ยุทธการโปเชนตง เบื้องหลังปฏิบัติการพาคนไทยกลับมาตุภูมิ

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย foleman, 6 สิงหาคม 2012.

  1. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    เปิดแผน"โปเชนตง 1" เบื้องหลังพาคนไทยกลับบ้าน "สุรยุทธ์"ผบ.เหตุการณ์ คอมมานโด-รบพิเศษ-บก.ลอยฟ้า และบทบาท"วิชิต ยาทิพย์"

    เจ้าหน้าหมู "เฮอร์คิวลิส" หรือเครื่องบินลำเลียง C-130 ของกองทัพอากาศ กลายเป็นพระเอกอีกครั้งในการเหินฟ้าไปรับคนไทยราว 700 คน ที่หนีไฟแค้นจากเกมการเมืองภายในเขมร จากกรุงพนมเปญ กลับบ้านอย่างปลอดภัย แต่กว่าที่ทุกอย่างจะออกมาอย่างสำเร็จและสวยงาม ดั่งฉากหน้า ก็ย่อมมีฉากหลังที่ต้องเตรียมการกันเป็นอย่างดี

    ราว 4 ทุ่มของวันพุธที่ 29 ธันวาคม ทันทีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี วางหู ภายในไม่กี่นาที ทั้ง บิ๊กอ้วน พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันต์ ปลัดกลาโหม บิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผบ.สส. บิ๊กเกาะ พล.อ.สมทัต อัตตะนันทน์ ผบ.ทบ. บิ๊กช้าง พล.ร.อ.โสมาภา และบิ๊กบิ๊ก พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา ผบ.ทอ. ก็มาถึงทำเนียบรัฐบาลพร้อมด้วย พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ ประธานคณะที่ปรึกษา ทบ. และบิ๊กแบ็งค์ พล.ท.ประพาฬ นิลวงศ์ ผบ.ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรก.) และติดตามด้วย บิ๊กจิ๋ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
    พ.ต.ท.ทักษิณ นั่งหัวโต๊ะ หารือเครียดเป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง ท่ามกลางเปลวเพลิงที่เผาผลาญสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ โรงแรมของคนไทยอย่าง รอยัล พนมเปญ, รีเจ้นท์ ปาร์ค และจูเลียน่า ไปจนถึงอาคารของ
    สามารถ เทเลคอม, ซีพี และชินวัตร และมอเตอร์ไซค์ไล่ล่าถามหาคนไทย
    ณ เวลานั้น ดูเหมือนจะมีเพียง พล.อ.เตีย บันห์ รมว.กลาโหมกัมพูชาเท่านั้นที่รับสาย ส่วนนายกฯ ฮุน เซน นั้น
    เก็บตัวเงียบ จึงมี พล.อ.วิชิตในฐานะเพื่อนรักเพื่อนซี้คอยโทรศัพท์ประสานกับ พล.อ.เตีย บันห์ อยู่ตลอดเวลา

    แม้จะถูกมองว่ามีปัญหาคาใจกัน แต่ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ทุบโต๊ะแต่งตั้งให้ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ในการคลี่คลายสถานการณ์นี้ โดยเฉพาะการรับคนไทยจากกัมพูชากลับประเทศ แม้ใจจริงที่แสนจะร้อนเร่าของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องการให้เครื่องบิน C-130 พร้อมคอมมานโดบินด่วนกลางดึกไปยังกรุงพนมเปญ ตามที่ตะโกนใส่หูนายกฯ ฮุน เซน เลยก็ตาม แต่ที่ประชุมต่างชี้ให้เห็นถึงข้อเสียมากกว่า และต้องให้เวลา พ.อ.วัลลภ รักเสนาะ ผู้ช่วยทูตทหารบกไทยประจำกรุงพนมเปญ และ นายชัชเวทย์ ชาติสุวรรณ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ในการรวบรวมและนัดแนะคนไทย เพื่อเตรียมไปขึ้นเครื่องบินกลับบ้าน และเรื่องอธิปไตยของเพื่อนบ้าน

    ทุกอย่างจึงเตรียมพร้อมสำหรับการบินไปรับคนไทยกลับบ้าน ทันทีที่รุ่งสาง ที่มิได้หมายความว่ารุ่งสาง ณ บางกอก แต่เป็นรุ่งสาง ณ พนมเปญ...ในฐานะที่เคยเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ในการแก้ไขปัญหากะเหรี่ยงก๊อดอาร์มี่บุกยึดโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี
    เมื่อ 24 มกราคม 2542 มาแล้ว ครั้งนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ ก็รับบทสำคัญอีกครั้ง ด้วยการวางแผนอย่างใกล้ชิดกับสามเหล่าทัพ โดยมีการนำเอาแผนการเตรียมพร้อมในการอพยพนอกราชอาณาจักรที่มีอยู่แล้ว มาปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ โดยใช้กำลังร่วมของทั้ง ทบ. ทร. และ ทอ. โดยมี บก.สส. เป็นผู้บัญชาการ

    ราว 23.00 น. แผนปฏิบัติการที่เรียกว่า "โปเชนตง 1 และ 2" ก็ได้รับการอนุมัติ...

    พล.ร.อ.ทวีศักดิ์ สั่งให้เรือหลวงจักรีนฤเบศร ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยัง จ.ตราด เพื่อไปลอยลำอยู่ในทะเลหลวงในเขตรอยต่อน่านน้ำไทย-กัมพูชา เพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจจะบานปลาย และรับคนไทยกลับบ้านในอีกเส้นทางหนึ่ง โดยบนเรือมีเครื่องบินขึ้นลงแนวดิ่ง AV-8 แฮร์ริเออร์, ฮ. แบบ Bell 412 ฮ. S-76B และ ฮ.ซีฮอว์ก รวม 7 ลำ โดยมีเรือหลวงพุทธเลิศหล้าและเรือหลวงสุโขทัยตามไปเป็นเรือคุ้มกัน และสมทบกำลังกับเรือหลวงสู้ไพรี เรือหลวงศรีราชา และเรือ ต.82 ที่รออยู่ในน่านน้ำแล้ว

    ส่วน พล.อ.อ.คงศักดิ์ก็สั่งการให้ น.อ.นิรันดร์ ยิ้มสรวล ผบ.บน.6 เตรียมเครื่องบินลำเลียง C-130 และให้ พล.อ.ท.สมหมาย ดาบเพ็ชร์ ผบ.หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน (ผบ.อย.) เตรียมกำลังหน่วยคอมมานโด ของกรมปฏิบัติการพิเศษ อย. จำนวน 80 คน และมอเตอร์ไซค์ลาดตระเวน 2 คัน นำทีมโดย น.อ.พีระยุทธ แก้วใส ผบ.กรมปฏิบัติการพิเศษ อย.
    ขณะที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เลือกให้หน่วยพร้อมรบเคลื่อนที่เร็ว (RDF-rapid deployment forces) อันเป็นทหารรบ
    พิเศษหมวกแดงของ ร.31 รอ.ลพบุรี ของผู้การโชย พ.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผบ.ร.31 รอ.เตรียมกำลังหน่วยรบ
    พิเศษแทรกซึม จำนวน 30 คน และรถลาดตระเวน ฮัมวี่ 4 คัน และรถมอเตอร์ไซค์ยุทธวิธี 2 คัน

    เพียงแค่ 2 ชั่วโมงหลังจากได้รับคำสั่ง กำลังทหารรบพิเศษ พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์จากลพบุรี ก็เดินทางมาถึงที่กองบิน 6 ดอนเมือง เพื่อสมทบกำลังของ อย. โดยที่ พล.อ.ต.สุเมธ โพธิ์มณี ผู้บังคับทหารอากาศดอนเมือง (ผบ.ดม.) รับผิดชอบการ รปภ. ในพื้นที่สนามบิน ห้ามไม่ให้คนนอกโดยเฉพาะสื่อมวลชนเข้ามา เนื่องจากไม่ต้องการให้เห็นภาพการนำกำลังรบ เพราะอาจจะดูเหมือนไปบุกรุกเพื่อนบ้าน โดยเปิดให้เข้าเมื่อเครื่องบินทะยานขึ้นฟ้าไปแล้ว

    มีต่อ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    การประชุมวางแผนการปฏิบัติการตามแผน "โปเชนตง1" และ "โปเชนตง 2" ในรายละเอียด ก็เกิดขึ้นที่สนามบิน โดยมีเครื่องบิน G-222 จำนวน 1 ลำ และเครื่องบิน C-130 อีก 5 ลำเตรียมพร้อมรับคนไทยกลับบ้าน โดยมี พล.อ.อ.ระเด่น พึ่งพักตร์ ผบ.หน่วยบัญชาการยุทธทางอากาศ (ผบ.บยอ.) เป็นผู้บัญชาการการปฏิบัติตามแผน ที่ทำให้เขาได้กลับมาสวมชุดนักบินขับไล่อีกครั้ง โดยทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการกองบัญชาการลอยฟ้า บนเครื่องบิน G-222 ที่จะลอยลำอยู่กลางเวหา เหนือเกาะกง ของกัมพูชา เพื่อบัญชาการและติดต่อสื่อสารกับบิ๊กบ๊อบ พล.ท.อ.คธาทิพย์ กุญชร ณ อยุธยา รอง ผบ.บยอ. เป็นผู้บัญชาการภาคพื้น คุมเครื่องบิน C-130 ทั้ง 5 ลำ ที่ต้องลงจอด โดยมี พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ เป็นผู้ประสานงานติดต่อกัมพูชา อำนวยการเดินทางด้วยตนเองเพื่อรับคนไทยชุดแรก 511 คน กลับบ้าน พร้อมด้วยคำสั่งให้เครื่องบิน F-16 ของกองบิน 1 โคราช เตรียมพร้อมสำหรับแผน "โปเชนตง" หากเกิดเหตุรุนแรง และฉุกเฉินขึ้นภายในไม่เกิน 20 นาที ก็จะถึงที่หมาย เวลา 05.15 น. เครื่องบิน C-130 ลำแรกก็ทะยานขึ้นฟ้า มุ่งสู่สนามบินโปเชนตง กลางกรุงพนมเปญ ติดตามด้วยลำที่ 2, 3, 4, 5 ที่มีคอมมานโดและหน่วยรบพิเศษ กระจายกันอยู่ทุกลำ และตามด้วย G-222 ที่เป็น บ.ก.ลอยฟ้า โดยมี พล.อ.สุรยุทธ์ และ พล.อ.อ.คงศักดิ์ มานั่งบัญชาการอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพอากาศ โดยตลอด
    แผน "โปเชนตง 1" เตรียมไว้สำหรับเหตุการณ์ปกติ โดยเครื่องบิน C-130 ทั้ง 5 ลำ ที่ลงจอดนั้น จะไม่มีการดับเครื่อง ในระหว่างนั้นหน่วยคอมมานโดและทหารรบพิเศษ รวม 110 คน พร้อมอาวุธครบมือ และเป้สนาม และรถฮัมวี่ ก็วิ่งลงจากเครื่องบิน ออกกระจายโดยรอบสนามบินโปเชนตง เพื่อรักษาความปลอดภัย ในขณะที่คนไทยก็เรียงแถวตอน 1 ขึ้นเครื่อง โดยมีเจ้าหน้าที่ตรวจนับจำนวนแบบรวดเร็ว
    ส่วนแผน "โปเชนตง 2" นั้น เตรียมไว้สำหรับเกิดเหตุรุนแรง เนื่องจากในค่ำนั้น มีการข่าวรายงานว่าม็อบในกรุง
    พนมเปญ ซึ่งรับชมข่าวและการรายงานสดทางโทรทัศน์ของไทยได้ล่วงรู้ว่ารัฐบาลไทยจะส่งเครื่องบินมารับคนไทย จึงมีแผนการซื้อน้ำมันเพื่อมาเผาโดยรอบสนามบิน

    ทำให้ พล.อ.วิชิต ต้องประสานกับ พล.อ.เตีย บันห์ รมว.กลาโหมกัมพูชา เพื่อนำกำลังทหารมาดูแลโดยรอบ
    สนามบินโปเชนตงเอาไว้แต่กระนั้นหน่วยคอมมานโดและรบพิเศษก็ไม่ประมาท เตรียมพร้อมรับทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะอาจจะต้องถล่มพนมเปญ เพื่อช่วยคนไทยกลับบ้าน จึงไม่แปลกที่ทหารรบพิเศษและหน่วยคอมมานโดทุกคนจะมีเป้สนามติดหลังที่ไม่เพียงมีอาวุธและกระสุนเท่านั้น แต่ยังมีอุปกรณ์ยังชีพเผื่อว่าจะต้องอยู่ในพนมเปญมากกว่า 1 วัน
    โดยที่เครื่องบินรบบนเรือหลวงจักรีนฤเบศร ที่ลอยลำรออยู่และเครื่อง F-16 ที่เตรียมพร้อมในที่ตั้งพร้อมจะมาสมทบ เพราะงานนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไฟเขียวไว้แล้ว ให้ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของไทย
    แต่โชคดีที่งานนี้ไม่ต้องใช้แผน "โปเชนตง 2" เมื่อทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบร้อย โดยมี พล.อ.เตีย บันห์ รมว.กลาโหมเขมรที่พูดภาษาไทยคล่องปรื๋อ ส่งทหารมาดูแลสนามบินให้

    จากเวลา 07.50 น.ที่เครื่องบิน C-130 ลำแรกกลับมาลงจอดที่สนามบินกองทัพอากาศดอนเมือง จนลำที่ 5 ในเวลา 09.30 น. และลำสุดท้าย G-222 บก.ลอยฟ้า ในเวลา 09.40 น. เสียงปรบมือก็ดังกระหึ่ม พร้อมด้วยการจับมือแสดงความยินดีกับความสำเร็จที่นำคนไทย 511 คนกลับบ้าน ชุดแรกโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ มารอรับด้วยตนเอง
    จากนั้นในตอนบ่าย เครื่องบิน C-130 อีก 2 ลำ นำโดย พล.อ.วิชิต และทีมเดิมบินไปรับคนไทยที่ตกค้างอีก 192 คน รวมทั้งเอกอัครราชทูตไทย ผู้ช่วยทูตทหารไทย และเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยทั้งหมดจากกรุงพนมเปญอีกครั้ง ก่อนกลับมาถึงอย่างปลอดภัยและความยินดีของญาติๆ พร้อมด้วยคำชื่นชมจากทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รมว.กลาโหม ในความพร้อมรบและศักยภาพของกองทัพไทย ที่ส่งผลให้คะแนนนิยมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่แสดงความเป็นผู้นำพุ่งขึ้นสูงอีกด้วย

    เช่นเดียวกับบทบาทของ พล.อ.วิชิต น้องรักของบิ๊กจิ๋ว ก็ถูกจับตามองในฐานะผู้ประสานงานกับกัมพูชาด้วย
    ความสัมพันธ์ที่มีมานาน เพราะครั้งนี้เขาได้กลายเป็นดาวเด่นอีกดวง ด้วยความทุ่มเทเพื่อเคลียร์สถานการณ์ตั้ง
    แต่เหตุการณ์เริ่มอุบัติขึ้น จนเหตุการณ์คลี่คลายไปในระดับหนึ่ง โดยใช้โทรศัพท์มือถือนับร้อยครั้ง ที่ปลายทางจะเป็น พล.อ.เตีย บันห์ เพื่อนรักที่เขาติดต่อพบปะอยู่บ่อยๆ จน นายฮุน เซน หวาดระแวงว่าวันหนึ่งไทยจะหนุน พล.อ.เตีย บันห์ ผู้ถือกำเนิดที่คลองใหญ่ จ.ตราด และเติบโตในเกาะกง คนนี้โค่นอำนาจของเขา

    แม้ปฏิบัติการครั้งนี้จะไม่มีคนไทยเสียชีวิตในเหตุจลาจล แต่ก็มีคนไทยบาดเจ็บจากการเอาชีวิตรอดถึง 8 คน แต่ในส่วนของ ทร. ก็ต้องสูญเสีย ร.ท.ธรรมเนียม โกษาจันทร์ ช่างเครื่องจากเหตุ ฮ. S-76B ตกที่จันทบุรี ในเย็นวันที่ 30 มกราคม ระหว่างที่บินส่งกำลังบำรุงให้เรือหลวงจักรีนฤเบศร ส่วนนักบินและช่างอีก 3 คน บาดเจ็บ

    ขณะที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เลือกให้หน่วยพร้อมรบเคลื่อนที่เร็ว (RDF-rapid deployment forces) อันเป็นทหารรบพิเศษหมวกแดงของ ร.31 รอ.ลพบุรี หน่วย RDF เป็นหน่วยทหารราบส่งทางอากาศของผู้การโชย พ.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผบ.ร.31 รอ.เตรียมกำลังหน่วยรบพิเศษแทรกซึม จำนวน 30 คน และรถลาดตระเวน ฮัมวี่ 4 คัน และรถมอเตอร์ไซค์ยุทธวิธี 2 คัน

    ใครลืมแต่ผมไม่มีวันลืมน้ำตาของเพื่อนรวมชาติที่กำลังหวาดกลัว!
     
  3. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    นายกฯฮุนเซน : อดีตนายกฯ ทักษิณ/ต่างเติมเต็มความทะเยอทะยาน

    วันที่ 25 ตุลาคม 2552 02:00

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    แทบไม่น่าเชื่อว่า "บ้านเมืองของเรา" ในฐานะประเทศเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 15 และประเทศคู่
    เจรจา 6 ชาติ กำลังถูก "อดีตนายกรัฐมนตรีของเรา" ถึงสองคนสมคบกับอีกนายกรัฐมนตรีของประเทศ "เพื่อนบ้านของเรา"
    อย่างกัมพูชา สร้างเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจจากเรื่องใหญ่วาระสำคัญระดับภูมิภาคของ"พลเมืองอาเซียน" ให้กลายเป็น
    "ผลประโยชน์ส่วนบุคคล" แต่ผมไม่ค่อยแปลกใจกับท่าทีของนายกรัฐมนตรีฮุนเซนของกัมพูชา หรือ ชื่อเต็มๆ
    "สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซน" ที่บอกผ่าน "อดีตนายกฯ พล.อ.ชวลิต" ด้วยการพูดจาภาษาเขมรด้วยกันว่า
    นายกฯ สมเด็จฮุนเซน เห็นใจอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่ถูกรัฐประหารอย่างไม่เป็นธรรม เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 และยังถือว่า
    อดีตนายกฯ ทักษิณ เป็นเพื่อนตลอดกาล พร้อมกับเตรียมสร้างบ้านหลังใหญ่ที่กรุงพนมเปญเพื่อให้อดีตนายกฯ
    ทักษิณไปอยู่ในฐานะที่ปรึกษานโยบายเศรษฐกิจ ยิ่งเมื่อนายกฯ สมเด็จฮุนเซน เดินทางมาร่วมประชุมอาเซียนซัมมิต
    อย่างไม่เต็มใจจะมา (เพราะคงไม่ค่อยได้มีการพูดถึงผลประโยชน์โดยตรงของตัวเอง) แล้วตั้งใจบอกกับผู้สื่อข่าว
    ด้วยเนื้อใจความหนักแน่นยิ่งกว่าบอกผ่านอดีต นายกฯ พล.อ.ชวลิต ที่ไม่ค่อยมีใครในบ้านเมืองของเราให้เครดิต
    ในคำพูดมากนัก นายกฯ สมเด็จฮุนเซน ยกย่องอดีตนายกฯ ทักษิณ เทียบเท่ากับนางออง ซาน ซูจี
    ผู้นำฝ่ายค้านที่นานาชาติยกย่องและประณามพฤติกรรมของรัฐบาลเผด็จการพม่า บอกว่าอดีตนายกฯ
    ทักษิณถูกรังแกทางการเมืองจึงไม่ส่งตัวให้ไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนหากลองย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ใกล้ๆ
    เมื่อเดือนเม.ย. ปีที่แล้ว หลังจากพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2551 คุณสมัคร สุนทรเวช
    ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจอยาก แล้วคุณนพดล ปัทมะ เลขานุการ, โฆษกและทนายความของอดีตนายกฯ ทักษิณ
    ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศตามคำสั่งจากต่างแดน แทบจะถือเป็นภารกิจแรกเร่งด่วนที่สุด
    ในวันที่ 21 เม.ย. 2551 ของรัฐมนตรีต่างประเทศคนนี้คือการนำคณะเดินทางไปประเทศกัมพูชาเพื่อพบกับ
    นายกฯ ฮุนเซน เจรจาความเรื่องความร่วมมือในการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลอ่าวไทยระหว่าง ไทย-กัมพูชา
    ที่สำรวจก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบเป็นจำนวนมหาศาล แล้วอีกไม่กี่วันต่อมา ปรากฏภาพอดีตนายกฯ ทักษิณ
    เดินทางจากประเทศไทยไปออกรอบตีกอล์ฟกับนายกฯ ฮุนเซน ที่สนามกอล์ฟในพนมเปญ
    จึงไม่ใช่เรื่องน่าตกอกตกใจกับคำพูดของนายกฯ สมเด็จฮุนเซน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ไม่ได้แตกต่างจากเดิมเลย
    เพียงแต่ออกมาโอบอุ้มอดีตนายกฯ ทักษิณ แจ่มแจ้งไม่ต้องตีความทางการทูตใดๆ อีกต่อไป
    โดยไม่ได้ใส่ใจหัวข้อการประชุมอาเซียนซัมมิตดังเช่นที่ "นายกรัฐมนตรีของเรา" คนปัจจุบัน คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
    แถลงข่าวตั้งคำถามกลับไปว่านายกฯ ฮุนเซน อย่าลืมว่าวัตถุประสงค์ของการเดินทางมาประชุมอาเซียนซัมมิต คือ
    การสร้างความปรองดองและความร่วมมือในการพัฒนามากกว่าไปสนใจคนไทยคนหนึ่งที่ จะทำลายสัมพันธภาพ
    ระหว่าง 2 ประเทศ "นายกฯ สมเด็จฮุนเซน ที่มีความอาวุโสมาก อย่าไปเป็นเหยื่อหรือเบี้ยให้ใครเลย"
    คำพูดประโยคนี้ของ "นายกรัฐมนตรีของเรา" คงจะทำให้ประชาชนกัมพูชาได้ใคร่ครวญถึงบทบาทผู้นำประเทศกัมพูชาว่า
    กำลังทำ เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน 2 ประเทศ หรือเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวที่ไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก
    ระหว่าง นายกฯ ฮุนเซน ที่มีข้อครหาเรื่องทุจริตคอร์รัปชันมากมายและการยึดครองผูกขาดธุรกิจทั้งประเทศกัมพูชา
    เฉพาะในกลุ่มวงศาคณาญาติ เช่นเดียวกับอดีตนายกฯ ทักษิณที่หวังจะกลับมาทวงคืนอำนาจในบ้านเมืองของเรา
    เพื่อผลประโยชน์ของตัว เองและวงศาคณาญาติเท่านั้นเอง คำพูดของ นายกฯ สมเด็จฮุนเซน ยังพูดถึงการรัฐประหาร
    19 ก.ย. 2549 ที่ไม่ชอบธรรม ราวกับว่าตัวเองไม่เคยกระทำรัฐประหารหรือกระทำการยึดอำนาจรัฐอย่างไม่ถูกต้องชอบธรรม
    อย่าลืมว่าการเถลิงอำนาจยาวนานในตำแหน่งนายกฯ ของสมเด็จฮุนเซน เริ่มต้นมาจากการ "ชักศึกเข้าบ้าน"
    ทรยศกับประเทศตัวเอง ด้วยการยอมขายตัวสวามิภักดิ์กับกองทัพเวียดนามในสมัยที่เป็นนายทหารระดับ
    ผู้บัญชาการกองพันในกองทัพเขมรแดงที่นำโดย "พล พต" ประจำภาคตะวันออก พูดตรงไปตรงมาคือทรยศ
    "หักหลัง" เจ้านายตัวเอง นายกฯ พล พต ผู้นำเขมรแดง ด้วยการไปร่วมมือกับกองทัพเวียดนามในปี 2522
    เปิดประตูชายแดนตะวันออกให้ ทหารเวียดนามเข้ามาโค่นล้มรัฐบาลเขมรแดงที่ถูกประณามจากทั่วโลกว่า
    เข่นฆ่าประชาชนไปหลายล้านคน

    มีต่อ
     
  4. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    กองทัพเวียดนามได้ตั้ง "รัฐบาลหุ่นเชิด" ที่มี นายเฮง สัมริน เป็นนายกรัฐมนตรี และนายฮุนเซนได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศเมื่ออายุเพียงแค่ 27 ปี ที่ถือว่าอายุน้อยที่สุดในบรรดารัฐมนตรีต่างประเทศในโลกนี้ในสมัยนั้น แล้วต่อมาด้วยความทะเยอทะยาน ในอำนาจของนายฮุนเซนที่ ผู้นำเวียดนามที่มีอำนาจเหนือประเทศกัมพูชาให้การสนับสนุนร่วมมือกันก่อรัฐประหารในปี 2528 แล้วสถาปนาตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่ออายุเพียงแค่ 33 ปีที่น้อยที่สุดในโลกอีกแล้ว อีก 12 ปีต่อมา นายกฯ สมเด็จฮุนเซน
    นำกองกำลังทหารก่อรัฐประหารเพื่อกระชับอำนาจให้เบ็ดเสร็จมากขึ้นในวันที่ 5 ก.ค. 2540 ทั้งๆ ที่ในวันที่ 25 เม.ย. 2540


    เพิ่งจะพูดว่าจะไม่ก่อรัฐประหาร ทำให้เกิดแรงต่อต้านภายในกองทัพและประชาชนกัมพูชาบางส่วนจนมีผู้เสียชีวิตไปกว่า 50-60 คนตลอดเวลา 23-24 ปี ที่ นายกฯ ฮุนเซน บริหารประเทศกัมพูชาเต็มไปด้วยการใช้นโยบายทุ่มเทงบประมาณสร้างฐานอำนาจ ระดับรากหญ้าในเขตชนบท ด้วยการสร้างถนนเข้าไปทุกหมู่บ้าน, สร้างระบบชลประทาน ฯลฯ ทำให้คนเขมรส่วนใหญ่ที่อยู่ในฐานะยากจนมากที่สุดในโลกแห่งหนึ่งพออกพอใจมากขึ้นๆ จนคนเขมรไม่สนใจต่อ พฤติกรรมการบริหารประเทศอย่าง "เหลิงอำนาจ" ของนายกฯ ฮุนเซน วงศาคณาญาติของ นายกฯ ฮุนเซน และผู้ใหญ่ในพรรคประชาชนกัมพูชาต่างเสวยสุขกันถ้วนหน้า จากนโยบายผลาญงบประมาณและระบบสัมปทานผูกขาด


    ธุรกิจทุกอย่างในพนมเปญและทั่วประเทศกัมพูชา โดยวงศาคณาญาติของนายกฯ ฮุนเซน อาศัยฐานเงินทุนจากนักธุรกิต่างชาติที่ได้รับสัมปทานง่ายดาย ไม่มีความโปร่งใสในการพิจารณาอนุมัติใดๆ เลย นายกฯ ฮุนเซน ยังใช้อำนาจจากปากกระบอกปืนแบบเถื่อนๆ สั่งปิดปากและล่าสังหารสื่อมวลชนเขมรที่วิพากษ์วิจารณ์นายกฯ ฮุนเซน เป็นว่าเล่น จนสื่อมวลชนเขมรแทบไม่มีเสรีภาพในการทำหน้าที่เลย กล่าวได้ว่าไม่มีสื่อมวลชนอิสระในกัมพูชาอีกแล้ว


    ทุกคนจะต้องทำตามคำสั่งนายกฯฮุนเซน แต่เพียงผู้เดียวเล่ห์เพทุบายทางการเมืองของนายกฯ ฮุนเซน
    ยังเป็นที่เลื่องลือว่าเข้าขั้น "อัจฉริยะ" ด้วยการสร้างกฎเกณฑ์และแสดงพฤติกรรมบ่อนทำลายคู่แข่งทางการเมืองทั้งพรรคฟุนซินเปคและพรรคสมรังสี มาโดยตลอด จนง่อยเปลี้ยไม่เป็นคู่แข่งขันอีกต่อไป ในที่สุดพรรคฟุนซินเปคถูกควบรวมกับพรรคประชาชนกัมพูชาของนายกฯฮุนเซ็น อันที่จริงคงจะต้องโทษทั้ง เจ้านโรดม รณฤทธิ์อดีตหัวหน้าพรรคฟุนซินเปค กับ นายสมรังสี หัวหน้าพรรคสมรังสีที่มัวแต่เล่นการเมืองแบบแทงข้างหลังหรือหักหลังกันเอง


    เมื่อ นายกฯ ฮุนเซน เอาตำแหน่งรัฐมนตรีมาล่อ ทำให้ล้วนแต่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของนายกฯ ฮุนเซนในการประเคนตำแหน่งรัฐมนตรีให้เพื่อเอามาเป็นพวกสลับไปสลับมาทุกครั้งหลังเลือกตั้งที่พรรคประชาชนกัมพูชาชนะไม่เด็ดขาด แต่ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 27 ก.ค. ปีที่แล้วที่ นายกฯ ฮุนเซน ได้แก้ไขกฎกติกาการเลือกตั้ง มากมายเพื่อให้พรรคประชาชนกัมพูชาชนะเลือกตั้ง อย่างเด็ดขาดถล่มทลายท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ยอมรับจากนานาชาติ เช่น บัญชีผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะต้องผ่านการอนุมัติจากรัฐมนตรีที่นายกฯ ฮุนเซน ควบคุมได้,


    การแก้ไขรัฐธรรมนูญเปลี่ยนสัดส่วนเสียงการจัดตั้งรัฐบาลจาก 2 ใน 3 เป็นกึ่งหนึ่ง, การคุกคามสื่อมวลชนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดสั่งปิดสถานีวิทยุ ล่าสังหารนักข่าวที่วิพากษ์ฮุนเซน ฯลฯ นายกฯ ฮุนเซน ยังทำทุกวิถีทางในการลดทอนความสำคัญของระบอบกษัตริย์ของประเทศกัมพูชาตลอดเวลา ทั้งๆ ที่คนเขมรจำนวนมากยังจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์แต่ สมเด็จเจ้านโรดมสีหนุ ทรงอ่านเกมการเมืองออก จึงอ้างสุขภาพไม่ดีขอสละราชบัลลังก์เองในช่วงเดือนต.ค. ปี 2547


    เพื่อใช้พระราชอำนาจราชาภิเษกพระราชโอรส "สีหมณี" ให้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ของราชวงศ์ "นโรดม" แทนก่อนจะถูก นายกฯ ฮุนเซน ลิดรอนพระราชอำนาจนี้ไปเพื่อแต่งตั้งพระมหากษัตริย์เอง ความทะเยอทะยานของนายกฯ สมเด็จฮุนเซน ไร้ขอบเขตไม่มีที่สิ้นสุด ปัจจุบันอายุ 56 ปียังถือว่าหนุ่มแน่นมีพลังเหลือเฟือในการเป็นผู้นำ ประเทศกัมพูชาต่อไปอีกนาน นายกฯสมเด็จประกาศว่าต้องการจะเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชาไปจนถึงอายุ 90 ปี หรืออีก 34 ปี รวมแล้วจะอยู่ในตำแหน่งนี้นานถึงกว่า 50 ปีนานที่สุดในโลก

    ลองคิดดูเอาเองว่า ทำไม นายกฯ สมเด็จฮุนเซน จึงกล้าบอกว่าอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่อายุ 60 ปียังเป็นเพื่อนตลอดกาลแทบไม่ต้องตีความว่านายกฯ สมเด็จฮุนเซน จะช่วยให้อดีตนายกฯ ทักษิณ กลับมามีอำนาจทางการเมืองในประเทศไทย โดยอาศัยฐานที่มั่นแหล่งพักพิงใหม่ในกัมพูชา เพื่อช่วยเติมเต็มความทะเยอทะยานของตัวเองในทุกๆ เรื่องให้เป็นจริง


    ในเร็ววันและยั่งยืนตลอดกาล ขอขอบคุณข้อมูลเชิงลึก เกี่ยวกับพฤติกรรมของนายกฯ สมเด็จฮุนเซน
    จาก Blogger ทรงฤทธิ์ โพนเงิน นักเขียนและสื่อมวลชนอิสระที่เชี่ยวชาญอินโดจีนมากที่สุดคนหนึ่งของประเทศใน Mekong Affairs และBlogger โฟล์คเน่อร์www.oknation.net/blog/flokner ที่แต่งขึ้นสดๆ ร้อนๆ ฝากถึงใครบางคนที่ทำตัวไม่ต่างจากชื่อเพลง(อ่านข้อเขียนย้อนหลังและแสดงความคิดเห็นตลอด 24ชั่วโมงทาง วิพากษ์วิจารณ์การเมือง เศรษฐกิจ อย่างตรงไปตรงมา)

    ทำไมถึงเปรียบเทียบทักษิณ เหมือนกับ อองซาน ซูจี

    คำตอบคือ เป็นหุ่นเชิดของมหาอำนาจตะวันตก เหมือนๆ กัน

    ทำไมอเมริกาถึงสนับสนุนด้านอาวุธให้กับเขมร

    คำตอบคือ พอลพต จริงๆ แล้ว เป็นหุ่นเชิดของอเมริกา
    โดยใช้จีนบังหน้าเหมือนกับ กบฏลัทธิเหมา ในเนปาล
    ทำให้ทั่วโลกเข้าใจผิดคิดว่า จีน อยู่เบื้องหลัง เมื่อเข้าไปแทรกแซง
    ประเทศอื่นโดย CIA จึงไม่มีใครสงสัย

    ฮุนเซ็น คือ หุ่นเชิดอเมริกา
    เพื่อแลกกับการตั้งฐานทัพในเขมร เป้าหมายคือ จีน จึงไม่น่าแปลกใจ
    ที่เห็นบิ๊กจิ๋วสนิทกับ ฮุนซ็น เพราะมันคือขบวนการ CIA

    อเมริกาแพ้สงครามเวียดนาม เป็นความตั้งใจเพราะ
    โฮ จิ มินห์ ทำข้อตกลงลับกับ วาติกัน
    ยอมให้เป็นคอมมิวนิสต์ เพื่อล้มล้าง สถาบันกษัตริย์
    ในภูมิภาคนี้ทั้งหมด และ วาติกัน ก็คือ CIA


    ถ้าใครลืมเรื่องนี้ไปแล้วแต่ผมยังจำแม่นครับ!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2012
  5. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    AEC จะล้มเหลวเพราะ สงครามหมู่เกาะ หรือไม่!!

    หรือถ้าหากเรียกตามสำเนียงจีน พื้นที่บริเวณนี้มักถูกเรียกรวมๆ กันว่า
    หมู่เกาะ หนานชา และ ซิซา

    หรือถ้าหากเรียกตามภาษาเวียดนามต้องเรียกว่า

    หมู่เกาะ เตรืองชา และ ฮวงซา

    แต่ถ้าเรียกกันตามภาษาปะกิตแล้ว
    ก็เป็นที่รู้จักกันในนาม

    หมู่เกาะ สแปรตลีย์ และ พาราเซล

    นั่นเอง...

    หลายต่อหลายประเทศ ไม่ว่าในระดับภูมิภาคเอเชีย
    หรือกระทั่งระดับโลกก็ว่าได้ ให้ความสำคัญว่าด้วยเรื่องกรรมสิทธิ์ และสิทธิประโยชน์ของประเทศต่างๆ
    ที่มีต่อพื้นที่เกาะปะการังและสันทรายนับจำนวนร้อยๆ ซึ่งงอกขึ้นมากระจัดกระจายอยู่เป็นกลุ่มๆ ในอาณาบริเวณทะเลจีนใต้


    อย่างไรก็ตาม...ไม่ว่าจะเรียกกันในชื่อไหน? ภาษาไหน? แต่พอจะเป็นที่ทราบๆ กันมา นับตั้งแต่ยุคพระเจ้าเหา
    ยังใส่กางเกงหูรูดแล้วว่า อาณาบริเวณพื้นที่เหล่านี้นี่แหละ...ที่มันทำให้เกิดความขัดแย้ง ข้อพิพาทระหว่างประเทศ
    ที่มีน่านน้ำติดต่อกับทะเลจีนใต้ อย่างเช่น จีน เวียดนาม ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ตลอดไปจนถึงบรูไน
    ซึ่งต่างก็พยายามอ้างสิทธิ์ในการครอบครองเกาะแก่งต่างๆ ไปจนถึงตลอดทั่วอาณาบริเวณของหมู่เกาะทั้งหมด
    อันเป็นเหตุให้เกิดการตีกัน ยิงใส่กันมาแล้ว เช่น ระหว่างจีนกับเวียดนาม เมื่อเดือนมีนาคม ปี ค.ศ.1988
    ชนิดเรือลาดตระเวณเวียดนามต้องจมดิ่งลงไปนอนเค้เก้อยู่ใต้ก้นทะเล 1 ลำ ไฟไหม้ไป 2 ลำ จำนวนทหารซึ่งล้มตาย บาดเจ็บ
    และสูญหาย มีจำนวนเป็นร้อยๆ ส่วนฟิลิปปินส์ก็หวิดๆ ไปเหมือนกัน...ฯลฯ

    เรื่องราวของหมู่เกาะสแปรตลีย์และพาราเซล จึงเป็นเรื่องที่มักถูกนำมาโจษขาน ในหมู่นักยุทธศาสตร์ทางการเมือง การทหาร
    หรือแม้แต่นักเศรษฐกิจ ธุรกิจ มาโดยตลอด เนื่องจากว่ากันว่า...พื้นที่ในอาณาบริเวณรอบเกาะแก่งต่างๆ เหล่านี้ อุดมไปด้วย
    ทรัพยากรธรรมชาตินานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันและก๊าซ ตลอดไปจนถึงสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลอย่าง กุ้ง หอย ปู ปลา อันเป็นที่
    ปรารถนาของเรือประมงแต่ละชาติด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากชาติยักษ์ๆ ระดับมหาอำนาจ อย่างประเทศจีน เป็นต้น
    ได้เข้าไปควบคุมพื้นที่ในเกาะแต่ละเกาะแบบเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ แถมดัดแปลงให้กลายเป็นสนามบินรองรับเครื่องบินลาดตระเวณ
    จู่โจม ก่อสร้างอาคาร สถานี เอาไว้อำนวยความสะดวกให้กับเรือรบ เรือดำน้ำ แต่ละลำ พื้นที่ดังกล่าว...
    ก็จะถูกแปรสภาพให้กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการทหารไปโดยทันที...


    ซึ่งไม่เพียงแต่จะสร้างแรงกดดันให้กับประเทศเล็กๆ ที่มีอาณาเขตซ้อนทับอยู่ในทะเลจีนใต้เท่านั้น
    แต่ยังสามารถสร้างความสั่นสะเทือนต่อยุทธศาสตร์ความมั่นคงของประเทศใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา ผู้ซึ่งเคยประกาศตัวว่าเป็น ชาติแปซิฟิกแต่ไหนแต่ไรมา นั่นเอง

    ปัญหาความขัดแย้ง ข้อพิพาทในการอ้างสิทธิ์เหนือแต่ละพื้นที่ ในหมู่เกาะสแปรตลีย์และพาราเซล จึงเป็นอะไรที่ยืดเยื้อ
    คาราคาซัง หาข้อสรุปหาจุดจบกันไม่เจอมาโดยตลอด ต่างฝ่ายต่างก็นำเอาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหา
    ยังคงใส่กางเกงหูรูด มาอ้างกันไปอ้างกันมา ไม่ต่างไปจากประเทศไทยแลนด์แดนสยามของเรา ที่ยังหาจุดจบยังไม่เจอ
    กับประเทศเขมร ไม่ว่าในเรื่องปราสาทพระวิหาร หรือเรื่องพื้นที่ซ้อนทับทางทะเลอยู่จนทุกวันนี้...


    แต่การแย่งชิงอิฐ หิน ดิน ทราย หรือแย่งบ่อน้ำมัน บ่อก๊าซ ระหว่างประเทศเล็กๆ อย่างไทยกับเขมร เมื่อเทียบกับ
    การแย่งชิงกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะสแปรตลีย์และพาราเซลแล้ว...อาจดูจิ๊บๆ จ้อยๆ ไปโดยทันที
    เพราะไม่เพียงแต่จำนวนประเทศที่เข้ามาพัวพันกับก้อนเค้กก้อนนี้ จะมีมากมายเยอะแยะ อีนุงตุงนังยิ่งกว่ากันหลายเท่า
    การที่รัฐบาลจีนได้ตัดสินใจส่งกำลังทหาร บุกเข้าครอบครองพื้นที่เหล่านี้ (เกาะอิตู อะบา เกาะวู้ดดี้ แนวปะการังเฟอร์รี รีฟ
    ชิกัวรีฟ มิสชิฟ รีฟ ฯลฯ) นับตั้งแต่ ปี ค.ศ.1947 เป็นต้นมา จนตราบเท่าทุกวันนี้ อีกทั้งยังได้ดัดแปลงพื้นที่ดังกล่าวให้กลายเป็น
    แหล่งอำนวยความสะดวกทางทหาร อย่างไม่อินังขังขอบต่อเสียงคัดค้านของบรรดาประเทศต่างๆ ที่อ้างกรรมสิทธิ์
    ในแต่ละพื้นที่ ย่อมมีส่วนทำให้การหาข้อยุติในเรื่องราวเหล่านี้ ยุ่งยากและซับซ้อนหนักขึ้นเรื่อยๆ...



    แต่การแย่งชิงอิฐ หิน ดิน ทราย หรือแย่งบ่อน้ำมัน บ่อก๊าซ ระหว่างประเทศเล็กๆ อย่างไทยกับเขมร เมื่อเทียบกับ
    การแย่งชิงกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะสแปรตลีย์และพาราเซลแล้ว



    ...อาจดูจิ๊บๆ จ้อยๆ ไปโดยทันที
    เพราะไม่เพียงแต่จำนวนประเทศที่เข้ามาพัวพันกับก้อนเค้กก้อนนี้ จะมีมากมายเยอะแยะ อีนุงตุงนังยิ่งกว่ากันหลายเท่า
    การที่รัฐบาลจีนได้ตัดสินใจส่งกำลังทหาร บุกเข้าครอบครองพื้นที่เหล่านี้


    (เกาะอิตู อะบา เกาะวู้ดดี้ แนวปะการังเฟอร์รี รีฟชิกัวรีฟ มิสชิฟ รีฟ ฯลฯ)

    นับตั้งแต่ ปี ค.ศ.1947 เป็นต้นมา จนตราบเท่าทุกวันนี้ อีกทั้งยังได้ดัดแปลงพื้นที่ดังกล่าวให้กลายเป็น
    แหล่งอำนวยความสะดวกทางทหาร อย่างไม่อินังขังขอบต่อเสียงคัดค้านของบรรดาประเทศต่างๆ ที่อ้างกรรมสิทธิ์
    ในแต่ละพื้นที่ ย่อมมีส่วนทำให้การหาข้อยุติในเรื่องราวเหล่านี้ ยุ่งยากและซับซ้อนหนักขึ้นเรื่อยๆ...


    แต่กระนั้นก็ตาม...สำหรับเวียดนามที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศซึ่งมีกองทัพใหญ่เป็นอันดับ 2 ในเอเชีย และเคยยิงกับจีนมาแล้ว
    ไม่ว่าทั้งบนบกและในน้ำ อีกทั้งเมื่อเร็วๆ นี้เพิ่งจะบินไปช็อปปิ้งเรือดำน้ำ และเครื่องบินรบรุ่นล่าสุดมาจากรัสเซียหมาดๆ
    แม้นโดยตัวรัฐบาลจะยอมอมสากกะเบือแบบปริ่มๆ แต่ในนามของเอกชน อันได้แก่ สถาบันทางการทูตและ
    สมาคมนักกฎหมายเวียดนาม ได้ตัดสินใจที่จะจัดการประชุมหารือกับตัวแทนเอกชนของประเทศต่างๆ (รวมทั้งของจีนด้วย)
    ในระดับ พหุภาคี และแม้นว่าการประชุมครั้งนี้จะไม่ใช่เป็นการประชุมอย่างเป็นทางการ แต่ก็ได้ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวใหม่ๆ
    มิติใหม่ๆ ในการแก้ปัญหาเหล่านี้ จนว่ากันว่า...อาจเป็นเหตุที่ทำให้รัฐบาลจีนจำต้องส่งเรือตรวจการณ์ลำใหญ่ที่สุดของ
    สำนักงานบริหารการประมง ออกเดินทางจากฐานทัพเรือบนเกาะไหหลำมาจอดทอดสมออยู่ที่เกาะพาราเซล


    คำถามมีอยู่ว่า แล้วบรรดาความเคลื่อนไหวเหล่านี้จะมีอะไรที่น่าสนใจ มีความเกี่ยวข้องกับประเทศไทยแลนด์
    แดนสยามของเรา...ซึ่งกำลังต้องปวดเศียร เวียนเกล้าอยู่กับผู้นำเขมรอย่าง ฮวยเซ็ง หรือไม่?


    มีต่อ




     
  6. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    ปัญหาข้อพิพาทเหล่านี้นอกจากจะเป็นอะไรที่...ไม่น่าจะจบ หรือไม่น่าจะหาจุดลงตัวกันได้ง่ายๆ ยังเป็นปัญหาที่มีโอกาส
    บานปลาย ไปถึงประเทศอื่นๆ หรือเป็นปัญหาที่ไม่ได้จำกัดวงอยู่แต่เฉพาะบรรดาประเทศที่มีข้อพิพาทอยู่กับจีน
    ในพื้นที่บริเวณนี้ หรือในภูมิภาคนี้เท่านั้น


    โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญสัญชาติอเมริกันทั้งหลาย เช่น ริชาร์ด ฟิชเชอร์ นักวิจัยอาวุโส
    จากศูนย์ประเมินผลยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ แห่งกรุงวอชิงตัน



    ที่ไม่ได้มองความพยายามของจีนในการครอบครองพื้นที่
    เกาะปะการังและสันทราย กระจอกงอกง่อยเหล่านี้ ในแง่จุดมุ่งหมายทางเศรษฐกิจเพื่อหาทางขุดแก๊ส ขุดน้ำมัน มาใช้ประโยชน์เท่านั้น แต่กลับหันไปเน้นหนักต่อ จุดมุ่งหมายทางการทหาร ของจีนซะเป็นหลัก...
    โดยมองความเคลื่อนไหวดังกล่าว เป็น ลัทธิขยายดินแดน ในอีกรูปแบบหนึ่งไปเลยถึงขั้นนั้น...

    (อันนี้เป็นการิเคราะห์หรือแค่ข้ออ้างหรือเปล่าก้อไม่รู้?)(one-eye)

    ดังคำพูดที่ว่า... "จีนต้องการทำให้มัน (อาณาเขตทางทะเลเหล่านี้) กลายเป็นเขตพื้นที่ซึ่งได้รับการคุ้มครองป้องกันอย่างเต็มที่
    เพื่อใช้ในการปฏิบัติการของกองเรือ SSBNs (กองเรือดำน้ำติดขีปนาวุธนิวเคลียร์ข้ามทวีป) ไปจนกว่าจะได้ใต้หวันมาเป็น
    ส่วนหนึ่งของจีน"


    และเมื่อไหร่ก็ตามที่..."จีนนำเอาขีปนาวุธนิวเคลียร์ราวครึ่งหนึ่งมาติดตั้งบน SSBNs นั่นย่อมหมายความว่า
    จีนสามารถควบคุมบงการระบบต่างๆ ของทะเลจีนใต้ทั้งหมดเอาไว้ได้ในอนาคต" พูดง่ายๆ ก็คือว่าบรรดาเกาะแก่งปะการังต่างๆ
    เหล่านี้ ไม่ได้มีความสำคัญกับจีน แต่เฉพาะในทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางการทหารที่สำคัญเอามากๆ
    เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้จีนเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวก คล่องแคล่ว เป็นอิสระ ภายในอาณาบริเวณทะเลจีนใต้แล้ว ยังสามารถ
    เชื่อมโยงไปถึงบทบาทของกองทัพเรือจีนในมหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดียได้อีกด้วย...


    เพราะอันที่จริงก็เป็นที่ทราบๆ กันมานานแล้วว่า...จีนนั้นคงไม่ได้คิดที่จะป้วนเปี้ยนอยู่แค่ในแถบทะเลจีนใต้เท่านั้น
    นับตั้งแต่อดีตรัฐมนตรีคมนาคมของจีน นาย ปัน ฉี ได้ประกาศแนวคิดเรื่อง ทางเปิดสู่ตะวันตกเฉียงใต้ เอาไว้ตั้งแต่ ปี ค.ศ.1985
    ช่วงเวลาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา จีนได้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดในการสร้างทางออกทางทะเลเอาไว้อีกทางหนึ่ง
    ในแถบมหาสมุทรอินเดีย หรือนับตั้งแต่รัฐบาลเผด็จการพม่าต้องผวาเข้าซบจีนมาตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุจลาจล ปี ค.ศ.1988
    เป็นต้นมานั่นเอง ข่าวคราวเรื่องฐานทัพเรือจีน ตลอดไปจนถึงสถานีเรดาร์ในอ่าวเบงกอล ที่สามารถตรวจการณ์ลึกไปถึงอินเดีย
    และปากีสถาน

    ได้ทำให้ ชาติแปซิฟิกแต่ไหนแต่ไรมา อย่างสหรัฐอเมริกา รวมไปถึงอินตระเดีย ต่างต้องเกิดอาการ
    อกสั่นขวัญแขวนไปด้วยกันทั้งคู่...:'(



    ความพยายามที่จะ ปิดล้อมจีน ด้วยกรรมวิธีต่างๆ มาโดยตลอด รวมไปถึงคำประกาศยืนยันว่า อเมริกา...กลับมาแล้ว
    ของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐคนปัจจุบัน นาง ฮิลลารี คลินตัน ต่อบรรดาประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
    ในช่วงการประชุมอาเซียนครั้งที่ผ่านๆมา...แน่นอนว่า ย่อมทำให้โอกาสที่ประเทศแต่ละประเทศซึ่งยังคงมีปัญหาความขัดแย้ง
    ข้อพิพาทกับจีนในแต่ละเรื่องแต่ละกรณี โดยเฉพาะกรณี พื้นที่ทางยุทธศาสตร์ อย่างหมู่เกาะสแปรตลีย์ พาราเซล
    จะสามารถบรรลุข้อตกลงกับจีน...ไม่ว่าจะในแง่ ทวิภาคี หรือ พหุภาคี ย่อมเป็นไปได้...ยากซ์ซ์...ยิ่งขึ้นเท่านั้น

    มีต่อ
     
  7. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    จากทัศนะของผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์สัญชาติอเมริกัน อย่างนาย ฟิชเชอร์ สามารถสะท้อนถึงความยุ่งยากเหล่านี้
    ได้เป็นอย่างดี ดังที่สรุปเอาไว้ว่า

    "การที่สหรัฐยังคงวางตัวเป็นกลาง (ในกรณีข้อพิพาทเหล่านี้) ต่อไป มีแต่จะเร่งวันเวลาที่จะทำให้จีนกลายเป็นผู้ต่อต้านประชาธิปไตยในภูมิภาคแถบนี้ โดยอาศัยขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ

    และการทหารอันมหาศาล เพื่อบังคับให้ทั่วทั้งภูมิภาคเป็นไปตามความปรารถนาของตน..."

    (วิเคราะห์แบบนี้ประเทศเล็กๆเริ่มหนาวหรือยัง!):cool:


    ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่าภาคเอกชนเวียดนามจะหยิบเอาปัญหาข้อพิพาทในเรื่องหมู่เกาะสแปรตลีย์และพาราเซลมาเจรจาหารือกับจีน
    ด้วยความบริสุทธิ์ใจเพียงใดก็ตาม แต่ภายใต้ความพยายามที่จะหาทางบรรลุข้อตกลงเหล่านี้อย่างจริงๆ จังๆ หรืออย่างเป็นระบบ รวมทั้งเป็นความพยายามภายใต้กรรมวิธีแบบ พหุภาคี อีกด้วย ย่อมมีโอกาสทำให้ประเทศเวียดนามและ

    รัฐบาลเวียดนามอาจต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ การแข่งขันทางยุทธศาสตร์ ระหว่างมหาอำนาจในทะเลจีนใต้อย่างจีน กับมหาอำนาจแห่งแปซิฟิกอย่างสหรัฐอเมริกา อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้

    และนั่นย่อมหมายถึง...ประเทศที่เวียดนามอุตส่าห์ทุ่มเท แลกเลือด แลกเนื้อ สร้างผู้นำขึ้นมากับมือตั้งแต่แรก...อย่างเช่นประเทศเขมร

    ของ สมเด็จฮวยเซ็ง ผู้ซึ่งกำลังหันมาฟาดงวง ฟาดงา อยู่กับประเทศไทยในขณะนี้ จำต้องหาทางปรับเนื้อ ปรับตัว หรือเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องไต่เส้นลวดไปตามเส้นทางระหว่างหุบเหว

    ที่มีกระแสลมของจีนและเวียดนามโบกสะบัดอยู่รอบข้างอย่างช่วยไม่ได้...

    (ฮาไหมครับ!หรือจริงๆแล้วเค้าเรียกว่ากรรมเริ่มตามทันสมเด็จฮวยเซ็งแล้ว) (deejai)

    มีต่อ

     
  8. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    ในขณะที่เวียดนามนั้น...ได้ชื่อว่าเป็นผู้ลงทุน ลงแรง สร้างผู้นำเขมรอย่างฮวยเซ็ง มากับมือ ตลอดไปจนถึง เฮง สัม ริน
    และ เจีย ซิม ที่ ฮวยเซ็ง พยายามเอาอกเอาใจด้วยการสถาปนาให้เป็น นายพล 5 ดาว ร่วมกับตัวเองไปเมื่อเร็วๆ นี้


    แต่จีนที่เคยทำ สงครามสั่งสอนเวียดนาม มาเมื่อไม่กี่ปี และเคยหนุนหลัง เขมรแดง ไปจนถึง เขมรเสรี อันเป็นคู่ขัดแย้ง
    รายสำคัญของผู้นำเขมรรายนี้มาโดยตลอด...ก็กำลังกลายเป็นประเทศ ผู้ลงทุนอันดับหนึ่ง ของประเทศกัมพูชาในยุคปัจจุบัน...


    ท่ามกลางปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจที่รุมเร้าประเทศกัมพูชาทั้งประเทศอย่างหนักหนาสาหัสอยู่ในขณะนี้...นอกจากเงินลงทุน
    โดยตรงจากนักลงทุนจีนจะหลั่งไหลเข้าสู่ กัมพูชาไม่ต่ำกว่าปีละ 1,000 ล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ช่วง ค.ศ.2007 เป็นต้นมา
    จำนวนเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าของจีนต่อกัมพูชา มีแต่จะเพิ่มพูนยิ่งขึ้นทุกที จาก 600 ล้านดอลลาร์ในปี 2007 เพิ่มขึ้นอีก260 ล้านดอลลาร์


    ในปี 2008 และในช่วงปลายปี 2009 เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา จะด้วยกรณีที่ ฮวยเซ็ง ตัดสินใจส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ ซึ่งได้รับการยอมรับสถานะโดยสหประชาชาติ กลับไปให้จีนตัดหัวหรือไม่? เพียงใด?

    ก็แล้วแต่รัฐบาลจีนก็ได้ตัดสินใจโปะเงินช่วยเหลือให้กับกัมพูชาอีกถึง 1,200 ล้านดอลลาร์ จนทำให้

    รัฐมนตรีกระทรวงแถลงข่าวกัมพูชา
    นาย เขียว กัญญฤทธิ์ ถึงกับอดครวญครางด้วยความซาบซึ้งออกมาไม่ได้ว่า
    "ความช่วยเหลือจากจีนทำให้กัมพูชา...สามารถยืนอยู่บนเสรีภาพของตัวเอง...ได้


    เช่นเดียวกับรัฐอธิปไตยอื่นๆ..."

    (นายเขียวพูดแบบนี้แล้ว"เวียดนามผู้อุปการะสมเด็จฮวยเซ็งล่ะทำไง"อิอิ)


    ซึ่งอันที่จริงก็น่าเห็นใจประเทศกัมพูชาอยู่ไม่น้อย เพราะการหาทางดำรงรักษา เสรีภาพของตัวเองเช่นเดียวกับรัฐอธิปไตยอื่นๆ
    ในขณะที่ผู้นำประเทศตัวเองเป็น นอมินี เวียดนามมาตั้งแต่แรก เพียงแค่ราษฎรชาวกัมพูชาและนักการเมืองฝ่ายค้าน
    แห่ไปถอนหลักปักเขตเวียดนาม-กัมพูชาแค่ไม่กี่หลัก รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชาก็ถูกรัฐบาลเวียดนามเปล่งสีหนาทเดโช
    ตวาดห้ามไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นอีกโดยเด็ดขาด!!!

    และถึงแม้นว่าผู้นำกัมพูชาอย่าง สมเด็จ ฮวยเซ็ง จะเพียรพยายาม
    ขจัดคู่แข่งของเวียดนาม นั่นก็คือ"ประเทศไทย" ให้ออกไปจากการแข่งขันทางการค้าในระบบเศรษฐกิจกัมพูชา


    ด้วยการฟาดงวงฟาดงา ออกอาวุธกับผู้นำไทย

    ตลอดไปจนการปลุกระดมความเกลียดชังประเทศไทยครั้งแล้วครั้งเล่า

    แต่โอกาสที่จะนำเอาพลังทางเศรษฐกิจของเวียดนาม มาทดแทนพลังเศรษฐกิจของไทย ที่ประเทศกัมพูชาและชาวกัมพูชาต้องสูญเสียไป...ดูๆ มันไม่อาจทดแทนกันได้ถนัดๆ ซักเท่าไหร่นัก...

    เอาง่ายๆ ว่า...แค่ดูจากรายได้บ่อนการพนันบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาเท่านั้น แม้นผู้นำกัมพูชาอย่าง ฮวยเซ็งจะออกมาสำรากคราวแล้วคราวเล่า ปานประดุจว่าคิดจะประกาศสงครามกับประเทศไทยในวันนี้ วันพรุ่งนี้ ไม่รู้ต่อกี่ครั้งกี่หน...

    แต่บรรดานักการพนันชาวไทยก็ยังคงหลั่งไหลเข้าไปใช้บริการแทงสูง-แทงต่ำ ตาดีได้-ตาร้ายเสียอยู่ในบ่อนแต่ละบ่อน อย่างกระเหี้ยนกระหือรือมากไปด้วยน้ำจิตน้ำใจตามประสาคนไทยแท้ ที่ต้องมีติดปลายนวมโดยไม่สนใจเรื่องใดๆ อยู่แล้ว

    ต่างไปจากบ่อนการพนันบริเวณชายแดนเวียดนาม-กัมพูชา แบบคนละเรื่องคนละม้วน ทั้งๆ ที่ ฮวยเซ็ง อุตส่าห์เปิดช่อง เปิดโอกาส เตะตัดขาประเทศไทยเพื่อให้เวียดนามได้มีโอกาสเข้ามาเบียดเข้ามาแทรกกันแทนที่

    ...แต่จากข่าวคราวล่าสุด พบว่าบ่อนคาสิโนเกือบ 30 แห่ง ที่ตั้งเรียงรายอยู่บริเวณชายแดน เวียดนาม-กัมพูชา กลับมีสภาพไม่ต่างไปจากโรงแรมผีสิง สถานคาสิโนหรูหราที่สุด 4-5 แห่ง ภายใต้เครือข่ายโรงแรมควีนคราวน์ จำต้องประกาศปิดกิจการลงไปตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากแทบไม่มีนักเสี่ยงโชค
    ที่ข้ามเข้าไปใช้บริการเหมือนเคย...




    มีต่อ
     
  9. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    แม้นจะมีการประกาศความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การลงทุนระหว่างเวียดนามและกัมพูชา ทยอยออกมาเป็นระยะๆ และถูกป่าวประกาศให้เป็นข่าวใหญ่ ข่าวโต ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ภายใต้สภาพที่ วิกฤติแหนมเนือง หรือ วิกฤติเฝอ ในเวียดนาม

    ยังคงไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ ตลอดไปจนภาวะเงินเฟ้อ ปัญหาค่าเงินดองที่ร่วงโรยแบบทะรูดทะราด อีกทั้งยังต้องเจอกับ ผลกระทบเชื่อมโยงยาวไกลไปถึงประเทศในตะวันออกกลาง อย่างเช่นอาณาจักรดูไบ ซึ่งกำลังผงาบๆ เพราะ วิกฤติอูฐแดดเดียว ไปหมาดๆ สิ่งเหล่านี้

    ...ย่อมทำให้ประเทศที่มีรายได้ประชาชาติจัดอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐานความยากจน ตามเส้นแบ่งของสหประชาชาติอย่างกัมพูชา หนีไม่พ้นที่จะต้องหายใจ หายคอไม่ค่อยออก หรือต้องหันไปหายใจทางปากตามเวียดนามไปด้วย...

    ภายใต้สภาพที่กัมพูชายังต้องผลุบๆ โผล่ๆ ลอยคออยู่ท่ามกลางทะเลเศรษฐกิจอันเชี่ยวกรากเช่นนี้...ย่อมเป็นเรื่องไม่แปลกที่ประเทศมหาอำนาจ ซึ่งได้ชื่อว่ารวยที่สุดในโลกอยู่ในทุกวันนี้ อย่างประเทศจีน จึงมีสภาพไม่ต่างอะไรไปจากขอนไม้อันมั่นคง แข็งแรง ที่กัมพูชาต้องการที่จะโผเข้าหา หรือถึงกับทำให้รัฐมนตรีบางรายในรัฐบาลกัมพูชา ตั้งความหวังเอาไว้ว่า

    "ความช่วยเหลือจากจีน จะทำให้กัมพูชาสามารถยืนอยู่บนเสรีภาพของตัวเองได้เช่นเดียวกับรัฐอธิปไตยอื่นๆ"


    คำถามก็มีอยู่ว่า...

    ความพยายามโผเข้าหาจีนในลักษณะเช่นนี้ เป็นความต้องการของรัฐบาล หรือของผู้นำรัฐบาลอย่าง ฮวยเซ็ง ด้วยหรือไม่???


    และที่สำคัญที่สุดก็คือประเทศเวียดนาม หรือรัฐบาลเวียดนาม ซึ่งเคยสามารถสั่งให้ ฮวยเซ็ง หันขวา-หันซ้ายมาได้โดยตลอด...
    จะคิดเห็นเป็นประการใดกันต่อไป???


    (คิดเห็นว่า ฮวยเซ็ง เป็นผู้นำชาติพันธ์ที่ชอบหักหลังโดยกมลสันดานใช่หรือไม่ อิอิ)

    ปัญหาความไม่ลงตัวระหว่างจีนกับเวียดนาม ตลอดไปจนถึงบรรดาประเทศอาเซียนอีกหลายๆ ประเทศ ในเรื่องกรรมสิทธิ์ พื้นที่ในหมู่เกาะทะเลจีนใต้ จะเกี่ยวพันไปถึงบทบาทของจีนที่กำลังเพิ่มขึ้นๆ ในกัมพูชา มากน้อยขนาดไหน???


    เสรีภาพของกัมพูชาที่กำลังปรากฏขึ้นมาเช่นเดียวกับรัฐอธิปไตยอื่นๆ จะทำให้เวียดนามคิดอย่างไรกับ นอมินี ของตัวเอง ทั้งในขณะนี้ และในอนาคตข้างหน้า???

    และการออกอาวุธใส่ประเทศไทยอย่างไร้เหตุไร้ผลครั้งแล้วครั้งเล่าของผู้นำกัมพูชา...นอกจากจะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่ได้ทำให้ประเทศกัมพูชาและชาวกัมพูชามีอะไรดีขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย

    ดีไม่ดี...อาจทำให้กัมพูชาทั้งประเทศต้องร่วงลงไปในหุบเหวความขัดแย้ง ที่หนักหน่วงไปซะยิ่งกว่าความพยายามสร้างความขัดแย้ง กับประเทศไทยไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า...

    จะรวมกันได้จริงหรืออาเซียน!





     

แชร์หน้านี้

Loading...