มายกระดับคุณภาพทางกาย และใจ จากการปลุกพลังกุณฑาลิณีภายในให้ตื่นขึ้นมา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย cosmiccell, 16 พฤษภาคม 2011.

  1. anubist

    anubist Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2007
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +73
    ไม่ทราบคุณ cosmiccell สามารถโคจรลมปราณ ผ่านจุดฮุ่ยอินได้รึยังครับ ผมก็ยังไม่ได้เหมือนกัน คิดว่าน่าจะมีปัญหาเดียวกัน คือคิดมากเกินไป
    แต่ช่วงหลังๆนี่เริ่มจะมีร้อนๆที่ฮุ่ยอินเหมือนกัน มันต้องผ่านจนได้สิน่าก็ฝึกมาตั้งหลายปีแล้วนี่
     
  2. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253

    เมื่อพลังกุณฑลิณีตื่นขึ้น จะทะลวงจุดจากตำแหน่งฝีเย็บ หรือ ฮุ่ยอิน ขึ้นไปทะลุออกกระหม่อมครับ

    การฝึกโคจรลมปราณ เป็นการลากเส้น ให้รับรู้ถึงการเคลื่อนที่ของลมปราณภายใน

    แต่ปัจจัยที่จะทำให้ตำแหน่งนี้เปิดอย่างถาวร คือ การปลดปล่อย ปล่อยวาง สิ่งที่ฝังรากลึกในจิตใจออกไป

    ฝึกให้เข้าถึงปัจจุบันขณะบ่อยๆครับ

    ยิ่งวางได้เท่าไร ลมปราณภายในยิ่งเดินได้ดีเท่านั้นครับ :)
     
  3. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    ผู้รู้แจ้งหลายๆท่าน ได้กล่าวถึง ปัจจุบันขณะ
    และการเข้าถึงไว้ตามเอกลักษณ์ของแต่ละท่านไว้มากมาย

    เดี๋ยวจะค่อยๆทยอยนำมาลง แล้วเรียนรู้ไปพร้อมๆกันนะครับ

    ภาวะปัจจุบันขณะ หรือ ภาวะจิตว่าง

    ไม่ใช่การว่าง แบบไม่มีอะไร หยุดนิ่ง ไร้ชีวิตชีวา
    แต่เป็นการว่าง แบบเต็มไปด้วยชีวิตชีวา การรู้ตัวทั่วพร้อม

    เป็นภาวะเริ่มของการเรียนรู้ จากสติปัญญาอีกระบบนึง

    คือ ค่อยๆเปลี่ยนการทำงาน ความเคยชินของจิต

    ที่ต้อง รับ แล้วจำ จากนั้นคิด แล้วถึงรู้

    มาเป็น รู้ แล้วคิด รับ แล้วค่อยเก็บเข้าความทรงจำ

    ดังนั้นการฝึกให้เข้าสู่ปัจจุบันขณะได้บ่อยๆ จะทำให้จิตมีพลัง สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการรู้คิดในโลกสามมิติ ได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
     
  4. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    สิ่งนึงที่เราต้องทำ ในการปลดปล่อยให้จิตใจมีอิสระ ก็คือ กำจัดความกลัวออกไป

    (คัดลอกมาจากหนังสือ เธอคือโลก ของกฤษณมูรติ)

    กฤษณะมูรติ ได้กล่าวถึงความกลัวว่า

    ความกลัวคืออะไรหรือ ความกลัวเกิดขึ้นได้อย่างไร โครงสร้างและธรรมชาติของความกลัวเป็นอย่างไร

    เช่น ใครสักคนกลัวความเห็นของสังคม มีหลายสิ่งหลายอย่างสัมพันธ์กับความกลัวนั้น คนๆนั้นอาจกลัวตกงาน หรืออื่นๆ

    ความกลัวเกิดขึ้นได้อย่างไร มันเป็นผลของเวลาใช่หรือไม่

    ความกลัวย่อมจบสิ้นลงเมื่อเรารู้สาเหตุของความกลัวใช่หรือไม่

    ความกลัวจะหายไปเมื่อมีการวิเคราะห์สำรวจ และค้นพบเหตุแห่งความกลัวใช่หรือไม่

    ฉันกลัวบางสิ่งบางอย่าง กลัวความตาย กลัวสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในวันข้างหน้า หรือฉันกลัวอดีต

    อะไรที่ทำให้ความกลัวเหล่านี้คงอยู่ และสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน

    เราอาจทำอะไรผิดไป หรือเราอาจจะพูดอะไร ที่ไม่น่าจะพูดออกไป

    ทั้งหมดล้วนเป็นอดีต

    หรือเราอาจจกลัวสิ่งที่อาจเกิดขึ้น ความเจ็บไข้ โรคภัย การตกงาน

    ทั้งหมดล้วนเป็นอนาคต

    ดังนั้นจึงมีทั้งความกลัวในอดีต และในอนาคต

    อะไรคือสิ่งที่หล่อเลี้ยง และดำรงรักษาความกลัวในอดีต และอนาคตไว้เล่า

    แน่นอนว่า มันคือ ความคิด


    ความคิดถึงสิ่งที่เราได้ทำไปในอดีต หรือความคิดที่ว่า โรคภัยไข้เจ็บบางอย่างได้นำความเจ็บปวดมาสู่เรา เราจึงกลัวความเจ็บปวดนั้นจะเกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต

    ความกลัวดำรงอยู่ด้วยความทรงจำ ด้วยการคิดถึงมัน


    ความคิด ที่คิดถึงความเจ็บปวด หรือความพึงพอใจในอดีต ล้วนทำให้เกิดความกลัวสืบเนื่องไป ช่วยหล่อเลี้ยงและดำรงรักษามันไว้

    ทั้งความกลัวในทุกข์ ในสุข ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ก็เป็นผลมาจากความคิดทั้งสิ้น

    ฉันกลัวในสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว มันอาจจะส่งผลต่ออนาคต

    ความกลัวนี้คงอยู่ด้วยความคิด นี่เห็นได้ชัด ดังนั้นความคิด คือ เวลาทางจิตใจ ความคิดทำให้เกิดเวลาทางใจ

    ความคิด นำกาลเวลาจากอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เข้ามาเชื่อมโยงกัน ได้ก่อให้เกิดความกลัวขึ้น

    ความคิด สร้างช่องว่างระหว่างปัจจุบัน กับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ความคิดพัดกระพือความกลัวผ่านเวลาทางจิตใจ ความคิดเป็นบ่อเกิดของความกลัว ความคิดเป็นบ่อเกิดของความเศร้าหมอง เรายอมรับเรื่องนี้หรือไม่

    เรามองเห็นธรรมชาติของความคิดจริงๆหรือไม่ ว่ามันดำเนินไปอย่างไร ว่ามันมีบทบาทช่วยสร้างเสริมโครงสร้างแห่งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตขึ้นอย่างไร

    เราได้มองเห็นความคิดนั้นผ่านการวิเคราะห์ ได้ค้นพบถึงเหตุแห่งความกลัว ซึ่งต้องอาศัยเวลา แต่ก็ไม่อาจขจัดมันไป อย่างนั้นหรือ ในระหว่างเหตุแห่งความกลัว กับการสิ้นสุดความกลัว มีการกระทำด้วยความกลัวดำรงอยู่ คล้ายกับคนที่มีความรุนแรง คิดค้นอุดมการณ์อหิงสาขึ้นมา เขาพูดว่า "เราจะกลายเป็นคนที่สันติ" แต่ในขณะเดียวกัน เขากำลังหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความรุนแรงออกไป

    ดังนั้น ถ้าเราใช้เวลา เวลาซึ่งเป็นความคิด เพื่อนำไปสู่การเป็นอิสระจากความกลัว เราจะไม่สามารถขจัดความกลัวออกไปได้ ความกลัวไม่อาจขจัดได้ด้วยความคิด เพราะความคิดก่อให้เกิดความกลัว

    ถ้าเช่นนั้นเราจะทำอย่างไรดี

    ก่อนอื่น เมื่อใครสักคนหนึ่งพูดว่า "ฉันเข้าใจธรรมชาติ และโครงสร้างของความคิดแล้ว"
    คนคนนั้นหมายถึงอะไร คนหมายถึงอะไร เมื่อพูดว่า "ฉันเข้าใจ" "ฉันเข้าใจแล้ว" "ฉันเข้าใจธรรมชาติของความคิดแล้ว" อะไรคือสภาวะจิตใจที่พูดว่า "ฉันเข้าใจแล้ว"

    โปรดใคร่ครวญอย่างระมัดระวัง อย่าอ้างถึงสิ่งใด เรากำลังถามว่า "ความคิดเข้าใจได้หรือไม่" คุณบอกบางสิ่งบางอย่างกับผม เช่นว่า คุณพูดยกตัวอย่างความซับซ้อนของชีวิตสมัยใหม่

    และผมพูดว่า "ผมเข้าใจแล้ว" ไม่ใช่แค่การบรรยาย แต่เข้าใจถึงเนื้อหาสาระ จนกระทั่งผมมองเห็นว่า มนุษย์ที่ติดกับดักของมัน อยู่ในสภาวะวิปลาสร้อนรุ่ม ผมเข้าใจด้วยความรู้สึก ด้วยประสาทสัมผัส ด้วยหู ด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง กระทั่งผมไม่ติดกับดักนั้นอีกต่อไป เหมือนกับเมื่อผมเข้าใจแล้วว่า งูเห่านั้นเป็นอันตราย แล้วก็จบ ผมไม่เข้าไปใกล้มัน การกระทำของผมจะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อผมเข้าใจมันถ่องแท้

    ด้วยการตื่นตัว ด้วยการเอาใจใส่ระหว่างที่ตื่นอยู่ ใส่ใจในการพูด ใส่ใจในการกระทำ ใส่ใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น เมื่อนั้นเองที่ความกลัวทั้งที่เปิดเผย และซ่อนเร้นจะถูกเผยออกมา

    เมื่อมีการเรียนรู้จักความกลัว ความกลัวก็ได้สิ้นสุดลงไปด้วย




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2011
  5. Senju

    Senju Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +94
    ขอบคุณมากเลยคร๊าบ ^^
     
  6. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    ขอบคุณมากค่ะคุณเซลล์
    ยังตามอ่านอยู่นะคะ มีเรื่องสงสัยหลายอย่างเหมือนกัน
    เดี๋ยวไว้มาถาม นะ...:d
     
  7. anubist

    anubist Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2007
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +73
    ตั้งใจฝึกวิชาลมปราณตั้งนานไม่ค่อยก้าวหน้า ที่แท้เราตั้งใจมากเกินไปนี่เอง จริงๆแล้วก็มีคนเคยบอกว่าวิชาลมปราณควรจะเป็นผลพลอยได้จากการปฏิบัติธรรม แต่เราไม่เชื่อเพราะใจร้อนอยากเห็นผล ถึงขนาดลงทุนไปบวชกับหลวงปู่พุทธอิสระ หยิ่งทนงว่าเราเป็นคนเรียนรู้อะไรได้เร็ว ก็นึกว่าเราได้แก่นของวิชามาหมดแล้ว ที่ไหนได้ กลายเป็นแค่เปลือกๆของวิชามาซ๊ะงั้น มิน่าถึงมาได้ไม่ไกลเท่าที่ควร
    ต้องหันมาสนใจอภิปรัชญามากๆซ๊ะแล้ว นับเป็นมุมมองใหม่ๆจริงๆ ขอบคุณมากๆๆๆ:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2011
  8. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    ผ่านมาเจอกระทู้นี้เข้า

    เป็นกระทู้ที่ดีมากครับ ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆที่นำมาแบ่งปันครับ

    อนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
  9. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    ทุกคนล้วนมีลมหายใจ แต่จะมีสักกี่คน ที่ได้ดื่มด่ำกับลมหายใจ


    กายผ่อนคลาย ใจเบิกบาน

    ดื่มด่ำกับลมหายใจ ดื่มด่ำกับสรรพสิ่งรอบกาย


    ผมปฏิบัติมาก็หลายปี ได้แค่นี้เองครับ
     
  10. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    ขอตอบเท่าที่ทราบนะครับ คุณเดรด ข้าพเจ้ายังรู้น้อยนัก เพิ่งเริ่มเดินเท่านั้นเอง :)

    ประมาณปี 2540 เคยไปกราบท่าน แล้วท่านเปิดโอกาส ให้มีปุจฉา วิสัชชนา
    ตอนนั้นผมถามอะไรบางอย่างไป ซึ่งตอนนี้ผมก็จำไม่ได้เหมือนกันว่า ถามอะไรไป :)
    จำได้แต่ที่ท่านบอกมาว่า เพิ่งอยู่แค่อนุบาล ดั๊นมาถามคำถามมหาลัย
    แค่คำนี้คำเดียว ผมเลยรู้สึกว่า ท่านได้เคาะอัตตาที่เกาะแน่นหนา ให้หลุดร่อนออกมาได้บ้าง
    และเริ่มหันมาพิจารณาตนเองใหม่
    ผมเพิ่งเข้าใจในตอนนั้นว่า หากเราไม่ลดละอัตตาภายในจิตของเรา คงไม่มีวันที่จะก้าวหน้าขึ้นมาได้ ป้ายบอกทางของท่านเนี่ย กระเทาะได้ตรงประเด็นมากๆเลย
    ผมเชื่อว่า หากเราเห็นอัตตาตัวตนของเรา เท่ากับเราก้าวหน้าแล้วหละครับ คุณ anubist ขออนุโมทนาครับ :)


    อนุโมทนาครับ คุณ 5314786

    กายผ่อนคลาย ใจเบิกบาน

    ดื่มด่ำกับลมหายใจ ดื่มด่ำกับสรรพสิ่งรอบกาย

    อ่านประโยคนี้ รู้สึกดื่มด่ำไปกับสรรพสิ่งรอบกาย อย่างที่คุณ
    5314786 เข้าถึงเลยนะครับ

    รู้สึกถึงพลังงานรอบกาย ที่อ่อนนุ่ม สงบ
    ลมหายใจละเอียดที่เดินอยู่ภายใน

    หากละลมหายใจละเอียดที่เดินอย่างเป็นธรรมชาติอยู่ ก็จะเข้าถึงความเป็นปัจจุบันขณะทันที
    และสามารถดูดซับพลังงานภายนอกเข้ามาเก็บที่ solar plexus ได้อย่างต่อเนื่อง

    ผมตอบเท่าที่รู้สึกนะครับ เพราะผมก็ต้องเรียนรู้ ลอกอัตตาอีกมากเช่นกัน หากผิดไป ขออภัยด้วยนะครับ :)


    ได้ตามไปอ่านกระทู้ของคุณ 5314786 แล้ว มีประโยชน์มากๆเลยครับ ขออนุโมทนาอีกครั้งครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2011
  11. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    กฤษณะมูรติ ได้กล่าวถึง สมาธิ เอาไว้ในหนังสือ เธอคือโลก ดังนี้ครับ

    (ศัพท์ที่ใช้ และการแปลที่แปลออกมา อาจจะใช้กันคนละคำ คนละความหมาย กับที่เราเคยทราบกันมา ดังนั้นก่อนอ่าน ให้เราโยนศัพท์ หรือสิ่งที่เราเคยรู้ เคยทราบมาก่อน เพื่อให้เราเข้าใจถึงเนื้อแท้ ที่กฤษณะมูรติต้องการสื่อสาร)


    ผู้เชี่ยวชาญด้านสมาธิ บอกให้เราควบคุม การควบคุม ไม่ได้หมายถึง คนที่ควบคุมเท่านั้น แต่ยังต้องมีสิ่งที่ถูกควบคุมด้วย

    ขณะที่คุณเฝ้าดูจิตใจของคุณ ความคิดของคุณฟุ้งซ่านไม่หยุดนิ่ง คุณก็ดึงมันกลับมา แล้วมันก็ซัดเซพเนจรไปอีก แล้วคุณก็ดึงมันกลับมาอีก ดังนั้นเกมนี้จึงดำเนินไปอย่างไม่สิ้นสุด ถ้าภายใน 10 ปี หรือนานเท่าใดก็ตาม ถ้าคุณสามารถควบคุมจิตใจไม่ให้พเนจรได้อย่างสมบูรณ์ และไม่มีความคิดใดๆก่อเกิดขึ้นมาอีก เมื่อนั้นกล่าวว่า คุณได้บรรลุสภาวะพิเศษ

    แต่อันที่จริงแล้ว ในทางตรงกันข้าม คุณจะไม่บรรลุสิ่งใดเลย

    การควบคุมหมายถึง การต้านทาน โปรดติดตามประเด็นนี้สักเล็กน้อย

    การจดจ่อ คือ การต้านทานแบบหนึ่ง เป็นการเพ่งความคิดไปที่จุดใดจุดหนึ่ง และเมื่อจิตใจถูกฝึกให้เพ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จิตใจจะสูญเสียความยืดหยุ่น ว่องไว และกลายเป็นจิตใจที่ไม่สามารถรับรู้ถึงชีวิตอย่างรอบด้าน

    เป็นไปได้หรือไม่ ที่จิตใจจะมีความจดจ่อ โดยไม่มีการปิดกั้น และไม่บังคับ ไม่พึ่งพิงการยอมตาม หรือการกดข่ม เพื่อที่จะควบคุม เป็นเรื่องง่ายมากที่จะเพ่งจดจ่อ

    เด็กนักเรียนทุกคนเรียนรู้วิธีนี้ แม้ว่าเขาเกลียดที่จะทำแบบนั้น แต่ก็ถูกบังคับให้พยายามจดจ่อ และเมื่อคุณต้องจดจ่อ คุณก็กำลังต้านทาน จิตใจทั้งหมดของคุณจดจ่ออยู่กับบางสิ่ง และถ้าคุณฝึกฝนทุกวันๆ ให้จิตใจจดจ่อกับสิ่งเดียว จิตใจก็จะสูญเสียความคมชัด จิตใจก็จะสูญเสียความลุ่มลึกไปโดยธรรมชาติ และจิตใจก็จะไม่เหลือพื้นที่ว่างอีกเลย ดังนั้นปัญหาจึงมีอยู่ว่า จิตใจจะสามารถครอบครองคุณลักษณ์แห่งการจดจ่อ สามารถใส่ใจกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยไม่สูญเสียความใส่ใจต่อทั้งหมดไปได้หรือไม่

    คำว่า "ใส่ใจอย่างทั่วพร้อม" หมายถึง การใส่ใจด้วยจิตใจทั้งหมดของคุณซึ่งไม่มีความกลัว ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีแรงกระตุ้นของผลกำไร ไม่มีความพึงพอใจ ดังนั้นเมื่อจิตใจใส่ใจอย่างทั่วพร้อม นั่นคือ ใส่ใจด้วยหัวใจของคุณ ใส่ใจด้วยสัมผัสรับรู้ ด้วยตา ด้วยทั้งหมดของตัวคุณ ความเอาใจใส่เช่นนี้ ได้รวมเอาความจดจ่อในสิ่งเล็กๆสิ่งหนึ่งด้วย เช่น เมื่อคุณล้างจาน คุณสามารถให้ความใส่ใจทั้งหมดกับการล้างจานโดยปราศจากแรงต้านทาน เพราะการจดจ่อตามปกติ ย่อมทำให้การรับรู้เป็นไปอย่างจำกัด

    ดังนั้นเมื่อเห็นถึงความจำเป็นของการวางรากฐานตามธรรมชาติ โดยไม่มีการบิดเบือน โดยไม่มีความพยายาม และละวางผู้รู้ลงทั้งหมด เราก็อาจพินิจพิจารณาถึงการแสวงหาประสบการณ์ของจิตใจได้ เราส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอย่างซ้ำซากจำเจ น่าเบื่อหน่าย และไร้ความหมาย ด้วยการพึ่งพิงสิ่งกระตุ้นต่างๆ รวมถึงการเสพยา เราจึงแสวงหาประสบการณ์ที่่ลึกซึ้งกว่าที่เรามีอยู่ ครั้นเมื่อเรามีประสบการณ์นี้แล้ว การระลึกรู้ว่า มันเป็นประสบการณ์แสดงให้เห็นว่า คุณได้ผ่านประสบการณ์นั้นมา มิเช่นนั้นคุณคงไม่อาจระลึกรู้ได้ ดังนั้น คริสตชนซึ่งได้ถูกวางเงื่อนไขว่า ให้เทิดทูนพระมหาไถ่ ครั้งเมื่อเขาเสพยา หรือเมื่อแสวงหาประสบการณ์ทางจิตด้วยวิธีอื่นๆ เขาจะมองเห็นสิ่งต่างๆตามกรอบความเชื่อของตนเอง ดังนั้นสิ่งที่เขาเห็นก็เป็นเพียงมโนภาพของตนเท่านั้น และแม้ว่านั่นอาจเป็นประสบการณ์พิเศษสุด เป็นประสบการณ์ที่เจิดจรัส และลึกซึ้งงดงาม มันก็เป็นเพียงแค่มโนภาพจากภูมิหลังของเขาเท่านั้น

    ดังนั้นจิตใจที่แสวงหาประสบการณ์ในฐานะที่มันเป็นวิถีทางที่จะมอบความหมายให้แก่ชีวิต แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่มโนภาพจากภูมิหลังของเขาเอง ขณะที่จิตใจซึ่งไม่แสวงหาประสบการณ์ด้วยเหตุที่มันเป็นอิสระ ย่อมมีคุณลักษณะที่แตกต่าง

    ทั้งหมดที่เฝ้าดูไปแล้ว นับตั้งแต่แรก จนกระทั่งบัดนี้ คือส่วนหนึ่งของสมาธิ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็นความจริงอย่างที่เราได้เห็น การได้เห็นความผิดพลาดของคุรุ ของผู้รู้ และระบบต่างๆ

    การวางรากฐานพฤติกรรม ซึ่งไม่ขึ้นต่อเงื่อนไขสภาวะแวดล้อม และโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม ทั้งหมดล้วนแสดงถึงคุณลักษณะของสมาธิ

    เมื่อเรามาถึงจุดที่เข้าใจเรื่องการมีชีวิตทั้งหมด โดยไม่มีความขัดแย้ง

    เราก็จะสามารถเริ่มต้นกระบวนการค้นหาว่า ความสงบเงียบคืออะไร

    ถ้าคุณค้นหาโดยไม่ได้ผ่านสิ่งเหล่านี้มาก่อน ความสงบเงียบของคุณก็ไร้ความหมาย เพราะถ้าปราศจากความเข้าใจในความงาม ความรัก ความตาย ความถูกต้องดีงามแล้ว จิตใจก็ยังตื้นเขิน ความเงียบใดๆที่เกิดขึ้น ก็จะเป็นแค่ความเงียบสงัดของความตาย

    อะไรคือความเงียบ อะไรคือคุณค่าของความเงียบ

    จำไว้ว่า ถ้าเราต้องการเห็นบางสิ่งอย่างกระจ่างชัดโดยไม่ใช้ความพยายาม ไม่มีการบิดเบือนใดๆ จิตใจต้องเงียบ

    ถ้าผมต้องการเห็นว่าคุณเป็นคนเช่นไร จิตใจผมต้องเงียบและไม่พูดคุย ถ้าจิตใจผมพูดคุยและร่อนเร่ไม่หยุด ผมย่อมไม่สามารถมองเห็นคุณ ดังนั้นความเงียบจึงจำเป็นต่อการมองเห็น เช่นเดียวกับที่กลางคืน จำเป็นต่อกลางวัน

    ความเงียบนั้น ต้องไม่ใช่ผลจากกระแสเสียง หรือการสิ้นเสียง ความเงียบย่อมเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เมื่อมีสภาวะอย่างอื่นเกิดขึ้นในใจ


    ท่านรู้ไหมว่า ในความเงียบนั้นมีที่ว่าง ไม่ใช่ที่ว่างซึ่งเกิดขึ้น ระหว่างผู้เฝ้าดู กับสิ่งที่ถูกเฝ้าดู ตัวอย่างเช่น เมื่อใดก็ตามที่เราพูดว่า "ฉัน" และ "คุณ" ก็จะมีที่ว่าง ที่สร้างขึ้นมารอบๆตัวเรา เมื่อคุณพูดว่า คุณเป็นคริสเตียน คุณเป็นคาทอลิก เป็นโปรแตสแตนท์ หรือคอมมิวนิสต์ ย่อมมีที่ว่างตามที่คุณได้ขีดจำกัดตัวเองไว้ และที่ว่างนั้นเองที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง เพราะมันมีขอบเขตจำกัด และมีการแบ่งแยก แต่เมื่อใดที่มีความเงียบสงบ เมื่อนั้นจะไม่มีที่ว่างแห่งการแบ่งแยก ทว่าจะเป็นที่ว่างซึ่งมีคุณลักษณ์แตกต่างออกไป และจำเป็นต้องมีที่ว่างเช่นว่านั้น เพราะมีเพียงที่ว่างชนิดนี้เท่านั้น ที่อาจก่อให้เกิดสิ่งที่ไม่อาจหยั่งวัดได้ด้วยความคิด เป็นความไพศาลไร้ขอบเขต เป็นสิ่งที่สูงส่ง และไม่สามารถเชื้อเชิญให้มาถึงได้

    จิตใจที่คับแคบ แม้จะฝึกฝนปฎิบัติมากเพียงใด ก็ยังคงคับแคบเช่นเดิม เราส่วนใหญ่ซึ่งแสวงหาความจริงกำลังเชื้อเชิญสัจจะให้มาเยือน แต่สัจจะไม่อาจเชื้อเชิญได้ เมื่อจิตใจไม่ว่างพอ และไม่เงียบพอ ดังนั้นสมาธิจึงเป็นเส้นสายอันต่อเนื่องตั้งแต่ต้นจนจบ และในสมาธิย่อมเต็มไปด้วยอุบายในการกระทำ

    ทั้งหมดนี้คือสมาธิ ถ้าหากคุณสามารถทำได้เช่นนั้น ประตูก็จะเปิดออกให้คุณเดินเข้าไป โลกุตตระไม่ใช่สิ่งที่โรแมนติค หรือสิ่งที่น่าหลงใหล ไม่ใช่สิ่งที่คุณหวัง หรืออยากจะหลบหนี แต่คุณอาจเข้าหามันด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยปัญญา มีความว่องไว ไม่บิดเบือน คุณอาจเข้าหามันด้วยความรัก ไม่เช่นนั้น สมาธิก็เป็นสิ่งไร้ความหมาย
     
  12. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    โมทนาครับกับความรู้ดีๆครับคุณเซลล์
    ถ้าเราเอาชนะความกลัวได้ประสบการณ์ใหม่ๆคงจะไหลบ่าเข้ามาอีกมากเลยนะครับ
    เคยทำสมาธืแล้วมันไหลวืดดดดด พุ่งไปท่ออะไรสักอย่างด้วยความเร็วสูงมาก
    รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่สูงมาก จนต้องถอนสมาธิออกมาครับ เพราะไม่คุ้นเคย

    ไปเจอ VDO ที่น่าสนใจชุดนึงน่ะครับ (สำหรับผู้ที่ยังกลัวๆกล้าๆ)
    ลองดูนะครับ อาจเป็นประโยชน์กับพวกเราไม่มากก็น้อย
    เค้าพูดถึง วิธีการสร้างโล่ 12 มิติ
    หลักๆคือการปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างออร่าของเราให้แข็งแรง
    ในการเชื่อมต่อกับพลังงานต้นกำเนิด สู่ขอบเขตพลังออร่าของเรา
    ซึ่งสามารถป้องกันพลังงานที่ไม่ได้รับเชิญได้เป็นอย่างดี


    YouTube - ‪12 D Shield Building Technique‬‏


    มีรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างโล่ 12 มิติ คร่าวๆดังนี้ครับ
    เราจะใช้ดาวหกแหลมซึ่งเป็นสองรูปสามเหลี่ยมของ merkabah
    ที่เป็นตัวแทนของร่างกายของเรา (merkabah ของเราเคยชินกับการออกกำลังกายนี้)
    สำหรับพวกเราหลายคนที่ยังใหม่ ให้ฝึกไปสู่​​กระบวนการสร้างโล่ 12D นี้ก่อน
    เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงที่ยั่งยืนทั้งทางกายภาพและทางพลังงาน
    ช่วยการสื่อสารกับกองกำลังฝ่ายจิตของเราและครอบครัวในมิติที่สูงขึ้นไป
    ช่วยเสริมสร้างพลังอำนาจในร่างกายของเรา เพื่อการปลุกภูมิปัญญาของกำเนิดที่แท้จริงของเรา
    เพื่อการเริ่มต้นทำความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่ซ่อนอยู่ของโลกไปพร้อมๆกัน
    และเป็นการเริ่มต้น"ถอดรหัสภาษาแสง" ซึ่งเราสามารถใช้เทคนิคนี้ควบคู๋กันไปได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มิถุนายน 2011
  13. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    ขอบคุณครับ คุณ mead ที่คอยติดตาม และเป็นกำลังใจให้เสมอๆ :)

    และนำวิธีการหนึ่ง ที่ช่วยให้เราสามารถสัมผัสพลังงานรอบๆ และไปเชื่อมต่อกับแหล่งกำเนิดมาฝากกัน และให้ลองปฎิบัติกันดู :)


    กฤษณะมูรติ ท่านมีความจริงจังในการถ่ายทอด เพื่อให้ผู้ฟัง ผู้อ่าน ได้เข้าใจถึงภาวะของปัจจุบันขณะ ที่หมดจด ไร้รูป ไร้นาม ออกมาเป็นตัวอักษร ซึ่งค่อนข้างยาก ที่จะให้เข้าใจถึงเนื้อความที่ท่านต้องการสื่อ เว้นเสียแต่ว่า เราจะโยนสิ่งที่เราเคยรู้มาในความทรงจำทิ้งให้หมดซะก่อน

    ซึ่งบ่อยครั้ง ผมก็จะอ่านข้อความ เนื้อหาต่างๆของผู้รู้แจ้งทั้งหลาย จากความทรงจำที่ผมมี จากมุมมองในความทรงจำที่มีอยู่จำกัด แต่เมื่อรู้ตัว ก็จะวางสิ่งที่เคยทราบทิ้งไว้ซะก่อน เพื่อที่จะสามารถซึมซับเนื้อหานั้นๆให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้

    วิธีการของกฤษณะมูรติ ต้องการที่จะให้เราเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตประจำวัน จากความว่าง จากความไม่มีอะไร เพื่อที่เราจะสามารถใช้ความสามารถที่เรามีอยู่ทั้งหมดในการเรียนรู้

    เป็นการใช้สติปัญญาภายในของเรา ในการเรียนรู้

    ซึ่งจะทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ก็ต่อเมื่อ เราว่าง เราไม่มีอะไรจริงๆ

    สิ่งเหล่านี้คือ ธรรมชาติสมาธิ ธรรมชาติแห่งปัจจุบันขณะ ธรรมชาติของเรา

    เดี๋ยวผมจะค่อยๆเขียน สิ่งที่ผมได้อ่าน จากมุมมองเฉพาะส่วนตัว ที่ค่อนข้างจำกัดอยู่อีกเยอะ จากเนื้อหาของกฤษณะมูรติ ที่อยู่ข้างต้น มาแบ่งปันกันนะครับ
     
  14. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    กฤษณะมูรติ ได้กล่าวว่า

    "ความกลัวดำรงอยู่ด้วยความทรงจำ ด้วยการคิดถึงมัน"

    "มีทั้งความกลัวในอดีต และในอนาคต

    อะไรคือสิ่งที่หล่อเลี้ยง และดำรงรักษาความกลัวในอดีต และอนาคตไว้เล่า

    แน่นอนว่า มันคือ ความคิด"


    "ความกลัวไม่อาจขจัดได้ด้วยความคิด เพราะความคิดก่อให้เกิดความกลัว"


    "การจดจ่อ คือ การต้านทานแบบหนึ่ง เป็นการเพ่งความคิดไปที่จุดใดจุดหนึ่ง และเมื่อจิตใจถูกฝึกให้เพ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จิตใจจะสูญเสียความยืดหยุ่น ว่องไว และกลายเป็นจิตใจที่ไม่สามารถรับรู้ถึงชีวิตอย่างรอบด้าน"

    "สมาธิจึงเป็นเส้นสายอันต่อเนื่องตั้งแต่ต้นจนจบ และในสมาธิย่อมเต็มไปด้วยอุบายในการกระทำ
    "

    "คำว่า "ใส่ใจอย่างทั่วพร้อม" หมายถึง การใส่ใจด้วยจิตใจทั้งหมดของคุณซึ่งไม่มีความกลัว ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีแรงกระตุ้นของผลกำไร ไม่มีความพึงพอใจ ดังนั้นเมื่อจิตใจใส่ใจอย่างทั่วพร้อม นั่นคือ ใส่ใจด้วยหัวใจของคุณ ใส่ใจด้วยสัมผัสรับรู้ ด้วยตา ด้วยทั้งหมดของตัวคุณ"

    "ทั้งหมดนี้คือสมาธิ ถ้าหากคุณสามารถทำได้เช่นนั้น ประตูก็จะเปิดออกให้คุณเดินเข้าไป โลกุตตระไม่ใช่สิ่งที่โรแมนติค หรือสิ่งที่น่าหลงใหล ไม่ใช่สิ่งที่คุณหวัง หรืออยากจะหลบหนี แต่คุณอาจเข้าหามันด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยปัญญา มีความว่องไว ไม่บิดเบือน คุณอาจเข้าหามันด้วยความรัก ไม่เช่นนั้น สมาธิก็เป็นสิ่งไร้ความหมาย"

    "ความเงียบนั้น ต้องไม่ใช่ผลจากกระแสเสียง หรือการสิ้นเสียง ความเงียบย่อมเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เมื่อมีสภาวะอย่างอื่นเกิดขึ้นในใจ"


    จากเนื้อความข้างต้น

    กฤษณะมูรติ กล่าวว่า เราจะเข้าสู่ความเงียบในปัจจุบันขณะได้อย่างไร
    เข้าถึงได้อย่างฉับพลันได้อย่างไร โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม เพราะหากใช้ความพยายาม ก็จะมีแรงต้านทาน และสูญเสียความไวตามธรรมชาติไป

    การเข้าสู่ความเป็นปัจจุบัน ต้องไม่มีความกลัวอยู่ในนั้น นั่นคือ ต้องไม่มีความคิดอยู่ในนั้น เพราะความคิดก่อให้เกิดความกลัว

    แล้วเราจะทำยังไงดีหละ

    กฤษณะมูรติ กล่าวว่า เมื่อเราเพ่ง เราใช้ความพยายามในการจับจ้องความคิด เราก็จะอยู่นิ่ง ไม่มีความคิดเกิดขึ้น ในขณะที่เราจับจ้องมันอยู่
    นั่นหมายถึงว่า เราไม่มีความคิด เราอยู่ในความว่าง เราอยู่ในปัจจุบันขณะใช่หรือไม่

    เค้ากล่าวว่า นั่นไม่ใช่ความเงียบที่แท้จริง

    เพราะเรากำลังใช้ความคิดที่จับจ้อง ไปเฝ้ามองไม่ให้ความคิดมันเกิดอยู่

    เรากำลังจ้องมองด้วยความคิดที่มีความกลัวอยู่ กลัวว่า จะเกิดความคิดขึ้นมา แล้วจะไม่ได้อยู่ในปัจจุบันขณะ

    แต่เมื่อเราทราบว่า เรากำลังกลัวที่จะเกิดความคิดอยู่ ความคิดมันจะดับวูบลง

    จังหวะที่เรารู้แล้วว่า เรากำลังใช้ความคิด จ้องมองไม่ให้เกิดความคิดอยู่

    เราจะหลุดจากการครอบงำของความคิด

    และใช้สติปัญญาภายใน ในการมอง คือ มองด้วยการใส่ใจอย่างทั่วพร้อม

    หากเปรียบเทียบการมอง การทำงานของจิตทั้งสองแบบ เป็นการมองรูปทรงสี่เหลี่ยม

    การจ้องมอง พยายามมอง จะเหมือนกับเรา มองดูสี่เหลี่ยมเพียงด้านเดียว และหยุดดูแค่ด้านเดียว แล้วนิ่งอยู่อย่างนั้น จึงเห็นเพียงมิติเดียว เห็นเพียงด้านที่เราจ้องมองอยู่

    แต่การมองด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อม คือ การมองจากที่ว่าง เข้าไปที่รูปทรงสี่เหลี่ยม จึงเห็นได้ทุกด้านทุกมุม ทุกมิติ

    การดำรงชีวิตอยู่ด้วยความเงียบ ความว่าง ในชีวิตประจำวัน
    จึงไม่ใช่ว่า นิ่ง ไม่คิด ไม่ทำอะไรเลย

    แต่เป็นการมอง การคิด จากความรู้สึกตัวทั่วพร้อม เพื่อให้เห็นรากเหง้าของปัญหา รากเหง้าของความกลัว เห็นทุกอย่างอย่างรอบด้าน

    เป็นการใช้กลไกของจิต รู้ แล้วจึงคิด คิดแล้วจึงค่อยรับ แล้วค่อยเก็บเข้าความทรงจำ

    เป็นการคิด โดยไม่มีมลภาวะ คิดโดยไม่มีเวลา เพราะเวลาเกิดจากความคิด เป็นการคิดจากความว่าง

    เป็นการรู้คิด จากธรรมชาติของสติปัญญาภายใน

    หากเราลองเปรียบเทียบกันดู ระหว่าง การคิดเมื่อเรามีอารมณ์ขุ่นมัว กับการคิดด้วยความผ่อนคลาย ผลที่ได้เป็นอย่างไร คิดว่าทุกๆท่านคงทราบกันดีใช่มั๊ยครับ :)
















     
  15. แม่หมูอ้วน

    แม่หมูอ้วน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    530
    ค่าพลัง:
    +6,061
    มาเจอกระทู้นี้โดยบังเอิญ เริ่มอ่านคร่าว ๆ ก็รู้สึกว่าสุดยอดมาก แต่อ่านไม่ไหวเพราะทานยาแก้แพ้อากาศไป จะหลับให้ได้เลย ต้องเข้ามาขอบคุณ คุณเซลก่อนที่ทำให้ได้ความรู้ดีๆอย่างนี้ค่ะ พอหายง่วงแล้วต้องกลับมาอ่านใหม่อีกครั้งแน่นอน ขออนุญาติก๊อปไว้อ่านด้วยนะคะ
     
  16. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    ยินดีครับ คุณแม่หมูอ้วน
    หากพิจารณาเห็นว่าสิ่งใดมีประโยชน์ และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ผมก็รู้สึกยินดีมากๆครับ :)


    ต่ออีกนิดครับ เรื่องที่กฤษณะมูรติกล่าวไว้

    แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่า เรากำลังเพ่ง กำลังจ้อง กำลังจะตระครุบ เจ้าความคิด ที่เรามองเห็นว่า มันทำให้เราออกจากปัจจุบันขณะ

    อันดับแรก ที่สังเกตุได้ง่ายๆก็คือ ความเมื่อย ความล้า ความรู้สึกกดดัน ที่ร่างกาย ที่จิตใจ

    แล้วความเมื่อย ความล้า ความกดดัน ความพยายาม ทั้งหลาย มันเกิดจากอะไร

    สิ่งนั้น เกิดจากความไม่รู้ ว่าเราคิด เรารู้สึก อะไร

    แต่เมื่อเราเห็น ว่ามีความคิด ความรู้สึก สิ่งใดแล้ว

    เป็นการเติมความรู้ ให้กับความไม่รู้

    นั่นคือ เรามีสติ และมีสัมปชัญญะ เกิดขึ้นแล้ว

    เมื่อมีอยู่ทั่วพร้อม ความกลัว ความเมื่อยล้า ความกดดัน ความหดหู่ ความเศร้าหมอง มันยากที่จะก่อรูป ก่อตัวขึ้นมาได้

    และเราจะเป็นอิสระ จากสิ่งที่ครอบงำเอาไว้

    เข้าสู่ความเป็นปัจจุบันขณะ

    เข้าสู่การใช้จิตอีกระบบนึง

    [​IMG]

    ชั่วขณะ แห่งปัจจุบันขณะ คืออะไร

    เช่น เมื่อเรามองดอกไม้ ชั่วขณะ ที่จะมีความคิดเกิดว่า ดอกอะไร พันธุ์อะไร สีอะไร สวย ไม่สวย หอม ไม่หอม และอื่นๆ

    ชั่วขณะนั้น คือ ช่วงแห่งปัจจุบันขณะ ช่วงเวลาแห่งความรัก ที่ไม่มีสิ่งใดเคลือบแฝง

    เมื่อมีสติสัมปชัญญะรู้ ว่าความคิด ที่มาจากความทรงจำ จะโผล่ออกมา

    ความคิด จากความทรงจำ นั้นจะดับไป

    และทำให้ชั่วขณะ แห่งปัจจุบันนั้น ขยายตัวออกไปเชื่อมต่อกับสนามพลังงานภายนอก ที่เป็นปัจุบันขณะชั่วนิจนิรันดร์

    แต่เมื่อเราพยายามที่จะรักษามันไว้ เพราะกลัวว่าช่วงขณะนี้จะหายไป

    มันก็จะหายไป

    เพราะช่วงปัจจุบันขณะที่เราทราบ และสัมผัสแล้วนั้น มันกลายเป็นความทรงจำไปแล้ว

    และเรากำลังเรียกความทรงจำที่ดีนั้นขึ้นมาใหม่ เราจึงยังอยู่ในวังวนของความคิด วังวนของความทรงจำ

    เมื่อใดที่เราตระหนักว่า นั่นคือ ความรู้สึกในความทรงจำ เราก็จะกลับเข้าสู่ปัจจุบันขณะอีกครั้ง

    ดังนั้น ปัจจุบันขณะ จึงไม่ได้เกิดจากการสะสม ให้มีมากขึ้นๆ แต่มันคือ ทักษะในการรู้เท่าทัน



    ในชีวิตประจำวัน

    เคยมั๊ยครับ ที่ระหว่างนั่งทำอะไรเพลินๆอยู่ เมื่อมีเสียงดังๆเข้ามาที่หู ความสนใจเราก็พุ่งไปที่เสียงดังนั้น แต่เรามีสติรู้ว่า นั่นคือเสียง

    เมื่อมีสติรู้ เรากำลังอยู่ในช่องว่างระหว่างความคิดสองความคิด

    คือ ความคิดที่กำลังทำอะไรเพลินๆ กับ ความคิดที่ไปจับจ้องกับเสียงดัง

    เมื่อเราอยู่ระหว่างชั่วขณะรอยต่อของความคิด

    เรากำลังแทรกเข้าช่องว่าง ไปยังสนามพลังงานของปัจจุบันขณะ

    ช่องว่างเหล่านี้ อยู่ในทุกกระบวนการคิด กระบวนการทางอารมณ์ กระบวนการทางกาย กระบวนการเคลื่อนไหวของธรรมชาติ เข้ามากระทบกับประสาทสัมผัส

    เพียงแต่เรามีสติสัมปชัญญะรู้ เราจะแทรกเข้าสู่ช่องว่างนี้ได้อย่างรวดเร็ว และถี่ขึ้นๆ

    ทำไมจิตมันถึงแทรกเข้าไปที่ช่องว่างทุกครั้งที่มันเห็น

    นั่นก็เพราะมันต้องการอิสระจากการครอบงำ

    เพราะจิตรู้ว่า นั่นคือ ธรรมชาติความจริงแท้ของจิต



     
  17. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    กฤษณะ จี มักบอกอยู่เสมอว่า ความคิดเป็นสิ่งเก่า
    ความคิดไม่ใช่ความสดใหม่
    ทันทีที่เราคิด เราประมวลผลจากข้อมูลความทรงจำเดิมๆ ที่สมองบันทึกไว้

    เวลาเรามองดอกไม้
    จากนั้นเราก็เริ่มเรียกชื่อ เราก็เริ่มมีความคิด และเราก็เริ่มเลือก
    จากนั้นก็ วิพากย์วิจารณ์ ดี-ไม่ดี ชอบ-ไม่ชอบ ใช่-ไม่ใช่
    ตัดสิน และเลือกข้าง

    เราจึงไม่เคยมีสมาธิ เพราะสมาธิคือความสดใหม่
    สมาธิ คือปัจจุบันขณะเสมอ
    สมาธิไม่มีความทรงจำ
    ตราบใดที่ยังเลือก ยังตัดสิน ยังวิพากย์ เพราะคิด
    ตราบนั้นเราก็กำลังจมอยู่กับอดีต หรือไม่ก็พุ่งไปในอนาคต
    เราจะหาปัจจุบันขณะไม่พบแม้วินาที

    ........................................

    ขอบคุณ คุณเซลล์ อีกครั้งค่ะ...มาบ่น เฉยๆ อ่ะ
     
  18. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    ขอบคุณครับคุณเดรด ที่มาช่วยสรุปความให้อีกที

    ประโยคบางประโยคสั้นๆ แต่แฝงความหมายที่ลึกซึ้งอยู่มากมาย
    :)



    ทางธิเบต เรียกกุณฑาลิณี ว่า ดราละ

    ท่านเชอเกรียม ตรุงปะ ได้อธิบายไว้อย่างลึกซึ้ง ในวิธีคิด วิธีปฎิบัติ ในชีวิตประจำวัน ให้ทุกก้าวย่าวเป็นบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์


    มาลองใช้จิตที่เบิกบานอ่านดูนะครับ และเชื้อเชิญดราละ ให้มาอยู่ในชีวิตกัน


    คัดลอกจากหนังสือ ชัมบาลา





    จะปลุกอำนาจวิเศษขึ้นมาได้อย่างไร


    "เมื่อคุณได้สำแดงความอ่อนโยน และความชัดเจนออกมาในสภาพแวดล้อมของตน เมื่อนั้นพลังและความรุ่งโรจน์ก็จะอุบัติขึ้นมาในสถานการณ์นั้นๆ แต่ถ้าคุณพยายามที่จะสร้างภาวะนี้ขึ้นมา จากอัตตาของตนเอง สิ่งนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้น คุณไม่มีทางครอบครองพลัง และอำนาจวิเศษของโลกนี้ได้ แม้มันจะคือสิ่งที่มี และดำรงอยู่เสมอ ทว่าก็มิใช่สมบัติส่วนตัวของใคร"


    โลก แห่งปรากฏการณ์ซึ่งมนุษย์ทุกคนมีประสบการณ์ผ่านมานั้นล้วนยอกย้อนแปรเปลี่ยน อยู่เสมอ ทั้งยังโหดร้ายทารุณ คุณอาจจะสงสัยใจอยู่บ่อยครั้งว่าคุณเป็นผู้บงการสถานการณ์อันแปรเปลี่ยนและ โหดร้าย หรือสถานการณ์นั้นเป็นผู้บงการคุณ

    ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับว่าคุณกำลังขี่ลา หรือลาขี่คุณกันแน่


    โดยปกติแล้วในประสบการณ์ทางโลกของคุณย่อมมีปัญหาอยู่ว่าใครขี่ใคร ยิ่งคุณพยายามดิ้นรนเพื่อเป็นฝ่ายได้เปรียบ ยิ่งคุณเร่งความเร็วและความก้าวร้าวเพื่อเอาชนะอุปสรรคมากเพียงใด คุณก็ยิ่งตกเป็นเบี้ยล่างของโลกแห่งปรากฏการณ์มากเพียงนั้น

    การท้าทายที่แท้จริงก็คือ การขึ้นอยู่เหนือการแบ่งแยกทั้งปวง มีทางเป็นไปได้ที่จะบรรสานเข้ากับพลังซึ่งอยู่เหนือการแบ่งแยก อยู่เหนือความก้าวร้าว เป็นพลังซึ่งมิใช่ส่งเสริม หรือต่อต้านตัวคุณ นั่นคือพลังแห่งดราละ

    ดราละมิใช่เทพหรือเจตภูต แต่โดยพื้นฐานแล้ว มันคือการเชื่อมโยงปรีชาญาณของคุณเข้ากับพลังของสรรพสิ่งดังที่เป็นอยู่ ถ้าคุณสามารถเชื่อมโยงทั้งสองสิ่งเข้าด้วยกันได้ นั่นเองคุณก็อาจค้นพบอำนาจวิเศษในทุกๆสิ่ง

    แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่ว่าอะไรคือสิ่งที่ช่วยคุณให้เชื่อมโยงกับสิ่งนั้นได้ เราเปรียบหลักการดราละว่าเหมือนดั่งดวงอาทิตย์ ถึงแม้ว่าดวงอาทิตย์จะอยู่ในฟากฟ้าตลอดเวลา แต่อะไรเล่าที่ทำให้คุณมองขึ้นไปและแลเห็นว่ามันอยู่ที่นั่น ถึงแม้ว่าอำนาจวิเศษจะดำรงอยู่ตลอดเวลา แต่อะไรทำให้คุณค้นพบมัน

    คำจำกัดความพื้นฐานของดราละ ก็คือ “พลังที่อยู่เหนือความก้าวร้าว” ทางเดียวที่จะสัมพันธ์กับพลังนั้นได้ก็คือ การเข้าถึงภาวะความอ่อนโยนในตัวคุณ


    ดังนั้น การค้นพบดราละจึงไม่ใช่เหตุบังเอิญ การจะเชื่อมโยงเข้ากับอำนาจวิเศษอันเป็นพื้นฐานของความจริง จะต้องมีความอ่อนโยนและความเปิดกว้างดำรงอยู่ในตัวคุณอยู่ก่อนแล้ว

    มิฉะนั้นจะไม่มีทางประจักษ์แจ้งถึงพลังอันปราศจากความก้าวร้าวหรือพลังของดราละในโลกนี้ได้เลย

    ดังนั้นการฝึกฝนขัดเกลาตนเองของนักรบซัมบาลาจึงเป็นรากฐานที่สำคัญในการเข้าถึงดราละ

    ในโลกอาทิตย์อัสดงซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของความกลัวตัวเองและกลัวความตาย จะไม่มีสายใยเชื่อมโยงอยู่กับหลักการดราละเลย ทัศนะอย่างขลาดเขลาและก้าวร้าวของโลกอาทิตย์อัสดง ได้ทำลายโอกาสที่จะเข้าถึงอำนาจวิเศษ ทำลายในโอกาสเข้าถึงคุณสมบัติอันเจิดจ้าและจริงแท้ของความจริงลง

    ทัศนะด้านตรงข้ามของโลกอาทิตย์อัสดง และหนทางที่จะปลุกดราละขึ้นมาก็คือ การดำเนินตามญาณทัศนะแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ สิ่งนี้เองคือการสำแดงออกแห่งความดีงามที่แท้จริงของมนุษย์ ซึ่งมิได้ตั้งอยู่บนความหยิ่งยโสหรือความก้าวร้าว หากตั้งอยู่บนความอ่อนโยนและเปิดกว้าง นี่เองคือหนทางของนักรบ

    สาระสำคัญของหนทางหรือแนวทางนี้ก็คือ การขึ้นอยู่เหนือความขลาดและสำแดงความกล้าออกมา นี่คือหนทางที่ดีที่สุดและเป็นทางเดียวที่จะปลุกดราละขึ้น ซึ่งก็คือการสร้างบรรยากาศแห่งความกล้าหาญขึ้น

    แง่มุมที่เป็นพื้นฐานของความกล้าก็คือการไม่หลอกลวง
    การหลอกลวงในที่นี้ก็คือ การหลอกตนเอง เกิดความสงสัยในตนเองจนกระทั่งถูกตัดขาดออกจากญาณทัศนะของอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่

    ดราละจะลงมาสู่ภาวการณ์ดำรงอยู่ของคุณก็เพียงเมื่อคุณได้ตระเตรียมรากฐานมาเป็นอย่างดีเท่านั้น ถ้าหากว่ายังมีการหลอกลวงหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด คุณก็จะทำลายดราละไป จากแง่มุมนี้เองจึงอาจถือได้ว่าการหลอกลวงเป็นอำนาจวิเศษของโลกอาทิตย์อัสดง

    โดยทั่วๆไปแล้ว เมื่อเราพูดว่าใครเป็นคนกล้าหาญ เราหมายความว่าเขาเป็นคนไม่หวาดกลัวศัตรู หรือพร้อมที่จะสละชีพ เพื่อเหตุบางประการหรือเป็นคนที่ไม่เคยมีความหวาดกลัว

    แต่ตามความเข้าใจของซัมบาลาเกี่ยวกับความกล้าหาญนั้นแตกต่างออกไป ในที่นี้ความกล้าหาญก็คือความกล้าที่จะเป็น ที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกโดยไม่หลอกลวง ทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาและความกังวลห่วงใยผู้อื่น

    คุณอาจสงสัยว่าการเป็นอย่างนี้จะก่อเกิดอำนาจวิเศษขึ้นมาในชีวิตได้อย่างไร

    ทัศนะโดยทั่วๆ ไปที่มีต่ออำนาจวิเศษก็คือ คิดว่าคุณอาจบังคับควบคุมธาตุมูลต่างๆได้ คุณอาจเปลี่ยนดินให้กลายเป็นไฟ เปลี่ยนไฟให้เป็นน้ำ หรืออาจต้านแรงโน้มถ่วงเหาะเหินเดินอากาศได้

    ทว่าอำนาจวิเศษที่แท้จริงคือ อำนาจวิเศษแห่งความจริง ซึ่งยังคงเป็นดังที่มันเป็น เป็นดินแห่งดิน เป็นน้ำแห่งน้ำ เป็นการสื่อสารกับมวลธาตุ เพื่อว่ามันจะได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับตัวคุณ
    (ในแง่มุมหนึ่ง)

    เมื่อคุณสั่งสมความกล้าหาญขึ้นมาก็เท่ากับว่า คุณได้เชื่อมโยงเข้ากับคุณสมบัติมูลฐานของภาวะการดำรงอยู่ ความกล้านั้นจะเริ่มยกภาวะการดำรงอยู่ของคุณให้สูงขึ้น นั่นก็คือเปิดเผยออกถึงคุณสมบัติอันรุ่งโรจน์และแท้จริงของภาวะการดำรงอยู่ และสภาวะแวดล้อม ดังนั้นเองคุณจึงเริ่มติดต่อเข้ากับอำนาจวิเศษของความจริงซึ่งดำรงอยู่ที่นั่นแล้ว

    คุณจึงสามารถดึงดูดเอาพลังอำนาจและปรีชาญาณปฐมกาลซึ่งผุดขึ้นมาจากกระจกเงา แห่งจักรวาลออกมา

    ตรงจุดนั้นเอง คุณจะเริ่มแลเห็นว่าคุณอาจแผ่พลังออกสู่สภาพแวดล้อมได้อย่างไร (ยกระดับพลังงานสภาพแวดล้อมนั้นขึ้นมาอย่าเป็นธรรมชาติ จากการเปลี่ยนแปลงจิตใจภายใน-จขกท)

    เพื่อให้หลักการดราละปรากฏอยู่ในทุกๆกิจกรรมของชีวิต คุณจะค้นพบว่าคุณสามารถรวบรวมชีวิตขึ้นเพื่อดึงดูดอำนาจวิเศษหรือดราละเข้ามา ให้มันฉายฉานประภารัศมีขึ้นในโลกของคุณ หนทางเพื่อบรรลุถึงสิ่งนี้แบ่งออกเป็นสามขั้นตอนด้วยกัน ซึ่งเรียกว่าหนทางสามสายในการปลุกดราละ

    หนทางแรกเป็นการปลุกดราละภายนอก

    ซึ่งเป็นการปลุกอำนาจวิเศษในตัวสภาพแวดล้อมขึ้น สภาพแวดล้อมนี้อาจจะจำกัดคับแคบและเล็กเท่ากับห้องเช่าหรือใหญ่โตเท่าคฤหาสน์หรือโรงแรม การจัดแจงดูแลพื้นที่นั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้ามันสกปรกยุ่งเหยิงก็ไม่มีทางที่ดราละจะแทรกตัวเข้ามาได้

    แต่อีกนัยหนึ่ง เราก็มิได้พูดกันถึงเรื่องการลงทุนตกแต่งภายในหรือใช้จ่ายเงินมากมาย เพื่อซื้อเครื่องเรือนและพรมนำมาสร้าง “สภาพแวดล้อมตัวอย่าง” ขึ้น

    สำหรับนักรบแล้วการปลุกดราละภายนอกขึ้นก็คือการสร้างความกลมกลืนขึ้นมาในสภาพแวดล้อม เพื่อจะได้ช่วยส่งเสริมพลังการรับรู้และการจดจำให้ละเอียดอ่อนขึ้น

    ด้วยเหตุนี้เองสภาพแวดล้อมจึงกลับมาช่วยเสริมการฝึกฝนตนเองตามแนวทางของนักรบ ยิ่งไปกว่านั้น การที่คุณจัดแจงดูแลสภาพแวดล้อมจะต้องตั้งอยู่บนความเอื้ออาทรต่อผู้อื่นด้วย คุณสามารถแบ่งปันโลกของคุณโดยการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อผู้อื่นขึ้นมา ประเด็นจึงอยู่ตรงที่คุณจะต้องไม่ยืนยันอัตตาของตัวเองจนเกินไป แต่ยอมให้ผู้อื่นเข้ามาร่วมในโลกของคุณได้

    เมื่อสิ่งนี้เริ่มเกิดขึ้นก็มีทางเป็นไปได้ที่สิ่งอื่นๆ จะติดตามมา นั่นคือเมื่อคุณได้สำแดงความอ่อนโยนและความชัดเจนออกมาในสภาพแวดล้อม เมื่อนั้นพลังและความรุ่งโรจน์ก็จะอุบัติขึ้นมาในสถานการณ์นั้นๆ แต่ถ้าคุณพยายามที่จะสร้างสภาวะเช่นนี้ขึ้นมาจากอัตตาของตัวเอง สิ่งนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้น คุณไม่มีทางครอบครองพลังและอำนาจวิเศษของโลกนี้ได้ แม้มันจะเป็นสิ่งที่มีและดำรงอยู่เสมอ ทว่าก็มิใช้สมบัติส่วนตัวของผู้ใด

    มีตัวอย่างอื่นๆ อีกมากในการปลุกดราละภายนอกขึ้น ดังเช่นที่ข้าพเจ้าเคยได้อ่านมาเกี่ยวกับอเมริกันอินเดียนทางตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งสามารถปลูกพืชผักในทะเลทราย พื้นดินที่นั้น ถ้าพูดกันอย่างเป็นกลางแล้วก็นับว่าปราศจากความอุดมโดยสิ้นเชิง ถ้าคุณเพียงหว่านเมล็ดพืชลงไปสักกำมือ ก็จะไม่มีแม้สักเมล็ดงอกขึ้นมาเลย

    ทว่าชาวอินเดียนได้เพาะปลูกบนผืนดินแห่งนั้นมานานหลายชั่วอายุ เขาได้สร้างสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งขึ้นมากับแผ่นดิน เข้าเฝ้าทะนุถนอมดูแลมัน สำหรับเขาแล้ว แผ่นดินเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และด้วยเหตุนี้เองที่พืชพรรณของเขาจึงงอกงามขึ้นมา นี่เป็นอำนาจวิเศษที่แท้จริง

    ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ที่คุณมีต่อสภาพแวดล้อมจะนำดราละมาสู่คุณ คุณอาจอาศัยอยู่ในกระท่อมดิน ซึ่งปราศจากพื้นและมีหน้าต่างเพียงบานเดียว แต่ถ้าคุณถือว่าสถานที่นั้นเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าคุณดูแลเอาใจใส่มันด้วยจิตและใจ เมื่อนั้นเองมันจะกลับกลายคล้ายดังเวียงวังทีเดียว

    ความคิดเกี่ยวกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ เป็นสิ่งที่เอื้อความรู้สึกยิ่งใหญ่ให้ เกิดขึ้นแก่มหาวิหาร ดังเช่น วิหารชาร์เตอรส์ หรือทำเนียบรัฐบาล ดังเช่น สภาผู้แทนราษฎรอังกฤษ

    ตามปกติแล้วโบสถ์วิหารมักจะตั้งใจสร้างขึ้นให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่สถานที่ของรัฐบาลสถาปนิก อาจไม่ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เลย

    อย่างไรก็ตาม สถานที่เหล่านั้นมีอะไรซึ่งดำรงอยู่มากไปกว่าโครงสร้างของอาคาร หรือความงดงามของวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างมันแผ่บรรยากาศออกมาอย่างชนิดที่คุณอาจสัมผัสได้

    ชาวกรีกและโรมันได้วางผังเมืองอย่างเข้าใจถึงดราละภายนอก คุณอาจกล่าวว่าการสร้างน้ำพุไว้ตรงจัตุรัส หรือตรงทางแยกเป็นเพียงการกระทำอย่างสะเปะสะปะไม่ตั้งใจ

    แต่เมื่อคุณได้เผชิญหน้ากับน้ำพุเหล่านั้น จะรู้สึกได้ว่านี่มิใช่ความบังเอิญเลย มันตั้งอยู่ในที่ที่เหมาะสมและดูเหมือนจะช่วยขยายพื้นที่ให้ดูกว้างโล่งขึ้น

    ในยุคปัจจุบัน เราพากันคิดเห็นต่อโรมันในแง่ลบ เพราะแบบฉบับความฉ้อฉลและความเสื่อมทรามทางศีลธรรมของพวกผู้ปกครองโรมัน เราจึงดูถูกปรีชาญาณในวัฒนธรรมนั้น

    แน่นอนที่ว่าความฉ้อฉลเป็นสิ่งที่ขับไล่ดราละไป ทว่าก็ยังคงมีพลังและปรีชาญาณดำรงอยู่ในกระแสอารยธรรมโรมันซึ่งเราไม่อาจมองข้ามได้


    กล่าวโดยสรุปแล้ว การปลุกหลักการแห่งดราละภายนอกขึ้นมานั้น สัมพันธ์อยู่กับการจัดสภาพสิ่งแวดล้อมเพื่อให้มันกลายเป็นสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา

    การนี้เริ่มต้นด้วยการจัดสภาพแวดล้อมในบ้าน และนอกเหนือไปกว่านั้นคือ การจัดสภาพสิ่งแวดล้อมที่กว้างใหญ่ขึ้นไปอีก เช่น เมืองหรือแม้ทั้งประเทศ

    ครั้นแล้วก็มาถึงการปลุกดราละภายใน

    ซึ่งก็คือการปลุกดราละในตัวคุณขึ้นมา โดยพื้นฐานแล้ว ประสบการณ์แห่งดราละภายในก็คือเมื่อยามที่คุณรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันหมดภายในกาย

    เป็นหนึ่งเดียวกันในแง่ที่ว่า ศีรษะ ไหล่ ลำตัว แขน เครื่องเพศ เข่า ขา และส้นเท้า ล้วนต่อติดรวมกันอยู่เป็นร่างกายมนุษย์ที่ดีงามโดยพื้นฐาน

    คุณไม่รู้สึกว่ามีการทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างศีรษะกับไหล่ ระหว่างส้นเท้ากับขา และอวัยวะส่วนอื่นๆ และไม่ว่าผมคุณจะหงอกขาว ใบหน้าเริ่มเหี่ยวย่นหรือมือเริ่มสั่น นั่นก็หาเป็นไรไม่

    เพราะยังคงมีความรู้สึกอยู่ว่าร่างกายของคุณยังคงมีสมรรถนะ ยังคงมีเอกภาพอยู่ดังเดิม เมื่อคุณแลดูคุณก็ได้เห็น เมื่อคุณสดับฟังคุณก็ได้ยิน เมื่อคุณดมคุณก็ได้กลิ่น เมื่อคุณชิม คุณก็ลิ้มรส ประสาทสัมผัสของคุณยังคงทำงานประสานกันเป็นหนึ่งเดียว เป็นการแสดงออกถึงสุขภาพอนามัยที่สมบูรณ์ (มีสติสัปชัญญะทุกการกระทำ - จขกท)

    คุณอาจปลุกดราละภายในขึ้นมา โดยผ่านความสัมพันธ์กับนิสัยประจำตัวซึ่งขึ้นอยู่ กับรายละเอียดของการแต่งเนื้อแต่งตัว การกิน การดื่มและนอน เราอาจหยิบยกเรื่องเสื้อผ้าขึ้นมาเป็นตัวอย่าง เพราะสำหรับนักรบแล้ว เสื้อผ้าก็คือเสื้อเกราะแห่งการฝึกฝนตนเอง

    ซึ่งมิใช่เป็นว่าคุณหลบซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อผ้าเพราะเหตุว่าคุณกลัวที่จะแสดง ตนออกอย่างนักรบที่ดี หากเป็นเพราะเมื่อคุณสวมใส่เสื้อผ้าอย่างเหมาะสม อย่างได้สัดส่วนรูปทรง การแต่งกายนั้นเองจะช่วยขจัดความมักง่าย และนำสง่าราศีมาสู่ตน

    ในบางครั้งเมื่อเสื้อผ้ารับพอดีกับตัวคุณ แต่คุณกลับรู้สึกว่ามันคับไป ถ้าคุณแต่งตัวเป็นทางการ คุณอาจรู้สึกอึดอึดเพราะต้องผูกเนคไท ต้องสวมสูทหรือชุดหรือกระโปรงรัดรูป

    แนวคิดเรื่องการปลุกดราละภายในขึ้นมา มิใช่การยอมพ่ายแพ้ต่อแรงยั่วยวนต่อความรู้สึกปล่อยตามสบาย ความรู้สึกอึดอัดที่คอ ตรงเป้ากางเกงหรือตรงเอวเป็นสัญลักษณ์ที่ดี

    มันหมายความว่าเสื้อผ้าของคุณสวมใส่ได้เหมาะเจาะ ทว่าความประสาทของคุณกลับเข้าไปไม่ได้กับเสื้อผ้าชุดนั้น แนวคิดสมัยใหม่มักเป็นไปในทางอิสระและปล่อยตามสบาย นั่นเป็นเพราะแรงดึงดูดของเสื้อผ้าโปลิเอสเตอร์ซึ่งสวมใส่สบาย คุณจะรู้สึกเกร็งเมื่อต้องแต่งตัวเต็มยศ คุณใคร่จะแก้เนคไท ถอดแจ็คเกตหรือรองเท้าออก ครั้นแล้วคุณก็เอนกายลงเอาเท้าพาดโต๊ะและวางตัวตามสบาย โดยหวังว่าจิตใจก็จะพลอยเป็นอิสระไปด้วย

    แต่ตรงจุดนั้นเองที่จิตใจกลับเริ่มระส่ำระสาย มันกลับเต็มไปด้วยช่องโหว่ และขยะต่างๆในจิตใจก็เริ่มผุดออกมา การผ่อนคลายชนิดนั้นมิได้เอื้อให้เกิดเสรีภาพอย่างแท้จริง ดังนั้นสำหรับนักรบ การสวมใส่เสื้อผ้าที่รับกับรูปทรงจึงเปรียบประดุจการสวมใส่เกราะ การแต่งกายของคุณอาจนำมาซึ่งสง่าราศรี

    ดราละภายในยังอาจเกิดขึ้นจากการสัมพันธ์กับอาหารการกินอย่างถูกต้อง โดยการเอาใจใส่ในโภชนาการ นี่มิได้หมายความว่าคุณจะต้องเพียรไปหาซื้ออาหารที่ดีที่สุด แต่คุณอาจใช้เวลาเลือกสรรอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย และคุณอาจเพลิดเพลินในการปรุงอาหาร รับประทานและล้างจาน เก็บกวาดเศษอาหารที่เหลือ

    นอกเหนือไปจากนั้น คุณยังอาจปลุกดราละภายในขึ้นโดยการฝึกสติควบคู่ไปกับการกิน เฝ้าดูคุณใช้ปากทำอะไรบ้าง คุณใส่อาหารเข้าไปทางปาก คุณดื่มน้ำด้วยปาก คุณสูบบุหรี่ด้วยปากเช่นกัน คล้ายดังกับว่าปากเป็นโพรงใหญ่หรือเป็นถังขยะใบใหญ่ซึ่งคุณใส่ทุกสิ่ง ทุกอย่างลงไป ปากของคุณเป็นประตูบานใหญ่ที่สุด คุณพูดผ่านมัน ร่ำร้องและจูบผ่านมัน คุณใช้ปากของคุณมากจนกระทั่งว่ามันได้กลายเป็นประตูแห่งจักรวาลไป

    ลองคิดเล่นๆ ว่าถ้าหากมีชาวโลกอังคารเฝ้าดูคุณอยู่ พวกเขาคงจะรู้สึกแปลกใจที่คุณใช้ปากมากมายเหลือเกิน

    การที่จะปลุกดราละภายในขึ้น คุณจะต้องมีสติกับการใช้ปากด้วยเช่นกัน บางทีคุณอาจไม่จำเป็นต้องใช้มันอย่างที่คุณคิด การชื่นชมในโลกของคุณนั้น มิได้หมายถึงว่าคุณจะต้องใช้สอยและบังเกิดทุกสิ่งทุกอย่างที่แลเห็นเสมอไป เมื่อคุณกิน คุณก็อาจกินอย่างช้าๆ และสม่ำเสมอ และคุณก็อาจเห็นคุณค่าในสิ่งที่กินเข้าไป เมื่อคุณพูดจา ก็ไม่จำเป็นจะต้องพล่ามทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในใจออกมา คุณอาจพูดเท่าที่จำเป็น พูดอย่างอ่อนโยนและก็หยุดเว้น ปล่อยให้ผู้อื่นพูดบ้าง หรืออาจหยุดเพื่อชื่นชมความเงียบ

    แนวคิดพื้นฐานของการปลุกดราละภายในขึ้นมา ก็คือการที่ทำให้คุณสามารถประสาน หรือจัดสมดุลทางกายและความสัมพันธ์ของคุณเข้ากับโลกแห่งปรากฏการณ์ การประสานกลมกลืนหรือการเชื่อมโยงนี้เป็นบางสิ่งบางอย่างที่คุณแลเห็นได้ คุณอาจแลเห็นจุดเชื่อมโยงของผู้คนกับดราละภายในจากสิ่งที่เขาทำ ดูว่าเขาหยิบจับถ้วยชามอย่างไร สูบบุหรี่อย่างไร ลูบผมตนเองอย่างไร สิ่งใดก็ตามที่คุณทำย่อมสะท้อนออกให้เห็นเสมอถึงอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อตนเอง และต่อสิ่งแวดล้อม

    ไม่ว่าคุณจะรู้สึกเมตตา รู้สึกเศร้าหรือโกรธ ไม่ว่าคุณจะรู้สึกดีหรือแย่ต่อสภาพแวดล้อม สิ่งเหล่านั้นอาจสังเกตเห็นผ่านท่าทางและการกระทำเสมอ ดังประหนึ่งว่าคุณได้แต่งงานกับโลกแห่งปรากฏการณ์ ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม คุณเปิดก๊อกน้ำในขณะอาบน้ำด้วยอาการอย่างไร แปรงฟันอย่างไร เหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์หรือการขาดความสัมพันธ์กับโลก เมื่อความสัมพันธ์นั้นประสานกันอย่างสมบูรณ์ เมื่อนั้นคุณก็จะสัมผัสได้ถึงดราละภายในตน

    ท้ายสุดยังมีสิ่งที่เรียกว่าการปลุกดราละลี้ลับขึ้นมา

    ซึ่งเป็นผลจากการปลุกหลักการดราละภายนอกและภายในขึ้น ด้วยเหตุว่าคุณได้สร้างสภาพแวดล้อมอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมารอบตัว และด้วยเหตุที่คุณประสานกายได้อย่างงดงามและหมดจด ดังนั้นเอง คุณจึงกระตุ้นความตื่นอันยิ่งใหญ่ขึ้นเป็นปัจจุบันขณะอันยิ่งใหญ่ภายในสภาวะจิต

    ในบทที่ว่าด้วย “การปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ” ได้แนะนำให้รู้จักแนวคิดเรื่องอาชาวายุ หรือการขับขี่บนพลังของความดีงามพื้นฐานในชีวิตของคุณ อาชาวายุมาจากคำภาษาธิเบตว่า “ลุงตะ” ลุงหมายถึง “ลม” และ “ตะ” หมายถึง “ม้า”

    การปลุกดราละลี้ลับขึ้นมา ก็คือประสบการณ์ในการก่อเกิดม้าลม ก่อเกิดลมและพลังแห่งความปีติ และขับขี่ไปหรือเข้าควบคุมบังคับบัญชาพลังนั้น ลมเช่นนั้นอาจพัดมาด้วยกำลังแรงดังเช่นไต้ฝุ่น ซึ่งอาจพัดโค่นต้นไม้ และตึกรามบ้านช่องลง และก่อเกิดคลื่นใหญ่ขึ้นในทะเล

    ประสบการณ์ส่วนตัวในเรื่องลมนี้ ปรากฏขึ้นเป็นความรู้สึกตัวทั่วถ้วนอยู่ในปัจจุบันขณะและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

    แง่มุมของม้าก็คือนอกเหนือจากพลังของลมอันรุนแรงนี้แล้ว คุณยังอาจรู้สึกได้ถึงความมั่นคง

    คุณจะไม่แกว่งไกวไปด้วยความสับสนของชีวิต ไม่หวั่นไหวด้วยความตื่นตระหนกหรือแรงบีบคั้น คุณอาจขับขี่อยู่บนพลังแห่งชีวิตของตนเอง
    (เมื่อจิตใจมั่นคง ลมปราณเต็มเปี่ยม คุณจะไม่รู้สึกตื่นตระหนกตกใจได้ง่ายๆ - จขกท)

    ดังนั้น อาชาวายุ จึงมิใช่เป็นเพียงลีลาการเคลื่อนไหวและความเร็ว ทว่ามันยังรวมถึงความเป็นจริง และความสามารถที่จะแยกแยะ ซึ่งเป็นสัมผัสอันละเอียดอ่อนตามธรรมชาติด้วย คุณสมบัติของลุงตะนั้น คล้ายกับขาทั้งสี่ของม้า ซึ่งช่วยให้ม้ามั่นคงและสมดุล แน่นอนในที่นี้คุณมิได้กำลังขี่ม้าธรรมดาสามัญ ทว่าชื่อ อาชาวายุ

    โดยการปลุกหลักการดราละภายนอกและภายในขึ้นมา ก็เท่ากับคุณได้บำรุงเลี้ยงลมแห่งพลังและความเบิกบานขึ้นในชีวิตของคุณ คุณจะเริ่มรู้สึกได้ถึงพลังธรรมชาติและสภาวะเบื้องสูงสำแดงออกมาในการดำรง อยู่ของคุณ

    ยิ่งไปกว่านั้น การบำรุงเลี้ยง อาชาวายุขึ้นมา คุณก็สามารถจัดการกับสิ่งใดๆ ก็ตามที่อุบัติขึ้นมาในภาวะจิต จะไม่มีปัญหาหรือความลังเลอยู่อีกต่อไป

    ดังนั้นผลจากการปลุกดราละลี้ลับขึ้นมาก็คือการบำรุงเลี้ยง อาชาวายุ

    คุณจะสัมผัสได้ถึงภาวะจิตซึ่งเป็นอิสระจากกระแสจิตใต้สำนึก เป็นอิสระจากความลังเลสงสัยหรือความกังขาใดๆ คุณจะได้สัมผัสถึงปัจจุบันขณะแห่งดวงจิตซึ่งสดใหม่และบริสุทธิ์ยิ่ง


    ปัจจุบันขณะนั้นเองที่ไร้เดียงสาและพร้อมที่จะเชื่อ(ในด้านบวก) และสดใหม่อย่างสมบูรณ์

    ดราละลี้ลับก็คือประสบการณ์แห่งสภาวะจิตในขณะนั้น


    ซึ่งก็คือแก่นแท้ของปัจจุบันขณะ คุณอาจสัมผัสได้ถึงพลังความสามารถที่จะเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับญาณทัศนะ และปรีชาญาณอันสุดหยั่งถึงของกระจกเงาแห่งจักรวาล ณ ที่นั้นเอง

    ในขณะเดียวกัน คุณก็ได้ประจักษ์ว่า ประสบการณ์แห่งปัจจุบัน ขณะนั้นอาจเชื่อมโยงความไพศาลของปรีชาญาณปฐมกาล เข้ากับปรีชาญาณแห่งวัฒนธรรมอดีตและความเป็นจริงแห่งชีวิตปัจจุบันด้วย ด้วยเหตุนี้เอง คุณจึงเริ่มแลเห็นว่าโลกอันศักดิ์สิทธิ์ของนักรบอาจสร้างขึ้นมาได้อย่างไร

     
  19. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    บทต่อมา ท่านพูดถึงเรื่อง การรู้จักอุปสรรค การปลุกดราระ มาลองทำความเข้าใจกันครับ


    เอาชนะความหยิ่งยโส


    ในบทก่อน เราได้พูดกันถึงเรื่องหนทางการปลุกหลักการดราละขึ้นมา ในบทนี้และบทถัดไป เราจะพูดกันถึงอุปสรรคของการปลุกดราละขึ้น



    ซึ่งอุปสรรคเหล่านี้จะต้องเอาชนะให้ได้ ก่อนที่เราจะสามารถอย่างลึกซึ้งในการปลุกดราละภายนอก ภายในและดราละลี้ลับขึ้น



    สิ่งสำคัญยิ่งในการปลุกดราละขึ้นก็คือ การเตรียมรากฐานแห่งความอ่อนโยนและความจริงใจขึ้น



    อุปสรรคพื้นฐานของความอ่อนโยนก็คือความหยิ่งยโส ความหยิ่งยโสเกิดจากการถือมั่นในตัวตนระหว่างตัวฉันและผู้อื่นมากเกินไป คุณอาจจะศึกษาหลักการของนักรบและญาณทัศนะแห่งอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่



    และคุณอาจได้รับฟังคำสอนมากมายเรื่องว่าจะดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะและก่อเกิด อาชาวายุได้อย่างไร แต่ถ้าหากว่าคุณถือเอาสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความสำเร็จส่วนตัว เมื่อนั้นก็นับว่าคุณพลาดไป เพราะแทนที่จะกลับอ่อนโยนเป็นมิตร คุณอาจจะกลายเป็นคนยโสโอหังอย่างสุดขั้ว



    “นายโจ สมิธ ผมนี่แหละทีสามารถก่อเกิดอาชาวายุขึ้น ผมรู้สึกภูมิใจมากที่กำลังจะสำเร็จ ผมเป็นคนพิเศษที่มีอะไรอยู่ในตัว”



    การเป็นคนอ่อนโยน ปราศจากความหยิ่งยโส คือคำจำกัดความของสุภาพบุรุษตามนัยแห่งชัมบาลา ตามความหมายในพจนานุกรมภาษาอังกฤษของอ๊อกซ์ฟอร์ด ความหมายหนึ่งของการเป็นสุภาพบุรุษก็คือ คนซึ่งไม่มีกิริยาอาการหยาบคาย คือคนซึ่งมีนิสัยใจคออ่อนโยนสุภาพและได้รับการอบรมบ่มเพาะมาอย่างดี



    อย่างไรก็ตามสำหรับนักรบแล้ว ความอ่อนโยนมิได้หมายเพียงความสุภาพเรียบร้อย ความอ่อนโยน คือ ความใส่ใจในผู้อื่น ห่วงใยกังวลในตัวผู้อื่นตลอดเวลา สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีชัมบาลา คือคนผู้มีจิตใจเผื่อแผ่ คือคนที่แท้จริง เขาเป็นผู้ที่อ่อนโยนทั้งต่อตนเองและผู้อื่น จุดประสงค์ของจรรยามารยาทหรื ระเบียบวินัยซึ่งเราได้รับการสั่งสอนมาก็คือ ความใส่ใจต่อผู้อื่น เราอาจจะคิดว่าถ้าเรามีมารยาทดี เราเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชายที่ดี เรารู้มารยาทในการกินและดื่มอย่างถูกต้อง รู้ว่าสิ่งไหนควร สิ่งไหนไม่ควร นั่นถือว่าเราเป็นคนใช้ได้ใช่ไหม แต่นั่นมิใช่ประเด็นเลย ประเด็นนั้นอยู่ตรงที่ถ้าเรามีมารยาทที่เลวในโต๊ะอาหาร นั่นจะทำให้คนรอบๆ ข้างเสียความรู้สึก และโดยนัยเดียวกัน คนรอบข้างก็จะสั่งสมมารยาทที่เลวขึ้นมาด้วย และโดยนัยนี้พวกเขาก็จะทำให้ผู้อื่นเสียความรู้สึกไปด้วย ถ้าเราใช้ผ้ากันเปื้อนและเครื่องใช้บนโต๊ะอย่างผิดเพราะไม่ได้รับการอบรมบ่ม เพาะมา นั่นเองที่จะสร้างปัญหาให้กับผู้อื่น



    กิริยามารยาทที่ดี มิได้หมายถึง การเสริมสร้างความสำคัญของตนเองขึ้นมา คนเราอาจนึกไปว่าเราเป็นประดุจดังเจ้าชายหรือเจ้าหญิง แต่แก่นหลักของการมีกิริยามารยาทที่ดีก็เพื่อที่จะสื่อสารออกถึงความเคารพ ของเราที่มีต่อผู้อื่น



    ดังนั้นเราจำต้องใส่ใจในสิ่งที่เรากระทำหรือแสดงออก เมื่อมีใครเข้ามาในห้อง เราควรจะกล่าวคำทักทายหรือยืนขึ้นต้อนรับโดยการจับมือ ประเพณีปฏิบัติเหล่านี้เกี่ยวพันกับการที่จะใส่ใจกับผู้อื่นให้มากขึ้น หลักการของนักรบตั้งอยู่บนการขัดเกลาตนเองและพัฒนาการข่มใจขึ้นมา เพื่อว่าเราจะสามารถแผ่ขยายตัวเองออกไปสู่ผู้อื่น หลักการเหล่านั้นเป็นสิ่งสำคัญมากเพื่อจะขจัดความหยิ่งยโสออกไป



    เรามักจะคิดว่าแรงบีบคั้นต่อสังคมของเรา หรือต่อตัวเรา มาจากภายนอก เรากลัวว่าอาจมีศัตรูมาทำร้าย แต่ทว่าสังคมนั้นถูกทำลายจากภายใน มิใช่โดยการจู่โจมจากภายนอก เราอาจจินตนาการว่ามีศัตรูถือหอกหรือปืนมาฆ่าฟันเรา แต่โดยความเป็นจริงแล้วสิ่งเดียวที่อาจทำลายเราได้ดำรงอยู่ภายในตัวเราเอง ถ้าเรามีความยโสโอหังมากเกินการ เราก็จะทำลายความอ่อนโยนของตนเองลง และถ้าเราทำลายความอ่อนโยนไป เมื่อนั้นก็เท่ากับได้ทำลายความเป็นไปได้ที่จะตื่นขึ้น เมื่อนั้นเราก็ไม่อาจใช้แรงดลใจ แห่งความเปิดกว้างเพื่อที่จะแผ่ขยายตนเองออกไป ในสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม ทว่าจะกลับสั่งสมความก้าวร้าวขึ้นมาอย่างมหาศาล


    ความก้าวร้าวนั้น ทำให้สถานที่รองรับตัวเราแปดเปื้อน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ซึ่งคุณนั่ง ผนังซึ่งล้อมรอบเพดาน หน้าต่างหรือประตู โดยนัยนี้คุณจึงไม่มีสถานที่ซึ่งจะเชื้อเชิญดราละให้เข้ามาดำรงอยู่ พื้นที่นั้นกลับกลายเป็นเหมือนโรงยาฝิ่น ทั้งมืดอับและสกปรก และดราละจึงพูดว่า “ฮื ใครอยากจะหลอกหลวง” ไม่มีสิ่งใดที่เอื้อให้เกิดขึ้นเลย เมื่อห้องนั้นบรรจุเต็มอยู่ด้วยตัวคุณและความก้าวร้าวของคุณ จะไม่มีมนุษย์ซึ่งมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์คนไหนที่จะถูกดึงดูดให้เข้าไปสู่ สถานที่นั้น แม้แต่ตัวคุณเองก็ไม่อยากเช่นกัน



    เมื่อภาระแวดล้อมกลับแข็งตัวและเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส เต็มไปด้วยผู้คนทั้งชายหญิงที่มีอัตตาแก่กล้า ดราละย่อมถูกขับไล่ไป ทว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าหากมีนักรบหรือมีใครก็ตามซึ่งปราศจากความก้าวร้าว เป็นอิสระจากความหยิ่งยโสทั้งเต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนเดินเข้ามาในห้อง เมื่อคนดังว่าเข้ามาในสถานการณ์อันตึงเครียดซึ่งเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสและ มลภาวะทางจิตใจ เป็นไปได้ซึ่งคนในห้องนั้นจะเริ่มรู้สึกสมเพชตัวเอง เขาจะรู้สึกว่าเขาไม่อาจเล่นตลกหรือเล่นเกมส์ได้อีกต่อไป เพราะมีใครคนหนึ่งซึ่งไม่ยอมร่วมมือ ในการหลอกตัวเองเดินเข้ามา พวกเขาไม่อาจแผดเสียงหัวร่อในความตลกแบบโลกอาทิตย์อัสดง หรือเกลือกกลิ้งร่างบนพื้นได้อีกต่อไป ดังนั้นโดยปกติแล้วพวกเขาก็จะจากไป ทิ้งนักรบไว้เพียงลำพังให้นั่งอยู่ในห้องนั้น



    ครั้นแล้วเพียงชั่วขณะ คนอีกกลุ่มหนึ่งอาจเดินเข้ามา มองหาห้องที่สดใหม่และบรรยากาศที่สะอาดสะอ้าน เขาเริ่มรวมตัวเข้าด้วยกัน เป็นผู้คนอ่อนโยนซึ่งอาจแย้มยิ้มโดยปราศจากความยโสโอหังและก้าวร้าว บรรยากาศย่อมแตกต่างจากการชุมนุมของพวกโลกอาทิตย์อัสดง เมื่อก่อนหน้านี้ ห้องนั้นอาจจะทรุดโทรมรกเรื้อกว่าโรงยาฝิ่น ทว่าอากาศกลับเบิกบานและสดชื่น ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ดราละจะมาแอบดูที่ประตูหน้าต่าง เขาจะเริ่มสนใจในไม่ช้าก็ปรารถนาจะเข้ามา เข้ามาทีละคนสองคน เขาจะยอมรับอาหารและเครื่องดื่ม และผ่อนคลายตามสบายในบรรยากาศนั้นด้วยเหตุที่มันสะอาดหมดจด ด้วยเหตุว่าบรรยากาศนั้นปราศจาก ความหยิ่งยโส ดราละก็จะเข้ามาร่วมวงและแบ่งปันสติปัญญาอันยิ่งใหญ่ให้



    เมื่อผู้ฝึกปรือเป็นนักรบ ได้ผ่านประสบการณ์แห่งสภาพแวดล้อมซึ่งมีดราละดำรงอยู่ ซึ่งมีความจริงมีความเป็นไปได้แห่งสติปัญญาดำรงอยู่ เขาย่อมแลเห็นคุณค่าและสามารถชื่นชมในขุ่นเขา เมฆหมอกและท้องฟ้าแดด ต้นไม้และดอกไม้ ลำธาร เสียงหัวร่อและร้องไห้ของเด็กๆ นั่นคือจุดหลักของการปลุกดราละขึ้นมา



    ซึ่งก็คือการและเห็นคุณค่าของความจริงอย่างเต็มเปี่ยมและเหมาะสม คนที่หยิ่งยโสนั้น จะไม่มีทางและเห็นสีแดงและน้ำเงินอันสว่างไสวได้อย่างชัดเจนลึกซึ้ง ไม่อาจแลเห็นสีขาวและสีส้มอันเจิดจ้าได้ คนหยิ่งยโสมัวแต่วุ่นวายอยู่กับตัวเอง มันแต่แข่งขันแย่งขิงอยู่กับคนอื่นจนลืมที่จะมองดูไป



    เมื่อคุณเต็มเปี่ยมด้วยความอ่อนโยน โดยปราศจากความหยิ่งยโสและความก้าวร้าว เมื่อนั้นคุณก็จะแลเห็นถึงความเรืองรองของจักรวาล คุณอาจพัฒนาสัมผัสรับรู้ที่แท้จริงถึงจักรวาลขึ้นมาได้ คุณอาจชื่นชมในใบหญ้าสีเขียวอันมีรูปทรงงดงาม อาจชื่นชมเจ้าตั๊กแตนตัวลายซึ่งมีจุดสีทองแดงและมีหนวดสีดำ มันเกาะอยู่บนต้นไม้อย่างน่ารัก เมื่อยามที่คุณเดินเข้าไปใกล้ มันก็กระโดดหนีไป สิ่งเล็กๆเช่นนี้ไม่ทำให้รู้สึกเบื่อหน่ายที่จะมองดู หากเป็นการค้นพบใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา วันทุกวันคุณจะแลเห็นสิ่งต่างๆกันผิดแผกแตกต่างกันไป



    เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในเท็กซัส เมื่อสองสามปีก่อน ข้าพเจ้าได้เห็นตั๊กแตนนับพัน แต่ละตัวต่างก็ผิดแผกแตกต่างไป ต่างก็มีแถบมีจุดสีต่างๆกัน ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นตั๊กแตนสีม่วง ทว่าเคยเห็นสีทองแดง เขียว น้ำตาลอ่อนแกมเทาและสีดำ บางครั้งก็มีจุดแดงอยู่บนตัว โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งน่าพิศวง ไม่ว่าคุณจะไปแห่งหนไหน ไม่ว่าคุณจะมองไปที่ใด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำรงอยู่ในโลกของเราล้วนเป็นสิ่งที่น่าสัมผัสเรียนรู้ บางทีวันนี้อาจจะมีหิมะตก มีหิมะจับอยู่บนกิ่งสน และเราอาจเฝ้ามองทิวเขาสะท้อนประกายอัสดงอยู่เหนือพื้นแผ่นดินสีน้ำเงินเข้ม เบื้องหน้า เมื่อเราเริ่มมองเห็นรายละเอียดของธรรมชาติเช่นนี้ เราย่อมรู้สึกได้ว่า หลักการดราละได้ดำรงอยู่ที่นั่นแล้ว เราไม่อาจเมินเฉยละเลยต่อสถานการณ์อันวิเศษสุดซึ่งดำรงอยู่ในโลกแห่งปรากฏการณ์ เราอาจฉวยโอกาสจับมันไว้ให้ได้มั่นตรงนั้น การปลุกหลักการดราละย่อมบังเกิดจากความหลงใหลซึ่งเรามีอยู่แล้วและพึงจะมี โดยปราศจากความหยิ่งยโส เราอาจชื่นชมในโลกของเรา ซึ่งเป็นจริงยิ่งและงดงามยิ่ง
     
  20. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    ถ้อยคำของท่าน ตรงไปตรงมา เต็มไปด้วยความรัก ความจริงใจ ความปราถนาดี มาทำความเข้าใจกันนะครับ

    เอาชนะนิสัยและความเคยชิน

    ความหยิ่งยโสนั้นเกิดแต่การขาดความอ่อนโยน ดังที่เราได้พูดกันมาแล้ว ทว่าเหนือขึ้นไปกว่านั้น ก็คือ การขาดความอ่อนโยนนั้นสืบเนื่องมาจากการตั้งมั่นอยู่บนนิสัยและความเคยชิน ดังนั้นนิสัยจึงอุปสรรคอย่างหนึ่งในการปลุกดราละขึ้น

    โดยการติดยึดอยู่กับความเคยชิน ก็เท่ากับเราได้แยกขาดตัวเองออกจากโลกของนักรบ นิสัยนั้นเป็นเหมือนดังปฏิกิริยาตอบโต้อัตโนมัติ เมื่อเราตกใจเราก็กลัวจนตัวแข็งทื่อ และเมื่อเราถูกจู่โจมเราก็ปกป้องตนเอง ในระดับที่เข้มข้นยิ่งไปกว่านั้น เราใช้นิสัยเพื่อปกปิดสามัญสำนึกของเรา

    เมื่อเรารู้สึกว่าตนเป็นคนไม่เก่ง เราก็ใช้ปฏิกิริยาบางอย่างมาปะภาพพจน์ของเราไว้ เราสร้างข้อแก้ตัวขึ้นมาเป็นเกราะกำบังความไม่เก่งของเราไว้จากผู้อื่น พื้นฐานแห่งอารมณ์ตอบสนองของเรามักจะเป็นเพียงภาพสะท้อนของนิสัยเท่านั้น ดังเช่น ความรู้สึกเหนื่อยล้าในจิตใจ ความวิตกกังวล ความอึดอัดรำคาญต่อบางสิ่งซึ่งเราไม่ชอบ และความปรารถนาต่างๆมากมาย

    เราใช้นิสัยห่อหุ้มตัวเองไว้และดันตัวเองขึ้นมา

    ญี่ปุ่นมีคำเฉพาะที่น่าสนใจ คำว่า โทราโนโกะ ซึ่งแปลว่า “ลูกเสือ” นี่เป็นถ้อยคำเสียดสี เมื่อคุณเรียกใครว่าเป็นโทราโนโกะ นั่นหมายถึงว่าเขาเป็นเพียงเสือกระดาษ เป็นคนซึ่งดูเหมือนกล้าหาญ ทว่าแท้ที่จริงขี้ขลาด นั่นคือคำอธิบายของการยึดติดอยู่กับนิสัยและความเคยชิน คุณอาจพยายามนิดหน่อยที่จะเปิดเผยความขลาดของตนออกมา
    “ผมรู้ว่าผมไม่ใช่คนที่ปราศจากความกลัวโดยสิ้นเชิง” ทว่าแม้แต่คำสารภาพนั้นก็ยังคงเป็นการแสดงออกถึงโทราโนโกะ เป็นลูกเสือตัวอ้วนๆ ซึ่งกลัวเงาของตัวเอง กลัวที่จะกระโดโลดเต้น กลัวที่จะเล่นกับลูกเสือตัวอื่น


    คำธิเบตที่ใช้เรียกสัตว์นี้ก็คือคำว่า ทูโดร ทู แปลว่า “ค่อม” และโดร แปลว่า “เดิน” ทูโดรคือสัตว์สี่เท้าซึ่งเดินหลังค่อม ประสาทสัมผัสที่ไวที่สุดของมันก็คือจมูก ซึ่งมันใช้ดมคลำทางอยู่ในโลก นั่นคือคำบรรยายที่ชัดเจนยิ่งของนิสัยและความเคยชินซึ่งเป็นการสำแดงออกแห่ง สัญชาตญาณของสัตว์

    ความเคยชินนี้ไม่เคยอนุญาตให้คุณมองไกลเกินกว่าสามก้าวข้างหน้าเลย คุณก้มลงมองพื้นตลอดเวลา ไม่เคยเลยที่จะมองดูฟ้าใสหรือยอดดอย คุณพลาดที่จะแย้มยิ้มหรือชื่นบานกับภาพของหมอกที่ลอยคลุ้งขึ้นเหนือภูเขาน้ำ แข็ง ที่จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่สูงเกินกว่าระดับไหล่ของคุณก็แลดูน่าเคอะ เขินไปหมด ไม่เคยมีศักดิ์ศรีและความงามสง่าอุบัติขึ้นในสภาวะนี้เลย


    คุณอาจเคยได้รับคำแนะนำสั่งสอนถึงเรื่องความสง่าและศักดิ์ศรี ได้รับคำสอนในการที่จะตั้งตัวตรงแหงนมองดวงอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่ แต่ถ้าหากว่าคุณยังคงไม่อาจเอาชนะนิสัยความเคยชินของตนได้ คุณก็ยังคงเป็นทูโดร ซึ่งค้อมหลังลงคลานสี่ขาดังเดิม เมื่อคุณกระทำการตามความเคยชินคุณจะไม่มองดูซ้ายหรือขวา คุณพลาดโอกาสที่จะแลเห็นถึงความสดใสของสีสันนานา พลาดโอกาสที่จะชื่นชมในสายลมเฉื่อยฉ่ำซึ่งพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา คุณปรารถนาจะปิดหน้าต่างเสียทันที เพราะเหตุว่าอากาศสดชื่นนั้นเป็นสิ่งน่ารำคาญ

    เมื่อคนแบบทูโดร ซึ่งเต็มไปด้วยนิสัยและความเคยชินต่างๆมองดูนักรบ เขาอาจรู้สึกว่า ภาวะการดำรงอยู่ของนักรบนั้นน่าเบื่อหน่ายรำคาญยิ่ง ทำไมนักรบจึงต้องยึดตัวตรง มีสง่าและตื่นตัวดังนั้นด้วย จำเป็นนักหรือที่จะต้องทำดังนั้น พวกทูโดร-คนหลังค่อมสี่ขาซึ่งปราศจากหัวและไหล่อาจรู้สึกเวทนานักรบ

    ด้วยเหตุว่านักรบนั้นจะต้องยืนอยู่ด้วยขาสองข้าง ตั้งศีรษะและไหล่ให้ตรง เป็นไปได้ที่คนใจอ่อนเช่นนี้อาจมอบเก้าอี้ให้เป็นของขวัญแก่นักรบ เพราะคิดว่าเก้าอี้อาจทำให้นักรบมีความสุข เพื่อว่านักรบจะได้ไม่ต้องตั้งหัวและไหล่ให้ตรง อย่างน้อยที่สุดก็อาจนั่งงอก่อและเอาเท้าพาดโต๊ะกาแฟได้บ้าง


    แต่ทว่านักรบนั้นไม่เคยต้องการเวลาพักผ่อน พยายามที่จะผ่อนคลายโดยการเอนกายคุดคู้ตามสบาย หรือปล่อยตัวตามนิสัยและความเคยชิน การทำดังนั้นรังแต่จะเป็นการหลบหนีความจริงเท่านั้น

    เมื่ออยู่ที่ทำงานคุณเป็นนายจ้างใจดี มีอารมณ์ขัน แต่วินาทีแรกที่คุณกลับถึงบ้านคุณก็ลืมทุกอย่างสิ้น คุณเปิดโทรทัศน์ดู ตบตีภรรยา ไล่ตะเพิดลูกๆให้กลับเข้าห้อง บอกว่าต้องการความสงบ แต่น่าสงสัยว่าความสงบแบบไหนซึ่งคนเช่นนี้ต้องการ ดูเหมือนว่าเขาต้องการความเจ็บปวดและชีวิตที่เหมือนตกนรกทั้งเป็นเสียมากกว่า

    เหตุนี้เองคุณจึงไม่อาจเป็นนักรบ ณ ที่ทำงาน และเป็นทูโดรที่บ้านได้พร้อมๆกัน

    กระบวนการในการปลดปล่อยตัวเองออกจากความหยิ่งยโสและถอนทำลายความเคยชินลง เป็นวิธีการที่ออกจะรุนแรง แต่ว่าจำเป็นยิ่งหากปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้คนในโลก

    คุณจำต้องมีความภาคภูมิในตนเอง และยืดกายอย่างสง่าผ่าเผย คุณต้องถือตนเองเป็นดั่งนักรบที่แท้จริงและสัตย์ซื่อ นายอูถั่นแห่งพม่าผู้เป็นเลขาธิการสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ เป็นตัวอย่างของการเป็นนักรบและการช่วยเหลือผู้อื่นโดยปราศจากความหยิ่งยโส เขาเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาอย่างดียิ่ง ทั้งได้อบรมบ่มเพาะตนเองด้วยการปฏิบัติสมาธิ เขาได้ปฏิบัติภารกิจของสหประชาชาติอย่างสมเกียรติ เต็มไปด้วยความนุ่มนวลและอ่อนโยน ดังนั้นเองผู้คนจึงรู้สึกเคารพยำเกรงและรู้สึกได้ถึงพลังอำนาจของเขา ผู้คนพากันยกย่องในสิ่งที่เขาพูดและในการตัดสินใจของเขา เขาเป็นรัฐบุรุษยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งแห่งศตวรรษ และเป็นแบบฉบับอันเยี่ยมยอดของคนผู้ซึ่งได้เอาชนะนิสัยและความเคยชินของตน


    นิสัย และความเคยชินนั้นเป็นสิ่งที่อันตรายและมีผลในแง่ทำลายล้าง มันสกัดกั้นคุณไว้มิให้แลเห็นถึงอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่ เมื่อคุณกระทำการตามความเคยชินอยู่ตลอดเวลา คุณก็ไม่อาจเงยหน้าหรือยืดไหล่ขึ้นได้เลย คุณกลับจมอยู่ตรงนั้น ก้มลงต่ำแลดูโน่นดูนี่ คุณมัวใส่ใจอยู่กับแมลงวันที่เกาะอยู่บนขอบถ้วยยิ่งกว่าที่จะใส่ใจและดู อาทิตย์อุทัยไขแสง คุณลืมที่จะเงยขึ้นและเปิดสายตาให้กว้างไกล ลืมที่จะแลดูดวงอาทิตย์ยิ่งใหญ่ซึ่งๆหน้า คุณหลอมตัวเองลงเชื่อมโยงเข้ากับภพกึ่งมนุษย์กึ่งสัตว์ คุณไม่ปรารถนาที่จะเข้ามีส่วนในความปีติยินดี ไม่ปรารถนาที่จะเข้าร่วมรับความเจ็บปวดที่จะเข้ามีส่วนในความปีติยินดี ไม่ปรารถนาที่จะเข้าร่วมรับความเจ็บปวดหรือความยากลำบาก เพื่อที่จะแลเห็นถึงดวงอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่

    เมื่อคุณยังเด็กมีอายุสามขวบ คุณไม่เคยหลีกหนีความจริงเลย เพราะคุณกระตือรือร้นใคร่จะรู้ว่าสิ่งต่างๆเป็นไปอย่างไร คุณมักจะถามพ่อแม่ด้วยคำถามต่างๆนานา “แม่ฮะ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ พ่อฮะทำไมเราถึงทำอย่างนี้” แต่ความสงสัยใคร่รู้อันไร้เดียงสาได้ถูกหลงลืมไปแล้ว ได้สูญสิ้นไปแล้ว

    ดังนั้นจึงจำเป็นที่คุณจะต้องจุดมันขึ้นมาใหม่ การเข้าอยู่อาศัยในรังดักแด้ของพฤติกรรมแบบทูโดร เกิดขึ้นภายหลังจากกระบวนการสงสัยใคร่รู้แต่แรกเริ่มนั้น ครั้งหนึ่งเคยมีความสงสัยใคร่รู้อย่างใหญ่หลวง ครั้นต่อมา คุณคิดว่า คุณถูกกระทำอย่างโหดร้ายจากโลก ดังนั้นคุณจึงกระโดดเข้าไปอยู่ในรังดักแด้และตั้งใจที่จะหลับ


    การยืดไหล่ยกหัวตั้งตรงบางครั้งอาจทำให้คุณรู้สึกปวดหลังเกร็งคอ แต่การแผ่ขยายตนเองออก การยกระดับตนเองขึ้นเป็นสิ่งจำเป็น เรามิได้กำลังพูดกันถึงเรื่องปรัชญา ทว่ากำลังพูดกันถึงว่าเราจะเป็นมนุษย์ผู้เจริญได้อย่างไร โดยไม่จำเป็นต้องหาสิ่งเพลิดเพลินมากล่อมตนเอง

    การแสดงหาความเพลิดเพลินอย่างฉับพลันกลายเป็นปัญหาใหญ่ในปัจจุบัน
    “ต่อไปฉันจะทำอย่างไรดี ฉันจะช่วยไม่ให้ตนเองรู้สึกเบื่อได้อย่างไร ฉันไม่อยากจะเห็นเจ้าโลกอันกระจ่างแจ้งนั่นเลย” ขณะเมื่อเรากำลังเย็บผ้าอยู่ เราก็คิดว่า “จะมีวิธีอื่นไหมที่จะเย็บผ้านี้ มีทางไหมที่จะช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงเส้นทางสายนี้” เส้นทางซึ่งเรากำลังเดินอยู่นับว่ายากลำบาก ทว่าไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้


    โดยการหยุดระงับความเคยชินลงเสีย เราก็จะชื่นชมในโลกที่แท้จริงได้ ณ ที่นั้น เราอาจชื่นชมในโลกอันมหัศจรรย์และกระจ่างสดสวยซึ่งรายล้อมอยู่รอบๆตัว เราไม่จำเป็นต้องรู้สึกเศร้าเสียใจหรือเคอะเขิน ถ้าเราไม่ยอมปฏิเสธความเคยชินของเรา เราจะไม่มีทางชื่นชมในโลกได้อย่างเต็มที่ แต่ครั้งหนึ่งที่เราเอาชนะนิสัยและความเคยชินของตน หลักการของดราละอันหนักแน่น อำนาจวิเศษนั้นย่อมลงมาสู่เรา และเราจะกลายเป็นปัจเจกชนผู้เป็นนายแห่งโลกของตน
     

แชร์หน้านี้

Loading...