รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. boradcard186

    boradcard186 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    265
    ค่าพลัง:
    +760
    ขอรบกวนอีกครั้งนะครับ

    เมื่อคืนผมนั่งสมาธิ และภาวนา พุทโธ ระยะหนึ่ง หลังจากนั้นผมหยุดภาวนา พุทโธ แต่มากหนดรู้ที่ลมหายใจแทน สักพักลมหายใจเริ่มละเอียดขึ้น และลมหายใจก็ได้หายไประยะหนึง่ จากนั้นลมหายใจก็กลับมาอีก จะเป็นแบบนี้อยู่ตลอด
    ขอถาม
    1.จากที่ผมเล่า ถ้าเทียบเป็นญาน ผมได้ญานไหนแล้วครับ
    2.จากที่ผมเล่า ผมควรทำยังไงต่อไปครับ เพื่อให้ผ่านจุดนี้ไปได้

    ท้ายสุด..ผมขอขอบคุณมากนะครับ สำหรับคำตอบทุกๆๆ คำตอบ และขอให้คุณมีความสุขมากๆๆนะครับ คิดสิ่งใดก็ขอให้ผมดังปรารถนา นะครับ
     
  2. DMZ_ZONE

    DMZ_ZONE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +649
    อาการคล้ายแบบนี้ ครับ เรานั่งนิ่งๆ ภาวนาพุทโธหายไปพร้อม สติหายไป แล้วซักพักจึงรู้สึกตัวใหม่ เหมือนกับหลับไปนานนะครับ
    แล้วผมก็กลับมาเริ่มใหม้ตลอดครับ
    แล้วก็มีลักษณะตามที่ท่านแนะนำมาครับ

    * ถ้าลักษณะอย่างนี้ จะมีสองแบบ
    แบบแรก คือ ตกภวัง ถ้าตกภวัง พอจิตถอนออกมา จิตจะรู้สึกว่ามีความฟุ้งซ่านนิดๆ ร้อนหน่อยๆ จะรู้สึกเหนื่อย หรือจิตหมองๆไปหน่อย

    ขออนุโมทนา สำหรับคำแนะนำครับ



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2009
  3. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ boradcard ครับ

    ขอรบกวนอีกครั้งนะครับ

    เมื่อคืนผมนั่งสมาธิ และภาวนา พุทโธ ระยะหนึ่ง หลังจากนั้นผมหยุดภาวนา พุทโธ แต่มากหนดรู้ที่ลมหายใจแทน สักพักลมหายใจเริ่มละเอียดขึ้น และลมหายใจก็ได้หายไประยะหนึง่ จากนั้นลมหายใจก็กลับมาอีก จะเป็นแบบนี้อยู่ตลอด
    ขอถาม
    1.จากที่ผมเล่า ถ้าเทียบเป็นญาน ผมได้ญานไหนแล้วครับ

    ช่วงฌาณ3 ต่อฌาณ4 ครับ

    2.จากที่ผมเล่า ผมควรทำยังไงต่อไปครับ เพื่อให้ผ่านจุดนี้ไปได้

    ที่ลมหายใจ ยัง ดับๆ มาๆ อยู่ เกิดจากการที่จิตยังเกาะลมหายใจ

    พอถึงขึ้นนี้ ให้เราหายใจเข้าลึกๆ กักลมหายใจเอาไว้จนเต็มปอด
    จากนั้นให้ภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆๆๆ ซ้ำไปซ้ำมาไปที่ท้อง ติดต่อกันประมาณ10วินาที
    จากนั้นให้หายใจออก
    แล้วทำซ้ำ10ครั้ง

    จากนั้นให้เราจับลมหายใจสบายๆตามเดิม ลมหายใจจะเบาๆลงๆช้าลงๆ จนสงบนิ่ง ประคองได้เป็นเวลานาน
    พอได้แล้วเราก็อธิษฐานกำกับเอาไว้
    ว่าขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งสภาวะนี้ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่ข้าพเจ้าต้องการ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    อธิษฐานย้ำเอาไว้สามครั้ง

    จากนั้น เสวยสุขอยู่ในความนิ่งสงบ การหยุดนิ่ง พักผ่อนของจิต ตราบนานเท่านาน
    จากนั้นจึงค่อยหันมาทำขั้นแผ่เมตตาอัปปมาณฌาณ โดยนึกถึงความสุขให้หลั่งไหลเข้ามาจนเต็มหัวใจของเราก่อน
    ความสุขความชุ่มเย็น ความอิ่มเอิบใจ ไหลเข้ามาที่อกของเรา จนเรารู้สึกเย็นเบาสบายนิดๆที่ลิ้นปี่
    จากนั้นให้ทำความรู้สึกว่าความเย็นที่อกของเราแผ่ขยายกระจาย ส่องสว่างสีทอง ไปยังทั้งจักรวาล
    แผ่ออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ ความรักความเมตตาที่เรามีต่อผู้อื่นนี้ ส่องสว่างไปยังทั้งจักรวาล เราสัมผัสได้ถึงความสุข ความอิ่มเอิบใจ ความเบาเย็นสบายใจ อย่างถึงที่สุด

    พอได้แล้ว ให้อธิษฐานกำกับเอาไว้สามครั้งเช่นกัน ว่า
    ขอให้เข้าถึงความรักความเมตตาอัปปมาณฌาณไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีประมาณนี้ได้ตลอดไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  4. Karnta

    Karnta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,239
    ค่าพลัง:
    +1,098
    ขอบคุณคุณxorceมากนะค่ะ

    แล้วปฏิบัติแบบใดครับ จับลมหายใจ พุทโธ หรือว่าแบบไหนครับ<!-- google_ad_section_end -->
    คือเมื่อ10ปีก่อนเคยสวดมนต์และนั่งสมาธิก่อนนอนทุกคืนโดยการจับลมหายใจและภาวนาสัมมาอรหัง จนมาวันหนึ่งนั่งและรู้สึกวูบลงเหมือนจะเร็วคล้ายลมแรงๆอ่ะค่ะ ก็เกิดความกลัว เลยเลิกนั่งไปนานมาก และกลับมานั่งใหม่ได้หลายเดือนแล้วค่ะตอนแรกก็นั่งแบบจับลมหายใจและภาวนาเหมือนเดิมแต่ไม่เกิดอาการวูบแล้วน่ะค่ะ บางครั้งก็เกิดอาการปิติเช่นเวลานั่งเราจะเห็นแสงสว่างและคล้ายกับแสงสว่างนั้นจะแตกกระจายออก(บอกไม่ค่อยถูกเท่าไร)และพอแสงกระจายออกสว่างจ้า เราก็น้ำตาไหล ขนลุก เหมือนตัวลอย เหมือนอยู่อีกทีหนึ่ง แต่ละครั้งอาการเกิดปิติไม่ค่อยเหมือนกัน แต่รู้สึกเหมือนกันตอนเกิดแล้ว บางครั้งก็ประคองไว้ได้นาน บางครั้งก็แป๊บเดียว แต่เดียวนี้นั่งสมาธิแบบหลวงปู่ดูลย์ค่ะ คือไม่ส่งจิตออกนอก ใช้จิตดูจิต ให้เห็นตัวเราผู้นั่งสมาธิอยู่ขณะนั้น เริ่มก็ภาวนานะโมพุทธสิกขีพระพุทธเจ้าและจับลมหายใจไประยะหนึ่งและก็ปล่อยค่ะ คือไม่คิดไม่นึกไม่จับ ว่างเปล่าให้นานที่สุด(เฉยๆให้นานที่สุด) ยอมรับเลยว่ายากมากๆๆๆค่ะการเฉยๆเนี่ย ชอบเผลอไปเพ่งที่กระหม่อมทู๊กทีเลยเพราะเมื่อก่อนนั่งภาวนา จับลมหายใจ และเพ่งไปด้วยอ่ะค่ะ(เห็นเหมือนรูปดวงตาสีม่วงอ่ะค่ะ เมื่อก่อนเห็นภาพไม่ค่อยนิ่งเปลี่ยนรูปร่างไปมา แต่เดียวนี้รูปที่เห็นชัดมากนิ่งมากค่ะ) พอเปลี่ยนมานั่งแบบนี้รู้สึกเกิดสมาธิเร็ว แต่ไม่เกิดอาการปิติอีกเลยค่ะ(เวลาที่เราเกิดปิติแล้วเราหลุดจากปิติดิฉันรู้สึกเหมือนอยากออกจากสมาธิเลย แต่พอมานั่งแบบนี้แล้วไม่มีอาการปิติ แต่กลับไม่อยากออกจากสมาธิเลย มันบอกไม่ถูกอ่ะค่ะ) ดิฉันมาถูกหรือเปล่าค่ะ และควรจะทำไงต่อไปค่ะ

    (รบกวนด้วยค่ะ
    ดิฉันนั่งสมาธิมาหลายเดือนแล้ว
    ช่วง2-3เดือนนี้ดิฉันเห็นแสงเป็นดวงๆเหมือนดาวบนฟ้านะค่ะ แต่เห็นในบ้านนะค่ะ จะเห็นดวงเดียว(บ่อย)ช่วงเวลา2ทุ่มถึง4ทุ่ม(บริเวณเดิมๆ) บางคืนเห็น2-3ดวง เห็นช่วงเวลานี้เกือบทุกคืน บางครั้งก็เห็นในเวลากลางวันแต่ไม่บ่อย อยากทราบค่ะว่าคืออะไร และบ้างครั้งดิฉันก็เห็นแสงวิบๆวับๆทางหางตา เป็นครึ่งวงรี จะเกิดประมาณไม่เกิน10นาทีแล้วก็หายไป) ลืมบอกไปค่ะว่าที่เห็นแสงคล้ายๆดาวและที่เห็นเป็นวงรีนี่เห็นตอนไม่ได้นั่งสมาธินะค่ะ เลยอยากทราบว่าเป็นอะไรค่ะ
    ขอบคุณมากนะค่ะ และขอให้คุณxorceสมปรารถนาในทุกสิ่งรวดเร็วดังใจนึกนะค่ะ
     
  5. DrBoy_Ongarj

    DrBoy_Ongarj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2007
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +30
    ขอบคุณมากครับคุณชัดครับ

    ผมจะลองปฏิบัติตามแนวนี้ครับ... แต่เพื่อความมั่นใจจากการเข้าใจของผมจากที่อ่าน

    ขอความของคุณชัด คุณชัดกำลังจะบอกว่าเมื่อถึงฌานแล้วให้หยุดสมถะแล้วทำวิปัสสนา

    ซึ่งก็อาจจะหมายถึงให้ถอยฌานไม่ได้อยู่ในฌานแล้ว เพียงแต่ใช้กำลังที่ได้จากฌานในการ

    วิปัสสนาต่อใช่ไหมครับ

    แสดงว่าหากผมไม่มีฌานก็วิปัสสนาได้เลยแต่ถ้ากำลังอ่อนลงให้ใช้สมถะช่วยทำ

    สลับกันแบบนี้ก็ได้ใช่ไหมครับ และอีกเรื่องที่ยังสงสัยแล้วทำไมต้องให้ถึงฌานก่อนด้วย

    ไม่ได้ฌานก็พิจารณาได้องเกี่ยวกับธรรมชาติต่างๆ แต่ทำไมต้องให้ถึงฌาน เท่าที่ผมเข้าใจ

    เห็นเขาว่าหากไม่ได้ฌานความรู้ที่พิจารณาเป็นแค่จินตมนปัญญา แต่ถ้าได้ฌานความรู้จะ

    กลายเป็นภาวนามนปัญญา ประโยชน์นี้ผมก็งงๆ ว่าสองคำนี้ต่างกันอย่างไร และทำไม

    พิจารณาเรื่องเดียวกันถึงได้ผมต่างกัน ทั้งที่น่าจะเข้าใจเหมือนกันครับ


    รบกวนหน่อยครับคุณชัด
     
  6. Ta WHK

    Ta WHK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,133
    ค่าพลัง:
    +6,078

    ขอบคุณค่ะ คุณ Xorce ตอนนี้กำลังทำอยู่ค่ะ ลืมตามแล้วก็จิตภาวนาพุทโธอยู่ ตอนแรกๆ ก็ฟุ้งนะคะ แว่บไปเรื่อยๆ ตอนนี้ก็จับคำภาวนาได้มากกว่าเดิม ทำไปแทบทุกอิริยาบถแล้วค่ะ แต่จิตก็ยังแว่บไปเรื่อย คงต้องใช้เวลาอีกสักนิด ตอนนี้พยายามจับภาพพระพุทธเจ้าได้มั่งไม่ได้มั่ง แต่จิตชอบไปนึกถึงหลวงปู่แหวนค่ะ นึกถึงภาพท่านหัวเราะอ่ะค่ะ คืออาทิตย์ที่แล้ว อยู่ๆ มีฝรั่งคู่นึงที่ไม่เคยรู้จักกันเอาชุดไทยและของที่ระลึกอื่นๆ ของเมืองไทย รวมถึงสร้อยที่มีรูปหลวงปู่แหวนอีกด้านเป็นรูปนางกวัก แล้วก็ยังมีเหมือนเป็นลูกอมหรือลูกนิมิตรปิดทองกรอบพลาสติก พร้อมไซกับข้องปลา(คล้ายๆแต่ไม่แน่ใจ) มาให้ ของเหล่านี้เป็นของลูกสาวเขาที่เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนไปเรียนที่เมืองไทยหลายสิบปีมาแล้ว มีจี้รูปในหลวงทั้งรัชกาลที่ 5 และ 9 ด้วย แต่รูปของหลวงปู่แหวนที่ได้มากับที่เราชอบนึกถึงเป็นคนละรูปนะคะ คือเป็นเรื่องบังเอิญที่ได้หลวงปู่แหวนครั้งที่ 3 แล้ว จิตก็เลยอาจจะนึกถึงท่านตลอด จะเป็นไปได้ไหมคะ

    ส่วนนั่งสมาธิ ก็พยายามหาเวลานั่งให้ได้ทุกวันค่ะ เคยสังเกตุตัวเองนะคะ เวลาเราอ่านหนังสือหรือนั่งเล่นเพลินๆ รู้สึกว่าลมหายใจของเราจะสม่ำเสมอเหมือนตอนนั่งสมาธิเลย

    เมื่อสองสามอาทิตย์ที่แล้ว ตัวเองนึกถึงแต่ว่าจะไปทำบุญที่วัด แล้วก็รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ไปทำบุญ (คือเป็นกรรมการวัด ต้องไปประชุมเดือนละครั้ง ไม่ได้ไปวัดบ่อย เพราะว่าวัดอยู่ไกล ห่างจากบ้านประมาณ 90 กิโลฯ) จิตนึกถึงการไปวัดตลอดเวลาว่าจะทำอาหารอะไรไปถวายพระดี ขณะเดียวกัน ก็รู้สึกว่า มีผู้หญิงใส่ชุดขาว ตามเราตลอด จะเห็นเขาเวลาหลับตามั่ง ลืมตาบางทีก็รู้สึกว่าเขายืนอยู่ข้างหน้า(ไม่รู้คิดไปเองเหรอป่าว) รู้สึกประมาณสองวันก่อนไปวัด พอรู้สึกแบบนั้นก็อุทิศส่วนกุศลให้ไป แต่เขาก็ยังไม่ไป บางทีตื่นมาดึกๆเข้าห้องน้ำ ก็ยังรู้สึกว่าเขายังอยู่ อุทิศให้หลายรอบก็ยังไม่ไป แต่เขาไม่ให้เห็นหน้านะคะ ผมยาวๆ ใส่ชุดขาวเท่าที่รู้สึก พอถึงวันไปวัด ก็ชวนเขาไปด้วย บอกว่าไปทำบุญด้วยกัน ตอนกรวดน้ำก็นึกถึงเขาเหมือนกันให้เขาอนุโมทนาบุญกับพวกเราที่ไปวัดกัน วันนั้นมีคนเยอะค่ะ หลังจากกลับจากวัด ก็ไม่รู้สึกว่าเขาอยู่ด้วยอีกเลย อันนี้ก็ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองเหรอป่าว เพราะส่วนตัวไม่ได้มีจิตสัมผัสอะไรพิเศษ แต่ความรู้สึกนี่ บางทีก็มีบ้างซึ่งก็อย่างที่บอกนะคะ ว่าไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือป่าว ส่วนเรื่องแผ่เมตตา เดี๋ยวจะลองดูใหม่ค่ะ

    ส่วนเรื่องไปพระนิพพาน ยังไม่ค่อยกล้าคิดเลยค่ะ เพราะรู้สึกว่ายังมีบาปอีกเยอะ เลยไม่ค่อยกล้าคิดจะไป แต่บางทีนึกภาพในใจว่ากราบพระ จะรู้สึกว่าคนที่กราบเป็นผู้ชาย ไม่รู้ว่าคิดไปเองอีกเหรอป่าว

    ขอบคุณมากๆ ค่ะ ขอให้คุณ Xorce ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานโดยเร็ววันด้วยเทอญ สาธุ
     
  7. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    ซ่อม คอม เร็ว
     
  8. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ DMZ zone ครับ

    อาการคล้ายแบบนี้ ครับ เรานั่งนิ่งๆ ภาวนาพุทโธหายไปพร้อม สติหายไป แล้วซักพักจึงรู้สึกตัวใหม่ เหมือนกับหลับไปนานนะครับ

    อันนี้จริงๆ จิตเข้าเป็นฌาณละเอียดแล้วครับ ฝึกกันมานานเพื่อจุดนี้นี่แหละ

    แล้วผมก็กลับมาเริ่มใหม้ตลอดครับ

    จริงๆเราก็ไม่ต้องเริ่มใหม่ครับ โดยให้เราอธิษฐานปักหมุดเอาไว้ และจำอารมณ์ให้ได้
    เป็นอารมณ์ที่ใจเกิดความสบาย จิตรู้สึกเพลิดเพลินในสมาธินิดๆ จากนั้นจึงดิ่งวูบลงสู่ความสงบ
    พอทำบ่อยๆ จากที่เราจะรู้สึกเหมือนหลับไป
    คราวนี้เราจะมีสติทรงอยู่ ในความสงบ เบาสบาย เป็นระยะเวลานานๆ
    แล้วพอเราเริ่มทำสมาธิ เราก็เข้าสู่สภาวะนั้นเลย ไม่ต้องไล่ทำใหม่ตั้งแต่พุทโธ

    แล้วก็มีลักษณะตามที่ท่านแนะนำมาครับ


    ลักษณะที่เราเข้าไปนี้ เป็นการเข้าฌาณละเอียดนะครับ
    จำอารมณ์นี้เอาไว้ด้วยครับ

    ตอนนี้เมื่อเรารู้แล้วว่า อารมณ์ที่เราเข้าถึงนั้น เป็นอารมณ์ที่เราต้องการ ในส่วนของสมถะ
    ดังนั้นเราก็ต้องทำให้ได้บ่อยๆ เข้าๆออก ให้คล่อง จนได้ดั่งใจ
    และลองฝึกลืมตา อยู่ก็ทรงจิตให้นิ่ง สงบ จากความคิด หยุดนิ่งได้
    แต่ถ้าลืมตาจิตจะไม่ดิ่งลึกเท่าตอนหลับตา

    พอเราเข้าสู่ความสงบแล้ว และพอจิตถอนออกมา ก่อนเราจะออกจากสมาธิ
    ให้เรานึกถึงความสุข ความรักความเมตตา ความชุ่มชื่นชุ่มเย็น อิ่มเอิบใจ ให้หลั่งไหลเข้ามาจนเต็มหัวใจของเรา
    พอดวงจิตของเรามีความสุข เต็มล้น เราก็ทำความรู้สึก ว่าความสุขนี้แผ่กระจายออกไปเป็นแสงสว่างสีทอง ส่องสว่างไปยังทั้งจักรวาล
    ยิ่งเราแผ่แสงสว่างสีทองแห่งความสุขนี้ ออกไปมากเท่าไหร่ เราเองก็จะยิ่งมีความสุขมากยิ่งๆขึ้นเท่านั้น
    ให้เราเสวยสุขจากความรักความเมตตา ความชุ่มเย็น อิ่มเอิบใจจน เรามีความสุข อิ่มเต็มล้นหัวใจของเรา
    เป็นความสุขที่เกิดจากความงดงามในจิตใจของเราเอง

    พอเสวยสุขจนเรารู้สึกพอใจ อิ่มใจดีแล้ว
    ก็ให้เราค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิ ด้วยการหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ ออก ช้าๆ3ครั้ง
    ครั้งที่1 เข้า พุท ออก โธ
    ครั้งที่2 เข้า ธัม ออก โม
    ครั้งที่3 เข้า สัง ออก โฆ

    เสร็จแล้วจึงค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆ จิตของเราจากความสงบที่ดิ่งลงไป
    จะค่อยๆถอนตัวแล้วลอยขึ้น พอลอยขึ้นมาจนสุด เราก็ค่อยๆ ขยับตัวแล้วลืมตาชึ้น


    เราสามารถจะแผ่เมตตา จนเข้าสู่สภาวะที่ดิ่ง ลึกลงไปได้เช่นกัน
    ซึ่งถ้าทำแบบนั้น เราจะรู้สึกว่าตัวเรา ลอยอยู่ท่ามกลางจักรวาล แล้วก็แผ่แสงสว่างสีทองออกกระจายไปทั้งจักรวาล จะรู้สึกเย็นเบาสบายถึงที่สุด

    ลองทำดูครับ
    - เข้าสภาวะเดิมที่เราดิ่งหายไป ให้คล่อง จนเราประคองสติได้ในสภาวะที่ดิ่ง
    -แล้วแผ่เมตตา โดยนึกถึงความสุให้เต็มหัวใจ แล้วส่องสว่างไปทั้งจักรวาล

    ขอให้เข้าถึงส่วนสุดของสมถะ และวิปัสสนากรรมฐาน ได้อย่างง่ายดาย ได้โดยฉับพลันทันใดด้วยเทอญ



     
  9. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    คิดว่าไม่น่าจะมีคำถามก็มีมาจนได้ครับ

    อารมณ์นี่ถูกไปที่มันจะเย็นไปตลอดแม้กระทั้งหัวใจก็เย็นมากๆ ลมหายใจไม่อึดอัดแล้วแต่มันจะหายใจเข้าเรื่อยๆความรู้สึกมันอยากไปจากตรงนั้น แต่ พอถึงจุดๆนึง(คลายแม๊ก)ก็ย้อนกลับมาดูลมใหม่แต่ รู้สึกได้เลยว่ามันละเอียดขึ้นมากๆ เพราะผม เสวยอารมณ์ของเมตตาฌาน อยู่ถามว่า รูปพระก็เห็นได้ชัดเจนเป็นเพรชดี แต่ส่วนใหญ่จะกลับไปดูลมในจุดๆที่มันจะถึงจุดๆนึงอย่างที่บอก มันจะเอาแต่หายใจเข้าอย่างเดียวและก็อยากกจะลุกจากตรงนั้นสักพักสุดๆแล้วก็ผ่อนแล้วก็ต้องกลับมาดูลมใหม่ ลมก็ยิ่ง เล็กลงเรื่อยๆ ตอนนั้นมีอยู่3อารมณ์ด้วยกัน คือ
    1อารมณ์แผ่เมตตาที่ขนลุกชูชันจนมันจะลอยแบบเบามากๆ
    2อารมณ์ว่างเปล่าที่มันโหว๋งเหว๋งแบบลอย
    3อารมณ์ของลมหายใจที่เราตามมองดูตลอดทุกวันทุกเวลาทุกครั้งไปจนจะจบแล้ว ไม่อึดอัดนะมันเย็นๆ และก็อยากจะลุกจากตรงนั้น แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยลมหายใจออกมา ถามว่าถ้าหายใจเข้าไปเรื่อยๆหน่ะ ได้ไหม ได้คับแต่ตอนนั้นมันจะไม่คิดอะไร นึกภาพพระก็ไม่ออก เห็นแต่ สีๆ มันจะนึกอะไรไม่ออกเลย
    (มองเห็นพระเป็นเพรชเลยอย่างที่คุณชัดบอกนะ แต่ ตีไปสัก 2นาทีเห็นนาน3นาทีมันลาง คือชัดเป็นครั้งคราว)ตอนที่นั่งกรรมฐานนะคับ

    อนุโมทนาบุญกับคุณชัด คับ แล้วจะมาใหม่ ^^;
     
  10. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    คิดว่าไม่น่าจะมีคำถามก็มีมาจนได้ครับ

    อารมณ์นี่ถูกไหมคับที่มันจะเย็นไปตลอดแม้กระทั้งหัวใจก็เย็นมากๆ ลมหายใจไม่อึดอัดแล้วแต่มันจะหายใจเข้าเรื่อยๆความรู้สึกมันอยากไปจากตรงนั้น แต่ พอถึงจุดๆนึง(คลายแม๊ก)ก็ย้อนกลับมาดูลมใหม่แต่ รู้สึกได้เลยว่ามันละเอียดขึ้นมากๆ เพราะผม เสวยอารมณ์ของเมตตาฌาน อยู่ถามว่า รูปพระก็เห็นได้ชัดเจนเป็นเพรชดี แต่ส่วนใหญ่จะกลับไปดูลมในจุดๆที่มันจะถึงจุดๆนึงอย่างที่บอก มันจะเอาแต่หายใจเข้าอย่างเดียวและก็อยากกจะลุกจากตรงนั้นสักพักสุดๆแล้วก็ผ่อนแล้วก็ต้องกลับมาดูลมใหม่ ลมก็ยิ่ง เล็กลงเรื่อยๆ ตอนนั้นมีอยู่3อารมณ์ด้วยกัน คือ
    1อารมณ์แผ่เมตตาที่ขนลุกชูชันจนมันจะลอยแบบเบามากๆ
    2อารมณ์ว่างเปล่าที่มันโหว๋งเหว๋งแบบลอย
    3อารมณ์ของลมหายใจที่เราตามมองดูตลอดทุกวันทุกเวลาทุกครั้งไปจนจะจบแล้ว ไม่อึดอัดนะมันเย็นๆ และก็อยากจะลุกจากตรงนั้น แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยลมหายใจออกมา ถามว่าถ้าหายใจเข้าไปเรื่อยๆหน่ะ ได้ไหม ได้คับแต่ตอนนั้นมันจะไม่คิดอะไร นึกภาพพระก็ไม่ออก เห็นแต่ สีๆ มันจะนึกอะไรไม่ออกเลย
    (มองเห็นพระเป็นเพรชเลยอย่างที่คุณชัดบอกนะ แต่ ตีไปสัก 2นาทีเห็นนาน3นาทีมันลาง คือชัดเป็นครั้งคราว)ตอนที่นั่งกรรมฐานนะคับ

    อนุโมทนาบุญกับคุณชัด คับ แล้วจะมาใหม่ ^^;
     
  11. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    เดี้ยวผมจะค่อยๆ ทะยอยมาตอบให้นะครับ รอแปปนึงครับ

    ขอให้เจริญในธรรมกันทุกๆคนครับ
     
  12. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ karnta ครับ


    ที่ให้ทำ จิตให้เฉยๆ จิตความนิ่ง หยุด ลอยอยู่เบาๆ ไม่คิด อันนี้ เป็นอารมณ์ของฌาณ4ครับ
    ซึ่งเมื่อถึงจุดนี้จะไม่เกิดอาการของปีติขึ้น แต่จะเป็นอารมณ์ความนิ่ง สงบ ปราศจากความคิด หยุด ลอยนิ่ง เบาๆ
    ส่วนการเพ่งที่กระหม่อม อันนั้นยังเกิดจากอารมณ์หนักไปครับ
    ต้องทำใจให้สบายกว่านี้อีกครับ

    ซึ่งหลวงปู่ดูลย์ ท่านสอนให้เข้าถึงตรงนี้ได้โดยง่าย
    โดยให้ภาวนา และจับลมหายใจ จนจิตเริ่มสงบ พอจิตเริ่มสงบ แล้วให้ปล่อยลมหายใจ
    ดูจิตให้นิ่ง ไม่มีความคิด หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนให้ใช้การดูจิต ทำเป็นสมถะกรรมฐาน จนเข้าถึงฌาณ4
    ซึ่งมีไฟล์เสียงที่หลวงปู่ดูลย์ท่านเทศน์ เรื่องการดูจิต และการพิจารณาร่างกาย

    หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนให้ภาวนาพุทโธ จนจิตสงบ นิ่งไม่คิด แล้วคิดพิจารณาอาการ32ของร่างกาย ด้วยจิตที่เป็นสมาธิแล้ว
    เป็นเสียงของท่านเทศน์เอง อยู่ที่เว็บนี้ ลองโหลดฟังกันเองครับ


    ส่วนวิธีการทำให้ เราสามารถประคองอารมณ์ที่ เฉยๆ นิ่งไม่คิด ได้นานๆffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    ก่อนที่เราจะจับลมหายใจ ให้เราหายใจเข้าลึกๆ จนเต็มปอด<O:p></O:p>
    จากนั้นให้กัก ลมหายใจเอาไว้ แล้วภาวนา พุทโธธัมโม สังโฆ หรือนะโมพุทธะสิกขี ซ้ำไปซ้ำมาเป็นระยะเวลา10วินาที<O:p></O:p>
    จากนั้นให้เราหายใจออก<O:p></O:p>
    แล้วทำซ้ำ10ครั้ง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เสร็จแล้วให้เราปล่อยลมหายใจสบายๆตามดูลมหายใจที่ไหลเข้าไหลออก อย่างต่อเนื่องด้วยอารมณ์สบายๆ<O:p></O:p>
    สัมผัสความเนียนนุ่ม ของลมหายใจที่พริ้วไหวไหลเข้าไหลออก อย่างต่อเนื่อง<O:p></O:p>
    ใจของเราจะรู้เย็นเบาสบาย ลมหายใจจะ เบาลงๆ ช้าลงๆก็ปล่อยมันไป<O:p></O:p>
    ลมหายใจจะหายไปก็ปล่อยมันไปหน้าที่ของเรามีเพียงติดตามดูรู้ลมหายใจเท่านั้น<O:p></O:p>
    ลมหายใจของเราจะเบาลงๆ จนลมหายใจหยุด นิ่ง<O:p></O:p>
    จิตของเราจะมีความเบาสบาย สงบ หยุดปราศจากความคิด ลอยนิ่ง อยู่เฉยๆ ประคองอยู่เป็นเวลานาน<O:p></O:p>
    แล้วเราก็ประคองอารมณ์นี้เอาไว้ตราบนานเท่าที่เราต้องการ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เสร็จแล้วให้เราอธิษฐานว่า<O:p></O:p>
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งสภาวะที่จิตหยุดนิ่ง ความคิดหยุดนิ่ง สงบ สบาย ลอยเบานิ่ง แบบนี้ ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลาทุกชั่วขณะจิต ทุกภพชาติทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ<O:p></O:p>
    อธิษฐานย้ำเอาไว้สามครั้ง ก่อนจะออกจากสมาธิ<O:p></O:p>
    เวลาออกเราก็หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ สามครั้งแล้วค่อยๆถอนจิตออกมา<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ตอนที่ให้หายใจเข้าลึกๆนั้น เรียกว่าการล้างลมหายใจหยาบ<O:p></O:p>
    ยิ่งเราหายใจลึก แรงมากเท่าไหร่และยิ่งเราภาวนาถี่มากเท่าไหร่<O:p></O:p>
    พอจับลมหายใจจิตของเราจะยิ่งนิ่งมากเท่านั้น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เหตุผลก็เพราะเมื่อเราเติมอ็อกซิเจนจนเต็มปอดของเรา<O:p></O:p>
    ร่างกายของเราจะหายใจช้าลง และตัดระบบการเผาผลาญของร่างกาย<O:p></O:p>
    เข้าสู่ คล้ายๆสภาวะของการจำศีลของกบ<O:p></O:p>
    ซึ่งในสภาวะนี้ จิตจะเข้าถึงสมาธิความสงบได้ง่ายมาก

    (รบกวนด้วยค่ะ
    ดิฉันนั่งสมาธิมาหลายเดือนแล้ว
    ช่วง2-3เดือนนี้ดิฉันเห็นแสงเป็นดวงๆเหมือนดาวบนฟ้านะค่ะแต่เห็นในบ้านนะค่ะ จะเห็นดวงเดียว(บ่อย)ช่วงเวลา2ทุ่มถึง4ทุ่ม(บริเวณเดิมๆ)บางคืนเห็น2-3ดวง เห็นช่วงเวลานี้เกือบทุกคืนบางครั้งก็เห็นในเวลากลางวันแต่ไม่บ่อย อยากทราบค่ะว่าคืออะไรและบ้างครั้งดิฉันก็เห็นแสงวิบๆวับๆทางหางตา เป็นครึ่งวงรีจะเกิดประมาณไม่เกิน10นาทีแล้วก็หายไป)ลืมบอกไปค่ะว่าที่เห็นแสงคล้ายๆดาวและที่เห็นเป็นวงรีนี่เห็นตอนไม่ได้นั่งสมาธินะค่ะเลยอยากทราบว่าเป็นอะไรค่ะ<O:p></O:p>
    พวกนี้ห้ามไปติดในทุกกรณีครับให้เราวางอย่าไปสนใจกับมันครับ<O:p></O:p>
    เรารู้เฉยๆ ว่ามันเป็นแสงแล้วก็ไม่ต้องไปอยากรู้มาก แสงก็คือแสง แค่นั้นพอครับ<O:p></O:p>
    หันมาเน้นที่อารมณ์จิตให้เกิดความสุขเป็นสำคัญ<O:p></O:p>
    ถ้าเราไปอยากให้แสงเกิดขึ้น หรืออยากเห็นแสงมากอารมณ์มันจะเกิดความหนักได้ครับ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ยังไงก็ลองไปทำการล้างลมหยาบดูครับ<O:p></O:p>
    พอทำจนจิตนิ่ง หยุดเบาสบายได้แล้ว<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ให้เราทำในขั้นของการแผ่เมตตาต่อไปครับ<O:p></O:p>
    เพราะจิต ในสภาวะเฉยๆมีความนิ่งสงบจริง<O:p></O:p>
    แต่อารมณ์ยังมีความแห้งยังไม่ชุ่มฉ่ำด้วยความสุข<O:p></O:p>
    จึงต้องแผ่เมตตาจากสมาธิเพื่อสัมผัสความสุขที่เกิดขึ้นจากใจ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ขอให้เข้าถึงซึ่งความสงบสุข ชุ่มเย็น อิ่มเอิบใจที่เกิดจากสมาธิ ได้โดยง่ายดาย ได้โดยฉับพลันทันใดด้วยบารมีของพระพุทธเจ้าด้วยเทอญ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2009
  13. Karnta

    Karnta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,239
    ค่าพลัง:
    +1,098
    ขอบคุณคุณXorceมากค่ะ
    เวลาที่อยู่ในสมาธิดิฉันขออโหสิกรรมและแผ่เมตตาทุกครั้ง ทำดีแล้วใช่ไหมค่ะ
    เดี๋ยวคืนนี้ดิฉันจะลองล้างลมหยาบ ถ้ามีอะไรคืบหน้าจะมาถามคุณXorceอีก
    ขออนุโมทนาบุญกุศลกับคุณXorceด้วยนะค่ะ สาธุ
     
  14. nataphat

    nataphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2009
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +246
    พี่ชัดครับ คือมะวานตอนสวดมนต์อยู่นั่งมองไปที่กำแำพงผมเห็นบางสิ่งบางอย่างลักษณืคล้ายๆไอน้ำที่ออกจากหม้อข้าวมารวมกันผมตกใจเลยหนี้หลับไปครับไม่ทราบมันอารัยหว่า(อาเป็นเพราะตาลายก็ได้น่ะครับงง)ประมาณ4-5ทุ่มครับ
    ขอบคุณครับ
     
  15. boradcard186

    boradcard186 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    265
    ค่าพลัง:
    +760
    ขอรบนิดนะครับ

    1.คำภาวนาหายไป จิตก็เริ่มเป็นฌาณ ฌาณ 1
    2.เสร็จแล้วจับลมหายใจ สบายๆ จิตก็จะมีความชุ่มเย็น จะอยู่ประมาณฌาณ2
    3.ถ้าลมหายใจเริ่มช้าลง จนลมหายใจแค่ที่ปลายจมูกนิดเดียว จิตก็จะประมาณฌาณ3
    4.พอลมหายใจช้าลงเรื่อยๆ สบายๆ จนลมหายใจหยุดนิ่ง จิตของเราก็หยุด เบาๆ สบายๆ นิ่งๆ ตอนนี้จิตเป็นฌาณ4

    ขอถาม นะครับ...

    ฌาณ 1 ถ้าเปรียบเป็นขั้น คือขั้นปฐมฌาณ ไหมครับ


    ขอบคุณครับ
     
  16. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Dr Boy Ongarj ครับ


    ผมจะลองปฏิบัติตามแนวนี้ครับ... แต่เพื่อความมั่นใจจากการเข้าใจของผมจากที่อ่าน

    ขอความของคุณชัด คุณชัดกำลังจะบอกว่าเมื่อถึงฌานแล้วให้หยุดสมถะแล้วทำวิปัสสนา

    ซึ่งก็อาจจะหมายถึงให้ถอยฌานไม่ได้อยู่ในฌานแล้ว เพียงแต่ใช้กำลังที่ได้จากฌานในการ

    วิปัสสนาต่อใช่ไหมครับ

    ต้องพิจารณาในฌาณครับ ถ้าจิตเริ่มถอนจากฌาณ ก็ต้องกลับเข้าฌาณใหม่
    จนจิตนิ่งมีความเบาสบาย มีความสุขเอิบอิ่มเต็มที่ แล้วจึงพิจารณาต่อได้

    แสดงว่าหากผมไม่มีฌานก็วิปัสสนาได้เลยแต่ถ้ากำลังอ่อนลงให้ใช้สมถะช่วยทำ

    ผมจะขออ้างอิง ตามที่หลวงปู่ดูลย์ กับหลวงพ่อฤาษีท่านสอนเลยนะครับ มีไฟล์เสียงของท่านทั้งสองพูดเอาไว้ชัดเจน

    ต้องทำสมถะให้ได้ก่อน และต้องพิจารณาธรรมในฌาณเท่านั้น
    หากยังไม่ได้สมถะ ไม่ได้ฌาณ ยังเข้าไม่ถึงความสงนิ่งของจิต อย่าพึ่งทำวิปัสสนา ผลที่จะเกิดจะล่าช้า

    สลับกันแบบนี้ก็ได้ใช่ไหมครับ และอีกเรื่องที่ยังสงสัยแล้วทำไมต้องให้ถึงฌานก่อนด้วย

    ประการแรก ก็เพราะเป็นกลไกของธรรมชาติของจิตด้วย
    เพราะฌาณนั้นเป็นอารมณ์ของความเป็นพรหม ซึ่งหากจิตไม่เข้าถึงซึ่งความเป็นพรหมก่อน จะไม่สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้
    เหมือนเป็นทางผ่าน เป็นบรรไดที่ต้องเหยียบขึ้นไป

    หากจิตไม่ทรงเป็นฌาณ จิตจะไม่สามารถสัมผัสอารมณ์พระนิพพานได้
    พอจิตเข้าถึงฌาณแล้ว ก็ยังสัมผสอารมณ์พระนิพพานไม่ได้ ต้องพิจารณาวิปัสสนาญาณก่อน
    ให้จิตเกิดอารมณ์ เห็นความเป็นธรรมดา ของการเกิดว่าเป็นทุกข์ จนจิตวางได้ซึ่งความปรารถนาในการเกิด จึงจะสัมผัสอารมณ์พระนิพพานได้

    พระพุทธองค์ ยังทรงบำเพ็ญฌาณ จนถึงฌาณ8 และทรงตรัสสอน วิธีการทำสมถะ เอาไว้ถึง40วิธี เป็นกรรมฐาน40

    ทางสุดโต่ง สองทาง คือ
    1.การลุ่มหลง ในกามคุณ ในโลกธรรมจนเกินไป
    2.การปฏิบัติตัวเคร่งเครียดเกินไป

    พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญทางสายกลาง คือ พอดีๆ ลุ่มหลงในกามกิเลส
    และไม่ทรมานพระวรกายจนเกินไป จึงทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณได้

    ทางสายกลาง จริงๆแล้วคือ อะไร

    จริงๆแล้วทางสายกลาง ก็ คืออารมณ์สบาย พอใจเกิดความสบาย จิตก็เป็นฌาณ

    ทางสายกลางคือการทำให้จิตเกิดความสบาย ไล่ขึ้นไปเป็นลำดับ
    ตั้งแต่ความเป็นเทวดา จิตเกิดความปีติ เอิบอิ่มในบุญกุศล จิตพอใจในความดี ละอายต่อความชั่ว
    มาถึงความเป็นพรหม จิตทรงอยู่ในฌาณสมาธิ อยู่ในเมตตาพรหมวิหาร4 มีความอิ่มเอิบ เบาสบาย ความสุข เต็มล้นหัวใจถึงที่สุด
    ไปจนถึงความสบายที่สุด คือ อารมณ์พระนิพพาน จบกิจอย่างถาวร ไม่ต้องเกิดอีกต่อไป ได้เสวยสุขชุ่มเย็น เบาสบายถึงที่สุด อยู่บนพระนิพพานอย่างถาวรตลอดกาล

    ฌาณสมาธิ จึงอยู่ในเส้นทาง ของทางสายกลาง ที่หากอยากจะไปให้ซึ่งถึงพระนิพพานแล้ว อย่างไรก็ต้องทำให้ได้ และก็ไม่ได้ยากมาก
    เพราะฌาณสมาธิ ก็คือ อารมณ์สบาย ผู้ที่ไม่มีฌาณ ก็คือ ผู้ที่จิตใจไม่เคยมีความรู้สึกสบายใจเลย

    ประการที่สอง ธรรมนั้น เราจะต้องทำให้เข้าถึงใจ ไม่ใช่เข้าถึงหัว

    การเข้าถึง หัว คือ สัญญา เราจำได้ เราพูดได้ แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเราจากข้างใน เป็นจินตมยปัญญา

    การเข้าถึง ใจ คือ ปัญญา เราสามารถสัมผัสอารมณ์ของความสุขได้จริง และธรรมเปลี่ยนแปลงขัดเกลาเราจากภายใน เป็นภาวนามยปัญญา

    เช่น เรารู้ว่า การโกรธไม่ดี ใครๆเขาก็บอกว่าการโกรธไม่ดี เราก็จำได้ว่าการโกรธไม่ดี
    แต่เราทำให้ตัวเองหายโกรธอย่างถาวรได้แล้วหรือยัง
    การรู้ว่าการโกรธไม่ดี เป็น สัญญา เป็นธรรมที่เข้าหัว เราจำได้
    การรู้ว่าการโกรธไม่ดีอย่างแท้จริง และเลิกโกรธได้อย่างถาวร คือ ปัญญา เป็นธรรมะที่เข้าถึงใจ เราเข้าใจอย่างแท้จริง

    หรือดื่มเหล้าเนี่ย เขารณรงค์ว่าอย่าดื่มเหล้า คนที่ดื่มก็รู้นะว่าดื่มเหล้ามันไม่ดี แต่ก็ยังดื่มต่อไป
    จำได้ พูดได้ ท่องได้ ว่าเหล้าไม่ดี แต่ยังดื่มอยู่
    ถ้าบอกว่าดิ่มเหล้าไม่ดี แล้วเลิกดื่มได้จริงๆ ถึงจะเรียกว่าเข้าใจอย่างแท้จริง

    แค่ประโยคว่า พระนิพพานเป็นสุข ถ้าธรรมะเข้าถึงใจจริงๆ เราก็เป็นพระอรหันต์แล้ว
    ที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ เพราะเรา จดจำได้ว่า พระนิพพานเป็นสุข
    แต่ยังไม่เข้าใจความสุขที่เกิดจากพระนิพพานอย่างแท้จริง จนกระทั่งจิตไม่ปรารถนาการเกิดอีก

    หรือว่า คำว่าอภิญญา เราพูดได้ จำได้ ท่องได้ อภิญญามีอะไรเรารู้หมด
    แล้วมันเหาะได้จริงรึยังล่ะ
    ถ้ายังเหาะไม่ได้จริง มันก็ยังเป็นปัญญาที่เข้าถึงหัว
    ถ้าเหาะได้จริง เหาะไปเที่ยวไหนก็ได้ดั่งใจ แบบนี้เรียกว่า อภิญญาเข้าถึงใจ

    พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ท่องได้หมด จำได้หมด อธิบายได้หมด
    แล้วถึงจริงๆ รึยัง
    ถ้ายังไม่ถึงความเป็นอริยเจ้าจริงๆ ธรรมะก็ยังเข้าถึงแค่หัว ยังเข้าไม่ถึงใจ

    วิธีการที่จะทำให้ธรรมะเข้าถึงใจของเราได้ ก็คือ การพิจารณาธรรมะด้วยกำลังของฌาณ
    ระดับของธรรมะที่จะเข้าถึงจิตของเราได้ จะขึ้นอยู่กับกำลังของฌาณ
    ยิ่งฌาณสมาธิของเรา มีความสุข อิ่มเอิบ เบาสบาย เย็น แค่ไหน
    เวลาพิจารณาธรรมะ ธรรมะจะยิ่งเข้าถึงจิตของเราได้มากเท่านั้น

    ที่บุคคลสมัยพุทธกาล บรรลุธรรมกันได้โดยง่าย ส่วนหนึ่งก็เพราะบุคคลสมัยก่อน มีอารมณ์จิตละเอียด จิตเป็นฌาณอยู่แล้ว
    ด้วยความที่จิตเป็นฌาณอยู่แล้ว พอฟังธรรมะ ธรรมะจึงเข้าถึงจิต ได้บรรลุธรรมกันได้โดยฉับพลัน

    พอมาถึงยุคนี้ บุคคลละเลยเรื่องสมถะกันมากจนเกินไป ธรรมะก็เลยเข้าถึงหัว แต่ไม่เข้าถึงใจ
    จำได้พูดได้ อธิบายได้ แต่ไม่อาจจะสัมผัสความสุข ของพระนิพพานได้

    เหมือนเราท่องหนังสือเอาไว้ทำข้อสอบ ตอนสอบเราก็ทำได้ พอสอบเสร็จเราก็ลืม
    เพราะจำได้อย่างเดียว แต่ไม่ได้เข้าใจ ถึงที่ใจ อย่างแท้จริง

    ประการที่สาม ฌาณ เมตตาพรหมวิหาร4นั้น เป็นสภาวะที่จิตสะอาด สว่าง สงบ จากนิวรณ์ จากทิฎฐิ มานะ
    ซึ่งหากเราพิจารณาธรรมะนอกฌาณ
    เราจะมีการนำเอา ทิฎฐิ หรือความเชื่อส่วนบุคคล เข้ามาใส่ในการพิจารณา
    ทำให้ธรรมะที่เราพิจารณาเกิดความผิดเพี๊ยน

    เช่น เราไม่เชื่อว่า ผี หรือเทวดามีจริง พอเราพิจารณานอกฌาณ
    เราก็จะคิดว่า ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเกี่ยวกับเทวดา เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นเองภายหลังอะไรแบบนี้
    ซึ่งแค่นี้ธรรมะก็บิดเบือนแล้ว

    แต่หากเราเข้าสมาธิก่อน แล้วจึงพิจารณา เราจะไม่มีการนำเอาทิฎฐิมานะ ความเห็นส่วนตัว เข้ามาใส่ในการพิจารณา

    เราอาจจะเคยคิดว่าเทวดาไม่มีจริง แต่พอเราเข้าฌาณแล้วพิจารณาในฌาณ ปุ้ป
    เราจะรู้ว่าเทวดามีจริง และจะเชื่อว่าเทวดามีจริงทันที จิตมันจะพิจารณาถูกต้องตามกฎธรรมชาติ
    ซึ่งจะทำให้ธรรมะที่เราพิจารณามีความถูกต้อง เป็นสัมมาทิฎฐิ

    นี่แหละพิจารณาเรื่องเดียวกันแล้วผลออกมาต่างกัน
    ถ้าไม่ได้ฌาณ จะพิจาณาผิด เทวดามี หาว่าไม่มี
    ถ้าได้ฌาณ จะพิจารณาถูก เทวดามี เราก็ว่ามี พรมหมี พระนิพพานมีจริง เราก็ว่ามีจริง

    คงพอจะเห็นภาพใช่ไหมครับ ว่าพิจารณาในฌาณ กับนอกฌาณ ต่างกันยังไง

    ลองฟังไฟล์เสียงที่หลวงปู่ดูลย์ ท่านเทศน์มาฟังดูครับ
    เสียงท่านเทศน์เองเลย "เข้าฌาณแล้วพิจารณาในฌาณ ไม่ต้องถอนจิตออกมา"

    มีหลักฐาน มีเสียงท่านเทศน์เองมายืนยัน เดินยัน นั่งยัน นอนยันว่าท่านสอนให้พิจารณาในฌาณแน่นอน
    และท่านสอนให้พิจารณาในอาการ32ของร่างกายด้วย เป็นอสุภะนิมิต กายคตานิมิตเลย
    ลองเปิดฟังดูก็แล้วกันครับ


    ผู้ใดปรารถนาสาวกภูมิก็ขอให้เข้าใจถึงซึ่งความดีอันมีพระนิพพานเป็นที่สุดในชาติปัจจุบันนี้ได้ด้วยเทอญ
    ผู้ใดปรารถนาพุทธภูมิ ก็ตั้งใจทำเพื่อความสุขของส่วนรวม มีบารมีเต็ม ได้โดยฉับพลันทันใดด้วยเทอญ
     
  17. DrBoy_Ongarj

    DrBoy_Ongarj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2007
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +30
    ขอบคุณมากครับคุณชัด ที่ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ครับ

    ตอนนี้ความลังเลสงสัยก็น้อยลงมากๆแล้ว

    เหลือเพียงอย่างเดียว คือ ต้องปฏิบัติให้เห็นจริง ให้รู้จริงด้วยจิต ไม่ใช่สมอง

    ขอขอบคุณอีกครั้งนึงครับ
     
  18. DrBoy_Ongarj

    DrBoy_Ongarj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2007
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +30
    ขอบคุณมากครับคุณชัด ที่ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ครับ

    ตอนนี้ความลังเลสงสัยก็น้อยลงมากๆแล้ว

    เหลือเพียงอย่างเดียว คือ ต้องปฏิบัติให้เห็นจริง ให้รู้จริงด้วยจิต ไม่ใช่สมอง

    ขอขอบคุณอีกครั้งนึงครับ
     
  19. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    เดี๋ยวนี้ผมเป็นอะไรก็ไม่รู้คับ รู้สึกเริ่มเบื่อ แต่มันก็รู้นะคับรู้ลม รู้จิต รู้รูปธรรม นามธรรม แต่มันเบื่อๆ บางทีก็ไม่อยากนั่งสมาธิ ตอนแรกผมอยากนั่งมากๆเพื่อที่อยากเห็นนิพพาน ให้ชัดเจนแจ่มใส่ อยากเห็ฯอดีตอนาคต ตอนนี้ มันกลับเริ่มเบื่อ แต่นั่งก็นั่งได้นาน และก็ระหว่างการนั่ง ลมที่หายใจเข้ามันจะเย็นตลอดสายไปจนถึงหัวใจ มันเย็นมากๆ แต่จะมีอยู่อารมณ์นึกที่ผ่านเข้ามาเลยคือ เบื่อ และ อารมณ์เบื่อนี้ มันเป็นอะไรที่แบบว่า สบายมากกว่า เรานั่ง สมาธิกำหนดรูปนะแปลกมาก ช่วยขยายความให้กระจ่างให้ทีคับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 กันยายน 2009
  20. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,015
    ค่าพลัง:
    +741
    พี่ชัด ถ้าพี่ว่างรบกวน เอา เรื่อง ออร่า ที่พี่บอก มาลงไว้ให้ด้วยนะครับ ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ ถ้าพี่ชัดว่าง ไงก็ขอรบกวนด้วยนะครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...