มิติซ้อนมิติ โดย ดร.ครรชิต มาลัยวงศ์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย piyaa, 12 กรกฎาคม 2012.

  1. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    เมื่อท่านพ่อและเหล่าลูกศิษย์ร่วมกันสร้างโบสถ์ ซึ่งเป็นโบสถ์คอนกรีตเสริมเหล็กทั้งหมด โบสถ์ของท่านพ่อไม่เหมือนกับโบสถ์วัดอื่นทั่วไป ที่มีช่อฟ้าใบระกาหลังคากระเบื้อง ตัวโบสถ์เหมือนรูปไข่ไขว่ หลังคาโบสถ์ทำเป็นฐานแล้วก่อสร้างองค์พระพุทธรูปปางนาคปรกองค์ใหญ่อยู่บนหลังคาโบสถ์ องค์พระสูงยี่สิบหกเมตร หน้าตักกว้างหกเมตร เศียรพญานาคซ้ายขวากว้างแปดเมตร งานนี้มีเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันเป็นกำลังสำคัญในการก่อสร้าง ร่วมกับพระและฆราวาสลูกศิษย์ท่านพ่อ
    วันธรรมดาจะมีคนมาช่วยงานประมาณวันละสามสิบคน ส่วนวันเสาร์อาทิตย์มาเป็นร้อยคน ตอนนี้ผู้เขียนเริ่มมานั่งภาวนาที่วัดของท่านพ่อ เริ่มมีกลุ่มพี่ๆ น้องๆ เรียกว่ากัลยาณมิตรทางธรรมมากขึ้น ลูกศิษย์ทุกคนรักและเคารพในองค์ท่านพ่อ ต่างทุ่มเทแรงกายแรงใจร่วมใจกันทำงานถวายท่านพ่อ ซึ่งท่านพ่อเปี่ยมไปด้วยบารมีและเมตตาธรรม วางใจเป็นกลางได้ยอดเยี่ยม ใครๆ ก็รักท่าน คนดีคนบ้าเข้ามาวัดท่านก็รับไว้หมด
    ระหว่างนี้ผู้เขียนหูก็เริ่มดี กลับได้ยินขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่บอดสนิทเหมือนตอนแรก ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ ตั้งจิตอธิษฐานขอในขณะที่จิตเป็นสมาธิว่า
    “ขอให้ผู้เขียนได้มีโอกาสได้ยินบ้าง เพราะยังต้องมีภาระเลี้ยงดูครอบครัว”
    หลังจากนั้นหูก็เริ่มกลับมาได้ยินอีกครั้ง เรียกว่าพอใช้ได้จึงสามารถรับฟังการสนทนากับท่านพ่อได้ดีขึ้นกว่าเก่า เมื่อหูเริ่มได้ยินเสียง ก็ได้ยินเพื่อนพูดคุยให้ฟังบ้างว่า ท่านพ่อบ่นว่าการสร้างโบสถ์ครั้งนี้มีปัญหาเรื่อยๆ ผู้เขียนก็ไม่เข้าใจว่าปัญหานั้นคืออะไร
    เย็นวันอาทิตย์ของวันหนึ่งวัดที่ต่างจังหวัด ผู้เขียนได้เข้าไปกราบลาท่านพ่อเพื่อกลับกรุงเทพฯ ท่านพ่อได้พูดขึ้นว่า
    “เอ็งลองไปนั่งดูซิว่า ทำไมการการสร้างโบสถ์ถึงมีอุปสรรคนัก”
    สำหรับเรื่องนี้ผู้เขียนได้รับฟังท่านพ่อแบบผ่านๆไม่ได้ใส่ใจนัก และคิดว่านี่คงเป็นอีกเรื่องหนึ่งเหมือนที่ผ่านๆมา ที่ท่านพ่ออยากให้ผู้เขียนรู้เห็นด้วยตนเอง เป็นการเรียนรู้
    ดังนั้นเมื่อกลับถึงบ้าน ตกตอนกลางคืนเข้าห้องพระนั่งสมาธิเหมือนทุกๆวัน เมื่อจิตสงบสติกับจิตรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ภาพนิมิตเรื่องราวต่างๆก็เกิดขึ้นให้ได้รับรู้ ทั้งๆที่ไม่คิดจะนั่งดูเรื่องที่ท่านพ่อสั่งมาเลย มันเกิดขึ้นเองโดยมิได้กำหนดจิตถาม เห็นตนเองยืนอยู่หน้ากุฏิของท่านพ่อที่ปลูกอยู่ตรงข้ามกับโบสถ์ที่กำลังก่อสร้างอยู่ และมองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งไม่ใส่เสื้อ มีรูปกายเหมือนยักษ์มากกว่าจะเป็นมนุษย์ ยืนท้าวเอวจ้องมองตรงไปบนยอดโบสถ์ที่ทุกคนกำลังทำงานกันอยู่ คือกำลังสร้างองค์พระ และเห็นภาพการพูดคุยเย้าแหย่กัน
    ผู้หญิงคนนั้นจ้องมองพร้อมกับพูดขึ้นว่า
     
  2. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    วารุณี สวัสดิภักดิ์ ดอกบัวนั้นเป็นดอกไม้ที่เกิดแต่โคลนตม โคลนนั้นมีแต่กลิ่นเหม็น ช่างอัศจรรย์ แต่เป็นแหล่งกำเนิด ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมดอกสวยยากที่จะหาดอกไม้ใดอัศจรรย์เท่า เพราะเมื่อชูช่อพ้นโคลนพ้นน้ำได้แล้วจึงจะเบ่งบานชูดอกแลไสวอวดความงามทั้งดอกและใบให้คนเก็บไปบูชาพระ ที่สำคัญ เมื่อพ้นน้ำแล้วน้ำก็ไม่สามารถเกาะติดทั้งดอกและใบได้อีก ดอกบัวยังเป็นเครื่องเตือนสติผู้ปฎิบัติธรรมได้เป็นอย่างดี เมื่อเราสามารถน้อมเอามาพิจารณาในธรรม จะเห็นได้ว่า โคลนนั้นมีกลิ่นเหม็นสกปรก โสโครกไม่ต่างกับกิเลสที่หมักหมมอยู่ในจิตมนุษย์ มีแต่สิ่งสกปรกและเหม็นยิ่งกว่าโคลนเสียอีก ผู้ปฎิบัติจึงควรพิจารณาดอกบัวที่พ้นน้ำแล้วๆนำเอามาขัดเกลากิเลสตนเองให้ผุดพ้นจากโคลนตม(กิเลส)ที่ครอบครองจิตเราให้หลุดออกจากจิตให้หมด เมื่อหลุดพ้นได้แล้วจิตเราก็ไม่ต่างจาก ดอกบัวที่พ้นน้ำ มีแต่ส่งกลิ่นหอมทวนลมไม่ต่างจากดอกบัวที่ส่งกลิ่นหอม ผู้ใดได้กลิ่นย่อมชื่นอกชื่นใจ สุดท้ายขอให้ทุกคนใน ภวันตุเต จงพยายามฝึกจิต ทำใจตนเองให้ได้ ดั่งบัวบานพ้นน้ำ ทั้งตัวอาจารย์เองก็ตั้งใจทำด้วยเช่นกัน สาธุ
     
  3. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    Happy Okayได้โพสต์ไปยังวารุณี สวัสดิภักดิ์
    4 ชั่วโมงที่แล้ว บริเวณ Bangkok

    เรื่อง ... เรื่องของพ่อ...
    ขณะที่อาจารย์ยายสอนธรรมะ สอนแง่คิดต่างๆในการปฏิบัติธรรม และการฝึกสมาธิในชีวิตประจำวันนั้น ในระหว่างที่นั่งฟังคำสอนจากอาจารย์ จิตของอาจารย์ยายก็รวมลงเป็นสมาธิ อาจารย์ยายเลยหลับตาลง ซักพักพออาจารย์ยายลืมตาขึ้น อาจารย์ยายได้บอกกับผมว่า หนู พ่อของหนู มีรูปร่าง ลักษณะ หน้าตา เป็นอย่าง....นี้หรือเปล่า ผมก็ตอบอาจารย์ยายไปว่า ใช่ครับ(เพราะลักษณะทุกอย่างที่อาจารย์ยายพูดมาตรงทั้งหมดเลยกับคุณพ่อของผม) อาจารย์ยายพูดต่อไปว่า แล้วที่บ้านหนูอยู่ริมแม่น้ำ หรือใกล้กับแม่น้ำหรือเปล่า อันนี้ผมก็ตอบว่า ใช่ครับ เพราะว่าผมอยู่จังหวัดนครพนม ติดแม่น้ำโขงอยู่แล้ว และหมู่บ้านผมก็มีแม่น้ำสายใหญ่ล้อมรอบหมู่บ้าน โดยหมู่บ้านผมมีลักษณะเป็นเหมือนเกาะ ที่มีแม่น้ำล้อมรอบด้วย อาจารย์ยายพูดต่อวไปว่า "หนู ลองถามพ่อของหนูดูนะว่า เคยมีนิมิต หรือฝันเห็นคนขึ้นมาจากน้ำมาหาหรือเปล่า" ผมก็งงในใจ เพราะตั้งแต่เล็กจนโต พ่อไม่เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับเห็นคนขึ้นมาจากน้ำมาหาพ่อ ผมก็รับปากอาจารย์ว่า "ได้เลยครับ เดี๋ยวกลับบ้านผมจะลองถามพ่อดูว่า พ่อเคยเห็น คนขึ้นมาจากน้ำมาหาพ่อหรือเปล่า" พอผมกลับมาถึงห้อง ผมก็เลยโทรศัพท์หาพ่อ แล้วก็ถามพ่อว่า"พ่อคับ พ่อเคยมีนิมิต หรือความฝันที่เห็นเกี่ยวกับคนขึ้นจากน้ำมาหาพ่อหรือเปล่า" พ่อบอกว่า ตอนผมถามคำถามนี้ขึ้นมาแกก็อึ้งในใจเลยว่า ผมรู้ได้อย่างไร เพราะพ่อยังไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยแม้แต่คุณแม่ก็ยังไม่รู้ พ่อเล่าให้ฟังว่า " ตั้งแต่ตอนที่พ่อเป็นเด็กหนุ่ม อายุน่าจะประมาณซัก 14-15 ปี พ่อฝันว่ามีผู้หญิง แต่งตัวเป็นชุดไทยสีเขียวๆ เป็นประกาย สวยงามมาก สวยเหมอืนนางฟ้า ตั้งแต่ศรีษะจนถึงเท้า ซึ่งรองเท้าก็เป็นรองเท้าแบบเทพธิดาใส่ สวยงามมาก ผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาจากน้ำแล้วมาหาพ่อ แล้วบอกพ่อว่าจะพาพ่อลงไปในน้ำด้วย พ่อก็เดินไปด้วย แต่พอถึงริมน้ำแล้ว ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่า สงสารพ่อเห็นพ่อยังเด็กอยู่ เดี๋ยววันหลังจะมารับใหม่" พ่อฝันอย่างนี้อยู่สองสามครั้ง พ่อบอกกับผมว่าพ่อจำลัษณะหน้าตาของผู้หญิงคนนั้นได้เป็นอย่างดี โดยทุกวันนี้พ่อก็ยังไม่เคยลืมเลือนจากความทรงจำ เพราะพ่อบอกว่า ผู้หญิงคนนั้นสวยงามมาก พ่อไม่เคยเห็นใครสวยเท่านี้มาก่อน จากที่ผมได้ฟังคำตอบจากพ่อแล้ว ผมเลยนำเอาเรื่องที่พ่อเล่าให้ฟังนี้ มาเล่าให้อาจารย์ยายฟังว่า พ่อเคยมีความฝันเห็นคนขึ้นมาจากน้ำมาหาพ่อจริงๆ อาจารย์ยายเลยบอกว่า เหตุที่พ่อต้องมาอาศัยอยู่ติดกับน้ำโขงก็เพราะ...
    นี่เป้นเพียงแค่ครั้งที่4ที่มาสัมผัสกับอาจารย์ยายเมื่อก่อนอ่านหนังสือและอ่านในเฟสก็ยังแคลงในใจแต่วันนี้สิ่งที่เคยสงสัยได้ประสบกับตนเองแล้ว ดังเรื่องที่เล่ามาแต่ยังไม่มีข้อสรุปว่ายังมีเรื่องอะไรสืบต่อจากข้อมูลที่พ่อมาแล้ว เรื่องราวตอนต่อไปคำตอบอยู่ที่อาจารย์ยายว่าทำไมคนที่เข้ามาในความฝันของพ่อเขาต้องการอะไร ? เขาเป็นใคร?
    แล้วทำไมอาจารย์ยายจึงรู้เรื่องความฝันของพ่อที่ผู้หญิงขึ้นจากน้ำมาหา ทั้งที่เวลาผ่านไปยาวนานมาก ว่างจากงานเมื่อไรต้องไปนั่งจับมือ
    อาจารย์ยายถามหาความจริงเรื่องทั้งหมด ได้เรื่่องอย่างไรจะนำมาเล่าให้เพื่อนชาวเฟสอ่านกันต่อไป...^_____^

    จากเพจ http://www.facebook.com/varunee.sawasdeepak
     
  4. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    ลักษมี จันทรตรา ...ขอถามคุณวารุนีหน่อยค่ะคนเราสามารถมีอะไรทางจิตได้หรือค่ะช่วยตอบหน่อยค่ะ
    คำตอบเหล่านี้อาจารย์ไม่ตอบคำถามทางเฟสแล้วแต่เปิ้ลเอาคำถามเหล่านี้ไปถามอาจารย์ท่านตอบมาเปิ้ลมา เลยจำมาเล่าให้ฟัง อาจจะไม่ละเอียดละออลึกซึ้งเท่าที่อาจารย์พูดก็ขออภัยด้วย
    ....เปิ้ลอ่านแล้วไปถามท่านว่าคนเราทำอะไรทางจิตได้หรือ
    ....ท่านตอบว่าแค่กสิณสิบก็แสดงฤทธิ์เช่นทำให้ไฟลุก ทั้งน้ำ ทั้งลม พระอริยะบางท่านเหาะเหินเดินอากาศยังทำได้ ด้วยอำนาจจิตดวงเดียว ในความเป็นจริง จิตของคนเรานั้นไม่มีรูปร่าง มีแต่สังขารที่เรียกว่ารูป สีสรรก็ไม่มี สิ่งที่ทำให้มีคืออุปทานปรุงแต่งให้มีให้เป็น จิตทำอะไรก็ได้ถ้าฝึกจิตได้ดีแล้ว สามารถทำสิ่งยิ่งใหญ่ที่สุด ในสามโลกได้คือ ตัดอาสวะตัดภพชาติเกิดได้จึงไปนิพพานได้ และนิพพานก็ไม่สามารถไปด้วยวิธีอื่นได้ จะไปได้ก็ที่จิตดวงเดียว ส่วนทางโลกบางเรื่องแค่คิดอะไรกิเลสก็ปรุงจิตแล้ว ไม่ว่าดีหรือชั่วถ้าเรามีสติ ทันเราก็หยุดมันทันก่อนคำพูดที่เกิดที่จิต จะหลุดออกจากปากก็จะจบแค่ที่จิตไม่ผ่านปากออกมา คำพูดก็ไม่มีขึ้นมา แต่ถ้าหยุดไม่ได้มันผ่านออกปากแล้วมันก็จะไปจนกว่าจะหมดเรื่อง หรือเหนื่อยมันจึงจะหยุดเอง ต่อจากนั้นก็จะส่งเรื่องต่อไปให้สังขาร สังขารจะลงมือทำต่อไป ดีหรือชั่ว ทุกอย่างก็เกิดจากจิตก่อนทั้งนั้น และทุกอย่างเริ่มจากกิเลสปรุงจิตที่วางเปล่า สัญญาอุปทานก่อตัวเรื่องราวจึงเกิดจากจิตดวงเดียวเช่นกัน แล้วคุณละว่าจิตสามารถทำและมีอะไรทางจิตได้ไหม แม้ในขณะหลับจิตที่ฝึกจนรู้ตื่นตลอดเวลา แม้ยามหลับ จิตก็ยังตื่นไม่ได้หลับไปตามสังขาร เมื่อจิตยังฝึกตื่นตลอดเวลาไม่ได้มันก็ไปด้วยกันกับความฝันแบบตามเรื่องตามราวที่เกิดกับจิตในขณะที่ฝันไป มีทั้งรัก ทั้งบู๊ ล้างผลาญครบทุกรส แต่ถ้าจิตฝึกตื่นแล้วจิตจะแยกออกจากสังขาร เวลามันจะฝันก็เป็นเรื่องของสังขาร เป็นไปแบบไม่มีสติตามเรื่องตามราวของมัน ส่วนสติที่ฝึกตื่นอยูตลอดก็จะเป็นเป็นฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ และเฝ้าดูความฝันของสังขารที่กำลังทำอะไรแบบโง่ๆและตลกๆ เมื่อใดที่ผู้ฝึกจิตจนตื่นอยู่ตลอดก็จะเข้าใจคำตอบได้ไม่ยาก แต่ผู้ที่ยังก็ยังมีคำถามว่า ทำไมๆๆ ไม่ใช่ๆๆ ไม่จริงๆๆ ผู้ตอบนิ่งเสียตำลึงทอง คำถามสองคำแต่ความหมายเชิงอธิบาย มันไม่ง่าย อาจารย์ทำให้ง่ายได้แค่นี้เข้าใจหรือเปล่าไม่รู้ แต่เชื่อเรื่องปัญญาของแต่ละคนไม่เท่ากันแล้วเชื่อว่ามีผู้ใฝ่ธรรมอีกมากที่เข้าใจคำตอบนี้ คำถามนี้เมื่อเปิ้ลนำมาถามเพราะเขาเองก็อยากรู้ ทั้งๆที่หยุดตอบทางเฟสแล้วก็ยังมีคำถามมา จะไม่ตอบก็เป็นเรื่องของธรรมด้วยจึงต้องตอบเปิ้ลกับเจ้าของคำถาม แล้วสั่งไว้ว่า อย่ารับคำถามผ่านเฟสมาถามอีกมันจบแล้ว เราพอแล้ว
    อธิบายสติฝึกแล้วตื่นตลอด สังขารที่ไม่มีสติเวลาหลับความฝันก็จะไปกับสังขารความฝัน ส่วนสติที่ถูกฝึกให้รู้ตื่นตลอดก็จะเฝ้าดูสังขารความฝัน แล้ววิพากษ์วิจารณ์ความฝันที่ไม่มีสติคือ สมมุติว่าสังขารในความฝันๆ ตัวเจ้าของความฝัน กำลังเดินไปที่ต้นไม้ ตัวสติที่รู้ตื่นก็มองเห็นสังขารเดินไปที่ต้นไม้ก็จะสงสัยว่าเดินไปทำไม พอเดินไปถึงต้นไม้ ตัวสังขารที่ไม่มีสติมันจึงคิดไม่เป็นมันก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ตัวสติที่ตื่นก็สงสัยว่ามันปีนต้นไม้ทำไม พอปีนถึงกิ่งก็คลานไปหาปลายกิ่งแบบไม่ได้มีสติคิดว่าปลายยอดไม้กิ่งมันอ่อนแล้วจะหักทำให้ตกลงไปตายได้ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะสังขารที่ไม่มีสติระลึกรู้เหมือนปกติยามตื่น ส่วนสติที่ฝึกให้รู้ตื่นแม้ยามหลับ ก็จะนึกคิดพิจารณาเมื่อมองเห็นสังขารไม่มีสติยามฝันไปว่าขึ้นต้นไม้ว่า ปีนไปทำไมที่ปลายยอดเดี๋ยวตกลงมาตายหรอก นี่แหละที่เขาเรียกว่ากายหลับ แต่สติกับจิตไม่หลับที่เขาเรียกทางธรรมว่าสติตื่นจิตตื่น หรือหลับในตื่น เมื่อก่อนก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เคยอ่านเจอ เรื่องหนึ่งมานานจนจำไม่ได้แล้วว่าใช่หลวงปูแหวนหรือเปล่า มีคนถามท่านว่า หลวงปู่ครับพระอรหันต์ยังฝันอยู่อีกไหมครับ หลวงปู่ตอบว่า สังขารมันก็ฝันไปตามเรื่องตามราวของมัน ก็สงสัยว่ามันเป็นยังไงนะ เมื่อฝึกสติรู้ตื่นตลอดเวลาได้จึงเข้าใจคำตอบของหลวงปู่ว่า อ๋อมันเป็นอย่างนี้นี้เอง...แล้วคุณละตื่นในขณะสังขารหลับกันบ้างแล้วหรือยัง.

    จากเพจ http://www.facebook.com/varunee.sawasdeepak
     
  5. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    แอบเก็บมาเล่า(ตอนต่างประเทศ)
    แปลกแต่จริง เมื่อก่อน อาจารย์จะบอกกับลูกศิษย์ใกล้ชิดว่า ภวันตุเตในวันข้างหน้า จะมีแต่คนต่างชาติและคนที่แต่งงานกับคนต่างชาติจะเข้ามาสนทนาธรรม มากมาย เราก็ได้แต่สงสัยจริงหรือ ณ ตอนนี้มีคนที่อยู่ต่างประเทศ เริ่มทยอยเข้ามาเรื่อยๆ เมื่อมาแล้วก็เกิดความประทับใจ บอกกล่าวเพื่อนๆต่อๆกันไป ตอนนี้ก็มีมากมายหลายประเทศที่อยากเข้ามา ทางเราก็ยินดีต้อนรับอีกไม่กี่วันนี้ก็จะเข้ามาอีกกลุ่ม สงสัยเรื่องนี้คงจะเป็นอีกเรื่องที่คงจะเป็นความจริง แล้วจะมีผู้ที่จะนำเรื่องราวที่เข้ามาสัมผัสกับอาจารย์แล้วนำไปเขียนเรื่องราวต่างๆโดยได้ขออนุญาติอาจารย์แล้ว เรื่องที่เขาจะเขียน เขาตั้งชื่อว่า ความมหัศจรรย์ของจิต พวกเราจะได้อ่านกันหรือเปล่าต้องคอยดู เปิ้ลเก็บมาเล่าให้เพื่อนๆฟังกัน
     
  6. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    ธรรมะจากอาจารย์ยาย
    บ่อยครั้งที่อาจารย์ยายได้บอกลูกหลานภวันตุเตอยู่เสมอ เรื่องการมองดูตนเอง ว่า
    จงมองและค้นหาตนเองให้เจอ อย่ามองดูคนอื่น อย่าส่งจิตออกนอกกายสามสิบสอง ที่สำคัญอย่าเข้าข้างตนเองว่าเป็นคนดี กิเลสยังมี ไม่มีใครดีหรอก คนจะต่างกันก็ตรงแค่ดีมากหรือดีน้อย. เลวมากหรือเลวน้อยเท่านั้นเอง. เราอาจจะปกปิดใครๆได้แต่ไม่สามารถปิดบังใจตนเองได้ ดังนั้นจงอย่าเสียเวลาค้นหาคนอื่น ควรตั้งใจค้นหาความจริงในกายสามสิบสอง และใจของตนเองดีกว่า. แล้วจะพบธรรมของพระพุทธเจ้า นี่คือคำสอนของอาจารย์ยายที่มอบให้ลูกหลานภวันตุเตทุกคน แฮปปี้เห็นว่ามีความสำคัญมากกับผู้ปฏิบัติธิธรรม จึงขออนุญาติท่าน นำคำสอนนี้มาเผยแพร่ให้ญาติธรรมในเฟสได่อ่าน เพื่อพิจารณา และน้อมนำไปปฏิบัติเพื่อพบพระธรรมอันบริสุทธิ์ขององค์พระศาสดา สาธุครับ ...แฮบปี้
     
  7. นายน้ำ5

    นายน้ำ5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,159
    ค่าพลัง:
    +7,282
    อาจารย์เขียน หนังสือเรื่องมนุษย์ต่างดาวหรือยังครับ อยากติดตามอ่านครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...