รวมกระทู้ที่ไม่เหมาะสมไม่อ้างที่มาในพระไตรฯภาษาไทยของ frozen flower และอีกหลายชื่อ

ครรภ์ของสตรีเพศมีไว้เพื่อรองรับสัตว์นรก



เทวดาผู้ไม่อยากลำบากย่อมไม่อยากตกสวรรค์มาเกิดเป็นคน
ที่โลกต้องมีครรภ์มารดาเพื่อรองรับการเกิดของสัตว์นรก ไม่
ใช่สัตว์สวรรค์ แต่เมื่อมีครรภ์มารดาแล้ว สัตว์สวรรค์ก็ต้องมา
เกิดในครรภ์เช่นกัน


โลกยุคใดเจริญมาก จิตวิญญาณจรจุติมาจากเบื้องบนฝ่ายเดียว
ย่อมถือกำเนิดโดยไม่อาศัยครรภ์มารดา เป็นโอปปะปาติกะกำเนิด

 

พอดีนับถือศาสนาคริสต์ด้วย ไม่ได้นับถือพุทธอย่างเดียว

พระพุทธเจ้าสอนให้อยู่กับปัจจุบัน

การปราถนาอย่างนู่นอย่างนี้

เรียกว่า การอยู่กับความเพ้อเจ้อของอจินไตย

พวกยอมรับความจริงไม่ได้ว่า ตัวเราสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องไปช่วยเสริมบารมีใคร

เเละจะบอกให้ว่า ไม่ได้อยากเป็นผู้ชายในชาตินี้เลย

เพราะมีความสุขกับการเป็นผู้หญิงมาก

ไม่ว่าจะมีคู่หรือไม่มี ตอนนี้สมบูรณ์ทางใจมากพอเเล้ว

ถ้าชาติที่เเล้วมีจริงเเล้วเกิดเป็นผู้ชายก็คงจะเลือกอธิษฐานขอเป็นผู้หญิงในชาติปัจจุบัน

ถึงได้โคตรภูมิใจกับการเป็นเพศหญิงมากมายนะคะ

 

นางแก้วกับคู่บารมีไม่ค่อยได้สมหวังกันหรอก
เพื่อบีบให้ไม่นิพพานไปก่อน ต้องตามกันไป
จนกว่าจะถึงชาติสุดท้ายถึงสมหวัง


ไปด้วยกันไหม...

 

สงสารผู้หญิงที่เกิดมาเป็นเเม่นายจริงๆว่ามี ลูกคิดเเบบนี้

 

คู่บารมีเขาไม่มาจีบกันเรี่ยราดเเบบนี้หรอก

เเล้วที่สำคัญพระโพธิสัตว์เกิดมาเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลกทุกภพภูมิ

ไม่ใช่เลือกที่รัก รังเกียจเพศ หรือ พวกวิญญาณชั้นต่ำ สัตว์นรกหรอกนะ

 

แค่ทำงานศิลปะบนเว็บเฉยๆ ไม่ได้จีบครับ
ส่วนครรภ์แห่งมารดา สมควรคู่สัตว์นรกจริงๆ
เพราะสัตว์สวรรค์ไม่จำเป็นต้องเกิดเช่นนั้น

 

เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้ว ย่อมหาทางที่จะไม่เกิดอีก

 

โห แนวความคิดสุดยอดมากครับ แต่อยากจะเสนอแนวความคิดนิดนึงครับ พระนางศิริมหามายา แม่ใคร? พระแม่มารี แม่ใคร? สมเด็จย่า แม่ใคร?

มืดมาสว่่างไป ก็มี มืดมามืดไป ก็มี สว่างมามืดไป ก็มี สว่างมาสว่างไปก็มื

 

คนเรามีได้แบ่งแยกเพียงเพราะเพศว่าสมควรไหม หากแต่สตรีอันมีบุญสูงส่งที่ได้มาเกิดบนโลกนี้ ย่อมมีเทวบุตหรือเทวดามาจุิได้ตามแต่แรงบุญของเขา และเป็นเบื้องหลังสำคัญของมหาบุรุษหลายท่านเสมอ

นั่นเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีตกาลก็จริงในยุคสมัยหนึ่งมนุษย์เกิดมาโดยไม่มีมารดาเป็นทีตั้ง หากแต่ทว่าแนวคิดการเกิดที่เป็นที่รองรับของสัตว์นรกนี่ผิดไปมากทีเดียว

เพราะเหตุนี้ความคิดของคุณจึงเป็นแค่แนวคิดที่เกิดจากคติอันวิกลจริต ละเมอเพ้อพกไปเองเท่านั้น

 

พระโพธิสัตว์จุติลงครรภ์จึงเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
ส่วนพระพุทธเจ้า เกิดได้แต่จากโอปปะปาติกะครับ



เป็นการเกิดแบบมนุษย์ต่างดาว

 

โลกไม่ใช่ภพที่ดีที่สุด
แต่มันก็ดีกว่านรก


ดังนั้น การพยายามทำให้สัตว์ได้เกิดเป็นคน
จึงไม่อาจมาจากการพยายามดึงเทวดาลงต่ำ
แต่ต้องมาจากการดึงสัตว์นรกขึ้นที่สูงซึ่งก็คือ
"ครรภ์มารดา" เป็นที่อาศัยไปสู่ความหลุดพ้น


ดังนั้น ครรภ์มารดาจึงรองรับสัตว์นรกเป็นเหตุ
จึงเกิดจากปัญญาและเมตตาธรรมโดยแท้จริง

 

ผู้ที่ยอมรับสัตว์นรกลงสู่ครรภ์ได้
จึงนับว่าถึงโพธิจิตโดยแท้

 

ถ้าคิดแบบนี้ก็หมายความว่า คุณfrozen เป็นสัตว์นรกมาเกิดใช่หรือไม่?

 

อันนี้คงจะเป็นลัทธิใหม่ และนิยมชมชอบการนุ่งลมห่มฟ้า(ลัทธิฑิฆัมพร)

 

ผมเกิดแบบโอปปาติกะ
มาอยู่ในร่างของคนที่ตายแล้ว

 

กระทู้นี้ ไม่มีสาระ และประโยขน์อันใด
(อ่านดูอย่างละเอียดแล้ว)
..ฟันธงคราบ

 

โลกปัจจุบัน จัดได้ว่าเจริญแล้วจริงหรือ?


มนุษย์โลกได้หลงไปว่าความเจริญของโลก
ควรเป็นการเจริญดังเช่นในปัจจุบัน คือ การ
พัฒนาความเจริญทางวัตถุทั้งหลาย


แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ความเจริญ
สูงสุดของมวลมนุษย์นั้นเรียบง่าย เปลือยเปล่า
บริสุทธิ์ ไม่ปรุงแต่ง


จริงอยู่ว่ามนุษย์โลกยุคปัจจุบัน อ่อนแออยู่จึง
ไม่อาจกลับสู่ความเจริญสูงสุดนั้นได้ แต่ท่านยัง
จักเอาเป้าหมายทางวัตถุใดเป็นเครื่องสร้างความ
เจริญแก่โลกใบนี้อีกเล่า ในเมื่อเราได้กล่าวแก่ท่าน
ทั้งหลายแล้วว่าสิ่งนั้นมีอยู่แล้ว ดำเนินไปตามควร
อยู่แล้ว และมันพร้อมจะกลับสู่สู่ความเจริญสูงสุด
อยู่แล้ว โดยที่ท่านทั้งหลาย ไม่ต้องกระทำสิ่งใด
อันจะส่งผลกระทบต่อธรรมชาติของโลกใบนี้เลย


นั่นคือ ใช้ความเจริญสูงสุดของยุคสมัยที่มนุษย์
เจริญสูงสุด เป็นเป้าหมายในการดำรงอยู่และดำเนินไปนั่นเอง

 

New World .......
New World Goal?

 

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว...... พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบจึงนับว่ามีธรรมอันสมควรจะพยากรณ์ได้ดังนี้ว่า.....ข้าพเจ้าครองปฐวีธาตุโดยความเป็นอนัตตา มิใช่ครองอัตตาอาศัยปฐวีธาตุเลย ข้าพเจ้าครองอาโปธาตุ โดยความเป็นอนัตตา.... ครองเตโชธาตุโดยความเป็นอนัตตา...... ครองวาโยธาตุโดยความเป็นอนัตตา.... มิใช่ครองอัตตาอาศัยวิญญาณธาตุเลย จึงทราบชัดว่าจิตของเราพื้นแล้ว.... จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้แล จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะไม่ยึดมั่นในธาตุ ๖ นี้

 

จากข้อความข้างต้นที่ดึงมาจากพุทธพจน์ เราอาจอนุมานได้ว่า อริยะเจ้าถือครองผ้าปกปิดร่างกายโดยความเป็นอนัตตา

เหตุผลที่ข้าพเจ้าคิด คือประโยชน์จากการครองผ้าเพื่อปกปิดอวัยวะอันน่าละอายนั้นอาจไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อผู้อื่น ถ้าเกิดคุณเห็นผมไม่ใส่อะไรเลย เดินไปทั่วคุณจะคิดเช่นไร คำพูดของคุณน่าเชื่อถือได้แค่ไหนโดยดูจากการกระทำ....นอกจากนั้นช่วยคิดต่อนะคับ