เรื่องเด่น มนุษย์ต่างดาวติดต่อเราหรือยัง-ควรบอกว่า เมื่อไหร่จะไป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย chandayot, 18 เมษายน 2012.

  1. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    กลับมาแล้วครับภาคหลังเที่ยงคิน รับ เสาร์ 5--ขอบคุณ คุณ นิรวานน่า ที่มาช่วยบอกข้อมูล และเพิ่มสีสันครับ

    --ศพคน ศพวัว ลอยเน่าในแม่น้ำคงคา แต่ก็ไม่เกิดโรคระบาด เพราะท่านั้นนั้นก็มีคนตักน้ำไปดื่ม ไปฝากคนที่บ้านเพื่อเป็นสิริมงคล นักวิทย์ได้นำมาทดลอง-ทดสอบแล้วบอกว่า น้ำในแม่น้ำคงคาเป็นเหมือน "ยาฆ่าเชื้อโรค" เพราะไหลผ่านรากไม้ต่างๆ ที่เป็นยา
    -----ผมว่าไม่ใช่ อาจจะเป็นสารละลายจากดิน-หินแถบนั้น เพราะจากแดนหิมะลงมา-เชิงเขาหิมาลัยไม่ค่อยมีต้นไม้ครับ--หรือจะเป็นการกระทำของเทพยดาหนอ---แบบเดียวกับสวนกล้วยไม้ที่ขึ้นบนหินที่ภูกระดึง สวยจับจิตเหมือนคนบรรจงจัดไว้เลย

    --ตอนกลางวันก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ อย่ตรงหน้าผมยังลืมกินครับ โพสเพลินไปหน่อย เว็ปญาณทิพย์ผมยังไม่ได้เข้า 3 -4 วันแล้ว
    --รุปล่าง จาก บิงดอทคอม ดูให้ดี จะเห็นหินมันเคลื่อนที่ได้ครับ น้ำหนักของมันไม่น่าจะต่ำกว่า5 กก. ถึง 20 กก. เดินตรงแหน็ว จะว่าลมพัดมาก้ไม่น่าจะใช่ ดินก็ไม่โดนน้ำฝนสักหน่อย แต่ตอนมันวิ่งมาอาจจะมีฝน มีรอยวิ่งด้วย
    --เข้าเว็ปกูเกิ้ลไม่ได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • rung.jpg
      rung.jpg
      ขนาดไฟล์:
      86.3 KB
      เปิดดู:
      263
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2012
  2. SUEDE

    SUEDE Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +59
    ไม่ได้เข้ามาซ่ะหลายวัน ตามอ่านไม่ทันแหล่ะครับ ไม่รู้หน้าไหนเป็นหน้าไหน..อิอิ..
    รู้แต่ว่าสนุกมากๆ หลากรสดีครับ จะตามอ่านไปเรื่อยๆเด้อออ..
     
  3. MoonLignt

    MoonLignt สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +8
    รออ่านอยู่นะคะ อย่าพึ่งขี้เกียจ แฟนคลับท่าทางจะเยอะมาก
    :cool::cool::cool:
     
  4. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ---ตอนนี้มีคนเข้ามาอ่าน5พันกว่าครั้ง โดยถ้าเข้ามาซ้ำกัน--ก็จะมีคนอ่านประมาณ 2500 คนครับ ---ผมเขียนบล็อกที่บล็อกแก๊ง มีคนอ่านประมาณสองแสนครั้ง (พอดีเว็ปพันทิพย์ล่มบ่อย เลยไม่รู้ตัวเลขที่แท้จริง)

    --ขอความกรุณาอ่านแล้วนำไปประยุกต์ใช้ด้วยครับ ไม่ควรเอาความมันส์อย่างเดียว โดยเฉพาะช่วงนี้เราโปรโมทธรรมมะครับ แบบลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลส์(ถ้าคุณโทรเข่้ามาภายใน10 นาทีนี้..)

    --มีคนที่มาจากอนาคต พยายามขัดขวางการทำงานของเครื่องเร่งอนุภาค แอล เอช ซี-Large Hadron Collider ลาร์จ ก็แปลว่า ใหญ่โต ฮาดรอน เป็นชื่อรวมของอนุภาคพลังงานสูงครับ คอลไลด์แปลว่า ชน ล่าสุดพวกเขาก็ทำการชนที่ทำให้เกิดอุณหภูมิที่ร้อนกว่าใจกลางดวงอาทิตย์เสียอีก บางกลุ่มก็ต่อต้านว่า จะทำให้เกิดหลุมดำ แล้วกลืนโลกไปหมด แต่ก็ไม่เกิด--เป็นเพราะว่า งานไม่เต็มร้อยครับ พวกเขาจะทดลองทำไปเรื่อยๆ ผลการทดลองเป็นข้อมูลมหาศาลมาก เท่าทีศึกษามาก็ไปประยุกต์กับการส่งคลื่นทางพวกมือถือ และพยายามหาอนุภาคในมิติที่ 10
    --บางข่าวบอกว่า มีหลายคน(คนอนาคต)และหลายครั้งที่พวกนี้มาทำแบบนี้
    http://www.buzzfeed.com/zachb7/time-traveler-arrest-at-the-lhc-3j93 หน้าตาของคนๆนี้ ชื่อ อีลอย โคล Eloi Cole อ้างว่าย้อนกลับมาจากอนาคต แต่งกายแปลกๆ เหมือนจะมีขนสัตว์มากเกินจำเป้น ครั้นถูกสอบสวนว่ามาจากประเทศไหน เขาบอกว่า ที่ๆเขามานั้นไม่มีคำว่าประเทศ

    --เขาถูกส่งไปคุมขังที่หน่วยสุขภาพจิตเมืองเจนีวา สวิสเซอร์แลนด์ แต่ก็หายตัวไปจากที่คุมขังได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2012
  5. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    แสง เป้นสิ่งเร็วที่สุดในโลกแล้วเหรอ สิ่งที่เร็วกว่าแสง มีมั้ย --มีครับ นิวตริโนครับ เป็นอนุภาคที่มีมากมายมากกว่าอะตอมเสียอีก แต่มันทำตัวลึกลับมาก
    -มันไม่มีประจุไฟฟ้า อาจจะ...ไม่มีมวล เร็วกว่าแสงแม้จะอยู่ในน้ำก็ตาม
    --เครื่องบินไอพ่นเจาะกำแพงเสียงของตัวมันเอง ส่งเสียงระเบิดดังกว่าฟ้าผ่า
    --นิวตริโนเจาะกำแพงแสงได้ เพราะมันเร็วกว่า ตอนที่เจาะกำแพงแสง เราจะเป็นมันเป้นสองตัว--มหัศจรรย์มั้ย(ผมกำลังเขียนสิ่งที่เหนือกว่าตำราฟิสิกส์มหาวิทยาลัย-แต่ผมตรวจสอบประมาณห้ารอบ จากหลายแหล่งข้อมูล--และร้องเพลงว่า--"โปรดจงมั่นใจ ที่เขียนลงไปนะถูกแล้ว"--ฝีมือยามเฝ้าตอนโดพัทยานะ 555)
    --นักคิด- นักทฤษฎี คิดว่า ถ้าเราจะบินเร็วกว่าแสง จะเห็นดวงดาวทั้งฟ้า รวมมาเป็นจุดเดียว ทุกๆอย่างจะหายไป หรือเราจะไม่เห็นมัน(กาลอวกาศม้วนตัวมั้ง) และเป็นสภาวะที่เรียกว่า
    "เหนืออวกาศ" หรือ ไฮเปอร์-สเปซ (ศัพท์นี้ผมคิดได้ตะกี้นี้เอง คนไทยเก่งน่ะ)

    มันเป็นภาวะที่ใครก็ไม่เคยเจอ เพราะการที่เรามีความเร็วเข้าใกล้แสง น้ำหนักตัวเราก็จะมากขึ้นๆ ตามกฏของแรงเฉี่อย-โมเมนตั้ม แต่ในโลกนี้มีคนสองคน ที่รู้ว่า มันเป็นอย่างไร--คนแรกก็คือผม คนที่สองชื่อบิลลี่ เมียร์ ชาวเยอรมัน เขาได้ติดต่อกับชาวต่างดาว ชื่อ พลีอิเดี้ยนตั้งแต่เด็กๆ (ความจริงน่าจะอ่านว่าพลีแอดเดี้ยน) ครั้งหนึ่งพ่อของสาวเซ็มเจส-Semjase ชื่อพทาห์-Ptah ได้ให้เขาใส่ชุด และหมวกกันน็อคที่เก็บความจำ-ประสพการณ์ได้ เขาก็ลองใส่ดู ปรากฏว่า เขาเห็นดวงดาวมารวมกันอย่างที่ผมบอก
    --ต่อมาเขารู้สึกเป็นสุขมากอย่างที่สุด อย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน จนตอนที่พ่อเซ็มเจสมาสะกิดให้ออกจากสภาวะนั้น เขาเสียดายมาก และต่อว่าพ่อของเซ็มเจสอย่างรุนแรง
    --พทาห์บอกว่า "พวกเราทุกคน พอมาถึงแดนแห่งนี้ ก็ไม่คิดอยากจะไปตรงไหนเลย หลงไหลความสุขที่ถาวรในภพภูมินี้ แต่ต่อมา ผู้ดูแลประจำภพภูมินี้ ได้มาไล่ให้พวกผมออกไป "พวกเจ้ายังไม่มีสิทธิที่จะอยู่ตรงนี้"

    --ความสุขสุดๆแม้เพียงได้ย่างเหยียบ ..ความสุขที่เที่ยงแท้ถาวร" หรือว่าภาวะ ไฮเปอร์สเปซ คือภาวะนิพพาน"
    --ส่วนเรื่องของผม ถ้าอยากรู้ให้มาโพสแจ้งความจำนงไว้ แล้วจะมี จนท.(คือผมเอง)มาสำรวจ ถ้าบรรยากาศดีแล้วจะมาเล่า--เล่าในสิ่งที่ผมได้พบ
    สิ่งที่ผมคิดว่า คือภาวะนิพพาน ได้สนทนากับท่านที่อยู่ในมิตินั้น และผลการเจรจาไม่สำเร็จ เพราะผมโลภมากเกินไป มันเป็นภาวะที่เกิดขึ้นตอนบ่ายๆ กลาง กทม. ภาวะนั้นได้เลื่อนเข้ามา.. เข้ามา.. สรรพสิ่งกลับเงียบงัน ใจเหมือนจะขาด ลมหายใจแผ่วเบา สรรพสิ่งกำลังหลับไหล...
    ...มีเสียงคนเคาะและเรียกอยู่หน้าห้อง แต่เหมือนได้ยินแว่นๆมาจากที่ไกลสุดขอบฟ้า ทั้งห้องเหมือนลอยในหมอกบางๆ ลอยอยู่กลางอวกาศ ไม่ได้อยู่ในโลกนี้อีกต่อไป...(หนังตัวอย่างน่ะครับ) (คนบ้ากล้าพูดว่าเจอนิพพาน) อืมขอพูดหน่อยครับ ผมพยายามฆ่าตัวตายประมาณ5 ครั้ง หักแขนตัวเอง จะทำไฟดูดตัวเอง จะโดดลงมาจากยอดตึก ขั้น 5 โดยแต่ละครั้งไม่สารถบังคับร่างกายได้ เหมือนถูกมือยักษ์จับตัวไว้ บางครั้งก็เกิดจากความทุกข์ที่บีบคั้นเหลือทน อย่างการอดข้าวนี่เป็นประจำ บางครั้งต้องเอามือจับกำแพง และอธิษฐานว่า"ตราบใดที่กำแพงนี้ยังแข็งแกร่ง ก็ขอให้จิตใจเราแข็งแกร่งเหมือนกำแพงนี้"

    ---ผมได้รับการรักษาโดยพระรูปหนึ่ง แม่ชีตาทิพย์คนหนึ่ง อีกคนเป็นร่างทรงแต่ตาบอด ยังเอาแทบไม่อยู่ เพราะมันเป็นผีปอบยักษ์ครับ บางหมู่บ้านมันเข้าไป ตอนเช้าวัวควายยังเหลือแต่กระดูก บางคนว่าผีนางไม้ก็มี เพราะผมเป็นคนที่ชอบคิดแค้น ส่งจิตจะไปฆ่าศัตรู การทำเช่นนี้มันบาปมาก และทำให้อวัยวะภายในเสื่อม
    -- มีหมอคนหนึ่งฉีดยาอะไรไม่รู้ ทำให้เย็นไปทั้งตัว และมีความสุขมากๆ สงสัยจะเป็นมอร์ฟีน หรือยากล่อมประสาท

    --ต่อมาสามปีก่อนนี่เอง พี่สาวคนรองก็คิดว่าผมเครียด เพราะแยกทางกับภรรยา เลยตื๊อให้ไปรักษา(โรคประสาท)แบบเต็มๆ ในรพ. ไปนั่งดูหยดหมึก ตอบคำถามแปลกๆ ในที่สุด หมอก็ไม่ได้วิเคราห์ว่าอะไร แต่ให้ยามากิน ผมกินไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ไม่สามรถกินข้าวได้ เหมือนมันติดคอ--เทพท่านรีบมาบอกผ่านทางภรรยาผม ท่านบอกว่า"ลองกินต่อไปอีกสักเดือน จะเหลือแต่ชื่อ(ข้างโลง)ว่านี่คือนายเจษฎา"

    --โรคประสาทมันเกิดจากระบบประสาทของร่างกาย-เหตุก็คือมีการกระทบจิตนั่นแหละ-ต่อมาถ้าไม่รักษาอาจกลายเป็นโรคจิตอย่างถาวรได้--แต่ในทางหลักการจิตวิทยาตะวันตก และทฤษฎีของมัน ผมคิดว่าห่างไกลกับพุทธศาสนาราวเด็กอนุบาลกับอาจารย์สอนปริญญาเอก

    --เกิดมาเป็นนายเจษฎา ก็แปลกดี ชอบเรื่องแปลก ก็ได้เจอของแปลก ภรรยาผมพูดแดกดันเจ้านายเก่าของผม เขาก็เลยตอบแทนให้โดยจ้างหมอแขกอิสลามทำไสยศาสตร์ใส่ ท่านครับ ตราบใดที่ท่านยังมีความคิดวิจารณญานของตนเอง อย่าทำนะครับ มันบาปมากๆครับ
    ---มันเหมือนมือที่มองไม่เห็น..เอาไฟมาเผาตามแขนขาของเรา เอาเล็บกรีดเนื้อยังไม่เจ็บเท่าเลย แล้วผมก็กรีดจริงๆ
    --ภรรยาผมบอกว่า ทั้งเทพทั้งเจ้าก็บอกว่า "มันมาเท่าภูเขา ถอนออกทีได้เท่าเส้นผม" จริงๆแล้วมันคือพลังงานไร้รูปของอักขระ(คาถา)ครับ มันเป็นตัวๆ คล้ายบุ้งขนนี้ครับ ถามเทพท่านมา (ท่านจับใส่กระโถน ร่างทรงไปล้างกระโถนมันก้เข้าตัวร่างทรง เพราะท่านลืมทำน้ำมนต์ที่ป้องกันไว้ให้ร่างครับ)
    --พี่สาวภรรยาเป็นร่างทรงเขาก็อุตส่าห์มาดูให้ ปรากฏว่าพี่เค้ามีรอบเดือน ไม่สามารถผ่านเทพได้ จึงให้นั่งสมาธิแก้เอาเอง-- มันส์มั้ยนี่ --ขนาดแข้งขาตอนนั่งสมาธิอยู่ ยังเหมือนมีมือยักษ์จับบิดขึ้นมา กำหนดจิตไปเต็มเหนี่ยว เป่าพรวดลงไป มันก็ยุบลง สักพักมันเอาอีกแล้ว --ใครอยากรู้ ให้ถาม"กูเกิ้ล" แต่เรื่องผีสาง เทวดา ให้ถาม"กรูนี่"
    ผมนอนใต้หิ้งพระ ตอนเช่้าภรรยาบอกว่า "องค์ในของพี่ท่านมาถอนให้แล้วนะ ต่อไปต้องสู้กับอุปาทานของตัวเราเอง"

    --อืม ผมมีองค์ด้วยนะ.. รู้สึกอย่างไรหนอ --โทษทีครับ ท่านเทพเคยวิ่งมาด้านหลัง ชนร่างจากมิติลี้ลับ จนร่างผมที่กำลังนั่งขัดสมาธิ กระเด็นไปนั่งชันเข่าในท่าอุลตร้าแมนปล่อยแสง ความรู้สึกตอนนั้น"เหมือนโดนรถสิบล้อชนจังๆแบบเต็มเหนี่ยว-ปั้งเข้าให้" --อ้างอิง- งานวันไหว้ครู ซ.ทานสัมฤทธิ์ ถ.ติวานนท์(ก้นซอย เป็นบ้านดาราชาย และร้านอาหารของถั่วแระ-เชิญยิ้ม)

    -ผมมีความสามารถทางจุดธูปนะ เทพชอบใช้ผมจุด ฝนตั้งเค้ามา จุดธูปแล้วก็หายไป(อย่าจุดธูปจากเตาแก๊ส มันจะไม่ขลัง เละเทพทั้งหลายจะด่าท่าน) และฝนไม่ยอมตกอีกสองอาทิตย์ พระพิรุณงอน..
    --พระพิรุณชอบตามภรรยาผม เราเดินออกจากห้างฝนตกปรอยๆ นั่งแทกซี่ไปซื้อของให้ รร. พอเข้าไปในร้านฝนเริ่มตก ตกเรื่อยๆ จนน้ำท่วมทางเท้าขึ้นมา
    เด็กสาวๆในร้านเริ่มมองหน้าผมและภรรยาอย่างสงสัยมากๆ เออ แหม คนเรานี่..จิตมันรู้ได้ไงฟระเนี่ย

    --- ปัจจุบันบ้านคนทรงหลังนั้นถูกทุบทั้งไปแล้ว -เทพทั้งหลายทั้งรูปปั้นและวิญญาณท่านก็เข้ามาอยู่บ้านผมแทน--(ทุกวันนี้ไม่รู้ใครเป็นเจ้าของบ้าน ต้องเปิดไฟ-เปิดพัดลมให้ม้าของขุนศึก ที่มองไม่เห็นตัว แต่มาทุกคืน--เช้าฉีดน้ำล้างหน้าบ้านให้ม้ามันเย็นสบาย -ไม่ทำงี้ก็มาเข้าฝันด่า-งงกันมะ)

    "ขึ้นต้นเป็นนิวตริโน่ เหลาลงไปกลายเป็นเรื่องเทพซะได้ มั่วซิสเต็มครับท่าน"
     
  6. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    นิวตริโน (Neutrino) คืออะไร คลิกจ้ะ<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#f4d1a2><B><BLINK><MARQUEE behavior=alternate loop=3 scrollDelay=80 BORDER="0">ฟิสิกส์ของนิวตริโน</MARQUEE></BLINK></B>



    </TD></TR><TR><TD align=center>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>สุทัศน์ ยกส้าน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=35>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#fae9d1 vAlign=top width=130 align=center></TD><TD width=15></TD><TD vAlign=top>ในปี ๒๔๗๓ Wolfgang Pauli [นักฟิสิกส์ผู้พิชิตรางวัลโนเบลประจำปี ๒๔๘๘ จากการพบความสัมพันธ์ระหว่างสปิน (spin) ของอนุภาคกับสถิติ] ได้วิเคราะห์การสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสีที่ให้อนุภาคอิเล็กตรอน เขาถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นว่าในปฏิกิริยานิวเคลียร์ดังกล่าว กฎความถาวรของพลังงานและโมเมนตัมที่ศักดิ์สิทธิ์ของฟิสิกส์ไม่เป็นจริง ทั้งนี้เพราะทั้งพลังงานและโมเมนตัม ของนิวเคลียสและอิเล็กตรอนหลังปฏิกิริยาเมื่อรวมกัน จะไม่เท่ากับพลังงานและโมเมนตัมของนิวเคลียสก่อนปฏิกิริยา ในเมื่อกฎการทรงพลังงาน และโมเมนตัมเป็นจริง และใช้ได้ในเหตุการณ์ทุกรูปแบบที่เกิดในธรรมชาติ ดังนั้น Pauli จึงจำต้องสมมุติว่า ขณะนิวเคลียสสลายตัวให้อนุภาคอิเล็กตรอน ได้มีอนุภาคที่มีขนาดเล็กมากตัวหนึ่งเกิดตามออกมาด้วย ซึ่งอนุภาคนี้ไม่มีมวลและไม่มีประจุใด ๆ แต่มีโมเมนตัมและพลังงาน ทั้งนี้ก็เพื่อให้พลังงานและโมเมนตัมของนิวเคลียสเดิมไม่หายไป ทำให้กฎการทรงพลังงานและโมเมนตัมยังคงเป็นสรณะได้ต่อไป Pauli เรียกอนุภาคสมมุติตัวนี้ว่า นิวตรอน (neutron) แต่เขาไม่กล้าตีพิมพ์ผลงาน เพราะเกรงจะได้รับการดูแคลนจากบรรดานักฟิสิกส์ทั่วไป ว่าเขาคิดเหลวไหล จนอีกสามปีต่อมา ชื่อนิวตรอนก็ได้ถูกนำไปเรียกอนุภาคตัวใหม่ที่ James Chadwick พบ ซึ่งอนุภาคนี้เป็นอนุภาคที่ไม่มีประจุ แต่มีมวลมากกว่าโปรตอนเล็กน้อย และในปี ๒๔๗๗ นั่นเอง Enrico Fermi ก็ได้ใช้แนวคิดของ Pauli สร้างทฤษฎีการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสี ที่ให้รังสีบีตา (beta) โดย Fermi ได้เรียกอนุภาคของ Pauli ใหม่ว่า นิวตริโน (neutrino) ซึ่งแปลว่า อนุภาคขนาดจิ๋วที่ไม่มีประจุไฟฟ้าใด ๆ ทฤษฎีนี้อธิบายปรากฏการณ์กัมมันตรังสีได้ดีมาก จนทำให้ Fermi ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี ๒๔๙๗ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีใครเห็นอนุภาคนิวตริโนเลย แต่นักฟิสิกส์ทุกคนก็รู้ว่าอนุภาคในจินตนาการของ Pauli และ Fermi มีจริง </TD><TD vAlign=top width=35></TD></TR><TR><TD bgColor=#fae9d1 vAlign=top width=130 align=center>[​IMG]
    W. Pauli ผู้ตั้งสมมุติฐานว่า มีนิวตริโน

    </TD><TD width=15></TD><TD vAlign=top>การค้นหาอนุภาคนิวตริโน จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่มีความสำคัญมากปัญหาหนึ่ง ในวงการฟิสิกส์เมื่อประมาณ ๕๐ ปีก่อนนี้ จนกระทั่งถึงปี ๒๔๙๙ Federick Reines และ Clyde Cowan ก็ได้แสดงให้โลกประจักษ์ว่าอนุภาคนิวตริโนมีจริง หลังจากที่ได้ติดตามไล่ล่ามันนาน ๒๖ ปี (Reines ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์จากการพบนิวตริโนในปี ๒๕๓๘ ส่วน Cowan เสียชีวิตไปก่อน จึงไม่มีโอกาสได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้)
    ความยากลำบากในการเห็นนิวตริโน เกิดจากการที่อนุภาคนี้ไม่มีประจุไฟฟ้า และแทบจะไม่ทำปฏิกิริยากับสสารใด ๆ ดังนั้นมันจึงสามารถพุ่งทะลุผ่านจักรวาล ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ภูเขา ทะเล ร่างกายคน อะตอม และนิวเคลียสได้อย่างสะดวกสบาย เสมือนสรรพสิ่งทุกรูปแบบในจักรวาล ไม่สามารถขัดขวางการเดินทางของมันได้เลย นักฟิสิกส์ได้คำนวณพบว่า หากเรานำตะกั่วที่หนา ๑ ปีแสงหรือไฮโดรเจนที่หนา ๑,๐๐๐ ปีแสงมาขวางกั้น นิวตริโนก็ยังสามารถพุ่งผ่านม่านกั้นเหล่านั้นได้ เสมือนไม่มีอะไรขวางกั้นมันเลย ทั้งนี้เพราะทั้งแรงไฟฟ้า แรงโน้มถ่วงและแรงนิวเคลียร์ชนิดรุนแรงต่างก็ทำอะไรมันไม่ได้ จะมีก็แต่แรงนิวเคลียร์ชนิดอ่อนเท่านั้น ที่มีอิทธิพลต่อมัน ความยากลำบากนี้ได้ทำให้ Pauli บิดาของนิวตริโนถึงกับอุทานว่า เขาไม่น่าสมมุติว่ามีอนุภาคชนิดนี้ในจักรวาลเลย เพราะนักฟิสิกส์จะไม่มีวันจับมันได้ ดังนั้นเมื่อ Reines กับ Cowan พบนิวตริโน ข่าวการพบจึงได้รับการประกาศในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ The New York Times ทันที

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.sarakadee.com/feature/2001/11/neutrino.htm ต่อๆได้ที่นี่

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=N-VqYbL-lJ4&feature=related"]Mass is Energy Moving Faster then Light - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2012
  7. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    --กำลังใจของผมมีมากมาย เพราะได้รับความรักจากคุณแม่ของผมครับ ท่านเป็นผู้หญิงที่เก่ง กล้า น่ารักครับ เป็นผู้หญิงร่างเล็กๆ แต่ไม่กลัวใครเลย เพราะท่านเกิดปีเสือครับ ท่านเสียชีวิตจากโรคมะเร็งไปราวสี่ปีแล้วครับ แต่ความดีของท่านยังประทับจิตอยู่ทุกลมหายใจ คิดถึงท่านก็มีความสุขแล้วครับ เพราะท่านชอบกระเซ้าเย้าแหย่ทุกคนให้มีความสดชื่นครับ แม้แต่เมื่อท่านเสียไป พลังงานลึกลับที่ดีๆในบ้านก็หายไป กลายเป็นเหมือนบ้านร้าง พี่สาวยังออกปากบอกเลย
    --อีกคนคือพี่สาวคนโตครับ เปรียบดังแม่คนที่สอง เพราะสนับสนุนทางการเงิน ค่าเน็ต ค่าเสียเวลาอะไรต่างๆ ก็เหมือนผมเป็นคนงานรับจ้างเขียนเรื่องให้ท่านอ่านครับ แต่มันไม่ใช่นิยายครับ ทุกถ้อยคำเป็นเรื่องจริงที่ผมพบเจอ ถามสดๆ เล่ากันสดๆ ไม่มี"แสตนอิน" ไม่มีสตั๊น ไม่ใช้สลิงครับ สดจากไร่ มันส์ทุกเม็ด เด็ดสุดยอด(เด็ดยอดชะอมขาย)
    [​IMG]

    ---อีกหลายเรื่องที่ประหลาด เช่น มวลสาร ก็คือพลังงานที่เข้มข้น
    จากสูตรไอนสไตน์ พลังงานก็คือมวลคูณด้วยความเร็วของแสงยกกำลังสอง (สูตรระเบิดปรมาณู)
    --แต่บางคนตีความว่า มวลสาร ก็คือสิ่งที่วิ่งด้วยความเร็วมากกว่าแสง ถ้ามันเร็วน้อยกว่าแสงเมื่อไหร่ มวลทั้งหมดก็จะกลายเป็นพลังงาน(แรงกว่าระเบิดปรมาณู)
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------
    ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ---Paranormal Phenomenon
    ---คือสิ่งที่เกิดแปลกกว่าในชีวิตตามปกติของคนเรา
    --ไม่สามารถใช้วิทยาศาสตร์มาอธิบายได้ คือจะมันเหนือกว่าขอบเขตของวิทยาศาสตร์ หรือเกินกฏธรรมชาติ---เกินกว่าความรู้ของมนุษย์ที่จะอธิบายได้Paranormal Phenomenon[​IMG]
    Explanation of Paranormal Phenomenon

    The explanation of
    paranormal phenomenon cannot be achieved through the regular methods of science as this is something which is above the borders of regular life. The term of paranormal
    is made up of two components, para and normal. The term para means that something which is above, contrary or different and the normal is associated with our regular life and laws of nature.
    The paranormal is something which is much different than what we experience on a regular basis and the most exciting part about it is that there is no proof related to its existence or non-existence. If you have a keen interest in knowing about the paranormal, there are several ways to gather the required knowledge, paranormal experiences and paranormal stories available in the world today.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 67916093.jpg
      67916093.jpg
      ขนาดไฟล์:
      53.8 KB
      เปิดดู:
      101
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2012
  8. ragpon

    ragpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    456
    ค่าพลัง:
    +954
    นอนไม่หลับ หรือว่าหลับไม่ลงทั้งคนโพส และคนติดตามเฮ้อ...

    เอ็ม150 ซักขวดไหมครับเมื่อวานซัดไป4-5ขวด หลอนแรง ไม่ใช่ร้อนแรงนะครับอิอิอิ
     
  9. ragpon

    ragpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    456
    ค่าพลัง:
    +954
    ไปยืนส่องกล้องทางไกลพระจันทร์ มานใหญ่มากกกกชัดมากตกไปเมื่อกี้นี้เลยขอรับ กะว่าจะมีใครโพล่มาในกล้องนอกจากพระจันทร์ซะหน่อย ช่วงนี้มั่นใจเลยว่าเยอะแถบบ้านเราไม่ค่อยเยอะแต่พอหาเจอบ่อยๆ บินอ้อยอิ่งเหมือนร้องหาความสนใจไงไม่รุ
     
  10. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ชาวประมงไต้หวันจับปลาไต้อี๋ว์ หรือ ปลาแผ่นดินไหวได้ หวั่นเกิดอาเพศเหตุการณ์ร้าย
    [​IMG]
    [COLOR=#8000]ชาวประมงไต้หวันจับปลาไต้อี๋ว์ หรือ ปลาแผ่นดินไหวได้ หวั่นเกิดอาเพศเหตุการณ์ร้าย [/COLOR]

    สำนักข่าวจงซินหวั่ง รายงานว่า ชาวประมงไต้หวันสามารถจับปลาหน้าตาประหลาดได้ที่บริเวณชายฝั่งจู๋หนัน ซึ่งปลาหน้าตาแปลกประหลาดนั้นมีชื่อว่า "ปลาแผ่นดินไหว" ปลาหวงไต้อี๋ว์ หรือ เฮอร์ริ่ง
    [FONT=Tahoma, Geneva, sans-serif]มีขนาดความยาว 3.5 เมตร หนัก 15 กิโลกรัม ปลาชนิดนี้เรียกชื่อสามัญว่า “คิง ออฟ เดอะ เฮอร์ริ่ง” หรือ “ออร์ ฟิช” (ปลาใบพาย เข้าใจว่ามาจากลักษณะของลำตัวแบนแคบและลักษณะการว่ายสะบัดพลิ้วเหมือน ริบบิ้นของมัน) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า “รีกัลเลคุส เกลสเน” อยู่ในวงศ์ “รีกัลซิเด” อาจโตได้สูงสุดยาวถึง 9 เมตร และหนัก 300 กิโลกรัม แต่ก็มีบันทึกไว้ในกินเนสส์ บุ๊ก ออฟ เวิร์ลด์ เรคคอร์ด ด้วยว่า ปลาชนิดนี้เป็นปลาชนิดที่มีกระดูกสันหลังที่ยาวที่สุดในโลก โดยอาจยาวได้ถึง 11 เมตร ในขณะที่รายงานไม่ยืนยันอีกบางกระแสระบุว่าอาจยาวถึง 15 เมตร หรือกว่านั้น โดยทั่วไปแล้วออร์ฟิชกินแพลงตอนเป็นอาหาร ไม่เป็นอันตรายและไม่ทำร้ายมนุษย์ แม้จะมีรายงานไม่ยืนยันจากนักวิจัยในนิวซีแลนด์ที่ระบุว่าถ้าหากแตะไปที่ตัว ของมันขณะยังมีชีวิต ออร์ฟิชจะปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมาช็อร์ตได้

    นาย เซี่ย เซิงเฟิง เจ้าของภัตตาคารแห่งหนึ่งเล่าถึงตำนานของ ปลาหวงไต้อี๋ว์ โดยธรรมชาติปลาชนิดนี้เป็นปลาอาศัยในน้ำลึกใต้มหาสมุทร และเกิดแผ่นดินไหวหรือเกิดความเคลื่อนไหวผิดปกติทางธรณี ปลาชนิดนี้จะตกใจและว่ายลี้ภัยมายังบริเวณน้ำตื้น ดังนั้นชาวประมงท้องถิ่นจึงเรียกปลาหวงไต้อี๋ว์ว่า "ปลาแผ่นดินไหว"

    อนึ่ง การที่ชาวประมงไต้หวันสามารถจับได้ปลาหวงไต้อี๋ว์ได้บริเวณชายฝั่งที่น้ำตื้น กลายเป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ว่าปลาหวงไต๋อี๋ว์ ตกใจกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวในญี่ปุ่นหรือจะเป็นกลายการลางร้ายของแผ่นดินไหวกันแน่​
    [​IMG]
    [​IMG]


    [FONT=Tahoma, Geneva, sans-serif]ขอบคุณข้อมูลจาก[/FONT]​

    http://news.sanook.com <TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 334px" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=334>[​IMG] </TD></TR><TR><TD>"ปลาแผ่นดินไหว" บนเขียงยักษ์ (ภาพ “จงซินหวั่ง”)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    淺海捕獲巨型地震魚 重29斤-民視新聞 - YouTube
    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ [/FONT]​
     
  11. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    <TABLE id=pid705296 cellSpacing=0 summary=pid705296 cellPadding=0><TBODY><TR><TD class=postcontent><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_705296 class=t_msgfont>พญานาค” พ่นน้ำดับไฟวัดโบราณ
    (มีผู้อ่านแล้ว 5536 คน)




    เมื่อวันที่ 29 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านนับร้อยในตำบลกองควาย อ.เมือง จ.น่าน แห่แหนกันไปที่พระอุโบสถวัดพุฒิมาราม ต.กองควาย อ.เมือง ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า 400 ปี หลังมีข่าวแพร่สะพัดออกไปว่ามีปาฏิหาริย์รอยพญานาคในพระอุโบสถ ที่ชาวบ้านเชื่อว่าพากันมาดับไฟ โดยผู้สื่อข่าวได้เดินทางตรวจสอบพบว่าในพระอุโบสถวัดพุฒิมารามมีกลิ่นเหม็น ไหม้ และเขม่าควันดำ และรอยไหม้บนฝาเพดานและผนัง ซึ่งชาวบ้านได้ชี้จุดที่เชื่อว่าเป็นรอยพญานาคซึ่งมีลักษณะเป็นเกล็ดเลื้อย เป็นเส้นจากประตูไปตามโต๊ะแท่นนั่งพระภิกษุ โต๊ะหมู่บูชา และหลังพระประธานกระจัดกระจายไปทั่วพระอุโบสถ

    นายอินผล โนราช กำนันตำบลกองควาย เล่าว่า ในช่วงเวลาประมาณ 10.00 น. ได้เข้ามาเปิดประตูเข้าพระอุโบสถ เพื่อให้ชาวบ้านนำฆ้องที่เก็บรักษาไว้ในอุโบสถไปเปิดงานประชุมกองทุนหมู่ บ้าน แต่ปรากฏว่าเมื่อเข้ามาแล้วพบควันคุกรุ่นอบอวลอยู่ในพระอุโบสถและมีคราบ เขม่าควันดำติดบนสิ่งของภายในอุโบสถและเพดานด้านบนจำนวนมาก เข้าใจว่าเกิดเพลิงไหม้ จึงได้เรียกชาวบ้านให้เข้ามาช่วยกันเปิดหน้าต่าง ระบายควันไฟและสำรวจความเสียหาย ซึ่งพบว่ามีข้าวของเสียหายบางส่วน แต่กลับพบรอยแปลกประหลาดคล้ายรอยพญานาคดังกล่าว

    ด้าน พระอธิการเดช กิตติณะโน เจ้าอาวาสวัดพุฒิมาราม เล่าว่า ทุกวันทางวัดจะมีการทำวัตรช่วงเย็น และมีการจุดธูปเทียนบูชาพระประธาน คาดว่าได้เกิดเพลิงไหม้จากธูปเทียนในช่วงกลางดึกลุกไหม้ภายในพระอุโบสถ และดับไปได้เองก่อนที่เพลิงจะลุกลามมากไปกว่านี้ ซึ่งได้สร้างความน่าประหลาดใจเมื่อพบว่ามีร่องรอยประหลาดซึ่งเชื่อว่าจะเป็น รอยพญานาคอยู่ทั่วบริเวณ โดยเฉพาะด้านหน้าและด้านหลังพระประธาน โดยรอยดังกล่าว ได้เลื้อยหายออกไปทางด้านหน้าต่างของพระอุโบสถ นอกจากนี้ยังมีร่องรอยน้ำเปียกชุ่มที่พรมปูพื้นที่ และจุดที่คาดว่าจะเป็นต้นเพลิงคือบริเวณพรมหน้าโต๊ะหมู่บูชาทั้งที่ไม่ได้มี รถน้ำดับเพลิงมาช่วยแต่อย่างใด และที่สำคัญพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะทรงพระผนวช ไม่มีร่องรอยการถูกเพลิงไหม้ แม้ไม้ขาตั้งและกรอบรูปจะถูกเพลิงไหม้เกรียม สร้างความประหลาดใจให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก

    ขอบคุณที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์---แฟนกระทู้นี้มีบุญ เจอเรื่องแปลกได้ทุกวันเลย ปกติผมหาไม่เจอเยอะขนาดนี้
    </TD></TR></TBODY></TABLE>




    </TD></TR><TR><TD class=postcontent vAlign=bottom>

    </TD></TR><TR><TD class=postauthor></TD><TD class=postcontent>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    <TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>

    <TR><TD width=600>[​IMG] </TD></TR><TR><TD>ชาวเมือง จื่อโจว และฉาต่ง เฝ้ารอดูพิธิเปิด สะพานแขวนใหญ่ไอ่ไจ้ ซึ่งนับเป็นสะพานแขวนระหว่างหุบเขา ที่ยาวที่สุด และยังอยู่สูงจากพื้นดินที่สุดในโลก (ภาพเอเยนซี)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เอเยนซี - จีนเปิดสะพานแขวนใหญ่ไอ่ไจ้ ข้ามหุบเขาเต่อฮัง ให้รถสัญจรอย่างเป็นทางการวันที่ 31 มี.ค. ที่ผ่านมา นับเป็นสะพานแขวนที่ยาว และตั้งอยู่บนจุดที่สูงที่สุดในโลก

    สื่อจีนรายงาน (1 เม.ย.) ว่า สะพานแขวนใหญ่ไอ่ไจ้ นี้ นับเป็นสะพานแขวนลอดอุโมงค์ระหว่างหุบเขา ที่ยาวที่สุด และยังอยู่สูงจากพื้นดินที่สุดในโลก ซึ่งได้เปิดสะพานฯ ให้รถสัญจร อย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อวันที่ 31 มี.ค.

    รายงานข่าวกล่าวว่า สะพานแห่งนี้ เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2550 แล้วเสร็จเมื่อปลายปี 2554 ที่ผ่านมา ใช้ระยะเวลาในการสร้างนานเกือบ 5 ปี โดยต้องสร้างเชื่อมหุบเขา 2 จุด ในหุบเขาเต่อฮัง มณฑลหูหนาน ด้วยสะพานซึ่งมีระยะทาง 1,176 เมตร

    สะพานนี้อยู่สูงจากพื้นดิน 355 เมตร และเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงจื่อโจว-ฉาต่ง ซึ่งมีระยะทาง 64 กิโลเมตร ลัดเลาะไปตามหุบเขามากมาย เจาะผ่านเขาเป็นอุโมงค์ถึง 18 แห่ง อันมีระยะทางรวมของส่วนที่เป็นอุโมงค์ ยาวเกือบครึ่งหนึ่งของทางหลวงเส้นนี้ ช่วยย่นระยะเวลาการเดินทาง และความเสี่ยงอันตรายจากถนนแคบและโค้งหักศอกจำนวนมากของทางหลวงเก่า โดยการเดินทางด้วยเส้นทางหลวงใหม่นี้ ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง จากเดิมที่นานกว่า 5 ชั่วโมง

    ทั้งนี้ สะพานแห่งนี้ ได้เปิดทดลองใช้เมื่อวันตรุษจีนที่ผ่านมา และผู้ที่ใช้เส้นทางหลวงใหม่นี้กล่าวว่า สะดวกสบาย และรื่นรมย์มาก เพราะทางหลวงฯ นี้ วิ่งไปตามหุบเขาตลอด 64 กิโลเมตร และยังลอดอุโมงค์ยาวจำนวนนับสิบ ก่อนจะพบจุดน่าทึ่งที่สุดตรง สะพานแขวนใหญ่ไอ่ไจ้ ซึ่งทิวทัศน์และประสบการณ์บนสะพานนี้ ไม่มีที่ไหนในโลกอีกแล้ว


    </TD></TR><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=600>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=600>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=600>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>


    </TD></TR><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 336px" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=336></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 338px" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=338></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 550px" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=550></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 550px" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=550></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>[table=98%]

    <TR><TD width=600>[​IMG] </TD></TR><TR><TD>ชาวเมือง จื่อโจว และฉาต่ง เฝ้ารอดูพิธิเปิด สะพานแขวนใหญ่ไอ่ไจ้ ซึ่งนับเป็นสะพานแขวนระหว่างหุบเขา ที่ยาวที่สุด และยังอยู่สูงจากพื้นดินที่สุดในโลก (ภาพเอเยนซี)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เอเยนซี - จีนเปิดสะพานแขวนใหญ่ไอ่ไจ้ ข้ามหุบเขาเต่อฮัง ให้รถสัญจรอย่างเป็นทางการวันที่ 31 มี.ค. ที่ผ่านมา นับเป็นสะพานแขวนที่ยาว และตั้งอยู่บนจุดที่สูงที่สุดในโลก

    สื่อจีนรายงาน (1 เม.ย.) ว่า สะพานแขวนใหญ่ไอ่ไจ้ นี้ นับเป็นสะพานแขวนลอดอุโมงค์ระหว่างหุบเขา ที่ยาวที่สุด และยังอยู่สูงจากพื้นดินที่สุดในโลก ซึ่งได้เปิดสะพานฯ ให้รถสัญจร อย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อวันที่ 31 มี.ค.

    รายงานข่าวกล่าวว่า สะพานแห่งนี้ เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2550 แล้วเสร็จเมื่อปลายปี 2554 ที่ผ่านมา ใช้ระยะเวลาในการสร้างนานเกือบ 5 ปี โดยต้องสร้างเชื่อมหุบเขา 2 จุด ในหุบเขาเต่อฮัง มณฑลหูหนาน ด้วยสะพานซึ่งมีระยะทาง 1,176 เมตร

    สะพานนี้อยู่สูงจากพื้นดิน 355 เมตร และเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงจื่อโจว-ฉาต่ง ซึ่งมีระยะทาง 64 กิโลเมตร ลัดเลาะไปตามหุบเขามากมาย เจาะผ่านเขาเป็นอุโมงค์ถึง 18 แห่ง อันมีระยะทางรวมของส่วนที่เป็นอุโมงค์ ยาวเกือบครึ่งหนึ่งของทางหลวงเส้นนี้ ช่วยย่นระยะเวลาการเดินทาง และความเสี่ยงอันตรายจากถนนแคบและโค้งหักศอกจำนวนมากของทางหลวงเก่า โดยการเดินทางด้วยเส้นทางหลวงใหม่นี้ ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง จากเดิมที่นานกว่า 5 ชั่วโมง

    ทั้งนี้ สะพานแห่งนี้ ได้เปิดทดลองใช้เมื่อวันตรุษจีนที่ผ่านมา และผู้ที่ใช้เส้นทางหลวงใหม่นี้กล่าวว่า สะดวกสบาย และรื่นรมย์มาก เพราะทางหลวงฯ นี้ วิ่งไปตามหุบเขาตลอด 64 กิโลเมตร และยังลอดอุโมงค์ยาวจำนวนนับสิบ ก่อนจะพบจุดน่าทึ่งที่สุดตรง สะพานแขวนใหญ่ไอ่ไจ้ ซึ่งทิวทัศน์และประสบการณ์บนสะพานนี้ ไม่มีที่ไหนในโลกอีกแล้ว


    </TD></TR><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=600>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=600>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=600>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=600>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=600>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=600>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=600>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>

    <TR><TD width=600>[​IMG] </TD></TR><TR><TD>ชาวเมือง จื่อโจว และฉาต่ง เฝ้ารอดูพิธิเปิด สะพานแขวนใหญ่ไอ่ไจ้ ซึ่งนับเป็นสะพานแขวนระหว่างหุบเขา ที่ยาวที่สุด และยังอยู่สูงจากพื้นดินที่สุดในโลก (ภาพเอเยนซี)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เอเยนซี - จีนเปิดสะพานแขวนใหญ่ไอ่ไจ้ ข้ามหุบเขาเต่อฮัง ให้รถสัญจรอย่างเป็นทางการวันที่ 31 มี.ค. ที่ผ่านมา นับเป็นสะพานแขวนที่ยาว และตั้งอยู่บนจุดที่สูงที่สุดในโลก

    สื่อจีนรายงาน (1 เม.ย.) ว่า สะพานแขวนใหญ่ไอ่ไจ้ นี้ นับเป็นสะพานแขวนลอดอุโมงค์ระหว่างหุบเขา ที่ยาวที่สุด และยังอยู่สูงจากพื้นดินที่สุดในโลก ซึ่งได้เปิดสะพานฯ ให้รถสัญจร อย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อวันที่ 31 มี.ค.

    รายงานข่าวกล่าวว่า สะพานแห่งนี้ เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2550 แล้วเสร็จเมื่อปลายปี 2554 ที่ผ่านมา ใช้ระยะเวลาในการสร้างนานเกือบ 5 ปี โดยต้องสร้างเชื่อมหุบเขา 2 จุด ในหุบเขาเต่อฮัง มณฑลหูหนาน ด้วยสะพานซึ่งมีระยะทาง 1,176 เมตร

    สะพานนี้อยู่สูงจากพื้นดิน 355 เมตร และเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงจื่อโจว-ฉาต่ง ซึ่งมีระยะทาง 64 กิโลเมตร ลัดเลาะไปตามหุบเขามากมาย เจาะผ่านเขาเป็นอุโมงค์ถึง 18 แห่ง อันมีระยะทางรวมของส่วนที่เป็นอุโมงค์ ยาวเกือบครึ่งหนึ่งของทางหลวงเส้นนี้ ช่วยย่นระยะเวลาการเดินทาง และความเสี่ยงอันตรายจากถนนแคบและโค้งหักศอกจำนวนมากของทางหลวงเก่า โดยการเดินทางด้วยเส้นทางหลวงใหม่นี้ ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง จากเดิมที่นานกว่า 5 ชั่วโมง

    ทั้งนี้ สะพานแห่งนี้ ได้เปิดทดลองใช้เมื่อวันตรุษจีนที่ผ่านมา และผู้ที่ใช้เส้นทางหลวงใหม่นี้กล่าวว่า สะดวกสบาย และรื่นรมย์มาก เพราะทางหลวงฯ นี้ วิ่งไปตามหุบเขาตลอด 64 กิโลเมตร และยังลอดอุโมงค์ยาวจำนวนนับสิบ ก่อนจะพบจุดน่าทึ่งที่สุดตรง สะพานแขวนใหญ่ไอ่ไจ้ ซึ่งทิวทัศน์และประสบการณ์บนสะพานนี้ ไม่มีที่ไหนในโลกอีกแล้ว


    </TD></TR><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=600>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=600>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=600>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>

    <TR><TD width=600>[​IMG] </TD></TR><TR><TD>ชาวเมือง จื่อโจว และฉาต่ง เฝ้ารอดูพิธิเปิด สะพานแขวนใหญ่ไอ่ไจ้ ซึ่งนับเป็นสะพานแขวนระหว่างหุบเขา ที่ยาวที่สุด และยังอยู่สูงจากพื้นดินที่สุดในโลก (ภาพเอเยนซี)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เอเยนซี - จีนเปิดสะพานแขวนใหญ่ไอ่ไจ้ ข้ามหุบเขาเต่อฮัง ให้รถสัญจรอย่างเป็นทางการวันที่ 31 มี.ค. ที่ผ่านมา นับเป็นสะพานแขวนที่ยาว และตั้งอยู่บนจุดที่สูงที่สุดในโลก

    สื่อจีนรายงาน (1 เม.ย.) ว่า สะพานแขวนใหญ่ไอ่ไจ้ นี้ นับเป็นสะพานแขวนลอดอุโมงค์ระหว่างหุบเขา ที่ยาวที่สุด และยังอยู่สูงจากพื้นดินที่สุดในโลก ซึ่งได้เปิดสะพานฯ ให้รถสัญจร อย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อวันที่ 31 มี.ค.

    รายงานข่าวกล่าวว่า สะพานแห่งนี้ เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2550 แล้วเสร็จเมื่อปลายปี 2554 ที่ผ่านมา ใช้ระยะเวลาในการสร้างนานเกือบ 5 ปี โดยต้องสร้างเชื่อมหุบเขา 2 จุด ในหุบเขาเต่อฮัง มณฑลหูหนาน ด้วยสะพานซึ่งมีระยะทาง 1,176 เมตร

    สะพานนี้อยู่สูงจากพื้นดิน 355 เมตร และเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงจื่อโจว-ฉาต่ง ซึ่งมีระยะทาง 64 กิโลเมตร ลัดเลาะไปตามหุบเขามากมาย เจาะผ่านเขาเป็นอุโมงค์ถึง 18 แห่ง อันมีระยะทางรวมของส่วนที่เป็นอุโมงค์ ยาวเกือบครึ่งหนึ่งของทางหลวงเส้นนี้ ช่วยย่นระยะเวลาการเดินทาง และความเสี่ยงอันตรายจากถนนแคบและโค้งหักศอกจำนวนมากของทางหลวงเก่า โดยการเดินทางด้วยเส้นทางหลวงใหม่นี้ ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง จากเดิมที่นานกว่า 5 ชั่วโมง

    ทั้งนี้ สะพานแห่งนี้ ได้เปิดทดลองใช้เมื่อวันตรุษจีนที่ผ่านมา และผู้ที่ใช้เส้นทางหลวงใหม่นี้กล่าวว่า สะดวกสบาย และรื่นรมย์มาก เพราะทางหลวงฯ นี้ วิ่งไปตามหุบเขาตลอด 64 กิโลเมตร และยังลอดอุโมงค์ยาวจำนวนนับสิบ ก่อนจะพบจุดน่าทึ่งที่สุดตรง สะพานแขวนใหญ่ไอ่ไจ้ ซึ่งทิวทัศน์และประสบการณ์บนสะพานนี้ ไม่มีที่ไหนในโลกอีกแล้ว


    </TD></TR><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=600>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_702109 class=t_msgfont>
    น้ำพุที่สวยที่สุดในโลก ที่ ดูไบ

    [​IMG]
    น้ำพุที่สวยที่สุดในโลก ที่ ดูไบ​

    [​IMG]
    น้ำพุที่สวยที่สุดในโลก ที่ ดูไบ​

    [​IMG]
    น้ำพุที่สวยที่สุดในโลก ที่ ดูไบ​


    [​IMG]
    น้ำพุที่สวยที่สุดในโลก ที่ ดูไบ​

    [​IMG]
    น้ำพุที่สวยที่สุดในโลก
    [​IMG]
    น้ำพุที่สวยที่สุดในโลก ​

    [​IMG]
    น้ำพุที่สวยที่สุดในโลก ​

    [​IMG]
    น้ำพุที่สวยที่สุดในโลก ​

    [​IMG]
    น้ำพุที่สวยที่สุดในโลก ​



    [​IMG]
    น้ำพุที่สวยที่สุดในโลก ​

    [​IMG]
    น้ำพุที่สวยที่สุดในโลก ​

    [​IMG]
    น้ำพุที่สวยที่สุดในโลก ​

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2012
  13. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    พบแฝดเก่ากว่า"สโตนเฮนจ์" 500 ปี



    [​IMG]



    นักโบราณคดีตกตะลึงกับการค้นพบ “แฝดผู้พี่” ของกลุ่มหิน “สโตนเฮนจ์” แต่มีอายุเก่าแก่กว่า 500 ปี!

    สำนักข่าวพีเอแจ้งว่า นายทอม กรีฟส์ นักโบราณ คดีพบแท่งหินฝาแฝดสโตนเฮนจ์ (Stone Henge) 9 ต้น ที่เมืองดาร์ตมัธ เขตปกครองเดวอน ประเทศอังกฤษ ห่างจากที่ตั้งสโตนเฮนจ์ 193 กิโลเมตร โดยแท่งหินกลุ่มนี้มีชื่อว่า “ดริซ เซิลคอมบี” จากการใช้กระบวนการคาร์บอนสืบหาอายุแท่งหินพบว่ามีอายุก่อนคริสตกาล 3,500 ปี
    ไมก์ พิตต์ นักโบราณคดีชาวอังกฤษ กล่าวว่า การเรียงตัวของแท่งหินขนาดมหึมามีสองแถวที่ทอดตัวไปตามแนวโคจรของดวงอาทิตย์ที่ขึ้นในฤดูร้อน และตกในฤดูหนาว ซึ่งเชื่อว่าผู้สร้างต้องเป็นอัจฉริยะทางดาราศาสตร์
    หมู่หินดริซเซิลคอมบีค้นพบบนยอดเขาคัต ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของดาร์ตมูร์ บริเวณใกล้เคียงกับหมู่หินดังกล่าวยังพบกระดูกหมู ซึ่งถูกย่างอย่างดีซึ่งคาดว่าหมูที่ใช้ทำพิธีกรรมน่าจะเกิดในฤดูใบไม้ผลิและถูกฆ่าเพื่อนำมาประกอบพิธีช่วงกลางฤดูหนาว พิธีกรรมดังกล่าวน่าจะเกี่ยวกับการสักการะผู้ตายที่ถูกนำมาทำพิธีที่แท่งหินนี้
    การค้นพบครั้งนี้สั่นสะเทือนวงการโบราณคดี และทำให้เกิดการถกเถียงเรื่องจุดประสงค์ในการสร้างสโตนเฮนจ์อีกครั้ง โดยผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายเชื่อว่าหมู่หินมหัศจรรย์น่าจะสร้างขึ้นเพื่อความเชื่อทางศาสนา การบูชานักบวชไพร การสักการะคนตาย หรือแม้กระทั่งเป็นศูนย์กลางการรักษาโรคในอังกฤษสมัยโบราณ

    ที่มา ข่าวสด 4 พ.ค.53
    --------------------->

    นางพยาบาลในภาพ"จูบประวัติศาสตร์"อเมริกันสิ้นชีพแล้ว
    [​IMG]
    สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน อดิธ เชน อดีตนางพยาบาลซึ่งปรากฎในภาพประวัติศาสตร์ที่เธอถูกจูบจากทหารเรืออเมริกัน เมื่อ 64 ปีก่อน ที่ย่านไทมส์ สแควร์ ในกรุงนิวยอร์ก ได้ล่วงลับแล้ว ที่โรงพยาบาลในเมืองแอลเอ เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น
    นางอดิธ เชน ซึ่งมีลูกชาย 3 คน หลาน 6 คน และเหลนอีก 8 คน ถือเป็นคนดังของชาวอเมริกัน ในฐานะผู้หญิงในภาพประวัติศาสตร์ดังกล่าว โดยเธอยอมให้ทหารเรือซึ่งดีใจจากการชนะสงครามโลกครั้งที่สองเหนือญี่ปุ่น จูบเธอ เพื่อเป็นรางวัลสำหรับการที่ทหารเรือดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งที่ต่อสู้เพื่อชาวอเมริกันในสงคราม ภาพดังกล่าวถูกถ่ายโดยนายอัลเฟรด ไอน์เซ็นสตัด ช่างภาพดัง และกลายเป็นภาพดังระดับประวัติศาสตร์อยู่คู่กับสังคมอเมริกันมาหลังจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และในช่วงวันรำลึกเหตุการณ์ครบรอบ 50 สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี 1995 เธอยังเข้าร่วมงานรำลึก และได้กลายเป็นบุคคลดังด้วย
    ด้านนายไมเคิล เชน บุตรชาย กล่าวว่า ภาพดังกล่าวเป็นการสะท้อนช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของสหรัฐ ทั้งในด้านเป็นแรงบันดาลใจของความรักชาติ,ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน,และความภาคภูมิใจของชาติ จากการยุติสงครามด้วยชัยชนะของกองทัพอเมริกัน
    ที่มา มติชน 24 มิ.ย.53​
    ภาพดวงอาทิตย์ปะทุจาก NASA
    [​IMG]
    ดาวเทียมสำรวจของ NASA เผยภาพดวงอาทิตย์ที่เห็นการปะทุบนพื้นผิวรอบนอกเป็นระยะๆ หวังไขคำตอบเรื่องพายุสุริยะที่ก่อกวนระบบสื่อสารทั่วโลก
    องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐหรือ NASAเปิดเผยภาพถ่ายดวงอาทิตย์ชุดแรก ที่ถูกส่งมาจากดาวเทียมสำรวจ” โซล่าร์ ไดนามิกส์ ออบเซิร์ฟวาทอรี่” เมื่อวานนี้ หลังจากดาวเทียมดวงใหม่นี้ซึ่งเรียกสั้นๆว่า SDO ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศจากแหลมคานาเวอรัลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และคาดว่าจะปฏิบัติภารกิจนานอย่างน้อย 5 ปี
    ภาพดวงอาทิตย์เปลี่ยนจากสีแดง เป็นเขียวและน้ำเงิน เมื่อกล้องของดาวเทียมได้ปรับเปลี่ยนความยาวคลื่นของรังสีอัลตราไวโอเล็ต และบริเวณด้านซ้ายของดวงอาทิตย์จะเห็นการปะทุและแสงวาบเป็นระยะๆ และมีภาพกลุ่มก๊าซเป็นวงขนาดใหญ่
    ภาพเหล่านี้คาดว่าจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถเข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆบนดวงอาทิตย์ได้มากขึ้น และหวังว่าในที่สุดจะสามารถทำนายปรากฏการณ์พายุสุริยะ และประเมินผลกระทบของปรากฏการณ์อื่นๆ ของดวงอาทิตย์ต่อโลก เช่น การทำงานของยานอวกาศ ระบบไฟฟ้า ระบบการสื่อสารโทรคมนาคม และระบบนำร่องทั้งหลายบนโลก

    ที่มา กรุงเทพธุรกิจ 23 เม.ย.53
    ---------------------------------------------
    >
    โรงพยาบาลอังกฤษทดลองใช้หุ่นยนต์ช่วยงาน ขนขยะการแพทย์-ส่งอาหาร


    [​IMG]



    ในโรงพยาบาลของประเทศญี่ปุ่น สหรัฐ และฝรั่งเศส เริ่มมีการทดลองใช้งานหุ่นยนต์ช่วยปฏิบัติงานมาได้สักระยะแล้ว แต่นี่นับเป็นครั้งแรกที่โรงพยาบาลอังกฤษจะนำหุ่นยนต์มาใช้งานในแผนกขนย้ายขยะ ทั้งขยะทางการแพทย์ ผ้าปูเตียงและปลอก หมอนใช้แล้ว รวมถึงการขนส่งอาหารและยาที่โรงพยาบาลฟอร์ตแวลลีย์รอยัลแห่งใหม่ในเมืองลาร์เบิร์ต เขตสเตอร์ลิงไชร์ โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนส.ค.นี้

    กองทัพหุ่นยนต์จะเคลื่อนที่ไปตามรางส่วนตัวที่ติดตั้งไว้ทั่วโรงพยาบาล เพื่อป้องกันการติดเชื้อปนเปื้อน ยกตัวอย่างเส้นทางจากลิฟต์ หุ่นยนต์จะวิ่งไปห้องเก็บของหรือส่งของและกลับไปยังลิฟต์ จะติดตั้งเซ็นเซอร์ที่ตัวหุ่นยนต์เพื่อตรวจสอบว่ามันอยู่ที่ใดในโรงพยาบาล และตัวเซ็นเซอร์เพื่อตรวจสอบสิ่งของที่ต้องขนย้าย รวมถึงตรวจสอบสิ่งกีดขวางทางเดินของมัน
    เอลส์เพ็ธ แคมป์ เบล โฆษกโรงพยา บาลฟอร์ตแวลลีย์รอยัล กล่าวว่า หุ่นยนต์จะเข้ามาช่วยเสริมประสิทธิพในการควบคุมโรคติดต่อในโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทั้งหมอและพยาบาลต่างพึงพอใจมาก และตื่นเต้นที่ได้เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกของประเทศอังกฤษที่จะมีหุ่นยนต์เข้ามาช่วยงาน
    “เรารู้ดีว่าหุ่นยนต์เหล่านี้ทำงานได้ดีเยี่ยมอยู่ในโรงพยาบาลแห่งอื่นๆ ทั่วโลก แม้มันจะเป็นสิ่งใหม่สำหรับอังกฤษแต่เราก็ไม่ได้กังวลเพราะรู้ว่าระบบของหุ่นยนต์ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม หุ่นยนต์เหล่านี้ไม่ได้เข้ามาแทนที่มนุษย์ แต่จะช่วยให้เจ้าหน้าที่มีเวลามากขึ้นในการดูแลผู้ป่วย” แคมป์เบล ระบุ
    ที่มา ข่าวสด 24 มิ.ย.53




     
  14. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    --------> รวมสิ่งปลูกสร้างแปลก ๆ ในโลกนี้
    1.Air Force Academy Chapel (Colorado, United States)

    [​IMG]




    2.Bahai House of Worship a.k.a Lotus Temple (Delhi, India)

    [​IMG]

    3.Beijing National Stadium (Beijing, China)

    [​IMG]

    4.Calakmul building a.k.a La Lavadora a.k.a The Washing Mashine (Mexico, Mexico)

    [​IMG]

    5.Chapel in the Rock (Arizona, United States)

    [​IMG]

    6.Civic Center (Santa Monica)

    [​IMG]

    7.Container City (London, UK)

    [​IMG]

    8.Cubic Houses (Rotterdam, Netherlands)

    [​IMG]

    9.Dome House (Florida, United States)

    [​IMG]

    10.Druzhba Holiday Center Hall (Yalta, Ukraine)

    [​IMG]


    11.Erwin Wurm House Attack (Viena, Austria)

    [​IMG]

    12.Fashion Show Mall (Las Vegas, United States)

    [​IMG]

    13.Ferdinand Cheval Palace a.k.a Ideal Palace (France)

    [​IMG]

    14.Forest Spiral – Hundertwasser Building (Darmstadt, Germany)

    [​IMG]

    15.Fuji television building (Tokyo, Japan)

    [​IMG]

    16.Gherkin Building (London, UK)

    [​IMG]

    17.Grand Lisboa (Macao)

    [​IMG]

    18.Guggenheim Museum (Bilbao, Spain)

    [​IMG]

    19.Habitat 67 (Montreal, Canada)

    [​IMG]

    20.Hang Nga Guesthouse a.k.a Crazy House (Vietnam)

    [​IMG]

    21.Kansas City Public Library (Missouri, United States)

    [​IMG]

    22.Kettle House (Texas, United States)

    [​IMG]

    23.Lloyd’s building (London, UK)

    [​IMG]

    24.Luxor Hotel & Casino (Las Vegas, United States)

    [​IMG]

    25.Mammy’s Cupboard (Natchez, MS, United States)

    [​IMG]



     
  15. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    26.Manchester Civil Justice Centre (Manchester, UK)

    [​IMG]

    27.Mind House (Barcelona, Spain)

    [​IMG]

    28.Nakagin Capsule Tower (Tokyo, Japan)

    [​IMG]

    29.Nord LB building (Hannover, Germany)

    [​IMG]

    30.Pickle Barrel House (Grand Marais, Michigan, United States)

    [​IMG]


    1.Ripley’s Building (Ontario, Canada)

    [​IMG]

    32.Ryugyong Hotel (Pyongyang, North Korea)

    [​IMG]

    33.Shoe House (Pennsylvania, United States)

    [​IMG]

    34.Solar Furnace (Odeillo, France)

    [​IMG]

    35.Stone House (Guimarães, Portugal)

    [​IMG]

    36.The Bank of Asia a.k.a Robot Building (Bangkok, Thailand)

    [​IMG]

    37.The Basket Building (Ohio, United States)

    [​IMG]

    38.The Crooked House(Sopot, Poland)

    [​IMG]

    39.The Egg (Empire State Plaza, Albany, New York, United States)

    [​IMG]

    40.The Hole House (Texas, United States)

    [​IMG]


    41.The National Library (Minsk, Belarus)

    [​IMG]

    42.The Torre Galatea Figueras (Spain)

    [​IMG]

    43.The Ufo House (Sanjhih, Taiwan)

    [​IMG]

    44.UCSD Geisel Library (San Diego, California, United States)

    [​IMG]

    45.Wall House (Groningen, Netherlands)

    [​IMG]

    46.Weird House in Alps

    [​IMG]

    47.Wonderworks (Pigeon Forge, TN, United States)

    [​IMG]

    48.Wooden Gagster House (Archangelsk, Russia)

    [​IMG]

    49.Zenith Europe (Strasbourg, France)

    [​IMG]

    50.Dancing Building (Prague, Czech Republic)


    [​IMG]
     
  16. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_702157 class=t_msgfont>-------------
    TOP TEN – 10 อันดับ สุดยอดของอาหารท้องถิ่น แต่ละประเทศ


    10 อันดับ สุดยอดของอาหารท้องถิ่น แต่ละประเทศ
    อันดับที่ 10 เหล้าดองงู – เวียดนาม


    [​IMG]

    เหล้าดองงู มีต้นกำเนิดที่ประเทศเวียดนาม ต่อมาได้แพร่ขยายไปตามภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทางตอนใต้ของจีน ถึง แม้ว่างูที่เห็นบรรจุอยู่ในขวดเหล้าจะเป็นงูพิษ แต่การที่งูถูกแช่เหล้าเป็นเวลานานๆ จะทำให้พิษค่อยๆ เจือจางและถูกทำลายไปในที่สุด จึงสามารถดื่มได้โดยไม่เป็นอันตราย กล่าวกันว่า เหล้าดองงูมีสรรพคุณทางยา แต่นักท่องเที่ยวหลายรายต่างเลือกที่จะซื้อไปตั้งโชว ์ที่บ้าน มากกว่าซื้อไปโด้ป!




    อันดับที่ 9 หัวใจ (สดๆ) นกพัฟฟิน – ไอซ์แลนด์
    [​IMG]



    ต้องบอก ว่า…เมนูนี้ค่อนข้างโหดร้ายและเป็นอะไรที่คาดไม่ถึ งเลยจริงๆ ก็ใครจะไปนึกว่าคนไอซ์แลนด์เขาจะใช้ตาข่ายขนาดใหญ่ดั กจับนกพัฟฟินมาหักคอ ถลกหนัง แล้วควักหัวใจออกมาทานกันสดๆ ขณะที่เนื้อมักถูกนำไปรมควัน ย่าง ทอด หรือกลายเป็นเมนูอันโอชะตามภัตตาคารหรูต่างๆ แม้ว่าไอ ซ์แลนด์ จะเป็นหนึ่งในถิ่นอาศัยของฝูงนกพัฟฟินที่มีขนาดใหญ่ท ี่สุดในโลก แต่ผลจากการที่ถูกมนุษย์บุกรุกถิ่นฐาน และไล่ล่าเอาทั้งไข่และเนื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจับนกพัฟฟิน ด้วยวิธี “สกาย ฟิชชิ่ง” หรือใช้ตาข่ายขนาดใหญ่ดักจับนกโชคร้าย ก็ยิ่งทำให้นกดังกล่าวมีปริมาณลดลงอย่างฮวบฮาบ




    อันดับที่ 8 กาแฟ Kopi Luwak – อินโดนีเซีย
    [​IMG]



    เมื่อ ไม่นานมานี้ “บีเอสเอ็นนิวส์” เคยนำเสนอเรื่องราวของกาแฟ “Kopi Luwak” ที่ได้ชื่อว่าหายากและมีราคา “แพงที่สุดในโลก” มาแล้วครั้งหนึ่ง เมล็ด กาแฟชนิดนี้ ได้มาจากระบบขับถ่าย (อึ) ของตัวชะมดชนิดหนึ่งซึ่งชาวอินโดฯ เรียกว่า Luwak สัตว์ชนิดนี้จะกินผลกาแฟสดเข้าไป แล้วขับถ่ายเมล็ดกาแฟออกมา กล่าวกันว่าเมล็ดกาแฟที่ผ่านกระบวนการนี้จะมีกลิ่นหอ มและรสชาติดีเป็นพิเศษ กาแฟ “Kopi Luwak” พบได้บนเกาะสุมาตรา ชวา และสุลาเวสี ปัจจุบันเริ่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะอย ่างยิ่งในประเทศญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา แต่ด้วยความที่หายากเมล็ดกาแฟชนิดนี้จึงมีราคาขายสูง ถึง 100-600 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,400 – 20,400 บาท) ต่อ 1 ปอนด์ (0.45 กก.) เลยทีเดียว




    อันดับที่ 7 ปลาหมึกเป็นๆ – เกาหลีใต้
    [​IMG]



    สำหรับท่านที่เป็นแฟนซีรีย์เกาหลี คงเคยเห็นอาหารจานนี้ผ่านหูผ่านตากันมาบ้างแล้ว… เมนู นี้มีชื่อว่า “Sannakji” (แถวบ้านเราเรียกว่า “ปลาหมึกสด”) วิธีทำก็ง่ายๆ แค่นำปลาหมึกเป็นๆ มาหั่น ราดด้วยน้ำมันงาแล้วเสิร์ฟทันที ขณะ อยู่ในจานหนวดปลาหมึกจะยังคงดิ้นดุ๊กดิ๊ก และดูดติดกับจานหรืออะไรก็ตามที่เข้าไปสัมผัส ดังนั้น เวลารับประทานจึงต้องใช้ความพยายามในการคีบมากเป็นพิ เศษ และต้องต่อสู้กับหนวดปลาหมึกเล็กน้อย แต่ใช่ว่าคีบได้แล้วเรื่อง จะจบ เพราะเวลาที่อยู่ในปากปลาหมึกอาจยังคงดูดติดฟัน เพดานปาก และลิ้นของเรา แถมยังดิ้นดุ๊กดิ๊กไปมาเวลาเวลาเคี้ยว จึงต้องเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืนลงคอ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายและเสียฟอร์มเพราะสำลัก หรือ (หนวด) ปลาหมึกติดคอ


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_702159 class=t_msgfont>อันดับที่ 6 เซอร์สตอร์มมิง – สวีเดน

    [​IMG]

    หนึ่งในอาหารแปลก ที่สุดในโลกจานนี้ สามารถซื้อหามารับประทานได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ในสวีเดน และเจ้าอาหารแปลกที่ว่านี้ก็คือ เซอร์สตอร์มมิง หรือ ปลาเฮอร์ริงเน่า นั่นเอง สำหรับท่านที่ไม่ชอบปลาร้า เวลาได้กลิ่นอาจทำหน้าเหยเกแล้วบ่นว่า “เหม็น” แต่เชื่อหรือไม่ว่าปลาร้า 10 ไหก็ยังชิดซ้ายปลาเน่า เซอร์สตอร์มมิง จากสวีเดน เพราะแค่เพียงกระป๋องเดียว ก็อาจทำให้คลื่นเ…ยนอาเจียนไปทั้งหมู่บ้าน ส่วนจะเหม็นแค่ไหนนั้น…ลองนึกภาพดูแล้วกันว่าเวลาจ ะรับประทาน ต้องนั่งทาน “กลางแจ้ง” ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกเท่านั้น เซอร์ สตอร์มมิง ผลิตจากปลาเฮอร์ริงในทะเลบอลติกที่ถูกจับขึ้นมาในช่ว งฤดูใบไม้ผลิ ปลาเหล่านี้จะถูกหมักอยู่ในถังราว 1-2 เดือน จากนั้นจึงนำมาบรรจุลงกระป๋องเพื่อหมักต่อ และรอให้ปลาเน่าสนิทอีกราว 6 เดือน จนกระป๋องเริ่มบวมเป่ง (เพราะภายในมีแก๊สที่เกิดจากปลาเน่า) เป็นอันใช้ได้ จากนั้นจึงเริ่มนำออกขายตามท้องตลาด และเนื่องจาก ภายในกระป๋องมีแรงดันของแก๊ส จึงมักเกิดเหตุการณ์ เซอร์สตอร์มมิง ระเบิด ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งไปทั่วบริเวณขณะขนส่ง หรือระหว่างที่เก็บเอาไว้ในโกดังบ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้บรรดาสายการบินจึงระบุว่า เซอร์สตอร์มมิง เป็นวัตถุอันตราย และห้ามไม่ให้นำขึ้นเครื่องโดยเด็ดขาด คนสวีเดนมักรับประทานปลา เน่าชนิดนี้กับขนมปังแผ่นใหญ่ (บางๆ) และมันฝรั่งต้ม ขณะที่บางคนนิยมทานร่วมกับนม เบียร์ หรือน้ำเปล่า เพื่อให้ทานง่ายขึ้น

    อันดับที่ 5 คาสุ มาร์ซู – เกาะซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี
    [​IMG]
    คา สุ มาร์ซู (Casu Marzu) คือ ชีสนมแกะที่ภายในมีรูพรุน อันอุดมไปด้วย “หนอนแมลงวัน” แม้ปัจจุบัน ทางอียูจะกำหนดให้ชีส “คาสุ มาร์ซู” เป็นอาหารที่ผิดกฏหมายและผิดหลักโภชนาการอย่างแรง แต่แฟนพันธุ์แท้ของชีสชนิดนี้ ก็ยังคงซื้อหามารับประทานได้จากตลาดมืดซึ่งเป็นที่รู้กัน หาก แปลตรงตัว “คาสุ มาร์ซู” จะหมายถึง “ชีสเน่า” หรือที่ชาวซาร์ดิเนียนเรียกว่า “ชีสหนอน” นั่นเอง เนื่องจากภายในชีสจะมีหนอนตัวขาวใส ความยาวประมาณ 8 ม.ม. ดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ภายในเป็นจำนวนมาก หนอนเหล่านี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเร่งกระบวนการหมักให้มีประสิ ทธิภาพยิ่งขึ้น และทำให้ไขมันแตกตัว กล่าวกันว่าชีสชนิดนี้มีความอ่อนนุ่มมาก เนื่องจากมีของเหลวแทรกซึมอยู่ในเนื้อชีส แต่จะต้องรีบทานในขณะที่หนอนยังมีชีวิตอยู่ เพราะถ้ารอให้หนอนตายก่อน ชีสก้อนนั้นจะถือว่าเป็นอาหารมีพิษทันที และถ้ายังยี้ไม่พอ ขอบอกว่า…ถ้าใครเอามือไปโดนหรือเอาอะไรเขี่ยหนอนที ่อยู่ในชีส พวกมันจะกระโดดใส่ทันที (หนอนพวกนี้สามารถดีดตัวได้สูงถึง 15 ซ.ม.) ซึ่งถ้าหากไม่ระวังล่ะก็อาจกระเด็นเข้าตาได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีบางคนนำชีสไปล้างก่อนรับประทาน ขณะที่บางคนใช้ถุงพลาสติกปิดคลุมไว้ก่อนเพื่อให้หนอน ขาดออกซิเจนและอ่อนแรง ก่อนที่จะตายในที่สุด แต่วิธีหลังถือว่าอันตรายเพราะอาจทำให้เกิดอาหารเป็น พิษจนต้องหามส่งโรง พยาบาลได้

    อันดับที่ 4 ไข่บาลุต – ประเทศฟิลิปปินส์

    [​IMG]
    เมนูเด็ดของแดนตากาล็อกประจำวันนี้ คือ ไข่บาลุต ซึ่งก็คือไข่ต้มที่มีตัวอ่อนของเป็ด (หรือไก่) อยู่ภายใน สามารถหาทานได้ทั่วไปตามท้องถนน ส่วนวิธี รับประทานนั้นก็ไม่ยาก แค่ปอกเปลือกด้านบนออก เหยาะเกลือ น้ำมะนาว พริกไทย และผักชีลงไป (บางคนอาจจะใส่พริกและน้ำส้มสายชู) จากนั้นก็ซดน้ำ (ในไข่) แล้วแกะเปลือกไข่ส่วนที่เหลือออกเพื่อทานไข่แดงและเคี้ยวตัวอ่อนที่กำลัง กรุ๊บๆ

    อันดับที่ 3 ปลาปักเป้า – ประเทศญี่ปุ่น
    [​IMG]

    “ปลาปักเป้า” หรือ “ฟุกุ” เป็นได้ทั้งอาหารอันโอชะและยาพิษร้ายในขณะเดียวกัน.. . เป็น ที่รู้กันว่า “ปลาปักเป้า” ทุกชนิดเป็นปลาที่มีสารพิษ เตโตรโดท็อกซิน ซึ่งมีอันตรายร้ายแรงกว่าไซยาไนด์ถึง 1,250 เท่าอยู่ในตัว โดยเฉพาะบริเวณหนัง ไข่ เนื้อ ตับ และลำไส้ ดังนั้น การรับประทานพิษปลาปักเป้าเข้าไปแม้เพียงเล็กน้อยก็อ าจถึงแก่ความตายได้ ด้วยเหตุนี้ ประเทศญี่ปุ่นจึงออกกฏหมายให้เฉพาะพ่อครัวที่มีใบอนุญาตเท่านั้น-ที่จะสามารถปรุงมันเป็นอาหารได้
    </TD></TR></TBODY></TABLE>




    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    <TABLE id=pid702179 cellSpacing=0 summary=pid702179 cellPadding=0><TBODY><TR><TD class=postcontent><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_702179 class=t_msgfont>---------> "หู"ช่วยชีวิต-ตี๋น้อยรอดตกตึก8ชั้น



    [​IMG]


    ---เมื่อ 6 พ.ค. หนังสือพิมพ์จูเถียนเมโทรโปลิส นิวส์ รายงานเหตุการณ์ระทึกขวัญ ตี๋น้อยวัย 6 ขวบ พลัดตกหน้าต่างของแฟลตชั้น 8 ในเมืองยี่จาง มณฑลหูเป่ย โชคดีเหลือเชื่อ ที่ศีรษะติดอยู่ระหว่างเส้นเหล็ก โดยมีใบหูช่วยคั่นอยู่


    --ตี๋น้อยรายดังกล่าวมีชื่อว่า หมิงหมิง ช่วงเกิดเหตุ คุณตาเห็นว่าหลานหลับอยู่ จึงปล่อยทิ้งไว้ในห้อง เข้าใจว่าช่วงที่ตี๋น้อยตื่นขึ้นมาไม่เห็นใคร จึงมาชะโงกหน้าหาตา ทำให้พลัดหลุดออกมาจากลูกกรง เพื่อนบ้านได้ยินเสียงเด็กร้องไห้จ้า จึงโผล่ออกมาดูแล้วรีบโทร.แจ้งหน่วยกู้ภัย ส่วนชาวบ้านด้านล่างพากันมุงดูอย่างหวาดเสียว

    ---หวัง เสิ่น เจ้าหน้าที่กู้ภัย กล่าวภายหลังช่วยเด็กด้วยการง้างเหล็กออก ว่า ตี๋น้อยรอดตายอย่างปาฏิหาริย์โดยแท้ เพราะการห้อยอยู่อย่างนั้นอาจตกลงมาหรือขาดอากาศหายใจได้ทุกเมื่อ


    ที่มา ข่าวสด 7 พ.ค.53
    *-----------------------------------
    > สีสันชั้นบรรยากาศโลกโดยนักบินอวกาศ
    [​IMG]

    ภาพชั้นบรรยากาศซึ่งแยกชั้นชัดเจน บันทึกโดยลูกเรือบนสถานีอวกาศนานาชาติระหว่างผ่านมหาสมุทรอินเดีย (นาซา)
    [​IMG]

    นักบินบนสถานีอวกาศ บันทึกภาพชวนตะลึงล่าสุด โชว์ชั้นบรรยากาศโลกสีสันสวยงามเหนือมหาสมุทรอินเดียช่วงดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า

    ลำดับชั้นสีสดใสในภาพที่บันทึกโดยนักบินอวกาศบนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) นั้น สเปซด็อทคอมระบุเป็นชั้นสีที่แสดงชั้นต่างๆ ของบรรยากาศโลก ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเนื่องจากสถานีอวกาศทำมุมเอียงข้าง (edge-on) เข้าหาโลก ทำให้เห็นความโค้งของโลกได้ชัดขึ้น

    ชั้นโทรโพสเฟียร์ (troposphere) เป็นชั้นบรรยากาศต่ำสุด ซึ่งมนุษย์อาศัยอยู่ในชั้นนี้และเป็นชั้นที่มีสภาพอากาศ โดยในภาพเห็นเป็นชั้นสีส้มและสีเหลือง บรรยากาศชั้นนี้มีขอบเขตตั้งแต่พื้นโลกขึ้นไปถึงความสูงระหว่าง 6-20 กิโลเมตร และเป็นชั้นที่มีมวลมากถึง 80% ของชั้นบรรยากาศทั้งหมด

    ในชั้นโทรโพสเฟียร์นี้เกือบทั้งหมดเป็นไอน้ำ เมฆและมีการตกของฝนหรือหิมะ และสีดำในชั้นนี้คือเมฆ ซึ่งความเข้มที่แตกต่างกันหมายถึงความหนาแน่นของเมฆที่แตกต่างกันด้วย

    ชั้นถัดขึ้นไปคือชั้นสตราโทสเฟียร์ (stratosphere) ซึ่งเห็นเป็นชั้นสีชมพูและสีขาวเหนือแถบเมฆสีดำ ในชั้นบรรยากาศนี้ไม่มีเมฆเลยหรือมีอยู่น้อยมาก ขอบเขตบนของชั้นนี้สูงขึ้นไปประมาณ 50 กิโลเมตรจากพื้นโลก

    ชั้นสตราโทสเฟียร์ยังเป็นที่อยู่ของชั้นโอโซน ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องพื้นโลกและสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนพื้นโลกจากรังสีอัลตราไวโอเลตที่เป็รอันตรายจากดวงอาทิตย์ด้วย

    ชั้นสีน้ำเงินซึ่งอยู่ถัดขึนไปจากชั้นสตราโทสเฟียร์นั้นเป็นบรรยากาศชั้นสูง (upper atmosphere) ซึ่งประกอบด้วยชั้นมีโซสเฟียร์ เทอร์โมสเฟียร์ ไอโอโนสเฟียร์และเอกโซสเฟียร์ โดยเราจะเห็นสีของบรรยากาศชั้นสูงนี้ค่อยๆ จางเข้ากับความมืดของอวกาศ

    สำหรับภาพนี้เป็นภาพที่บันทึกระหว่างลูกเรือบนสถานีอวกาศผ่านไปยังซีกโลกตะวันตกและได้บันทึกภาพดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าเหนือมหาสมุทรอินเดีย โดยมนุษย์อวกาศบนสถานีอวกาศซึ่งอยู่ในวงโคจรต่ำของโลกนั้น มีโอกาสได้เห็นดวงอาทิตย์โพล่พ้นขอบฟ้าและลับขอบฟ้าถึงวันละ 16 ครั้ง ตามความเร็วในการโคจรรอบโลกของสถานีอวกาศซึ่งอยู่ 28,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

    ที่มา ผู้จัดการ 23 มิ.ย.53


    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    </TD></TR><TR><TD class=postcontent vAlign=bottom>
    </TD></TR><TR><TD class=postauthor></TD><TD class=postcontent>ตอบกลับ อ้างอิง แก้ไข คะแนน การ์ดวิเศษ TOP


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    เรามาลองคิดกันเล่นๆ
    โลกหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็ว1,000 กม.ต่อชั่วโมง การคำนวณต่างๆ เรื่องดาวเทียม เรื่องการคิดวันเวลา ก็เป็นตามนั้น แต่ จริงๆแล้วโลกมันไม่ได้หมุนครับ (ฝรั่งอ้างจากไบเบิ้ล)

    --คิดง่ายๆ หากมีเฮลิคอปเตอร์ลำนึง จอดบนพื้น หรือบนเรือลำใหญ่ พอมันบินขึ้น ก็ไม่ต้องไปไหน เพราะเรือวิ่งหนีมันด้วยความเร็ว 1พันกม.ต่อช่วยโมง รถที่วิ่งเร็วๆแค่200-300 กม.ต่อชั่วโมงเอง มันก็ลอยตัวไว้สิ เดี๋ยวเมืองต่างๆก็จะวิ่งมาหามันเอง แต่ตอนลงจอด เครื่องบินคงยากที่จะลง เพราะต้องบินด้วยความเร็วนั้น จึงพบว่าโลกหยุดนิ่ง ตัวเรายืนๆอยู่คงต้องล้ม เพราะโลกหมุนเร็วเกินไป--หรือว่ามันไม่ได้หมุน แต่ดวงอาทิตย์และจันทร์หมุนรอบโลก

    --แล้วน้ำในแม่น้ำ มหาสมุทร์ ก็โดนแรงเหวี่ยงจนกระฉอกออกไปนอกอวกาศหมด --ตัวเราด้วย---นึกภาพเราเหวี่ยงขวดน้ำเป็นวงกลม หากเปิดฝา น้ำก็กระเด็นออกไปหมด

    --ยังมีแนวคิดพิลึกพิลั่นว่า โลกเราแบน หรือว่า กลวง สารพัดครับ ทุกอย่างรอผู้มีปัญญามาฟันธง
    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    ส่วนค่าความเร็วๆ พอหาให้ได้ จากคำถามเข้าใจว่า "ถามความเร็วที่หมุนรอบตัวเองของโลก"
    โดยมี โลกมีคาบการหมุนรอบตัวเอง เป็นเวลา 0.997 258 วัน (23.934 ชั่วโมง)และ เส้นรอบวงตามแนวศูนย์สูตรเท่ากับ 40,075 km

    ความเร็วการหมุนรอบตัวเอง จึงเท่ากับ 1674.38 km/h = 465.11 m/s(ที่เส้นศูนย์สูตร)

    ทำไมไม่หมุนทวนเข็ม? 555+ ไม่ทราบครับ คงต้องไล่ย้อนไปแบบคุณ ป2 ว่า
    (ทราบเพียงว่า ถ้ามีแรงลัพธ์กระทำต่อวัตถุไม่ผ่านจุดศูนย์กลางมวลจะทำให้วัตถุเกิดการหมุน เกิดโมเมนต์ขึ้น)<TABLE class=wvtbCSS><TBODY><TR><TD id=wvlp class=wvlpCSS>
    ลักษณะรูปทรงของโลก จากการศึกษาของนักดาราศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ และนักสำรวจ พบว่าโลกมีรูปทรงแบบ ทรงรีที่ขั้วทั้งสองยุบตัวลง (Oblate Ellipsoid) หรือเราเรียกว่าทรงรีแห่งการหมุน เนื่องมาจากสภาวะของโลกที่หนืด เมื่อโลกหมุนรอบตัวเองทำให้เกิดแรงเหวี่ยง และทำให้เกิดการยุบตัวบริเวณขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ และป่องตัวออกบริเวณส่วนกลางหรือเส้นศูนย์สูตร สามารถสังเกตได้จากความยาวของเส้นศูนย์สูตร ที่มีความยาว 12,757 กิโลเมตร (7,927 ไมล์) และระยะทางจากขั้วโลกเหนือมาขั้วโลกใต้มีความยาว 12,714 กิโลเมตร (7,900 ไมล์) ซึ่งมีความแตกต่างกัน 43 กิโลเมตร (27 ไมล์) รูปทรงแบบ ยีออยด์ (Geoid) เป็นไปตามสภาพพื้นผิวโลกที่มีความขรุขระสูงต่ำดังนั้นส่วนที่เป็นภาคพื้นทวีปจะมีลักษณะนูนสูงจึงต้องมีการปรับลักษณะพื้นผิวโลกเสียใหม่ โดยใช้แนวของพื้นผิวของระดับน้ำทะเลตัดผ่านเข้าพื้นดินที่มีระดับเท่ากันกับรูปทรงโลก เรียกว่า รูปทรงของโลกแบบยีออด์

    โลกหมุน โลกโคจร ต่างกันอย่างไร ? การเคลื่อนไหวของโลก มี “การหมุน” และ “การโคจร" การหมุนของโลก เป็นการเคลื่อนไหวของโลกรอบแกนของตัวเอง ทำให้เกิดกลางวัน และกลางคืน ซึ่งเรียกว่า “วัน” แต่ละวันใช้เวลาแตกต่างกัน ได้แก่ วันดาราคติ (Sidereal Day) ยึดหลักการหมุนรอบแกนตัวเองของโลกครบ 1 รอบ โดยใช้เวลา 23 ชั่วโมง 56 นาที 4.09 วินาที วันสุริยคติ (Solar Day) ยึดหลักช่วงระยะเวลาที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ผ่านแนวเส้นเมอริเดียนครบ 1 รอบ (เที่ยงวันหนึ่งไปยังอีกเที่ยงวันหนึ่ง) ซึ่งจะกำหนดเวลาเท่ากับ 24 ชั่วโมง
    โลกหมุนรอบตัวเองเร็วเท่าไหร่ ? มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยบริเวณเส้นศูนย์สูตร ความเร็วในการ หมุนรอบตัวเองของโลกเท่ากับ 1,700 กิโลเมตร / ชั่วโมง ส่วนบริเวณละติจูดที่ 60 องศา ความเร็วของการหมุนรอบตัวเองของโลกจะมีค่าประมาณ 850 กิโลเมตร / ชั่วโมง หรือประมาณครึ่งหนึ่งของความเร็วที่ศูนย์สูตร แต่บริเวณขั้วโลกความเร็วในการหมุนรอบตัวเองของโลกมีค่าเป็นศูนย์ ผลจากการที่อัตราความเร็วของการหมุนรอบตัวเองของโลกต่างกัน จะมีผลตามมาที่สำคัญ คือ แรงเหวี่ยงของโลกมีผลต่อน้ำหนักของวัตถุ เพราะเป็นแรงหนีศูนย์กลาง ดังเช่น วัตถุชิ้นหนึ่งมีน้ำหนัก 250 กิโลกรัมที่ศูนย์สูตร ขณะที่โลกยังไม่มีแรงเหวี่ยง แต่ถ้าโลกมีแรงเหวี่ยงเกิดขึ้นจะทำให้น้ำหนักของวัตถุเท่ากับ 249 กิโลกรัม แสดงว่าแรงเหวี่ยงจากการหมุนรอบตัวเองของโลกมีผลต่อน้ำหนักของวัตถุ มีผลต่อทิศทางของลมและกระแสน้ำ โดยทิศทางของลมและกระแสน้ำบริเวณขั้ว โลกเหนือจะเบนไปทางขวามือ ส่วนซีกโลกใต้จะเบนไปทางซ้ายมือ เพราะโลกหมุนรอบตัวเองจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก
    โลกหมุนรอบตัวเองทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ? การหมุนรอบตัวเองของโลกทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่สำคัญ คือ การเกิดกลางวันและกลางคืน (Day and Night) เมื่อโลกหมุนรอบตัวเองด้านที่หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์จะทำให้เกิดกลางวันส่วนด้านที่หันหลังให้ดวงอาทิตย์จะเป็นเวลากลางคืน ในขณะที่โลกหมุนรอบตัวเองจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออก จะทำให้เราเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นมาจากขอบฟ้าทางด้านทิศตะวันออก และตกทางขอบฟ้าด้านทิศตะวันตกเสมอ ณ บริเวณเส้นศูนย์สูตรเวลาในช่วงกลางวันและกลางคืนจะเท่ากัน คือ 12 ชั่วโมง และเนื่องจากการเอียงของแกนโลกทำให้บริเวณต่างๆ มีระยะเวลาในการรับแสงอาทิตย์ไม่เท่ากัน ทำให้ระยะเวลาในช่วงกลางวันและกลางคืนต่างกัน เช่น ซีกโลกเหนือระยะเวลากลางวันในฤดูร้อนจะยาวนานมาก และในบริเวณขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้จะมีเวลากลางวันตลอด 24 ชั่วโมง เกิดรุ่งอรุณและสนธยา (Dawn and Twilight) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากโมเลกุลหรือนุภาคต่าง ๆ ในบรรยากาศ เช่น ฝุ่นละออง ความชื้น เกิดการสะท้อนแสงของดวงอาทิตย์กลับมายังพื้นโลก ซึ่งจะเกิดก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น และหลังดวงอาทิตย์ตกดิน เราจะเห็นเป็นแสงสีแดงเนื่องจากแสงที่ส่องมาจากดวงอาทิตย์อยู่ในลักษณะเอียงลาด ไม่ได้ตั้งฉากเหมือนตอนกลางวัน แสงสีน้ำเงินและสีเหลืองมีการหักเหของแสงมาก แต่แสงสีแดงมีการหักเหน้อยที่สุด ทำให้เรามองเห็นท้องฟ้าเป็นสีแดงในช่วงเวลาดังกล่าว







    -1
    [​IMG]
    <TABLE><TBODY><TR><TD style="PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 2px; PADDING-RIGHT: 3px; PADDING-TOP: 0px">
    </TD><TD style="PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-RIGHT: 2px; PADDING-TOP: 0px">
    </TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>


    ซุปข้าวโพด[​IMG]
    4 ก.พ. 2553, 9:26:07แจ้งการละเมิด
    ปกติ ขับรถ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ถูกจับแล้วนะ

    นี่ตั้ง 1,674.38 กม/ชม







    -1
    [​IMG]
    <TABLE><TBODY><TR><TD style="PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 2px; PADDING-RIGHT: 3px; PADDING-TOP: 0px">
    </TD><TD style="PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-RIGHT: 2px; PADDING-TOP: 0px">
    </TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>


    แก้มใส
    4 ก.พ. 2553, 9:36:39แจ้งการละเมิด
    ใช้เวลาหมุนรอบตัวเอง ยี่สิบสี่ชั่วโมงค่ะ








    <BUTTON class="wbsb_CSS wpcprbCSS" type=submit>ตอบ</BUTTON>


    นอกจากนี้คุณอาจสนใจ
    โลกหมุนทำไมเราไม่รู้สึกตัว
    6 คำตอบ มีการดู 815 ครั้ง
    ทำไม โลกต้องหมุนไปทางเดียว
    4 คำตอบ มีการดู 898 ครั้ง
    อยากขอบคุณ ที่โลกยังหมุนอยู่
    3 คำตอบ มีการดู 938 ครั้ง
    โลกหมุนรอบตัวเองใช้เวลาเท่าไหร่ ตอบถูกมีรางวัล
    4 คำตอบ มีการดู 1266 ครั้ง
    ทำไมโลกต้องหมุน
    5 คำตอบ มีการดู 628 ครั้ง
    เคยรู้สึกบ้างมั้ย ว่าเราเจอกับคน ๆ หนึ่งครั้งแรกแล้ว เหมือนโลกหยุดหมุนไปเลย !
    10 คำตอบ มีการดู 892 ครั้ง
    ความรักกับโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
    2 คำตอบ มีการดู 421 ครั้ง
    ช่วยตอบคำถามวิทย์ป.6 เรื่องข้างขึ้น - ข้างแรมหน่อยค่ะ
    3 คำตอบ มีการดู 1556 ครั้ง



    <!-- google_ad_section_end() --></TD><TD id=wvrp class=wvrpCSS>
    <INS style="POSITION: relative; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 160px; PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: inline-table; HEIGHT: 600px; VISIBILITY: visible; PADDING-TOP: 0px"><INS style="POSITION: relative; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 160px; PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; HEIGHT: 600px; VISIBILITY: visible; PADDING-TOP: 0px" id=aswift_0_anchor><IFRAME style="POSITION: absolute; TOP: 0px; LEFT: 0px" id=aswift_0 height=600 marginHeight=0 frameBorder=0 width=160 allowTransparency name=aswift_0 marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME></INS></INS>​

    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    http://th.wikipedia.org/wiki/โลก
    สว่างแล้วครับ ตีห้า ห้าสิบเก้านาที ง่วงแล้วครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2012
  19. pasit_99

    pasit_99 การเวียนว่ายตายเกิดนั้นน่ากลัว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,673
    ค่าพลัง:
    +3,464
    ตามทฤษฎี เมื่อเร็วเท่าแสง มวลเราจะเป็นอนันต์ คือไร้ที่สุด...
    มันจะเป็นยังไงหนอ เมื่อตัวเราขยายขอบเขตออกจนกว้างใหญ่เหมือนจักรวาล
     
  20. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ในจานบิน มีระบบกำบังแรงโน้มถ่วง -Gravity Shieldและ ระบบสนามแม่เหล็กกำลังสูง
    เมื่อเพิ่มสนามแม่เหล็ก มันจะไปดัดโคiงสร้างของกาลอวกาศให้บิดเบี้ยว จานบินก็จะพุ่งไปตามเส้นทางด้วยความเร็วเกือบเท่าแสง จนเอาชนะแสงได้ โดยใช้เชื้อเพลิงไม่มากนัก วาร์ป หรือเดินทางผ่านรูหนอน ก็นิยมใช้กันครับ
    --ถ้าคิดตามทฤษฎีของไอนสไตน์ ในขณะที่ร่างกายมีมวลสูงขึ้น จนประมาณไหนไม่รู้ เอาว่าเท่าดาวพฤหัสละกัน แรงดึงดูดจากดาวต่างๆ ก็จะฉีกร่างของคุณเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กระจายไปทั่วอวกาศอะครับ(ยามคอนโดขอฟันธง)

    --สวัสดีครับ เจอกันโดยนัดหมาย ด้วยความสดใสในดวงจิต ดั่งดอกไม้บาน "ยิ้มน้อยๆในใจ" หรือทำตามสโลแกนของพระพุทธองค์"เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน" นิพพานนะ ปัจจะโย โหตุทุกท่านครับ

    --วันนี้มีนัดหมายไปเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล กะว่าเลือกเพื่อนกันครับ "สมพงษ์ กูลวงษ์" สมัยเรียน เค้าก็ไม่เก่งนะ แต่คนไม่เก่งได้เป็นนายธนาคาร--ผู้รับเหมา คนเก่งก็เรียนเป็นหมอกันไป ผมเองถนัดแต่ภาษาอังกฤษเท่านั้น เพราะอจ.แหม่มเค้าสวย น่ารัก
    น่ะครับ "คารีน่า โรเซนเบอร์ก" ณ มอนทรีออล แคนาดา (ถ้าไปถามแถวนั้น เธอบอกว่าไม่มีใครไม่รู้จักตระกูลโรเซนเบิร์ก) ท่านยังเอาเพื่อนผมไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมคนนึง (หน้าตาเชยๆ แต่เจ้าชู้สะบัด ชะมัดเจ๊ก-อินสม จักรใจ) ล่าสุดที่เขากลับมา พาหมวยมาคนนึง บอกว่า "นี่คือหมวยแคนาดา เคยจีบสาวฝรั่ง แต่มันชอบยกตีนพาดโต๊ะ ส่องมาตรงหน้าเราอีกด้วย ขาดวัฒนธรรม" โอ ดวงคนเรานี้แปลก เกิดมาบ้านนอกแท้ๆ แต่ไปโตที่ต่างแดน มีเมียและลูกที่ต่างแดน อืม จะได้ไม่เสียสมดุล
     

แชร์หน้านี้

Loading...