงชน อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร"
    ๓) ในหนังสือ จารึกในประเทศไทย เล่ม ๕ กำหนดเป็น "จารึกพระมหาพรหมเทโวโพธิสัตว์"
    ๔) ในหนังสือ ศิลาจารึกอีสานสมัยไทย - ลาว กำหนดเป็น "จารึกวัดบ้านริมท่าวัด"
    ปีที่พบจารึก วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๔
    สถานที่พบ วัดมหาพรหมโพธิราช บ้านริมท่าวัด ตำบลดงชน อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
    ผู้พบ เจ้าหน้าที่งานบริการหนังสือภาษาโบราณ กองหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร
    ปัจจุบันอยู่ที่ วัดมหาพรหมโพธิราช บ้านริมท่าวัด ตำบลดงชน อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
    พิมพ์เผยแพร่ ๑) อักษรธรรมอีสาน (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๒๕), ๒๑๔ - ๒๑๖.
    ๒) จารึกในประเทศไทย เล่ม ๕ (กรุงเทพฯ : หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร, ๒๕๒๙), ๒๔๓ - ๒๔๘.
    ๓) ศิลาจารึกอีสานสมัยไทย - ลาว (กรุงเทพฯ : คุณพินอักษรกิจ, ๒๕๓๐), ๓๑๘ - ๓๒๐.
    ประวัติ เดิมคงจะอยู่ที่วัดกลางเมืองเชียงใหม่หนองหาน ซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกับวัดบ้านริมท่าวัด ภายหลังเป็นวัดร้าง (ยังมีซากโบราณสถานและเสมาหินร่วมสมัยทวารวดีอยู่จำนวนหนึ่ง) จึงนำมารักษาไว้ที่วัดบ้านริมท่าวัด
    เนื้อหาโดยสังเขป พระมหาพรหมเทโวโพธิสัตว์แห่งล้านช้างได้โปรดให้สร้างศิลาจารึกหลักนี้ ได้กำหนดเขตที่ให้อภัยชีวิตสรรพสัตว์ทั้งปวง และได้อ้างถึงพระเจ้าโพธิสาลราชว่าได้กำหนดเขตปลอดอาญาแผ่นดินไว้ก่อนแล้ว ที่น่าสนใจมากคือ เรียกเมืองสกลนครว่า "เมืองเชียงใหม่หนองหาน" และเนื้อหาที่ศิลาจารึกขาดหายไปน่าจะกล่าวถึง เขตปลอดอาญาแผ่นดิน เช่นเดียวกับจารึกวัดมุจลินทอาราม
    ผู้สร้าง จารึกพระมหาพรหมเทโวโพธิสัตว์
    การกำหนดอายุ ข้อความจารึกด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑ ระบุ จ.ศ. ๙๙๘ ซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๑๗๙ อันเป็นสมัยที่พระหม่อมแก้วปกครองราชอาณาจักรล้านช้าง (พ.ศ. ๒๑๗๐ - ๒๑๘๑)


    มีอยู่จริง เขตอภัยทาน ปลอดอาญาแผ่นดิน หากมีในสมัยนี้ นึกภาพไม่ออกว่าจะดีหรือร้าย ว่าด้วยเรื่อง พระเดช กับ พระคุณ กับภาระปกครองดินแดนตามส่วน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2016
  19. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ชื่อจารึก จารึกฐานพระพุทธรูปวัดปราสาท
    ชื่อจารึกแบบอื่นๆ ๒๓ วัดปราสาท
    อักษรที่มีในจารึก ธรรมล้านนา
    ศักราช พุทธศักราช  ๒๑๓๓
    ภาษา ไทย
    ด้าน/บรรทัด จำนวนด้าน ๑ ด้าน มี ๓ บรรทัด
    วัตถุจารึก สำริด
    ลักษณะวัตถุ ฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย
    ขนาดวัตถุ สูง ๑๑๔ ซม.
    บัญชี/ทะเบียนวัตถุ ๑) กองหอสมุดแห่งชาติ กำหนดเป็น “ชม. ๙๑”
    ๒) ในหนังสือ คำจารึกที่ฐานพระพุทธรูปในนครเชียงใหม่ กำหนดเป็น “๒๓ วัดปราสาท”
    ปีที่พบจารึก ไม่ปรากฏหลักฐาน
    สถานที่พบ วัดปราสาท ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
    ผู้พบ ไม่ปรากฏหลักฐาน
    ปัจจุบันอยู่ที่ ภายในวิหารวัดปราสาท ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
    พิมพ์เผยแพร่ คำจารึกที่ฐานพระพุทธรูปในนครเชียงใหม่ (กรุงเทพฯ : สำนักนายกรัฐมนตรี, ๒๕๑๙), ๑๐๓.
    ประวัติ จารึกนี้อยู่บนฐานพระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย รัศมีทำจากไม้ บริเวณฐานมีห่วง ๓ ห่วง คาดว่าใช้เป็นที่หามพระพุทธรูป
    เนื้อหาโดยสังเขป จุลศักราช ๙๕๒ "พระยาหลวงเจ้านามว่าแสนคำ สร้างพระพุทธรูปองค์นี้ เจ้าหมื่นทองมีความปรารถนา ให้ตนได้บวชในสำนักพระอริยเมไตรย ขอให้ได้เป็นพระอรหันต์ เหมือนพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ"
    ผู้สร้าง พระยาหลวงเจ้านามว่าแสนคำและเจ้าหมื่นทอง
    การกำหนดอายุ กำหนดอายุจากศักราชที่ปรากฏในจารึกคือ จุลศักราช ๙๕๒ ตรงกับ พ.ศ. ๒๑๓๓ ในสมัย สาวถีนรตรามังซอศรีมังนรธาช่อ ขุนนางพม่าครองเมืองเชียงใหม่ (ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๒๒-๒๑๕๐)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 755_1.jpg
      755_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      228.1 KB
      เปิดดู:
      113
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2016
  20. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ชื่อจารึก จารึกที่ศาลเจ้าข้างองค์พระปฐมเจดีย์
    ชื่อจารึกแบบอื่นๆ จารึกบนแผ่นศิลาที่ศาลา ในบริเวณพระปฐมเจดีย์, หลักที่ ๑๙๒ จารึกบนหินอ่อน
    อักษรที่มีในจารึก ไทยธนบุรี-รัตนโกสินทร์
    ศักราช พุทธศักราช  ๒๔๐๘
    ภาษา ไทย, บาลี
    ด้าน/บรรทัด จำนวนด้าน ๑ ด้าน มี ๒๕ บรรทัด
    วัตถุจารึก หินอ่อน สีดำ
    ลักษณะวัตถุ แผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้า
    ขนาดวัตถุ กว้าง ๗๕ ซม. สูง ๕๕ ซม. หนา ๓ ซม.
    บัญชี/ทะเบียนวัตถุ ๑) กองหอสมุดแห่งชาติ กำหนดเป็น “นฐ. ๑๑”
    ๒) ในหนังสือ ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๒ กำหนดเป็น “จารึกบนแผ่นศิลาที่ศาลา ในบริเวณพระปฐมเจดีย์”
    ๓) ในหนังสือ ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๖ ตอนที่ ๒ กำหนดเป็น “หลักที่ ๑๙๒ จารึกบนหินอ่อน”
    ปีที่พบจารึก ไม่ปรากฏหลักฐาน
    สถานที่พบ บริเวณพระปฐมเจดีย์ ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
    ผู้พบ ไม่ปรากฏหลักฐาน
    ปัจจุบันอยู่ที่ ศาลเจ้าข้างองค์พระปฐมเจดีย์ ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
    พิมพ์เผยแพร่ ๑) ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๒ (กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๐๔), ๔๓-๔๕.
    ๒) ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๖ ตอนที่ ๒ (พระนคร : สำนักนายกรัฐมนตรี, ๒๕๒๑), ๔-๘.
    ๓) จารึกที่องค์พระปฐมเจดีย์ (กรุงเทพฯ : จุฑารัตน์การพิมพ์, ๒๕๒๘), ๒๔๑-๒๕๗.
    ประวัติ จารึกหลักนี้ได้รับการตีพิมพ์ใน ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ เรียกว่า “จารึกบนแผ่นศิลาที่ศาลาในบริเวณพระปฐมเจดีย์” ต่อมาตีพิมพ์ลงใน ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๖ ตอนที่ ๒ ใน พ.ศ. ๒๕๒๑ อ่านโดย นายประสาร บุญประคอง ชื่อว่า “หลักที่ ๑๙๒ จารึกบนหินอ่อน” และมีการตีพิมพ์อีกครั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๘ ในหนังสือ จารึกที่องค์พระปฐมเจดีย์ ซึ่งเป็นการรวบรวมและวิเคราะห์โดย นายเจษฏ์ ปรีชานนท์ เรียกว่า “จารึกพระบรมราชาธิบาย ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” เพราะเข้าใจว่าเป็นจารึกของพระองค์ โดยอ้างอิงมาจาก ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๒ แต่ใน ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๒ เล่มที่เป็นการตีพิมพ์ครั้งที่ ๒ (แก้ไขใหม่) ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า เป็นพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่รัชกาลที่ ๕ แต่อย่างใด อนึ่ง จารึกหลักนี้เป็นพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ ๔ ซึ่งทรงเข้าพระทัยว่า พระปฐมเจดีย์เป็นสถูปที่พระเจ้าอโศกมหาราช โปรดให้สร้างไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๑๘ เมื่อครั้งที่พระโสณะและพระอุตระ เดินทางมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่สุวรรณภูมิ
    เนื้อหาโดยสังเขป กล่าวถึงความเป็นมา คุณค่า และความหมายของจารึกคาถาเยธมฺมา ตอนท้ายเป็นข้อความว่าด้วยเรื่องปฏิจจสมุปบาท

    ผู้สร้าง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔)
    การกำหนดอายุ กำหนดอายุจากศักราชล่าสุดที่ปรากฏในจารึกความว่า “..ประกาศให้ไว้เมื่อพุทธศักราช ๒๔๐๘..” ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2016

แชร์หน้านี้

Loading...