มอบพระบรมสารีริกธาตุในการร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเรซิ่นบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย :::เพชร:::, 22 สิงหาคม 2007.

  1. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    อนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  2. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    พระบรมสารีริกธาตุวรรณะสีฟ้าจริงๆที่พบยากมากๆ บรรจุส่วนของยอดพระเกศ ได้รับมาเพียง ๕ องค์เท่านั้น ผมทดลองอัญเชิญวางบนผ้ากำมะหยี่สีแดง และสีกรมท่าเข้ม ก็ไม่พบว่าจะทำให้สีฟ้าขององค์พระบรมสารีริกธาตุเปลี่ยนแปลงไปตามสีของผ้าสีแดง หรือกรมท่าแต่อย่างใด...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2007
  3. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    วรรณะสีงาช้าง ivory จุดสีเหลืองบนองค์พระธาตุมาได้อย่างไรก็ไม่ทราบ ดูคล้ายกลุ่มดาวในระบบสุริยจักรวาล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    วรรณะ"สีฟ้าอมเหลืองอ่อน" ๓ องค์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    วรรณะ"สีทองอุไร" ๓ เฉดสีหลักๆ ผมแยกเป็นทองอุไร๑ - ทองอุไร๒ - ทองอุไร๓

    ในแต่ละกลุ่ม ก็มีโทนสีต่างกันออกไปอีกเล็กน้อย

    ทองอุไร๑ จำนวน ๘ องค์ ลำดับตามสี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ทองอุไร๒ จำนวน ๕ องค์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ทองอุไร๓ จำนวน ๕ หรือ ๖ องค์??? ลำดับตามสี

    ภาพนี้องค์สุดท้าย กำลังเสด็จเพิ่มจำนวน...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ตำราเกี่ยวกับพระบรมสารีริกธาตุ พระบรมธาตุ พระธาตุอรหันต์ต่างๆที่พอจะหาได้ในปัจจุบัน บางเล่มต้องลองไปตามหาจากร้านหนังสือเก่า หรือหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1010718.jpg
      P1010718.jpg
      ขนาดไฟล์:
      372.9 KB
      เปิดดู:
      67
    • P1010725.jpg
      P1010725.jpg
      ขนาดไฟล์:
      398.2 KB
      เปิดดู:
      74
    • P1010726.jpg
      P1010726.jpg
      ขนาดไฟล์:
      630.6 KB
      เปิดดู:
      57
    • P1010727.jpg
      P1010727.jpg
      ขนาดไฟล์:
      655.9 KB
      เปิดดู:
      82
    • P1010721.jpg
      P1010721.jpg
      ขนาดไฟล์:
      334.7 KB
      เปิดดู:
      74
    • P1010719.jpg
      P1010719.jpg
      ขนาดไฟล์:
      377.8 KB
      เปิดดู:
      69
    • P1010722.jpg
      P1010722.jpg
      ขนาดไฟล์:
      485.1 KB
      เปิดดู:
      85
    • P1010724.jpg
      P1010724.jpg
      ขนาดไฟล์:
      342.6 KB
      เปิดดู:
      59
    • P1010732.jpg
      P1010732.jpg
      ขนาดไฟล์:
      441.6 KB
      เปิดดู:
      64
    • P1010717.jpg
      P1010717.jpg
      ขนาดไฟล์:
      468.5 KB
      เปิดดู:
      67
  9. chirakit

    chirakit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    721
    ค่าพลัง:
    +2,861
    พระบรมสารีริกธาตุ

    ขอรบกวนสอบถามคุณเพชร ว่า
    ถ้าผมจะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ได้รับมาจากคุณเพชร ไว้ที่เศียรของพระแก้วของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ( ตามรูปด้านล่าง ) ได้หรือไม่ ครับ

    <LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    (good)
     
  10. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ได้ครับ เนื่องจากพระบรมสารีริกธาตุสัณฐานที่มอบให้นี้เป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่พระพุทธเจ้าพระนาม"สมเด็จพระพุทธกัสสป" พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ ของภัทรกัปป์นี้เป็นผู้อธิษฐานจิตให้เสด็จมารวมกันในวรรณะที่ใกล้เคียงกัน ต่างกันที่สีเท่านั้น
     
  11. manote

    manote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2006
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +5,995
    พี่เพชรครับ แถวไหนมีให้ซื้อหาบ้างครับพี่ ผมทำของคนอื่นหายนานแล้ว หาซื้อมาคืนยังไม่ได้เลย เล่มที่สอง แถวแรกครับ ที่ไหนพอมีบ้างใครช่วยบอกทีครับ หือ หือ

    ส่วนพระบรมสารีริกธาตุแต่ละสีสัณและวรรณะช่างงามจริงๆ คนถ่ายฝีมือนิ่งดีจริงๆ กล้องก็ดีเพราะโฟกัสได้ละเอียดดีขอชมคร้าบ
     
  12. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เล่มที่ ๒ บนสุดนี้ได้มานานมากแล้วประมาณ ๖-๗ ปี รู้สึกว่าราคาเล่มละ ๖๐๐ บาท เนื้อหาค่อนข้างดี ผมก็ไม่ทราบว่าจะหามาให้คุณ manote ได้ยังไงนะ หากมีโอกาสได้พบจะเก็บมาเผื่อนะครับ...

    กล้องตัวนี้ ผมยังรู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่เลย รู้สึกความไหวสั่นยังมีอยู่ เลนส์ supermacro นี้รู้สึกระยะ focus ยังไม่น่าพอใจเท่าไหร่ (ระยะ ๑ ซ.ม.อยากได้ประมาณ0.5 ซ.ม. แบบ close เฉพาะจุด แบบถ่ายดูมวลสารของพระแต่ละองค์ไปเลย เคยไปติดต่อขอซื้อกล้องจุลทรรศน์เหมือนกัน เสียตรงที่ว่า เค้าบอกไม่สามารถถ่ายรูปได้ เลยไม่เอาครับ..) กล้องตัวนี้ไปตกพื้นที่ประเทศญี่ปุ่น เลยทำงานได้ไม่ดีเหมือนเก่า ตอนที่ซื้อมาผมคิดไว้ว่าจะนำมาทำงานด้านนี้ คือ close ให้ได้ใกล้ที่สุดในกล้องขนาดเดียวกัน และ Zoom ได้ไกลสุดในขนาดกล้องเดียวกัน ผลการ Zoom และ Close ทำได้ระดับหนึ่งที่น่าพอใจเท่านั้นครับ optical zoom ที่ ๑๐ เท่า และ digital zoom ที่ ๔ เท่า รวมกันได้ ๔๐ เท่า
     
  13. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ dap! [​IMG]
    ผมรู้สึกปิติมาก และได้หลักอะไรหลายๆ อย่างในกระทู้นี้ครับ
    เพราะในขณะที่รู้สึกท้อ ได้อ่านในกระทู้นี้แล้ว ทำให้มีกำลังใจ
    มากทีเดียวครับ ขอบพระคุณมากครับ ผมเข้าใจเลยว่าการทำงาน
    ในสายบุญนี้ต้องใช้กำลังจากข้างในมากโขครับ
    คงต้องขออนุญาตขอคำปรึกษาจาก คุณเพชรในบางเรื่องนะครับ (เพื่อต่อยอดครับ) เพราะผมจะต้องใช้กำลังจากข้างนอกและข้างในอีกมาก
    ในการที่จะเป็นกำลังร่วมสร้างมหาเจดีย์ในวัดแห่งหนึ่งแถบภาคอีสานครับ
    ขอขอบพระคุณอีกครั้งนะครับ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขอโมทนาบุญสร้างพระมหาเจดีย์ด้วยครับ และยินดีครับหากสามารถช่วยเหลือได้นะครับ หากสุดความสามารถ ก็อาจจะมองหา"ผู้ช่วยเหลือที่เหมาะสม"ตาม"วาระ"บุญกรรมร่วมกัน...(f)
    ผมได้ตั้งกระทู้นี้ไว้ร่วมกัน ประสงค์ต่างกัน ที่หมวดพระเครื่อง ก็มีเพื่อนที่ได้แนะนำความเห็นดีๆกันมาก บางความเห็นผมก็ไม่ได้นำมาให้ที่หมวดกฐิน ผ้าป่าได้อ่านกัน บางความเห็นผมเห็นว่าน่าจะนำจากหมวดนี้ไปให้ทางหมวดพระเครื่องได้รับทราบกัน จึงขอนำ link มาไว้ที่ความเห็นนี้นะครับ เพื่อสะดวกในการค้นหาครับ http://palungjit.org/showthread.php?t=88315


    พักร้อนแต่ละปีผมจะมีเวลาแต่ละครั้งประมาณ ๑๒-๑๓ วันก็จะล่องไปตามภาคต่างๆ ภาคอีสานไปมา ๒ ครั้งแล้ว ครั้งหนึ่งราว ๓ ปีก่อนเป็นอีสานตอนล่าง ปีถัดมาเป็นอีสานตอนบน สิ่งที่ปรารถนาที่สุดคือการกราบสักการะพระมหาธาตุเจดีย์ พระบรมธาตุเจดีย์ ทางอีสานมีมากมายจริงๆ เก็บบันทึกความทรงจำมาแต่ละครั้งได้ภาพมากกว่า ๑,๐๐๐ ภาพ พระธาตุพนม จ.นครพนมนี่ก็ไปมา ๒ ครั้งแล้วประทับมาก พระธาตุเจดีย์พระอานนท์ โชคดีมากที่ได้มาเยือนที่นี่ มีโอกาสได้มากราบพระอัฐิธาตุของพระที่ได้ชื่อว่า"พระพุทธอุปัฏฐาก" และอีกมากมายนับไม่ถ้วน ยังรู้สึกเลยว่า คนอีสานมีบุญมากนะครับ...ภาคใต้ล่องไปสุดแดนถึงเบตงนั่น ในช่วง ๔-๑๐ ปีก่อน เรียกว่าทุกปีก็ว่าได้ชอบแสงแดดที่ภูเก็ตมาก หมู่เกาะรอบๆสมุยนี่ก็สุดยอด โชคดีที่บริษัทผมมีโรงแรมที่สมุย และภูเก็ตที่นั่น ช่วงที่ไป ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ตอนนี้ยังประทับใจไม่รู้ลืม อยากให้เหตุการณ์ความรุนแรงสงบลงโดยไว ภาคเหนือปีหน้านี้ตั้งใจล่องเหนือสุดที่"ปาย"
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2007
  14. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    คาถาบูชาสมเด็จองค์ปฐม

    <!-- Main -->คาถาแผ่เมตตาขอบารมีสมเด็จองค์ปฐม
    นะโม กาเยนะ วาจายะ เจตะสา วา วะชิรัง นามะ ปะฏิมัง อิทธิธรรมะปาฏิหาริยะกะรัง
    สมเด็จพ่อองค์ปฐมต้นพุทธะรูปัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา อะหัง วันทามิ สัพพะโส สะทา โสตถี ภะวันตุ เม
    ------------------------------------------------------
    สวดอย่างน้อย ๙ จบ ตลอดเวลา

    นะโมพระพุทธสิกขีพระพุทธเจ้า ขอได้โปรดดลบันตาลให้สรรพสัตว์ทั้ง ๓ โลก ได้หลุดพ้นจากภัยพิบัติวัฏฏสงสารโดยสิ้นเชิง ด้วยพระบารมีมิอาจประมาณ ลูกขอนอบน้อมนมัสการด้วยจิตใจ ขอให้ลูกมีจิตสะอาดสว่างใส หลุดพ้นไซร้สู่บ้านนิพพานเทอญ สัมปะจิตฉามิ


    คุณประโยชน์ของการอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาจิตให้สรรพสัตว์ทั้ง ๓ โลกไปกับฉัพพรรณรังสี รัศมี ๖ ประการ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์แรกเริ่มมีดังนี้

    ๑. โปรดช่วยสรรพสัตว์ได้ แดนเปรต อสุรกาย มนุษย์โลก สัตว์ทั้งที่มีชีวิตและเป็นภูมิผีวิญญาณเร่ร่อน แผ่ไปทั่วเทวโลก พรหมโลก ได้รับโมทนาบุญกับเรา การแผ่เมตตา แผ่ส่วนกุศลไปยังสรรพสัตว์ทั้ง ๓ โลก รวมถึงเจ้ากรรมนายเวร จงทำทุกวัน จงตัดเวรตัดกรรม ให้อโหสิกรรมต่อกัน ยกเป็นอภัยทาน ถวายพระพุทธเจ้า ถ้าเราโกรธตอบจะเพิ่มภพชาติให้เกิดมาใช้หนี้เวรกรรมกันอีก

    ๒. สวดด้วยจิตศรัทธาแท้ เทพ พรหมรักใคร่ สรรเสริญ เมตตาติดตามรักษาเราให้อยู่เย็นเป็นสุข

    ๓. สวดตลอดเวลา คิดปรารถนาสิ่งใดก็สมหวัง

    ๔. สวดตลอดเวลาจิตเป็นสมาธิ ภาวนาจิตไม่ฟุ้งซ่าน จิตสะอาดปราศจากนิวรณ์

    ๕. จิตสะอาดสว่างไสว จิตหลุดพ้นจากการหลงยึดติดในขันธ์ ๕ จิตเป็นจิตประภัสสร เป็น จิตพระอริยบุคคลได้ง่าย เพราะเป็นจิตที่มีเมตตา เคารพบูชา พระรัตนตรัยมองเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นจิตฉลาดไม่มีอวิชชา เป็นจิตที่มีพระนิพพานเป็นกรรมฐานได้ ๕ กรรมฐาน คือ

    ๑) พุทธานุสสติกรรมฐาน
    ๒) ธรรมนุสสติกรรมฐาน
    ๓) สังฆานุสสติกรรมฐาน
    ๔) พรหมวิหาร ๔ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
    ๕) อุปสมานุสสติกรรมฐาน นึกถึงความดียิ่งของพระนิพพาน

    ๖. เป็นการอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ตัดเวรตัดกรรม ยกเป็นอภัยทาน ถวายพระพุทธเจ้า ถ้าเจ้าโกรธก็เป็นการเพิ่มภพเพิ่มชาติ

    ๗. การอุทิศแผ่กุศลไปยังสรรพสัตว์ทั้ง ๓ โลก จงทำทุก ๆ วันละอย่างน้อยสวด ๙ จบ ช่วยทั้งคนทั้งผี ทั้งสัตว์โลก สัตว์นรก ช่วยเทพเทวดา มีโอกาสโมทนากับพวกเราด้วย







    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ๘. พระคาถาสวดพระนามพระพุทธเจ้านี้ พระท่านให้ไว้แก่มวลมนุษย์มาจากเบื้องบนพระนิพพาน ให้สวดทุกวัน เพื่อช่วยมวลเวไนยสัตว์ และตนเองก็หลุดพ้นจากนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ไม่ต้องได้เกิดในแหล่งอบายภูมิ ๔ อย่างนี้ เป็นการเสริมบารมีให้แก่ตนและผู้อื่น

    ๙. การแผ่พลังจิตให้เป็นพลังไปรอบทิศจักรวาลทั้ง ๓ โลกนั้น ทำจิตให้ว่างจากขันธ์ ๕ ว่างจากกิเลสตัณหา ทำบุญกุศลทุกอย่าง ขอถวายทางจิตให้องค์สมเด็จพระบรมครูพระพุทธเจ้าโปรดโมทนาบุญกุศลทุก ๆพระองค์ เพื่อประโยชน์สูงสุดแด่มวลสรรพสัตว์ทุกจิตดวงธรรมญาณได้รับผลบุญที่ลูกแผ่ไปให้ทุกดวงจิตธรรมญาณเทอญ การขอแรงพลังจิตขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการขอแรงคลื่นวิทยุของท่านผู้เป็นใหญ่บุญบารมีใหญ่ ช่วยอีกแรงหนึ่งเพื่อให้สรรพสัตว์ ๓ โลก ได้ยินคลื่นวิทยุได้ดียิ่งขึ้น จิตของสัตว์อบายภูมิน้อยนักที่จะได้รับได้ยินเหมือนคนตาบอด แต่ถ้าเขาโมทนายินดีรับกับการอุทิศบุญกุศลแผ่เมตตาไปให้กับเขา ก็ทำให้เขาเป็นสุข พ้นทุกข์จากอบายภูมิได้ทุกคน เราต้องทำจิตให้สะอาดทำจิตว่างจากขันธ์ ๕ ปล่อยพลังจิตไปทั่วรอบทิศจักรวาล

    ๑๐. สวดพระคาถาพระนามองค์สมเด็จพระปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ฝากบุญกุศลไว้กับท่านท้าวยมราชได้แน่นอน โปรดสัตว์ได้ทั่วทั้ง ๓ ไตรภพ แล้วแต่จะกำหนดจิตโปรดได้หมดทุกประเภท ทั้งชาติกำเนิด ๔ คือ(เกิดในไข่ เกิดในคูต เกิดเป็นตัว เกิดขึ้นเอง เช่น ผี เทพ พรหม ) ภูมิวิถี ๖ คือ

    ๑) สัตว์นรก
    ๒) เปรต
    ๓) อสุรกาย
    ๔) สัตว์เดรัจฉาน
    ๕) คน
    ๖) เทวดา พรหม

    โปรดสัตว์ได้ตามวาระจิตของวิญญาณใด ถึงพร้อมย่อมสามารถเข้าถึงสุขติภูมิ คือ สวรรค์ และคนชั้นสูงมีความสุขตามฐานะ กฎของกรรมต่าง ๆ ที่คอยกีดกั้นขวางงาน เป็นเมตตาบารมี กฎของกรรมก็ตามไม่ทัน เพราะบุญใหญ่ เวลาการบำเพ็ญบารมีของแต่ละท่านก็แตกต่างกันคือ พระสาวกภูมิ ต้องบำเพ็ญบารมีนาน ๑ อสงไขยกับแสนกัป พระอัครสาวก ต้องบำเพ็ญบารมีนาน ๒ อสงไขยกับแสนกัป พระปัจเจกพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญบารมีนาน ๒ อสงไขยกับแสนกัป พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีนาน ๔ อสงไขยกับแสนกัป พระพุทธเจ้าศรัทธาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีนาน ๘ อสงไขยกับแสนกัป พระพุทธเจ้าวิริยะธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีนาน ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป

    (คาถาแผ่เมตตาขอบารมีสมเด็จองค์ปฐมและอานิสงค์การสวดคาถาแผ่เมตตานี้ได้มาจากท่านพระยายมราช)
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pojjy&month=09-2005&date=07&group=2&gblog=6<!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2007
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน ส.ค.ส.2551 แก่ปวงชนชาวไทย
    http://www.manager.co.th/Home/ViewNe...=9500000155458



    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>31 ธันวาคม 2550 19:55 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG]

    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน ส.ค.ส. พ.ศ.2551 แก่ปวงชนชาวไทย ซึ่ง ส.ค.ส.พระราชทานในปีนี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์ชุดปกติขาว ประทับฉายพระรูปกับคุณทองแดง สุวรรณชาด และเหลน จำนวน 4 สุนัข ซึ่งพระราชทานชื่อว่า กันนิ ราชปาลยัม จิปปิปะไร และคอมไบ ตามชื่อพันธุ์สุนัขของอินเดียที่ใช้เป็นแบบปั้นรูปสุนัขซึ่งเป็นบริวารของพระตรีมูรติ

    ส.ค.ส.พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปีพุทธศักราช 2551 นี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์ชุดปกติขาวประทับฉายพระรูปกับคุณทองแดง สุวรรณชาดและเหลน จำนวน 4 สุนัข ซึ่งพระราชทานชื่อว่า กันนิ ราชปาลยัม จิปปิปะไร และคอมไบ ตามชื่อพันธุ์สุนัขของอินเดีย ที่ใช้เป็นแบบปั้นรูปสุนัข ซึ่งเป็นบริวารของพระตรีมูรติ คือ กันนิ เพศเมียนั่งบนพระเพลา ราชปาลยัม เพศเมียยืนด้านขวา จิปปิปะไร เพศผู้ นั่งด้านหน้าใกล้พระบาทขวา และคอมไบเพศเมีย ยืนด้านซ้าย

    ด้านล่างมีข้อความเป็นตัวหนังสือสีเหลืองว่า สวัสดีปีใหม่ ขอจงมีความสุขความเจริญ และมีตัวเลขสีแดง 2007 12 21 และเวลา 16:52 โดยมุมบนซ้ายมีตราสัญลักษณ์ 2 ตรา คือ ตราพระมหาพิชัยมงกุฎ และผอบทอง ใต้ลงมามีข้อความ ส.ค.ส. 2551 ส่วนมุมบนด้านขวามีตัวหนังสือสีเหลืองว่า Happy New Year 2008 และตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550

    กรอบของ ส.ค.ส.พระราชทานฉบับนี้เป็นภาพใบหน้าคนเล็กๆ เรียงกันด้านละ 2 แถว รวม 373 หน้าที่หน้ามีแต่รอยยิ้ม ในกรอบด้านล่าง มีข้อความ ก.ส. 9 ปรุง 23 20 10 ธ.ค. 50 พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด ท.พรหมบุตร ผู้พิมพ์โฆษณา Printed at the Suvarnnachad publishing , D.Bramaputra , Publisher

    ทั้งนี้ ในระหว่างที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพรปีใหม่ และ ส.ค.ส.พระราชทาน ปี 2551 แก่ปวงชนชาวไทยนั้น คุณทองแดง สุวรรณชาด ได้หมอบเฝ้าอยู่แทบพระบาทตลอดเวลา</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    Re: กราบเรียนคุณเพชรค่ะ
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ...............
    สืบเนื่องจากกระทู้
    มอบพระบรมสารีริกธาตุในการร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเรซิ่นหน้าตัก ๑๔ นิ้ว จำนวน ๓ องค์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ<O:p</O:p

    http://palungjit.org/showthread.php?t=88314

    ไม่ทราบว่าคุณ เพชร ยังเปิดโอกาสให้ร่วมบุญอยู่อีกหรือปล่าวค่ะ

    และขอเรียนรบกวนว่า ไม่ทราบว่า คุณเพชร พอจะมีพระธาตุสมเด็จองค์ปฐมไว้บูชา บ้างหรือไม่ค่ะ ถ้ามี ขอความอนุเคราะห์ รับพระธาตุสมเด็จองค์ปฐมไว้บูชาค่ะ ที่ .........................................................

    ขอกราบขอบพระคุณมาก ๆ ค่ะ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    สวัสดีครับ คุณ................

    โมทนาบุญด้วยครับที่เกิดศรัทธาจริตในการร่วมบุญสร้างสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเรซิ่นบรรจุพระบรมสารีริกธาตุสัณฐานที่พระพุทธกัสสปพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอธิษฐานจิตไว้ การร่วมบุญนี้มีวาระเพียง ๒ เดือนเศษเทานั้นซึ่งก็เสร็จสิ้นไปแล้ว เมื่อคราวกฐินวัดท่าซุงที่ผ่านมาครับ การมอบพระบรมสารีริกธาตุนี้ก็ยังไม่ได้กำหนดการมอบครั้งต่อไปเมื่อไหร่ ต้องขออภัยด้วยครับ ผมอาจจะมีนิสัยไม่เหมือนชาวบ้านเขาตรงที่ว่าไม่ได้แจกไปทั่วทุกโอกาส การพบกันนั้นมีวาระ มีบุพกรรมที่เคยร่วมกันมา และการมอบนั้นจะต้องกระทำด้วยความเคารพ ไม่ส่งซองพลาสติกใส่จดหมายเหมือนคนอื่นเขาทำกัน ถือว่า กระทำด้วยขาดความระมัดระวัง จะเกิดกรรมทั้งผู้มอบ และผู้รับ พาลจะทำให้น้องๆเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ที่รับพัสดุกันด้วย จึงต้องระมัดระวังรอบคอบไว้ก่อนครับ ทำบุญผสมบาป ผมไม่นิยมทำครับ

    หากคุณ............... สนใจในพระบรมสารีริกธาตุสัณฐานนี้ พี่ที่คณะจันทบุรีได้ตั้งใจมอบให้ครูเปี๊ยก(คณิตพร บุณยเกียรติ)ไว้เพื่อมอบให้ผู้ที่เจริญกรรมฐานญาณ ๘ ที่ชั้น ๒ ซอยสายลม ซึ่งเป็นแนวทางการฝึกกรรมฐานของหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำครับ ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ จำนวน ๒,๐๐๐ ชุดกรณีเดียวเท่านั้นครับ ก็ขอเชิญไปร่วมฝึกกันนะครับ

    การร่วมสร้างพระสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๑๖ นิ้ว หรือ ๑๙ นิ้ว หรือ ๒๑ นิ้วนี้ยังไม่ได้กำหนดขนาดที่แน่นอน ซึ่งขึ้นกับพระบรมสารีริกธาตุที่เหลืออยู่ และที่เสด็จมาเพิ่มนี้ว่าจะเพียงพอให้จัดสร้างได้ประมาณเท่าไหร่ เหล่านี้ต้องถามพระท่านก่อนครับ ซึ่งขณะนี้ได้ถวายพระนามพระองค์ท่านเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ พระนามนี้เป็นมงคลที่ยิ่งใหญ่มาก ซึ่งยังไม่สามารถจะเปิดเผยในขณะนี้ไม่ได้ครับ แต่เป็นบุญที่ใหญ่มาก หลายอานิสงค์อีกเช่นเคย คาดการณ์ว่าน่าจะดำเนินการจัดสร้างในช่วงครึ่งปีหลังครับ การบอกบุญนี้คาดว่าใช้เวลาเพียงสั้นๆครับเพียง ๒-๓ เดือน ตามวาระของผู้ที่ถูกกำหนดไว้แล้วนั่นเองครับ

    พระบรมสารีริกธาตุสมเด็จองค์ปฐมผมยังไม่เคยมอบให้ผู้ใด และไม่เคย post ให้ผู้ใดเห็นสัณฐานเช่นกัน เนื่องจากเหตุผลบางประการ และมีจำนวนที่น้อยมาก จึงขออภัยอีกเช่นกันที่ยังไม่สามารถมอบให้ได้ครับ



    ก็เป็น PM ที่เพื่อนท่านหนึ่งสอบถามเรื่องการจัดสร้างสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเรซิ่นว่ายังสามารถร่วมด้วยได้หรือไม่ ก็ขอตอบว่าปิดโครงการไปแล้ว พระสมเด็จองค์ปฐมทั้ง ๕๐ องค์ได้ถวายวัดท่าซุงไปทั้งหมด ซึ่งก็แล้วแต่ว่าทางหลวงพี่พระครูปลัดอนันต์จะเห็นชอบมอบให้วัดใดบ้าง การจัดสร้างสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเรซิ่นขนาดหน้าตัก ๑๖ นิ้ว หรือ ๑๙นิ้ว หรือ ๒๑ นิ้วนั้นยังไม่ได้กำหนดเป็นทางการ ต้องรอถามพระท่านก่อน และขึ้นกับปริมาณของพระบรมสารีริกธาตุสัณฐานนี้ว่ามีปริมาณเพียงพอแก่การจัดสร้างได้ขนาดไหนบ้าง และกี่องค์ จะเสด็จมาเพิ่มอีกมากน้อยเพียงใด ก็เป็นวาระที่ท่านกำหนดไว้แล้วครับ

    ส่วนพระนามของสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเรซิ่นบรรจุพระบรมสารีริกธาตุสัณฐานพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าอธิษฐานจิตไว้นี้ได้รับทราบพระนามแล้ว เพียงแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยออกไปได้ เป็นพระนามที่ยิ่งใหญ่มาก หากเอ่ยถึงพระนามก็จะเห็นภาพ หากเห็นภาพก็จะนึกถึงพระนามท่านออก เป็นความมหัศจรรย์มากครับ เอาไว้ให้ถึงเวลานั้นก่อนนะครับ รอเมื่อทุกอย่างลงตัว คงจะได้วาระร่วมบุญใหญ่ หลายอานิสงค์นี้กันอีกครั้ง และจะใช้เวลาเพียง ๒-๓เดือนเท่านั้นครับ ซึ่งน่าจะเป็นช่วงครึ่งปีหลังครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2008
  17. aircgo

    aircgo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +646
    ขอทราบที่อยู่ที่ซอยสายลมด้วยครับ....แล้วเวลาไปฦกสมาธิที่นั้น
    ก็ทำย่างไรบ้าง เตรียมตัวอย่างไร วัน เวลา เราจะรู้ได้จากที่ไหน....
    ขอบคุณครับ...และขออนุโมทนาบุญด้วยน่ะครับคุณเพชร
     
  18. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    การฝึกกรรมฐานของวัดท่าซุงเรียกว่า"มโนมยิทธิ" ผู้สนใจที่เป็นผู้ฝึกใหม่สามารถจะเดินทางไปที่วัดท่าซุง หรือที่ซอยสายลมก็ได้ ตามแผนที่ และวันเวลาดังนี้



    <CENTER>[​IMG] วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี

    </CENTER>วิธีการเดินทาง
    ขับรถส่วนตัว ดู แผนที่ไปวัดท่าซุง
    (1) จากกรุงเทพ ขับเข้ามาในตัวเมืองอุทัย และขับออกจากเมืองไปตามทางหลวง หมายเลข 3265 มุ่งตรงไปทางแพข้ามฟากอำเภอมโนรมย์ของชัยนาท ประมาณ 12 กิโลเมตร ดูแผนที่ ตัวเมืองอุทัย
    (2) จากกรุงเทพ ขับมาตาม ทางหลวงหมายเลข 32 จนถึงส่วนของจังหวัดชัยนาท ให้ขับตรงมาจนถึงจุดตัดกับถนนหมายเลข 3212 ให้เลี้ยวซ้ายเพื้อไป อ.มโนรมย์ (ให้ดูแผนที่ ถนนจังหวัดชัยนาท) สุดถนน 3212 เป็นแม่น้ำสะแกกรัง ให้เอารถขึ้นแพข้ามฟากไปฝั่งอุทัยธานี (ไม่ทราบว่ากี่บาทต่อรถหนึ่งคัน) และขับต่อขึ้นไปตามถนน 3265 ไม่กี่นาทีก็จะถึงบริเวณวัด

    นั่งรถโดยสาร
    วิธีที่ 1. นั่งรถ บขส. สาย กรุงเทพ - มโนรมย์ (ชัยนาท) ขึ้นจากหมอชิตใหม่ นั่งจนมาถึงมโนรมย์ จะเป็นแพหรือโป๊ะข้ามฟาก ให้นั่งโป๊ะข้ามแม่น้ำสะแกกรังไปฝั่งอุทัยธานี 2 บาท แล้วต่อรถสองแถว 5 บาท ที่ผ่านวัดท่าซุง (รถหมดประมาณบ่ายสาม) นั่งไปประมาณ 10 กว่านาที ก็จะพบกำแพงเหลืองๆ ยาวตลอดแนว ก็แสดงว่าถึงวัดแล้ว
    วิธีที่ 2. นั่งรถตู้ไปอุทัยธานี (จอดที่ใต้ทางด่วนอนุสาวรีย์ มุม ตะวันออกเฉียงเหนือของอนุสาวรีย์ คนละ110 บ. รอบแรก 6 โมงเช้า ใช้เวลา 3 ชม. วันงานคนมาก) ถึงตลาดอุทัย (บขส.อุทัย) ให้ขึ้นรถสองแถวที่เขียนว่า ท่าซุง-มโนรมย์ ราคา 8 บาท (รถหมดประมาณ 4-5 โมงเย็น) หรือเหมารถสามล้อ นั่งได้ 2 คน ในราคาประมาณ 70 บ.

    โทรศัพท์ (พระเจ้าหน้าที่เป็นผู้รับสาย) (056)502-506, (056)502-507, (056)502-631 <!-- (056) 512-578 , 511-366 , 511-391 , 511-938 , 511-944 -->

    การปฏิบัติธรรมที่วัด
    ตามปกติ ถ้าเป็นช่วงวันธรรมดา ที่วัดไม่ได้มีจัด งานสำคัญ ท่านสามารถมาพักที่วัดได้โดยมีข้อปฏิบัติดังนี้
    - พักครั้งละไม่เกิน 7 วัน
    - การมาพักต้องติอต่อพระเจ้าหน้าที่ ที่ศาลานวราช(อยู่บริเวณโบสถ์ ติดกับหอนาฬิกา)
    - ต้องมีบัตรประชาชนหรือใบขับขี่เป็นหลักฐาน
    - หากเป็นพระต้องมีใบรับรองจากเจ้าอาวาสที่ท่านสังกัดมาแสดงโดยทางวัด
    - พระเจ้าหน้าที่จะขอเก็บไว้ 1 บัตรหรือใบต่อ 1 ห้องพักเพื่อแลกกับกุญแจ (และไว้มาแลกคืนตอนกลับ)
    - ต้องมาติดต่อพระเจ้าหน้าที่ (ไม่ว่าจะขอกุญแจหรือคืนกุญแจ) ต้องติดต่อในช่วงต่อไปนี้เท่านั้นคือ
    ช่วงเช้า 9.00 น.ถึง 11.00 น. ช่วงบ่าย 13.00 น.ถึง 16.00 น
    (หากติดต่อนอกเวลา จะไม่อนุญาตให้พักในวัด)
    - ที่พักมีพักเป็นห้องๆ หลายจุดในวัด แยกชายหญิง
    - เตรียมเสื้อผ้าที่สุภาพมาให้เพียงพอ
    - ทางวัดมีห้องน้ำไว้บริการเพียงพอ
    - เรื่องอาหารการกินผู้มาปฏิบัติต้องรับผิดชอบตนเอง โดยมีร้านอาหารตั้งอยู่หลายจุดรอบๆ วัด
    - ภายในวัด มีร้านสหกรณ์ของวัดจำหน่ายของใช้ของจำเป็นทุกอย่าง
    - มีการทำวัตรเช้าที่ศาลานวราช ทำวัตรเย็นที่วิหาร 100 เมตร
    - ในวัดมีมีรถบัสที่ดัดแปลงเป็นรถนั้ง 2 แถวหรือไม่ก็มีรถสามล้อเครื่องให้ใช้บริการตามสะดวก
    - ห้ามดื่มเหล้าและเล่นการพนันรวมทั้งอบายมุขทุกอย่าง
    -ท่านต้องเคารพในสถานที่และทำตามระเบียบของวัดท่าซุงอย่างเคร่งครัด

    การเจริญกรรมฐานและการฝึกมโนมยิทธิ ท่านสามารถฝึกกรรมฐานทั้งแบบมโนมยิทธิและกรรมฐานแบบปกติได้ทุกวันในเวลา ๑๒.๓๐ - ๑๔.๐๐ น. ที่มหาวิหารแก้ว 100 เมตร

    อยากทำบุญกับวัด
    หากท่านไม่สะดวกไปวัดท่าซุง หรือบ้านสายลม (ที่กรุงเทพฯ) ท่านสามารถร่วมทำบุญโดยการส่งธนานัติหรือตั๋วแลกเงิน สั่งจ่าย ปท.อุทัยธานี ในนาม พระครูปลัดอนันต์ พทฺญาโณ (ท่านเจ้าอาวาสวัดท่าซุง) วัดท่าซุง อำเภอเมือง อุทัยธานี 61000 พร้อมระบุว่าประสงค์อยากทำบุญรายการอะไร

    เที่ยววัดท่าซุง
    <TABLE><TBODY><TR vAlign=top><TD width=200>มหาวิหารแก้ว 100 เมตร</TD><TD></TD><TD>เป็นตึก ๒ ชั้น หลังคาเป็นจตุรมุข ๓ ยอด ด้านนอกด้านใน ปิดกระจกจากชั้น ๒ ถึงยอดหลังคา ภายในปิดกระจกเสาทุกต้น ข้างฝาและเพดานทั้งวิหาร มีพระประธานแบบทรงพระพุทธชินราช มี รูปปั้นพระอรหันต์ ๗ องค์ มีรูปหล่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อลักษณะยืนถือไม้เท้า เพดานวิหารมีช่อไฟระย้าทั้งช่อใหญ่ ่และช่อเล็กรวมทั้งหมด ๑๑๙ ช่อ และมีบุษบกตั้งศพพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ตั้งอยู่ในมหาวิหารนี้ด้วย
    เวลาเปิดมหาวิหาร ๑๐๐ เมตร คือ ระหว่าง 9:00 - 11: 45 น. และ 14:00 - 16:00 น. เท่านั้น โดยช่วง 11.45- 14.00 น.จะอนุญาตเฉพาะคนที่เข้ามาเจริญพระกรรมฐานเท่านั้น
    </TD></TR><TR vAlign=top><TD>พระวิหารสมเด็จองค์ปฐม</TD><TD></TD><TD>หน้าตัก ๔ ศอก เป็นพระหล่อด้วยโลหะผสมทองคำ ภายในบรรจุ ุพระบรมสารีริกธาตุ มณฑปทั้งหมดบุแก้วทั้งข้างนอกข้างในสวยงามมาก
    เวลาเปิด เช้า 09.00 - 10.30 น. และบ่าย 13.00 - 16.00 น.อย่าลืมวางแผนเรื่องเวลาด้วย
    </TD></TR><TR vAlign=top><TD>ปราสาททองคำ</TD><TD></TD><TD>เวลาเปิด 08.00 - 16.00 น. </TD></TR><TR vAlign=top><TD>วิหารสมเด็จพระศรีอรียเมตไตรย์ </TD><TD></TD><TD>เวลาเปิด เช้า 09.00 - 10.30 น. และบ่าย 13.00 - 16.00 น. </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE><TBODY><TR><TD>บ้านสายลม กรุงเทพฯ

    บ้านสายลม เจ้าของบ้านคือท่านเจ้ากรมเสริม สุขสวัสดิ์ เป็นสถานที่ตั้งแต่สมัยหลวงพ่อมีชีวิตอยู่ หลวงพ่อจะลงมารับสังฆทานที่บ้านสายลมทุกเสาร์อาทิตย์ต้นเดือน และจะมีการฝึกมโนมยิทธิในวันเสาร์อาทิตย์ทุกต้นเดือนด้วย ปัจจุบันพระครูปลัดอนันต์ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสของวัดท่าซุงจึงเดินทางที่บ้านสายลมเหมือนสมัยหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ทุกเสาร์อาทิตย์ต้นเดือนเช่นเดิม ปัจจุบัน บ้านสายลมได้สร้างตึกกรรมฐานใหม่ 3 ชั้น โดย
    -ชั้น 1 จำหน่ายวัตถุมงคล หนังสือ เทป วีซีดี นิตยสารธัมมวิโมกข์ (เปิดทุกวันเว้นวันอาทิตย์ 9.00-17.00 น. บ้านสายลมหลังเก่าไม่มีจำหน่ายวัตถุมงคลแล้ว กรุณาไปที่ตึกกรรมฐานใหม่ที่เดียวในวันธรรมดา)
    -ชั้น 2 เป็นห้องฝึกญาน 8
    -ชั้น 3 เป็นห้องไว้ฝึกมโนมยิทธิสำหรับผู้มาฝึกใหม่ จำนวนหลายห้อง

    </TD><TD><CENTER>[​IMG]
    ตึกกรรมฐานใหม่</CENTER>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE><TBODY><TR vAlign=top><TD width=150>วิธีการเดินทาง+แผนที่

    [​IMG]
    ดูแผนที่บ้านสายลม

    </TD><TD></TD><TD>ที่อยู่ตามไปรษณีย์ : เลขที่ 9 ซอยสายลม 1 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400
    ขับรถ วิ่งถนนพหลโยธิน เข้าซอยสายลม (พหลฯ ซ.8) ตรงเข้ามาเมื่อตรงผ่านกรมไปรษณีย์โทรเลขมาแล้ว ถนนจะบังคับเลี้ยวขวา แล้วให้ตรงมาเรื่อยๆ (ไม่ต้องเลี้ยวซ้ายตามทางหลักอีก) ตรงเข้ามาอีกเล็กน้อยจะมีแยกซ้ายมือ ให้เลี้ยวเข้าซ้ายนั้นแล้วหาที่จอดรถ (อย่าจอดรถขวางประตูบ้านคนอื่นหรือกีดขวางการจราจร) ซึ่งบ้านสายลมจะอยู่ห่างจากแยกทางซ้ายเพียงประมาณ 50 เมตร จะเห็นอาคารกรรมฐานใหญ่ชัดเจน (หมายเหตุ. มีเส้นทางอื่นๆ ก็เข้ามาได้ เช่นเข้าจาก ถ.วิภาวดีรังสิต)
    ดูภาพถ่ายบ้านสายลมจากดาวเทียม
    หรือนั่งรถเมล์ สาย 8, 26, 29, 34, 39, 59, 77 ปอ. 3, ปอ.9, ปอ.10, ปอ. 29 และ ปอ.77 ลงซอยพหลโยธิน ซ.8 (ซอยสายลม 1) แล้วนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างบอกว่า มาบ้านหลวงพ่อ(บ้านสายลม บ้านเจ้ากรมเสริม ) คิดราคา 5-10 บาท หรือเดินเข้ามาเองก็ได้ประมาณ 10 นาที
    เชิญดู รูปภาพจากปากซอยสายลมถึงบ้านสายลม
    รถไฟฟ้า BTS ลงที่สถานี อารีย์ แล้วลงฝั่งตึก IBM แล้วเดินมาปากซอยพหลโยธิน ซ.8 (ซอยสายลม 1)
    </TD></TR><TR vAlign=top><TD>โทรศัพท์
    (ล่าสุด 17 กพ. 49)
    </TD><TD></TD><TD>02-6167177 (เฉพาะวันจันทร์ - เสาร์ เวลาราชการ เบอร์นี้คือเบอร์ของอาคารกรรมฐานตึกใหม่)
    02-272-6759 เป็นระบบตอบอัตโนมัติแจ้งกำหนดการของคณะพระครูปลัดฯ ที่จะเดินทางมาบ้านสายลมครั้งต่อไป
    </TD></TR><TR vAlign=top><TD>การรับสังฆทาน</TD><TD></TD><TD>พระครูปลัดอนันต์ จะมาพักที่บ้านสายลมของเสาร์อาทิตย์แรกของแต่ละเดือน
    (ดูวันรับสังฆทาน ณ บ้านสายลม จากกำหนดการวัดท่าซุง)
    กำหนดการรับสังฆทานของบ้านสายลม คือ
    วันเสาร์-อาทิตย์ 9.00-11.00,12.00-15.30,20.00-21.00
    วันจันทร์ 10.00-11.00,12.00-15.30,20.00-21.00

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD>การฝึกมโนมยิทธิ</TD><TD></TD><TD>เวลาฝึก 12.00 - 15.00 น. ของทุกเสาร์อาทิตย์ต้นเดือน (ดูวันฝึกจากกำหนดการวัดท่าซุง)
    การเตรียมตัว
    ท่านที่จะมาฝึก ควรจะมาถึงที่บ้านสายลมอย่างน้อยตั้งแต่ 11 น. เพื่อทานอาหาร ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย เมื่อพร้อมให้ไปที่ตึกกรรมฐานใหม่ โดยตรงทางขึ้นบันไดให้หยิบดอกไม้ธูปเทียนบูชาครู ใส่เงินเหรียญบูชาครู สลึงนึงขึ้นไป แล้วแต่ศรัทธาของท่าน และเดินขึ้นไปชั้นสาม จะมีครูผู้สอนคอยจัดกลุ่มให้นั่งเป็นวงๆ ตามที่ครูเห็นเหมาะสม จะมีแบ่งวงชายและหญิง นั่งทำใจให้สงบ หรือซ้อมภาวนา นะมะพะธะ ไปสบายๆ ลืมเรื่องวุ่นวายปัญหาส่วนตัวไปซักชั่วโมง รอครูผู้สอนให้คำแนะนำและอธิบายขั้นตอนต่างๆ อย่ามาสายเกิน 12.00 น. เพราะจะไม่อนุญาตให้เข้ามาฝึก ประตูห้องฝึกจะล็อค
    </TD></TR></TBODY></TABLE>




    <CENTER>ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ได้ให้ข้อมูลของวัดท่าซุงและบ้านสายลมกับทางเว็บ

    </CENTER><CENTER>โมทนาบุญด้วยครับ</CENTER><CENTER>http://www.praruttanatri.com/taasoong.htm</CENTER>
     
  19. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    พระนิพพาน จากคำครูอาจารย์

    Printed From: วัดเกาะ.คอม
    หมวดหมู่: ศาสนธรรม
    ชื่อ บอร์ด: คำสอนหลวงปู่ ครูบาอาจารย์ ต่างๆ
    คำอธิบาย บอร์ด: บทธรรมเทศนา หลวงปู่ พระอาจารย์ ทั่วเมืองไทย.
    URL: http://www.watkoh.com/forum/forum_posts.asp?TID=869
    Printed Date: 08 ม.ค. 2008 เวลา 00:19
    Software Version: Web Wiz Forums E-mail Admin : webmaster@watkoh.com - http://www.webwizforums.com


    หัวข้อ: พระนิพพาน จากคำครูอาจารย์
    <HR style="BORDER-TOP-WIDTH: 1px">โพสต์โดย: **wan**
    หัวข้อ: พระนิพพาน จากคำครูอาจารย์
    วันที่โพสต์: 09 มี.ค. 2007 เวลา 13:02
    <HR><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=text><!-- Message body -->
    [​IMG]
    [FONT=Times New Roman, Times, serif]สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช[/FONT]
    http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=17&A=2447&Z=2585&pagebreak=0 - (ยมกสูตร) มีผู้หลงว่า พระอรหันต์ตายแล้วสูญ พระพุทธเจ้าจึงตอบว่า ขันธิ์ 5 ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ ดังนั้น พระอรหันต์ตายแล้วไม่สูญ แต่ไม่ควรถามว่าตายแล้วไปไหน เหมือนกับไฟดับแล้ว ก็ไม่ควรบอกว่าไฟสูญหรือถามว่าไฟดับแล้วไปไหน.....
    อ่านเพิ่มเติมที่ หนังสือ ๔๕ พรรษา ของพระพุทธเจ้า หน้า 125-126 พิมพ์ครั้งที่ 1 ปี 2532 ครั้งที่ 1 ปี 2510

    <TABLE><T><T><TBODY><TR><TD vAlign=top>
    พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วไม่ได้หายไปไหน พระพุทธบารมียังปกปักรักษาโลกอยู่ คนในโลกยังรับพระพุทธบารมีได้ มิได้แตกต่างไปจากเมื่อยังทรงดำรงพระชนม์อยู่ เพียงแต่ว่าจำเป็นต้องเปิดใจออกรับ มิฉะนั้นก็จะรับไม่ได้ พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารอีกต่อไป แต่พระพุทธบารมียังพรั่งพร้อม พระอาจารย์สำคัญองค์หนึ่งท่านเล่าไว้ว่าเมื่อท่านปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นอยู่ในป่าดงพงพีนั้น พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปทรงสอนท่านด้วยพระพุทธบารมีเสมอ แล้วท่านพระอาจารย์องค์นั้น ต่อมาก็เป็นที่ศรัทธาเคารพของพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก ที่เชื่อมั่นว่าท่านปฏิบัติถึงจุดหมายปลายทางแล้ว พระพุทธเจ้าเมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ด้วยพระพุทธบารมีได้ เสด็จไปทรงแสดงธรรมโปรดพระอาจารย์องค์สำคัญให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ ไม่มีอะไรให้สงสัยว่าเป็นสิ่งสุดวิสัย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องของท่านพระโมคคัลลาน์เป็นเครื่องให้ความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ่มชัดว่าพระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันตเจ้าก็ดี แม้ดับขันธปรินิพพานแล้ว ท่านก็เพียงไม่มีร่างเหลืออยู่เท่านั้น บารมีและคุณธรรมทั้งปวงของท่านยังพรั่งพร้อมเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง......

    อ่านเพิ่มเติมที่ หนังสือ ชีวิตนี้สำคัญนัก

    </TD></TR></T></T></TBODY></TABLE>​
    <!-- Message body ''"" --></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR>
    ตอบกลับ:
    <HR style="BORDER-TOP-WIDTH: 1px">โพสต์โดย: **wan**
    วันที่โพสต์: 09 มี.ค. 2007 เวลา 13:04
    <HR><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=text><!-- Message body -->
    [​IMG]
    สมเด็จพระสังฆราชคูรูปาจารย์ หลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด)
    พระเถระสมัยกรุงศรีอยุธยา


    พุทธะ อยู่ในกายมนุษย์


    อีกจุดหนึ่งที่มนุษย์ไม่ยอมสนใจ คือไม่สนใจค้นในกายของตนเอง สิ่งหนึ่งที่เรียกว่า พุทธะ นั้นอยู่ในกาย ถ้าจิตของผู้นั้นสามารถค้นเข้าไปถึงกายในกายอันบริสุทธิ์ สิ่งนี้ภาษาทางโลกเรียกว่า พลัง ชนิดหนึ่งที่ยอดเยี่ยมอยู่ในตัวเรา แต่เราไม่รู้จักค้นออกมาใช้ เพราะอะไรเล่า ทำไมเราจึงถามว่าเหตุใดองค์สมณะโคดมจึงสามารถระลึกชาติได้ เพราะมีบุพเพนิาสานุสติกญาณ มีอนาคตญาณ หรือมีญาณอะไร สิ่งเหล่านี้เราไม่ต้องไปรับรู้ เราไม่ต้องยุ่ง เราไม่ต้องไปคิดถึงว่าเราจะได้ฌานโน้นฌานนี้ หลักของการปฏิบัติอันหนึ่งมีอยู่ว่า เราจะยึดอะไรเป็นสรณะของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

    คำว่า กรรมฐาน นั้นหมายถึงการกำหนดจิตของเราให้จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อรวมพลังจิตไม่ให้ฟุ้ง เมื่อรวมพลังจิตอันนั้นไม่ให้ฟุ้งแล้ว รวมอยู่ในจุดใดจุดหนึ่ง รวมจนได้อารมณ์แห่งปีติ คือนิ่งเฉยแห่งจุดนั้น เมื่อนั้นให้ขึ้นวิปัสสนา วิปัสสนาคือให้พิจารณาในทุกสิ่งทุกอย่างว่าเป็นอนัตตา อนัตตาคือการเดินทางไปสู่โลกแห่งนิพพาน โลกแห่งอรหันต์ โลกแห่งโพธิสัตว์ โลกแห่งอนาคา อนาคามี โลกเรานี้เป็นโลกแห่งอัตตา ทำอย่างไรเราถึงจะไปสู่จุดแห่งการเป็นอนัตตาได้

    เพิ่มเติม หนังสือ ประวัติสังเขป พระโพธิสัตว์ หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด พิมพ์ครั้งที่ ๑ ปี 2536 บ.เคล็ดไทย จำกัด จำหน่าย (ที่คัดมาหน้า 135-136)
    <!-- Message body ''"" --></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR style="BORDER-TOP-WIDTH: 1px">โพสต์โดย: **wan**
    วันที่โพสต์: 09 มี.ค. 2007 เวลา 13:06
    <HR><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=text><!-- Message body -->[​IMG] สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี

    (คัดจากหน้า 41-43)
    ขุนราชฤทธิ์บริรักษ์ (ถาม) : อันว่านิพพาน ปรมัง สุญญัง เป็นอันว่านิพพานเป็นสูญอย่างยิ่ง คือหมายความว่าสูญเลย คำว่าสูญเลยเป็นที่สงสัยอย่างเกล้ากระผมซึ่งมีกิเลสหนา คำว่าสูญเลยตามตำราบอกว่าขันธ์นั่นสูญ รูปขันธ์ก็หายไป วิญญาณขันธ์ก็หายไป แล้วสังขารขันธ์ก็หายหมด ทีนี้เกล้ากระผมไม่ทราบว่าอะไรเหลือ เมื่ออะไรมันหายหมด เพราะนิพพาน ปรมัง สุญญัง นี่ เพราะฉะนั้นในฐานะพระเดชพระคุณสมเดจเป็นนักปราชญ์ผู้มีความเปรื่องในธรรม โปรดได้อธิบายให้เกล้ากระผมเพื่อเป็นแนวทางซักหน่อย ก็จะเป็นพระคุณและได้บุญกับสาธุชนผู้ที่นั่งฟังอีกด้วยเป็นอย่างมาก

    สมเด็จ (ตอบ) : คำว่า นิพพาน นี้ต้องเข้าใจว่ามีหลักแห่งความจริงของคำว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานัง ปรมัง สุญญัง ถ้าในหลักแห่งความจริงของพระสัมมาสัมพุทธโคดมแล้ว คำว่า นิพพาน ในโลกมนุษย์นี้ ก็คือว่า มนุษย์ผู้ใดปฏิบัติตนให้อยู่ในจิตแห่งความว่าง ให้อยู่ในจิตแห่งความนิ่ง ให้อยู่ในจิตแห่งความสิ้นจากสรรพกิเลสที่รอบล้อมอยู่ในตัว เขาเรียกว่า ....
    <CENTER>ใจกลางแห่งนิพพานตั้งอยู่เมือง
    รอบล้อมต่อเนื่องกำแพงอันแสนหนา
    ผู้ใดหาทางทะลุอยู่ในเมือง
    มนุษย์ผู้นั้นย่อมถึงนิพพาน
    </CENTER>นิพพานในโลกมนุษย์นี้เขาเรียกว่าปฏิบัติจิตให้ว่างที่สุด นานเท่านาน ผู้นั้นถึงนิพพานแห่งการเป็นมนุษย์ คือ สุญญัง นี้แหละเขาเรียกว่าสูญจากอาสวกิเลส สูญจากการป็นทาสอารมณ์แห่งการเป็นมนุษยจิตวิญญาณนี้พุ่งสู่แดนอรหันต์ ไม่ใช่สูญทั้งจิตและวิญญาณ ถ้าสูญทั้งจิตและวิญญาณ จะเอาอะไรไปเสวยกรรม สภาพการณ์วิญญาณที่สูญนั้นเขาเรียกว่า วิญญาณธาตุในเบญจขันธ์ วิญญาธาตุนี้เป็นอุปาทาน รูปนี้ประกอบขึ้นด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณธาตุจึงอยู่เป็นกาย แต่วิญญาณอีกอันหนึ่งเขาเรียกว่าวิญญาณซึ่งวนเวียนอยู่ในกฏแห่งวิฏสงสารนั้นแหล่

    (คัดจากหน้า 61-62)
    เรื่องวิญญาณนี้เป็นเรื่องละเอียด ในหลักการแห่งวิญญาณของเทพพรหมชั้นสูงนั้น เปรียบเสมือนหนึ่งในหลักทั่วไปของมนุษย์ ก็คือว่าเป็นอากาศ สภาวการณ์ท่านรู้ว่ามีอากาศ แต่ท่านไม่สามารถจับอากาศขึ้นมาเป็นตัวตนได้ นั่นคือสภาวะของวิญญาณเทพพรหมชั้นสูง

    ทีนี้วิญญาณเหล่าวิสุทธิเทพ วิญญาณเหล่าพรหมสุทธาวาส วิญญาณเหล่าอรหันต์ จะเปรียบให้เข้าใจในโลกมนุษย์นี้จะเปรียบเป็นอะไรเล่า อันนี้อาตมาภาพขอแถลงไขเปรียบเสมือนหนึ่งว่าวิญญาณเหล่านี้เป็นวิญญาณละเอียด สภาวการ์แห่งการเป็นวิญญาณละเอียดเหล่านี้ไซร้ ท่านจะต้องฝึกสมาธิใช้จิตสัมผัสเหสมือนหนี่งเปรียบคือ ลม ท่านลองโบกมือดูสิ ว่ามีลมไหม เมื่อท่านโบกมือย่อมเกิดลม นักวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าเป็นชั้นด็อกเตอร์ก็ยังไม่สามารถเอาหน้าลมออกมาตีแผ่ให้มนุษย์ดูได้ ทั้งๆ ที่มนุษย์ทุกคนยอมรับว่ามีลม เพราะฉะนั้นวิญญาณแห่งวิสุทธิเทพ วิญญาณแห่งเทพพรหมชั้นสูง วิญญาณแห่งอรหันต์ จึงเปรียบง่ายๆ เป็นภาษามนุษย์ว่า ลม

    ทีนี้วิญญาณเหล่าอมรมนุษย์ วิญญาณเหล่าผีเปรต อสรุกาย วิญญาณเหล่าเจ้าที่เจ้าทงเหล่านี้ วิญญาณจำพวกนี้ยังมีกายหยาบ ฉะนั้นต้องเข้าใว่า เมื่อท่านสิ้นจากโลกมนุษย์นี้แล้วไซร้ ท่านจะต้องไปเกิดในปรภพแห่งการเสวยกรรมวิบากที่ไม่เหมือนกัน เพราะต่างกรรมต่างวาระ ต่างคนต่างสร้างมาไม่เหมือนกัน ทีนี้สภาวการณ์แห่งการสร้างกรรมไม่เหมือนกันก็คือว่าท่านที่สิ้นจากโลกมนุษย์ก็ยังเป็นวิญญาณปุตุนั้นก็จะเป็นกายหยาบหลุดออกจากกายเนื้อ ทีนี้ถ้าท่านบำเพ็ญในหลักแห่งวิสุทธิมรรค แห่งการเป็นพระอรหันต์ แห่งการเป็นพระพรหมสุทธาวาสแล้วไซร็ ท่านต้องละลายกายทิพย์เหลือแต่วิญญาณ ทีนี้วิญญาณแห่งกายที่มีกายหยาบเหล่านี้แหล่ ที่บางครั้งสามารถปรับในการรวมกระแสแห่งอำนาจที่ตนมีเป็นกายเป็นรูปร่างให้มนุษย์เห็นได้เป็นบางครั้งบางคราว

    ทีนี้ปัญหาเหล่านี้ ท่านจะถึงหลักแห่งการถึงโลกอีกโลกหึ่ง แห่งโลกทิพยอำนาจนี้ ท่านจะไปได้อย่างไรเล่า ภาวการณ์แห่งการที่จะท่านจะไปโลกเหล่านี้ได้แล้วไซร้ ท่านจะต้องบำเพ็ญในด้านจิตวิญญาณ ตามที่องค์สัมมาสัมพุทธโคดมวางในหลักการให้เราเหล่านุษย์ทั้งหลายเจริญรอยตามท่าน ก็คือว่ามี ศีล สมาธิ ปัญญา

    หนังสือ ธรรมะ จากดวงวิญญาณบริสุทธ์ สมเด็จโต ชุด ของดีที่คนมองข้าม พระปัญญาวรคุณ วัดพนาสนฑ์ จ.นราธิวาส รวบรวม พิมพ์ครั้งที่ ๗ ปี 2536 บ.เคล็ดไทย จำกัด จัดจำหน่าย
    <!-- Message body ''"" --></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR style="BORDER-TOP-WIDTH: 1px">
    โพสต์โดย: **wan**
    วันที่โพสต์: 09 มี.ค. 2007 เวลา 13:06
    <HR><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=text><!-- Message body -->[​IMG] พระเดชพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย ์( สิริจนฺโท จันทร์ )

    .... อันตัวที่ไม่ตายนั้นท่านให้ชื่อว่าโพธิสัตว์ พึงสันนิษฐานได้ว่าสัตว์นั้นแลคือตัวเรา เป็นผู้ไม่ตายเหมือนอย่างพระอริยเจ้ามีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เมื่อได้สำเร็จพระอรหัตตผลแล้ว ก็เป็นอันได้สำเร็จพระนิพพาน เมื่อท่านสำเร็จพระนิพพานแล้ว สัตว์ที่ตรัสรู้ที่ไม่เคยตายนั้น ก็ยังอยู่ไม่สูญไปข้างไหน สูญแต่กิเลสเครื่องก่อภพก่อชาติเท่านั้นเอง จึงพอสันนิษฐานเห็นได้ว่า พระนิพพานไม่สูญอย่างเอก แต่การที่จักทำให้สำเร็จ ต้องฝ่าฝืนอำนาจของพระยามาร ....

    เพิ่มเติมที่ แสดงพระธรรมเทศนากัณฑ์ที่ 8 เรื่องมงคลกถา เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2470 ในหนังสือพระธรรมเทศนา มงคลกถา 38 ธรรมวิจยานุศาสน์ คิริมานนทสูตร พร้อมด้วยอธาตุ ชุดพิเศษ เล่มที่ 5 หน้า 96-97

    ......บุคคลผู้มิได้พ้นจากิเลส ราคะ ตัณหา นั้นจะทำบุญให้ทานสร้างกุศลอย่างแข็งแรงเท่าใดก็ดี ก็จักได้เสวยความสุขในมนุษย์โลกแลเทวดาโลกเพียงเท่านั้น ที่จะได้เสวยความสุขในพระนิพพานนั้นเป็นอันไม่ได้ เลย ถ้าจะประสงค์ต่อพระนิพพานแท้ให้โกนเกล้เข้าบวชในพระศาสนา ในว่าบุรุษหญิงชายถ้าทำได้อย่างนี้ชื่อว่าปฏิบัติใกล้ต่อพระนิพพาน เพราะว่าเมืองพระนิพพานนั้นปราศจากกิเลสตัณหา เมืองมนุษย์แลเมืองสวรรค์เป็นที่ซึ่งทรงไว้กิเลสตัณหา ไม่เหมือนเมืองพระนิพพาน
    <TABLE><T><TBODY><TR><TD>........นิพฺพานํ นครํ นาม อันชื่อว่าเมืองพระนิพพาน ย่อมตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลก โลกมีทีสุดเพียงใด พระนิพพานก็ตั้งอยู่ที่สุดนั้น พระนิพพานเป็นพระมหานครอันใหญ่เป็นที่บรมสุขหาที่เปรียบมิได้ อย่าเข้าใจว่าจะไปนิพพานด้วยกำลังกาย หรือกำลังพาหนะมียานช้างม้าได้ อย่าเข้าใจว่านิพพานตั้งอยู่ในทีสุดโลกเหล่านั้น อย่าเข้าใจว่าตั้งอยู่ที่ใดเลย แต้ว่าพระนิพพานนั้นหากมีอยู่ในที่สุดของโลกเป็ของจริง ไม่ต้องสงสัย ให้ท่านทั้งหลายศึกษาให้เห็นโลกรู้โลกเสียให้ชัดเจน ก็จักเห็นพระนิพพาน พระนิพพานก็หากตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลกนั่นเอง

    ดูเพิ่มเติมที่ หนังสือ คิริมานนทสูตร และ อัตตปวัตติ หน้า ๑๐-๑๒ ISBN974-8239-69-1 สนพ.ดวงแก้ว
    </TD><TD>[​IMG]</TD></TR></T></TBODY></TABLE>

    <!-- Message body ''"" --></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR style="BORDER-TOP-WIDTH: 1px">โพสต์โดย: **wan**
    วันที่โพสต์: 09 มี.ค. 2007 เวลา 13:07
    <HR><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=text><!-- Message body -->[​IMG] พระเดชพระคุณพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ

    ๑๓. วิสุทธิเทวาเท่านั้นเป็นสันตบุคคลแท้
    อกุปฺปํ สพฺพธมฺเมสุ เญยฺยธมฺมา ปเวสฺสนฺโต บุคคลผู้มีจิตไม่กำเริบในกิเลสทั้งปวง รู้ธรรมทั้งหลายทั้งที่เป็นพหิทธาธรรม ทั้งที่เป็น อัชฌัตติกาธรรม สนฺโต จึงเป็นผู้สงบระงับ สันตบุคคลเช่นนี้แลที่จะบริบูรณ์ด้วยหิริโอตตัปปะ มีธรรมบริสุทธิ์สะอาด มีใจมั่นคงเป็นสัตบุรุษผู้ทรงเทวธรรมตามความในพระคาถาว่า หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา สุกฺกธมฺมสมาหิตา สนฺโต สปฺปุริสา โลเก เทวธมฺมาติ วุจฺจเร อุปัตติเทวา ผู้พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ วุ่นวายอยู่ด้วยกิเลส เหตุไฉนจึงจะเป็นสันตบุคคลได้ ความในพระคาถานี้ย่อมต้องหมายถึง วิสุทธิเทวา คือพระอรหันต์แน่นอน ท่านผู้เช่นนั้นเป็นสันตบุคคลแท้ สมควรจะเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยหิริโอตตัปปะ และ สุกฺกธรรม คือ ความบริสุทธิ์แท้

    ๑๔. อกิริยาเป็นที่สุดในโลก - สุดสมมติบัญญัติ
    สจฺจานํ จตุโร ปทา ขีณาสวา ชุติมนฺโต เต โลเก ปรินิพฺพุตา สัจธรรมทั้ง ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ยังเป็นกิริยา เพราะแต่ละสัจจะๆ ย่อมมีอาการต้องทำคือ ทุกข์-ต้องกำหนดรู้ สมุทัย-ต้องละ นิโรธ-ต้องทำให้แจ้ง มรรค-ต้องเจริญให้มาก ดังนี้ล้วนเป็นอาการที่จะต้องทำทั้งหมด ถ้าเป็นอาการที่จะต้องทำ ก็ต้องเป็นกิริยาเพราะเหตุนั้นจึงรวมความได้ว่าสัจจะทั้ง ๔ เป็นกิริยา จึงสมกับบาทคาถาข้างต้นนั้น ความว่าสัจจะทั้ง ๔ เป็นเท้าหรือเป็นเครื่องเหยียบก้าวขึ้นไป หรือก้าวขึ้นไป ๔ พักจึงจะเสร็จกิจ ต่อจากนั้นไปจึงเรียกว่า อกิริยา อุปมา ดังเขียนเลข ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ แล้วลบ ๑ ถึง ๙ ทิ้งเสีย เหลือแต่ ๐ (ศูนย์) ไม่เขียนอีกต่อไป คงอ่านว่า ศูนย์ แต่ไม่มีค่าอะไรเลย จะนำไปบวกลบคูณหารกับเลขจำนวนใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น แต่จะปฏิเสธว่าไม่มีหาได้ไม่ เพราะปรากฏอยู่ว่า ๐ (ศูนย์) นี่แหละ คือปัญญารอบรู้ เพราะลายกิริยา คือ ความสมมติ หรือว่าลบสมมติลงเสียจนหมดสิ้น ไม่เข้าไปยึดถือสมมติทั้งหลาย คำว่าลบ คือทำลายกิริยา กล่าวคือ ความสมมติ มีปัญหาสอดขึ้นมาว่า เมื่อทำลายสมมติหมดแล้วจะไปอยู่ที่ไหน? แก้ว่า ไปอยู่ในที่ไม่สมมติ คือ อกิริยา นั่นเอง เนื้อความตอนนี้เป็นการอธิบายตามอาการของความจริง ซึ่งประจักษ์แก่ผู้ปฏิบัติโดยเฉพาะ อันผู้ไม่ปฏิบัติหาอาจรู้ได้ไม่ ต่อเมื่อไรฟังแล้วทำตามจนรู้เองเห็นเองนั่นแลจึงจะเข้าใจได้ ความแห่ง ๒ บาทคาถาต่อไปว่า พระขีณาสวเจ้าทั้งหลายดับโลกสามรุ่งโรจน์อยู่ คือทำการพิจารณาบำเพ็ยเพียรเป็น ภาวิโต พหุลีกโต คือทำให้มาก เจริญให้มาก จนจิตมีกำลังสามารถพิจารณาสมมติทั้งหลายทำลายสมมติทั้งหลายลงไปได้จนเป็นอกิริยาก็ย่อมดับโลกสามได้ การดับโลกสามนั้น ท่านขีณาสวเจ้าทั้งหลายมิได้เหาะขึ้นไปนกามโลก รูปโลก อรูปโลกเลยทีเดียว คงอยู่กับที่นั่นเอง แม้พระบรมศาสดาของเราก็เช่นเดียวกัน พระองค์ประทับนั่งอยู่ ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์แห่งเดียวกัน เมื่อจะดับโลกสาม ก็มิได้เหาะขึ้นไปในโลกสาม คงดับอยู่ที่จิต ทิ่จิตนั้นเองเป็นโลกสาม ฉะนั้น ท่านผู้ต้องการดับโลกสาม พึงดับที่จิตของตนๆ จึงทำลายกิริยา คือตัวสมมติหมดสิ้นจากจิต
    ยังเหลือแต่อกิริยา เป็นฐีติจิต ฐีติธรรมอันไม่รู้จักตาย ฉะนี้แล

    ๑๕. สัตตาวาส ๙
    เทวาพิภพ มนุสสโลก อบายโลก จัดเป็นกามโลก ที่อยู่อาศัยของสัตว์เสพกามรวมเป็น ๑ รูปโลก ที่อยู่อาศัยของสัตว์ผู้สำเร็จรูปฌานมี ๔ อรูปโลก ที่อยู่อาศัยของสัตว์ผู้สำเร็จอรูปฌานมี ๔ รวมทั้งสิ้น ๙ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ ผู้มารู้เท่าสัตตาวาส ๙ กล่าวคือ พระขีณาสวเจ้าทั้งหลาย ย่อมจากที่อยู่ของสัตว์ ไม่ต้องอยู่ในที่ ๙ แห่งนี้ และปรากฏในสามเณรปัญหาข้อสุดท้ายว่า ทส นาม กึ อะไรชื่อว่า ๑๐ แก้ว่า ทสหงฺ เคหิ สมนฺนาคโต พระขีณาสวเจ้าผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๐ ย่อมพ้นจากสัตตาวาส ๙ ความข้อนี้คงเปรียบได้กับการเขียนเลข ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ นั่นเอง ๑ ถึง ๙ เป็นจำนวนที่นับได้ อ่านได้ บวกลบคูณหารกันได้ ส่วน ๑๐ ก็คือ เลข ๑ กับ ๐ (ศูนย์) เราจะเอา ๐ (ศูนย์) ไปบวกลบคูณหารกับเลขจำนวนใดๆ ก็ไม่ทำให้เลขจำนวนนั้นมีค่าสูงขึ้น และ ๐ (ศูนย์) นี้เมื่ออยู่โดยลำพังก็ไม่มีค่าอะไร แต่จะว่าไม่มีก็ไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งปรากฏอยู่ ความเปรียบนี้ฉันใด จิตใจก็ฉันนั้นเป็นธรรมชาติ มีลักษณะเหมือน ๐ (ศูนย์) เมื่อนำไปต่อเข้ากับเลขตัวใด ย่อมทำให้เลขตัวนั้นเพิ่มค่าขึ้นอีกมาก เช่น เลข ๑ เมื่อเอาศูนย์ต่อเข้า ก็กลายเป็น ๑๐ (สิบ) จิตใจเรานี้ก็เหมือนกัน เมื่อต่อเข้ากับสิ่งทั้งหลายก็เป็นของวิจิตรพิสดารมากมายขึ้นทันที แต่เมื่อได้รับการฝึกฝนอบรมจนฉลาดรอบรู้สรรพเญยฺยธรรมแล้วย่อมกลับคืนสู่สภาพ ๐ (ศูนย์) คือ ว่างโปร่งพ้นจากการนับการอ่านแล้ว มิได้อยู่ในที่ ๙ แห่งอันเป็นที่อยู่ของสัตว์ แต่อยู่ในที่หมดสมมติบัญญัติคือ สภาพ ๐ (ศูนย์) หรืออกิริยาดังกล่าวในข้อ ๑๔ นั่นเอง

    ดูเพิ่มเติมที่ http://www.luangpumun.org/muttothai_main.html - หนังสือมุตโตทัย

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    โพสต์โดย: **wan**
    วันที่โพสต์: 09 มี.ค. 2007 เวลา 13:44
    <HR><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=text><!-- Message body -->[​IMG] หลวงพ่อ วัดปากน้ำภาษีเจริญ (พระมงคลเทพมุณี สด)

    ...... รูปทั้งหลายนั้นไม่ว่าประณีตสวยงามหรือไม่ ก็มาลงเอยที่อนิจจาด้วยกันทั้งสิ้น คือตายหมดไม่เหลือ ย่อมเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ มีแต่ความไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยงก็ต้องทุกข์ทั้งนั้น การที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าอะไรๆ ไม่เที่ยงนั้น จุดประสงค์คือจะให้เข้าถึง กายธรรม นอกจากกายธรรมแล้ว จะเป็นกายมนุษย์ กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม เหล่านี้ต่างเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งนั้น คือต้องเวียนว่ายอยู่ในภพทั้ง ๓ ต่อเมื่อเข้าถึงกายธรรม จึงเป็นของเที่ยงเป็นสุขเป็นตัวตนทันที .....

    ดูเพิ่มเติมที่ หนังสือรู้ตรึกรู้นึกรู้คิด หน้า98 (หาซื้อได้ที่ร้านแพร่พิทยา)

    ......"นิพพานอยู่ข้างบน สูงจากภพ 3 โตเท่าภพ 3 นี่ สว่างเป็นแก้วไปหมดทั้งนั้น งดงามมาก โตเท่าภพ 3 นี่" .....

    จากพระธรรมเทศนาเรื่อง "โอวาทปาฏิโมกข์" 20 ตุลาคม 2497 http://www.geocities.com/Athens/Ithaca/3050/nirvana.html - ดูเพิ่มเติม

    <!-- Message body ''"" --></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR style="BORDER-TOP-WIDTH: 1px">โพสต์โดย: **wan**
    วันที่โพสต์: 09 มี.ค. 2007 เวลา 13:45
    <HR><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=text><!-- Message body -->[​IMG] หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน วีระ ถาวโร ปธ.๔) วัดท่าซุง อุทัยธานี

    .....ความหมายตามบาลี http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=17&A=2447&Z=2585&pagebreak=0 - (ยมกสูตร) คนที่เห็นว่าพระอรหันต์ตายแล้วสูญ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าเป็นความเห็นผิด แล้วท่านบรรดานักเขียนนักแต่งทั้งหลายท่านเอามาจากไหนว่า นิพพานสูญ อันนี้น่าจะเกิดจากความเข้าใจผิดอะไรกันสักอย่าง เพราะมีพระบาลีบทหนึ่งว่า นิพพานนัง ปรมังสูญญัง แปลว่านิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง ท่านอาจจะไปคว้าเอา ปรมังสูญญัง โดยเข้าใจว่า สูญโญเข้าให้ ......

    ดูเพิ่มเติมที่ [ http://www.praruttanatri.com/member/htm/anusati.htm - หนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน อุปสมานุสสติกรรมฐาน ]

    ผู้ถาม : เกิดมาแล้วทำไมจึงต้องตายครับ…?
    หลวงพ่อ : เพราะอยากตาย ไอ้คนอยากเกิดก็อยากตายด้วยใช่ไหม…เกิดแล้วมันก็ต้องตาย เพราะธรรมดาเราฝืนมันไม่ได้ ทีนี้ถ้าเราไม่ต้องการตาย เราก็ไม่ต้องเกิด
    ผู้ถาม : ที่นิพพานไม่มีการเกิดใช่ไหมครับ จึงไม่มีการตาย…?
    หลวงพ่อ : อันนี้เคยมีพระหรือพราหมณ์ถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า นิพพานจะไม่มีการเกิดก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าเกิดก็ต้องเกิด ถ้าจะว่าไม่เกิด แต่สภาวะมันมีอยู่ ตอนแรกฉันอ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็เลยย่องไปถามท่าน ฉะนั้นนิพพานควรเรียกว่าอะไร ท่านบอกว่าควรจะเรียก "ทิพย์พิเศษ" ที่ไม่มีการเคลื่อน เทวดาหรือพรหมยังมีการเคลื่อน ที่เรียกว่า "จุติ" จุติ แปลว่า เคลื่อน ไอ้ศัพท์ที่ว่าตายนี่ พระพุทธเจ้าท่านไม่เรียก ท่านเรียก กาลัง กัตวา ถึงวาระแล้ว ถึงกาลเวลาแล้ว ท่านไม่เรียกว่าตาย ตาย นี่ มรณะ ตามศัพท์ของบาลีไม่มีคำว่ามรณะ ท่านเรียกว่า กาลัง กัตวา แปลว่าถึงวาระที่จะต้องไปจากร่างกายนี้ ร่างกายนี้มันพังมันไม่ยอมทำงาน
    ผู้ถาม : ขอหลวงพ่อโปรดอธิบายเรื่องนิพพาน ให้ผมเข้าใจด้วยครับ
    หลวงพ่อ : คำว่า นิพพาน เหรอ…คุณต้องการรู้เรื่องนิพพานไปทำไม…?
    ผู้ถาม : (หัวเราะ) เอาไว้ประดับความรู้ครับ
    หลวงพ่อ : เอาไว้ประดับความรู้….ดี คำว่า นิพพานเป็นของง่ายเป็นของไม่ยาก นิพพานนี่เขาแปลว่า ดับ นะคุณนะ ถ้าจะถามว่าดับอะไร ก็ขอตอบว่า ดับความชั่ว คนที่จะถึงนิพพานได้ต้องไม่มีความชั่ว ๓ อย่าง คือ
    ๑. ไม่ชั่วทางกาย
    ๒. ไม่ชั่วทางวาจา
    ๓. ไม่ชั่วทางใจ
    ถ้าทุกคนดับความชั่วได้หมด บุคคลนั้นก็ชื่อว่าเป็นผู้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

    ผู้ถาม : แต่ผมเคยได้ยินมาว่า นิพพาน แปลว่า ดับไปเลย ไม่เหลืออะไรเลยนี่ครับ
    หลวงพ่อ : ความจริงคุณจะต้องรู้ว่าอะไรดับ คำว่านิพพานแปลว่าดับ ดับทีแรกคือดับกิเลส ดับที่สองคือดับขันธ์ ๕ แต่ว่าตามพระบาลีไม่ได้บอกว่า จิตดับ
    ปัญหาของคุณที่ถามนี่ เหมือนกับปัญหาของพระที่ถามพระพุทธเจ้าเคยถามมาแล้ว คือ ท่านผู้นี้มีนามว่า พระโมกขราช ท่านถามพระพุทธเจ้าว่า"นิพพานมีสภาพสูญ ใช่ไหม…พระพุทธเจ้าข้า" หมายความว่า เมื่อถึงนิพพานแล้วก็ดับสูญ มีสภาพคล้ายกับควันไฟที่ลอยไปในอากาศ ไม่มีที่เกาะ ไม่มีที่อยู่ อย่างนั้นองค์สมเด็จพระบรมครูตรัสว่า "โมกขราช เรากล่าวว่า นิพพานนั้นหมายถึงกิเลสดับ และขันธ์ ๕ ดับ"พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่า จิตดับทีนี้ถ้าหากว่าคุณจะศึกษาเรื่องนิพพาน ถ้าเราจะพูดกันไปกี่ร้อยปี มันก็ไม่จบ ฉะนั้น ถ้าต้องการจะรู้เรื่องพระนิพพานจริงๆ คุณจะต้อง
    - เป็นคนมีศีลบริสุทธิ์ เป็นอันดับแรก
    - เป็นผู้ทรงฌานสมาบัติ
    - ในขณะที่ทรงฌานสมาบัติได้แล้ว คุณจะต้องทำจิตของตนให้เข้าถึงวิปัสสนาญาณ ที่เรียกกันว่าสังขารุเปกขาญาณ
    เมื่อจิตเข้าถึงสังขารุเปกขาญาณแล้ว ก็ต้องชำระกิเลสด้วยการตัดสังโยชน์ ๓ เบื้องต้น คือ
    ๑. ทำลายสักกายทิฏฐิ
    ๒. ทำลายวิจิกิจฉา คือ ความสงสัยให้หมดไป
    ๓. สีลัพพตปรามาส ทรงศีลให้บริสุทธิ์
    ๔. มีอารมณ์จิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ที่เราเรียกกันว่า โครตภูญาณ
    ถ้ากำลังใจของคุณทำได้อย่างนี้ เมื่อจิตเข้าถึงโครตภูญาณ คุณจะทราบว่า คำว่าดับของนิพพานนั้นก็คือ
    ๑. ดับกิเลส ในขณะที่มีชีวิตอยู่
    ๒. ดับขันธ์ ๕ หรือขันธ์ ๕ ดับ
    ๓. อารมณ์จิตที่บริสุทธิ์ไม่ได้ดับไปด้วย
    คำว่าพระนิพพาน ยังมีจุดที่เป็นอยู่อันหนึ่ง ที่เขาเรียกว่าเป็นทิพย์พิเศษ พ้นจากอำนาจของวัฏฏะ


    ดูเพิ่มเติมที่ [ http://www.praruttanatri.com/ - หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหา เล่ม ๓ ]

    <!-- Message body ''"" --></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR style="BORDER-TOP-WIDTH: 1px">โพสต์โดย: **wan**
    วันที่โพสต์: 09 มี.ค. 2007 เวลา 13:46
    <HR><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=text><!-- Message body -->[​IMG] อดีตพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) ศิษย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    ....ในปกรณ์ของฝ่ายเถรวาท ท่านโบราณาจารย์แบ่งพระกายของพระพุทธเจ้าเป็น ๓ ภาค ดังนี้คือ

    ๑. พระรูปกาย เป็นพระกายซึ่งกำเนิดจากพระพุทธบิดาและพระพุทธมารดา ที่เป็นมนุษย์ธรรมดาประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔
    ๒. พระนามกาย เป็นพระกายซึ่งกำเนิดชั้นใน นามกายเป็นของมีทั่วไปแม้แต่สามัญมนุษย์ แต่ดีเลวกว่ากันด้วยอำนาจกุศลที่ตนทำไว้ก่อน ส่วน พระนามกายของพระพุทธเจ้า ท่านดีวิเศษกว่าสามัณมนุษย์ ด้วยอำนาจพระบุญญาบารมี ที่ทรงบำเพ็ญมาเป็นเวลาหลายอสงไขยกัป
    ๓. พระธรรมกาย ได้แก่พระกายอันบริสุทธิ์ ไม่สาธารณะทั่วไปแก่เทวดาและมนุษย์หมายถึงจิตที่พ้นจากกิเลสแล้ว เป็นจิตที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง พระธรรมกายนี้เป็นพระพุทธเจ้าที่จริงแท้ เป็นพระกายที่พ้นเกิดแก่เจ็บตาย เป็นพระกายที่เที่ยงแท้ถาวรไม่สูญสลาย แต่ท่านมิได้บอกให้แจ้งชัดว่า พระธรรมกายนี้มีรูปพรรณสัญฐานเช่นไรหรือไม่

    อนึ่ง ความเชื่อว่าพระอรหันต์นิพพานแล้วยังมีอยู่อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นพระอรหันต์นิพพานแล้วยังมีอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นพระอรหันต์แท้ไม่สลายตามกาย คือความเป็นพระอรหันต์ ไม่สูญ ตัวอย่างเช่น พระยมกะ เมื่อยังไม่บรรลุอรหัตผลได้แสดงความเห็นว่า พระอรหันต์ตายแล้วสูญได้ถูก พระสารีบุตร สอบสวน เมื่อบรรลุพระอรหันต์แล้ว จึงเห็นตามความจริงว่า “สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง ย่อมเป็นไปตามปัจจัย คือสลายไป ส่วนพระอรหันต์มิใช่สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งจึงไม่สลายไป แปลว่า ไม่ตาย” ความเป็นพระอรหันต์นี้ ท่านก็จัดว่าเป็นอินทรีย์ชนิดหนึ่ง เรียกว่า “อัญญินทรีย์” พระผู้มีพระภาคเจ้าคงหมายถึงเอาอินทรีย์นี้เอง บัญญัติเรียกว่า “วิสุทธิเทพ” เป็นสภาพที่คล้ายคลึง “วิสุทธาพรหม” ในสุทธาวาสชั้นสูง (พรหมอนาคามี ชั้น ๑๒ - ๑๖ ) เป็นแต่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าเท่านั้น อินทรีย์ของพระอรหันต์ประณีตสุขุม แม้แต่ตาทิพย์ของเทวดาสามัญก็มองไม่เห็น มนุษย์สามัญซึ่งมีตาหยาบ ๆ จะเห็นได้อย่างไร อินทรีย์ของพระอรหันต์นั้นแหละ เรียกว่า “อินทรีย์แก้ว” คือตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจของท่านเป็นแก้ว คือใสบริสุทธิ์ดุจแก้ว มณีโชติ ผู้บรรลุถึงภูมิแก้วแล้ว ย่อมสามารถพบเห็น “พระแก้ว” คือพระอรหันต์ที่นิพพานแล้วได้...

    ความรู้เรื่องนี้ เป็นความรู้ลึกลับในพระธรรมวินัย ผู้สนใจพึงศึกษาค้นคว้าต่อไปถ้ายังรู้ไม่ถึงอย่าพึ่งค้าน อย่าพึงโมทนา เป็นแต่จดจำเอาไว้ เมื่อใดตนเองได้ษึกษาค้นคว้าแล้ว ได้ความรู้ได้เหตุผลที่ถูกต้องดีกว่า เมื่อนั้นจึงค้าน ถ้าได้เหตุผลลงกันจึงอนุโมทนา ถ้ารู้ไม่ถึงแล้ว ด่วนวิพากษ์วิจารณ์ติเตียนผู้พูดเรื่องเช่นนี้ จะเป็นไปเพื่อบอดตาบอดญาณตนเอง ยิ่งจะซึ้าร้ายใหญ่ ดังนี้</B>
    .....

    ดูเพิ่มเติมที่หนังสือ ทิพยอำนาจ อดีตพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส)
    <!-- Message body ''"" --></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR style="BORDER-TOP-WIDTH: 1px">โพสต์โดย: **wan**
    วันที่โพสต์: 09 มี.ค. 2007 เวลา 13:48
    <HR><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=text><!-- Message body -->[​IMG] หลวงปู่บุดดา ถาวโร

    ศิษย์: หลวงปู่ครับ นิพพานโลกุตระ เป็นอย่างไร
    หลวงปู่: มันก็หมดอาสวะซิ อวิชชาไม่เหลือ
    ศิษย์: จิตยังอยู่ไหมครับ
    หลวงปู่: จิตปรมัตถ์ไป เจตสิกปรมัตถ์ รูปปรมัตถ์จิตยังอยู่ มันเกิด-ดับ มันเป็นสังคตะไป ไม่ใช่สัตว์คนเป็นสังคตธรรม สังคตธรรมมีอยู่ อสังคตะธรรมมีอยู่ วิราคะธรรมมีอยู่ แต่ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่คนเท่านั้น
    ศิษย์: หมดสมมุติ หมดความยึดถือไช่ไหมครับ
    หลวงปู่: .ฮื้อ! มันไม่มีอาสวะ ไม่มีอวิชชาสวะ ไม่มีอวิชชาสังโยชน์ ไม่มีอวิชชานุสัย ล่ะก็ กิเลส กรรม วิบาก มันก็ไม่มี จิตไม่มีนาม-รูปของขันธ์แล้ว มันเหนือนาม-รูปของขันธ์แล้ว สังคตะมันเหนือขันธ์ ๕ วิราคะธรรมมันเหนือขันธ์ ๕ (เหนือ คือ ไม่ถูกครอบงำ ไม่มีอุปาทานขันธ์ ย่อมไม่กลับกำเริบอีก)ขันธ์ ๕ ยังมีนามรูปติดต่อกันทางอายตนะธาตุนี่ ส่วนนิพพาน ปรมัตถ์นี้ไม่เกิดไม่ดับเป็นอสังคตะธรรม แต่ จิต เจตสิก รูป ปรมัตถ์นี้ยังเกิดดับเป็นสังคตะธรรม วิราคะธรรม ไม่มีราคะ หมดราคะถึงโลกุตระแล้วนั่น ไม่มีราคะโทสะ โมหะ เผาลนแล้ว
    ศิษย์: เมื่อดับจิต แล้ว นิพพาน สูญ ไม่เหลืออะไรเลยหรือปล่าวครับ..
    หลวงปู่: นิพพานไม่สูญ เป็นแต่อาสวะกิเลสสูญ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม วิบาก มันสูญ แต่ สังคตะธรรม อสังคะธรรม วิราคะธรรม มันไม่ได้หมดไปด้วย บารมี ๓๐ ทัศน์ที่พระพุทธเจ้าสร้างเป็นของไม่ตาย แต่ว่าตัวบุญต้องเปลี่ยนแปลงไปจนกว่าพระโพธิสัตว์ตรัสรู้ เพราะถ้าเป็นตัวบุญอยู่กับพระเวสสันดรก็ไม่ตรัสรู้ซิ ก็ได้เป็นกษัตริย์ไม่ตรัสรู้ซิ แต่เพราะสละหมดอย่างพระเวสสันดร เที่ยวออกค้นคว้าถึง ๖ ปี(ซึ่งก็ต้องอาศัยบารมี อันเป็นนิสัยที่สั่งสมมา) จึงตรัสรู้ พระพุทธเจ้าบางองค์ก็อายุไม่เท่ากันมาองค์ปัจจุบันอายุ ๘๐ ปี (แล้วแต่บารมี)
    ศิษย์: ที่เขาว่าไปเที่ยวเมืองนิพพาน น่ะเขาไปกันได้จริงหรือป่าวครับ
    หลวงปู่: .เที่ยวได้แต่ปริยัติน่ะซิ พูดเอาภาคปริยัติก็เที่ยวได้ ภาคปฏิเวธเที่ยวได้ที่ไหนล่ะ มันมีบอกเมื่อไหร่ล่ะ
    ศิษย์: .แล้วอย่างมโนมยิทธิล่ะครับ
    หลวงปู่: นั่นมันเรื่อง พุทธนิมิต ธรรมนิมิต สังฆนิมิต ก็ตามใจซิ ก็นิมิตมันมีอยู่ หลับตาลืมตาก็มี มีของพระอริยะเจ้า พระพุทธเจ้าก็แสดงพุทธนิมิต ธรรมนิมิต สังฆนิมิต ได้ ให้เห็นกันทั่ว กามโลก รูปโลก อรูปโลก ให้เขาได้เห็นกันเมื่อครั้งเสด็จลงจากดาวดึงส์นี่ ก็จิตนี่ล่ะมันรับธรรมะ นอกจากกายกับจิตแล้วจะเอาอะไรไปรับล่ะ กายกับจิตนี่ล่ะมันรองรับพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้ารู้นรก ๒ ชั้น นรกชั้นนอก นรกชั้นใน สวรรค์ชั้นนอก สวรรค์ชั้นใน นิพพานชั้นนอก นิพพานชั้นใน มันต้องมีภายนอกภายในพิสูจน์กันดู ดูนิพพานกันอย่างนี้ อ่านพระไตรปิฎกกันอย่างนี้ซิ นิพพานไม่ใช่รูปขันธ์ ไม่ใช่นามขันธ์ มันเหนือรูปขันธ์ นามขันธ์ สร้างบารมีมาก็เอาเป็นเครื่องมือ สร้างบารมีต่างหากล่ะ นามรูปนี่ตรัสรู้แล้วเอาไปเมื่อไหร่ล่ะ บารมี ๓๐ ทัศน์ ไม่ใช่ตัวขันธ์ ๕ มันเหนือขันธ์ ๕ พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็เหลือขันธ์ ๕ พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลายตรัสรู้ ละสังโยชน์ แล้วก็เหลือยังขันธ์ ๕ เขายังเขียนรูปโลกไว้ให้ดู แต่อยู่เหนือขันธ์ ๕

    ดูเพิ่มเติมที่ เว็บ http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_budda/misc-95.htm - ประตูธรรม


    <!-- Message body ''"" --></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR style="BORDER-TOP-WIDTH: 1px">โพสต์โดย: **wan**
    วันที่โพสต์: 09 มี.ค. 2007 เวลา 13:48
    <HR><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=text><!-- Message body -->[​IMG] หลวงพ่อเกษม เขมโก จ.ลำปาง

    [​IMG]
    <!-- Message body ''"" --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...