รวมปุจฉา-วิสัชนา ของฤษีลึกลับ กับเคล็ดลับการฝึกกรรมฐานฮะ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย คนขายธูป, 13 สิงหาคม 2007.

  1. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา: ในการนับความก้าวหน้าในการฝึกจิตตามกรรมฐานแนวต่างๆ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าก้าวหน้า แล้วจะบรรลุได้?


    วิสัชนา


    ดูไม่ยากเลย เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสแสดง และพระอรรกถาจารย์ได้ขยายความไว้ชัดเจนแล้วในพระไตรปิฎก ขอเพียงศึกษาอย่างตั้งใจก็จะรู้ได้ว่าเป็นเรื่องสากลที่สามารถวัดได้ คือ หากบุคคลนั้นยอมวางความถือตัวยอมเปิดใจทิ้งความเชื่อเก่าว่าสุขทางโลกเที่ยง หรือทิฐิผิดๆ อื่นๆ เช่น ชาติหน้าไม่มีจริง จนจิตตรงต่อนิพพาน ไม่มีความลังเลสงสัย เมื่อให้เลี่ยงกรรมโดยถือศีลก็ทำอย่างตั้งใจไม่ลูบๆ คลำๆ ผิวเปลือก แค่นี้ก็ได้โสดาบันแล้ว คือ เกิดอีก ๗ ชาติก็บรรลุ และไม่ตกต่ำกว่าภพมนุษย์ ส่วนผู้กำลังฝึกจิตสู้กิเลสจนกระทบกระทั่งในใจ หาทางเอาชนะแต่ไม่ชนะก็เรียกว่าสกิทาคามี และเมื่อเอาชนะกามและโกรธก็อนาคามีแล้ว เหลือแค่มานะถือตัวว่าเป็นนั่นเป็นนี่ และอวิชชาคือความรู้ไม่แจ้งแทงตลอดในสรรพสิ่งเท่านั้น ผ่านด่านนี้ก็บรรลุอรหันต์ถึงสุขแท้จริงแล้ว
     
  2. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา:เห็นบางเว็บไซต์มีคนไปถกธรรมแล้วก็ด่าทอกันวุ่นวายอย่างนี้เป็นสิ่งที่ดีไหมจะอธิบายได้อย่างไรครับ?


    วิสัชนา


    ธรรมะในพระไตรปิฎก เรียกได้ว่าเป็นภูมิปัญญาของพระพุทธองค์ โดยแท้ ไม่ใช่ความรู้ของใครอื่นเลยสักคน ส่วนบางท่านหากจะค้นพบธรรมในธรรมชาติด้วยตนเอง จึงเรียกได้ว่าตนก็รู้เฉพาะตนได้ บางท่านไปอ่านพระธรรมมา บางครั้งยังไม่ละเอียดลึกซึ้งเพียงพอ ก็เอามาเป็นข้ออ้างเพื่อถกเถียงและด่าทอเพื่อเอาชนะกัน แบบนั้นไม่ควรไปยุ่งด้วย เพราะไม่ใช่บัณฑิตแท้ เป็นแค่คนพาลที่แสร้งตัวเป็นบัณฑิต เอาพระธรรมของพระพุทธองค์มาประดับสมอง แล้วโอ้อวดว่าตนรู้มากจำมาก แต่ไม่ได้รู้จริงเลย หากไม่ปฏิบัติแล้ว เราจะเชื่อสิ่งที่เราอ้างอิงมาได้อย่างไร เรื่องข้อมูลนั้น ยิ่งหามาอ้างก็ยิ่งวุ่นวาย พูดกันง่ายๆ ตรงๆ เลยดีกว่าว่า จิต ตอนนั้นเป็นอย่างไร ไม่ใช่เผลอลืมดูจิตตนเอง แล้วอ้างสารพัดข้อมูลที่ตนก็ยังไม่รู้จริงไปเถียงกับใครๆ เขาไปทั่ว คนดีก็มีอยู่บ้าง แต่จำต้องเลี่ยงคนพาล
     
  3. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา:ทำไมบางท่านจึงศึกษาอภิธรรมมากมายนักหนาเสียเวลาทำงาน แค่ใบไม้ในกำมือก็พอแล้วไม่ใช่หรือ?


    วิสัชนา


    ต้องมีทั้ง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ อย่างสมดุล หากปฏิบัติแล้วไม่ดูไตรปิฎก ก็หลงเข้าป่าเข้ารกซี ส่วนบางท่านเป็นพุทธภูมิต้องการช่วยคนให้ได้หลากหลายแบบ คนแต่ละแบบแตกต่างกัน การศึกษากว้างก็ได้ช่วยคนมีประโยชน์แบบนี้ แต่ต้องเกิดหลังตนเองเอาตัวเองรอดก่อนนะ ไม่เช่นนั้น เกิดตายขึ้นมาเมื่อไร อดได้เมื่อนั้น ต้องไปต่ออีกหลายชาติ เรียกว่าการบำเพ็ญ
     
  4. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา:พระอภิธรรมมีเยอะมากอ่านไม่จบไม่สิ้นไม่รู้จะเริ่มตรงไหนและจุดไหนคือหัวใจสำคัญของพุทธศาสนา?


    วิสัชนา


    ดับอวิชชา คือ ความหลงว่าโลกนั้นเที่ยง ความหลงในสุขทางโลกว่าเป็นของเที่ยง เป็นสุขแท้ที่ควรแย่งกันเติมเต็มให้แก่ชีวิตเพื่อดับทุกข์ ความไม่เชื่อในการเวียนว่ายตายเกิด ความไม่เชื่อในผลกรรม นี่คือดับ
     
  5. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา:เท่านี้เองหรือพระพุทธศาสนาทำไมพระไตรปิฎกมีมากมายพระบางรูปต้องเสี่ยงตายบำเพ็ญกรรมฐานในป่า?


    วิสัชนา


    การทำให้เหตุทุกข์สิ้นไป จนเหลือแต่สุขก็คือหัวใจของพระพุทธศาสนามีเท่านี้เอง ขอให้เราปฏิบัติอย่างจริงจังให้ได้ผลก็จะรู้ว่าแค่เท่านี้ก็มากพอและมากกว่าสิ่งใดๆ ในโลกทั้งหมดนี้รวมกันสำหรับเราแล้ว ส่วนการไปหลงอ่านอภิธรรมมากมายนั้น เปรียบเหมือนคนเดินหาใบไม้ประทังหิวสักกำมือหนึ่ง มัวแต่เดินหาทั้งป่า ชมไปชมมา เอาไปจำ เอาไปพูดให้คนอื่นฟังว่าใบไม้เป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่ไม่เคยกล้าหยิบเอามากินให้หายหิวเลย จึงไม่รู้ว่ารสชาติแห่งความอิ่มนั้นมันรสเดียวกันสูงสุดสำหรับทุกคนและเท่าเทียมกันหมด ส่วนพระบางรูปที่เสี่ยงตายเข้าป่าเพราะอาจต้องค้นหาพระธรรมด้วยตนเองจริงๆ พระธรรมแต่ละยุคก็เหมือนเดิมในขณะที่คนเปลี่ยนแปลงไปจนไม่เข้าใจธรรม การเสี่ยงตายเช่นนั้นก็ช่วยให้คนยุคหลังๆ เข้าใจธรรมได้ แต่เราได้เดินตามหลังเขามาก็เอาแค่รอดพอ ใบไม้กำมือเดียวก็พอ อย่าไปทำตามคนแรก อย่าไปบำเพ็ญทุกขกริยา


     
  6. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา:บางท่านกล่าวว่าสุญตาคือความว่างไม่มีอะไรเลยแล้วก็บอกว่าทุกอย่างไม่มีตัวตนอะไรมีแต่ความว่างเท่านั้น?


    วิสัชนา


    เพราะไม่แจ้งประจักษ์ในความว่าง จึงหลงผิดในความว่าง การที่ไม่มีตัวตนนั้นคือภาวะอนัตตา เรียกว่ามีภาวะ ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลย แต่อยู่ในภาวะอนัตตา ไม่ใช่ภาวะอัตตา สรรพสิ่งมีทั้งความว่างและความมี หากจำแนกประเภทเป็นธาตุแล้ว พระพุทธองค์ทรงตรัสแสดงไว้อย่างชัดเจนว่าธาตุมี ๗ ชนิด ความว่างก็จัดเป็นธาตุชนิดหนึ่งเรียกว่าอากาศธาตุ ส่วนความมีนั้นมีได้สี่ธาตุ คือ ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ แต่มีแบบอนัตตา ไม่ใช่อัตตา ถ้าไม่มีอะไรเลยแล้วจะบ่งบอกได้อย่างไรว่ามันเป็นอนัตตา? เราอย่าไปอุปโลกน์หรือยึดเอาคำแปลตรงๆ ส่วนสุญตานั้นแปลว่าว่างก็จริง แต่ต้องศึกษาต่อไปว่าอะไรว่าง? อะไรที่เป็นสุญตา และเป็นทุกสิ่งหรือไม่? แท้แล้วสุญตาเป็นแค่ภาวะจิตเท่านั้น คือ จิตว่างจากกิเลสและความหลงผิดทั้งปวง (อรหันต์) ไม่ใช่หมายรวมเอาสรรพสิ่งไปเสียหมดว่าว่าง


     
  7. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา:มีคนอธิบายอนัตตาว่าความไม่มีตัวตนคือไม่มีอะไรเลยเป็นเหมือนภาพมายาหลอกเราเท่านั้นถูกไหม?


    วิสัชนา


    อนัตตา ไม่ใช่ภาวะของความไม่มี ความไม่มี คือ อากาศธาตุ คือ ว่างเป็นเหมือนอวกาศและช่องว่างที่แทรกอยู่ทั่วไประหว่าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2007
  8. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา:อนิจจัง,ทุกขัง,อนัตตาไม่มีอะไรเป็นตัวตนแล้วก็ดับไปอย่างนี้เราก็ไม่อยากทำอะไรคือนอนเฉยๆดีกว่าสิ?


    วิสัชนา


    นั่นเพราะไม่เข้าใจแท้จริง ใช่ว่าไตรลักษณ์นั้น เป็นสิ่งทำให้โลกนี้มืดมน หรือไร้ความน่าปรารถนาก็หาไม่ อนิจจัง คือ ความเปลี่ยนแปลง ทำให้เราไม่ต้องถูกสาปให้อยู่นิ่งซึ่งน่าเบื่อมากแน่ๆ หากไม่มีอนิจจัง คิดดูเอาเถิด เวลาล้านๆ ปีแสง ก็อยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ใครนั่งอุจจาระไหลอยู่ก็ค้างอยู่อย่างนั้น เพราะมันนิจจัง ไม่เปลี่ยนแปลงได้สักที เหมือนภาพทีวีที่ถูกหยุดนิ่งไว้ แบบนี้อนิจจัง จึงเป็นสุขและสนุกกว่าไหนๆ ส่วน ทุกขัง คือ การบีบเค้น หรือการกระทบกระทั่งกันของสรรพสิ่ง อันเป็นเหตุแห่งอนิจจัง อย่าไปแปลว่าทุกขเวทนานะ คนละอย่างกัน เพราะว่าทุกขเวทนาเป็นอารมณ์ที่จิตรับรู้ไม่ใช่เรื่องของสรรพสิ่ง เป็นแค่เรื่องของจิตแต่ทุกขังตัวนี้คือการบีบเค้นกระทบกัน ซึ่งเราจำต้องฝึกหลีกเลี่ยงเหมือนเล่นเกมก็น่าสนุกดี ส่วน อนัตตา คือ ความไม่ถูกแบ่งแยกเป็นตัวตนเดี่ยวๆ นี่ มันก็อบอุ่นดีจะตายไป สรรพสิ่งก็เหมือนหยดน้ำในทะเล ทุกหยดแยกออกเป็นตัวๆ ตนๆ ไม่ได้ แต่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว แบบนี้ก็สบายใจดี เพราะไม่ถูกแปลกแยกเป็นเอกเทศ เห็นไหม ไตรลักษณ์นี้ มันเป็นสุขแท้ ใครว่ามันเป็นทุกข์ละ? คนที่ไม่เข้าใจไตรลักษณ์ นั่นต่างหากที่ทุกข์ สำหรับคนเข้าใจไตรลักษณ์คือธรรมคือบันเทิงอย่างหนึ่งต่างหาก


     
  9. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา:อนิจจัง,ทุกขัง,อนัตตานั้นทำให้เรามีความสุขจริงหรือไม่ใช่ที่มาของทุกข์ดอกหรืออาทิเช่นเวลาญาติเสีย?


    วิสัชนา


    เราไปสอนกันฝังหัวตั้งแต่เด็กกันเอง ว่าเวลาใครตายต้องร้องไห้ไว้อาลัย แต่ไม่ค่อยสั่งสอนให้เลี้ยงดูเขาดีๆ ก่อนตาย แต่เพราะมีความเปลี่ยนแปลงโลกถึงไม่น่าเบื่อ เพราะมีการกระทบกันบ้าง จึงสนุกสนานและน่าท้าทาย เพราะมีความไม่แปลกแยกออกเป็นตัวตนโดดเดี่ยว เราจึงอบอุ่นดูแลกัน นี่ละ ความคิดของมนุษย์ที่แท้จริง ที่ธรรมชาติสร้างมาให้วิเศษที่สุดในสรรพสิ่งทั้งปวง ดังนั้น ไตรลักษณ์ไม่ใช่เหตุแห่งทุกข์ แต่เป็นธรรมะ ระดับปรมัตถ์ธรรม คือ ธรรมแท้แน่นอน ไม่เปลี่ยนปลิ้นปล้อนไปตามยุคสมัยนิยม ส่วนเหตุแห่งทุกข์ คือความหลงของคนที่ไม่เข้าใจไตรลักษณ์ต่างหาก ไปยึดยื้อเอาสิ่งต่างๆไว้เป็นของตน ก็พบกับความเปลี่ยนแปลงขึ้นสักวัน พอไม่เห็นว่าความเปลี่ยนแปลงนำสิ่งใหม่ที่ดีกว่ามาให้ ไม่รู้จักมองดูความเปลี่ยนแปลงในอีกด้านหนึ่งที่ลึกซึ้ง ก็เลยคิดเอาว่าไตรลักษณ์นั่นแหละเหตุแห่งทุกข์ แท้แล้วจิตของตนเองที่ไม่เข้าใจไตรลักษณ์นั่นแหละที่นำทุกข์มาแท้จริง
     
  10. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา:ขอยกตัวอย่างคนที่เสียทรัพย์สูญเสียญาติเพราะอนิจจังนี่ยังจะบอกว่าอนิจจังไม่นำมาซึ่งทุกข์อีกหรือ?


    วิสัชนา


    พวกเราไม่รู้จักโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่หลังวิกฤติ แท้แล้ววิกฤติที่เราคิดว่ามันไม่ดีนั้น มันไม่ใช่เหตุแห่งทุกข์เลย เพราะในสมัยพุทธกาล พระสาวกคนหนึ่ง เกิดภาวะชีวิตวิปโยค สูญเสียบ้าน สามี และลูกหมดตัวในเวลาชั่วพริบตาจาก นั้นกลายเป็นหญิงบ้า พระพุทธองค์ก็ทรงโปรดจนได้สติและบรรลุธรรมจากนั้นพระสาวกกลับไม่เลือกที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ หาสามีใหม่ เพื่อมีลูกใหม่ และสร้างบ้านใหม่ นี่เพราะอะไร? นี่แสดงว่าสิ่งที่หายไปนั้น มันแย่เสียกว่าสิ่งที่ได้มา คือการได้บรรลุธรรม แสดงว่าการสูญเสียเช่นนั้น เป็นเหตุให้นางมาพบธรรมนั่นเอง หาไม่เช่นนั้นแล้ว นางคงเหมือนคนทั่วไป ที่รักลูกผัว มีบ้านอยู่ด้วยกับตราบจนตายไป แล้วก็เกิดวนเวียนอีกไม่รู้กี่ชาติ เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้างสารพัน ไม่ยิ่งลำบากไปกว่านี้อีกหรือ ดังนี้ อนิจจังนั่นแหละครูของเรา คือ ธรรมแท้ เราก็อาศัยธรรมชาตินี่แหละเป็นครู ทำให้เราได้สิ่งที่เหนือกว่าขึ้นไปทุกขณะ โดยยอมทิ้งของเก่าไป
     
  11. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา:ทำไมธรรมชาติหรือพระเจ้าไม่สร้างให้มนุษย์มีความสุขไร้ทุกข์เสียเลยละทำไมต้องให้เราเกิดมาลำบาก?


    วิสัชนา


    เพราะธรรมชาตินั้น ไม่ใช่ความเผด็จการ และไม่ใช่ความยึดมั่นตนเองอย่างเดียว ธรรมชาติหรือพระเจ้าก็ดี สร้างมนุษย์ขึ้นมาให้มีชีวิตจิตใจ เลือกและตัดสินใจได้เอง โดยธรรมชาตินั้น เปิดโอกาสให้เรามีโอกาสในการทดลอง, ค้นหา และเลือกได้ ธรรมชาติมีทุกอย่าง ทั้งดีและไม่ดี แล้วเราผู้เป็นมนุษย์ได้รับพรวิเศษ คือ สามารถที่จะเลือกได้ ไม่ดีกว่าก้อนหินดอกหรือ? ก้อนหินที่ไร้ความรู้สึก ไม่มีซึ่งความทุกข์ความเจ็บปวดใดๆ เราเลือกอยากถูกบังคับอย่างนั้น หรือว่าเราอยากเป็นผู้เลือกเองละ? ซึ่งหากไม่มีทุกข์แล้ว เราก็ไม่รู้รสชาติของการพ้นทุกข์ว่าคือสุขแท้จริงไหม ธรรมชาติสร้างเรามาให้มีความสุขแท้ โดยต้องเรียนรู้ทุกข์ก่อน หากไม่รู้จักทุกข์ก็ไม่รู้จักภาวะความสุขจากการพ้นทุกข์จริงไหมละ แท้แล้วธรรมชาติไม่ได้สร้างเรามาเพื่อให้มีความสุขนอนกินไปวันๆ เสียหน่อย แต่ให้เราเลือกเองได้ว่าจะทำอะไร อยู่อย่างไรภายใต้กฎแห่งกรรม


     
  12. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา:ในพระไตรปิฎกกล่าวว่าพระอรหันต์จะไม่ฝันแท้แล้วพระอรหันต์จะมีฝันได้ไหมอธิบายทางพุทธได้อย่างไร?


    วิสัชนา


    ในพระไตรปิฎกเถรวาทฉบับของพระอนุรุธาจารย์ (พระอรรถกาจารย์) ที่ได้รับการขยายความภายหลัง กล่าวว่าพระอรหันต์จะไม่ฝันเพราะไม่มีกิเลสแล้ว แต่นับเป็นการอธิบายแบบเร่งลัดเคร่งครัดและข้ามขั้น อันที่จริง เป็นการคาดเดาเอาภายหลังไม่ได้มาจากพระพุทธพจน์ แท้จริงแล้วจากการศึกษาประวัติพระอรหันต์ พระอรหันต์มีฝันได้เช่นกัน เช่น ฝันนิมิตแล้วล่วงรู้สิ่งต่างๆ ได้ก็มี แท้แล้วความฝันอธิบายในแง่อภิธรรมได้ว่าอย่างนี้ คือ เป็นช่วงที่จิตพักจากการควบคุมสมอง และสมองมีการปรับสมดุลภายใน บางครั้งจิตเข้าไปรับรู้อารมณ์และเสพอารมณ์นั้นเป็นเพียงวิบากจิต จึงไม่ใช่อกุศลจิตแต่อย่างใด ส่วนบางท่านอาจถึงขั้นกริยาจิตแต่ไม่ใช่กรรม เช่น การใช้จิตพิจารณาฝัน ดังนี้ ถ้าจำไม่ผิด พระอุบาลีพระอัครสาวกที่ชำนาญพระธรรมวินัยจึงได้แก้ไขความสงสัยแก่ภิกษุว่าหากฝันว่าทำผิดวินัยก็ไม่ต้องรับโทษเพราะเป็นเพียงความฝันไม่เกิดเป็นกิเลสและกรรมแต่อย่างใด
     
  13. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา:คนเราจะไม่มีฝันได้ไหมและทำไมเวลาฝันแล้วมีความรู้สึกเหมือนได้สัมผัสจริงๆอธิบายทางพุทธได้ยังไง?


    วิสัชนา


    จิตนั้นฝึกได้ หากภาวะเข้าฌานจะไม่มีฝันแน่นอน เพราะจิตอิสระจากการและสมอง ดังนี้ หากทำการเข้าฌานแล้วหลับในฌานเท่านั้นจึงไม่มีฝัน นอกจากนั้นแล้วมีฝันทั้งนั้น เพียงแต่จิตจะเข้าไปรับรู้เสพอารมณ์หรือไม่เท่านั้น ดังนี้ จำต้องใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์วัดดูจะพบว่ามีช่วงนอนหลับแบบฝัน (REM) และไม่ฝัน (Non-REM) นี่คือ ปกติของร่างกายมนุษย์ เป็นสมดุลธรรมชาติ ที่สมองทำงานแล้วมีประจุไฟฟ้าบ้าง ฯลฯ สะสมระหว่างวันก็จะปรับสมดุลแบบนี้เพียงแต่หากจิตเข้าไปรับรู้ก็รู้ได้ว่าฝัน ซึ่งนับเป็นสัพพจิตสาธารณเจตสิก คือ มีผัสสะเจตสิก, เวทนาเจตสิก ครบจึงรับรู้และเสพเป็นเวทนา นักวิทยาศาสตร์จึงกล่าวว่าเราจะจำฝันได้หรือไม่ก็เท่านั้นเอง แต่ฝันเกิดแน่นอน การที่เรารู้สึกได้เช่น เห็นเป็นภาพเพราะจิตที่เข้าไปรู้นั้นเป็นอายตนะหนึ่งทำหน้าที่ได้ครบถ้วนเมื่อร่วมกับวิญญาณ ดังนี้ ปิดตาแต่เห็นภาพในฝันได้เพราะเหตุนี้


     
  14. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา:การฝันกับการเข้าฌานเหมือนหรือต่างกันอย่างไรเกี่ยวข้องกันไหมหรือไม่เกี่ยวข้องกันเลยให้ช่วยอธิบาย?

    วิสัชนา

    การฝันและการเข้าฌานเหมือนกันตรงที่ สมองได้รับการปลอดปล่อยจากจิต ไม่ให้จิตเข้าไปสั่งการมาก จึงไม่เกิดกรรมช่วงที่หลับฝัน หรือเข้าฌาน จิตดวงที่เกิดระหว่างเข้าฌานและฝัน เป็นได้เพียงกริยาจิตหรือวิบากจิตเท่านั้น ไม่มีจิตที่ก่อกรรมเป็นกุศลหรืออกุศลจิต ดังนี้ ท่านจึงได้แยกจิตขณะเข้าฌานออกจากกามาวจรจิต (กามาวจรจิตมีทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล) การฝันคือภาวะจิตพักก่อกรรมเพราะล้าที่ก่อกรรมต่อร่างกายมาทั้งวัน ทำให้ร่างกายพักด้วยตามธรรมชาติ หากหลับไม่ฝันเลยก็เป็นช่วงภวังคจิต แต่การเข้าฌานจะเป็นการเจตนากระทำให้เกิดขึ้นก่อน ส่วนการหลับจิตจะควบคุมไม่ได้ เพราะไม่ได้ตั้งสติไว้ก่อน ส่วนการเข้าฌานได้ตั้งสติไว้ก่อนเข้า ก็จะชำนาญ ทำให้สามารถควบคุมระดับฌานได้ดั่งใจ จะเข้าออกฌานไปหน้าถอยหลังได้ตามใจปรารถนาจึงจะตื่นจากฌานได้
     
  15. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา:เห็นพระอภิธรรมเขียนคำว่านโนธาตุ,มโนวิญญาณธาตุและกายวิญญาณธาตุว่าเป็นผู้รู้แล้วมันต่างกันอย่างไร?


    วิสัชนา


    จริงๆ แล้วจิตไม่เกิดไม่ดับ ที่พูดติดปากว่าจิตเกิดดับเป็นดวงๆ นั้น ไม่จริง ที่เกิดดับเป็นเพียงอาการจิต ที่เราเรียกว่า "นาม" (ซึ่งเป็น "สมมุติบัญญัติ") ที่เกิดจาก "จิต" และ "เจตสิก" (ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม) ร่วมกันปรุงแต่งขึ้นมา ทั้งนี้ ขึ้นชื่อว่าจิตผู้รู้จำต้องมีจิตทั้งสิ้น แต่จิตจะรู้โดยไม่อาศัยองค์ประกอบอื่นก็ได้เพราะจิตเองนั้นแหละจัดเป็นอายตนะหนึ่งเรียกว่า
     
  16. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา:ขีดจำกัดการรับรู้ของมนุษย์มีแค่ไหนและจิตนั้นมีขีดจำกัดการรับรู้แค่ไหนอธิบายทางพุทธและวิทยาศาสตร์?


    วิสัชนา


    นักวิทยาศาสตร์อธิบายการรู้แบบลางสังหรณ์, การพยากรณ์อนาคตของมนุษย์ไม่ได้ ก็เรียกไปว่าเป็นประสาทสัมผัสที่หก หรือในทางพระพุทธ ศาสนาก็คืออายตนะที่หก คือ จิตนั่นเอง เป็นตัวรู้ ดังนี้ การเรียนรู้เรื่องจิตก็เป็นการเรียนรู้ประสาทสัมผัสที่หกในทางวิทยาศาสตร์นั่นแหละ เพราะประสาทสัมผัสทางกายทั้งห้านั้นมีขีดจำกัดเท่าที่เราได้เรียนรู้มาทางการแพทย์นั่นแหละ แต่จิตผู้รู้นั้นฝึกให้รู้ได้ไม่จำกัด อาทิเช่น ดวงจิตผู้รู้ของพระพุทธเจ้าที่ไม่มีจำกัดด้วยกาลเวลา ทั้งในอดีตและอนาคต จิตผู้รู้ของพระโพธิสัตว์บางองค์ เช่น พระมัญชูศรีที่ล่วงรู้ไปหมื่นโลกธาตุ ที่รู้ไปหมดในจักรวาล นี่คือ ตัวอย่างของจิตที่ฝึกให้รู้ ก็สามารถรู้ได้อย่างนี้ เราเองสามารถฝึกจิตของเราให้รู้ได้ไม่จำกัด แล้วอาศัยจิตส่งสารที่ได้รับรู้นั้นผ่านทางอายตนะทางกายอีกที เหมือนดาวเทียมส่งสัญญาณเครื่องรับ


     
  17. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา:กรรมฐานคือการฝึกให้จิตเพื่อรู้อะไรทำไมต้องฝึกและร่างกายปกติรู้ไม่ได้หรือไรเหตุใดไม่ใช้วิทยาศาสตร์?


    วิสัชนา


    สรรพสิ่งท้ายที่สุดแล้วอนิจจัง ใช่หรือไม่? จิต ไม่สูญสลายแต่เวียนว่ายตายเกิดใช่หรือไม่? ปราศจากซึ่งการอยากหรือยึดมั่นแล้ว จึงหลุดพ้นจากการเกิดใหม่ใช่หรือไม่? และหากก่ออกุศลกรรมมากๆ ต้องจะรับอกุศลวิบากกรรมจริงหรือไม่? นี่คือ สิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่เราสามารถฝึกจิตให้รู้ได้ จิตที่เราต้องการฝึก คือ ฝึกให้รู้ไปแจ้งแทงตลอดเห็นสรรพสิ่งอนิจจังให้ได้ นี่ละ จุดมุ่งหมายของกรรมฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งภาวนามยปัญญา คือ เห็นถึงจุดจบสุดท้ายของสรรพสิ่งเพื่อคลายการยึดมั่นถือมั่นในความหลงโลก ได้รู้แจ้งแทงตลอดในโลก และพ้นโลก จึงอยู่บนโลกอย่างไม่หลง และมีความสุข การจะรู้สิ่งเหล่านี้ต้องฝึกจิตให้รู้ทั้งสิ้น ประสาทสัมผัสทางกายทั้งห้าของมนุษย์นั้นหยาบเกินไปที่จะรู้ได้ ต้องอาศัยจิตไปเหมือนดาวเทียม ส่งสัญญาณที่รู้นั้นมาสู่กายอีกที


     
  18. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา:สูงสุดที่คนเราต้องรู้คือไตรลักษณ์เองดอกหรือแค่อ่านเอาก็น่ารู้ได้ทำไมต้องบางท่านทำกรรมฐานมากมาย?


    วิสัชนา


    การอ่านหรือฟังสามารถบรรลุได้เช่นกัน ดังเช่น พระอรหันต์ในอดีตที่อาศัยฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า เช่นนั้น ก็จะมีศรัทธาในสิ่งที่ฟัง มีสมาธิในขณะที่ฟัง เมื่อได้ฟังสิ่งที่เป็นปัญญาแล้วจิตน้อมนำตามไป ก็สามารถบรรลุได้เช่นกัน แต่สมัยนี้เราไม่มีพระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงต้องพึ่งตนเอง โดยการฝึกจิตของเราให้เป็นผู้รู้ เหมือนพระอรหันต์ในอดีตบางองค์ก็ใช้การฝึกจิตทำกรรมฐาน จนได้ล่วงรู้สิ่งที่เหนือร่างกายมนุษย์จะรับรู้ได้ด้วยตนเอง จึงเกิดการคลายการหลงโลก ยึดโลกว่าเที่ยง เห็นสุขทางโลกว่าเป็นสุขแท้ ไขว่คว้าหาสุขมาเติมเต็ม เหล่านี้ จะหมดไปเมื่อเรามีจิตล่วงรู้แจ้งแทงตลอดได้ถึงท้ายที่สุดของสรรพสิ่ง แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับใบไม้หนึ่งกำมือที่จะทำให้เรามีความสุข มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีปัญญารู้ความพอดี มีสติรู้หยุดเมื่อควรหยุดได้ทัน จึงทำอะไรประมาณตน อยู่บนโลกอย่างมีความสุขไม่หลงโลก ไม่ก่อกรรมทำเข็ญเกินไป



     
  19. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา:การพิสูจน์พระพุทธศาสนาด้วยวิทยาศาสตร์ทำได้หรือไม่และหากทำได้ในอนาคตจะเป็นอย่างไรบ้าง?


    วิสัชนา


    ได้บางส่วนแล้ว ซึ่งมากพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นถึงการเวียนว่ายตายเกิดว่ามีจริง ไม่ใช่ตายแล้วทุกอย่างจะสูญไปหมด เพราะการตายไม่ทำให้อะไรสูญได้เลย แต่แยกไปคนละทางเท่านั้น ดิน, น้ำ, ลม, ไฟในร่างกายกลับสู่ธรรมชาติตามเดิม ไปคนละที่กัน สสารและพลังงานไม่สูญหายไปจากโลก และจิตวิญญาณก็เป็นพลังงานมีการทดลองและค้นคว้ามากมายในเรื่องนี้ เช่น ภาพถ่ายวิญญาณ, ภาพถ่ายออร่า, การฉายรังสีพลังงานชีวิต การใช้เครื่อง ECG ตรวจคลื่นสมอง, การบันทึกภาวะระหว่างการตาย การทำวิจัยเรื่องตายแล้วเกิดใหม่ ตอนนี้ มีผู้ทำการทดลองเก็บไว้มากมาย แต่ไม่มีโอกาสนำเสนอ ซึ่งก็ต้องแสดงความเสียใจด้วยกับคนที่กำลังจะทำสงครามโลกกันอยู่ เพราะคงสายไปและตายไปก่อนที่จะได้รับรู้ถึงประตูแห่งวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่จะมาเปลี่ยนมุมมองโลกได้ทั้งโลกนี้


     
  20. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา:ถ้าสิ่งที่กล่าวไว้เป็นความจริงแล้วเราไม่ได้บรรลุอรหันต์ในชาตินี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกันเราช่วยอธิบาย?


    วิสัชนา


    ไม่ทำบุญทำทานเลยก็ต้องตกนรกแน่นอน ส่วนคนที่ทำบุญทำทานยังต้องมีหิริโอตัปปะ ในตัวเอง ไม่ต้องให้ใครมาบอกมาสอนมาห้ามว่าสิ่งสิ่งไม่ดีห้ามทำ แต่ห้ามใจตัวเองได้ นี่ถึงจะได้ขึ้นสวรรค์ จากนั้น ก็ต้องเกิดใหม่หลังไปเกิดจนหมดบุญหรือกรรมจากนรก-สวรรค์มาแล้ว คือ เป็นสารพัดสัตว์เดรัจฉานชั้นต่ำ ถูกสัตว์อื่นกินต่อกันเป็นทอดๆ ในกรณีที่ไม่ได้โสดาบันก็ต้องเป็นสัตว์ชั้นต่ำไป แม้นมีบุญจากสวรรค์มาก่อนก็ตามที น้อยคนนักจะมีบุญได้เกิดเป็นคนและพบศาสนาอีก ยากมากถึงขนาดพระพุทธเจ้าท่านตรัสเปรียบเหมือนเต่าที่นานๆ นับพันปีจะโผล่ศีรษะเหนือทะเล แล้วมีผู้โยนห่วงลงบนคอพอดีได้นั่นแหละ ดังนี้แล้ว มีดวงจิตมากมายอยู่บนสวรรค์และในนรก หลายล้านๆ เท่าบนโลกนี้ที่รอเกิด เมื่อเราตายจากร่างมนุษย์ก็ต้องไปต่อคิวอีกนับล้านๆ เท่าทีเดียว
     

แชร์หน้านี้

Loading...