รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. azalia

    azalia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    626
    ค่าพลัง:
    +579
    ไม่เชิงแบบนี้ ...ก่อนจิตเข้าสู่ภาวะความบริสุทธิ์แท้ของจิต ย่อมเกิดภวังค์เป็นช่วงๆ .. ระหว่างการปฏิบัติ เมื่อสังเกตุดีๆ การเกิดภวังค์มีหลายรูปแบบ
    พระอาจารย์ที่สอบอารมณ์กรรมฐาน บอกสั้นๆว่า เป็นเรื่องลึกซึ้งหากจะกล่าว (เป็นอภิจิต อภิธรรม) แต่บังเอิญไม่ได้เรียนอภิธรรม เลยอยากทราบคำตอบของนักปฏิบัติมากกว่า...กำลังคิดว่า อาการเกิดภวังค์ในญาณขั้นสูง หรือเมื่อจิตเข้าฌานระดับลึก เป็นการไม่รับรู้ภาวะภายนอก การกระทบของทวารทั้ง 6 ก็ไม่ต่างจากภวังคจิต... ในช่วงนี้ผู้ฝึกสมถะจะเกิดนิมิต แต่ผู้ฝึกสติปัฏฐานสี่จะวูบดับไป เป็นสภาวะดับ...ที่บางคนนึกว่าถึงนิพพาน..บางสำนักฯเลยมีการอธิษฐานดับกันเป็นช่วงเวลา...แต่จริงๆยังไม่ใช่..เป็นการดับจากภวังคจิตที่เกิดคั่น...(ดูเหมือนจะเป็นเรื่องลึกซึ้งอธิบายยากจริงๆ) ต้องเป็นผู้ผ่านวิปัสสนาญาณทั้ง 16 อย่างเชี่ยวชาญจึงจะตอบได้กระมัง

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2009
  2. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ

    อนุโมทนาบุญคับกับคำตอบทุกคำถามด้วยครับคุณชัด เพราะว่า ผมคิดว่าน่าจะได้ผลมาบ้าง เมื่อวาน พลังเมตตาของผมผมแผ่ไปเรื่อยๆรู้สึกว่าเค้าจะด่าเราน้อยลงนะ ^^; และก็ด่าแป๊ปเดียว ความรู้สึกผมมันบอกว่าแถวๆนั้นบริเวณที่ผมอยู่ ในขณะที่ผมแผ่เมตตา+กับการที่ผมทำงานไปด้วยนั้น ผู้คนที่อยู่แถบๆนั้นอาจจะรัศมีไม่ไกล เป็นวงใกล้ๆ มีความสุขได้รับความชุ่มเย็นจากผมไปด้วย แต่พวกเค้าไม่รู้ตัว

    ได้ผลแน่นอนครับ แล้วตัวเราเองก็รู้ได้ว่ามีผลจริง
    ดังนั้นหมั่นแผ่เมตตาเอาไว้เสมอ นั่นแหละครับ ดีที่สุด
    เราก็มีความสุขใจเย็นใจ ผู้อื่นก็มีความสุขใจ
    เขาก็สัมผัสได้ถึงความสุขที่แผ่ออกมาจากดวงจิตของเรา

    จริงๆ นี่ก็ถือว่า เราได้วิชชาที่สามารถทำให้ผู้คนรอบข้างเรามีความสุขได้ ทุกเมื่อที่เราต้องการ
    นับว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามาก จะต้องรักษาเอาไว้กับเราให้ได้ตลอดไปครับ

    (ขอบอกว่าเจ้าที่แถวนั้นแรงมากๆ ผมรู้เนืองๆด้วยรัศมีของท่าน-.- เมื่อวานผมไปจัดบูธ ที่ศูนย์แสดงนิทรรศการและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ในงาน มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2552)

    ที่อิมแพ็ค เมืองทอง ก็มีการจัดวาง ฮวงจุ๋ย และองค์ประกอบหลายๆอย่างดีครับ
    รู้สึกจะมีทำบุญให้เจ้าที่บ่อยเหมือนกัน
    ก็เลยจะมี เจ้าที่ ที่ท่านมีบารมีสูงมาดูแล

    อ่อ บางครั้งบางทีผมปฏิบัติไปเรื่อยๆ มันยิ้มเองแฮะ แปลกดีเหมือนกันอันนี้ใช่รึเปล่าคับที่เรียกว่าอะไรนะ พลังเมตตาล้นจนเปี่ยมไปด้วยความรักจิตมีความสุขกายก็มีความสุขไปด้วยกายมันยิ้มเอง ^^; ดีจัง

    ถูกแล้วครับ
    พอใจมีความสุข มากจนความสุขมันล้นทะลักออกมาจากใจ
    ความสุขจากใจมันล้นจนออกมาทางวาจา คำพูดของเราก็อ่อนโยน เป็นวาจาที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น
    แล้วความสุขจากใจมันก็เอ่อล้นจนหลั่งไหลออกมาถึงกายภายนอก
    ทำให้กายภายนอกแย้มยิ้มตามจิตใจของเรา ที่เปี่ยมด้วยความสุข

    เรียกว่า เมตตามันเต็มหัวจิตหัวใจ จนความสุขมันเต็ม
    จนล้นทะลักออกมาทางวาจา และทางกาย เลยอยากให้ผู้อื่นมีความสุขตามเรา

    ส่วนเวลาที่เราเห็นผู้อื่น ใบหน้าอมทุกข์ หรือเขาด่าว่าเราต่างๆนาๆ
    จริงๆ อันนั้นก็คือ ความทุกข์ของเขามันเต็มดวงจิต จนมันเก็บความทุกข์ไม่อยู่
    จึงทะลักออกมาทางวาจา และทางกายที่มีใบหน้าบูดบึ้งเช่นกัน

    ดังนั้นเมื่อเราเข้าใจว่าเขาเป็นผู้มีความทุกข์ที่เต็มดวงจิต
    จนความทุกข์มันล้นทะลักออกมาทางวาจา และกาย
    เราก็ควรที่จะมีใจให้อภัย สงสาร และแผ่เมตตาออกไปยังบุคคลผู้นั้น
    จะโกรธคนที่มีความทุกข์ มากจนล้น จนทะลักออกมาจากใจ ก็เป็นการไม่สมควร
    เพราะแค่นั้นเขาก็ทุกข์จนเก็บทุกข์เอาไว้ไม่อยู่ อยู่แล้ว เราจะไปเพิ่มความทุกข์ให้เขาก็ไม่สมควร

    เราจะมอบความสุขให้คนอื่นได้ ความสุขก็ต้องเต็มจนล้นออกมาจากดวงจิตของเราก่อน
    เราจะทำให้ผู้อื่นทุกข์ได้ เราก็ต้องทำให้ตัวเราเองทุกข์จนความทุกข์เต็ม ล้นทะลักออกมาจากดวงจิตของเราเช่นกัน

    พอเข้าใจตรงนี้แล้ว พอเราเห็นใครเขาโกรธเรา เขาด่าเรา เขาทำไม่ดีกับเรา
    เราจะได้สงสาร และเมตตาเขา

    มีพระอาจารย์ที่ผมเคารพมากท่านหนึ่ง ท่านเคยบอกว่า
    กรรมฐานที่ต้องทำให้ได้ทุกวัน คือ กรรมฐานยิ้ม
    ถ้ากรรมฐานยิ้ม เราทำได้ถึงที่สุด ก็เป็นอภิญญาได้เช่นกัน
    สภาวะที่จะใช้อภิญญาได้ คือสภาวะที่เรามีความสุขมากที่สุด

    ดังนั้นเราฝึกแล้วใจมีความสุข ชุ่มเย็น อิ่มเอิบ อิ่มใจด้วย
    ฝึกแล้วคนรอบข้างเรามีความสุขด้วย
    ฝึกแล้วเราแก่ช้า เป็นหนุ่มเป็นสาวไปอีกยาวนานด้วย ใครอยากหล่อ อยากสวย อย่าลืมแผ่เมตตามากๆ
    ฝึกแล้วอีกหน่อยทรงเป็นอภิญญาได้ด้วย
    แถมตายแล้วมีพรหม มีพระนิพพานเป็นที่ไปอีกตะหาก

    ขอให้สามารถรักษาความสุขความชุ่มเย็น จากความรักความเมตตา ที่เรามีต่อผู้อื่นนี้ ได้ตลอดไป ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  3. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ ทิดทิด ครับ

    ทำสมาธิ กับ ทำกัมฐาน แตกต่างกันอย่างไร
    เพราะนั่งสมาธิ กับนั่งกัมฐาน เหมือนกัน และ กำหนดลมหายใจเหมือนกัน<!-- google_ad_section_end -->

    ทำสมาธิ กับทำกรรมฐานก็ไม่ต่างกันหรอกครับ
    แต่ว่าวิธีการในการทำสมาธินี้มีถึง 40 วิธี หรือกรรมฐาน40กอง
    ไม่ได้มีแต่การจับลมหายใจเท่านั้น
    การจับลมหายใจนั้น เป็นเพียงกรรมฐาน1กอง ในกรรมฐาน40กองเท่านั้น

    แต่การจับลมหายใจก็เป็นยอดแห่งพระกรรมฐาน ผู้ที่จับลมหายใจ
    ด้วยอารมณ์สบายๆ จนลมหายใจ ลื่นไหล เบาลง ช้าลง ลมหายใจเนียนนุ่ม พริ้วไหว ช้าลงๆ สงบลงๆ
    จนเข้าถึงสภาวะ ที่จิตหยุดนิ่ง ลมหายใจหายไป คล้ายกับไม่หายใจ จิตมีความตั้งมั่น สงบนิ่งปราศจากความคิด จิตคล้ายลอยนิ่งอยู่เบาๆ ได้

    สภาวะนี้เรียกว่า ฌาณ4

    ผู้ที่เข้าถึงฌาณ4ได้ สามารถจะสำเร็จกรรมฐานกองอื่นๆ กองใดก็ได้ ภายในชั่วอึดใจ หรืออย่างช้าก็ภายในที่นั่งเดียว
    ถ้าได้ฌาณ4คล่องๆ และมีกำลังใจแข้มแข็งจะไล่กรรมฐานทั้ง40กอง ให้จบในที่นั่งเดียวก็ทำได้ แต่อันนี้ส่วนมากจะเป็นวิสัยของพุทธภูมิ

    จึงเป็นที่นิยมในการฝึกสมาธิ จะต้องขึ้นต้นด้วยการฝึกจับลมหายใจก่อน

    สำหรับกรรมฐานทั้ง40กองนั้น พระพุทธองค์ก็ได้แบ่งวิสัยในการปฏิบัติธรรมเอาไว้สำหรับ สาวกภูมิ หรือผู้ที่ปรารถนาจะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เอาไว้ถึง4วิสัย

    1. สุกขวิปัสสโก ปฏิบัติธรรมแบบไม่รู้ไม่เห็นความเป็นทิพย์ ไม่เห็น เทวดา ไม่เห็นสวรรค์ นรก พระนิพพาน ไม่อาจจะเห็นได้
    แต่ว่ามีวิปัสสนาญาณสามารถตัดกิเลสจนเป็นพระอรหันต์ได้

    ผู้ที่จะฝึกในวิสัยนี้ จะต้องได้อย่างต่ำ ฌาณ4 ในอานาปาณสติกรรมฐาน หรือการจับลมหายใจเข้าออก ไม่อย่างนั้นไม่มีสิทธิ์เป็นพระอรหันต์ได้

    2.เตวิชโช เป็นผู้ทรงวิชชาสาม สามารถจะเห็น นรก เห็นสวรรค์ พรหม พระนิพพาน และมีวิปัสสณาญาณตัดกิเลสเป้นพระอรหันต์ได้
    สนทนากับพระพุทธเจ้า กับเทวดา ได้ด้วยกำลังของจิต ฟังธรรมโดยตรงจากพระพุทธเจ้าได้ตลอดเวลา
    จะทำงานอยู่ เรียนหนังสืออยู่ ก็ฟังธรรมโดยตรงจากพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานได้
    ระลึกชาติได้ ได้ตาทิพย์ หูทิพย์ ทราบวาระจิต ความคิดของบุคคลอื่นได้
    ใครตายแล้วเป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นสัตว์นรก หรือจะไปพระนิพพานก็ทราบได้
    นี่วิชชาสาม ของพระพุทธเจ้า ดีถึงขนาดนี้

    ผู้ที่จะปฏิบัติ แบบวิชชาสาม จะต้องได้ฌาณ4 ในกสิณ กองใดกองหนึ่งที่เป็นกำลังของทิพยจักษุญาณ เช่น กสิณไฟ กสิณสีขาว กสิณแสงสว่าง
    เพื่อให้จิตมีความสว่างไสว สามารถจะเห็นสภาวะความเป็นทิพย์ได้ด้วยจิต

    3.ฉฬภิญโญ คือผู้ที่สามาถจะทรงอภิญญา6 ทรงอิทธิฤทธิ์ เหาะเหินเดินอากาศ
    เสกไฟ เสกน้ำ เรียกลม เรียกฝน ล่องหนหายตัว เดินทะลุกำแพง ทรงอิทธิปาฏิหารย์ได้ทั้งหมด

    3.1.สำหรับวิสัยนี้ เกิดจากการที่หากไม่อาจจะเห็นสภาวะของนรก สวรรค์ พระนิพพานได้ ก็จะเกิดความลังเลสงสัย จนไม่อาจจะตัดกิเลสได้
    ถ้าปฏิบัติแบบสุขวิปัสสโก แล้วมันจะคาใจ

    3.2.และถึงแม้จะเห็นสภาวะของสวรรค์ นรก พรหม พระนิพพานได้แล้ว ก็ยังรู้สึกค้างคาใจ
    ฝึกแบบเตวิชโชได้ ญาณทัศนะ ก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ

    3.3.ต้องสามารถใช้อิทธิฤทธิ์ เหาะขึ้นไปยังพระนิพพานด้วยร่างกายนี้ คือเอาร่างกายนี้เหาะขึ้นไปเลยบนพระนิพพาน
    และใช้มือของเรานี้ สัมผัสสภาวะของพระนิพพาน ด้วยมือของเรา
    นอบน้อมกราบพระพุทธเจ้า ขอสัมผัสเบื้องพระยุคลบาทของพระพุทธองค์ด้วยกายนี้ได้ สนทนากับพระพุทธองค์ด้วยกายนี้ได้โดยตรง

    จึงจะเกิดความพอใจในการปฏิบัติ รู้สึกว่าอภิญญานี่แหละที่เราต้องการ
    ต้องเหาะได้ ทรงอิทธิฤทธิได้ ไม่งั้นไม่สาแก่ใจ ถ้าทำไม่ได้มันยังดีไม่พอ

    ผู้ที่จะทรงอภิญญาได้ ก็จะต้องได้ฌาณ4 ในกสิณครบทั้งสิบกอง
    เหตุผลก็คือ การที่เราจะควบคุมธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ได้ดั่งใจ ก็ต้องได้กสิณธาตุทั้ง4 โดยครบถ้วนสมบูรณ์เช่นกัน จึงจะควบคุมธาตุต่างๆได้

    4.ปฏิสัมภิทัปปัตโต คือผู้ที่นอกจากจะทรง ความเป็นพระอรหันต์ได้ ทรงวิชชาสามได้ ทรงอภิญญาได้ ยังทรงคุณธรรมพิเศษยิ่งขึ้นไปอีก 4 ประการ
    เรียกว่า ปฏิสัมภิทาญาณ ทั้ง4
    4.1.ซึ่งจะทำให้สามารถ พูดได้ทุกภาษา ภาษาคน ภาษาสัตว์พูดได้ทั้งหมด คุยกับสัตว์ชนิดใดก็ได้ พูดภาษาเยอรมัน ฝรั่งเศษ ญี่ปุ่นได้ โดยที่ไม่ต้องเรียน
    4.2.จะทรงความรู้ทั้งหมดในพระไตรปิฎกโดยไม่ต้องศึกษามาก่อน คือไม่ต้องศึกษาพระไตรปิฏกเลย แต่จะรู้ความรู้ทั้งหมดในพระไตรปิฎกอย่างละเอียดลึกซึ้ง พิศดาร แตกฉาน
    4.3.จะสามารถย่อใจความธรรมะ ที่ยาวเท่ากับหนังสือหลายๆเล่ม หรือที่ยากขนาดเราฟังแลวไม่เข้าใจ ให้เหลือเพียง ประโยคเดียว หรือคำพูดเพียงไม่กี่คำ แต่ยังทรงอรรถ ทรงความหมายได้ครบถ้วนทุกประการ แถมเข้าใจได้โดยง่ายดายได้
    4.4.สามารถจะอธิบายธรรมะที่เราคิดว่าง่าย ที่เราคิดว่ารู้แล้วเข้าใจแล้ว
    ให้ละเอียดลึกซึ้งพิศดาร ได้อย่างน่าอัศจรรย์

    เหล่านี้เป็นคุณธรรมพิเศษของผู้ทรงปฏิสัมภิทาญาณ

    ซึ่งผู้ที่จะทรงปฏิสัมภิทาญาณนั้น จะต้องเป็นผู้ที่ทรงอรูปฌาณ ทั้ง4
    คือการกำหนดความว่าง เวิ้งว้างว่างเปล่า สีขาวเป็นอารมณ์ ซึ่งมีอารมณ์ที่ละเอียดประณีตไล่ขึ้นไป ในแต่ละขั้น
    สำหรับในอรูปฌาณที่4 คือการว่างจากความทรงจำ ว่างจากการจดจำหมายรู้ในส่งต่างๆทั้งหมด สลายความทรงจำออกไปจนหมด

    ดังนั้นจะเห็นได้ว่า วิสัยแต่ละวิสัยนั้น มีกรรมฐานที่จะต้องฝึก ต้องทรงให้ได้ต่างกัน
    จึงต้องมีกรรมฐาน40กอง เป็นวิธีในการฝึกสมาธิแบบหลักๆ ถึง40วิธี เพื่อให้เหมาะกับจริตของคนที่แตกต่างกัน

    เมื่อเราได้อ่านตรงนี้แล้ว
    จิตของเราจะเกิดความพอใจในวิสัยใดวิสัยหนึ่งขึ้น
    ซึ่งวิสัยที่เราพอใจนั่นแหละ ก็คือวิสัยของเรา ที่เราจะต้องปฏิบัติ
    เมื่อเรามารู้วิสัยของเราแล้ว ก็ให้เราดูว่าเราจำเป็นจะต้องฝึกอะไรบ้าง และฝึกให้ได้ตามนั้น

    ถ้าเกิดว่าเราเป็นฉฬภิญโญ ต้องได้อิทธิฤทธิ์
    แต่เราไปปฏิบัติแบบสุกขวิปัสสโก ไม่รู้ไม่เห็น
    เราก็จะปฏิบัติกรรมฐานไม่ขึ้น และไม่อาจจะบรรลุธรรมได้
    ถ้ายังเหาะไม่ได้ มันยังคาใจ ยังบรรลุธรรมไม่ได้หรอก ต้องเหาะได้ก่อน ไม่งั้นจิตใจมันยังไม่อิ่มในธรรม ถึงที่สุด

    ดังนั้นเราก็เลือกกรรมฐานให้ตรงกับจริต ตรงกับวิสัยของเรา
    ถ้าอยากได้ฤทธิ์ก็ต้องลุยไปเลย กสิณ10กอง เก็บหมด มโนมยิทธิเราก็เก็บด้วย
    บางท่านก็มีคิดว่า ความดีอะไรที่อยู่ในบวรพระพุทธศาสนา
    เราต้องทำได้ ต้องทรงให้ได้ทั้งหมด จะไม่มีอะไรให้คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่เราทำไม่ได้ ทรงไม่ได้ ปฏิบัติไม่ได้
    กรรมฐาน40กอง สติปัฏฐาน ฌาณ ญาณ มโนมยิทธิ อภิญญา ปฏิสัมภิทาญาณ เราจะต้องทำใด้ทุกอย่าง

    ขอให้สามารถเลือกปฏิบัติกรรมฐานได้ตรงกับจริต ตรงกับวิสัยของเรา ขึ้นชื่อว่าความดีใดในบวรพระพุทธศาสนา ขอให้ทรงได้ดั่งใจ ทุกอย่างตามความประสงค์ และเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบันด้วยเทอญ
     
  4. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Azalia ครับ

    ก่อนจิตเข้าสู่ภาวะความบริสุทธิ์แท้ของจิต ย่อมเกิดภวังค์เป็นช่วงๆ .. ระหว่างการปฏิบัติ เมื่อสังเกตุดีๆ การเกิดภวังค์มีหลายรูปแบบ
    พระอาจารย์ที่สอบอารมณ์กรรมฐาน บอกสั้นๆว่า เป็นเรื่องลึกซึ้งหากจะกล่าว (เป็นอภิจิต อภิธรรม) แต่บังเอิญไม่ได้เรียนอภิธรรม เลยอยากทราบคำตอบของนักปฏิบัติมากกว่า...กำลังคิดว่า อาการเกิดภวังค์ในญาณขั้นสูง หรือเมื่อจิตเข้าฌานระดับลึก เป็นการไม่รับรู้ภาวะภายนอก การกระทบของทวารทั้ง 6 ก็ไม่ต่างจากภวังคจิต...

    ก่อนอื่นนะครับ ผมขอให้เรายอมวางทุกๆอย่างที่เราเคยรู้มาทั้งหมด
    วางปรัชญา วางอภิธรรม วางทฤษฎีทิ้งไปให้หมด

    ผมจะไม่อธิบายอะไรให้ยาก เพราะทำให้ยากแล้วมันดูขลัง มันดูเท่ มันดูเจ๋ง
    แต่ผู้ที่ฟังเราเขาไม่รู้เรื่อง เขาไม่เข้าถึงจุดที่ต้องการ ก็ไม่มีประโยชน์ กับความขลังของการอธิบาย

    เอากันแบบเรียบๆ ง่ายๆเลยนะครับ
    ที่เราเข้าไปน่ะ ไม่ใช่การตกภวังค์ แต่คืออรูปฌาณ แบบละเอียด

    มันจะมีลักษณะที่ดวงจิต นำเปลือกภายใน ถลกออกมาหุ้มปิดเปลือกภายนอก
    คล้ายๆ กับดอกไม้ ที่ถูกกลีบหุ้มอยู่ แบบที่เขาเรียกพรหมลูกฟัก
    ทุกๆคนลองใช้จิตตามกันดูจะเห็นภาพของพรหมลูกฟักได้ชัดเจน

    ซึ่งจะเป็นการปิดอายตนะ ทั้งหมด ขังจิตเอาไว้ในความว่าง
    ในสภาวะของอรูปฌาณ ความว่าง เวิ้งว้างว่างเปล่า ไร้สติสัมปชัญญะ ไร้ความรู้สึก ไร้ตัวตน

    ซึ่งอันนี้เป็นอรูปฌาณ แบบที่อันตราย เพราะว่าเราจะขาดสติสัมปชัญญะ
    ทำให้ไม่สามารถจะควบคุมการเข้า การออก ของฌาณได้

    หากเราตายด้วยสภาวะนี้ เมื่อเราตายแล้ว เราก็จะกลายเป็นอรูปพรหม
    แบบเดียวกันกับอาจารย์ของพระพุทธเจ้า ทั้ง2ท่าน ท่านอาฬดาบส กับอุทกดาบส
    ซึ่งอรูปพรหมนี้จะไม่มีสิทธิ์บรรลุธรรม และพระพุทธเจ้าก็มาเทศน์โปรดไม่ได้ด้วย
    เพราะว่าได้ปิดอายตนะ การรับรู้ไปหมดแล้ว ขังตัวเองเอาไว้กับความว่าง กับเปลือกข้างในของจิต

    และเราจะใช้บุญบารมีที่เราได้บำเพ็ญมาจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือบุญเลย
    และเมื่อบุญหมดแล้ว ก้ต้องดิ่งร่วงลงสู่อบายภูมิ เพราะพอบุญหมด ก็เหลือแต่บาป
    เราจะอธิษฐานลงมาเกิดเพื่อสร้างบุญบารมีต่อ ก็ทำไม่ได้ เพราะว่าไม่มีอายตนะเสียแล้ว

    เท่ากับเราต้องไปไล่เก็บบารมีใหม่ตั้งแต่ต้น กว่าจะกลับมาสู่สภาวะที่พร้อมจะบรรลุธรรมได้อีกยาวนานมาก

    จุดนี้เป็นภัยใหญ่ของการไม่รู้ว่าอะไรคือพระนิพพานที่แท้จริง กับอะไรคืออรูปฌาณ

    ซึ่งผู้ที่ได้ปฏิบัติ จนเข้าถึงซึ่งสภาวะแห่งพระนิพพานที่แท้จริงแล้วนั้น
    จะทราบว่าสภาวะแห่งพระนิพพานมีเพียงอย่างเดียว ไม่มีสภาวะอื่น

    ถ้าเรายังเห็นอย่างอื่น เช่น แสงสว่าง แผ่ไปยังทั้งจักรวาลก็ดี อันนี้เขาเรียก โอภาส เป็นวิปัสสนูปกิเลส ไม่ใช่พระนิพพาน
    หรือเป็นความว่าง เวิ้งว้างว่างเปล่า สีขาวก็ดี อันนี้ก็เป็นเพียงอรูปฌาณ ยังไม่ถึงพระนิพพาน

    ถ้าหากว่าเราเป็น สุกขวิปัสสโก คือ ไม่รุ้ไม่เห็นสภาวะแห่งพระนิพพาน ก็คือจะต้องไม่เห็นเลย
    ไม่มีการเห็นเป็นอย่างอื่น และถึงไม่เห็นก็ต้องไม่ขัดค้าน กับผู้ที่ท่านได้เห็นสภาวะของพระนิพพานแล้ว
    ถ้าเห็นต้องเห็นเหมือนกัน ถ้าไม่เห็นก็ต้องไม่เห็นเลย ไม่มีการเห็นอย่างอื่น
    ที่เห็นอย่างอื่นน่ะ มันเป็นวิปัสสนูปกิเลส ที่มาหลอกเราว่านี่เป็นพระนิพพานโดยที่จริงๆ ยังไม่ใช่

    ส่วนหากเราเป็นเตวิชโช ก็จะสามารถเห็นสภาวะแห่งพระนิพพานได้ชัดเจน สนทนากับพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานได้

    หากเราเป็นฉฬภิญโญ กับปฏิสัมภิทัปปัตโต ก็ต้องเหาะขึ้นไปบนพระนิพพานได้ด้วยกายเนื้อ
    สัมผัสพระนิพพานด้วยกายเรานี่แหละ สนทนากับพระพุทธองค์ ฟังเสียงของพระพุทธองค์ เห็นพระพุทธองค์ด้วยกายนี้ได้เลย

    ข้อยากของการปฏิบัติแบบสุกขวิปัสสโก คือจะต้องเป็นผู้ที่เชื่อ โดยไม่มีสิทธิ์เห็น
    ต้องเชื่อโดยที่ไม่มีสิทธิ์เห็นนะ ศรัทธาต้องเต็มที่ ปัญญาต้องเต็มที่
    ซึ่งสำหรับผม คิดว่าสุกขวิปัสสโกยากกว่าวิสัยของอภิญญาเสียอีก
    มีอภิญญาเหาะได้ ไปพระนิพพานได้ด้วยกายเนื้อ พอได้แล้วมันก็ไม่สงสัย
    จะสงสัยยังไง เห็นพระพุทธองค์กับตา ได้ยินเสียงพระองค์กับหู สัมผัสชายจีวรของพระองค์กับมือ
    ได้อภิญญาขนาดนี้นี่ถ้ายังสงสัยก็ไม่คู่ควรจะอยู่ในพระพุทธศาสนาแล้ว

    ซึ่งก็ไม่มีท่านใด ที่ได้อภิญญาแล้ว เหาะขึ้นไปบนพระนิพพานได้แล้ว
    แล้วยังสงสัยในสภาวะของพระนิพพานหรอก

    ในช่วงนี้ผู้ฝึกสมถะจะเกิดนิมิต แต่ผู้ฝึกสติปัฏฐานสี่จะวูบดับไป เป็นสภาวะดับ...ที่บางคนนึกว่าถึงนิพพาน..บางสำนักฯเลยมีการอธิษฐานดับกันเป็นช่วงเวลา...แต่จริงๆยังไม่ใช่..เป็นการดับจากภวังคจิตที่เกิดคั่น...(ดูเหมือนจะเป็นเรื่องลึกซึ้งอธิบายยากจริงๆ) ต้องเป็นผู้ผ่านวิปัสสนาญาณทั้ง 16 อย่างเชี่ยวชาญจึงจะตอบได้กระมัง

    เรื่องจริงน่ะ
    สติปัฏฐาน กับสมถะ กับวิปัสสนา ก็เป็นเรื่องเดียวกัน สภาวะก็เหมือนกัน ไม่ใช่อันนึงเกิดนิมิต อันนึงดับ
    ทุกๆอย่างน่ะ ถ้าเราใช้ปัญญาเข้าซะหน่อย ก็จับเป็นทั้งสมถะ และวิปัสสนาได้หมด

    1.คำภาวนา พุทโธ เนี่ย ถ้าเราภาวนาไปจนลมหายใจหยุด จิตหยุด ตั้งมั่น ปราศจากความคิด ก็เป็นฌาณ4 เป็นสมถะ

    2.ถ้าเราใช้ปัญญา พุทโธ แปลว่าพระพุทธเจ้า เราก็นึกถึงภาพพระพุทธเจ้า
    พอภาพพระพุทธเจ้าเปลี่ยนเป็นเนื้อเพชร ใสสว่าง ประกายระยิบระยับทั้งองค์ ก็เป็นฌาณ4กสิณ

    3.เราใช้ปัญญาอีกนิด จากภาพพระพุทธเจ้า เป็นเพชร
    เราก็ตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีพระพุทธเจ้า
    แล้วนึกว่าภาพของพระองค์หายไป ร่างกายเราหายไป โลกทั้งโลก จักรวาล หายไปหมด เหลือแต่ความว่างเปล่าสีขาว ที่แผ่กระจายไปยังทั้งจักรวาล แผ่ออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ
    นี่ก็เป็นอรูปฌาณ แล้วเราไล่อารมณืให้ละเอียดยิ่งขึ้นไป พุทโธ ก็ทำเป็นฌาณ8 สมาบัติ8ได้

    4.พุทโธ เราจะทำเป็นมโนมยิทธิ เป็นอภิญญาก็ได้
    น้อมจิตให้เคารพพระพุทธเจ้าอย่างถึงที่สุด ขอพระองค์เมตตาสงเคราะห์ ยกจิตของข้าพเจ้าออกจากกายเนื้อ ไปยังสถานที่ต่างๆ นี่ก็เป็นมโนมยิทธิ
    ถ้าเราศรัทธาว่า คุณพระพุทธเจ้าหาที่สุดหาที่ประมาณมิได้ ถ้าเราเคารพพระพุทธเจ้าสุดหัวจิตหัวใจ ไม่มีสิ่งใดทำอันตรายเราได้
    เราภาวนนาพุทโธๆ สตราวุธใดก็ฟันแทงเราไม่เข้า ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม โดนยาพิษไม่ได้ ด้วยบารมีพระพุทธเจ้า

    5.พุทโธ เราทำเป็นวิปัสสนาญาณก็ได้
    พิจารณาว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในสามโลก ไม่มีผู้ใดจะเลิศกว่าพระพุทธเจ้า
    แต่พระองค์ก้ยังทรงต้องดับขันธปรินิพพาน
    แล้วเราเนี่ย ดีไม่ได้เถ้าของธุลีของพระพุทธองค์ เราจะอยู่ค้ำฟ้าไม่ตาย ก็ไม่ได้
    เราก็ต้องตาย
    ถ้าตายตอนนี้ พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่ใด หากเราตายณขณะนี้ เราจะขอติดตามเสด็จพระพุธองค์เข้าสุ่ยังสถานที่เดียวกันกับพระองค์ คือพระนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้น
    เราเกาะพระพุทธเจ้า ถึงที่สุด พระองค์ทรงอยู่ที่ไหนเราจะไปที่นั่น จะไม่ขอคลาดจากพระพุทธเจ้าตลอดไป
    ภาวนา พุทโธ บวกกับปัญญา เราก็ไปพระนิพพานได้

    6.พุทโธ เป็นสติปัฏฐานก็ยังได้

    6.1 กายานุปัสสนา พิจารณาร่างกาย เราก็พิจารณาพระวรกายของพระพุทธองค์ซึ่งเป็นกายภายนอก ว่าพระวรกายของพระองค์ยังอยู่ไม่ได้ตลอดไป
    แล้วเข้ามาสู่ตัวเรา มาสู่กายในกาย ว่าแล้วร่างกายของเรารึจะอยู่ได้ตลอดไปก็ไม่มีทาง
    ดังนั้นต้องทำความดีอยู่เสมอโดยไม่ประมาท เมื่อตายจะได้มีสุคติภูมิเป็นที่ไป
    พุทโธ ก็ทำเป็นกายานุปัสสนาได้

    6.2 เวทนานุปัสสนา ก็พิจารณา ว่าเวลาเราเคารพพระพุทธเจ้า ศรัทธาในพระพุทธองค์อย่างถึงที่สุด อย่างสุดหัวใจ ยอมตายถวายชีวิตแก่พระพุทธองค์ได้
    เราเกิดความรู้สึก ปีติ สุข ชุ่มชื่น ชุ่มเย็น ในดวงจิตของเรา
    มันมีความสุข เบิกบานจิตใจแค่ไหน เวลาเคารพพระพุทธเจ้าสุดหัวใจ
    แล้วเทียบกับตอนที่เรากำลังมีความโกรธ เราเกิดเวทนาเกิดความทุกข์อย่างไร
    ในเมื่อเคารพพระพุทธเจ้าเป็นสุข โกรธเป็นทุกข์
    เราจะเอาเวลามานั่งโกรธคนอื่น หรือเอาเวลามานั่งคิดถึงความดีของพระพุทธเจ้า
    พิจารณาเอาเฉพาะโดยความสุขทุกข์ ที่เกิดขึ้น จากการวางอารมณ์ใจ
    พุทโธ ก็ทำเป็นเวทนานุปัสสนาได้

    6.3 จิตตานุปัสสนา เราก็พิจารณาว่า ดวงจิตของพระพุทธองค์ กายทิพย์ กายจริงๆของพระพุทธเจ้านั้น
    มีความสว่างไสว งดงาม เปี่ยมด้วยฉรรพพัณรังสี งดงาม ขนาดไหน
    จิตของพระพุทธองค์ กายทิพย์ของพระพุทธองค์ ทรงเครื่องอย่างไร ชุดอย่างไร
    พระพักตร์ของกายทิพย์ของพระพุทธองค์ มีความยิ้มแย้ม อ่อนโยน เปี่ยมด้วยความเมตตาขนาดไหน
    แล้วจิตของเราหล่ะ เวลาที่เรานึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพุทโธ มีความใส สว่างขนาดไหน
    เมื่อจิตของเรานึกถึง พุทโธ นึกถึงพระพุทธเจ้า จิตของเรามีความสุข เบิกบานขนาดไหน
    ในเมื่อนึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วมีความสุข เราควรจะนึกถึงพระพุทธเจ้าให้ได้ตลอด
    ถ้าขณะจิตใด เราลืมนึกถึงพระพุทธเจ้า เราก็จิตานุปัสสนามาดูจิตของเรา ว่า
    เราลืมนึกถึงพระพุทธเจ้าแล้ว จิตของเรามันสว่างน้อยลงไปขนาดไหน แล้วก็ดึงจิตกลับมาให้นึกถึงพระพุทธเจ้าต่อไป
    พุทโธ ก็ทำเป็นจิตตานุปัสสนาได้

    6.4 ธัมมานุปัสสนา พิจารณาธรรมในธรรม
    พุทโธ หมายถึงพระพุทธเจ้า เราก็พิจารณาไปสิ ว่า
    พระพุทธองค์ เป็นผู้ทรงคุณธรรมประการใดบ้าง
    พระองค์ เป็นผู้ทรง ทั้งวิสุทธิคุณ เป็นผู้บริสุทธิ์ หมดกิเลส ตรัสรู้ธรรมด้วยพระองค์เอง พระองค์ทรงบริสุทธิ์อย่างหาที่สุดหาที่ประมาณมิได้
    ทั้งเป็นผู้อิทธิฤทธิ์ อภิญญา ที่เลิศล้ำที่สุดในสังสารวัฏ
    ไม่มีผู้ใดที่จะทรงมีอภิญญาสมาบัติ เทียบได้แม้หนึ่งในธุลีของพระพุทธองค์
    พระองค์ทรงสุดยอดอย่างถึงที่สุดถึงเพียงนั้น

    ทรงทั้งพระปัญญาธิคุณ บำเพ็ญบารมีด้วยพระปัญญาอันแหลมคม ล้ำเลิศที่สุดในสามโลก
    ตรัสรู้ซึ่งพระสัมมาสัมโพธิญาณ ล่วงรู้ความรู้ครบทุกศาสตร์ ครบทุกความรู้ในจักรวาล ในสังสารวัฏ ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ทราบทุกอย่างๆได้ ด้วยพระองค์เอง โดยไม่มีผู้ใดสอน
    ทรงรู้แจ้งแทงตลอด ประหารกิเลสได้ด้วพระองค์เอง
    ไม่มีผู้ใดที่จะมีปัญญาเลิศล้ำไปกว่าพระพุทธเจ้าได้

    และทรงพระเมตตาคุณ ทรงความเมตตาอย่างหาที่สุดหาที่ประมาณมิได้ ไม่มีผู้ใดในสังสารวัฏจะมีความเมตตามากเท่ากับพระพุทธองค์
    พระองค์ทรงเกิดในตระกูลของกษัตริย์ แต่ทรงยอมลำบากพระวรกาย มานอนกลางดิน กินกลางทราย เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์
    โดยไม่มีสินจ้างรางวัล นอกจากการเห็นสรรพสัตว์ทั้งหลายมีความสุข ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
    ตั้งแต่วันที่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ไม่เคยได้ทรงพักผ่อน สอนทั้งมนุษย์ และอมนุษย์ ตลอดทั้งวันทั้งคืน ตราบจนเสด็จดับขันธปรินิพพาน
    จะมีใครทรงความเมตตายิ่งไปกว่าพระพุทธองค์ก็หามิได้

    พิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า พิจารณาในธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนทั้งหมด
    ก็เป็นการ จับพุทโธ เป็นธัมมานุสติกรรมฐาน

    สรุปว่า ถ้าเราใช้ปัญญาเข้าว่าแล้ว
    พุทโธ เป็นสมถะได้ เป็นกสิณได้ เป็นอรูปฌาณ4 สมาบติ8ได้ เป็นมโนมยิทธิได้ เป็นอภิญญาได้ เป็นวิปัสสนาญาณได้ เป็นสติปัฏฐาน4ได้ และตัดกิเลสเป็นพระอริยเจ้า เป็นอรหันต์ได้ ด้วยพุทโธ

    มันอยู่ที่การใช้ปัญญาพิจารณาของเรา ว่า
    เรามองธรรมะเป็นแค่ตัวหนังสือ แปลเอาตรงๆเสียหมด พุทโธ ก็พุทโธ เฉยๆ สมถะก็สมถะเฉยๆ สติปัฏฐานก็สติปัฏฐานเฉยๆ
    หรือว่าเรารู้จักใช้ความละเอียดพิศดารของปัญญา ในการตีความธรรมะ ให้เข้าถึงความละเอียดลึกซึ้งของธรรมะอย่างแท้จริง
    แล้วเราอธิบายธรรมะ เพื่ออะไร ต้องการให้เข้าใจยาก เพื่อให้ชาวบ้านเขามานับถือว่าเราเก่ง เจ๋ง ขลัง รู้เยอะ
    หรือเอาให้เข้าใจได้ เป็นภาษาที่เขาฟังกันรู้เรื่อง เพื่อให้เขาได้เข้าถึงซึ่งความดี ตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน

    เราต้องการอะไร
    ปริยัติ สัญญา ความจำ เข้าหัว เข้าสมอง โดนครอบด้วยกรอบของทฤษฏี
    หรือ ปฏิบัติ ปัญญา ความสุขจากการปฏิบัติ เข้าไปถึงใจ เข้าไปถึงจิต ตื่นขึ้นจากภายใน

    ขอให้มีความตั้งมั่น อยู่ในหนทางแห่งสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ ตั้งตรงต่อมรรคผลนิพพาน ปิดอบายภูมิ ปิดการเกิดเป็นอรูปพรหม ตลอดไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งสภาวะแห่งพระนิพพานที่แท้จริง ได้ในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ
     
  5. azalia

    azalia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    626
    ค่าพลัง:
    +579
    ขอบคุณนะคะน้องชัชที่พยายามอธิบายให้เข้าใจ
    ดูเหมือนว่า..จะได้คำตอบแล้วค่ะ...
    ปฏิบัติจริง...ก็อิงปริยัติอยู่ค่ะ...เมื่อปฏิบัติแล้วพบเห็นอะไรที่ผิดปกติ ก็ย่อมหาคำตอบว่าพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้อย่างไร จะได้ไม่หลงทาง...
    อยู่ดีๆ คนที่ไม่ใช่ทางนี้ คงไม่ลุกขึ้นมาอ่านปริยัติเพื่อเอามาถกกันเท่ห์ๆหรอกจ้า ...ก็อย่างที่บอกแหละการใช้ภาษายากๆ บางทีดูเก่งและเท่ห์...แต่หาประโยชน์ไม่ได้ ถ้าไม่ใช่การถกกันเพื่อแก้ไขการปฏิบัติ... สาธุอนุโมทามิสำหรับสิ่งที่ทำมาตลอด
     
  6. ปูชิกา

    ปูชิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +631
    จากที่ได้เรียนปรึกษาครั้งก่อน
    ก็ได้นำคำแนะนำมาปฎิบัติแล้วเจ้าคะ
    จากที่ทำอยู่ตอนนี้ จับภาพกสินเป็นพระพุทธรูปเนื้อเพชรได้แล้ว
    อยากทราบการทรงกสินพระพุทธรูปเป็นการบวก กรรมฐานพุทธานุสติหรือเปล่า
    แต่การทรงภาพพระพุทธรูปเนื้อเพชรนั้นทรงได้ไม่นาน มีความฟุ้งซ่านมาแทรก จนตกจากสมาธิ คือไม่รู้จะถามยังไงแบบว่า อยากทราบว่าการทำได้ประมาณนี้อยู่ในสมาธิขั้นไหนกันแน่ เพราะตัวเองลองตรองดูแล้ว คิดไม่ตก เพราะนั่งไปจนคิดว่าน่าจะเลยขณิกสมาธิแล้ว เสียงภายนอกไม่มีผล แต่ตัวนิวรณ์ตัวที่ 4 มันมาจากไหน ตัวดิฉันเองก็เลยงงเจ้าคะ

    จึงเรียนมาปรึกษา ขอบคุณเจ้าคะผู้รู้
     
  7. ทิดทิด

    ทิดทิด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +203
    ขอบคุณท่านผู้รู้อย่างสูงครับ
    ผมพยายามทำสมาธิมานานแล้วครับ
    มีปัญหา ทำสมาธิครึ่งชัวโมงจะมีสมาธิแค่เพียงสัก 10% นอกนั้นเป็นการฟุ้งซ่าน และง่วงนอนครับ โดยที่ทำตามอาจารย์บอกครับถ้าเรารู้ว่าฟุ้งซ่านก็ดึงจิตกลับมา ดึงกลับมาสักพักก็ฟุ้งซ่านอีก
    ท่านผู้รู้ช่วยแนะนำวิธีการทีนะครับ ผมจะได้กุศลจากการทำสมาธิเยอะเยอะครับ
     
  8. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ ปูชิกา ครับ

    จากที่ได้เรียนปรึกษาครั้งก่อน
    ก็ได้นำคำแนะนำมาปฎิบัติแล้วเจ้าคะ
    จากที่ทำอยู่ตอนนี้ จับภาพกสินเป็นพระพุทธรูปเนื้อเพชรได้แล้ว
    อยากทราบการทรงกสินพระพุทธรูปเป็นการบวก กรรมฐานพุทธานุสติหรือเปล่า

    ใช่ครับ ถือเป็นกสิณ ควบ พุทธานุสติกรรมฐาน

    แต่การทรงภาพพระพุทธรูปเนื้อเพชรนั้นทรงได้ไม่นาน มีความฟุ้งซ่านมาแทรก จนตกจากสมาธิ คือไม่รู้จะถามยังไงแบบว่า อยากทราบว่าการทำได้ประมาณนี้อยู่ในสมาธิขั้นไหนกันแน่ เพราะตัวเองลองตรองดูแล้ว คิดไม่ตก เพราะนั่งไปจนคิดว่าน่าจะเลยขณิกสมาธิแล้ว เสียงภายนอกไม่มีผล แต่ตัวนิวรณ์ตัวที่ 4 มันมาจากไหน ตัวดิฉันเองก็เลยงงเจ้าคะ

    ถ้าเราเห็นภาพของพระพุทธองค์ ทรงแย้มพระโอษฐ์ แล้วพระวรกายของพระองค์ก็เป็นเนื้อเพชรใสสว่าง ประกายระยิบระยับทั้งองค์
    ก็เป็นฌาณ4แล้วครับ

    ส่วนที่ความฟุ้งซ่านมาแทรก เนื่องจากว่าเรายังประคองสมาธิเอาไว้ได้ไม่นาน
    พอจิตเริ่มตกจากสมาธิ ความฟุ้งซ่านจึงเข้ามาแทรก
    ตอนที่สงบเราก็สงบจริงๆ ส่วนตอนที่ฟุ้งซ่านมันก็ฟุ้งซ่านเลยเช่นกัน

    ดังนั้นสิ่งที่เราจะต้องทำก็คือฝึกทรงภาพพระพุทธเจ้า ให้เป็นเนื้อเพชรให้ได้ตลอดเวลา
    และให้เราเห็นไปที่การเห็นพระพุทธองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์
    พอเราเห็นพระองค์ยิ้มแล้ว จิตใจของเราก็จะเกิดความปีติสุข แย้มยิ้มตามพระองค์ด้วยเช่นกัน

    พอเราเห็นภาพพระเราจะเกิดความปีติสุข อิ่มเอิบอิ่มใจ
    ต้องให้เกิดความอิ่มใจทุกๆครั้ง ที่เราเห็นภาพพระพุทธองค์เป็นเพชรครับ
    แล้วสมาธิของเราจะทรงตัว จะทรงอยู่ได้นาน

    เมื่อได้ภาพพระเป็นเพชร แล้วให้เรานึกถึงความสุข ความอิ่มใจ ความปีติสุข ให้หลั่งไหล เข้ามาเหมือนกับสายน้ำ
    เป็นเหมือนน้ำพุแห่งความสุขที่ค่อยๆพวยพุ่งขึ้นมายังหัวใจของเรา มอบความชุ่มชื่น ชุ่มเย็น ความอิ่มเอิบกายอิ่มเอิบใจ จนความสุขหลั่งล้นท่วมท้นในหัวใจของเรา
    น้ำทิพย์แห่งความปีติสุขชะโลมทั่วทั้งดวงจิตของเรา มีแต่ความสุข ความเบิกบาน ความชุ่มเย็น
    มีแต่ความสุขเต็มล้นในดวงจิตของเรา แล้วเราก็แผ่ความสุข ความชุ่มเย็นนี้ออกไปพร้อมๆกับแสงสว่าง จากภาพพระพุทธเจ้า

    และให้เรากำหนดว่า
    ขอบารมีจากพระพุทธองค์ท่านทรงสงเคราะห์ แผ่แสงสว่างจากภาพของพระพุทธองค์นี้ เป็นแสงสว่างสีทอง หรือสีเพชรก็ได้ ให้สว่างแผ่กระจายไปยังทั้งจักรวาล ออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณทุกๆทิศทาง

    แล้วเราก็ตั้งจิตว่า ผู้ใด ดวงจิตใด ที่ได้สัมผัสกับแสงสว่างของพระพุทธองค์นี้
    ขอให้มีแต่ความสุข ความชุ่มชื่น ชุ่มเย็น อิ่มเอิบอิ่มเอมเต็มล้นในดวงจิต มีแต่ความรักความเมตตาความปรารถนาดีต่อผู้อื่น และขอให้แสงนี้ ส่องนำทางพาทุกๆดวงจิตให้สามารถเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยเร็วไวด้วยเทอญ

    ยิ่งแสงสว่างแห่งความปีติสุข ความอิ่มเอิบใจ ความชุ่มเย็น ความรักความเมตตาปรารถนาดีต่อผู้อื่น
    แผ่กระจายออกไปมากเท่าไหร่ เราจะยิ่งรู้สึกชุ่มเย็น มีความสุข ยิ่งๆขึ้นไปเท่านั้น
    ยิ่งเราปรารถนาให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้ผู้อื่นได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ได้โดยเร็ว มากเท่าไหร่ ตัวเราเองก็ยิ่งใกล้กับพระนิพพานมากขึ้นเท่านั้น

    เสวยสุขอยู่ในความรักความเมตตาที่เรามีต่อผู้อื่น อยู่ในความปีติสุขจากการเห็นพระพุทธองค์ทรงแย้มยิ้ม
    เสวยสุขอยู่ตลอดเวลา ตลอดทั้งวัน นึกถึงพระพุทธองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์เอาไว้ตลอดเวลา
    ใจของเราก็จะมีแต่ความสุข มีรอยยิ้มปื้อนบนหน้าของเราน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา
    เหมือนกับที่พระพุทธองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน

    แล้วให้เราอธิษฐานปักหมุดเอาไว้ว่า
    ขอให้สามารถรักษาอารมณ์ใจที่เปี่ยมด้วยความปีติสุข ชุ่มชื่นชุ่มเย็น ในหัวใจ ภาพพระพุทธเจ้าทรงแย้มพระโอษฐ์ และเป็นเนื้อเพชร ได้ตลอดไป ทุกๆสถานที่ ทุกเวลา ทุกๆขณะจิต ทุกๆภพชาติ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    อธิษฐานย้ำเอาไว้สามครั้ง


    แล้วให้เราประคองความสุข ความอิ่มใจนี้ เอาไว้เสมอๆ อย่าให้ภาพพระพุทธองค์เคลื่อนไปจากจิตของเรา
    จะทำงาน จะกินข้าว จะทำอะไรก็ตาม เห็นพระพุทธองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์อยู่เสมอ แล้วเราจะมีสุคติภูมิ เป็นที่ไป มีพระนิพพานเป็นที่สุดอย่างแน่นอน

    ขอให้สามารถรักษาอารมณ์ใจที่เปี่ยมด้วยความปีติสุข ชุ่มชื่นชุ่มเย็น ในหัวใจ ภาพพระพุทธเจ้าทรงแย้มพระโอษฐ์ และเป็นเนื้อเพชร ได้ตลอดไป ทุกๆขณะจิต ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบันด้วยเทอญ
     
  9. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    เห็นเหนื่อยๆ เพราะต้องใช้พลังและตอบให้ตรงจุดทุกๆคนทุกๆท่าน เข้าใจคับ แต่ก็มาถวงสัญญา ^^;(เผื่อลืม) แต่ไม่รีบครับ ว่างเมื่อไหร่ หรือ ช่วงไหนที่ไม่เหนื่อยก็ค่อยตอบก็ได้ครับ เรื่องของจอก ที่คุณชัดยังติดไม่ได้ไขปริศนาให้กระผมรู้ อ่าาานะคับคุณชัด แต่ไม่เป็นไรคับ ไม่รีบ ว่างๆหายเหนื่อยแล้วค่อยตอบก็ได้คับ

    ตอนนี้ มีคำถามนะ แต่มันออกมาจากความรู้สึก อันนี้ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า

    ยกตัวอย่างนะคับ เราเป็นหุ่นๆกระป๋องๆๆ กระด๊อกกระแด๊กไปวันๆ ทำงานกลับมาอาบน้ำนอนเป็นอย่างนี้ทุกวัน แต่ หุ่นกระป๋องตัวนี้ของผม ผมรู้สึกว่า ในตัวผมจะมีถ่านอยู่2ก้อน (ถ่านก็คือดวงจิต)มันค่อยๆไหลไปอยู่บนนู๊นเป็น อตอมเป็นอนูเล็ก เล็กมากๆค่อยไปรวมตัวที่ข้างบน บางทีก็เห็นภาพข้างบน สวยนะ แต่เห็นชัดบ้างไม่ชัดบ้าง(ที่ไหนไม่รู้แต่รู้ว่าอยู่บนๆๆๆ) ตอนนี้เหลือเพียงก้อนเดียว ที่เอาไว้บังคับหุ่น คือ มันมีถ่านสองก้อน ค่อยๆถ่ายโอนไปยังข้างบน ก้อนที่อยู่บนก็คอยดู ก้อนที่อยู่ข้างล่างก็บังคับ และความรู้สึกที่เหมือนหุ่นกระป๋องนี้ บางทีผมก็รู้สึกว่าตัวผมไม่ใช่ตัวผม และก็ทำให้มันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น กินบางทีก็กินแล้วคิดว่ามันวนเป็นวัฏจัก กิน ถ่าย แล้วก็กลับมากินอีก วนๆไปเืรื่อยๆจนร่างกายดับ(ซี้แหง๋แก๋) มันรู้สึกอย่างนี้ ไม่รู้ว่า ถูกไหมแต่ จิตก็แผ่เมตาอยู่ตลอดเฉลี่ย วันนึง แผ่เมตตาไม่สินับเป็นวันไม่ได้ 2ชม.แผ่ครั้ง1มั้ง แผ่ยาวบ้างสั้นบ้าง บางทีก็ลืม บางทีก็ิคิดได้ บางทีก็แผ่เมตตาเอง จนจำได้แล้วก็แผ่ต่อ ^^;

    เมื่อกี้ได้อ่านข้อความข้างบนผมก็เห็นภาพตามเลย อิอิ เห็นภาพพระเนื้อเพรชแต่เห็นใกล้ๆเป็นช่วงแขนกับหัวไหล แต่เห็ฯเต็มองค์บ้าง ดีจัง พยายามนึกเท่าไหร่ก็ไม่ได้ เพ่งรูปพระเท่าไหร่ก็ไม่ได้ แต่ อ่านแป๊ปเดียว เห็นเลย แปลกดี -*- ~~;

    อ่อ มีอีกข้อนึงครับ จริงๆแล้วผมก็เป็นนะเรื่องนี้
    มีน้องคนนึง
    เค้าถามผมมาว่า บางทีไม่ได้ภาวนา ไม่ได้สวดมนต์ก่อนนอนหรือตอนตื่นนอน แต่อยากจะนั่งกรรมฐานเลยได้ไหมครับ
    ผมก็ตอบเค้าไปว่า ได้สิ ง่ายๆเลย ก็ขอบารมีพระท่านแล้ว ที่เราได้เข้าถึง อารมณ์ที่เราเคยได้ที่เราเคยปักหมุดไว้แล้วขอบารมีพระท่านบ่อยๆก็ีดี แผ่เมตาบ่อยๆด้วยก็ดีนะครับ
    (ตัวผมเองก็เน้นการแผ่เมตตาครับ มันช่วยไม่ให้เกร็งได้ดีเลย)
    ไม่ทราบว่า ตอบอย่างนี้ จะผิดไหม เพราะบางทีผมก็เป็น

    ขอมาถามต่อจากข้อความด้านบนเมื่อวาน
    คือผมยังสงสัยว่าตัวหยุด กับลมหายใจละเอียดนี้มันคนละตัวกันใช่รึเปล่าคับ แต่ บางทีมันหยุดหายใจคล้ายๆกับตัวหยุดเลยและร่ายกายมันก็ผะอืดผะอมพยายามจะหายใจ ถ้าหากเราใช้ตัวหยุดจนถึงที่สุดหรือว่าเรารอไปเรื่อยๆให้มันหลุดเองครับ อันนี้เป็นเกือบตลอดแต่ส่วนใหญ่เลยจะเป็นช่วงนั่งกรรมฐานแต่ ทุกขณะจิตมันก็ผะอืดผะอมจะหายใจ อันนี้เรียกว่าหนักรึเปล่าแต่ ผมว่าอาการหนักก็มีนะแต่น้อยลงมากเพราะแผ่เมตตาไปด้วยอยู่ตลอด

    ขอบคุณคับ สำหรับคำตอบ
    อนุโมทนาบุญกับ คุณชัดคับ ขอให้เจริญในธรรมและบารมีเพิ่มพูลยิ่งๆขึ้นไปตราบเท่าเข้าสู่นิพพานครับ สาธุสาธุ อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 สิงหาคม 2009
  10. Ta WHK

    Ta WHK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,133
    ค่าพลัง:
    +6,078
    รบกวนถามหน่อยค่ะ ตามอ่านมานานแล้ว ตามข้อความด้านบน ที่บอกว่าจิตเข้าฌานระดับลึก เป็นการไม่รับรู้ภาวะภายนอก การกระทบของทวารทั้ง 6 เป็นอรูปฌาณ นั้น จะมีวิธีแก้อย่างไร ได้บ้างคะ พอดีว่านั่งสมาธิ แล้วสักพักก็จะเป็นแบบว่าตั้งแต่ได้ยินเสียงที่อยู่รอบๆตัวเรา จนถึงไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ก็ไม่แน่ใจว่านานเท่าไร ก็กลับมาได้ยินเสียงอยู่รอบๆตัวเรา เหมือนเดิม ช่วงนั้นก็จะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ไม่รู้สึกตัวด้วย ถ้าเป็นการปิดอายตนะทั้งหมด จะมีวิธีแก้อย่างไรคะ ก็รู้สึกเหมือนกันว่าไม่ค่อยก้าวหน้าไปไหน เหมือนอยู่กับที่ ขอคำแนะนำด้วยค่ะ ขอบคุณล่วงหน้านะคะ
     
  11. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,015
    ค่าพลัง:
    +741
    ออร่าตามสูตร มันสามารถ ทำให้เกิดอิทธิฤทธิ์ได้ไหมครับ แล้วเรื่อง ของ จักกะ พวกนี้ มันเป็นเรื่องของพลังจิตหรือว่า อย่างไร ครับ ท่าน Xorce<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2351438", true); </SCRIPT> เขาฝึกกันได้อย่างไร ฝึกอย่างกสิณไหมครับ ท่าน
     
  12. นิตา

    นิตา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +7
    สวัสดีค่ะ

    พอดีเพิ่งกลับมาจากนั่งวิปัสนาแล้วเกิดความสงสัยในเรื่องการปฎิบัติ คือว่าตอนที่รับกรรมฐานครั้งแรกนั้นเหมือนมีผึ้งทั้งฝูงมาบินด้วยความเร็วรอบลำตัวตอนนั้นความโกรธต่าง ๆ รวมทั้งความปวดเมื่อยจากการนั่งสมาธิหายไปหมด แล้วก็รู้สึกเหมือนปิติมาก ถัดจากวันนั้นร่างกายก็เหมือนมีน้ำไหลจากศรีษะตลอดเวลาเลยค่ะ พอวันถัดมาจากน้ำก็กลายเป็นเหมือนเมือกเหนียว ๆ เป็นอยู่สองวันถึงจะทำใจได้วันต่อมาก็เปลี่ยนเป็นไอเย็น ๆ ค่ะเป็นมาอยู่ 4 วันได้แล้วแต่พอกลับมาบ้านจะไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่ แต่รู้ว่าเวลาเราเจอเพื่อนและคุยกับเพื่อน หรือไปสถานที่บางที่จะรู้สึกว่าศรีษะหนักอึ้งไปหมดเลย ไม่ทราบว่าอาการแบบนี้จะทำอย่างไรดีคะ แล้วไม่แน่ใจว่าถ้าอยากปฎิบัตต่อไปเรื่อย ๆ ควรทำอย่างไรเพราะคนที่บ้านค่อนข้างกังวลเพราะเราเปลี่ยนไปมาก เลยรู้สึกว่าไม่รู้จะทำตัวอย่างไรให้ที่บ้านยอมรับดีค่ะ ปัจจุบันรู้สึกว่าเขาจะเป็นห่วงความเปลี่ยนแปลงของเรามากค่ะ แล้วก็กลัวว่าอาการต่างๆ บางอย่างจะเกิดจากความคิดฟุ้งซ่านไปเอง

    ต้องขอขอบคุณล่วงหน้านะคะ เพราะปัญหานี้ไม่ค่อยกล้าถามใครเท่าไหร่ค่ะ
     
  13. squrez

    squrez เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +2,987
    อนุโทนา กับเจ้าของกระทู้ด้วยครับ
    ผมเพิ่งเริ่มนั่งสมาธิใหม่ได้ความรู้เยอะเลยครับ
     
  14. boradcard186

    boradcard186 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    265
    ค่าพลัง:
    +760
    ขอถาม...

    ในขณะที่ผมนั่งสมาธิไปพักหนึ่ง แล้วรู้สึกขนลุกซู่มาก ๆ ไปทั้งตัว จากนั้นก็รู้สึกว่าจิตจะเป็นสมาธิมากเลย แต่แค่นิดเดียวเอง หลังจากนั้น จิตก็เริ่มคิดเรื่องต่างๆอีก ผมควรทำยังไงต่อไปดีครับ
    ผมจะมาติดอยู่ที่ตรงนี้ทุกครั้งที่นั่งสมาธิเลย รบกวนช่วยแนะนำหน่อยนะครับ

    ขอบคุณมากครับ
     
  15. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    มาอีกแล้ว ^^; อิอิ มีคำถามคับ

    1.อันนี้สงสัยมานานล่ะคับ ว่า ขึ้นครูนี้ ที่วันนั้นที่ผมไปปฏิบัติในซอยสายลมนี่เรียกว่าได้ขึ้นครูแล้วรึเปล่าคับ
    2.เมื่อคืนนี้ จิตนิ่งสงบ แต่ ร่างกายมันก็ยังคงผะอึดผะอมจะพยายามหายใจให้ได้จนหัวเริ่มตึงๆแต่ก็แผ่เมตตาตลอด แต่ก็น้อยกว่า วั้นก่อนๆนี้ อันนี้ยังหนักไปรึเปล่าแต่รู้สึกได้เลยว่า มันวิ๊งๆๆเหว๋อๆๆๆโหว๋งเหว๋งแต่มันเหมือนมีกำลังอะไรสักอย่างที่พร้อมจะพุ้งอ่ะคับ ความรู้สึกเหมือนกับเรานั่งบนเครื่องบินที่กำลังจะขึ้นจากพื้นดินสู่ท้องฟ้า(อาจจะมีแรงอัดหนักกว่า แต่ผมไม่เคยขึ้นเครื่องบินนะแต่ผมก็สัมผัสมันได้ว่าความรู้สึกเป็นแบบนี้) จะว่าไปความรู้สึกนี้มันก็อธิบายยากเหมือนกันนะ คับ อธิบายไม่ถูก เรียกได้ว่า ลมหายใจมันหายเป็นระยะแต่ร่างกายพยายามจะดึงกลับ ไอเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะดูลมหรอก แต่ไปดูร่างกายที่มันกระอึกกระอักพยายามหายใจ มันก็เป็นยังงี้ สัก2-3ชั่วโมงแล้วก็เผลอหลับไป(หลักจากที่นั่งกรรมฐาน เปลี่ยนอิริยาบถเป็นนอนดูบ้าง)สงสัยจิตมันเริ่มมีสมาธิลึกขึ้น ก็เป็นได้

    เดี๋ยวตอนเย็นจะมาถามต่อคับ ตอนนี้ทำงานก่อน ^^ อนุโมทนาคับ

    ตอนบ่ายก็ตั้งจิตนึกถึงตัวเองแล้วย้อนกลับไป เมื่อวานเมื่อวันก่อนเมื่ออาทิตย์ก่อน ถึงเพียงอาทิตย์ก่อน หลังจากนั้นก็จำเรื่องราวได้แต่ สำคัญๆรายละเอียดจำไม่ได้ล่ะก็เลยกำหนดจิตดูลมตามเดิม

    มาต่อกันเลยตอนเย็นผมเดินกลับบ้าน ก็ปรกติไม่มีอะไรคนก็ผ่านไปผ่านมาเยอะแยะ ก็ไม่มีอะไร แต่ พอดีผมลืมตั้งจิต จำได้ก็เลย ดูิจิตและทำสมาธิตอนนั้นเลย สมาธิก็เกิดตอนที่ผมเดิน แล้วพอดี ผมเหลือบไปมอง สุนัขตัวนึงเห็นหน้า ตอนนั้น ก็เดินผ่านก็ไม่ได้เอะใจอะไรสักพัก ภาพติดตา และเหมือนกับ ภาพที่มันติดตานั้นมัีนค่อยๆไหลย้อน เหมือนภาพซ้อน แต่ เห็นไม่ชัด และก็มีผู้ชายอีกสองคนที่ผมตั้งจิตและก็มองพวกเค้า ภาพก็ติดตา เป็นเหมือนตอนที่ผมมองสุนัขตัวนั้นเลย อันนี้มันคืออะไรเหรอคับ งง

    แล้ว พอเดินไปซื้อของเสร็จกลับมามือไม่ว่างเลยกำหนดจิตไปกราบศาลพระภูมิเจ้าที่เหมือนทุกครั้ง ก็ไม่เอ๊ะใจอะไร สักพักก็เดินผ่าน ภาพติดตาอีกในดวงจิต มันรู้สึกว่า ศาลที่ผมกำหนดจิตไปกราบนั้น มีแสงด้วยสีขาวมีสีเหลืองแซมอยู่เปล่งประกาย ทุกทีไม่เห็นนิก็ตกใจนิดหน่อย(มือถือของอยู่ไหว้ไม่ได้ก็เลยกำหนดจิตไปกราบ)

    อนุโมทนาครับ ผมยังไม่รู้เลยว่าร่างกายมันจะทนได้เท่าไหร่สำหรับอาการ ผะอืดผะอม ของร่างกายที่พยายามจะหายใจ แต่ผมก็มีกำลังใจมากพอ คือตายก็ตายไม่เป็นไรอย่างน้อยก็ได้อยู่ในศีลในธรรมในกรรมฐาน และก็จะค่อยๆปรับให้อารมณ์ให้ได้เบามากขึ้นเรื่อยๆเหมือนกับขัดเกลาจิตให้มันค่อยๆแหลมคม แต่ก็คงต้องฝึกเรื่องการดูลมและกำหนดภาพอีกสักระยะ จึงจะดีกระมั่ง ~~;

    อนุโมทนากับคำตอบครับ ขอบคุณคุณชัดด้วย ขอให้ได้กุศลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆนะครับ สาธุสาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 สิงหาคม 2009
  16. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ

    เห็นเหนื่อยๆ เพราะต้องใช้พลังและตอบให้ตรงจุดทุกๆคนทุกๆท่าน เข้าใจคับ แต่ก็มาถวงสัญญา ^^;(เผื่อลืม) แต่ไม่รีบครับ ว่างเมื่อไหร่ หรือ ช่วงไหนที่ไม่เหนื่อยก็ค่อยตอบก็ได้ครับ เรื่องของจอก ที่คุณชัดยังติดไม่ได้ไขปริศนาให้กระผมรู้ อ่าาานะคับคุณชัด แต่ไม่เป็นไรคับ ไม่รีบ ว่างๆหายเหนื่อยแล้วค่อยตอบก็ได้คับ

    รอไปอีกแปปนึงนะครับ

    ตอนนี้ มีคำถามนะ แต่มันออกมาจากความรู้สึก อันนี้ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า

    ยกตัวอย่างนะคับ เราเป็นหุ่นๆกระป๋องๆๆ กระด๊อกกระแด๊กไปวันๆ ทำงานกลับมาอาบน้ำนอนเป็นอย่างนี้ทุกวัน แต่ หุ่นกระป๋องตัวนี้ของผม ผมรู้สึกว่า ในตัวผมจะมีถ่านอยู่2ก้อน (ถ่านก็คือดวงจิต)มันค่อยๆไหลไปอยู่บนนู๊นเป็น อตอมเป็นอนูเล็ก เล็กมากๆค่อยไปรวมตัวที่ข้างบน บางทีก็เห็นภาพข้างบน สวยนะ แต่เห็นชัดบ้างไม่ชัดบ้าง(ที่ไหนไม่รู้แต่รู้ว่าอยู่บนๆๆๆ) ตอนนี้เหลือเพียงก้อนเดียว ที่เอาไว้บังคับหุ่น คือ มันมีถ่านสองก้อน ค่อยๆถ่ายโอนไปยังข้างบน ก้อนที่อยู่บนก็คอยดู ก้อนที่อยู่ข้างล่างก็บังคับ และความรู้สึกที่เหมือนหุ่นกระป๋องนี้ บางทีผมก็รู้สึกว่าตัวผมไม่ใช่ตัวผม และก็ทำให้มันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น กินบางทีก็กินแล้วคิดว่ามันวนเป็นวัฏจัก กิน ถ่าย แล้วก็กลับมากินอีก วนๆไปเืรื่อยๆจนร่างกายดับ(ซี้แหง๋แก๋) มันรู้สึกอย่างนี้ ไม่รู้ว่า ถูกไหม

    ถูกครับ หุ่นน่ะไม่ใช่เรา แต่ถ่าน หรือดวงจิต คือเรา
    ดังนั้นเราก็เน้นรักษาดวงจิตให้ใสสะอาด มากกว่าที่จะเอาเวลาไปทำให้ร่างกายสวย หรือหล่อ จนเกินพอดี เอาแค่พอประมาณ
    หล่อแค่ไหนก็ตายเหมือนกันครับ

    ตายเมื่อไหร่ หุ่นนี่เราก็ทิ้งมันแล้ว ย้ายไปอยู่ข้างบนนู่นครับ
    หุ่นนั้นเราเอาไปไม่ได้ และเมื่อมันเน่าไปแล้ว เราก็คงจะไม่อยากเอามันไปด้วย
    ตายแล้วมันก็ไม่หล่อหรอก
    ใจของเราเห็นความทุกข์อันเป็นเรื่องธรรมดา ของร่างกาย ว่ามีความทุกข์เป็นของธรรมดาของมัน

    พอใจของเราเห็นว่ามันก็เรื่องธรรมดาๆนี่เอง ใจของเราก็จะไม่หดหู่ แต่ปล่อยวางได้ซึ่งร่างกาย
    พอเราวางได้มันก็จะเบา
    แต่ถ้าเราไปหดหู่กับการมีชีวิต มันทุกข์อะไรแบบนี้ ร่างกายอะไรเลวขนาดนี้
    ถ้าอารมณ์จิตมีความหดหู่ ถือว่าเราพิจารณาแบบอมทุกข์ ซึ่งไม่ถูก

    เราจะต้องพิจารณา เพื่อวางทุกข์ และอมสุข สุขจากสมาธิ สุขจากเมตตา สุขจากพระนิพพาน
    ยิ่งพิจารณาร่างกาย ใจยิ่งเบา จิตยิ่งเย็น ยิ่งมีความสุข
    ถ้าพิจารณาผิด จิตจะหนัก จะยิ่งทุกข์ และไม่ชุ่มเย็น
    อันนี้ผมอธิบายเผื่อบางคนที่พิจารณาผิดแล้วทุกข์กว่าเดิม

    แต่ จิตก็แผ่เมตาอยู่ตลอดเฉลี่ย วันนึง แผ่เมตตาไม่สินับเป็นวันไม่ได้ 2ชม.แผ่ครั้ง1มั้ง แผ่ยาวบ้างสั้นบ้าง บางทีก็ลืม บางทีก็ิคิดได้ บางทีก็แผ่เมตตาเอง จนจำได้แล้วก็แผ่ต่อ ^^;

    จิตเริ่มทรงเมตตาได้ตลอดเวลาแล้ว อนุโมทนาด้วยครับ
    ยิ่งแผ่เมตตามากยิ่งสุขมาก ยิ่งแผ่มากยิ่งเย็นมาก ยิ่งแผ่มากคนรอบข้างเราก็ยิ่งสุขมาก ยิ่งแผ่มาก ยิ่งใกล้พระนิพพาน

    เมื่อกี้ได้อ่านข้อความข้างบนผมก็เห็นภาพตามเลย อิอิ เห็นภาพพระเนื้อเพรชแต่เห็นใกล้ๆเป็นช่วงแขนกับหัวไหล แต่เห็ฯเต็มองค์บ้าง ดีจัง พยายามนึกเท่าไหร่ก็ไม่ได้ เพ่งรูปพระเท่าไหร่ก็ไม่ได้ แต่ อ่านแป๊ปเดียว เห็นเลย แปลกดี -*- ~~;

    ถ้าชี้อารมณ์ให้เห็นก็จะง่ายขึ้นเยอะครับ
    จริงๆ ผมอธิษฐานกำกับเอาไว้ด้วยว่า ใครที่ได้อ่าน ขอให้น้อมจิตทำตาม และสามารถทำได้โดยง่าย
    อย่างเวลาจะพิมพ์อะไร เราก็ต้องทำกรรมฐานตามข้อที่เรากำลังพิมพ์ด้วย
    บอกให้นึกถึงภาพพระท่านแย้มยิ้ม พระวรกายของพระองค์เป็นเพชรใสประกายระยิบระยับ
    ตัวผู้พูด ผู้อธิบายก็ต้องทรงภาพพระให้เป็นเพชรด้วยเช่นกัน
    เพื่อให้ผู้ที่มาอ่าน หรือรับฟัง พอรับไปแล้ว จะสามารถทำตามได้ในทันที

    เนื่องจากจิตมีลักษณะคล้ายคลื่นวิทยุซึ่งสามารถจูน หรือปรับคลื่นให้ตรงกันได้
    ซึ่งเป็นเหตุผลว่า ทำไมทำสมาธิที่วัด หรือกับพระอาจารย์แล้วรู้สึกสงบกว่าทำเองที่บ้าน

    ถ้าเกิดว่าผู้ที่อธิบายธรรมะ ไม่ได้อะไรเลย มีแต่ปริยัติ แต่ไม่มีปฏิบัติ
    ก็จะไม่มีคลื่นที่จะจูนให้ผู้ฟังเข้าสมาธิได้ ผู้ฟังก็เลยได้แต่สัญญากลับบ้านไป

    และหากเราไปฝึกกับผู้ที่ได้สมาธิแต่เป็นมิจฉาทิษฐิ
    คลื่นของเขาก็จะทำให้อารมณ์ของเรา หนัก อึดอัด แน่น หดหู่ ครอบงำจนกลายเป็นมิจฉาทิษฐิตามเขา

    เช่น เราไปอยู่กับคนที่เขาโกรธบ่อยๆ หรืออารมณ์หนักมากๆ
    เราจะรู้สึกร้อน หนัก หรืออึดอัด ตามเขา

    อย่างห้องประชุมเครียดๆ ที่ทุกๆคนเครียดหมด พอเราเข้าไปจะรู้สึกอึดอัด นี่ก็เหมือนกัน

    หรือถ้าสถานที่ปฏิบัติธรรมใด มากด้วยพระอริยเจ้า พระอรหันตเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้าแล้ว สถานที่นั้น
    เราจะรู้สึกว่ามีแต่ความร่มเย็น ร่มรื่น เบาชุ่มเย็น สบายใจ
    ถ้าบางที่เย็นมากๆ จะรู้สึกเหมือนอยู่บนดินแดนทิพย์เลยก็ว่าได้

    อ่อ มีอีกข้อนึงครับ จริงๆแล้วผมก็เป็นนะเรื่องนี้
    มีน้องคนนึง
    เค้าถามผมมาว่า บางทีไม่ได้ภาวนา ไม่ได้สวดมนต์ก่อนนอนหรือตอนตื่นนอน แต่อยากจะนั่งกรรมฐานเลยได้ไหมครับ
    ผมก็ตอบเค้าไปว่า ได้สิ ง่ายๆเลย ก็ขอบารมีพระท่านแล้ว ที่เราได้เข้าถึง อารมณ์ที่เราเคยได้ที่เราเคยปักหมุดไว้แล้วขอบารมีพระท่านบ่อยๆก็ีดี แผ่เมตาบ่อยๆด้วยก็ดีนะครับ
    (ตัวผมเองก็เน้นการแผ่เมตตาครับ มันช่วยไม่ให้เกร็งได้ดีเลย)
    ไม่ทราบว่า ตอบอย่างนี้ จะผิดไหม เพราะบางทีผมก็เป็น

    ไม่ผิดครับ แต่ว่าข้ามขั้นไปหน่อย เขาจะทำตามไม่ได้

    อย่างเวลาสอนจะต้องไล่
    1.ลม1ฐาน
    2.ลม3ฐาน
    3.ลมตลอดสาย
    4.กักลมและล้างลมหยาบ
    5.จับลมตลอดสายจนลมหายใจหยุด จิตตั้งมั่น นิ่ง ปราศจากความคิด
    6.แล้วจึงค่อยแผ่เมตตา นึกถึงความสุข ความปีติ ชุ่มชื่น ชุ่มเย็น ให้เต็มล้นดวงจิตของเรา แล้วแผ่ไปยังรอบๆตัวเรา แล้วขยายออกไปยังทั้งตำบล จังหวัด ประเทศ โลก แผ่กระจายสว่างออกไปยังท้งจักรวาล
    7.เสร้จแล้วค่อยกสิณ ทรงภาพพระให้เป็นเพชร ถ้าได้เมตตาแบบเต็มที่แล้ว อารมณ์จิตจะเย็น และเบา อิ่มเอิบอิ่มเอมสุดๆ ถึงจุดนี้พอนึกถึงภาพพระแล้ว จะเห็นเป็นเพชรทันที

    ดังนั้นเราต้องไล่ไปทีละขั้นครับ ถ้าไม่ไล่จะทำไม่ได้
    อุปมาเหมือนเราจะกระโดดครั้งเดียว จากชั้น1ให้ขึ้นไปบนตึกสูง20ชั้น มันก็ยาก หรือไม่ได้เลย
    แต่ถ้าเราค่อยๆ เดินขึ้นบันไดไปทีละขั้น มันก็ง่ายกว่าเยอะครับ และในที่สุดก็ไปถึงได้ด้วย

    ขอมาถามต่อจากข้อความด้านบนเมื่อวาน
    คือผมยังสงสัยว่าตัวหยุด กับลมหายใจละเอียดนี้มันคนละตัวกันใช่รึเปล่าคับ แต่ บางทีมันหยุดหายใจคล้ายๆกับตัวหยุดเลยและร่ายกายมันก็ผะอืดผะอมพยายามจะหายใจ ถ้าหากเราใช้ตัวหยุดจนถึงที่สุดหรือว่าเรารอไปเรื่อยๆให้มันหลุดเองครับ อันนี้เป็นเกือบตลอดแต่ส่วนใหญ่เลยจะเป็นช่วงนั่งกรรมฐานแต่ ทุกขณะจิตมันก็ผะอืดผะอมจะหายใจ อันนี้เรียกว่าหนักรึเปล่าแต่ ผมว่าอาการหนักก็มีนะแต่น้อยลงมากเพราะแผ่เมตตาไปด้วยอยู่ตลอด

    พอลมหายใจละเอียดเข้าๆ มันจะหยุดเองครับ
    หรือถ้าเราเคยทำตัวหยุดได้แล้ว เราก็ให้มันหยุดเลยก็ได้ครับ
    เพราะเราอธิษฐานไว้แล้วว่าขอให้ทำได้ทุกเวลาท่เราต้องการ
    แต่ต้องระวังนิดนึง ถ้าเราวางอารมณ์ไม่ถูก การหยุดจะมีความหนัก ความอึดอัด
    ถ้าหยุดให้ถูกต้องหยุดแบบลอยๆ เบาๆ สบายๆ แต่นิ่ง ตั้งมั่น เบา แต่นิ่ง

    ถ้ายังผะอืด ผะอมหายใจอยู่ ยังหนักอยู่บ้างครับ แต่เบาไปเยอะแล้ว
    ลมหายใจของเราจะต้องมีความลื่นไหล เนียนนุ่ม พริ้วไหว อย่างนุ่มนวล
    ลมหายใจยิ่งลื่นไหลมาก ยิ่งเนียนนุ่มมาก ใจยิ่งสบาย
    ใจยิ่งสบายมาก เดี้ยวลมหายใจก็หยุด สมาธิก็จะตั้งมั่น

    ผมบอกเลยถ้าจะให้ใจเบาถึงที่สุดแบบ สุดๆแล้ว ไม่มีเบายิ่งกว่านี้แล้ว ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น

    ดังนั้นความเบาของจิตเนี่ย เราใช้เป็นเครื่องวัดอารมณ์ของเราได้ ว่ามีความสะอาดบริสุทธิ์ อยู่ที่ระดับใด
    กิจที่เราต้องทำ ในการฝึกสมาธิทั้งหมด ถ้ารวบง่ายๆ ก็คือ
    ฝึกทำใจให้เบา ให้สบาย ให้เย็น ให้มีความสุข อิ่มเอิบอิ่มใจให้ถึงที่สุด

    ยิ่งใกล้พระนิพพานมากเท่าไหร่ จิตยิ่งเบามากขึ้นเท่านั้น
    ยิ่งจิตเบามากเท่าไหร่ ยิ่งใกล้พระนิพพานมากขึ้นเท่านั้น

    ขอให้เรารักษาความสุขจากเมตตา ที่ได้เข้าถึงแล้ว เอาไว้ได้ตลอดไป
    และกิจการใดที่จะทำเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
    ก็ขอให้สำเร็จได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ตลอดไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2009
  17. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Ta WHK ครับffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    รบกวนถามหน่อยค่ะ ตามอ่านมานานแล้ว ตามข้อความด้านบนที่บอกว่าจิตเข้าฌานระดับลึก เป็นการไม่รับรู้ภาวะภายนอก การกระทบของทวารทั้ง 6 เป็นอรูปฌาณ นั้น จะมีวิธีแก้อย่างไร ได้บ้างคะ พอดีว่านั่งสมาธิแล้วสักพักก็จะเป็นแบบว่าตั้งแต่ได้ยินเสียงที่อยู่รอบๆตัวเราจนถึงไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ก็ไม่แน่ใจว่านานเท่าไรก็กลับมาได้ยินเสียงอยู่รอบๆตัวเรา เหมือนเดิม ช่วงนั้นก็จะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยไม่รู้สึกตัวด้วย ถ้าเป็นการปิดอายตนะทั้งหมด จะมีวิธีแก้อย่างไรคะ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อันนี้ไม่ใช่อรูปครับ อันนี้คือฌาณ4ละเอียดครับ<O:p></O:p>
    อันนี้ต้องรักษาเอาไว้ห้ามทิ้งเด็ดขาดครับที่เขาฝึกกันมานานก็ต้องการตัวนี้แหละครับ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ถ้าเป็นอรูป ละเอียด มันจะเหมือนดวงจิตของเรามันดับหายไปเลยครับ<O:p></O:p>
    แต่พระนิพพานไม่ใช่การที่ดวงจิตดับหายนะครับ<O:p></O:p>
    ใครที่ถึงสภาวะพระนิพพานแล้ว จะเข้าใจว่าต่างกับอรูปอย่างสิ้นเชิงเลย<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ตอนนี้ให้เราอธิษฐานขอบารมีพระพุทธองค์ให้ทรงเมตตาสงเคราะห์ให้ข้าพเจ้าได้กลับเข้าสภาวะนี้อีกครั้งด้วยเทอญ<O:p></O:p>
    พอเราเข้าไปแล้ว ก่อนจะออก ให้เราอธิษฐานว่า<O:p></O:p>
    ขอให้ข้าพเจ้สามารถเข้าถึงซึ่งฌาณ4 ละเอียดนี้ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกขณะจิต ทุกภพชาติ ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพานด้วยเทอญ<O:p></O:p>
    อธิษฐานย้ำเอาไว้ สามครั้ง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    แล้วหมั่นเข้าออกให้คล่อง<O:p></O:p>
    จากนั้นให้เราหันมาทำขั้น เมตตาอัปมาณฌาณให้เรานึกถึงความสุข ความปีติ ความอิ่มเอิบอิ่มเอม ชุ่มเย็นให้เต็มล้นหัวใจของเรา<O:p></O:p>
    แล้วแผ่กระจายออกไปยังทั้งจักรวาล ออกไปยังทุกๆทิศทางจักรวาลทั้งจักรวาล เรืองแสงสว่างเป็นสีทอง ด้วยความรักความเมตตา ความชุ่มเย็นอันหาที่สิ้นสุด หาประมาณมิได้ของเรา<O:p></O:p>
    ให้ดวงจิตของเรา เอ่อล้นท่วมท้น ด้วยความสุขความปีติ ความอิ่มใจ จนความสุขล้นทะลักออกมาจากดวงจิตของเรา<O:p></O:p>
    ความสุขล้นปีติชุ่มชื่นอย่างอธิบายไม่ถูกจนแผ่กระจายออกไปยังทั้งจักรวาล แผ่กระจาย แบบดวงอาทิตย์สว่างวาบเป็นสีทองท่ามกลางจักรวาลที่มืดมิด<O:p></O:p>
    จนเราแย้มยิ้ม รุ้สึกชุ่มชื่น ชุ่มเย็นยิ้มจากภายใน ยิ้มจากดวงจิตของเรา ยิ้มจนแก้มปริ<O:p></O:p>
    จนมันสุข ชุ่มเย็น อย่างอธิบายไม่ถูกเย็นจนไม่ร้ว่าจะเย็นยังไงได้อีก แล้วแผ่ออกไปยังทั้งจักรวาล<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    พอจิตของเรารู้สึกมีความสุข ความชุ่มชื่น ชุ่มเย็นอย่างอธิบายไม่ถูกแล้วให้เราอธิษฐานว่า<O:p></O:p>
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งเมตตาอัปปมาณฌาณความสุข ความรักความเมตตา<O:p></O:p>
    ที่ท่วมท้นเต็มล้นดวงจิตของข้าพเจ้านี้ ได้ตลอดไปทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต<O:p></O:p>
    ทุกภพชาติทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ<O:p></O:p>
    อธิฐานย้ำเอาไว้สามครั้ง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ประคองความสุข ความชุ่มเย็นนี้เอาไว้ตราบนานเท่าที่เราต้องการ<O:p></O:p>
    คุณเป็นคนที่เข้าสมาธิลึก ดังนั้นเวลาจะออกต้องถอนจิตช้าๆ ไม่งั้นจิตจะกระเทือนได้<O:p></O:p>
    จากนั้นค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆ โดยการหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ สามครั้ง<O:p></O:p>
    ครั้งที่1 หายใจเข้า ภาวนา พุทออกโธ<O:p></O:p>
    ครั้งที่2 หายใจเข้า ภาวนาธัมออกโม<O:p></O:p>
    ครั้งที่3 หายใจเข้า ภาวนาสังออกโฆ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เสร็จแล้วค่อยๆถอนจิตออกมา จะรู้l7กคล้ายๆจิตลอยขึ้นจากสภาวะที่ดิ่ง นิ่ง ลึก<O:p></O:p>
    พอจิตลอยออกมาจนสุด ก็ลองขยับนิ้ว ขยับมือก่อนแล้วจึงค่อยๆลืมตาขึ้น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ลองทำดูครับ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ขอให้สามารถเข้าถึงซึ่งฌาณ4 และเมตตาอัปมาณฌาณนี้ ได้ตลอดไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2009
  18. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ wuttichai0329 ครับ

    ออร่าตามสูตร มันสามารถ ทำให้เกิดอิทธิฤทธิ์ได้ไหมครับ

    จริงๆ มันก็ได้ครับ เพราะออร่ามันก็คือ กสิณนั่นแหละ
    ต้องแก่กล้าจริงๆ ถึงจะทำเป็นอภิญญาได้
    แต่มันก็ยังทำให้เราเหนื่อยเวลาใช้ เพราะมันเป็นพลังของร่างกายกับจิตของเรา

    แล้วเรื่อง ของ จักกะ พวกนี้ มันเป็นเรื่องของพลังจิตหรือว่า อย่างไร ครับ

    คือร่างกายของเรา จะมีจักระอยู่มากมายหลายจุด ของจีนอย่าง พวกฝังเข็ม กดจุด เขาก็ต้องฝังลงจักระ
    ร่างกายเรา จะมีจุดจักระหลักๆ อยู่7จุด
    ซึ่งจักระนี้จะอยู่ตรงบริเวณต่อมไร้ท่อ ซึ่งการเปิดจักระก็จะทำให้การทำงานของต่อมไร้ท่อ ทำงานได้ดีกว่าเดิม
    ทำให้ร่างกายแข็งแรง พอร่างกายแข็งแรง สมาธิก็ตั้งมั่นมากกว่าเดิม พลังจิตก็ดีตาม

    เขาฝึกกันได้อย่างไร ฝึกอย่างกสิณไหมครับ

    ถ้าเกิดว่าอาจารย์ ที่ฉลาด จะสอนให้ลูกศิษย์ใช้กำลังของกสิณในการเปิดจักระ ด้วยตัวเอง
    ซึ่งจะทำให้เปิดจักระด้วยตัวเองกันได้ในทันที
    แล้วไม่ต้องเสียเงินด้วย ทำกันฟรีๆ ปกติเขาคิดหัวละ2000
    เดี้ยวผมเอาวิธีคร่าวๆมาลงให้ก็ได้ครับ ของฟรีนี่
    ถ้าเราไปให้คนอื่นเปิดจักระให้ มันจะมีข้อเสียคือ เราจะคุมเปิดปิดมันไม่ได้ เพราะเราทำไม่เป็น
    ต้องให้เขาเปิดให้ เขาปิดให้ และเปลืองตัง ชาจแพงต่อหัว

    ทีนี้วิธีที่ดีที่สุด ในเมื่อเรานับถือพระพุทธศาสนา ก็คือเราขออาราธนาบารมีจากพระพุทธเจ้า พลังจากพระนิพพาน เปิดจักระตรงด้วยบารมีของพระพุทธองค์
    ซึ่งวิธีนี้จะดีที่สุดในการเปิดจักระ ให้จักระของเราเปิดขึ้น ติ่นขึ้น เบ่งบานเหมือนดอกไม้ ด้วยบารมีของพระรัตนตรัย

    แล้วก็อีกจุดที่สำคัญคือ อภิญญาในพระพุทธศาสนาเกิดจากการที่เราน้อมจิตขอบารมีจากพระพุทธเจ้า
    ซึ่งความนอบน้อมนี้ต่อพระรัตนตรัยนี้ เป็นส่วนหนึ่งของอารมณ์พระโสดาบัน
    คือถ้าต้องการจะให้อภิญญามีความแก่กล้ามาก จะต้องยิ่งทำจิตให้เข้าใกล้ความเป็นพระอริยเจ้ามากขึ้นเท่านั้น
    ถ้าเป็นพระอริยเจ้านี่ อภิญญาจะมั่นคงสุดๆ ไม่มีความเสื่อมแก่อภิญญาของพระอริยเจ้า

    และอีกจุดนึงก็คือ หากเราใช้พลังจิตของตัวเราเอง มันจะเป็นการใช้พลังจากร่างกายของเรา กับจิตของเรา ซึ่งจะทำให้เราเสียพลังเยอะ เหนื่อย แก่เร็ว ใช้ได้ไม่นาน
    ดังนั้นในพระพุทธศาสนา การใช้พลังจิตทั้งหมด เราจะต้องขอบารมีจากพระพุทธเจ้า ให้เป็นบารมีของพระพุทธเจ้า ไม่ใช้กำลังของตัวเราเอง

    พระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงอภิญญาที่ทรงเลิศที่สุด ไม่มีผู้ใดจะมีอภิญญาแก่กล้ามากกว่าพระพุทธองค์ไปได้
    ส่วนพลังจิตของเรานั้น อย่างไรก็ไม่ได้ธุลีของธุลีของพระพุทธองค์
    ไม่มีใครในจักรวาลนี้ จะเก่งกว่าพระพุทธเจ้าไปได้ จำตรงนี้เอาไว้ครับ

    ดังนั้นความแก่กล้าของอภิญญาในพระพุทธศาสนา ซึ่งเกิดจากการที่เราขอบารมีจากพระพุทธองค์ทั้งหมด
    อย่างไรก็ต้องสูงกว่าอภิญญานอกพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว

    แต่เราก็เก็บหมดก็ได้ครับ ออร่า จักระเราเอาหมด แล้วก็ให้เกิดจากบารมีพระทั้งหมด เดี้ยวผมเอาวิธีมาลงให้อีกที
    แต่ตัวหลักเราก็เน้นไปที่กสิณ ถ้าได้ภาพพระเป็นเพชร ความนอบน้อมในพระรัตนตรัย และเมตตา
    ได้ สามอย่างนี้ อย่างอื่นเราก็ทำได้หมดครับ
    <!-- google_ad_section_end -->
    แล้วก็คิดซะว่า ผมเป็นเพื่อนทางธรรม ก็พอนะครับ ไม่ต้องถึงขั้นเป็นอาจารย์
    มองว่าเป็นกัลยาณมิตร เป็นเพื่อนทางธรรมครับ
    แล้วมีอะไรเราก็สนทนากันอย่างเป็นมิตร สนทนากันอย่างเป็นเพื่อนกันครับ
    ทุกคนเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย เสมอกันหมดครับ
    ทุกๆคน ยังต้องกินข้าว ยังต้องขับถ่าย ยังต้องนอน ยังต้องป่วย ยังต้องตายเหมือนกัน

    ขอให้สามารถเข้าถึงซึ่งลมสบาย เมตตาอัปปมาณฌาณ กสิณ อรูป มโนมยิทธิ อภิญญา และมรรคผลนิพพาน ได้โดยฉับพลันทันใด ได้ในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ
     
  19. Ta WHK

    Ta WHK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,133
    ค่าพลัง:
    +6,078
    ขอบคุณเจ้าของกระทู้ คุณ Xorce มากๆ ค่ะ หลังจากถามไปแล้ว ก็เลยไม่ค่อยกล้านั่งสมาธิเลย หุหุหุ แต่ว่าจะกลับไปทำใหม่ค่ะ เป็นคนที่เข้าสมาธิลึกเหรอป่าวไม่แน่ใจค่ะ แต่บางทีนั่งแล้วไม่กี่นาทีเองก็แบบว่าไม่ได้ยินอะไรเลยเป็นประจำ บางทีคิดว่านั่งนานมาก แต่พอออกมา ก็แค่ไม่กี่นาทีเลย ก็ยังงงอยู่เหมือนกัน เห็นด้วยว่าที่บอกว่าชอบออกจากสมาธิเร็วๆ เพราะบางทีรู้สึกว่าจะมีคนเดินเข้ามา ลืมตามาก็มีจริงๆ หรือไม่ก็เสียงโทรศัพท์ มีครั้งนึงออกแบบรวดเร็ว ต้องใช้เวลาสองสามวันในการเข้าสมาธิได้อีก เพราะจิตอาจจะกระเทือน เคยลองทำคล้ายกับเมตาอัปมาณาญาณ ที่แนะนำมาค่ะ แต่ของเรานึกเป็นฟองสีขาวๆ ใสๆ แต่ไม่ได้ทำบ่อย เดี๋ยวจะลองทำดู ขอถามอีกนิดค่ะ ว่าหลังจากที่เรากลับมารู้สึกตัวแล้ว แต่ยังไม่ได้ออกจากสมาธิ เราแผ่เมตตาก่อนแล้วค่อยขอพรได้มั้ยคะ ขอพรจากท่านที่เราแผ่เมตตาให้เขาน่ะค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  20. DMZ_ZONE

    DMZ_ZONE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +649
    ขอถามนะครับ

    ผมนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าออกพร้อมภาวนา พุทธโธ แต่ก่อนหน้านี้ผมก็นั่งได้ปกติดีไม่มีอะไร
    แต่ช่วงระยะ 1 เดือน ที่ผ่านมานี้ผม นั้งไม่เกิน5 หน้าทีจะหลับ บางครั้งหลับเลยและก็สดุงจะคืนสติมานั้งต่อ แล้วก็พยายามจะไม่ให้หลับอีก ซึ่งเกิดความสงสัยสำหรับผมมาก ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เป็นแม่จะเหนื่อบจากการทำงานก็ตาม
    จึงอยากขอคำแนะนำจากท่าน เพื่อไปแก้ไขในการปฏิบัต ครับ ขออนุโมทนา ครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...