รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Tanunchapat ครับ

    อย่ากลัวที่จะถามคำถาม

    อย่ากลัวที่จะเข้าหาครูบาอาจารย์ ไม่ได้หมายถึงผมนะครับ หมายถึงท่านอื่นๆ

    ถ้าอยากจะเอาดีต้องกล้าถาม

    สงสัยอะไรต้องถาม ไม่งั้นก็เท่ากับเราไม่เปิดโอกาสให้ท่านได้แนะนำ

    ติดตรงนี้ ให้แก้นะครับ เราต้องกล้าถาม อย่าคิดว่าจะไปนั่งเงียบๆ ดูท่านสอนคนอื่น แล้วเราจะได้นะ

    ถ้าเจอครูบาอาจารย์อีกครั้ง ให้ถามจุดที่ติดขัดนะครับ


    คุณเอาลักษณะนิสัยที่ร่าเริง สนุกสนาน มาปิดบัง

    ความปรารถนา ความต้องการ ความเคร่งขรึมในทางธรรมของตัวเอง

    แต่จริงๆแล้ว ลึกๆ เป็นคนที่ใฝ่ในธรรมะมาก แม้จะแสดงออกแบบเล่นๆก็ตาม

    เป็นการพรางตัวอย่างแนบเนียน


    กรรมฐานที่เหมาะ กสิณสีขาว ธัมมานุสติกรรมฐาน

    คุณเป็นคนชอบความขาว สะอาด บริสุทธิ์ ของธรรมะ

    ตรงกับกสิณสีขาว ซึ่งเป็นกสิณซึ่งเหมาะกับบุคคลซึ่งมีจิตใจที่ฝักใฝ่ในความดีเป็นทุนเดิม

    กำลังของความรัก โลภ โกรธ หลง เบาบาง ไม่เยอะเท่าคนปรกติ

    สีของจิตของคุณนั้น เป็นสีขาว โดยทุนเดิมอยู่แล้ว

    ให้คุณตั้งภาพดวงกสิณสีขาวขึ้นมาในจิต

    และค่อยๆพิจารณา เปรียบเทียบสีขาวนี้เข้ากับดวงจิตของคุณ

    เปรียบเทียบสีขาวนี้เข้ากับธรรมะของพระพุทธองค์

    จิตใจของผู้ที่มีความสกปรกแปดเปื้อนด้วยกิเลสนั้น

    จะเป็นดวงจิตซึ่งมีสีดำคล้ำสกปรก มีกลิ่นเหม็น มีความไม่น่าปรารถนา

    เรามีความต้องการที่จะไม่มีให้จิตของเราต้องสกปรก ต้องแปดเปื้อนแบบนั้น

    เราต้องการจะให้จิตของเรามีความขาวนวล สะอาด บริสุทธิ์ผุดผ่อง จะไม่ให้ต้องแปดเปื้อนด้วยกิเลสทุกอย่างทุกประการ

    เราจะต้องเป็นผู้กรงกลัวละอายต่อบาป ละอายต่อความชั่ว ละอายต่อความสกปรกของจิตของรา

    เราจะขัดเกลาชำระล้างจิตของเราด้วยพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์

    โดยเราจะไม่ติดในร่างกายของเรา เพราะร่างกายของเรานั้นมันไม่เที่ยง

    ประดุจดอกมะลิซึ่งมีสีขาวนี้

    [​IMG]

    เมื่อกาลเวลาผ่านไป ย่อมมีเหี่ยวเฉาพังทลาย แตกสลาย กลายเป็นดอกไม้แห้งไป

    แต่ว่าความขาวสะอาดบริสุทธิ์ของดวงจิตของเรานั้น จะยังคงอยู่ตลอดไป เป็นอมตะ ไม่มีวันเสื่อมคลาย

    ยิ่งเราวางได้ซึ่งร่างกายของเรา เห็นถึงความไม่เที่ยงในร่างกายของเราได้มากเท่าไหร่

    ดวงจิตของเราซึ่งขาวสะอาดบริสุทธิ์นั้น

    ก็จะค่อยๆเปลี่ยนสภาพ จากดวงสีขาว นวล มีแสงสว่างสีขาวแผ่ออกมาโดยรอบนี้

    ค่อยๆใสขึ้น มีความเป็นแก้วมันวาว ปรากฏขึ้น

    เมื่อจิตของเราสามารถวางได้ซึ่งร่างกาย

    เราจะทำความสะอาด เราจะดูแลทนุถนอมมันอย่างไร

    สุดท้าย ก็ไม่ต่างจากดอกมะลิ ย่อมเหี่ยวเฉาร่วงโรยไปตามกาลเวลา

    ดวงจิต ดวงกสิณก็จะยิ่งสว่างมากขึ้น

    จนกระทั่งกลายเป็นดวงเพชร มีรัศมีส่องสว่างโชติช่วง มีรัศมีและประกายอันเป็นเพชรแผ่สว่างออกมาเป็นปริมณฑลโดยกว้าง

    หมั่นเช็คดูดวงจิตของเราด้วยกสิณสีขาวอยู่เสมอ

    พิจารณาธรรมไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตเราจะกลายเป็นดวงเพชรได้ครบทั้งดวง
     
  2. KOKOKING_<<0>>

    KOKOKING_<<0>> เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    813
    ค่าพลัง:
    +1,373
    อนุโมทนากะท่านชัชครับ ส่วนเรื่องฌาน 4 ที่พอจะศึกษาดูก็ตามที่ท่านชัชนำมานี่ละครับ

    โดยส่วนตัวคิดว่า อาจฟังมาหลายๆต่อหลายๆทอดเลยคลาดเคลื่อนกันนะครับ คิดว่าปฏิบัติ

    เองจะสัมผัสได้มากกว่า

    ** ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยครับ ตอบจากความรู้ส่วนตัวครับ
     
  3. KOKOKING_<<0>>

    KOKOKING_<<0>> เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    813
    ค่าพลัง:
    +1,373
    ท่านชัชครับแล้วของผมมีอะไรเพิ่มเติม บอกได้เลยนะครับ น้อมรับฟังครับ ตอนนี้พยายามปฏิบัติตามที่ท่านชัชแนะนำมาในตอนแรกก่อนครับ

    ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
     
  4. Tanunchapat

    Tanunchapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +3,191
    กราบขอบพระคุณ อ. อย่างสูงในความกรุณาคะ ซาบซึ้งค่ะ ที่ท่านไม่ถือตัว น้องโก้ถามแทนหน้ากระทู้ ดิฉันถามท่านโดยการส่งใจ ท่านยังกรุณาตอบให้ คือ ที่ไม่กล้าถามเพราะ ไม่ทราบจริงๆว่าจะตั้งคำถาม+ เรียงคำพูดยังไงดี แต่ อยากได้คำตอบ อิอิอิ อ่านแล้ว งง งง นะ อืม...เด๋วดิฉันขอเล่า ที่มา/ที่ไปของตัวเอง กับท่านทาง pmนะคะ เฉพาะเรื่องนี้ ต่อไปจะเรียนถามหน้ากระทู้ค่ะ
     
  5. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Nickaz ครับ

    ขอขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่ได้กรุณาอธิบายให้ผู้มีปัญญาทึบอย่างผมได้เข้าใจครับ คราวนี้มาแบบจี้กันตรงๆจุด ดีครับ กระชับ ชัดเจนและนำไปปิดช่องโหว่ รูรั่ว ต่างๆ ได้อย่างดี

    การพิจารณาวงจรของการเวียนว่ายตายเกิด ให้ครบถ้วนทุกภพภูมิ ทั้งไตรภูมิ ถ้าจะเจาะรายละเอียดกันจริงๆ ต้องใช้เวลานาน เพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยแยะ แต่ทั้งหมดก็อยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ทั้งสิ้น(อย่างนี้ทำให้การพิจารณาง่ายขึ้น เนื่องจากล้วนแต่อยู่ในกฎเกณฑ์เดียวกัน) อย่างนี้เล่นง่าย ไม่มีปัญหาครับ เพราะการวิปัสสนาทำนองนี้ อยู่ที่ไหน เวลาไหน ถ้ามีเวลาว่างจากกิจการงาน ไม่ต้องเจรจาความกับใคร สามารถพิจารณาทบทวนได้ในทันทีอยู่แล้ว โดยใช้พื้นฐานของสมาบัติที่ซักซ้อมมาตลอดเป็นกำลังในการปฏิบัติการ

    สิ่งที่ต้องการนั้นก็คืออารมณ์ชิน ให้เห็นในกฏของไตรลักษณ์และยอมรับว่าเป็นของธรรมดาของโลกและคลายจากความรู้สึกยึดติด อย่างนี้ใช่หรือไม่ครับ?

    ใช่ แต่ให้จับทั้งสังสารวัฏ ว่าไม่เที่ยงทั้งหมด

    เพราะจิตของคุณชินในอรูปจะต้องจับไตรลักษณ์ของทั้งจักรวาล

    ว่าท้ายที่สุดมันก็สูญสลายกลายเป็นความว่าง ไม่เหลืออะไรเลย

    เหลือแต่ดวงจิต ที่สะอาดบริสุทธิ์โดยส่วนเดียวเท่านั้น

    ส่วนการกลับมาพิจารณาที่ตัวเรา ทั้งภายในและภายนอก นั้นในส่วนของขันธ์ห้า เราพิจารณาเรื่องรูปอย่างเดียวได้หรือไม่ เพราะอีกสี่อย่างที่เหลือก็เกี่ยวเนื่องกับรูป ผมคิดว่าถ้าเราไม่ยึดติดในรูป เราก็น่าจะคลายความยึดติดในโลกได้เอง เพราะรูปเป็นทั้งอนิจจัง รูปเป็นทุกขังและรูปเป็นอนัตตานั่นเอง

    ได้ แต่คุณมีกำลังของอรูป ถ้าจะพิจารณาเพิ่มว่า ขันธ์5ที่เรียกว่า สัญญา ก็ไม่เที่ยงด้วยก็คงจะจับได้ไม่ยากจนเกินไป

    เข้าเนวสัญญาณาสัญญายตนะ แล้วก็จะเห็นเองว่ามันไม่เที่ยง สัญญาการรับรู้ มันหายไปหมด ได้ยินเสีบง ได้รู้ร้อนหนาว

    แต่จิตไม่รับอะไรเลย ผัสสะมีจริง การกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย มีจริง แต่เข้าไม่ถึงจิต

    จิตไม่กระเพื่อมหวั่นไหว นิ่งทรงอยู่ในอรูปได้

    ต่อไปนี้คือเรื่องหลักๆ ที่ทำอยู่ อยากจะให้ช่วยแนะนำแบบตรงๆด้วยว่า ยังขาดตกบกพร่องตรงไหน ควรจะเพิ่มเติมตรงไหน หรือตรงไหนมากเกินไป ช่วยวิจารณ์ให้ความเห็นด้วยครับ

    ตอนนี้พยายามจะทรงสมาบัติ( เอาให้ได้ทั้งแปด ทำไมถึงต้องเอาทั้งแปด จะได้อธิบายต่อไป) ไว้ตลอด เพราะมีประโยชน์กับการวิปัสสนามาก รวมทั้งต้องทรงอารมณ์ทั้ง 4 อย่างไว้ตลอดคือ
    1.ศีล 5 และพรหมวิหาร 4 ให้เป็นความเคยชิน
    2.ความเคารพ ยึดมั่นในพระรัตนตรัยเป็นสรณะของชีวิต
    3.การระลึกถึงความตายไว้ตลอดเวลา
    4.ความปรารถนานิพพานเป็นอารมณ์

    เหตุผลของการทำอย่างนี้เพราะว่าทุกภพในไตรภูมิ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้ พิจารณาไปตามที่เห็น ทั้งจากที่ครูท่านมาสั่งสอน เบื่อหน่ายไปหมดแล้วครับ อยากจะหาสิ่งที่แปลกใหม่มาลองดูบ้าง

    แต่อารมณ์เบื่อหน่ายยังไม่ถึงที่สุดจริงๆเสียที วิสัยปุถุชนก็เป็นอย่างนี้ เวลาที่นิวรณ์เข้าครอบงำ ความปรารถนา พอใจในรูปก็ยังมีอยู่ ทำให้เกิดความปรารถนาในกามภพ ตรงจุดนี้ต้องรีบแก้ไขโดยด่วน

    ไม่ใช่เบื่อหน่ายมันยังไม่สุด ตอนนี้เบื่อหน่ายเข้าขั้น จนเริ่มเซ็ง

    แต่กำลังสมาบัติยังไม่เต็ม ของคุณมันยังเต็มได้อีก

    เพราะสมาบัติยังไม่เต็ม สังโยชน์มันเลยยังไม่ขาด

    เอาอรูปให้สุดเลยครับ

    ผมขอเปลี่ยนความเข้าใจใหม่ จากที่ได้เคยอธิบายเอาไว้

    ถ้าเราเผลอตายในอรูป เราจะกลายเป็นอรูปพรหม

    แต่บุญที่เราใช้จะไม่มีหมด เมื่อก่อนผมบอกว่าหมด อันนี้เป็นความผิดพลาด

    เราจะอยู่ในอรูปนานมากๆ เมื่อตายจากอรูป ก็จะไปยังรูปพรหม สวรรค์ หรือมนุษย์

    จะไม่ลงอบายภูมิ

    แต่ถ้าเราตั้งใจจะไปพระนิพพาน ตายแล้วก็จะไม่ไปเป็นอรูป

    ถ้าไม่ถึงพระนิพพาน ก็เลือกไปรูปพรหมแทน


    เรื่องนิวรณ์5 นี่มีความสำคัญ ที่เห็นชัดๆ ก็มีอยู่เรื่องเดียวที่ตัดได้จริงๆเกือบหมดคือวิจิกิจฉา คือไม่ติดใจ สงสัยในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ยอมรับ นับถืออย่างที่สุดของชีวิต

    แต่นิวรณ์อีก 4 อย่าง ยังเป็นเจ้าประจำของจิต ที่ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาครอบงำ บงการอยู่ตลอด ตรงจุดนี้ยังหาทางแก้ไขไม่ได้

    สมาบัติต้องกำลังเต็ม นิวรณ์ที่เหลือจึงจะสงบระงับกระเพื่อมได้ยาก

    ทางแก้เรื่องนิวรณ์ อยู่ที่ปฐมฌาน ปฐมฌานมา นิวรณ์หาย กลับกัน ถ้านิวรณ์มา ปฐมฌานก็หนีไปเหมือนกัน ตรงนี้คือจุดที่บอกว่าจะพยายามทรงสมาบัติทั้งแปดให้ได้ตลอด ใช้สมาบัติกดทับ ควบคุมนิวรณ์ไว้ แล้วใช้วิปัสสนาลดทอนอำนาจของนิวรณ์ไปเรื่อยๆ (ความจริงแค่ปฐมฌานก็พอจะกดทับนิวรณ์ได้แล้ว แต่เอาถึงสมาบัติแปด เพราะต้องการให้ของเก่าๆ ทั้งวิชชาต่างๆ กลับมารวมตัวกันน่ะครับ ทุกวันนี้บอกได้ว่ายังไม่พอใจตัวเองเท่าไหร่ ที่ยังเรียกของเก่ากลับมาได้ไม่เต็มที่)

    คิดๆไปเหมือนทุกอย่างในโลกนี้เป็นเหมือนความฝัน เนื่องจากเรายังไม่ได้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ถ้าสามารถตื่นขึ้นมาจากความฝันได้ คงจะรู้สึกดีขึ้นอีกมาก ทุกวันนี้พยายามปลุกตัวเองให้ตื่นจากความฝันมาตลอด แต่มันไม่ค่อยอยากจะตื่นจากความฝันเลย ไม่เป็นไร ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป สักวันหนึ่ง คงจะตื่นจากความฝันได้ในที่สุด

    มีคำถามเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย เป็นเรื่องเกี่ยวกับสมาบัติ คือผมเห็นว่าการฝึกทรงสมาบัติ 8 ง่ายที่สุดคือนอนหลับไปในฌานเสียเลย เดิมก่อนหลับจากที่เคยตั้งจิตไว้ที่อุปจารสมาธิกึ่งๆปฐมฌาน แต่คราวนี้ปล่อยจิตให้ไหลไปเลย มันก็ไหลไปอรูปเอง แล้วตัดหลับไป ทีนี้หลับไปทั้งอย่างนั้น ถ้าสมาบัติ 8 อันนี้จิตค่อนข้างสบาย เพราะมันหยุดการทำงานไปเลย แล้วตั้งเวลาตื่นเอาไว้ก่อนนอน มักไม่พลาด

    ทีนี้เห็นว่าการนอนหลับในอรูปมันก็สบายดี จิตได้พักเต็มที่ (โดยเฉพาะในสมาบัติที่ 8 ) ก็เลยย่ามใจ คิดว่าจะลองนอนหลับในอรูปสัก 2-3 วัน หรือ 4-5 วัน หรือ 7 วันก็ได้ แต่มีปัญหาว่าร่างกายยังต้องกิน ต้องขับถ่าย ต้องดำเนินตามระเบียบของร่างกายอยู่ การนอนในอรูปหลายๆวัน อาจมีปัญหากับระบบร่างกายได้ จึงยังไม่กล้าทดลองนอนในอรูปหลายๆวันเสียที

    จึงขอปรึกษาว่า ถ้าจะนอนในอรูปสักหลายๆวันอย่างนี้ จะมีวิธีฝึกการควบคุมกลไกของร่างกายอย่างไรครับ ไม่ให้เสียระบบไปเนื่องจากการนอนเป็นเวลานาน รวมทั้งความสมดุลในเรื่องของกระแสปราณต่างๆ ต้องฝึกการควบคุมอย่างไร

    มันไม่เสียหรอกครับ การหลับในอรูป มันเป็นธรรมชาติ

    เป็นธรรมชาติ ที่เหนือหว่าธรรมชาติของจิตปุถุชน

    คนที่หลับไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง จะทำให้ร่างกายเสียสมดุล

    ส่วนผู้ที่หลับในฌาณ ยิ่งฌาณสูงเท่าไหร่

    ร่างกายจะยิ่งสมดุลมากเท่านั้น

    หากหลับในอารมณ์พระนิพพานได้ นั่นคือจุดสูงสุดของธรรมชาติ

    ร่างกายจะมีความสมดุล มีการพักผ่อนที่เต็มที่ที่สุด


    เคยได้ยินมาว่าพวกฤษีหรือโยคีเขาทำกันอย่างนี้ โดยอยู่กันได้เป็นเดือนๆ ปีๆ (ยิ่งกว่านั้นเคยได้ยินเรื่องเล่ากันมาว่าฤษี โยคีบางพวก ใช้สมาบัติยืดอายุไปได้ถึงหลายร้อยปี ก็น่าจะใช้วิธีเดียวกันนี้) ก็เลยอยากจะลองดูบ้างครับ แต่ของเราเอาแค่สั้นๆ ไม่เกิน 7 วันก็พอแล้ว

    ขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำล่วงหน้าครับ<!-- google_ad_section_end -->

    ผมขออธิบายเกี่ยวกับการหลับในสมาบัติใหม่

    การจะหลับในสมาบัติให้สมบูรณ์นั้น

    กายของเราจะหลับ แต่จิตของเราจะต้องไม่หลับ

    ถ้าเราหลับในฌาณ4 มีสติโดยสมบูรณ์ เป็นเนื้อฌาณ4จริงๆ ไม่ใช่ตกภวังค์ ไม่ใช่ฌาณ4แบบขาดสติ

    เราจะพิจารณาได้ว่าจิตจะตื่น จะสว่างโพลง อยู่ตลอดทั้งคืน

    ไม่ใช่นอนไม่หลับนะ

    แต่จิตจะดำดิ่งลึกเข้าไปในร่างกาย จนกระทั่งรู้สึกว่าตัวหาย ร่างกายหายไปหมด

    มีแต่จิตที่ลอยนิ่งสว่างอยู่ โดยส่วนเดียว สติจะเต็มบริบูรณ์ ไม่มีง่วง ไม่มีเคลิ้ม

    กายหลับ แต่จิตตื่นอยู่ทั้งคืน

    ดังนั้นผู้ที่หลับในฌาณ4 จะไม่มีการหลับของจิตอีกต่อไป จึงไม่มีความฝันด้วยเช่นกัน

    ส่วนถ้าจะหลับในอรูปฌาณ

    จิตของเราจะเคลื่อนต่อจากฌาณ4 เข้าสู่อากาสานัญจายตนะ

    จะรู้สึกว่า สภาวะโดยรอบของดวงจิตนั้น สูญสลายหายไปหมดเลย

    จะรู้สึกถึงอาการของความว่างของอากาศไม่มีที่สิ้นสุด

    มีอากาศแผ่ปริมณฑลออกไปไม่มีที่สิ้นสุด

    พอจิตเคลื่อนต่อไปวิญญาณัญจายตนะ

    จิตจะจับเอาวิญญาณ ตัวรู้ ธาตุรู้ มันจะเป็นความสว่าง อาการของการรับรู้

    ซึ่งแผ่กระจาย ส่องสว่างไปไม่มีที่สิ้นสุด มันจะสว่างไม่เหมือนกับอากาสานัญ

    ทีนี้พอเคลื่อนต่อไปยังอากิญจัญญายตนะ

    มันว่างจากทั้ง อากาศ และวิญญาณ มันว่างเข้าไปอีก

    คราวนี้ไม่เหลืออะไรเลย ว่างหมด ไม่มีอากาศ ไม่มีความสว่างของวิญญาณ ตัวรู้

    มันว่างจริงๆ

    คราวนี้พอเคลื่อนเข้าสู่ เนวสัญญา

    ไม่สนใจในการจดจำหมายรู้ทั้งหมด

    มันจะมีจะเกิดอะไรขึ้น เราเหมือนตอไม้ ไม่รับรู้ ไม่สนใจ ทั้งหมด

    ไม่มีอะไรเข้ามากระทบดวงจิตเราได้ กระทบกายได้แต่เข้าไม่ถึงจิต

    จิตของเราจะตื่น ตลอดทั้งคืน แต่จะประคองอยู่ในความว่าง เปล่า ตลอดจนถึงเช้า

    ถ้าหลับในอรูปโดยสมบูรณ์ จิตเราจะไม่หลับ สติจะสมบูรณ์ตลอดทั้งคืน

    อรูปนี่ผมยังอธิบายไม่สมบูรณ์ ไม่ละเอียด เอาไว้ฟจะมาเพิ่มเติมให้ในภายหลังครับ

    ต้องฝึกจนให้ได้แบบนี้ กำลังสมถะของคุณถึงจะสมบูรณ์

    ถ้าถึงจุดนั้นนิวรณ์จะสงบนิ่ง จะไม่ฟู จะไม่กระเพื่อม จิตจะนิ่งสงบมากกว่าตอนนี้คนละระดับกันเลย
     
  6. Apiwut

    Apiwut Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +92
    รบกวน ขอคำแนะนำด้วยครับ

    สวัสดีท่านเจ้าของกระทู้ครับ
    เป็นน้องใหม่เพิ่งนั้งสมาธิมาไม่นานครับ
    ได้อ่านกระทู้ของท่านมาเพียงนิดๆหน่อยๆ
    รู้สึกประทับใจ และขออนุโมทนา เป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ
    ผมมีปัญหาเวลานั้งสมาธิพอปล่อยอารมณ์สบายๆจิตเริ่มนิ่ง
    แล้วตัวจะงอลงมามากๆ ทำให้ปวดหลัง+หายใจไม่สะดวก
    และก็ปัญหาในเรื่องทรงอารมณ์ได้ไม่นาน
    เผลอนิดเดียวนิวรเข้าเป็นนับ1กันใหม่หมด
    อยากจะขอคำแนะนำ วิธีแก้ปัญหาด้วยคนครับ
    ขอบคุณครับ
     
  7. ทำเป็นงง

    ทำเป็นงง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +557
    กราบสวัสดี ครับ ท่านอาจารย์ ชัด ที่เคารพ
    ผม สมาชิกใหม่ ขอแจมนิด นะ ผิดถูกยังไง เดี๋ยวให้อาจารย์ ช่วยแก้ไข อีกที นะครับ

    สวัสดีท่านเจ้าของกระทู้ครับ
    เป็นน้องใหม่เพิ่งนั้งสมาธิมาไม่นานครับ
    ได้อ่านกระทู้ของท่านมาเพียงนิดๆหน่อยๆ
    รู้สึกประทับใจ และขออนุโมทนา เป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ


    ผมมีปัญหาเวลานั้งสมาธิพอปล่อยอารมณ์สบายๆ จิตเริ่มนิ่ง
    แล้วตัวจะงอลงมามากๆ ทำให้ปวดหลัง+หายใจไม่สะดวก

    ลักษณะ คล้าย ๆ เข้าถึงฌาณแล้ว นะ ก่อนทำสมาธิ ควรหายใจเข้าออก และอั้นลม ลึก ๆ สัก 4 -5 ครั้งเพื่อระบายลมหยาย

    และก็ปัญหาในเรื่องทรงอารมณ์ได้ไม่นาน
    เผลอนิดเดียวนิวรเข้า เป็นนับ1กันใหม่หมด

    ถ้าคำภาวนาหาย ในขณะทรงจิต นิ่ง นี่ ทุติยฌาณแล้ว นะ (ตัดวิจารย์ คือคำภาวนา ) ถ้ารู้ตัว คือจิตตก มาอยู่ อุปจารสมาธิ ก็จะนึกว่าเราลืมภาวนา
    นี่อารมณ์ ของคุณ ถ้าไม่ดีมาก ก็ฟุ้งคือ ขณิกสมาธิ

    อยากจะขอคำแนะนำ วิธีแก้ปัญหาด้วยคนครับ
    ขอบคุณครับ

    การแก้ บอกไปแล้ว แต่ขอแนะนำ ก่อนการทำสมาธิ ควรพิจารณา ตัดวาง ขันธ์ ๕ คือร่างกาย เราฝึกที่จิต และการดูลม ควรทำใน ทุกอิริยาบท ไอ้ท่ามาก หากินยาก จะ นั่ง ยืน เดิน นอน ทำได้หมด นะ และพยายาม โยงเข้าหา กฏของไตรลักษณ์ และ อริยสัจน์ ๔ นะ เพราะกรรมฐาน ทุกกอง ถ้าไม่โยงเข้าหา ก็จะเป็นแค่ อารมณ์ สมถะ นะ
     
  8. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ตอนนี้กระทู้ล้น pmก็ล้นครับ

    ถ้าผมตอบช้าไปขอให้ทุกๆท่านโปรดรอนิดนึงนะครับ

    วันนี้มีสอนสมาธิ ที่จังหวัดนนทบุรี ครับ

    ขอให้ทุกๆท่านอนุโมทนาในอานิสงค์ทุกอย่างทุกประการด้วยครับ

    ผมบอกเอาไว้ก่อนนะครับว่า

    กว่าผมจะปรับปรุงวิชชาใหม่ทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์

    อาจจะใช้เวลาถึงสามเดือน

    ดังนั้นช่วงนี้ จุดไหนที่ผมยังปรับไม่เสร็จ ผมจะยังไม่ลงเนื้อหาในส่วนนั้นนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2010
  9. Apiwut

    Apiwut Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +92
    ขอขอบคุณกับคำแนะนำดีๆของคุณ ทำเป็นงง
    ผมจะนำไปฝึกปฏิบัติต่อไป
    และขออนุโมทนา ทั้งท่าน ทำเป็นงง และท่าน Xorce ด้วยครับ
    ขอบคุณครับ
     
  10. ทำเป็นงง

    ทำเป็นงง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +557
    อนุโมทนา สา ... ธุ ครับท่านอาจารย์
    อาจารย์ ครับ ที่ผมตอบ ด้านบน อาจารย์ ช่วยตรวจทาน อีกที นะครับ เพื่อความมั่นใจ ของผู้ถาม
     
  11. กสิน9

    กสิน9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +270
    ผมว่าไปตั้งกระทู้ตั้งตนเป็นอาจารย์ดีว่ามั้งครับ
     
  12. ทำเป็นงง

    ทำเป็นงง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +557
    กราบขอขมาอาจารย์ด้วย ครับ
    เรื่องมันมีต้นสายปลายเหตุ ครับ ติดตาม และ พิจารณา เอานะครับ

    http://palungjit.org/threads/เค้าว่าคนที่ฝึกกสิณไฟจะอายุสั้นใช่มั้ยครับ.245129/page-3
     
  13. Tanunchapat

    Tanunchapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +3,191

    โมทนาค่ะอาจารย์ นานแค่ไหนก้อจะรอ
     
  14. Tanunchapat

    Tanunchapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +3,191
    โมทนา สาธุ ขอให้คุนประสบผลสำเร็จดังที่ตั้งใจ ในเร็ววันนะคะ
     
  15. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    ข้อที่ต้องระวังของอรูปฌาน

    ขอขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่ได้อธิบายให้ผู้มีปัญญาทึบอย่างผมได้เข้าใจ ขอลองไปทบทวนการปฏิบัติอีกครั้ง ว่าจะเป็นอย่างที่เจ้าของกระทู้แนะนำไว้หรือไม่

    แต่กำลังสมาบัติยังไม่เต็ม ของคุณมันยังเต็มได้อีก

    เพราะสมาบัติยังไม่เต็ม สังโยชน์มันเลยยังไม่ขาด

    เอาอรูปให้สุดเลยครับ


    ข้อนี้ไม่ยากครับ ถ้าตั้งใจจริง สุดๆได้แน่นอน (สำคัญอยู่ที่ว่าจะไม่ตั้งใจเท่านั้นเอง )


    ส่วนถ้าจะหลับในอรูปฌาณ

    จิตของเราจะเคลื่อนต่อจากฌาณ4 เข้าสู่อากาสานัญจายตนะ


    จะรู้สึกว่า สภาวะโดยรอบของดวงจิตนั้น สูญสลายหายไปหมดเลย

    จะรู้สึกถึงอาการของความว่างของอากาศไม่มีที่สิ้นสุด

    มีอากาศแผ่ปริมณฑลออกไปไม่มีที่สิ้นสุด

    พอจิตเคลื่อนต่อไปวิญญาณัญจายตนะ

    จิตจะจับเอาวิญญาณ ตัวรู้ ธาตุรู้ มันจะเป็นความสว่าง อาการของการรับรู้

    ซึ่งแผ่กระจาย ส่องสว่างไปไม่มีที่สิ้นสุด มันจะสว่างไม่เหมือนกับอากาสานัญ

    ทีนี้พอเคลื่อนต่อไปยังอากิญจัญญายตนะ

    มันว่างจากทั้ง อากาศ และวิญญาณ มันว่างเข้าไปอีก

    คราวนี้ไม่เหลืออะไรเลย ว่างหมด ไม่มีอากาศ ไม่มีความสว่างของวิญญาณ ตัวรู้

    มันว่างจริงๆ

    คราวนี้พอเคลื่อนเข้าสู่ เนวสัญญา

    ไม่สนใจในการจดจำหมายรู้ทั้งหมด

    มันจะมีจะเกิดอะไรขึ้น เราเหมือนตอไม้ ไม่รับรู้ ไม่สนใจ ทั้งหมด

    ไม่มีอะไรเข้ามากระทบดวงจิตเราได้ กระทบกายได้แต่เข้าไม่ถึงจิต

    จิตของเราจะตื่น ตลอดทั้งคืน แต่จะประคองอยู่ในความว่าง เปล่า ตลอดจนถึงเช้า

    ถ้าหลับในอรูปโดยสมบูรณ์ จิตเราจะไม่หลับ สติจะสมบูรณ์ตลอดทั้งคืน

    อรูปนี่ผมยังอธิบายไม่สมบูรณ์ ไม่ละเอียด เอาไว้ฟจะมาเพิ่มเติมให้ในภายหลังครับ

    ต้องฝึกจนให้ได้แบบนี้ กำลังสมถะของคุณถึงจะสมบูรณ์

    ถ้าถึงจุดนั้นนิวรณ์จะสงบนิ่ง จะไม่ฟู จะไม่กระเพื่อม จิตจะนิ่งสงบมากกว่าตอนนี้คนละระดับกันเลย<!-- google_ad_section_end -->


    ตรงนี้อยากจะขอคำแนะนำเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย คือแต่เดิมก่อนหลับ จะตั้งจิตไว้ที่อุปจารสมาธิกึ่งๆปฐมฌาน เพราะภาระทางโลกนั้นยังคงมีอยู่ เผื่อไว้เวลาครูบาอาจารย์หรือท่านผู้หวังดีจะมาเตือนในเรื่องเหตุด่วน เหตุร้ายต่างๆ จึงให้มีช่องทางสื่อสารกันได้บ้าง

    การหลับในอรูปนั้นดีแน่ แต่ค่อนข้างจะมีปัญหาเพราะมันนิ่งอย่างเดียว โดยเฉพาะสมาบัติที่ 8 นี่มันปิดสวิทช์ไปเลยครับ ไม่รับรู้เรื่องราวอะไรแล้ว ดังนั้น จึงเรียนมาเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมว่า พอจะมีวิธีการเปิดช่องทางติดต่อไว้อย่างไรได้บ้างไหมครับ เพราะบางสิ่งที่ท่านเตือนมามันก็เร่งด่วนจริงๆ จำเป็นต้องตัดสินใจดำเนินการทันที

    ขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ
     
  16. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ช่วงนี้มี "ของจริง" เข้ามาในเว็บเยอะนะครับ

    ดังนั้นในระยะนี้ ขอให้งดการปรามาสผู้อื่นครับ อาจจะพลาดไปโดน"ของจริง"ได้

    ใครเขาว่าอะไรยังไงกัน ถ้ามันไม่ถูกใจของเรา ก็ขอให้เก็บเอาไว้ในใจครับ

    อย่าไปแสดงออก เพราะเรื่องจะยิ่งยืดยาวออกไปไม่มีที่สิ้นสุด

    เตือนคนที่เตือนได้ คือ การสร้างมิตร

    เตือนคนที่เตือนไม่ได้ คือ การสร้างศัตรูครับ
     
  17. KOKOKING_<<0>>

    KOKOKING_<<0>> เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    813
    ค่าพลัง:
    +1,373
    เตือนคนที่เตือนได้ คือ การสร้างมิตร

    เตือนคนที่เตือนไม่ได้ คือ การสร้างศัตรูครับ
    <!-- google_ad_section_end -->

    เห็นด้วยอย่างยิ่งครับผมท่าน อ.ชัช
     
  18. May be no one

    May be no one เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +232
    อ่า ช่วยชี้แนะแนะนำเรื่องกรรมฐาน กับหนูด้วยอีกคนสิค่ะ ^^
    เริ่มมึนค่ะ -*- หนูอยากรู้เรื่องการฝึก กสินไฟ อ่ะค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2010
  19. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ devilblaze ครับ

    ขอความกรุณาหน่อยครับ

    คือ ผมมีปัญหาตอนทำสมาธิ อ่ะครับ ผมทำสมาธิแล้วผมรู้สึกว่ามันยากมากๆ เพราะผมเอาแต่จะใช้กำลังของตัวเอง แค่จะมาพิมพ์ขอความช่วยเหลือยังคิดแล้วคิดอีก แต่ก็มีบางที ที่ใช้กำลังของตัวเองทำแล้วก็ประสบผล แต่มันก็ทรงอยู่ไม่นาน ซึ่งมันมักจะประสบผลตอนที่ถอดใจไปแล้วแต่ขอต่ออีกหน่อยทุกที

    ถ้าไม่เข้าหาครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นสัมมาทิษฐินะครับ

    ผมบอกเลยว่ายากทุกรายครับ นอกจากจะอธิษฐานเป็นพระปัจเจกก็อีกเรื่องนึง

    ทุกวันนี้ผมทำได้แค่นับลมหายแล้วหลับไป ซึ่งผมรู้สึกอนาจ ในตัวเองเหลือเกินทั่งๆที่ตัวเองเคยผ่านมากกว่านั้นแท้ๆ

    ผมจึงอยากจะขอความกรุณาหาทางช่วยผม ลด ฑิธิ ของตัวเอง ลด ความยิ่งยะโสในกำลังของตัวเอง หน่อยครับ

    แล้วอยากขอวิธีทรงกำลัง อย่างถูกต้อง ผม ไม่อยากใช้กำลังของตัวเองอีกแล้ว ไม่ไหว ไม่ไหว มันเหนื่อยมาก ทั่งๆที่เมื่อก่อนฝึกจนเห็นด้วยตนเองจนมีศธัทธาเต็มที่
    แต่ตอนนี้มันจะถอยลงไป แถมจะพาลทำให้เราเสื่อมในศธัทธา
    ผมไม่อยากถอยครับ ขอความกรุณาด้วยนะครับ

    แล้วผมอยากทราบว่าผมควรจะฝึกกรรมฐานกองไหนดีครับ

    คือ ผม เริ่มฝึกกสิณสีแดงเป็นกองแรกเลยทันที่ที่รู้จักทำสมาธิ แต่มันไม่ได้เรื่องอะไร

    เลยหันมาฝึกอาณาปาณสติ อันนี้ได้เรื่อง แถมทรงสมาธิเงียบๆไม่รู้สึกอะไรอยู่ดีๆก็ปรากฎ ดวงอะไรไม่รู้
    ทีแรก เป็นดวงสีขาวออกฟ้าๆ ข้างหลังดำหมด

    ครั้งที่ 2 กลับใส แล้วมีสีทุกสีปรากฎอยู่ในดวงเป็นจุดๆระยิบระยับ ข้างหลังเป็นฉากสภาพห้องเหมือนลืมตาแต่มีดวงกลมๆที่ว่าปรากฎลอยเด่น

    อีกครั้งทีนี้มาเต็มสี สีเขียวบ้าง เหลืองบ้าง

    มันเล่นทำให้ผมหันกลับไปฝึกกสิณ แต่ก็เอาอ่าวอีกนั้นล่ะครับ ชักสับสน



    อ่อแล้วมีอยู่ครั้งหนึ่งผมทำสมาธิถึงจุดๆหนึ่งแล้วประมาณว่าเหมือนจะเผลอหลับ แต่กลับมาคองสติตัวเองได้ ผมพยายามจะลืมตาแต่มันไม่ลืม

    ผมก็จะพยายามเบ่งอีก จนจู่ๆมันก็ค่อยๆสว่างขึ้นปรากฎสถานที่ ที่ทำสมาธิอยู่ แต่มันไม่ใช่เหมือนมองด้วยตา มันเหมือนมีอะไรบางอย่างบังคับ

    สายตาของเราให้มองไปตรงนั้นโดยที่รอบๆสายตามันเบลื่อๆส่วนตรงกลางสายตาชัด แต่ก็ขยับไปมองรอบๆได้ แล้วยังได้ยินเสียงพลังงาน

    อะไรไม่รู้เหมือนเสียงของเครื่องไฟฟ้าที่ใช้พลังงานมากๆ จึงอยากจะทราบว่ามันคืออะไรหรอครับ ผมไม่กล้าไปถามใครเด๋วจะหาว่าบ้า จึงต้อง

    มาถามพวกเดียวกัน

    ขอขอบคุณอย่างสูง

    เอาดีได้แน่ครับ

    แต่ต้องมาจับหลักให้ถูกก่อนครับ

    คุณมันพวกความเพียรเยอะ เยอะจริงๆนะ

    เสียดายที่ยังไม่เจอครูบาอาจารย์ จึงทำให้ความเพียรเกิดผลน้อยกว่าที่ควร

    ถ้าเข้าหาครูบาอาจารย์ให้ถูกตั้งแต่ต้นนะครับ ป่านนี้ไปไกลแล้ว

    ก่อนจะอ่านข้างล่างทำจิตให้พร้อมจะรับได้ก่อนนะครับ


    คราวนี้มาทำความเข้าใจก่อนว่า

    คุณเป็นคนที่อยากจะก้าวหน้าไวๆ

    บางครั้งความรู้สึกที่เร่งรัดไปนี้ ก็เป็นเครื่องขัดขวางตัวคุณเอง

    เพราะถ้ามันตั้งใจมากเกินไปเสียตัวเดียว

    ก็คือ วิริยะมันเยอะ

    ในพละทั้ง5ประการ มี ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา

    พอวิริยะมันเยอะ บางครั้ง มันก็กดตัวอื่นลง

    สูงอยู่ตัวเดียวตัวอื่นมันก็โตไม่ได้

    แล้วคุณก็เลยใช้กำลังของวิริยะในทางที่ไม่ถูก

    อย่างไรบ้าง

    ศรัทธา คุณศรัทธาในอะไรตอนที่ฝึก

    คุณศรัทธาในตัวเอง หรือในบารมีของพระพุทธเจ้า

    คุณเคยนึกถึงพระ ก่อนฝึก ระหว่างฝึก หรือหลังฝึกบ้างไหม

    โดนเข้าไปก่อน หนึ่งข้อ

    พอมันศรัทธาในความดีของตัวเองเป็นใหญ่ โดยเราไม่รู้ตัว

    ก็จะไม่มีบารมีของพระพุทธองค์ที่แผ่มาถึงเรา คุณก็จะไม่ศรัทธาในความดีของพระพุทธเจ้าอย่างถึงที่สุด

    แล้วกสิณที่คุณฝึก เป็นคำสอนของท่านใด ก็ของพระพุทธองค์

    เมื่อคุณไม่ได้ระลึกถึงความดีของพระองค์ท่านที่อุตส่าบำเพ็ญบารมีด้วยความยากลำบาก แลกด้วยชีวิตของพระองค์นับครั้งไม่ถ้วน
    เพื่อให้ได้ธรรมะมาสอนให้สรรพสัตว์ได้พ้นจากความทุกข์

    คุณจะฝึกสำเร็จไหมครับ

    พละ5 ประการ ตัวอื่นก็พอมี

    แต่ศรัทธามันพร่องไปเยอะนะครับ

    ตราบใดที่ข้อนี้ยังไม่เต็ม เต็มอย่างถูกทางคือ ศรัทธาในพระรัตนตรัย ไม่ใช่ในตัวเอง
    <!-- google_ad_section_end -->
    จิตมันก็ยังมีความหลงขั้นละเอียด หลงว่าเราดี ถ้าดีจริงผมก็จะไม่ว่าเลย

    แต่ถ้าเราไม่ดี แล้วคิดว่าเราดีนี่ เขาเรียกว่าขาดสติ

    พอขาดสติ สมาธิที่เกิดก็ยังไม่เป็นสัมมาสมาธิ

    พอไม่เป็นสัมมาสมาธิ ปัญญามันก็เต็มไม่ได้

    พอปัญญามันไม่เต็ม คุณก็จะพากเพียรอย่างผิดวิธี พากเพียรแล้วเกิดผลน้อย

    ผมจะอธิบายเผื่อเอาไว้

    ในขณะเดียวกัน ถ้าเราดีจริง แต่เราดูถูกตัวเองว่าเราไม่ดี มันก็คือการขาดสติเช่นกัน

    เพราะเราดูถูก ปรามาสในความดีของตัวเอง มนก็เอาดีไม่ได้ เพราะขาดความมั่นใจ

    ถ้าขาดความมั่นใจเสียอย่างเดียว ญาณ อภิญญาเลิกคุยกัน หรือถ้าจะได้มันก็จะได้แบบแผ่วๆ


    ถ้าคุณจะเอาดีให้ได้นะครับ

    ไปเติมศรัทธา ในพระรัตนตรัยให้เต็มเสียก่อน

    พอเต็มแล้ว อย่างอื่นจะเอาดีได้เองครับ

    ทีนี้จะเติมอย่างไร

    เอากรรมฐานไปสามกอง พุทธานุสติกรรมฐาน ธัมมานุสติกรรมฐาน สังฆานุสติกรรมฐาน

    แต่ละกองคืออะไร

    พุทธานุสติ คือการระลึกถึงคุณงามความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ธัมมานุสติ คือ การระลึกถึงคุณงามความดีของพระธรรม

    สังฆานุสติ คือ การระลึกถึงคุณงามความดีของพระอริยสงฆ์

    ระลึกถึง และเข้าใจอย่างถ่องแท้ในความดีของแต่ละท่าน

    เนื้อสมาธิของคุณน่ะดีอยู่แล้ว ไปเติมไตรสรณคมให้เต็มแล้วจะดีเองครับ

    ความดีของพระพุทธเจ้า มีอะไรบ้าง

    อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ (พุทธคุณ)

    สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ (ธรรมคุณ)


    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ (สังฆคุณ)

    เราต้องเข้าใจในความหมาย และพิจารณาว่าแปลว่าอะไรบ้าง

    อรหัง แปลว่าอะไร สัมมาสัมพุทโธ แปลว่าอะไร วิชชาสาม มีอะไรบ้าง จรณะ15มีอะไรบ้าง

    พิจารณา และทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้มาให้หมด

    พิจารณาถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้าให้ถ่องแท้

    พระเจ้าสิบชาติ พระเจ้าห้ารอยชาติ

    ศึกษาให้รู้จบให้หมด ถึงความดีของพระพุทธองค์ ของพระธรรม ของพระอริยสงฆ์

    พอคุณมีศรัทธาในพระรัตนตรัย ที่เต็มมากขึ้นแล้ว สติก็จะเพิ่ม สมาธิก็เพิ่ม ปัญญาก็จะเพิ่ม

    สมาธิของคุณมันจะลงล็อค มันจะไปถูกทางเอง

    แล้วค่อยกลับมาถามใหม่นะครับ
     
  20. mim party

    mim party สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +9
    สวัสดีค่ะท่านอาจารย์ชัช มิ้มเริ่มสนใจการปฏิบัติน่ะค่ะ อยากถามท่านอาจารย์ให้ช่วยชี้แนะการปฏิบัตินะค่ะ ว่ามิ้มมีของเก่ามาบ้างมั้ยคะ แล้วควรปฏิบัติแบบไหนดีคะ ถึงจะเหมาะกับมิ้ม เพราะตอนนี้เท่าที่ปฏิบัติอยู่ มิ้มไม่ได้ภาวนาอะไรเลยค่ะ เหมือนนั่งหลับตา ไม่คิดอะไร แต่ก็ไม่ทราบว่านั่นเรียกว่าการปฏิบัติหรือเปล่า ชอบรู้สึกแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น(เคลิ้มๆ) มารู้ตัวอีกทีก็งงตัวเอง สรุปแล้วนี่คือการนั่งหลับตาหรือว่าปฏิบัติกันคะ รบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะให้ด้วยนะคะ/ขอบพระคุณที่กรุณาค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2010
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...